วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การเจริญมรณานุสติ

    แต่ก่อนที่ได้ศึกษามาว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสถามกับพระอานนท์ว่า พระอานนท์ท่านได้ระลึกถึง มรณานุสติ วันละกี่ครั้ง

    พระอานนท์ทูลตอบพระองค์ท่านว่า วันละเจ็ดครั้ง

    พระพุทธเจ้าท่าน ทรงตรัสตอบว่า ยังน้อยไป ตถาคตระลึกถึงมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก


    แต่ก่อนผมก็ยังมีความโง่แกมเลวอยู่มาก คิดเองว่า พระอานนท์ท่านก็ไม่น้อยแล้ว ระลึกถึงความตายได้ถึงวันละตั้ง เจ็ดครั้ง เราเองระลึกถึงความตายได้เช้าครั้ง ว่า" วันนี้เราอาจตายลงก็ได้พึงทำความดี ทำกุศลเอาไว้ให้มาก" อีกครั้งก่อนนอนครั้งก็ระลึกว่า "หากเราตายไปคืนนี้ เราจะไปที่ใด เราขอตั้งจิตเอาไว้ยังสุคติภูมิอันมีสวรรค์เป้นเบื้องต้น มีพระนิพพานเป็นที่สุด" ดังนี้

    แต่อีก หลายๆท่านนั้น ยังประมาทในความตายอยู่ปีหนึ่งได้ระลึกถึงความตายได้ซักครั้งหรือไม่ นับเป็นเรื่องที่น่าคิด แต่หลายๆท่านกลัวที่จะคิดถึงความตาย ด้วยเหตุเเห่งความกลัวว่า หากไปคิดถึงความตายมากๆ จะตายเข้าจริงๆ สิ่งนี้เป็นโมหะความหลง

    หลงว่าเรายังหนุ่ม เรายังสาว ยังไม่ตายหรอก
    หลงว่าคนอื่นตายแต่เรายังไม่ตายบ้าง
    หลงว่าตายแล้วสูญ นิพพานสูญ พึงกอบโกยความสุขในชาตินี้ให้มากเข้าไว้
    หลงว่าตายแล้วจะไปที่ไหน ไปที่ใดก็ไม่รู้ ขาดที่พึ่งที่อาศัย

    เป็นความจริงที่ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่รักชีวิตเกรงกลัวความตายเป็นธรรมดา

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความกลัว ที่น่ากลัวอย่างที่สุดแต่คนเรากลับไม่กลัว โดยมีเหตุจากความไม่รู้เป็นสำคัญ

    สิ่งนั้นคือภัยในชาติภพ โดยแรงแห่งกรรมที่ส่งผลยาวนานสืบเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

    หากเราประมาทในความตายแต่แรก โอกาสที่เราจะลงไปเกิดในอบายภูมิก็จะมีสูงมาก กว่าจะหมดกรรมมาเกิดในภพอันเป็นสัมมาทิษฐิได้ก็นานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

    เหตุนี้พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ให้เราทั้งหลาย
    -หมั่นพิจารณามรณานุสติเอาไว้ทุกลมหายใจ
    -อย่าประมาท(ในความตาย ในการทำความดี ในการละบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย)
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แต่ก่อนพิจารณามรณานุสติแต่เพียงว่า "เราเองก็ต้องตาย สัตว์ทั้งหลายก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ต้องละต้องจากสมมุติทั้งหลายในโลกใบนี้ไม่ว่า จะเป็นบุคคลรอบด้าน ทรัพย์สินสมบัติทั้งหลาย เอาอะไรไปก็ไม่ได้ มีเพียงบุญกุศล บารมีความดีติดตัวเราไปเท่านั้น ปล่อยวางจากความยึดติดในวัตถุ คน สัตว์สิ่งของทั้งปวงในโลกใบนี้เสีย"

    พอมาไม่นานนี้ พระท่านมาสอนว่า ยังพิจารณาหยาบและยาวเกินไป

    "ท่านสอนให้จับลมสบาย แล้วพิจารณาจิตของตัวเราเอง แล้วให้หมั่นกำหนดรู้ด้วยญาณทัสนะร่วมกับมรณานุสติว่า "หากเราตายไปในขณะจิตนี้ เราจะไปไหน" เท่านั้นล่ะทุกสิ่งกระจ่างแก่ใจไปหมด ว่าการเจริญ มรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร และการปฏิบัตินี้มีผลอย่างไร

    -มีสติอยู่ในทุกขณะจิต
    -มีมรณานุสติทุกขณะจิต
    -มีญาณเครื่องรู้ในยถากรรม
    -เมื่อจิตสบายผ่องใสก็ พึงประคองอารมณ์ใจนี้ได้ เพราะรู้ว่าหากตายไปในขณะจิตนี้ก็ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป
    -เมื่อจิตมีอกุศลกรรมแว่บเข้ามา ก็ย่อมเร่งเพิกทิ้งออกไปจากจิตใจทันทีก่อนมีการปรุงแต่งต่อไป เนื่องจากความกลัวในผลแห่งกรรมแห่งจิตใจของเราที่เศร้าหมองจะพาเราไปสู่อบายภูมิ
    -ส่วนท่านที่ตั้งจิตไปนิพพานชาตินี้ก็พึงควบอารมณ์พระนิพพานไปด้วย วางกำลังใจว่าทุกลมหายใจเข้าออก และในขณะจิตนี้หากเราตายไปเราตั้งจิตเอาไว้ที่พระนิพพานเป็นที่สุด

    เป็นการปฏิบัติที่ตัดลัดสั้นตรงต่อพระนิพพานที่สุด ในทุกขณะจิต ระลึกได้เมื่อไร ถามจิตเราเองว่าในขณะจิตนี้ตายไปเราไปไหน

    เมื่อปฏิบัติบ่อยๆเข้าที่สุด ครั้นจะถึงเวลาตายจริงจิตของเราก็จะรวมเข้าสู่ภพที่เราตั้งจิตเอาไว้โดยอัตโนมัติเอง

    ขอให้ลองค่อยๆทำค่อยๆพิจารณาดูครับ มีสติเมื่อไรถามจิตเราว่า จิตตอนนี้ตายแล้วไปไหน ถามทั้งที่เวลาจิตดี และถามทั้งเวลาที่จิตเราเลวแล้วคำตอบที่ได้จะทำให้ท่านสะดุ้งตกใจและเกิดหิริโอตปะไม่กล้าทำบาปอกุศลไปในที่สุด และเมื่อเราหยุดอกุศลได้ตั้งแต่แค่ความคิด ไม่ปรุงแต่งต่อไม่ให้ออกมาทางกาย ทางวาจาได้ ความชั่วหรือบาปก็จะลดลงไปอย่างมหาศาล เป็นธรรมดา

    ขอกราบโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกๆท่าน เพื่อความดีแห่งพระบวรพุทธศาสนาครับ สาธุ
     
  3. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หาใช่สำคัญ เท่ากับการมีสุขคติเป็นที่พึ่งในโลกหน้า


    ล้วนเป็นไปด้วยผลจากเสบียงบุญซึ่งเพียรออม ในธนาคารแห่งกรรมดีของท่านเอง
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="93%" border=0><TBODY><TR><TD>5.มหาภัย

    มวลบุตรหลาน เทียนวนเวียน วัฏสงสาร
    เข้าทางมาร ยึดมั่น สรรพตัณหา
    รีบบำเพ็ญ เพื่อหลุดพ้น ด้วยปัญญา
    ความเพียรพา ผองชน พ้นทุกข์


    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ คือ 5 มหาภัยของมนุษย์เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมเลี่ยงไม่พ้นจากภัยทั้งห้านี้ จึงขอแจกแจงเรื่องห้ามหาภัยดังต่อไปนี้

    ภัยแห่งความเกิด : มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เศรษฐีหรือยาจก ล้วนแต่ต้องประสบกับภัยแห่งความเกิดทั้งสิ้น

    ภัยแห่งความแก่: มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปากท้องเพื่อลาภยศสรรเสริญ ไม่ทันเท่าไรก็ผมหงอกขาวแล้ว นี่คือภัยแห่งความแก่

    ภัยแห่งความเจ็บ : ดอกไม้บานไม่ถึงร้อยวันฉันใด สุขภาพคนก็ดีไม่ถึงพันวันฉันนั้น อาจเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคาพยาธิหรือประสบอุบัติเหตุแขนขาหักพิการ หรือตรากตรำการงานจนสุขภาพกายทรุดโทรม หรือเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาหรือกินไม่เป็นเวลาจนเป็นโรคกระเพาะอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นภัยแห่งความเจ็บ

    ภัยแห่งความตาย : เมื่อใดสิ้นลมปราณ ก็ต้องทิ้งลูกทิ้งเมียจบสิ้นทุกอย่าง แม้นมีตึกรามบ้านช่องใหญ่โต ไร่นาสาโทที่ดินมากมาย มีทรัพย์สินเงินทองกองสูงเท่าภูเขาก็มิอาจพาไปต้องปล่อยให้ผู้อื่นถือครอง นี้คือภัยแห่งความตาย

    ภัยแห่งความทุกข์: ยามมีชีวิตยากจนขัดสน ไม่มีทางหากิน อดมื้อกินมื้อหรือทำความชั่ว ตายแล้วตกนรก ต้องรับโทษทัณฑ์มรมานต่างๆ พอครบกำหนดโทษไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจแทน ต้องถูกผู้คนแล่เนื้อเฉือนหนัง ต้มกินเป็นอาหาร นี้คือภัยแห่งทุกข์


    แต่โบราณกาลมา เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย ถ้ายามมีชีวิตตกอยู่ในความหลง ถูกอวิชชาครอบงำ ไม่รู้จักทำความดี ทำบุญให้ทานเพื่อแก้กรรม ล้วนมิอาจหนี้พ้นจากห้าภัยนี้

    ดังนั้นถ้าอยากหลุดพ้นจากห้าภัยนี้ จำต้องตั้งใจแน่วแน่ มุ่งแต่วิถีทางที่ดี คือหมั่นสร้างสมบุญบารมี โดยการทำบุญให้ทานและขัดเกลาจิต(ทำฌานสมาธิ) ภัยทั้งห้าดังกล่าว ก็จักเบาบางหรือหมดไปเช่น ถ้าหากชาตินี้ได้ทำบุญให้ทานไว้มาก ชาติต่อไปก็จักเกิดในตระกูลร่ำรวย ไม่ต้องเสวยทุกข์จากความยากจน นี่คือการพ้นภัยแห่งความเกิด

    และถ้าหากมีสติ ไม่หลงลืมตน รู้จักบำเพ็ญความดีขัดเกลาจิต ก็จักอายุยืน แม้อายุมากแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงหน้าตาอ่อนกว่าวัย รู้จักพอไม่ละโมบโลภมาก จิตใจผ่องใสไร้กังวล ก็จักอยู่อย่างผาสุกไม่รู้สึกว่าแก่ นี้คือการพ้นภัยแห่งความแก่

    และถ้าหากรู้จักถนอมรักษาสุขภาพร่างกาย ไม่ตรากตรำงานจนเกินไป หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ มีใจเมตตา ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จักไร้เวรกรรม เมื่อไร้เวรกรรม ก็จักไม่เจ็บป่วย ถ้าหมั่นทำกรรมดี ทำบุญให้ทาน โรคภัยก็จักลดน้อยลงหรือไม่มีเลย นี้คือการพ้นภัยแห่งความเจ็บ

    ถ้าหากมีการบำเพ็ญมรรคผล (ทำฌานสมาธิ) หมั่นทำกรรมดีสร้างกุศล ทำบุญให้ทานโดยไม่เปิดเผยชื่อ (บุญปกปิดที่เรียกว่าปิดทองหลังพระ) อันเป็นการหล่อเลี้ยงจิตพุทธะ (จิตเดิมแท้) ให้สว่างผ่องใสบริสุทธิ์ เมื่อใดที่กุศลผลบุญและมรรคผลครบสมบูรณ์ ก็จักลุเป็นเทพ พรหม โพธิสัตว์ แม้กายเนื้อแตกสลาย แต่กายทิพย์หรือจิตวิญญาณคงอยู่เป็นอมตะ นี้คือการพ้นภัยแห่งความตาย

    ถ้าหากใจคอกว้างใหญ่ดุจภูผา สามารถรองรับทุกสิ่งทุกอย่างมีขันติ สามารถอดกลั้นอดทนในสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถอดกลั้นอดทน รู้จักผ่อนปรนและการอภัย ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม ไม่ละโมบโลภมากรับทรัพย์สินอันมิชอบ อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน ก็สามารถหลีกเลี่ยงจากความกลัดกลุ้มทุกข์ใจได้ และถ้าได้บำเพ็ญสาธารณกุศลอีกด้วย ก็จักปิดประตูนรก ทางสวรรค์เปิดกว้าง ไม่ว่าขณะมีชีวิตหรือหลังจากตายแล้ว ก็จักพ้นภัยแห่งทุกข์

    ห้ามหาภัยดังที่ได้แสดงข้างต้น เป็นวิธีการบำเพ็ญธรรมอันเห็นผลแน่นอน ถ้าชาวโลกสามารถเข้าใจถ่องแท้แล้วปฏิบัติจริงจังแม้ว่ามนุษย์จะต้องเจอกับห้ามหาภัย แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยการบำเพ็ญทางจิต(ทำฌานสมาธิ) และทางนอกจิต (ทำบุญให้ทาน) ขอให้ลูกๆ ทั้งหลายจงรีบบำเพ็ญเถิด



    พระมารดา
    วันที่ 3 พฤษภาคม 2522 เวลา 20.00
    *************************


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=243 border=0><TBODY><TR><TD width=243>อีกเพราะเหตุ คนก่อกรรม คร่ำอาฆาต
    ถึงโอกาส งบบัญชี หกหมื่นปีแล้ว
    หยกกับหิน ชั่วกับดี ถึงแบ่งแนว
    แม่เห็นแล้ว เลือดน้ำตา พาพรั่งพรู ชำระหนี้ ทั้งสามโลก เปลี่ยแกนกลาง
    แม้กายร่าง จะแกร่งเป็น เช่นเหล็กไหล
    ไม่พ้นไฟ ประลัยกัลป์ รอดไปได้
    กำหนดภัย แม่สั่งความ น้ำตานอง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2007
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้มีผู้สอบถามผมมากันมาก ในเรื่องราวเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิก็ดี ความเป็นมาในอดีตชาติของพุทธภูมิก็ดี เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อ หลายๆท่าน ผมขออนุญาตนำลงในกระทู้นี้เป็นเรื่องราวต่อในภาคการปฏิบัติของพุทธภูมิครับ (ซึ่งที่จริง จะมีรายละเอียดปลีกย่อย และความเป็นจำเพาะเจาะจงในการปฏิบัติค่อนข้างสูง ทางหรือแนวทางการบำเพ็ญก็มีแนวทางของตนเองมาก ขออนุญาตเล่าให้ฟังและพิจารณาโดยวิจารณะญาณโดยเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้งด้วยครับ)
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การสร้างบารมีของพุทธภูมินั้น ประกอบไปด้วย บารมี 30 ทัศน์ ดังที่ทุกท่านได้ทราบกันดีอยู่แล้ว และคำว่า"บารมี" แปลว่า "กำลังใจในการสร้างความดี" หากสาวกภูมิก็จะเป็นการใช้กำลังใจมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น ส่วนพุทธภูมิก็จะมุ่งเน้นการใช้กำลังใจเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม หรือของผู้คนหมู่มาก โดยมีทั้งในระดับที่เน้นสุขในปัจจุบันชาติ ในมนุษย์สมบัติ ในสวรรค์สมบัติ ในพรหมสมบัติ จนถึงในขั้นปรมัตถ์คือเกื้อประโยชน์ต่อส่วนรวมใน "นิพพานสมบัติ"

    พุทธภูมิผู้เป็นปรมัตถะบารมี มักมุ่งเน้นประโยชน์สุขแห่งส่วนรวมในนิพพานสมบัติ แต่ในขณะเดียวกันก็ ไม่ละเลย ในการอำนวยประโยชน์สุขในเบื้องต้นต่อคนทั้งปวง เพราะพละอันประกอบไปด้วย ปัญญาแลศรัทธาแห่งสัตว์ทั้งหลายมีไม่เสมอกัน บุคคลใดโปรดได้ในขั้นไหนก็พึงโปรดในขั้นนั้น บางท่านเราโปรดไม่ได้ก็พึงวางอุเบกขา พุทธภูมิผู้เป็นปรมัตถะบารมีมักเน้นการสงเคราะห์ในนิพพานสมบัติเป็นส่วนมาก และเมื่อเป็นกำลังใจเป็นปรมัตถ์เสียแล้ว ก็จะสร้างบารมีเพื่อการสงเคราะห์อย่างแท้จริงไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ที่จะมาคิดว่า ว่าตอนนี้เราบำเพ็ญบารมีมากน้อยเพียงใด มากแค่ไหน เต็มหรือยังเป็นไม่มี อุปมาดั่งมหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์นับไม่ถ้วน จนไม่มีเวลามานั่งนับว่าฉันมีทรัพย์เท่าไร แต่ในขั้นปรมัตถ์ จะมาสร้างบารมีก็เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ผลของผู้รับการโปรดการสงเคราะห์เป็นที่ตั้ง ใจมีแต่ความปรารถดีที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าถึง ความดี ความสุข ในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด รวมทั้งยินดีและโมทนาในควมดีของผู้อื่นอยู่เสมอ ที่จะมาคิดว่าเราทำอย่างนี้เพราะหวังจะให้เขามาเป็นสาวกเราในอนาคตกาลยามเราอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นไม่มี เป็นการช่วยโดยไม่หวังผล ไม่หวังแม้จะให้เขามาเป็นสาวกเรา ไม่หวังแม้ว่าเราจะได้บุญมากๆเยอะๆ แต่เราจะตั้งกำลังใจไว้ว่า "ทำอย่างไรบุคคลอื่นจึงจะได้เข้าถึงซึ่งความดี ทำบุญอย่างไรจึงจะทำให้ญาติธรรมได้อานิสงค์มากๆ ได้อานิสงค์สูงที่สุด เพื่อที่บุคคลทั้งหลายจะได้บารมีเต็มเร็วๆ"

    "อย่าลืมว่าหน้าที่แห่งการอุบัติแห่งพระโพธิสัตว์ก็เพื่อการรื้อขนหมู่สรรพสัตว์ข้ามห้วงวัฏฏสงสารเข้าสู่พระนิพพานให้มากที่สุด"

    ขอกราบมหาโมทนาในทุกดวงจิตแห่งโพธิจิตที่ตื่นขึ้นสู่การบำเพ็ญบารมีเพื่อส่วนรวมทุกๆดวงจิตด้วยเทอญ
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หากจะมองกันถึงอภิญญาและปาฏิหาริย์ต่างๆทั้งหลายทั้งปวงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านได้ ตรัสเอาไว้ว่าอภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่ง

    จำแนกออกได้เป็น
    - ทางวิทยาศาสตร์ การใช้ความรู้สร้างเครื่องจักรให้บินได้ อย่างเครื่องบินก็ดี ก็นับเป็นอภิญญา

    -ทางจิตสมาธิ การใช้อภิญญาจิต แสดงฤทธิ์ และอิทธิวิธี ตลอดจนกีฬาสมาบัติต่างๆก็นับว่าเป็นอภิญญา

    -ทางอภิญญาวิมุติ การใช้อภิญญาจิตในการตัดกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหารนั้น พระพุทธองค์ตลอดจนปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งปวงล้วนสรรเสริญ ว่ายังประโยชน์ต่อตนเองและต่อส่วนรวม

    อภิญญาอื่นๆ หากแม้นจะดูวิเศษเพียงใดแต่ก็ยัง มีทุคติอยู่ ไม่อาจพาตนและผู้อื่นพ้นจากสงสารวัฏฏ์ไปได้ ความรู้เหล่านี้ยังมีโทษแฝงอยู่ มีผลที่ติดตามมา ในทางเสื่อม เป็นผู้วิเศษที่ยังไม่พ้นนรก หากมี มิจฉาทิษฐิด้วยซ้ำกลับยิ่งเป็นโทษนับเท่าทวีคูณ

    ดังนั้นอภิญญาทางพระพุทธศาสนาจึงอยู่ภายใต้กรอบแห่งศีล แห่งอริยะจิต อริยะภูมิ และพุทธธานุญาติขององค์พระศาสดา ที่ผู้ใดสมควรได้ สมควรแสดง ผู้ใด ได้แล้วจะเป็นโทษ ดังนั้นหากจิตใจเราถึงพร้อมด้วยสัมมาทิษฐิ มีศีลบริบูรณ์ มีจิตที่ปรารถนาดีต่อส่วนรวมอย่างบริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปอยากก็ ได้ของมันเอง ไม่แสวงหาก็กลับได้มา ขอเพียงวางกำลังใจให้ถูกต้อง มั่นคง เสียสละ

    อดีตชาตินั้น เราจะยิ่งใหญ่เพียงไร ล้วนประดุจมายาในพยับหมอกจับต้องอะไรไม่ได้ บางเบาดั่งความฝัน ที่เลือนหายจากสัญญาไปในที่สุด ขอจงรู้เพื่อละ รู้เพื่อเรียน รู้เพื่อเลิก เมื่อเราบำเพ็ญบารมีถึงระดับหรือถึงวาระ แล้วเราจะเข้าใจเอง บางสิ่งเป็นเรื่องที่พุทธภูมิแต่ละท่านต้องผ่านต้องประสพกับตนเอง จึงจะเกิดการเรียนรู้ หลายสิ่งถึงจะบอกข้อสอบล่วงหน้าไป ก็ไร้ประโยชน์ เพราะพุทธภูมินั้นต้องเรียน ต้องรู้ได้เฉพาะตน

    สิ่งสำคัญอยู่ที่หลัก หรือแก่นที่มั่นคง ในจิตใจของแต่ละท่านนั่นเอง
    ขอเพียงหาให้พบ
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    มาอ่านกระทู้นี้แล้วอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก..กระเทาะสติปัญญาได้ดีเยี่ยม
    เอาอีกครับคุณคณานันท์ +++
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** แก่นสาร ****

    แก่นสารของ ศาสนาพุทธ...คือ "สัจจะ"
    แก่นสารของ ศาสนศาสตร์....ก็คือ "สัจจะ" ...เช่นกัน
    เพราะ.... "หลักสัจจะธรรม" ...คือ หลักเดียวสิ่งสูงสุด ที่ปักไว้มั่นคง
    ครอบคลุมไปรอบคอบจักรวาล

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ยังมีปาฏิหาริย์หนึ่งที่พึงบังเกิดขึ้นในยุคสมัยแห่งกลียุค และสรรพภัยต่างๆที่ทะยอยดาหน้ามาอย่างไม่สิ้นสุด

    ปาฏิหาริย์ที่ว่านี้ ก็คือ "เมื่อบรรดาเหล่าพุทธภูมิทั้งหลายอันเป็นพุทธบุตรแห่งสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟื้นตื่นขึ้น จากสัญญาแห่งการเกิด การจุติที่บดบังบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทำให้ลืมเลือนพันธสัญญาที่ได้อธิฐานก่อนการจุติลงมาสร้างบารมีในชาตินี้ก็ดี ทำให้มัวแต่ดำเนินชีวิตเพลินไปในทางโลกบ้าง ปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสแห่งโลกบ้าง ก็เป็นธรรมดาที่เป็นไปตามกรรมที่ส่งผลของแต่ละท่านแต่ละบุคคล

    ครั้น กาลเวลา วาระ ได้มาถึง กรรมดีบารมีในอดีตชาติที่ได้บำเพ็ญเอาไว้ดีแล้วก็กลับมากระตุ้นเตือนให้เราตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลในสัญญา รู้ระลึกได้ในภาระกิจที่ตนจะต้องทำในชาติปัจจุบันนี้ บางท่านก็รู้ตื่นแบบฉับพลันบ้าง บางท่านก็ค่อยๆระลึกรู้ตื่นขึ้นอย่างดอกบัวที่ค่อยๆแย้มกลีบออกรับแสงแห่งอรุณธรรม

    ปาฏิหาริย์ชั้นที่หนึ่งนั้นก็คือ การ ที่เหล่าพุทธภูมิทั้งหลายซึ่งได้อธิฐานลงมาเกิดเพื่อช่วยยอยกพระบวรพุทธศาสนาขององค์พระสมณะโคดมให้ดำรงอยู่เป็นเนื้อนาบุญตราบ ห้าพันวัสสากาล นั้น ได้ตื่นขึ้นสู่ความระลึกรู้ถึงหน้าที่พันธกิจของแต่ละท่านเองที่มีต่อส่วนรวม

    ปาฏิหาริย์ขั้นที่สอง ก็คือ การที่พุทธภูมิทั้งหลาย ได้ยกจิต ยกภูมิธรรมของท่านขึ้นสู่ ความเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี พระมหาโพธิสัตว์ก็ดี พระอริยะโพธิสัตว์ก็ดี ยิ่งภูมิจิตยิ่งสูง กำลังใจหรือบารมีก็ยิ่งสูง ยิ่งกำลังใจในการสร้างบารมียิ่งสูง ก็ย่อมยังประโยชน์ต่อหมู่สรรพสัตว์และส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้นเป็นทับเท่าทวีคูณตามไปด้วย

    เพราะการสร้างบารมีแห่งองค์พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายนับเนื่องมาแต่อดีต ปัจจุบันและสืบต่อไปในอนาคตนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายและเพื่อส่วนรวม หาด้วยเนื่องเพื่อประโยชน์ของตนก็หามิได้

    เมื่อเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้บำเพ็ญบารมีกันอย่างเต็มกำลังของแต่ละท่าน แต่ละพระองค์ จะปรากฏ บุญ กุศล ความดีมากมายสักเพียงไหน

    ปาฏิหาริย์ขั้นที่ สาม ก็คือเมื่อมวลพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ได้อธิฐานรวมกำลังใจเป็นหนึ่งเดียวในการบำเพ็ญบารมีร่วมกัน เพื่อยังประโยชน์ต่อ หมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่อพระบวรพุทธศาสนา ต่อสถาบันธรรมมิกกษัตริย์

    เมื่อนั้นก็จะปรากฏ การณ์แห่งปาฏิหาริย์ที่จะช่วยนำพา เหล่ากัลยาณชนคนมีศีลมีธรรมทั้งปวงให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายไปได้

    และร่วมใจกันก่อร่างสร้างเมืองฟื้นฟูแผ่นดินไทยให้ที่เป็นที่จารึกพระพุทธศาสนาสืบต่อไป

    ขอกราบโมทนาบุญกับทุกดวงจิตที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยเทอญ
     
  11. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    คาถาเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์

    มาช่วยกันสวดคาถาเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์คะ ให้ได้มาช่วยกัน


    หลวงพ่อชุมพล พลปฺโ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘

    ตั้งเครื่องสักการะขึ้นมา (คำว่าเครื่องสักการะนั้นอาจเป็นธูปเทียนหรือดอกไม้หรือพวงมาลัยหรือน้ำหนึ่งแก้วก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรเลยให้เอาดวงจิตที่อ่อนน้อมเป็นเครื่องสักการะ ขอเพียงให้ทำด้วยความเคารพ เอาใจเป็นใหญ่) จากนั้นอธิษฐานดังนี้

    เครื่องสักการะนี้ ข้าพเจ้าขอประดิษฐาน เพื่อถวายเป็นเกียรติแก่ พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์และบริวาร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และบริวาร พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และบริวาร (อาจเพิ่มพระโพธิสัตว์ที่เราเคารพเป็นพิเศษไปอีกได้ตามสะดวกและตามศรัทธา เช่นหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้และบริวาร หลวงพ่อปานวัดบางนมโคและบริวาร ครูบาศรีวิชัยและบริวารเป็นต้น ก็ได้)

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาในอดีตชาติก็ดีปัจจุบันชาติก็ดี ที่จะให้ผลแก่ข้าพเจ้าเพียงไร ข้าพเจ้าขออุทิศกุศลนั้น ให้แก่พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง จงทุกประการเทอญ

    อนึ่งบุญใดที่พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง ได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ขอให้ข้าพเจ้า จงมีส่วนแห่งบุญนั้น จงทุกประการเทอญ

    สิ่งใดข้าพเจ้า ได้เคยล่วงเกินท่านทั้งหลาย ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้าขอขมา ขอท่านจงโปรดเมตตา ยกโทษอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    สิ่งใดที่ท่านได้เคยล่วงเกินข้าพเจ้า มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ข้าพเจ้าขอปวารณาให้เป็นอโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น

    ข้าพเจ้าขออุทิศกุศล ไปกับกระแสเมตตาจิต ของพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล จงมีส่วนแห่งกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาจงทุกประการเทอญ

    ข้าพเจ้าขอพรว่า เมื่อใดที่ข้าพเจ้า อุทิศกุศล แผ่เมตตา และอธิษฐานจิต ขอให้ศักดิสิทธิ์มีฤิทธิ์ คล้ายประหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาบันดาลให้เป็นไปด้วยเทอญ

    (การเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวงหมายถึงเราได้ทำการผูกมิตรกับท่านผู้ที่อยู่ในสายการสร้างบารมีทั้งหมดทั้งสิ้นเลย ฉะนั้นคาถาเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์นี้ถ้าใครใช้ทุกวันจะทำให้ผู้นั้นมีจิตพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป เวลาอธิษฐานอะไร ถ้าไม่ผิดทำนองคลองธรรม จะสัมฤทธิ์ผลง่ายกว่าคนทั้งหลาย เวลาประกอบกิจการอันเป็นกุศลที่อยู่ในขอบข่ายการสร้างบารมีก็จะสำเร็จง่าย เพราะพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวงจะมาช่วย)

    พระชุมพล พลปฺโ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๙
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากการรวมบารมีกันให้เป็นหนึ่งนั้น ก็เพื่อ

    -ให้ทุกๆท่านช่วยกันรวมบารมีของทุกท่านเป็นหนึ่งเดียว มาช่วยกันเป็นบาทฐานค้ำจุนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง แผ่พระราชบารมีคุ้มเกล้าชาวไทยทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข

    -อธิฐานขอให้บารมีที่รวมกันนั้นมาช่วยปกปักรักษาคุ้มครองเป็นเกราะแก้วพิทักษ์พระพุทธศาสนาให้มีความบริสุทธิ์ ยังประโยชน์ต่อหมู่สรรพสัตว์ทั้งปวง

    -ให้จิตที่รวมกันเป็นหนึ่งนี้ ช่วยเชื่อมใจคนไทยทั้งปวงผู้เป็นชาวธรรมให้กลมเกลียวอยู่กันด้วยความรักความมีสามัคคีธรรม เพราะยามใดที่คนไทยแตกความสามัคคี ก็จะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองกันทุกที

    ขอให้รวมใจกันเป็นหนึ่งเพื่องานของส่วนรวมของพระศาสนาและของประเทศชาติเป็นสำคัญ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระมหาโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นธรรมมิกราชา ท่านได้ทรงบำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่าง ให้พุทธภูมิทั้งหลายได้บำเพ็ญบารมีตามรอยเบื้องพระยุคลบาทไว้แล้วในทุกๆด้าน

    แรงผลักดันจากภายในจิตใจที่ดีงามทุกๆดวง จะช่วยนำพาให้ทุกๆท่านได้ตระหนักรู้ถึงหน้าที่ที่ตนเองได้ตั้งใจเอาไว้เอง
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    การทำสมาธิ ทำเพื่อให้จิตสงบ หลีกเร้นจากความฟุ้งซ่าน และเป็นการเตรียมพลัง เหมือนเราชาร์ตแบตตอรี่ในเวลากลางคืนแล้ว พอตอนเช้าก็เอาไปใส่โทรศัพท์มือถือ ทำให้ใช้งานได้ไปตลอดวัน

    การทำสมาธิ ไม่ได้นั่งเพื่อจะเห็นอะไร ไม่ได้นั่งเพื่อถอดจิตไปไหน แต่นั่งเพื่อให้ใจสงบ ให้สติกินข้าว สติจะได้มีแรง

    หลวงพ่อชาบอกว่า “ นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง จะเย็นไปได้ 3 วัน “ เพราะฉะนั้น ถ้าเรานั่งทุกวันติดต่อกัน ก็จะเย็นไปเป็นปี ถ้าใครนั่งไม่ได้ ก็นั่ง 10 นาที จะเย็นไปได้ 1 วัน

    ตอนนั่งสมาธิ เราจะรู้สึกว่ามีเรื่องหลายเรื่องมากกว่าตอนไม่ได้นั่ง เรื่องอะไรไม่รู้เข้ามาตีกันเต็มในหัว แต่แม้กระนั้นก็ให้ลองสังเกตดูว่า ในท่ามกลางความยุ่งเหยิงในสมองเป็นเวลา 10 นาทีนั้น ถ้าทำทุกวัน ยังจะปรากฏความเย็นได้ 1 วัน นอกเวลานั่งสมาธิได้ คือ มันยังให้ผลอยู่ได้เหมือนกัน ก็แปลกดี แต่จริง

    ทำสมาธิโดยการนั่งสมาธิ

    การนั่งสมาธิ มี 2 จุดประสงค์

    1. นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ได้พักจิตใจ นั่งโดยการดูลมหายใจ ตั้งจิตอยู่ที่รูจมูก สังเกตลมที่กระทบตอนเข้าและออก บางคนบริกรรมด้วย เมื่อจิตสงบ บางทีคำบริกรรมจะหายไป ก็ให้หายไป บางทีสงบจนลมหายใจละเอียดแผ่วเบา เหมือนไม่ได้หายใจ

    การนั่งให้จิตสงบอย่างนี้ เรียกสมถะ ภาวนา

    2. วิปัสสนา เป็นการดูจิตเพื่อเจริญปัญญา จิตจะเจริญของเขาเอง แล้วแต่เขาจะหยิบยกธรรมใดขึ้นมาพิจารณา โดยก่อนหน้านั้นผู้ปฏิบัติเพียงแต่เจริญสติสัมปชัญญะเท่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงวิธีปฏิบัติที่ละเอียดมาก จึงจะถึงขั้นนี้ได้ หลักการดูจิตขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ศึกษาจากหนังสือของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลักของท่านว่า “ อย่าส่งจิตออกนอก “

    มักมีผู้เล่าให้ฟังว่า คนนั้นนั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรต่ออะไร บางทีก็เล่าด้วยความชื่นชม บางคนเลยไปถึงว่าบรรลุแล้ว ความจริงการได้เห็นไม่ใช่จุดประสงค์ของสมถะภาวนา เพราะสมถะภาวนาต้องการความสงบ และไม่ใช่จุดประสงค์ของวิปัสสนา เพราะวิปัสสนาต้องการรู้ไตรลักษณ์ เพื่อให้จิตหลุดพ้น แต่การเห็นอะไร ๆ นั้น เป็นเพียงสิ่งที่ได้มาตามทาง





    เหมือนกับเราจะเรียนทำกับข้าว กว่าจะไปถึงเคล็ดลับการปรุงอันเป็นสูตรสุดยอด ก็ต้องผ่านการเป็นลูกมือ รู้ว่าหั่นหัวหอมยังไงไม่ให้น้ำตาไหล คั้นกะทิเป็น คือได้ความรู้ตามเส้นทางที่ผ่านติดตัวมาบ้าง การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน

    สิ่งที่จะได้ติดไม้ติดมือไปก่อนจะถึงจิตขั้นสูงก็มี เช่น รู้วาระจิตของคนอื่นได้ เป็นต้น แต่การเห็นอะไรที่ตื่นเต้นกันนั้น กลับเป็นตัวหลอกให้หยุดการเดินทาง ให้มัวเพลินอยู่กับมัน เหมือนกับจะไปดอนเมืองขึ้นเครื่องบิน พอผ่านแดนเนรมิตก็แวะดูปราสาทเจ้าหญิงนิทราเพลิน เลยเลิกเดินทางไปดอนเมืองเสียแล้ว เป็นตัว หลอกให้หลงเอาไว้เพื่อไม่ให้เราไปต่อ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สอนว่า

    เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง “ ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง “

    ฉะนั้น ใครที่อยากเห็นอะไร หรือเห็นแล้วดีใจเข้าไปเห็นอยู่เรื่อย ก็ควรรู้ว่ามันไม่ประโยชน์แก่ตัวเรา เพราะการเห็นนั้น ไม่ได้พาตัวเราพ้นทุกข์ไปไหนเลย



    ขอสรุปช่วงนี้ ด้วยคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ดังนี้

    เวลาภาวนา อย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำรา อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก ๆ เข้าเวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไร ๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

    ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละดี คือ จิตมันสงบ

    ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า พุทโธนั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง……..เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย “





    คัดลอกมาจากเวบธรรมจักรครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ คือ คำสอนของโลกุตตระ ****

    ไม่ต้องมีชาญ มียานใดๆ...ขอให้เชื่อและ "ปฏิบัติสัจจะ"....ก็รอดพ้นภัยแล้ว
    เพราะ... "สัจจะ" คือการปฏิบัติตน ที่เป็นไปตามหลักสัจจะธรรม
    ทรงตรงของการหลุดพ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานนี้และขอถามปัญหา

    ขอบคุณมากครับคุณ Kananun.
    ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทพยดาทั้งหลาย รวมถึงพระยายมราช ได้โปรดบันดาลบุญทั้งหมดที่ผมเคยได้ทำวิปัสนาญาณไว้ดีแล้วในทุกชาติจนถึงปัจจุบัน ให้สำเร็จแด่คุณ kananun เพื่อเข้าสู่นิพพานในชาตินี้เทอญ
    ธรรมทานของคุณ kananun ช่วยคลายความกังวลให้ผมได้มากจริงๆ เพราะช่วงนี้ผมกังวลเรื่องการทำสมาธิที่ทำได้ไม่ถึงขั้นฌาน4 มากมาย ผมจิตตกไปเลยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ผมได้ลองฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครั้งแรกด้วยตัวเองที่บ้าน โดยมีเครื่องบูชาครบ ยกเว้นไม่มีผ้ายันตร์ นะโมพุทธายะ แต่ผมแก้ไขโดยใช้การอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทั้งห้าสงเคราะห์ผ้ายันตร์ให้ช่วงฝึก แต่พอฝึกไปยังไงก็ไม่สำเร็จผมท้อมากครับ
    ผมเลยมีคำถามอยากให้คุณ kananun ช่วยชี้แนะ
    1. ผมใช้แค่การภาวนา นะมะพะธะ ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้รู้ลมหายใจเข้าออกควบไปด้วย เพราะผมเคยอ่านเจอว่าไม่ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกกรณีฝึกเต็มกำลังก็ได้ ผมเข้าใจผิดไปไหมครับเลยทำให้สมาธิมีกำลังไม่ถึงฌาน4
    2. การไม่ได้มีผ้ายันตร์จริงๆมาคาดที่หน้าผากมีผลต่อการไปไม่ได้ของผมไหมครับ
    3. ตอนภาวนาผมหลับตาและพยายามจ้องว่าเมื่อไหร่จะมีแสงมาจะได้พุ่งจิตไป จริงๆแล้วผมควรจะสนใจแต่ลมหายใจเข้าออกและภาวนาไปเรื่อยๆตามที่คุณ K. แนะนำ แล้วถึงเวลาแสงจะมา มันก็มาเองหรือเปล่าครับ เราไม่ควรหลับตาจ้องรอคอยแสงใช่ไหมครับ
    4. จำเป็นไหมครับที่ผู้ฝึกเต็มกำลังครั้งแรกต้องไปฝึกกับครูฝึกที่วัดหรือสถานที่อื่น ถ้าฝึกเองแต่มีอุปกรณ์ครบ(ของบูชา+ผ้ายันตร์)จะมีทางทำได้เองไหมครับ
    5. การจะพุ่งจิตออกไปได้แบบการฝึกเต็มกำลัง ถ้าไม่ได้ถึงฌาน4 ก็จะไม่มีทางไปได้เหรอครับ
    ท้ายที่สุด ผมจะนำคำแนะนำในการฝึกฌานของคุณ k. ไปปฏิบัติ ถ้ายังไงคุณ k ช่วยสงเคราะห์แนะนำผมทาง emai: sawetchai@gmail.com นะครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบ คุณเด็กอนุบาล ครับ

    1. จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจับลมหายใจไปด้วยพร้อมๆกับการภาวนาครับ หายใจเข้า ภาวนา "นะ มะ" หายใจออก ภาวนา "พะ ธะ" ครับ เพื่อให้เกิดกำลังของสมาธิ

    2.อยู่ที่จิตของเราครับ หากมีศรัทธาเต็มก็ใช้ได้

    3.ไม่ควร พะวง สงสัย หรืออยาก จนเกินไปครับ เป็นตัวนิวรณ์ล้วนๆครับ จริงๆการตั้งท่าเกินไปมักไม่ค่อยได้ผลครับเพราะอารมณ์ใจจะหนักไปบ้าง อยากเกินไปบ้าง เกร็งเกินไปบ้าง สงสัยมากไปบ้าง(เมื่อไรแสงจะมา แสงจะมาอย่างไร แสงจะมาทางไหน ) จริงหรือเปล่าครับ

    4. คำตอบที่แท้จริง คือไม่จำเป็นหากวาระของท่านผู้นั้นมาถึง ก็ได้เอง บางทีได้แล้วไม่รู้ตัวก็มี ส่วนรู้มากเกินไปก็ไม่ค่อยจะได้อีก แต่คำแนะนำคือหากครั้งแรกควรไปฝึกที่วัดครับ จะได้มีพลังที่พระสงเคราะห์เป็นพิเศษ อีกอย่างหนึ่งที่บ้านอาจจะตกใจได้

    5. หากไปอย่างเต็มกำลังไม่ได้ก็ไปแบบครึ่งกำลังก่อนครับ พอถึงข้างบนได้แล้วค่อยๆ ชำระล้างจิตด้วยวิปัสนาญาณให้จิตสะอาดจากนั้นค่อยอธิฐานเป็นเต็มกำลังข้างบนก็ได้ครับ ส่วนใหญ่เขาลัดกันแบบนี้ครับ

    เข้าใจว่าคุณเด็กอนุบาลต้องการที่จะฝึกการถอดกายทิพย์ แบบชักหญ้าปล้องออกด้วยกำลังของฌานสี่ละเอียด ซึ่งควรฝึกการจับลมหายใจให้ได้ลมละเอียดลมสะบายให้ได้เป็นปรกติเสียก่อน เอาเป็นว่า ไม่ต้องมาตั้งท่าก็เป็นลมละเอียดแล้ว ทำอิริยาบทใดก็เป็นลมละเอียด พูดคุยก็เป็นลมละเอียด หากจับลมได้แต่ก็ยังเป็นลมหยาบอยู่ก็ได้ตัวสติแต่กำลังฌานยังต่ำอยู่ พอใช้งานได้บ้าง แต่กำลังอาจจะยังไม่พอในระดับอภิญญา

    ดังนั้นจับลมสะบายให้ได้เป็นปกติเสียก่อน (จิตสบาย)

    พร้อมๆกับทรงพุทธนิมิตให้ใสสะอาดเข้าไว้ (จิตสว่าง)

    มีศีล มองเห็นวิปัสนาญาณ เห็นความเป็นธรรมดาในทุกๆสิ่ง (จิตสะอาด)

    มีพรหมวิหารสี่ ไล่ไปจนถึงอุเบกขา ความวางเฉยในทุกสิ่ง (จิตสงบ)

    ปูพื้นฐานให้แน่นหนามั่นคงครับ เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติและที่สำคัญอย่าได้ลืมมีสัมมาทิษฐิกำกับเอาไว้ตลอดเวลานะครับ เป็นเครื่องยึดมั่นแนวทางของเราให้ตรง ไม่หลงทางไปไหน


    ขอให้คุณ "เด็กอนุบาล" ก้าวหน้าเจริญในธรรมเป็นกำลังของพระบวรพุทธศาสนาสืบต่อไปครับ ขอโมทนาในการปฏิบัติด้วยเป็นอย่างสูง
     
  17. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอโมทนาในธรรมทาน

    ตอนนี้แจ้งให้คุณ kananun ทราบว่าผมกำลังฝึกขั้นตอน ไล่ลมหยาบ และตามรู้ลมละเอียดครับ ฝึกทั้งวันเลยครับคุณครู :)
    แต่ก็ยังมีปัญหามาขอคุณ kananun ช่วยสงเคราะห์ ธรรมทาน ตามประสาเด็กอนุบาลที่เพิ่งหัดเรียนคร้าบ
    1. พอจะให้เทคนิคการทำความรู้สึกเวลาตามลมละเอียดได้ไหมครับ ตอนนี้ผมทำตามที่แนะนำคือไม่ใช้คำภาวนาควบตามดูลมอย่างเดียว แต่มีปัญหาในการตั้งความรู้สึกในการตามดูลมตลอดสายดังนี้ครับ
    -ช่วงหายใจเข้าออก ผมแทบไม่รู้สึกช่วงลมผ่านอกเลย ยากมากเลย ทำไงดีครับ
    -ผมนึกเป็นลำแสงสีขาว พุ่งเข้าจมูกผ่านอก ลงท้อง แล้วขาออก แสงพ่งจากท้อง ผ่านอก ผ่านจมูกออก อย่างนี้ถูกต้องไหมครับ แต่ทำอย่างนี้ก็ยังรู้สึกไม่ชัดเจนในตำแหน่งลมกระทบผ่านอกอยู่ดี รู้ลมแบบนี้เป็น 3 ฐานหรือรู้ตลอดสายครับ
    -ผมจะรู้สึกชัดขึ้นเวลารู้สึกว่าลมกระทบจมูก อกด้านนอกพองออก ท้องด้านนอกพองออก และในทางกลับกัน รู้สึกชัดเวลานึกว่า ท้องด้านนอกแฟบลง อกแฟบลง ลมหายใจผ่านออกจมูก ทำรู้สึกได้แบบนี้เป็นทางเลือกที่ถูกต้องไหมครับ จะทำได้ถึงฌาน4 ไหมครับ

    วันนี้ขอถามเพียงแค่นี้ อยากจะบอกว่าลูกศิษย์คนนี้ตั้งใจเรียนแบบปริญญาโทตามที่อาจารย์แนะนำ ฝึกเต็มที่ แล้วจะเล่าความคืบหน้าให้ฟังเรื่อยๆครับ ผมนับถือแนวทางการสอนของสายท่านหลวงพ่อฤาษีมาก และพยายามให้ธรรมทานกับคุณพ่อคุณแม่โดยการเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อ ให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเกือบทุกเช้า เพื่อให้ท่านหันเข้าหาธรรมะมากขึ้นครับ เวลาเปิดก็เปิดจาก website: Luangpor.com ครับ
    เคยเล่าให้หลวงพี่เล็กท่านฟังท่านว่าทำแบบนี้เป็นกุศลมากครับ จึงขอแชร์ให้เพื่อนๆคนอื่นได้รับทราบ :)
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาลครับ

    เท่าที่ได้ฟังมา เป็นการจับลมหายใจจากกายแต่ดูจากอาการของกายภายนอก แต่ที่จริงควร "รู้สึก" ได้ถึงลมที่ไหลผ่านอยู่ภายในร่างกายครับ

    เคล็ดลับในการจับอาการของลมหายใจให้ได้ตลอดสายนั้น เบื้องต้นให้เริ่มจากการจินตนาการให้เห็นภาพ เป็นลักษณะของ สิ่งที่หยาบก่อนจะได้ง่ายในการจับอาการ

    ส่วนใหญ่ที่ผมใช้ในการเริ่มต้นแนะนำการกำหนดรู้ลมตลอดสายนั้น ผมมักจะให้จินตนาการว่าลมหายใจนั้น เป็นประดุจเเพรวไหม เส้นไหม ที่ละเอียดอ่อน ค่อยๆพริ้วเข้าสู่จมูกของเราผ่าน คอ อก ลงไปถึงท้องน้อย จากนั้นแพรวไหมนี้ก็พริ้วออกไปโดยเคลือนผ่านท้องน้อย อก ลำคอ กระทบปลายจมูก ไหลผ่านออกนอกกายของเรา

    ทำความรู้สึกถึงแพรวไหมนี้ตลอดสาย ตลอดลม ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด จนใจเราชินกับสายลมหายใจ ปล่อยให้กายหายใจไปของมันเอง เราเป็นผู้ดู ผู้ติดตามลม ลมจะสั้นก็ปล่อยมัน ลมจะยาวก็ปล่อยมัน

    เมื่อทำจนคล่องแล้วจึง ค่อยขยับไปกำหนดให้ลมหายใจเป็นกระแสแก้วใส จากพระนิพพาน กำหนดในใจเราว่าเราจะรำลึกถึงพระนิพพานทุกลมหายใจ และควบมรณานุสติกรรมฐานต่อไปว่า หากเราตายลงในขณะจิตนี้ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น

    ทำสมถะ เชื่อมกับวิปัสสนาให้เป็นเนื้อเดียวกัน

    ยิ่งวิปัสสนาญาณละเอียด สมาธิ (สมถะ)ยิ่งตั้งมั่น

    ยิ่งสมาธิยิ่งตั้งมั่น ยิ่งมีกำลังในการตัดกิเลสด้วยวิปัสนาญาณ

    ต่างฝ่าย ต่างเกื้อหนุนกันไม่มีที่สิ้นสุด

    เมื่อจิตบริสุทธิ์ อภิญญา ก็เกิดขึ้นเอง

    ขอให้ความเจริญในธรรมจงมีต่อทุกๆท่านด้วยเทอญ..
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต้องกราบขออภัยทุกท่านที่ติดตามครับ

    ช่วงนี้นำลงเรื่องราวของการปฏิบัติตามแนวทางพุทธภูมิขาดความต่อเนื่องไปสักหน่อย

    ก็มาทะยอยลงต่อไปให้ครบถ้วนบริบูรณ์ กันตามที่พระท่านได้เมตตา ต่อไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2007
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การวางกำลังใจของพุทธภูมินั้น ย่อมมีกำลังกล้ากว่าสามัญบุคคลทั่วไป กิจใดที่คนธรรมดา คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว

    แต่หากพุทธภูมิท่านนั้นเห็นว่ากิจนี้เมื่อสำเร็จย่อมทรงคุณประโยชน์ต่อบุคคลหมู่มาก ท่านก็เพียรทำจนการนั้นสำเร็จลงไปได้ เพื่อหวังสุขของส่วนรวมใช่เพื่อตนเองก็หามิได้

    ด้วยเหตุนี้ การปรากฏ และการบังเกิดแห่งพุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นเนื้อนาบุญประการหนึ่งต่อสรรพสัตว์ที่จะหวังได้ที่พึ่ง เพราะท่านทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ผู้ที่จะทรงตรัสเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

    แต่หน่อเนื้อพุทธวงศ์ทั้งหลายนั้น ก็มิอาจจะบรรลุฝั่งมหาปณิธานในสัมมาสัมโพธิญาณได้ทั้งหมด หลายๆท่านได้ลาพุทธภูมิสู่ความเป็นสาวกภูมิไปก็มีจำนวนไม่น้อย

    เหตุแห่งการลาพุทธภูมิมีดังนี้

    -การอธิฐานลา พุทธภูมิ เพื่อขอใช้บารมีของตนช่วยค้ำชูพระพุทธศาสนา เหตุนี้มีปรากฏชัดเจนอยู่หลายๆท่าน

    -การลาพุทธภูมิ เนื่องจาก กำลังใจ(บารมี) ของตนตกลง และไม่อาจฟื้นกลับได้

    -การลาพุทธภูมิ เนื่องจาก การวางกำลังใจผิดไป ในเป้าหมายแห่งการเป็นพระพุทธเจ้า

    -การลาพุทธภูมิ เนื่องจาก การอธิฐานบารมีไม่สมบูรณ์ครบถ้วน ครอบคลุม

    -การลาพุทธภูมิ เนื่องจาก การบำเพ็ญพรหมวิหารสี่ไม่บริบูรณ์

    -การลาพุทธภูมิ เนื่องจาก การล่อลวงของมาร

    เหล่านี้คือเหตุแห่งการลาพุทธภูมิ จะถามว่านับเป็นการเสื่อมจากความดีหรือไม่ ก็ขอตอบว่าไม่ เพราะในไม่ช้า ท่านทั้งหลายผู้ได้ลาพุทธภูมิก็จะสำเร็จกิจได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเช่นกัน

    แต่หากถามถึงผล ก็ต้องยอมรับว่า การปรากฏของพุทธภูมิแต่ละท่านนั้นยากยิ่ง เป็นประการที่หนึ่ง

    การฝ่าทะเลทุกข์เพื่อบำเพ็ญเพียรให้เข้าถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นเรื่องที่ยากลำบากและยาวนาน เป็นประการที่สอง

    แต่ครั้นได้บรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ผลที่ได้ นับเป็นเนื้อนาบุญอันเป็นเอนกอนันต์ อย่างหาประมาณที่สุดไม่ได้ สะท้านสะเทือนถึงสามภพ นำพาสรรพสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ ได้เป็นจำนวนมหาศาล

    ดังนั้น ยามใดที่ได้เห็นท่านผู้ใด ลาพุทธภูมิ ก็ย่อมอดเสียดายไม่ได้ เพราะเมื่อทอดจิตดู ก็อดเห็นสาวก บริวารทั้งหลายของท่านผู้นั้น อีกยาวเหยียด หาประมาณมิได้ ต้องหวังพึ่งพิงใบบุญของพระโพธิสัตว์ท่านอื่นเพื่อให้ช่วยรื้อขนสาวกภูมิเหล่านี้เข้าสู่พระนิพพานแทน

    ยามใดที่ข้าพเจ้าได้พบ ได้ยิน ผู้ลาพุทธภูมิ จึงได้ทักท้วงเอาไว้ก่อน สามคราเสมอ แต่หากทักท้วงแล้วท่านผู้นั้นยังยืนกรานที่จะลาก็ต้องวางใจให้เป็นอุเบกขา เพราะเป็นวาระ เป็นการตัดสินใจของเขา

    ดังนั้นขอจงอย่าได้ไปชวนผู้อื่นลาพุทธภูมิกันอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะชวนคนไปนิพพานได้คนหนึ่ง แต่สาวกของเขา บริวารของเขา มองตาพริบๆ ต้องรออยู่อีกนับเป็นล้านๆ ดวงจิต ต้องมารอขอให้พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆท่านเมตตามารับไปในยุคสมัยของท่าน

    หากท่านจะลาพุทธภูมิ ก็ควรที่จะอธิฐานให้สาวก บริวารเก่าทั้งหลายของท่านดังนี้

    " บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ขอลาจากพุทธภูมิ สู่ความเป็นสาวกภูมิ เพื่อการเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

    บุญกุศลและบารมีทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณจนกระทั่งบัดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้กับ สวกและบริวารทั้งหลายที่ได้ติดตามข้าพเจ้ามา ขอให้เขาทั้งหลายได้ เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้พร้อมกับข้าพเจ้า หากแม้บางท่านบารมียังไม่เต็มก็ดี ยังไม่ถึงวาระก็ดี ก็ขอให้พระโพธิสัตว์ปรมัตถ์บารมีผู้มีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์โปรดจงได้รื้อขนท่านทั้งหลายทั้งปวงได้เข้าสู่พระนิพพานในพระศาสนาของพระองค์ในอนาคตกาลด้วยเทอญ"

    นี้เป็นคำอธิฐาน ที่เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากการใช้หนี้พุทธภูมิ โดยการโปรดโดยธรรม ด้วยกายเนื้อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...