สุริยุปราคาครั้งอัศจรรย์ในประวัติศาสตร์โลก

แต่ละชนชาติทั่วโลกล้วนมีนิยายปรัมปราเล่าเรื่องสุริยุปราคากันต่างๆนานา หลายชนชาติเชื่อว่าสุริยุปราคาเป็นลางร้ายบอกถึงความหายนะ ความตาย ความวิบัติของผู้นำ บางชาติมีนิยายปรัมปราเล่าถึงมังกร พญานาค งูใหญ่ ปีศาจร้ายที่มองไม่เห็นตัว หรือสัตว์รูปอื่นที่ผู้คนกราบไหว้บูชา เช่น ชาวจีนส่งเสียงร้องขับไล่ ตีกระทะ ตีปี๊บ จุดประทัด เพื่อทำให้มังกรตกใจคายดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์คืนมา ส่วนชาวไทยก็กระทำคล้ายกันแต่ส่งเสียงขับไล่อสูรร้ายราหู ผู้มากลืนกินดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ขณะที่ชาวอินเดียลงไปแช่น้ำลอยคอเพราะเชื่อว่าเป็นการบวงสรวงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่อสู้กับราหูได้ และประเพณีโบราณของชาวญี่ปุ่น ให้ปิดบ่อน้ำระหว่างเกิดสุริยุปราคา เชื่อว่าเป็นการป้องกันยาพิษขณะท้องฟ้าดำมืดไม่ให้ตกลงมาใส่บ่อน้ำได้
ความเชื่อที่แปลกแตกต่างออกไปก็เช่นชาวเกาะตาฮิติ ในมหาสมุทรแปซิฟิค เชื่อว่าการเกิดสุริยุปราคาเป็นโอกาสที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์พบรักกัน (ขนาดเป็นชาวเกาะยังรู้ว่าดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์) ชาวเอสกิโมตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือก็คล้ายกัน คือเชื่อว่าสุริยุปราคาเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่จะให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กลับถิ่นฐานชั่วคราวหลังจากเดินทางท่องเที่ยวสำรวจสรรพสิ่งบนโลกให้ดำเนินไปด้วยดี

นั่นเป็นเรื่องของตำนานและความเชื่อแต่ละชนชาติ ส่วนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่อาจกล่าวได้หมดทุกครั้งของทั้งโลกได้ โดยจะยกมาเฉพาะที่สำคัญๆเท่านั้น มีดังต่อไปนี้




<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------

สงครามเปอร์เซีย</CENTER>
บันทึกในประวัติศาสตร์เล่าถึงสงครามกับปรากฎการณ์อุปราคาที่เลื่องลือที่สุด คือ เมื่อครั้งเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง วันที่ 28 พฤษภาคม -41 ท้องฟ้าสว่างไสวในตอนกลางวันกลายเป็นกลางคืนไปชั่วขณะหนึ่ง

​

เป็นเหตุให้สงครามเปอร์เซียที่นานยืดเยื้อถึง 6 ปี ระหว่างชาวลิเดียกับชาวเมเดสยุติลงได้ด้วยการเจรจาสันติภาพ และผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกัน 2 คู่ ทั้งนี้ด้วยความยำเกรงในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ในบัดดล ในครั้งนั้นเทลิส (Thales) นักดาราศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีกได้ทำนายการเกิดสุริยุปราคาไว้ก่อนแล้ว แต่ทั้งสองชนชาติอาจไม่รู้ถึงการทำนายนั้น​

<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------

มูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม</CENTER>

ปี พ.ศ. 1112 ถึง 1113 มูฮัมหมัด ได้เกิดที่กรุงเมกกะ ชาวมุสลิมเรียกปีนั้นว่าปีช้าง เพราะเป็นปีที่ชาวอะบิสซิเนียขี่ช้างโจมตีกองทัพทหาร และเกิดเหตุประหลาดเมื่อฝูงนกพากันถ่ายมูลใส่กองทัพ เกิดโรคร้ายคล้ายฝีดาษระบาดทั่วไป จนที่สุดกองทัพต้องล่าถอยไปหมด
ปีช้างยังเป็นปีที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนทั่วไป เพราะเป็นปีที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1112 ด้วย​

​

แต่แนวคราสไม่ผ่านกรุงเมกกะ จึงเห็นเป็นเพียงสุริยุปราคาบางส่วนเท่านั้น​

​

ในยุคก่อนผู้คนมักนำปรากฎการณ์ในท้องฟ้ามาสัมพันธ์กับการเกิดและการตายของผู้นำหรือบุคคลสำคัญ กรณีของมูฮัมหมัดเองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าคัมภีร์จะไม่ยอมรับว่าอุปราคาเกิดจากพระเจ้าดลบันดาลขึ้น หรือเป็นสัญญานบอกถึงการจุติของศาสดาก็ตาม แต่ประวัติของมูฮัมหมัดเอง กลับมีเล่าถึงความสัมพันธ์กับสุริยุปราคาอย่างน่าแปลก​

27 มกราคม 1175 บุตรชายของมูฮัมหมัดชื่ออิบราฮิม เสียชีวิตอย่างน่าเศร้า ซึ่งได้เกิดสุริยุปราคาวงแหวนขึ้น​

​

ชาวเมกกะเชื่อว่าเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่มูฮัมหมัดปฏิเสธว่า
“แม้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า แต่การบังกันของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไม่ใช่สัญญานที่จะบอกถึงการเกิดหรือการตายของมนุษย์ได้”
ถือเป็นถ้อยคำที่ชาวอิสลามรุ่นใหม่ใช้ปฏิเสธวิชาโหราศาสตร์มาจนทุกวันนี้​

​

ความสัมพันธ์ระหว่างสุริยุปราคากับมูฮัมหมัดยังไม่จบเพียงแค่นั้น ในอีก 39 ปีต่อมา วันที่ 7 ธันวาคม 1214 เมื่อมู’อะไวยา เป็นผู้นำยึดอำนาจขับไล่อาลี บุตรเขยของมูฮัมหมัด และได้พยายามย้ายแท่นหินบูชาซึ่งเป็นศูนย์กลางศาสนาที่กรุงเมดินา ไปยังเมืองหลวงดามัสกัสประเทศซีเรียปัจจุบัน​

​

ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าได้มืดสลัวลงจนเห็นดาวดวงสว่างได้ กลายเป็นความพ่ายแพ้ที่มู’อะไวยาต้องยอมรับอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้แท่นหินบูชาในศาสนาอิสลามจึงยังคงตั้งอยู่ในกรุงเมดินา​

​

<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------

พระเจ้าหลุยส์</CENTER>

เมื่อครั้งเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง 5 พฤษภาคม 1383 พระเจ้าหลุยส์ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนยุโรปครั้งนั้น ถึงกับพิศวงงงงวยกับปรากฏการณ์ฟากฟ้าที่ดวงอาทิตย์มืดหมดดวงนานถึง 5 นาที แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ เล่ากันว่าคงเป็นเพราะความตกใจ หลังจากนั้นเกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์ยาวนานถึง 3 ปี มายุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ (Treaty of Verdun) ซึ่งแบ่งยุโรปออกเป็นดินแดน 3 ประเทศ ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี​

​

<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------

ทีคัมเซ</CENTER>

ตอนต้นศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่อเมริกาเริ่มแผ่ขยายอาณาเขตไปทางตะวันตกของเทือกเขาแอบพาลาเชียน ดินแดนแถบนี้เป็นที่อยู่ของชนเผ่าอินเดียนแดง ซึ่งไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีการก่อสร้างบ้านเรือนถาวร และมักไม่ลงรอยกันระหว่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ
ทีคัมเซ เป็นชาวอินเดียนแดงหัวหน้าเผ่าชอว์นี อาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งแม่น้ำโอไฮโอ ทีคัมเซเป็นคนมองการณ์ไกล เขาตระหนักดีว่าอินเดียนแดงทุกเผ่าจะต้องเข่นฆ่าขับไล่แย่งดินแดนกันเองไม่สิ้นสุด นอกเสียจากจะรวมตัวป้องกันดินแดนของตนร่วมกันเท่านั้น ทีคัมเซจึงรวบรวมกำลังและประกาศอิสรภาพของชนเผ่าดินเดียนแดง โดยได้รับการสนับสนุนจากชาวอินเดียนแดงทุกเผ่า รวมทั้งพี่ชายของเขาที่ชื่อ เท็นส์ควาตานา ด้วย
เท็นส์ควาตานา ได้ฉายาว่าเป็นหมอผีประจำเผ่า เป็นผู้ต่อต้านวัฒนธรรมของชาวผิวขาวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องการดื่มสุรา ขณะที่ชนเผ่าอินเดียนแดงใกล้จะล่มสลาย สองพี่น้องจึงเป็นแกนนำเรียกร้องให้มีการรวมพลังรักษาทั้งวัฒนธรรมและดินแดนของชาวอินเดียนแดงไว้
พ่อมดหมอผีมักเป็นผู้นำทางศาสนา ซึ่งหากแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ก็มักอยู่ในตำแหน่งผู้วิเศษและนำชัยชนะมาได้โดยง่าย ดังนั้น วิลเลียม เฮนรี แฮริสัน ผู้ว่าราชการรัฐอินเดียนา จึงท้าให้พิสูจน์ความเป็นผู้วิเศษที่สามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้​

ภาพทีคัมเซ ประจันหน้ากับวิลเลียม เฮนรี แฮริสัน ผู้ว่าราชการรัฐอินเดียนา​

​

หมอผีเท็นส์ควาตานาจึงประกาศว่า ในเช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2349 พระเจ้าจะจับดวงอาทิตย์ไว้ในอุ้งพระหัตถ์ และเก็บซ่อนไว้ ผู้คนพากันแห่แหนมาชุมนุมกันอยู่ในกรีนวิลล์ รัฐโอไฮโอ เพื่อพิสูจน์คำประกาศนั้น และทุกคนก็ได้ประจักษ์ เมื่อเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นจริง (แต่สันนิษฐานว่า เค้าน่าจะไปสืบรู้เรื่องเกิดสุริยุปราคามาจากชาวผิวขาวมากกว่า)​

​

แต่จากการตรวจสอบ พบว่าแม้จะเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงจริง แต่ตำแหน่งกรีนวิลล์ รัฐโอไฮโอ ที่ไปดูกันนั้น ไม่อยู่ในแนวของคราสมืด​

​

แต่ก็ใกล้มาก อีกนิดเดียวจะเต็มดวง ซึ่งอย่างไรเสีย ก็เพียงพอในการทำนาย(หลอก)ได้แล้ว​

​

เท็นส์ควาตานาจึงคงความเป็นผู้วิเศษ ผู้รักษาโลกไว้ด้วยการสวดอ้อนวอนให้พระเจ้ายอมปลดปล่อยดวงอาทิตย์คืนมา
จากปรากฏการณ์สุริยุปราเต็มดวงครั้งนั้น ทำให้เท็นส์ควาตานากลายเป็นผู้นำมวลชนผู้มีพลัง ทั้งสองพี่น้องสามารถรวบรวมกำลังจากชาวอินเดียนแดงทุกเผ่า และประกาศอิสรภาพยึดดินแดนคืนมาจากชนผิวขาว พร้อมทั้งตั้งเมืองหลวงชื่อ นครแห่งคำพยากรณ์ อยู่ใกล้แม่น้ำทิปปีคาโนในรัฐอินเดียนา​

แต่ต่อมาไม่นาน อิสรภาพของชาวอินเดียนแดงก็ต้องล่มสลายลง เมื่อแฮริสัน นำกองทัพทหารที่แข็งแกร่งจู่โจมตีเมืองหลวงในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2354 คืนวันที่เท็นส์ควาตานาหายไปกับสายน้ำทิปปีคาโน ส่วนทีคัมเซน้องชายถูกฆ่าตายในสงครามใหญ่ในรัฐออนตาริโอ​

​

ปี 2356 ชาวอินเดียนแดงที่เหลืออยู่ต่างพากันหนีตาย อพยพข้ามฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิบปี้ แตกกระเซ็นกระสายกันไป
การประกาศอิสรภาพของชาวอินเดียนแดงที่สองพี่น้องสู้บากบั่นฝ่าฟันกันมาต้องพังพินาศลงทันใด สุริยุปราคาเต็มดวงไม่อาจช่วยชีวิตหมอผีผู้วิเศษ และยับยั้งการสูญเสียผู้นำทั้ง 2 คนไปได้เลย​

<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------

แนท เทอร์นเนอร์</CENTER>

การกดขี่ทาสผิวดำเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมายาวนานในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ลูกทาสชาวอัฟริกันถูกบังคับให้ทำงานหนักตลอดวันในสถานที่สกปรกคับแคบ และไม่ได้รับค่าตอบแทนแรงงาน ความหวาดกลัวฝังใจจนกลายเป็นลักษณะประจำตัวและสืบทอดเป็นมรดกสายเลือดของชนชาติผิวดำเลยทีเดียว
ทาสผิวดำผู้นำขบวนก่อการปฏิวัติ และเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ของอเมริกา คือ แนท เทอร์นเนอร์ เกิดปี 2343 ในเมืองเซาท์แทมตัน รัฐเวอร์จิเนีย เทอร์นเนอร์เรียนรู้การอ่านหนังสือจากลูกชายของนายจ้าง แต่ทาสทั่วไปไม่รู้หนังสือ เพราะเจ้าของทาสรู้ดีว่าการศึกษานำไปสู่การแข็งข้อ เทอร์นเนอร์อุทิศตัวรับใช้ศาสนา และกลายเป็นพระนักบวชของชนผิวดำ ซึ่งเรียกเขาว่า หลวงพ่อ ในปี 2371 เทอร์นเนอร์เริ่มมองเห็นช่องทางที่จะนำเหล่าทาสสู่อิสรภาพได้ โดยสะสมรวบรวมกำลังจากหมู่เพื่อนสนิทใกล้ชิดได้ราว 20 คน​

​

เทอร์เนอร์เฝ้ารอสัญญานจากพระเจ้า จนในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2374 เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้น​

​

แต่จากการตรวจสอบย้อนไป พบว่าเป็นสุริยุปราคาวงแหวน ไม่ใช่เต็มดวง​

​

เทอร์นเนอร์เฝ้ามองดูดวงจันทร์ปรากฏเป็นดวงดำขณะเคลื่อนเข้าบังดวงอาทิตย์ เป็นสัญญานคล้ายจะบอกว่า ถึงเวลาที่ชนผิวดำกำลังจะมีชัยชนะต่อชนผิวขาวแล้ว เวลาของการปฏิวัติมาถึงแล้ว​

การปฏิวัติเริ่มต้นจากการรวมรวมกำลังจากเหล่าทาสในฟาร์มที่อยู่ใกล้ๆกัน โดยวางแผนสังหารเจ้าของฟาร์มเพื่อแย่งชิงอาวุธ แล้วพากันเดินขบวนไปที่กองกำลังสรรพาวุธในกรุงเจรูซาเล็ม รัฐเวอร์จิเนีย การปฏิวัติกำหนดไว้ในวันชาติอเมริกาที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันหยุด และพวกทาสได้รับอนุญาตให้หยุดพักผ่อนได้ แต่โชคไม่ดี เมื่อเทอร์นเนอร์ล้มป่วยกะทันหัน กำหนดการปฏิวัติจึงต้องถูกเลื่อนออกไป พวกทาสจึงต้องรอสัญญานจากพระเจ้าต่อไปอีก​

ในวันที่ 13 สิงหาคม 2374 ได้เกิดสุริยุปราคาขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นสุริยุปราคาวงแหวน ซึ่งปีก่อนหน้านั้นเป็นปีที่เกิดจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด เทอร์นเนอร์จึงมองเห็นแสงสว่างรอบดวงอาทิตย์เป็นสีเขียวและน้ำเงิน เขาเฝ้าเพ่งพินิจดวงอาทิตย์ด้วยใจแน่วแน่ ดูคล้ายกับว่าเขาได้เห็นกลุ่มจุดบนดวงอาทิตย์ด้วย​

แต่จากการตรวจสอบ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2374 ไม่มีสุริยุปราคาเกิดขึ้น​

การปฏิวัติของทาสผิดดำเริ่มขึ้นในคืนวันที่ 21 สิงหาคม 2374 เมื่อเทอร์นเนอร์ฆ่าเจ้าของที่นาของตนเองก่อน จากนั้นขบวนเหล่าทาสพากันมุ่งหน้าไปยังกรุงเจรูซาเล็ม แต่ถูกกองทหารขัดขวาง และทำการสลายชุมนุมด้วยการจับและสังหารทาส การปฏิวัติครั้งนั้นมีทาสราว 200 คน และชาวผิวขาวอีกราว 60 คน ถูกฆ่าตาย ส่วนเทอร์นเนอร์นั้นหนีไปได้ แต่อีกราว 70 วันต่อมาก็ถูกจับได้ และถูกแขวนคอในที่สุด​

​

<CENTER>-----------------------------------------------------------------------------</CENTER>

ยุคแห่งสุริยุปราคากับอำนาจศักดิ์สิทธิ์หมดไปแล้วครับ เข้าสู่ยุคแห่งการใช้สุริยุปราคาตรวจสอบทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แล้ว จริงๆเราใช้สุริยุปราคาศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งที่สำคัญมากที่สุดครั้งนึงเลย​

<CENTER>อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์</CENTER>

ในปี พ.ศ. 2448 อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว เสนอทฤษฎีใหม่ 3 เรื่อง เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ทฤษฎีเกี่ยวกับแสง และทฤษฎีพิเศษว่าด้วยสัมพัทธภาพ ซึ่งล้วนแต่ปฏิวัติแนวคิดเดิมๆและทรงคุณค่าจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2464 ความสำเร็จของผลงานดังกล่าวเปลี่ยนฐานะและบทบาทของไอน์สไตน์ให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกทันที​

​

ผลงานสำคัญยิ่งใหญ่ของไอน์สไตน์คือ “ทฤษฎีทั่วไปว่าด้วยสัมพัทธภาพ” อธิบายถึงการเบนแสงในอวกาศในสนามแรงโน้มถ่วงสูง จากทฤษฎีนี้ไอน์สไตน์พยากรณ์ไว้ว่า แสงดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ จะถูกสนามความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เบนให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง สังเกตได้จากตำแหน่งดาวฤกษ์ที่เลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งไปจากเดิมราว 1.75 ฟิลิปดา แต่กลางวันมองไม่เห็นดาวฤกษ์ และกลางคืนดวงอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ทำยังไงดี? ดังนั้น น่าจะสังเกตได้ขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ด้วยการถ่ายภาพกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ขณะเกิดสุริยุปราคา แล้วมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายกลุ่มดาวฤกษ์กลุ่มเดิม เมื่อดวงอาทิตย์ผ่านพ้นไปแล้ว ดูซิว่า ตำแหน่งดาวจะผิดไปหรือไม่​

ดังนั้น เมื่อนักดาราศาสตร์คำนวณได้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม 2457 จึงได้เตรียมทำการพิสูจน์ทฤษฎีของไอน์สไตน์โดยการตั้งกล้องโทรทรรศน์ถ่ายภาพสุริยุปราคาบนแหลมไครเมียของรัสเซีย​

​

แต่กองทัพเยอรมนียกพลบุกรัสเซีย และได้กักตัวคณะนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นไว้นานเป็นเดือน (สุริยุปราคาพาซวย) หลังจากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนตัวเชลยระหว่างสองชนชาติในภายหลัง​

ต่อมาปี 2462 ดูจะเป็นช่วงรุนแรงที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อฝ่ายพันธมิตรเกือบจะหมดหนทางต่อสู้กับฝ่ายเยอรมนีแล้ว ได้มีนักดาราศาสตร์ฝ่ายพันธมิตรคนหนึ่ง เป็นชาวอังกฤษ ชื่อ อาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน อยากจะช่วยฝ่ายของตนเท่าที่จะช่วยได้ จึงพยายามเล่นงานนักวิทยาศาสตร์ทางฝ่ายเยอรมนี ด้วยการพิสูจน์ความล้มเหลวทฤษฎีของไอน์สไตน์ เพื่อได้หักหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งนั้น​

​

ดังนั้น เมื่อจะมีสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2462 อาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน ได้ลงทุนติดตั้งกล้องโทรทรรศน์เพื่อสังเกตสุริยุปราคาถึง 2 แห่ง เพื่อป้องกันอุปสรรคกรณีสภาพท้องฟ้าไม่เอื้ออำนวย โดยคณะของเค้าสังเกตการณ์บนเกาะพรินซิเป นอกชายฝั่งตะวันตกของประเทศแอฟริกา ส่วนอีกคณะหนึ่งตั้งกองสังเกตการณ์อยู่ที่เมือง โซบรัล ประเทศบราซิล​

​

เมื่อวันเกิดสุริยุปราคามาถึง เกิดฝนตกหนัก มาหยุดตกตอนเที่ยงวันหลังจากที่ดวงจันทร์เคลื่อนบังดวงอาทิตย์ไปแล้ว แต่เมฆก็ยังครึ้มอยู่ พอจะได้เห็นดวงอาทิตย์อยู่บ้าง ตลอดระยะเวลาเต็มดวงนาน 5 นาที 14 วินาที เอ็ดดิงตันถ่ายภาพสุริยุปราคาไว้ทั้งหมด 16 ภาพท่ามกลางเมฆหนากระจาย ปรากฏว่ามีภาพใช้ได้อยู่เพียง 2 ภาพเท่านั้น​

​

และภาพที่ใช้ได้นั่นเอง ได้ยืนยันทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์อย่างถูกต้องชัดเจน สนามความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์สามารถเบนให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้งได้จริงๆ​

ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ได้รับการประกาศก้องในที่ประชุมสมาคมดาราศาสตร์หลวงแห่งประเทศอังกฤษ นักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมประชุมต่างตระหนักทันทีถึง ความร่วมมือกันทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ชาติโดยไม่มีสงครามทางวิชาการแต่อย่างใด และโลกเชิดชูให้ไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยบุคคลทันที น่าสงสัยว่าหากไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงหละก็ ไอน์สไตน์อาจคงเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์เพ้อฝัน แทนที่จะเป็นนักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นทุกวันนี้เป็นแน่​

ภาพแสดงการพิสูจน์ทฤษฎีของไอน์สไตน์จากปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ของหนังสือพิมพ์ "อิลลัสตาเตด ลอนดอน นิวส์" (Illustrated London News) - ภาพจาก Illustrated London News/Royal Astronomical Society/ไซน์เดลี​

​

จากความพยายามหักหน้า กลายมาเป็นคนสนิทกันในที่สุด​

​

21 กันยายน 2465 ทฤษฎีของไอน์สไตน์ได้ถูกพิสูจน์อีกครั้งที่ประเทศออสเตรเลีย เพื่อให้หายข้องใจ (เห็นในสยามเป็นแบบบางส่วนด้วย)​

 

อ่านไปได้คิดวิเคราะห์ไป ได้ความรู้มากจริงๆครับ ขอบคุณครับ

 

very detail.....thank you

 

สมภพ สมาชิก



วันที่สมัคร: Jul 2005
ข้อความ: 115
พลังการให้คะแนน: 100

อนุโมทนา ในความรู้ครับ

 

เจ๋งดีจริงๆครับ แน่นปึ๊ก ผมติดตามอ่านอยู่นะครับ ขอบคุณครับ

 

ขอขอบพระคุณอย่างสูงครับที่นำบทความมาให้อ่านกัน

 

ขอบคุณครับ กระทู้ดีๆ

 

และที่ลืมไม่ได้ครับ ^_^
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๔ กษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่คำนวณสุริยุปราคาล่วงหน้าได้ แนวคราสผ่านบ้านหว้ากอ วันที่ 18 สิงหาคม 2411

​

​

​

​

 

ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ

 

เยี่ยมเลย...สุดยอด เอาบทความดีๆแบบนี้มาให้อ่านกันอีกนะครับ

 

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ชอบแนวนี้มากๆ

 

น่าทึ่ง ทีเดียว

 

อ่านเพลินเลยค่ะ ได้ความรู้ใหม่ๆ ขอบคุณมากค่ะ

 

บทความคุณภาพเลยครับ ^_^