นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    สวัสดีค่ะ .. คุณ Amo-te ดูคุ้นเคยนะคะ


    (*¯︶¯*)(*¯︶¯*)(*¯︶¯*)(*¯︶¯*)
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในนี้ก็มีแต่คนเพี้ยนๆ ทั้งนั้นแหละค่ะ คนดีเค้าไม่คุยกันเรื่องพวกนี้หรอก ยิ่งเรายิ่งเพี้ยนมากกว่าใครๆ เลย เอ๊ะ...หรือไม่ใช่ มีเราเพี้ยนอยู่คนเดียวแล้วกัน นอกนั้น เป็นคนใจดีมีเมตตา เราก็เลยคุยกับพวกเค้าได้ค่ะ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พวกที่มีพลังงานมืด ไม่ต้องสัมผัสก็รู้ เพราะจะมีเหมือนหมอกควันสีดำอยู่รอบๆ ตัวเค้า

    อาการขนลุกก็ใช่นะ ถ้ามันเกิดบริเวณตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาไม่ถึงหน้าอก ให้ระวัง

    เพื่อนเราคนหนึ่งนะ ก็ตัวร้อนมาก เวลาเรากอดเค้า เราจะบอกว่าให้ไป...ี้ พอเราถามเค้าก็บอกว่าร้อนมาตั้งแต่เด็กเหมือนมิกเลย

    แต่ที่เค้าตัวร้อนเพราะว่าเค้ามีพระแม่ลักษมีเป็นเทพประจำตัว พลังที่อยู่ในตัวเค้าเป็นพลังเทพ มันก็เลยร้อน และเค้าก็ไม่รู้สึกร้อนนอกจากมีคนไปสัมผัสตัวเค้าและบ่นว่าร้อนเท่านั้น
     
  4. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ถ้าเช่นนั้น คนที่มี "สื่อสัมผัส" กับเทพฯ ก็ไม่ต้องกลัวสิคะ
    เพราะอย่างน้อย น่าจะมีพลังต้านทาน..กันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้าตัวได้อ่ะ
     
  5. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    ไหนว่าแอบอ่านมานาน แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกเราว่าอะไร

    แถมให้เราถามตัวเองอีก...เออ ... มันแปลกดีนะบังเอิญ

    เราไม่ใช่คนแถวนี้ ค่ะ ...



    └(^o^)┘└(^o^)┘└(^o^)┘└(^o^)┘
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อย่างเราจะรับสัมผัสได้เร็วเป็นพิเศษ ความสามารถนี้มีมาตั้งแต่กำเนิด สามารถรับได้ทั้งดีและชั่ว ทั้งใกล้และไกล มันเป็นพลังดึงดูด

    ตอนเด็กๆ เคยเห็นคนเป็นไทกอ แล้วนึกสงสารเค้าอยากให้เค้าเป็นปกติโดยเราจะรับอาการเหล่านั้นไว้เอง แล้วเราก็เพ่งมองไปที่เค้า ไม่นานเรามีอาการมือหงิกงออย่างเค้าเลย ปากบิดเบี้ยว แม่ต้องตบแรงๆ ให้รู้สึกตัวแล้วถามว่าเป็นอะไร

    เทพสามารถช่วยเหลือได้นะ แต่ก็ไม่เกินกฏแห่งกรรมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น อันดับแรกต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน โดยไม่ไปใฝ่หาของที่มีพลังมืดมาไว้กับตัวค่ะ
     
  7. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    สมมติว่าไม่ได้วิ่ง (แส่หาเรื่อง) หาของด้านมืดมาใส่ตัว...

    ถ้าหากด้านมืดเข้ามา คนที่มี "สื่อสัมผัส" ของเทพ พลังของเทพจะช่วยกัน
    ไว้ส่วนหนึ่ง ในเบื้องต้นแม่นบ่ แล้วถ้าพลังด้านมืดวิ่งเข้ามาเยอะๆ พลังของ
    เทพนั้นๆ จะลดลงหรือเปล่า?
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่มิกกล่าวมาก็ถูก ในกรณีที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร เทพก็จะหลีกทางให้ทวงกันเอง โดยจะดูอยู่ห่างๆ จนกว่ากรรมนั้นๆ จะกลายเป็นอโหสิกรรม

    เทพไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลานะ ท่านส่งญาณบางส่วนลงมาคุ้มครองเท่านั้น คนที่มีญาณเทพจริงๆ เค้าจะรู้ล่วงหน้าว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ในกรณีที่เทพองค์นั้นเป็นสัมมาทิฏฐินะ เราจะรู้สึกเองว่าไม่อยากได้ของสิ่งนั้น หรือไม่อยากไปในสถานที่นั้นๆ ไม่อยากรู้จักกับคนๆ นั้น

    ยกเว้น ญาณเทพที่อยู่กับเรานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ หลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ
     
  9. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เคยได้ยินมาเหมือนกันค่ะว่า หากถึงวาระของเจ้ากรรมนายเวรที่จะ
    ทวงถาม ต่อให้เทพยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้
    เพียงมองดูอยู่ห่างๆ

    พลังด้านมืด กับพลังด้านสว่าง แท้จริงห่างกันเส้นบางๆ จริงๆ

    บางคน เดิมอยู่ในพลังด้านสว่าง เมื่อความยึดมั่น ถือมั่นเกิดขึ้น
    ว่าตัว gru เก่ง ตัว gru เจ๋งสุดๆ จึงเกิดอาการอยาก "ลองของ"
    ขึ้นมา พลังด้านมืดจึงเข้าแทรกได้ง่าย...มิกเข้าใจถูกต้องมั้ยคะ
    (แต่อันนี้ น่าจะเป็นพลังด้านมืดจากจิตของเราเองมากกว่า)
     
  10. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    แต่ที่อยากรู้คือ จะมีวิธีป้องกัน "พลังด้านมืด" จากภายนอกยังไงมากกว่าค่ะ คุณ nouk (ตัดกรณีวิ่งแส่หาเรื่องใส่ตัว และเจ้ากรรมนายเวรนะคะ)

    *****

    ท่านคุรุวาโรมาแล้ว...รอฟังนิทานจากท่านคุรุวาโรต่อดีกว่า ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  11. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    เมื่อคืนตอนนั่งสมาธิ...รู้สึกเจ็บและร้อนตรงหน้าอกค่ะ
    แต่เป็นไม่มาก...แค่พอรู้สึกได้...ไม่ปวด ไม่ทรมาน
    และไม่มีความกลัว เพียงแค่อยากรู้ว่ามันคืออะไรเท่านั้น

    จริงๆ จะว่าเจ็บก็ไม่เชิงซะทีเดียวค่ะ มันคล้ายๆ กับเวลา
    เราไปฟังคอนเสิร์ตแล้วมีเสียงกลองดังมากๆ เราจะรู้สึก
    ดังก้องสะท้อนอยู่ในอกน่ะค่ะ

    ใครพอจะให้คำตอบได้บ้างเอ่ย?<!-- google_ad_section_end -->

    แสดงว่า กำลังจะเจริญก้าวหน้าทางธรรมครับ ลองข้ามไปให้ได้ครับ
     
  12. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    นราวดีคุยอะไร กับท่านนฤเบสท์บ้างครับ(มหาดเล็ก)

    แสดงว่า เขาไม่อยากให้นราวดีเจอกันนะครับ เลยทำให้จดจำเรื่องราวไม่ได้ครับ
     
  13. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คุรุวาโร [​IMG]
    นราวดีคุยอะไร กับท่านนฤเบสท์บ้างครับ(มหาดเล็ก)
    แสดงว่า เขาไม่อยากให้นราวดีเจอกันนะครับ เลยทำให้จดจำเรื่องราวไม่ได้ครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โห..ใจร้ายจัง เดี่ยวมีเคืองนะ...
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เราก็ไม่รู้นะ เพราะเราก็ไ่ม่เคยป้องกันอะไร ส่วนใหญ่มันจะรู้เองก่อนทุกครั้ง บางครั้งรู้ทั้งรู้เราก็รับ แล้วค่อยแก้ไข วิธีของเราคือ สวดมนต์ นั่งกรรมฐาน แผ่เมตตา ทำติดต่อกัน 5-7 วัน ถ้าหนักมากจริงๆ (แต่ยังไม่เคยนะ) วิธีก็ให้ใส่บาตรผ่านให้กับสิ่งนั้นๆ แม้แต่ผู้ปองร้ายเป็นอุปสรรคทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ก็ใช้วิธีใส่บาตรด้วยข้าว+ไข่ต้ม ใส่ใ้ห้ทุกวัน อธิษฐานเอ่ยชื่อ ไม่ต้องกรวดน้ำ

    เพราะไม่มีคาถาอาคมอะไร เคยเรียนเหมือนกัน เรียนเอง แล้วก็เลิกไม่ชอบ กลัวตายไปแล้วเป็นปอบ (พ่อบอก) ใช้ความดีสยบความชั่ว...ง่ายมั้ย

    ใครปล่อยของ ปล่อยคุณมาเราก็รับนะ แต่ตัวเองไม่ค่อยและไม่เคยโดน มันจะไปโดนคนใกล้ชิดมากกว่า ก็ให้อาบน้ำพระพุทธมนต์จากในโบส์ถ ส่วนใหญ่ที่โดนก็จะมาในแบบก่อกวนให้รำคาญใจมากกว่า

    เอาไว้ถามจากท่านประธานดีกว่ามั้ยมิก...อันนั้นแน่นอนกว่านะ
     
  15. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    นิมิตไปว่า ไปสถานที่แห่งหนึ่ง มีเหล่าพญานาคมากมาย

    แล้วก็ตื่น จำได้ว่า พญานาคนั้นมีมากมายหลากหลายสีครับ

    หนึ่งในนั้น คือสีทอง(หมายถึงใครเอ่ย) กำลังรอ มองหาใครบ้างคนครับ

    และมีพญานาคบางตนก็ร้องไห้ น้ำใสๆไหลออกจากตา

    และสุดท้าย...
     
  16. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ห้ามกั๊กค่ะ...รีบเล่าเลยค่ะ...อยากรู้หนอ... :cool:

    แล้วทำไมพญานาคถึงมีหลายสีจังคะ
    มารวมตัวกันทำอะไรเนี่ย.. แล้วใครคะ
    ที่ร้องไห้น่ะ
     
  17. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    อยากรู้จริงๆ เล่าให้ฟังก็ได้ครับ

    (แต่ทำใจไว้แล้วหรือยังครับ)

    บางสิ่งเราไม่รู้ อาจจะดีกว่าที่เรารู้ เพราะถ้ารู้แล้ว เสียกำลังใจ ความหวัง ความฝันมลายหายไปกับความจริงในอดีตครับ
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เป็นใครคะ และสุดท้าย...เป็นยังไง
     
  19. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ผมมีเรื่องขอถามท่านคุรุวาโร และท่านผู้มีจิตเข้าสู่สมาธิรู้เห็นว่า
    1. ผมต้องฝึกอย่างไรจึงจะได้ความรู้สึก หรือสมาธิอย่างเดิมกลับคืนมาได้
    2.เดิมผมมีภพภูมิเป็นมาอย่างไร
    ขอรบกวนทุกท่าน ถือว่าสงเคราะห์คนกิเลสหนาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้าสายพระวัดป่าก็เจริญด้วย ขันติ และวิริยะเป็นหลักครับ
    เช่น ตอนภาวนา ก็ปิดอารมณ์ ทางกาย ทางใจ และวาจาให้หายไปจากความรู้สึก

    อธิบาย เมื่อภาวนาก็กำหนดความรู้สึกไว้ที่นิ้วมือครับ ร่างกายจะทุกขเวทนา ขาจะชา จะเมื่อย ก็ต้องอดทนครับ

    ใจ ต้องบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจครับ ไม่ไปตามดูจิต เพราะจิตมันพยศร้าย

    จิตมันจะบอกว่าง่วงก็ฝืนเอาไว้ ตายเป็นตาย เพื่อเป้าหมายข้างหน้าครับ
     
  20. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095

    พอเป็นกัลยานมิตรได้บ้าง แต่อาจไม่ดีเท่าที่ควร ขออธิบายตามความเข้าใจนะครับ :cool:
    ที่พิจารณาคือคุณมีกำลังสมาธิดี ทำจิตสงบได้เร็ว ส่งผลให้จิตตกภวังค์ได้ง่าย อีกทั้งสัญญาในจิตชัดเจน
    แต่กำลังของสติยังน้อยอยู่ ดังนั้นเวลาจิตหยั่งลงสู่ภพ จึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่า เราตื่นอยู่ในปัจจุบัน
    หรือเป็นนิมิตรฝันไปในขณะหลับ
    กล่าวคือยังไม่สามารถควบคุมกระแสจิตที่วิ่งไปภายนอก ได้ตามความต้องการ เนื่องจากกำลังของสติคือความระลึกได้
    ยังไม่เข้มแข็งพอ ที่จะประคองให้จิตเข้าสู่สมาธิขั้นสูงและหรือเจริญวิปัสสนาญาณ ให้แจ้งในรูปนาม รู้เท่าทันกองสังขารได้

    ที่ผ่านมาคุณตกอยู่ในสภาวธรรมของ "จิตเป็นไปตามอำนาจสมาธิ"
    ที่ถูกต้องจึงควร "ฝึกจิตให้เป็นไปตามอำนาจของสติ"เพื่อประคับประคองให้จิตเข้าสู่วิถีของ "อริยมรรค"
    ดังนั้นในเบื้องต้น ครูบาอาจารย์ท่านถึงให้เราบริกรรมภาวนา พุทโธบ้าง พองหนอยุบหนอบ้าง สัมมาอรหังบ้าง ฯลฯ
    เหล่านี้เป็นการดำเนิน "สัมมาสติ"คือฝึกให้จิตระลึกอยู่ในอารมณ์อันเดียว จนกระทั้งคำบริกรรมภาวนานั้นหายไปเอง
    นั่นแสดงว่าสติกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว "เอกัคคตา"...
    เรียกว่า "สัมมาสมาธิ"(ขณิกะสมาธิ มีในเบื่องต้น,อุปจาระสมาธิ มีในท่ามกลาง)คือความตั้งใจมั่นชอบ
    ตรงจุดนี้เองเป็นทางแยกระหว่าง สมถะและวิปัสสนา หากจะน้อมไปเพื่อฤทธิ์อภิญญาก็สามารถกระทำได้
    โดยเน้นกระทำความสงบให้ถึงที่สุด (ฌาน ๔,อัปปณาสมาธิ มีในที่สุด)

    โดยมี"อธิษฐาน"เป็นตัวแสดงเจตนา
    เป็นต้นว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ให้อธิษฐานไว้ก่อน คือทำไว้ในใจซึ่งสถานที่แห่งนั้น...
    เสร็จแล้วให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในแรงอธิษฐานออกเสีย เพื่อตัดความกังวลใจ
    แล้วปฎิบัติไปเรื่อยๆ เช่น ใช้คำบริกรรมภาวนาตามรูปแบบที่ได้ศึกษามา จากครูบาอาจารย์
    เมื่อจิตตกภวังค์ (เข้าใจว่าอยู่ในระดับอุปจาระสมาธิ มีในท่ามกลาง)ก็จะเป็นไปตามแรงอธิษฐานในเบื้องต้นของเรา
    นี้คือวิธีหนีเที่ยว แบบมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน(โดยไม่ต้องอาศัยผู้ช่วย!)

    หากเราไม่อธิษฐานตั้งโปรแกรมไว้ก่อน จิตผู้รู้จะเป็นไปตามสัญญาเก่าที่เก็บสั่งสมไว้
    ดำเนินเรื่องราว(สังขาร ความปรุงแต่งจิต)แบบสะเปะสะปะบ้าง,แบบม้วนเดียวจบเป็นเรื่องราวต่างๆ
    ดุจนิยาย มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ฯลฯ

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจิตในขณะนั้นมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม คือ "มีสติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่หรือไม่"
    หากมีสติ ความสงบที่ได้จัดเป็น"สัมมาสมาธิ"...
    ดังนั้นนิมิตรที่เห็นหรือจิตที่ออกท่องเที่ยว ก็เป็นเรื่องราวที่น่าเชื่อถือได้โดยส่วนมาก

    หากสติหลับอยู่ จิตก็ขาดกำลังสำคัญจึงถูกโมหะครอบงำอยู่โดยมาก
    ความสงบที่ได้จากจิตที่ขาดสตินั้นเป็น "มิจฉาสมาธิ"...ดุจคนนอนหลับ
    นิมิตรที่เห็นหรือภาพที่ปรากฎ จึงเป็นเรื่องราวที่ไม่ควรเชื่อถือเลย อุปาทานล้วน

    จิตที่ส่งออกไปภายนอกเป็น"สมุหทัย"คือสาเหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นเมื่อจิตออกท่องเที่ยวบ่อยๆเข้า
    เกิดความชำนาญ,เกิดความเคยชิน บางท่านก็ติดอยู่นานแทนที่จะน้อมเข้ามาใส่ตนเพื่อพิจารณา
    ให้เกิดความสลดสังเวช เกิดปัญญาชำแรกกิเลส(นิพเพธิกะปัญญา)เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด(นิพพิทา)
    ก็ไม่สามารถกระทำได้โดยง่ายเพราะมัวหลงสนุก เพลินอยู่กับจิตที่ส่งออกไป
    พอถึงเวลาละสังขาร จึงเป็นผู้กลับมามีของเก่า อันวาสนาอบรมแล้ว ย่อมเป็นไปตามกรรม

    ที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นนี้หากผู้เป็น "สัมมาทิฎฐิ"(ความเห็นชอบ)มาพิจารณาแล้วจะเห็นว่า
    พอเป็นทางดำเนินได้อยู่เหมือนกัน เรียกว่าฝึก "สมถะเพื่อเป็นบาทฐานให้เกิดวิปัสนา"
    คือเน้นสัมมาสมาธิ,เน้นการทำฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น,ทำอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น
    สุดท้ายจึงกระทำ"อาสวักขยญาณ(ญาณทำกิเลสให้สิ้น)"มีในที่สุด

    อนึ่ง หากจะเดินวิปัสนานำสมถะ เพียงแค่เพิ่มฐานเข้าไป ๔ ฐานคือ
    กาย,เวทนา,จิต,ธรรม รวมเรียกว่า "สติปัฎฐานสี่"
    เช่น การปฎิบัติรู้ลมหายใจในฐานกายเป็นต้น ฯลฯ จะมีคำบริกรรมภาวนาควบอยู่ด้วยหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่จริตของบุคคล
    ปฎิบัติไป จนจิตเข้าถึงอุปจาระสมาธิ ดังที่กล่าวในข้างต้นว่าเป็นทางแยก!
    โดยมี"อธิษฐาน"เป็นตัวแสดงเจตนา หรือไม่ก็ได้ เพราะการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่เน้น
    วิถีจิตตกภวังค์ และไม่เน้นเจริญสมาธิระดับสูง
    แต่เน้นสติเรียนรู้ เวทนา ๓ คือ สุขเวทนา,ทุกข์เวทนา,อทุกขมสุขายเวทนา(เวทนากลางๆ เฉยๆ)
    เรียนรู้ปัจจุบันธรรม,เรียนรู้วิถีจิตเสวยอารมณ์,พิจารณาธาตุ ๔,ขันธ์ ๕ เป็นต้น ฯลฯ

    ระหว่างสมถะและวิปัสนา ย่อมเป็นไวยพจน์ของกันและกันได้เสมอ ดังนั้นเราแยกกล่าวเพื่อกระทำความเข้าใจ
    ในขั้นพื้นฐานเพื่อปฎิบัติไม่ผิดพลาด
    แต่ในความเป็นจริงแล้ว แค่พลิกนิดเดียว ปัญญาก็กลายเป็นความสงบได้
    แค่พลิกนิดเดียวความสงบก็เกิดเป็นปัญญาได้เช่นกัน...
     

แชร์หน้านี้

Loading...