จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ยินดีต้อนรับสายพระนิพพานครับ
    เริ่มจะฉายแววหล่ะ
    ปฎิบัติต่อไป ขอให้จิตเกาะพระอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เอง เพราะจะทำให้จิตรวมไวขึ้น หรือเป็นสมาธิง่ายขึ้น เพราะได้อานิสงสืจากพระนี่เอง
    เมื่อจิตนิ่งได้ที่ดีแล้ว
    ต่อไปคุณก็จะค่อยๆรู้ความจริงของจิตตน และโลกนี้เข้าไปกันทุกทีเอง
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตนำจดหมายการสนทนาทั้งสองท่านมาแชร์ให้ผู้ที่กำลังปฎิบัติการ "จิตเกาะพระ" กันอยู่
    เพื่อเป็นขวัญกำลังใจสำหรับผู้ปฎิบัติ และเพื่อธรรมาทานนะครับ



    เมื่อ 10 เมษายน 2555

    สวัสดีค่ะ พี่ภู และพี่เพ็ญ

    มาอีกแล้วค่ะ มาพร้อมกับความสงสัย
    กานต์เป็นคนขี้สงสัยค่ะ และถ้าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จะพะว้าพะวง กลัวผิด จนทำให้ ไปไม่ถึงไหนเลย อิอิ

    ตอนนี้กำลังจับภาพองค์ปฐม สีทองค่ะ ก็อย่างที่บอกว่า จับได้เฉพาะพระพักษ์ แต่ทีนี้ มีภาพผุดขึ้นมา มีแค่พระเกศาท่านน่ะค่ะ ไม่มีสีลอยขึ้นมาเฉย ๆ ทีนี้ก็สับสนเช่นเคย เอ๊ะ จะเอาภาพไหน


    จับภาพปัจจุบันที่เห็นค่ะ มอง/จ้อง/จดจ่ออยู่กับภาพนั้นจนใจสบาย จิตจะวางภาพไปเอง เมื่อภาพหายไปก็ให้ทิ้งภาพแล้วทรงอารมณ์สบาย อารมณ์สบายนั้นเป็นอารมณ์จิตทรงฌาน(สมาธิ) ฌานที่คุณกานต์บอกเล่ามาเป็นฌาน 3 หยาบ(หรือสามัญ,หรือปกติ)

    เอาสติตามรู้ว่าจิตทรงฌานนี้อยู่นะ อย่าเอาสงสัยเข้าไปตัดกำลังจิตจะทำให้ฌานเสื่อมได้ง่าย ความสงสัยคืออวิชชา(ความไม่รู้) แต่ที่เรามาฝึกปฏิบัติจิตเกาะพระ(พุทธานุสสติกรรมฐาน) เรามาฝึกให้จิตรู้ เพราะฉะนั้นให้เอาสติตามรู้สภาวธรรมปัจจุบันที่เกิดขึ้น วางสงสัยไว้ก่อน เอาจิตปฏิบัติธรรมก่อน ทำรู้ปัจจุบันก่อน เกิดอะไรขึ้นก็รู้ อะไรดับไปก็รู้

    รู้ไว้ก่อน อย่าไปคิดว่าฉันไม่รู้ ถ้ารู้ตัวว่าฉันไม่รู้ก็ให้ทำใจวางไม่รู้ไปก่อน ทำใจว่าฉันรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ณ ขณะนั้น นาทีนั้น วินาทีนั้น รู้อยู่แค่ปัจจุบัน อดีตไม่มีตัวตนเราไม่เอา อนาคตก็ยังมาไม่ถึงเราไม่คิด เพราะคิดไปก็ไม่มีตัวตนอีก เลิกคิดแล้วเอาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน เกิดอะไรก็รู้ สงสัยก็รู้ จิตคิดกุศลก็รู้ จิตคิดอกุศลก็รู้ รู้มันไปทุกเรื่อง เป็นการฝึกสติให้ตามทันจิตไปในตัว

    จิตทรงฌาน + จิตรู้ = จิตรู้ ตื่น เบิกบาน โลกภายนอกจะสับสนวุ่นวายอย่างไรแต่จิตฉันสบายอย่างเดียว ใครจะเป็นจะตายจิตฉันก็ยังสบายอยู่ได้ แต่เป็นจิตสบายที่มีปัญญานะ อย่างนี้วางกำลังใจถูก ไม่ใช่จิตสบายแบบเห็นแก่ตัว อันนี้เป็นจิตไม่มีปัญญา อย่างนี้วางกำลังใจไม่ถูก


    ระหว่างนั้นก็ยังคงจับภาพองค์ปฐมภาพเดิม ทีนี้ภาพที่ลอยขึ้นมาน่ะ เปลี่ยนเป็นภาพพระคล้ายองค์ปฐม มองเห็นจากด้านข้าง ไม่มีสี มองไม่เห็นทุกส่วน แต่เห็นเป็นโครงร่างพระพุทธรูปน่ะค่ะ

    ภาพพระจะเปลี่ยนไปตามสภาวจิต คือ เมื่อจิตละเอียดขึ้นภาพจะบางใสขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใสถึงที่สุดภาพพระใส ๆ จะกลายเป็นประกายพรึก หรือแสงแพรวพราว หรือเลื่อมใสระยิบระยับ คล้ายแสงประกายเพชร หรือแสงประกายน้ำ(ยามเมื่อแสงแดดตกสะท้อนกับผิวน้ำ) ถ้าถึงภาพนี้จิตละเอียดยิ่งขึ้น จิตเลื่อนไปทรงฌานสี่อ่อน ๆ ก็ให้ทำสติตามรู้ไปว่าจิตทรงฌานสี่นะ อย่าเอาสงสัยไปขัดขวางการทำงานของจิต อันนี้ผิดหลักการทำจิตเกาะพระ เพราะตัวสงสัยจะไปขัดขวางไม่ให้จิตเจริญและทำให้ฌานเสื่อมได้ง่าย

    การมองเห็นภาพพระไม่เต็มองค์หรือเห็นเป็นบางจุด จะมุมไหนก็แล้วแต่ ถือว่าไม่ผิดหลักการปฏิบัติจิตเกาะพระ จิตเขาทำงานของจิตเอง เขาจะมองมุมไหนก็เรื่องของเขา อย่าเอาสงสัยไปขัดจิต การปฏิบัติธรรมเน้นจิตสบาย จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ไม่เอาความคิดของขันธ์ห้าไปเป็นเครื่องขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของจิต

    การปฏิบัติธรรมเพื่อยกจิต เราเน้นปฏิบัติกันที่จิตจริง ๆ ไม่เอาเรื่องของขันธ์ห้าไปยุ่งกะจิต ขันธ์ห้าเป็นเพียงฐานที่ตั้งของจิตให้จิตทำงานเท่านั้น ขันธ์ห้ามีหน้าที่อะไรในทางโลกก็ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ทางโลกของเขาไป ส่วนจิตให้ไปมุ่งเน้นปฏิบัติทางธรรมเท่านั้น แต่ให้มีสติคอยควบคุมกายกับใจไม่ให้ทำ พูด คิด ในเรื่องอกุศล

    สรุปว่าที่บอกเล่ามาข้างต้นไม่มีอะไรผิดปกติค่ะ จิตยังคงทำงานได้ดี แต่ขอให้วางเรื่องสงสัยลงไปก่อน เอาจิตไว้ก่อน จิตว่าไงก็ว่าตามจิตไปก่อน สงสัยอะไรก็ให้ตั้งคำถามมา แต่ในระหว่างปฏิบัติอย่าเอาสงสัยไปขัดขวางจิต ปล่อยให้จิตทำงานของเขาต่อไป เอาสติตามดูตามรู้ไปให้ถึงที่สุด และไม่ต้องกลัวเป็นกระทงหลงทาง พวกพี่ ๆ คอยดูแลจิตของคุณกานต์อยู่แล้ว ถ้าเห็นว่ามีอะไรผิดปกติพวกพี่ ๆ จะเตือนให้ทราบและปรับปรุงจิตกันต่อไป


    พยายามบังคับให้เห็นจากด้านหน้าก็ไม่ได้ อิอิ ท่านคงงอน แต่ภาพนี้นึกได้ง่ายมาก แค่นึกถึงก็มาเลย

    อืม พี่เพ็ญก็เคยเห็นเหมือนคุณกานต์นะ บังคับภาพอย่างไรท่านก็ไม่หันมา หันแต่ข้างให้เรา บังคับไปบังคับมาท่านหันหลังให้เสียเลย เราก็อืม เอาเถอะ จิตจะดูตรงนี้ก็ดูตรงนี้ล่ะฟ๊ะ ก็ตรงอื่นมันไม่เห็นนี่นา นี่ไง สุดท้ายเราก็ต้องเอาจิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ไม่เอาความคิดไปบังคับจิต

    แต่ภาพองค์ปฐมสีทองก็ยังนึกได้ แต่ค่อนข้างจะนึกยากกว่า ถ้าจะมองภาพนี้ให้ชัดต้องส่งใจไปนั่งหน้าคอมฯ แล้วจะเห็นชัดขึ้น และเห็นได้เกือบทั้งองค์ค่ะ

    โถ คุณน้องขา จิตเขาบอกว่า "พี่ๆ โปสการ์ดหนูไม่ดูแล้ว หนูจะดูแก้ว มันสวยใสกว่ากันเยอะเลย" จะบอกว่าจิตคุณกานต์ละเอียดจนมองเห็นภาพพระเป็นแก้วแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับกำลังฌานก็เป็นฌาน 3 ซึ่งต่อไปจิตก็จะพัฒนาขึ้นสู่ฌานสี่ อันเป็นฌานที่จะช่วยให้ปัญญาเกิดวิปัสสนาได้ง่ายขึ้น

    การจะเข้าสู่นิพพานทุกดวงจิตจะต้องผ่านวิปัสสนา แต่ด้วยกำลังของจิตที่ไม่ทรงฌานหรือไม่มีเครื่องทุ่นแรง จิตมีกำลังอ่อนจะวิปัสสนาได้น้อย เพราะมีกิเลสคอยดึงคอยรั้งให้จิตไปได้ช้า ดังนั้นการที่จิตจะเกิดปัญญาเข้มข้นจนถึงขั้นเกิดวิปัสสนาญาณนั้น ต้องใช้เครื่องทุ่นแรงคือฌานสี่เข้าไปช่วย

    เมื่อจิตทรงฌาน กิเลสเครื่องร้อยรัดต่าง ๆ จะถูกกดให้ต่ำลง ๆ เหมือนสาละวันเตี้ยลง ๆ ยิ่งจิตทรงฌานสูงจิตก็ยิ่งกดกิเลสได้แน่นหนักยิ่งขึ้น ถึงแม้มันจะยังไม่ตาย แต่ถ้าถูกกดไว้ไม่ให้โงหัวขึ้นมาได้ จิตก็ว่างพอที่จะไปดูไปทำในเรื่องวิปัสสนา

    เปรียบเหมือนคนเราถ้าว่างจากการงานยุ่งเหยิงภายนอกเมื่อไร เราก็จะมีเวลาว่างไปทำอย่างอื่นที่เราชอบ จิตก็เช่นเดียวกัน ฌานช่วยให้จิตว่างจากการงานภายนอก แล้วให้จิตสามารถเข้าไปทำการงานภายในจิตได้เต็มที่ เมื่อจิตทำงานของจิตได้เต็มที่ สติปัญญาอันเป็นองค์ประกอบสำคัญก็มีขึ้นเป็นลำดับ

    อันที่จริง จิต สติ ปัญญา เขาเป็นสามแม่ทัพใหญ่ในขันธ์ห้า แต่ถูกกิเลสปิดล้อมไว้จนต่างก็มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน เหมือนต่างคนต่างอยู่ เมื่อใดที่สามแม่ทัพใหญ่กลับมาเจอกัน เขาก็จะจับมือกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    สรุปว่าเราไม่ต้องไปบังคับจิตให้เห็นภาพอื่นนอกจากภาพปัจจุบัน แต่ถ้าจะลองไล่ลำดับภาพเพื่อมองหาฌานก็สามารถทำได้ค่ะ เอาสติไล่ไปทีละภาพ มองหาว่าจิตจับอยู่ที่ภาพใด เมื่อจิตจับอยู่ที่ภาพใดก็ขอให้รู้ว่าจิตทรงฌานนั้นอยู่ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป ทรงอารมณ์ใจสบายไว้

    ถ้าอารมณ์ใจสบายเสื่อมเมื่อไร หรือรู้ด้วยจิตว่ากำลังฌานตกลงไปเมื่อไร ก็ให้นึกจับภาพพระขึ้นมาใหม่ จะจับภาพไหนก็ได้ ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบภาพกับฌานดังนี้

    ภาพโปสการ์ด/ภาพแบน/ภาพขาวดำ/ภาพสี (ฌาน 1)

    ภาพนูน/ปูนปั้น/สว่าง/สีขาว(ฌาน 2)

    ภาพแก้ว/ภาพใส (ฌาน 3)

    ภาพประกายแก้ว/ประกายเพชร/ประกายน้ำ/ประกายพรึก (ฌาน 4)

    จิตจับที่ภาพไหนก็ให้รู้ว่าจิตจับอยู่ที่ภาพนั้น ไม่เอาความคิดของขันธ์ห้าไปขัดขวางการทำงานของจิต

    ถามว่าเวลาจับภาพพระจำเป็นไหมว่าจะต้องเริ่มจากฌาน 1 เสมอไป ตอบว่าไม่จำเป็น จิตที่ฝึกมาดีและสม่ำเสมอจะเกิดความคล่องตัว สามารถกระโดดขึ้นเกาะที่ภาพใดหรือกระโดดเข้าฌานไหนก็ได้ หรือจะเล่นสลับภาพสลับฌานก็ได้

    อ่านแล้วก็ "อย่าไปตีความว่ายาก" คิดจะเล่นสลับภาพหรือสลับฌานก็ทำเลย คิดให้เหมือนเด็ก แต่ทำจริงจังเหมือนผู้ใหญ่ คิดง่าย ๆ ทำง่าย ๆ อย่าไปตั้งท่าให้ยาก นึกอยากจะทำก็ทำเลย ยิ่งเล่นก็ยิ่งชำนาญเกิดความคล่องตัวทางจิต

    ถามว่าแล้วหนูจะไม่ติดฌานเหรอ ตอบว่าหัดเข้าฌาน ทรงฌานให้ได้ก่อนหนูเอ๊ย ถ้าครูกำกับอยู่จะไปติดได้ไง ถ้าติดเดี๋ยวครูเอาชะแลงไปช่วยงัดออกมาให้

    และในระหว่างทรงฌาน ถ้ามีสภาวธรรมใดเกิดกระทบกายใจก็กำหนดรู้ และพิจารณาไปลงที่กฎไตรลักษณ์ มองให้เห็นว่าธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นกฎธรรมดาของโลก มองให้เห็นว่า รัก โลภ โกรธ หลง ธรรมดาเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีอะไรที่ควรยึด ทำใจให้เป็นกลางและปล่อยวางคืนสู่โลกไป

    เกิดมาจากดินก็กลับคืนไปสู่ดิน

    เกิดมาจากน้ำก็กลับคืนไปสู่น้ำ

    เกิดมาจากลมก็กลับคืนไปสู่ลม

    เกิดมาจากไฟก็กลับคืนไปสู่ไฟ

    มันก็มีแค่นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว ทุกอย่างสลายกลับคืนสู่สภาพเดิมหมด


    พี่เพ็ญเคยตอบไปรอบนึงแล้ว ว่าให้ดูภาพที่ผุดขึ้นมาเองใช่ไหมคะ แต่กานต์ก็ยังสงสัยว่า แล้วภาพนั้นจะชัดขึ้นเองใช่ไหม และจะต้องไปแอบดูภาพเดิมในคอมฯ อีกหรือเปล่า

    สำหรับท่านที่มองเห็นภาพได้ง่าย ภาพผุดขึ้นมาเองก็ให้มองภาพนั้น นั่นคือภาพปัจจุบันที่จิตจับอยู่ ภาพจะชัดขึ้นไหม? บางท่านก็เห็นชัด บางท่านก็เห็นไม่ชัด

    อันนี้ขึ้นอยู่กับทิพย์จักขุญาณ คือปรีชาหยั่งรู้ในนิมิต คำว่าหยั่งรู้ในที่นี่คือเห็น หมายถึงมีดวงจิตเป็นทิพย์จนมองเห็นภาพหรือนิมิต แต่จะคมชัดขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับฌาณและญาณว่าจิตปฏิบัติได้เข้มข้นเพียงใด

    เล่าเรื่องของพี่เพ็ญเป็นตัวอย่างนะคะ พี่เพ็ญนี้เห็นภาพอะไรก็ไม่เคยชัดกะเขาสักที มาแต่ละภาพก็มัว ๆ ซัว ๆ ไม่ชัดเจนแจ่มใส ถ้าเปรียบในทางมโนมยิทธิ ท่านก็ว่าประมาณญาณสาม คือเห็นภาพเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น

    แต่ทีนี้ให้นึกถึงความเป็นจริงนะ พระจันทร์ข้างขึ้นมีตั้งหลายระดับ เริ่มตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ ของเราจะอยู่ญาณสามช่วงไหนก็ขึ้นอยู่กับการตัดขันธ์ห้า หมายถึงว่าถ้าจิตเกาะขันธ์ห้าน้อยที่สุด จิตว่างจากกิเลสมากที่สุด จิตเป็นสมาธิได้นิ่งและนานที่สุด และในขณะที่จิตทรงฌานอยู่สติก็มิได้เลือนหายไป จิตก็จะเห็นได้ชัดและนานตามสมาธิที่จิตทรงอยู่

    ทีนี้ทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิต ก็ทำอย่างที่เราทำกันอยู่นี้ คือทรงฌานโดยมีสติรู้นึก/คิด แต่ถ้าเข้าฌานลึกและละเอียดมากเกินไปสติเลือนลางคิดอะไรไม่ออก อันนั้นก็จะมองไม่เห็นนิมิต ถ้าถึงขั้นนั้นต้องไปฝึกอีกอย่างหนึ่งคือการถอดกายทิพย์ เอากายทิพย์ออกไปดูไปรู้ไปเห็นแทน

    แต่ถ้าเห็นนิมิตชัดเจนสว่างไสวเหมือนตอนกลางวัน อันนั้นท่านเห็นด้วยญาณสี่ ทางมโนมยิทธิท่านว่าเต็มกำลังคือได้ฌานสี่และญาณสี่ คนที่จะเห็นญาณสี่ได้ก็ต้องได้ฌานสี่ด้วย

    ถามว่าทุกคนไหมที่จะได้เห็นนิมิต ตอบว่าไม่ทุกคน หนึ่งบุญบารมีเก่าที่ท่านสั่งสมไว้ถ้าเคยปฏิบัติมามากทำไว้มากก็ได้ไว ถ้าบุญเก่าบารมีเก่ามีน้อยก็อาจจะได้ช้า

    แต่ถ้าไม่เคยฝึกในแนวนี้มาก่อนเลย เพิ่งจะมาเริ่มฝึกกันในชาตินี้ ขอบอกว่าเห็นยาก(เหมือนพี่เพ็ญ-เดิมฝึกสุขวิปัสสโก) สงสัยอีกล่ะสิว่าเรากำลังฝึกกันอยู่แนวไหน ตอบว่าแนวเตวิชโช(วิชชาสาม) โดยใช้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นเครื่องอาศัยให้จิตฝึกฝน

    นิมิตที่พี่เพ็ญเห็นไม่ได้กำหนดให้มีขึ้น แต่จิตจะส่งภาพนิมิตมาให้เห็นเองตามที่จิตเขาไปจดจ่ออยู่หรือต้องการรู้แต่ไม่ใช่อยากเห็นนะ ถ้ายากมันไม่เห็นอ่ะ เคยลองมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าทำใจสบาย ๆ เห็นก็ดี ไม่เห็นก็ดี ภาพมาเอง พอจิตเริ่มรู้ช่องทางส่งภาพ-รับภาพ จิตก็จะส่งภาพเข้ามาให้เห็นเรื่อย ๆ ส่งไปที่ไหน ก็ส่งไปที่ใจ ใจเป็นจอรับภาพ (ใจคือวิญญาณ/ประสาทรับรู้) อะไร ๆ มันก็อยู่ในขันธ์ห้านี่แลมันจะไปเห็นที่ไหนได้เล่า

    โอ๊ย ยิ่งพูดยิ่งยาว ละเอียดเกินไปล่ะมั้ง ตามทันป่าวคะ ตามไม่ทันก็ทิ้ง ๆ มันไป อย่าไปสร้างสงสัยขึ้นมาเป็นอัตตาอีก ปฏิบัติไป เกิดอะไรขึ้นก็เอาสติตามรู้กะมัน(จิต)ไป ไม่เข้าใจอะไรก็ถามมาใหม่นะคะ


    สงสัยแค่นี้ล่ะค่ะ ขอรบกวนคำแนะนำอีกรอบค่ะ

    555 คุณกานต์สงสัยแค่นี้ แต่พี่เพ็ญตอบยาวเป็นรถไฟเลย ปู๊นๆ

    ขอบพระคุณมากค่ะ
    กานต์


    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
    พี่เพ็ญ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    นาทีนี้อยากให้พวกเรา นำจิตเกาะพระกันได้ไวๆจัง
    เพราะจิตจะได้ยกกันไวๆ
    จิตยกในที่นี้หมายถึง จิตตั้งอยู่เหนืออารมณ์ หรือกิเลสต่างๆ โดยเฉพาะความโกรธ เพราะคนส่วนใหญ่จะละได้ยากกัน เพราะจิตไม่นิ่ง ไม่เป็นสมาธิกันนั่นเอง
    แต่ถ้าจิตเกาะพระกันได้แนบแน่นแล้ว จิตก็จะตั้งอยู่อารมณ์ต่างๆที่มากระจิตของตนโดยตรงได้
    แถมเรามีสติสัมปชัญญะดีมาก เพราะจิตเป็นสมาธิ เป็นฌานนี้เองที่ช่วยเราดับกิเลสหยาบนี้ได้เป็นอย่างดี ถึงจะเป็นการชั่วคราว แต่ก็ยังดี
    แต่ถ้าเราอยากตัดกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดกันได้อย่างถาวร
    ปกติตามลำพังกำลังใจของตนนั้นไม่เพียงพอ
    เพราะเราจะต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิ หรือทรงฌานที่กล่าวกันไปแล้วนั้น

    แต่ถ้าจิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌาน จิตเราก็จะนิ่งสงบกันได้
    แต่ถ้าจิตนิ่ง จิตสงบกันได้แล้ว
    ต่อไปเราก็จะสามารถมองเห็นความเกิดและดับของกิเลสตนเอง
    โดยเฉพาะความโกรธนั้น เพราะอยู่ดีๆ ต่อให้เรามีสติดีกันแค่ไหน แต่ก็ตามความโกรธกันไม่ทันอย่างแน่นอน
    บางครั้งทันแต่ก็เกือบจะสาย หมายถึงเราเกือบจะทำอะไรเสียหายไปนั่นเอง
    กิเลส หรือความโกรธนี้มันช่างเผาผลาญดวงจิตของเรา ที่เราโยมิได้ทันรู้ตัวกันด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีสติกันเมื่อไหร่ ขอให้เราคลาย หรือลละความโกรธนั้นกันให้ไวที่สุด เพราะอย่าปล่อยไว้นาน เพราะมันจะเริ่มส่งผลมาสู่ร่างกายในที่สุดกัน เช่น ถ้าเราเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์บูด หรือเป็นคนโกรธง่าย
    ในที่สุดโรคไมเกรนจะถามหา ผิวหนังก็ไม่ผ่องใส ถึงเมื่อเราเป็นสวย แต่ถ้าเมื่อไหร่ความโกรธมาเยือนบ่อยๆ อาจจะทำให้เราดูไม่ดี ไม่สง่างาม ไปที่ไหนก็จะมีแต่ปัญหา หรือคนไม่ค่อยรัก เพราะจิตเราไม่มีความเมตตา
    คำตรงข้ามกับความโกรธก็คือ การให้อภัย
    พูดง่าย แต่ทำยาก จริงไหม๊?

    ทำกันได้ง่ายๆนิดเดียวก็คือ นำจิตเกาะพระกันนะจ๊ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 เมษายน 2012
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เห็นที่ญี่ปุ่นแผ่นดินแตก ถนนแยกร้าว ยุบลงดิน ระทึก อีกไม่นานก้อคง
    ได้ไปนอนใต้ท้องทะเลทั้งเกาะกัน.........

    จิต...ไปแล้วไม่ย้อนกลับ(โลก)
    จิต...ไม่เคยหลับมีแต่ตื่น
    จิต...ไม่ฟื้นเพราะตายไม่มี
    จิต...หนีพ้น เมื่อไปนิพพาน
     
  5. Aloe SeRene

    Aloe SeRene Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +62
    มีคำถามนะคะ ว่าจิตเรานั้นตั้งอยู่ที่ไหน...?

    พอได้ลองแบบที่ 1 คือตามจิตที่ไปรับรู้สึก ว่าเกิดดับที่ไหน จุดนี้ยากมากเลยคะหาจุดกำเนิด หรือจุดดับไม่เคยเจอเลยหรือทำผิดวิธี หรือก็ไม่รู้

    พอได้ลองแบบที่ 2 คือไม่ตามดู แต่เกลี้ยกล่อมให้อยู่ในจุดที่เรามองเห็นได้ และเฝ้าไม่ได้ไปไหน แบบนี้ก็หาจุดที่จะไปวางจิด ไม่ได้อีก (** จะวางแบบกรณีที่ 1หรือ 2)
    กรณีที่ 1 บางท่านบอกจิตอยู่ที่หน้าผาก ให้ตั้งจิตตรงนั้น
    กรณีที่ 2 บางท่านบอกจิตอยู่กลางท้อง ให้ตั้งจิตตรงนั้น

    พอมีคำถามได้กลับไปอ่านที่ คุณภูทยานฌาน2 ได้ชี้แนะไว้ ว่าต้องปล่อยละวาง ให้ได้ก่อนปฏิบัติ
    แต่จิตก็ยังคงไปยึดติดกลับคำถาม สิ่งที่สงสัย และวิธีการปฏิบัติแบบไหนที่ถูกกันแน่

    คงต้องรบกวนให้ได้สั่งและได้สอน กันอีกแล้วละคะ :'(
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,283
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กราบอนุโมทนาสาธุๆๆแด่ท่านภูที่ตั้งกระทู้นี้ เมื่อคืนทําตามและจับภาพพระ จิตเบาสบายเลยค่ะ เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว และจะพยายามทําตามที่ท่านแนะนําอีก Goodnight from USA เจ้าค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูงcatt1
     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ถนนพญาไท ยุบเป็นหลุมอีกแร๊ะ ยังไม่ทันไรมาขุดหลุมให้กันซะแร๊วนะท่านธรรมชาติ
    .................................
    ธรรมชาติของจิตคนเรานั้นก้อเหมือนเด็กเล็ก เขาจะซน จะวุ่นวาย ชอบเกาะนั่นเกาะนี่
    อะไรเข้ามานี่รับเอาหมด ยิ่งของใหม่ๆท้าทายตื่นเต้นยิ่งชอบ ใครที่ไม่มีลูกอาจจะมองไม่เห็นภาพแต่ ลองดูเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง ว่าเราต้องให้ความรักความเอาใจใส่กับเขา
    สอนให้เขาเห็นว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ทีนี้ก้อไม่รู้จะสอนยังไง บางท่านจับส่งโรงเรียน
    ก้อเหมือนจับเอาจิตเราไปเกาะที่พระก่อน ยังไม่ต้องเรียนรู้อะไร เด็กเข้า รร นี่
    ต้องหัดเข้าแถวก่อน หัดให้อยู่กับครูก่อน เด็กบางคนไม่ติด รร ร้องกลับบ้าน หาแม่
    ได้เป็น อาทิตย์ แต่พอชินแล้ว ก้ออยู่ได้ เหมือนจิตเราพอเกาะพระได้แล้ว ก้อจะเกาะได้ตลอดทีนี้เด็กพออยู่ รร ได้ไม่ร้องไห้ ก้อมีกะจิตกะใจที่จะเรียน จิตคนเราก้อเช่นกัน พอเกาะพระได้ระยะหนึ่งก้อจะเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปจ้องที่หน้าผากหรือส่วนใดๆ ของร่างกาย เดี๋ยวมันมาเอง(อันนี้ให้เกาะพระได้ก่อนจะรู้ว่าอะไรมา)

    ฉะนั้นขอแนะนำว่า เกาะพระให้ได้ดี ถ้ายังงง pm หา จขกท เดี๋ยว กระจ่าง
    โมทนาสาธุ ในความเพียรค่ะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089


    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเรื่องจิตเาสียก่อนว่า
    จิตนั้นเป็นนาม
    เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ หรือตาเปล่าของเราได้

    เพราะฉะนั้นเราจะมองเห็นจิตกันได้ เราก็ต้องเอานามไปดู ไปรู้จิต
    และสิ่งที่ดู ที่รู้แทนตาเนื้อของเราได้นั้นก็คือ สติของตนเองเท่านั้น

    เมื่อสติเกิด เราก็จะทราบทันทีว่า จิตของตนนั้นอยู่ณ.ที่แห่งหนตำบลใด

    เหตุที่เธอตามหาดวงจิตตนเองไม่เจอนั้นเป็นเพราะว่า เธอยังมีสติไม่เพียงพอ
    แต่ถ้าสติเธอมาก หรือทำสติให้เกิดบ่อยๆแล้ว เดี๋ยวก็ได้พบเจอเข้าสักวัน
    สำหรับผู้ที่มาใหม่ ผู้ปฎิบัติใหม่ หรือผู้ปฎิบัติเก่า แต่ยังทำกันไม่ได้ หรือไม่ก้าวหน้า
    หรือยังเข้าไปไม่ถึงจิตตนเอง หรือเรียกว่าจิตเดิม หรือบางทีเีรียกกันว่า จิตเดิมแท้
    แล้วเราจะทำกันต่อไปอย่างไร

    ก็ต้องตอบว่าต้องค้หาดวงจิตของตนให้เจอ
    โดยการฝึกเจริญภาวนาสติกันให้บ่อยๆ
    บ่อยมากแค่ไหน ตอบไม่ได้เพราะนิสัยคนต่างกัน
    บางคนขยัน บางคนขยันน้อย บางวันขยันมาก บางวันขยันน้อย สรุปแล้วเอาแน่ไม่ได้สักราย
    ไม่เป็นไร ปล่อยไป อย่าไปเครียดกับมัน การทำสมาธิต้องทำความเข้าใจกันใหม่หมด
    เพราะส่วนใหญ่ทำผิดกันเยอะ
    ผลปรากฎที่เห็นกันก็คือ ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร มันโยงใยถึงกันไปโน้น
    เพราะฉะนั้นผมจะบอกวิธีการแก้ไขในการปฎิบัติใหถูกต้องเสียก่อน
    ผมจะไม่เจาะลึกถึงรายละเอียดของแต่ละบุคคล
    เพราะต่างจิต ต่างใจกันนี้แล คือร้อยจิต ก็ร้อยแบบ ไม่เหมือนกันสักดวงจิตเดียว

    เอาอย่างจะขอตอบรวมๆ กลางๆ เป็นเช่นนี้คือ....
    เพราะการทำสมาธินั้นจะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติแห่งจิตตนให้ได้ก่อน แต่ถ้าตอนแรกไม่เข้าใจ หรือทำผิดขั้นตอน
    เราก็มิอาจเข้าถึงกระแสจิตของตนได้
    บางท่านหย่อนเกินไป คือเผลอใจส่งออกนอกบ่อยขณะทำสมาธิ
    บางท่านขยันเกินไป นั่นแสดงว่าจริงจังเกินไป กลายเป็นว่าเราไปบังคับ ขู่เข็ญจิตของตนโดยมิรู้ตัว
    เพราะการทำสมาธินั้นจะต้องวางอารมณ์ให้เป็น คือทำใจให้สบายก่อน
    แต่ถ้าทำไปโดยไม่ถูกหลัก หรือทำแบบไม่เข้าใจ แล้วเราจะเสียเวลา ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายมากเข้าไปอีก
    เพราะขณะที่เราหลับตาไปแล้ว เราจะต้องรู้จริง ทำถูกขั้นตอนการดูจิตจริงๆ
    และเราจะต้องช่วยตนเองให้มากในขณะปฎิบัติด้วย เพราะขณะที่เรานั่งหลับตากันอยู่นั้น ไม่มีใครทราบว่าเราทำถูก หรือทำผิด
    แต่ถ้าทำผิด เราก็เข้าไปไม่ถึงกระแสของตนเอง หรือจิตไม่นิ่ง
    แต่ถ้าใครทำจิตให้นิ่งได้ แสดงว่าทำถูกต้อง

    อันนี้ผมตอบแบธรรมชาติ อย่าเน้นหลักวิชาการนะ เพราะผมถือว่าธรรมะคือธรรมชาต ธรรมชาติก็คือธรรมะ
    เพราะแท้ที่จริงแล้วจิต ดวงจิต วิญญาณนั้นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น

    แต่ถ้าเราทำจิตให้นิ่งกันไม่ได้ เราก็ไม่สามารถมองเห็นจิตของตนเองได้ หรือไม่สามารถมองเห็นถึงความเกิดและดับในธรรมนั้นๆกันได้
    ความเกิดและดับที่เราจะมองเห็นกันได้นั้น จึงมิใช่เรื่องง่ายๆ ถ้ามองเห็นกันง่ายๆนะ ป่านนี้เราก็จะเห็นพระอรหันต์ หรือจิตที่เป็นอรหันต์เดินกันให้เกลื่อนกลาดกันไปหมดแล้วสิ

    นี่ไงหล่ะ คนส่วนใหญ่จึงเข้าถึงธรรมะกันยาก หรือคนที่มีดวงตาเห็นธรรมนั้นมีน้อย ก็เพราะด้วยเหตุนี้
    คือไม่สามารถเข้าไปถึงกระแสจิต หรือเข้าไปไม่ถึงธรรมชาติแห่งจิตของตนเองกันได้
    เพราะพวกเรายังไม่เข้าใจจิตตนเองเป็นหลัก เช่นมีสติตามดู ตามรู้จิตไม่ทันจิต(สติน้อยไป)
    หรือเราไม่สนใจจิตของตน เช่นอาการ อารมณ์ หรือความรู้สึกของจิตตนเองดีพอ เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากมีสติไม่พอกันนี่เอง
    จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นจิต มองเห็นเกิดและดับของธรรมนั้นๆ
    อย่าเพิ่งรีบไปดู หรืออย่าข้ามขั้นตอน คืออยากเห็นธรรม หรือเกิดและดับของธรรมนั้นๆ
    ตราบใดที่เรายังหาจิตไม่เจอกัน

    ถามว่าจะหาจิตตนเองกันได้ตอนไหน???
    ตอบว่า (เริ่มต้นกันที่) เมื่อเราฝึกสติ หรือภาวนาเจริญสติกันอยู่นั้น หรือกรรมฐานอะไรก็ได้ที่ทำให้จิตของเรานิ่ง
    ก่อนจิตจะนิ่งได้นั้น เราก็ต้องฝึกสติ หรือทำความรู้สึกตัวบ่อยๆ เช่น สติติดอยู่กับคำภาวนา เป็นต้น
    เมื่อสติมีมากพอ ที่จะตามดู ตามรู้จิตกันได้แล้ว เราก็จะเริ่มมองเห็นจิตตนเองแล้ว นี่ไงจิตของเรา
    จิตก็คือ ความรู้สึกดีๆของเรานี่แหล่ะ เช่น ตอนนี้เรากำลังรู้สึกเบื่อ พอเรามีสติรู้จิต เราก็จะรู้ว่าจิตของเรากำลังเบื่อ อะไรประมาณนี้

    แต่ถ้าเมื่อสติกับจิตรวมตัวกันเป็นหนึ่งได้แล้ว เราจะรู้สึกตัวมากขึ้น หรือเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    หรือที่เราเรียกกันว่า สติสัมปชัญญะ (ผมเรียกว่าตัวพ่อสติ เพราะเราจะมีความรู้สึกตัวเกือบทุกอิริยาบถก็ว่าได้)
    เมื่อจิตรวมสติเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เราก็จะมั่นใจในตนเอง เพราะจิตเป็นสมาธิแล้ว
    เมื่อจิตเป็นสมาธิ หรือจิตนิ่งดีแล้ว เดี๋ยวตัวปัญญาก็จะเกิดตามมาทีหลัง
    ที่มาของหัวใจพระพุทธศาสนาก็คือ ศีล หรือสติ สมาธิ และปัญญา

    แค่นี้ก่อนไหม๊? แต่ถ้าไม่เข้าใจให้ถามมาใหม่ หรือผมจะเปลี่ยนผู้มาให้ความรู้ใหม่ เผื่อจะได้ถูกจริต
    อันนี้ถือว่าสำคัญมาก
    ผมต้องขอขอบพระคุณท่านนี้มากๆเลย ที่ถามเรื่องขบวนการของจิต ก่อนจิตนิ่ง จิตสงบนี่แหล่ะ ทำยากกันตรงนี้
    เพราะไม่มีพื้นฐานที่เข้าใจดีพอ เพราะเรื่องจิตละเอียดอ่อน และลึกซึ่งยิ่งนัก

    ถามมาอีกเยอะนะ เรียกได้ว่า ต้องเอากันให้ผ่านให้ได้ อย่าปล่อยความสงสัยของจิตท่านไว้ เพราะถ้าท่านปล่อยทิ้งไว้นานๆ จิตจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ และสุดท้ายจิตก็ไม่ปล่อยวางจากสิ่งที่เราเรียกว่าสมมุติกันทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น
    เพราะท้ายที่สุด เมื่อจิตไม่วางแล้ว เราจะหนีความทุกข์กันไม่พ้นกัน นั่นเอง

    ไม่ยากนะ จะบอกยากก็ยาก จะบอกว่าง่ายก็ง่ายนะ
    แต่ถ้าเราเข้าใจอะไรสักอย่างนึงแล้ว มันก็จะง่ายไปหมด
    ผมตอบนี่ก็ด้วยจิตเป็นสมาธินะ แต่ถ้าจิตไม่นิ่ง ผมก็ไร้ปัญญา

    เธอเอาแค่ฝึกสติรู้ตัวนี้ให้มากก่อน อย่าเพิ่งไปสงสัยนำการปฎิบัตินะ ให้เอาแค่สติให้รอดก่อน
    แต่ถ้าสติมีมากๆแล้ว จิตก็จะนิ่งเอง แล้วตัวสตินี่แหล่ะจะเป็นคนบอกกับเธอว่า จิตของเธออยู่ที่ไหน

    ตามฐานที่เธอเข้าใจอยู่นั้น แต่ละสำนักเขาจะมีอุบายไม่เหมือนกัน
    พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกกรรมฐานให้คนเราฝึกกันมีถึงตั้ง 40กอง
    แต่ขอให้เราเลือกปฎิบัติแค่กองเดียว บางคนตามหากรรมฐานที่ถูกจริตตนนั้นก็ต้องใช้เวลานานเลย
    เพราะกรรมฐานทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อเป็นอุบายในการที่จะทำให้จิตนิ่งสงบเท่านั้นเอง

    เมื่อจิตนิ่งสงบ หรือจิตเป็นสมาธิแล้ว ปัญญาถึงจะตามมา
    ค่อยๆปฎิบัติไปนะ อย่าลัด อย่าข้ามขั้นตอน ปฎิบัติให้ถูกต้องด้วย อย่าตรึงเกินไป(จริงจัง) อย่าหย่อนเกินไป(เผลอคำภาวนา ทิ้งคำภาวนา ส่งจิตออกนอกบ่อย)

    สำหรับคำถาม หรือความสงสัยย่อมมีเป็นธรรมดาของจิตผู้ยังไม่รู้
    เมื่อจิตนิ่งได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้กันเมื่อนั้น คำตอบก็จะอยู่ในนั้น
    แต่ถ้าเรานำความลังเล สงสัยนำหน้าการปฎิบัติแล้ว มันไม่มีประโยชน์อันใด ถึงเราจะถามวันนี้และได้คำตอบให้กับตนเองแล้ว เดี๋ยวจิตก็จะสงสัยเรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ จิตจะถามเหมือนเด็กๆ ที่ขี้สงสัยน่ะ
    และขอยืนยันว่าไม่มีผู้ใด ตอบคำถามดีที่สุดเท่าตนเอง
    แต่ถ้าจิตนิ่งดีแล้ว นำจิตไปเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้แล้วจะต้องให้จิตเข้าใจด้วย ถ้าจิตเรียนรู้แล้ว แต่จิตไม่เข้าใจ
    จิตก็จะสงสัยอยู่อย่างนั้น และเราอย่าปล่อยให้จิตสงสัยมาก เพราะเดี๋ยวจะไปสงสัยเรื่องอื่นๆอีกต่อไป
    แต่ถ้าจิตรู้และเข้าใจดีแล้ว จิตเขาจะวางกับทุกสิ่งเอง
    และท้ายที่สุดเราจึงจะสบายกันได้ โดยไม่ต้องมาลำบากใจกันทีหลัง

    โทษทีตอบซะยาวปู๊นๆ เกรงว่าจะไม่เข้าใจ
    ขอบคุณมากที่ทนอ่านจนจบ...
     
  9. กรรมบท 10

    กรรมบท 10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +237
    กำลังพยายามเอาจิตเกาะพระอยู่ค่ะ เนื่องจากปัญญามีน้อยจึงสักแต่ว่าทำ ๆ ไป ว่างก็นึกถึงรูปพระ แต่ไม่เข้าใจ ญาณ 1 2 3 อะไร ชาตินี้จะพ้นจากกิเลสกับเค้าบ้างไหมน้อ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ​


    เรา คือ "จิต" ที่สิงในกาย หรือที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" เราจริง ๆ คือ "จิต" ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เมื่อเรานึกถึงอารมณ์ของจิต

    คำว่า เราคือ "จิต" เราไม่เคยคิดเลยว่าต้องการให้ร่างกายของเราแก่ ไม่ต้องการให้หิว ไม่ต้องการให้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ต้องการให้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องการให้มีทุกข์อย่างอื่น ไม่ต้องการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่ต้องการตายในที่สุด แล้วร่างกายมันตามใจเราไหม..

    เราคือ "จิต" ร่างกายมันเป็นร่างที่อาศัย อารมณ์ที่เราต้องการแบบนี้ มีความปรารถนาเหมือนกันหมดทุกคน แล้วก็ร่างกายมันตามใจเราไหม ลองนึกดู เวลานี้ เราอายุเท่าไรแล้ว ถ้าร่างกายมันเป็นของเราจริง เราพอใจอยู่แค่ไหน ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ ก็เพราะว่าเราไม่อยากจะไม่แก่ แล้วมันเชื่อไหมล่ะ?

    อยากจะกินอาหารอย่างไหนที่ว่ามันดีที่สุดที่มันมีประโยชน์แก่ร่างกายที่สุด ร่างกายจะได้ไม่ทรุดโทรม แต่กินเข้าไปเท่าไรก็โทรมก็แก่ ยาขนานไหนดีที่สุดกินแล้วไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย กินเข้าไปเถอะ ไม่ช้ามันก็ตาย มันก็แก่ นี่เป็นอันว่าเราห้ามร่างกายไม่ได้

    ในเมื่อร่างกายเราห้ามมันไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าร่างกายความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือ "จิต" ที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัย อันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรา

    เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการทั้งปวง ถึงเวลาที่มันจะแก่ มันก็ต้องแก่ ถึงเวลาที่มันจะป่วย ก็ต้องป่วย ถึงเวลาเวทนาต่างๆ เวทนาจะเกิดขึ้นมันก็เกิด ถึงเวลามันจะตาย จ้างมันเท่าไรมันก็ไม่เอา

    แต่พอตายแล้ว ไปสวรรค์บ้าง ไปนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปนิพพานกันบ้าง ไอ้ที่ไปจริง ๆ ร่างกายมันไปด้วยรึเปล่า มันก็เปล่า?

    ร่างกายเน่าทับถมพื้นแผ่นดินอยู่ บางทีเขาก็เผา บางรายไม่ได้เผาก็เละกระจายเป็นกรวดเป็นดิน อันนี้ร่างกายมันไม่ได้ไป ผู้ที่ตกนรก ไปสู่สวรรค์ มันเป็นใคร นั่นแหล่ะ คือ "เรา" ที่เรียกกันว่า "อทิสมานกาย" หรือ"จิต" ที่สิงในกาย

    นี่มาถึงตรงนี้เราจะเห็นได้ทันทีถ้าไม่โง่เกินไป หรือว่าไม่ฉลาดเกินพอดีก็จะเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จะไปนั่งเมาเพื่อประโยชน์อะไร ต้องการมันหรือ เกิดมาชาตินี้ความทุกข์ถมเต็มกำลังอยู่แล้ว เกิดในชาติต่อ ๆ ไปมันก็เป็นรูปนี้ ไม่ว่าชาติไหน

    แต่เกิดเป็นคนมันก็ยังดี แต่ถ้าเป็นคนเลวลงนรกไป มันก็นานนักถึงจะกลับมา นี่พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็จงวางภาระเสีย ทำใจให้สบายว่าร่างกายนี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้นแล้วมีความเสื่อมโทรมไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุดเป็นของธรรมดา เอาใจเข้าไปรับตัวธรรมดาเข้าไว้ ตนของตนเองก็ยังไม่มี ทรัพย์หรือบุตรจะมีแค่ไหน


    "เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อนลูกหลาน เหลนไม่มี
    แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด
    เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน
    เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า
    วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว
    เราสิ้นทุกข์แล้ว"


    คิดไว้อย่างนี้ทุกวันจิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายดี แล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที


    ปล.ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง ก็เลยไม่ได้มานั่งเขียนอะไรให้อ่านกัน ก็เลยนำธรรมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้อ่านกันพลางก่อนๆ เพื่อเป็นการแก้ไข ปรับจิตกันก่อน
     
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    น้องขอแชร์ประสบการณ์ให้คุณ jprabs และท่านอื่นๆ ในเรื่องความคิดในทางโลกนะคะ เห็นท่านพี่ jprabs คิดเยอะ.. ฮ่าๆ
    ส่วนตัวน้องเข้าใจว่าสมองมันชอบคิด จิตก็ชอบคิด ชอบเรียนรู้ ชอบสงสัย ถ้าเรานั่งอยู่นิ่งๆ ไม่ได้อยากคิดอะไร กังวลอะไร แต่ถ้าดูไปสักพักจะเห็นความคิดวิ่งมาเต็มเลยค่ะ (ทั้งที่เรานั่งดูมันคิด มีสติตจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า และสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิด) มันไม่มีใครควบคุมความคิดได้ (นอกจากจะฝึกมาดีมากๆ ถึงมากที่สุดนะ ฮ่าๆ) ใหม่ๆ เราก็ต้องนั่งดูมันล่ะค่ะ




    ทีนี้ความคิดนี่มันเกิดขึ้นได้สองอย่าง (ในความเข้าใจของน้องนะ) คือมาจากสมองและจิต สมองและจิตมันคิดและสงสัยไม่เหมือนกัน เหมือนการจำอะไรสักอย่าง สมองจำกับจิตจำนั้นจะไม่เหมือนกัน ที่เราคิดเยอะ มันก็พลอยทำให้เราฟุ้งซ่าน... เดือดร้อนจิตล่ะทีนี้เพราะมันไม่สงบ ฮ่าๆ
    แล้วพอไม่สงบมานั่งสมาธิข่มยังไงจิตมันก็ไม่สงบ เพราะจิตหาที่อยู่ไม่ได้ มีช่วงนึงน้องก็ฝึกจิตเกาะพระไป คิดถึงพระไป.. ไปๆ มาๆ ก็มีอยู่วันนึงนอนไม่หลับ คืนสอง คืนสามถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ (มาหลับเอาตอนเช้าๆ) กายไม่หลับไม่เป็นไร ปล่อยมันไป มาดูจิตกันดีกว่าว่าเป็นไง

    ปรากฏว่า.. "ความคิด" วิ่งมาเต็มหัวเลย.. คิดไป คิดมา ก็ไปสงสัยอีก สงสัยไปสงสัยมามันก็มึนๆ งงๆ เพราะจิตมันหาคำตอบไม่ได้.. เรารู้ตัวว่าเราคิดอะไร... แต่ลืมอะไรไปอย่างนึงนะ (แต่ไม่ใช่ลืมตานะ ฮ่าๆ) "สติ" ไงคะ.. สติตามจิตไม่ทัน.. ฮ่าๆ งานเข้าเต็มๆ นอนไม่หลับ จิตไม่นิ่ง ไม่สงบ ความคิดเยอะ ฟุ้งซ่านเยอะ... กว่าจะเลิกคิดได้นี่นึกถึงพระอยู่หลายครั้งเลย.. นึกถึงพระเห็นภาพแบบ 360 องศาเลย (ถ้าจิตเริ่มเกาะพระได้บางแล้ว เราสามารถจะดูภาพพระมุมไหนก็ได้)



    ที่พิมพ์มานี่จะบอกว่า "สติ" สำคัญมากๆ เจ้าค่ะ... (แต่ทุกวันนี้สติยังตามจิตทันบ้าง ไม่ทันบ้างนะคะ ฮ่าๆ.. ค่อยๆ ฝึกกันไป) เอาเป็นว่าไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ร้อนใจกาย งานทางโลกเข้ามากแค่ไหน ก็ปล่อยให้กายทำงานไป แต่ใจ (จิต) ไปฝากไว้ที่พระนะคะ
    ใหม่ๆ น้องก็นึกถึงพระในทุกๆ กิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่เช่น เรากินข้าวก็นึกถึงท่าน เราเข้าห้องน้ำก็นึกถึงท่าน เราเดินทาง, ทำงาน,จะนอน ฯลฯ ก็นึกถึงท่าน น้องจะนึกภาพพระขึ้นมาในจิตบ้าง ถ้ากายว่าง, ส่วนถ้ากายมันทำงานเราจะคิดถึงท่านเหมือนเราคิดถึงพ่อแม่, คนรัก อย่างงี้ค่ะ



    ขอเป็นกำลังใจให้พี่ jprabs และพี่ๆ ท่านอื่นๆ นะคะ อย่าลืมว่า
    "กายทำงานทางโลกไป ใจก็คิดถึงพระให้บ่อยๆ"

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

    ปล. uoonso ตอบตามที่ตัวเองพบ และเข้าใจมา ขาดเหลือหรือเกินอะไร รอให้ท่านอื่นๆ ตอบเพิ่มเติมอีกทีนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2012
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    "ปัญญา" สร้างได้ค่ะคุณพี่ กรรมบท 10 จะมากจะน้อยก็ขอให้มีสติก่อนเนอะ... มาๆ เรามาเลี้ยงสติกัน เอาจิตไปเกาะพระไป ส่วนกายก็เอาสติมากำกับว่ามันต้องทำงานทางโลกยังไง คิดถึงพระบ่อยๆ ให้เหมือนคิดถึงพ่อแม่, ให้เหมือนคิดถึงคนรักเลยได้ยิ่งดีค่ะ ว่างๆ ค่อยนึกภาพพระขึ้นในจิตก็ได้ ถ้ากายมันต้องทำงานมากก็คิดถึงพระก็พอ


    ส่วนจะอยู่ญาณไหน อะไรยังไง จิตมันจะเรียนรู้และทำงานของมันไปเอง ขอให้คุณพี่มีสติให้มากๆ ก็พอค่ะ คอยตามดูตามรู้กายทำงาน, ตามดูอารมณ์ตัวเองว่าเป็นยังไง อยากทำอะไร รู้สึกอะไรกับใคร ฯลฯ และไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ก้าวหน้านะคะ ถ้าคุณพี่ตั้งมั่นว่าจะทำ และอยากทำให้ได้ ขอแค่มีความเพียร (รู้กาย,รู้ใจด้วยสติ) เท่านี้เห็นผลเร็ววันแน่นอน



    ญาณจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแม้เราไม่ได้นั่งสมาธิ เพราะจิตเราไปเกาะพระแล้วเท่ากับจิตของเราวิปัสสนาของเขาเอง เราแค่เอาสติตามดูก็พอ ส่วนตัวน้อง ณ ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องระดับญาณนะคะ ฮ่าๆ.. ลองถามพี่ natthapatpun ดูได้นะคะ ท่านทราบดีและสามารถอธิบายได้ ที่รอดได้มาถึงทุกวันนี้นอกจากเอาจิตเกาะพระแล้วได้บารมีพระท่านช่วย ก็มี "สติ" นี่ล่ะค่ะตามดูอย่างเดียว

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ



    ปล. uoonso ตอบตามที่ตัวเองพบ และเข้าใจมา ขาดเหลือหรือเกินอะไร รอให้ท่านอื่นๆ ตอบเพิ่มเติมอีกทีนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ไม่ว่าจะวันไหนๆ เดือนไหนๆ ปีไหนๆ โมงยามไหนๆ ภัยธรรมชาติ มันก็ปุบปับเกิดขึ้นได้ตลอด เพราะโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง เอาอะไรแน่นอนไม่ได้

    โดยเฉพาะแผ่นดินไหว บทจะมาก็มาเลย

    เพราะงั้น ตามพื้นที่เสี่ยง ชาวบ้านควรสังเกตสัตว์เลี้ยงที่บ้าน ว่ามันมีท่าทางยังไง ตระหนกตกตื่นรึไม่ ถ้าจะมีภัยธรรมชาติ สัตว์มันรู้ล่วงหน้า ดูง่ายๆ มันจะกระวนกระวาย ตื่นเต้น อยู่ไม่สุข

    ส่วนพวกที่อยู่ใต้ผิวดิน อย่าง คางคก อึ่งอ่าง พวกนี้จะขึ้นมาข้างบน
     
  14. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เพิ่งกลับมาจาก การแสดงหนังมา หนีกันอุตลุด หน้าหาด
    เราบอกครอบครัวมา ยัง ของจริงกำลังจ่อ นี่เป็นการวอร์มอัฟนะ ขอบอก
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับทุกๆท่าน

    ขอเอาใจช่วยซึ่งกันและกันนะครับ ไม่รู้จะพูดอย่างไร
    ธรรมชาติก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เราต้องทำความเข้าใจกันให้ดี
    ก่อนที่เราจะเข้าใจธรรมชาติ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตตนเองก่อน
    แต่ถ้าเราไม่เข้าใจจิตของตนเองแล้ว เราก็ไม่สามารถเข้าใจผู้อื่น หรือธรรมชาติต่างที่เกิดกันได้เลย

    อะไรจะเกิดก็ปล่อยวางเถอะครับ เพราะถ้าเราไม่ปล่อยวางมีแต่ใจเราเท่านั้นที่จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเข้าใจจิตของตนเองแล้ว ตราบใดทุกข์ยังมีอยู่ก็จริง แต่ไม่สามารถไปทำอะไรกับจิตได้

    อยู่ๆเราจะละ ปล่อย วางกับทุกสิ่งกันไม่ได้หรอก แต่เราจำเป็นจะต้องฝึกสติก่อนอื่น
    เพราะสติเท่านั้นจะนำพากายและใจรอดพ้นจากทุกข์ทางโลก และทุกข์ทางใจ
    และสติเท่านั้นที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิ เป็นปัญญา
    ขอให้พวกเราไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากเดินสายตรงเข้าสู่มรรค ผล และนิพพานกันให้ได้ หรือศีล สมาธิ และปัญญา
    และนี่ก็คือหัวใจของพระพุทธศาสนาของพวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลาย
    หรือนี่คือแก่นสารของพระธรรม หรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    คือนับตั้งแต่วันนี้ หรือลมหายใจในขณะนี้ เป็นต้นไป
    ขอให้ทุกๆท่านเริ่มต้นด้วยสติก่อน สติก็คือศีลของเราดีๆนี่เอง
    เพราะสติหรือศีลก็นับว่าเป็นฝ่ายบุญ กุศล
    จิตจึงจะเกิดสมาธิ เกิดปัญญากัน
    เพราะฉะนั้นให้พวกเราเริ่มต้นกันที่สติ หรือศีลกันก่อน เราอย่าเพิ่งไปพูดถึงสมาธิ หรือฌาน หรือปัญญากันตอนนี้เลย (สำหรับผู้ใหม่ หรือผู้ปฎิบัติเก่าที่ยังไม่ได้ผล)

    แต่ณ.นาทีนี้เป็นต้นไป กรรมฐานอื่นเอาไม่ทันแล้ว เพราะจิตฝึกยาก ต้องใช้เวลานานถึงจะเป็นผล
    ผมจึงถือโอกาสนำจิตเกาะพระกันนะครับ เพราะรวดเร็วทันใจมาก
    เร็วหรือไม่เร็ว ก็ขอให้ไปถามผู้ทำสำเร็จ เช่น
    natthapatpun
    dutchanee
    Kim_UoonSo

    และยังมีอีกหลายท่าน (ลองไปสอบถามพวกเขาเหล่านั้นกันดูเองนะครับ ว่าเขาทำกันอย่าไร)

    ที่บอกว่าได้ผลเร็วเกินคาด ยิ่งกว่าผู้ที่ทำสมาธิ หรือได้ฌาน แต่มักจะขาดความต่อเนื่อง และใช้เวลานาน
    แต่จิตเกาะพระ สำหรับคนขยันๆทำทุกวันตามที่แนะนำ อีกไม่นานเลย ผมเคยทำเร็วที่สุดก็เพียงไม่ถึงเดือน แต่มีปาฎิหาริย์มากมาย แต่ไม่สามารถกล่าวในที่นี้ได้
    ขอให้ลองก่อน ปฎิบัติก่อน อย่านำความลังเลสงสัยนำการปฎิบัติกันเลย เพราะไม่มีประโยชน์ ผมไม่อยากให้คนมาเชื่อกันง่ายๆ

    ผมนำวิชาจิตเกาะพระมาให้ลองปฎิบัติกันแล้ว เพื่อประโยชน์ทางจิตของผู้ปฎิบัติโดยเฉพาะ เพื่อรับภัยพิบัติกันโดยเฉพาะอยู่แล้ว
    ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปสอบถามตามชื่อที่ผมกล่าวมาแล้ว ลองไปถามจิตใจของพวกเธอกันดูสิว่า
    .......ภัยพิบัติยังมีผลต่อจิตใจของพวกเขาไหม๊?....

    เพราะยิ่งตอนนี้มีข่าวดังไปทั่วตามที่ทุกท่านได้ยินกัน
    และท่านลองถามใจตนเองนะว่า จิตพร้อมไหม๊? รับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
    แหล่งข่าวก็มีมากมายล้วนทั้งพระอริยสงฆ์ คนมีญาณ และนักวิชาการ ต่างเริ่มออกมาให้ข้อมูลกันมากมายแล้ว

    และผมก็ทราบดีว่า มีจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มใจเสียแล้ว นี่ธรรมชาติแค่เตือนเฉยนะ
    แต่ถ้าเกิดจริงแล้วพวกเราจะทำกันอย่างไร ถึงเรามีพร้อมทั้งเงินทอง และสิ่งของต่างกันอย่างดี แต่ถ้าจิตใจเราเสียอย่างเดียว อย่างอื่นก็จะไม่มีประโยชน์อันใด

    สำหรับท่านที่กำลังเตรียมตัวหนีกันอยู่ณ.ขณะนี้ แล้วท่านแน่ใจหรอว่าจะปลอดภัย
    เพื่อความไม่ประมาทขอให้ทุกคนเตรียมทั้งกาย และใจไปพร้อมกัน
    เช่น เรากำลังเก็บข้าว เตรียมลูกหลายจะอพยพกัน แต่ขอจิตอย่างเดียวได้ไหม๊?
    ขอให้จิตเกาะพระกันเถิดพวกเรา
    ร่างกายเรามีมือก็สามารถจับ ยึดเกาะสิ่งอื่นๆกันได
    แต่จิตใจไม่มีมือที่จะไปจับ ไปยึดกับสิ่งใดได้ มีสิ่งเดียวที่จิตใจของเราจะยึด และจับได้ก็คือ พระ...พระพุทธเจ้าเท่านั้น

    ถึงแผ่นดินไหวจะแรงแค่ไหน ชาวจิตเกาะพระก็มิอาจหวั่นไหว หรือสั่นสะเทือนตาม
    แต่ยังคงนิ่งลึก และใช้ปัญญาพิจาณา เพราะจิตเกาะพระส่วนใหญ่จิตจะค่อนข้างนิ่งมากเป็นปกติกันอยู่แล้ว แทบมิได้รู้สึกว่าจะเป็นทุกข์
    เพราะจิตเรียนรู้ จิตเข้าใจ จิตก็ปล่อยวางได้ง่าย

    ต่อไปนี้ขอให้พวกที่จิตเกาะพระกันยังไม่แนบแน่น ก็เริ่มทำสติให้เกิดมากที่สุด และอีกไม่นานจิตก็จะนิ่ง แต่ถ้าจิตนิ่งดีแล้ว เราก็จะไม่ค่อยเป็นทุกข์
    เพราะนับแต่นี้ไป ผมเกรงว่าคนที่มิได้ฝึกจิตนั้นมักทำใจได้ยาก กับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน หรือสิ่งที่ได้สัมผัสนั้น จะเริ่มมีปัญหาทางจิตกันแล้ว
    เพราะด้วยจิตขี้สงสัยนั้นจะเริ่มจะมีคำถามให้กับตนเองมากขึ้นไป แต่ถ้าเราไม่อาจหาคำตอบที่พึงพอใจของจิตตนแล้ว ถ้ามากไป และปล่อยทิ้งไว้นานๆ จะกลายเป็คนวิตกจริต หรือคิดมาก และผลเสียก็จะตามาอีกมากมาย เช่น นอนไม่หลับ ทานไม่ได้ จิตวิตกกังวล คิดไปต่างๆนาน จนจิตเกิดฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น
    และทำท่าจะไม่มีอะไรเอาจิตของตนอยู่ได้เลย นอกจากเจริญสติภาวนา

    ถามว่าขณะนี้ เวลานี้ จะทำกันได้ไหม๊? เจริญสติภาวนาน่ะ
    เพราะเมื่อจิตตกอยู่ในโลกแห่งความคิดเสียแล้ว เมื่อจิตไม่นิ่ง เราก็ยากที่จะทำให้จิตเรานิ่งได้ ทำได้แต่ก็ต้องรอจิตให้สบายกันก่อน (แล้วเมื่อไหร่ถึงจะสบาย เกรงว่าจะตายก่อนน่ะสิ!)
    แต่จิตเกาะพระนี่ไม่ต้องรอ เพราะทำกันใหม่ๆขอให้ขยัน ระลึกถึงพระ แต่ถ้าผู้ใดยังนึกไม่ได้ นึกไม่เป็น ก็ขอนำเอารูป ภาพพระ จะเป็นรูป ภาพ พระพุทธรูปองค์ไหน ปางไหน หรือพระอริยเจ้าองค์ไหนๆก็ย่อมได้ทั้งนั้น

    มองเข้าไป รักพระให้มากกว่ารักแฟนตนเองนะก็ยิ่งดี ว่างก็นึกถึงพระเลย ลืมไม่เป็นไร
    เพราะจะอ้างไม่มีเวลานั้นไม่ได้ เพราะเวลาว่างนิดเดียวก็นึกได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องนึกถึงพระเวลานานๆ ไม่จำเป็น แต่ขอให้ระลึกบ่อยๆ
    เพราะถ้าเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นมาจริงๆ จิตใจของเราจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวคือ พระ โดยเฉพาะพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์
    จะเป็นพระองค์ไหนก็ได้ทั้งนั้น เลือกเอาตามใจชอบ

    ต่อไปนี้ขอให้เราทำอยู่สองอย่างก็คือ ร่างกายก็ทำหน้าที่ทางโลกไป
    แต่ขอให้นำจิตไปปฎิบัติภายในจิต หรือจิตเกาะพระไปนะ

    ขอให้ทุกท่านสุขกาย สบายใจ โดยเฉพาะเจริญในศีล ในธรรมทั่วหน้าด้วยกันเทอญ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อุบายทำให้จิตสงบ 10 ประการ ​


    บ่อยครั้งที่เราจะรู้สึกว้าวุ่น เครียดกับเรื่องราวเหตุการณ์
    ตั้งแต่ ส่วนตัว ในครอบครัว ขยายกว้างไปถึงบ้านเมือง และโลก

    หากเป็นรถยนตร์ หรือเครื่องใช้โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า
    เมื่อใช้งานมากๆ เราต้องจอดพัก หรือปิดสวิชต์ เพื่อให้เครื่องเย็น

    เพราะขืนดันทุรังใช้งานต่อไป ก็จะเกิดความเสียหาย..

    แต่ใจของเรา... ใช่ว่าจะมีสวิชต์ปิด เปิดได้ดังใจ

    หากสามารถพักใจบ้าง ทำให้ใจสงบบ้าง แม้ชั่วครั้งคราวก็ยังดี
    เพื่อที่จะได้มีกำลัง ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ


    แล้วจะมีวิธีทำอย่างไร...






    ในหนังสือ ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ ของ ดร.สนอง วรอุไร
    กล่าวถึง อุบายทำให้จิตสงบ 10 ประการ ดังนี้

    [​IMG]
    1. มักน้อย
    ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติเราต้องมักน้อย ปรารถนาน้อย
    เหมือนพระที่พอใจในอัฐบริขารเพียง 8 ประการ
    เมื่อมักน้อยแล้วจิตจะนิ่งง่าย
    เพราะสิ่งกระทบใจให้เกิดความโลภ โกรธ หลงลดน้อยลง

    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการกิน หากรู้จักกินอย่างพอดี
    เพียงแค่พอให้ร่างกายนี้อยู่ได้เพื่อปฏิบัติธรรม
    ความอิ่มที่พอดีย่อมจะเกื้อกูลการปฏิบัติ
    ไม่ใช่สร้างความง่วงเหงาหาวนอนมาขัดขวาง
    เหมือนกับการกินจนพุงกางด้วยความมักมาก
    หรือติดใจในรสชาติแล้วกินมากจนเกินอิ่ม


    [​IMG]
    2. สันโดษ
    หากต้องการให้จิตสงบต้องสันโดษ คือ รู้จักพอ
    พอใจในสิ่งที่ตนเป็น ตนมี ตนได้รับ ทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้
    แต่พอใจกับผลที่ได้รับ แล้วจิตจะสงบ มีความสุข ไม่ว้าวุ่น ไม่ดิ้นรน

    3. ความสงัด
    พยายามหาโอกาสอยู่ในที่ที่สงบเงียบ สงัดกาย สงัดใจ
    เหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติ แล้วจะทำให้จิตสงบได้ง่ายขึ้น
    ด้วยเหตุนี้ พระธุดงค์จึงเลือกที่จะออกไปสู่ป่าเพื่อหาที่สงัด
    เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม

    [​IMG]
    4. ปลีกตัวออกจากหมู่คณะ
    ที่บางคนเรียกว่าการปลีกวิเวกนั้น
    สามารถสร้างความสงบให้เกิดขึ้น
    และช่วยเพิ่มพลังสติ สมาธิ
    และปัญญาให้มากขึ้นได้
    หากต้องการประพฤติปฏิบัติธรรม
    ให้ได้มรรคผลก้าวหน้า
    จึงต้องพยายามปลีกตัวอยู่ห่างจากหมู่คณะ
    เพื่อจะได้ไม่ต้องพูดคุยและทำในเรื่องที่ไร้สาระ
    กระตุ้นให้เกิดกิเลสตัณหา
    ที่จะทำให้พลังจิตอ่อนลง
    จิตจึงสงบยาก

    [​IMG]
    5. ความเพียร
    เป็นตัวการสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จทุกประเภท
    ความเพียรจึงเป็นองค์ประกอบของหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ
    อย่างอิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 และพละ 5
    ซึ่งเป็นหลักธรรมสำคัญที่ผู้ปฏิบัติพึงนำมาใช้ในการฝึกฝนตนเอง
    ฉะนั้น หากต้องการให้จิตสงบเพื่อความก้าวหน้าในมรรคผล
    จึงต้องเจริญความเพียรให้มาก

    [​IMG]
    6. ศีล
    อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ศีลเป็นพื้นฐานของความสงบนิ่ง
    และเป็นปกติของจิต


    7. สมาธิ
    เมื่อฝึกฝนจนเกิดเป็นสมาธิแล้ว
    ต้องรู้จักนำสมาธิแต่ละชนิด
    ไปใช้ให้เกิดประโยชน์และเกื้อกูล
    ต่อการประพฤติปฏิบัติ
    เช่น ใช้ขณิกสมาธิเป็นพื้นฐาน
    ในการศึกษาเล่าเรียน
    การทำกิจการงาน
    การสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

    และใช้อุปจารสมาธิเป็นพื้นฐานของ
    การฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
    จนเห็นสรรพสิ่งเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
    และเกิดปัญญาเห็นแจ้งในที่สุด

    [​IMG]
    8. ปัญญา
    เมื่อเกิดสมาธิขึ้นแล้ว ต้องรู้จักนำปัญญาที่เกิดจากสมาธิมาพิจารณาสิ่งกระทบ
    จนปัญญาญาณเห็นแจ้งเกิด เพื่อให้จิตปล่อยวางสิ่งที่เป็นอนัตตา
    ไม่มีตัวตน และสงบนิ่งอย่างแท้จริงด้วยอุเบกขา

    9. ความหลุดพ้น
    เมื่อปฏิบัติแล้วต้องโยนิโสมนสิการจนกระทั่งจิตสามารถเห็นแจ้ง
    ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง
    แล้วความหลุดพ้นจากสิ่งเศร้าหมอง คือกิเลสใหญ่ทั้ง 3 ตัว
    คือโลภ โกรธ หลง จึงจะเกิด และสามารถนำจิตพ้นไปจากกิเลสที่เหลือได้

    10. ความรู้ความเห็นว่าหลุดพ้น
    นั้นมีด้วยกันมากมายหลายแนวความเชื่อ
    บ้างเชื่อว่าบุคคลสามารถหลุดพ้นได้ด้วยศรัทธา
    หากศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากพอจะหลุดพ้นได้
    ก่อนตายจึงกอดพระพุทธเจ้าไว้แน่น
    เพราะเชื่อว่าตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า
    โดยลืมพิจารณาไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนว่า จริง ๆ แล้วศรัทธาแบบนั้น
    ไม่ได้ทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง หมดไปได้เลย
    แต่กลับเป็นศรัทธาที่อยู่บนพื้นฐานของความหลงเสียเอง
    จึงยังห่างไกลนักจากความหลุดพ้น

    ในขณะที่บ้างก็เข้าใจว่า สมาธิจะทำให้หลุดพ้นได้เหมือนอาจารย์ทั้งสองของเจ้าชายสิทธัตถะ
    คือ อุทกกดาบสและอาฬารดาบส ซึ่งตายในอรูปฌาณสมาบัติ ด้วยเข้าใจผิดว่านั่นคือนิพพาน

    [​IMG]
    ความเข้าใจที่ผิด ๆ เกี่ยวกับความหลุดพ้น
    จึงสามารถสร้างความเสียหายที่ยิ่งใหญ่แก่ผู้ปฏิบัติ
    เพราะฉะนั้นก่อนจะเชื่ออะไร จึงต้องอาศัยปัญญาโยนิโสมนสิการพิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน
    อย่าเชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์ด้วยการประพฤติปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเอง


    ปล. อะไรไม่สงบช่างมัน ขอเพียงแต่จิตสงบอย่างเดียวก็พอ
    อยู่ดีๆ จิตจะสงบกันได้ไหม๊? ตอบว่า ไม่ได้
    และจะทำอย่างไรจิตถึงจะสงบไวๆ ตอบว่า "จิตเกาะพระ"
    (จบเลย)


    ช่วงนี้ถึงว่าทำไม??? ผมได้ยินเสียงพระสวดมนต์ในจิตบ่อยจัง...
     
  17. buddy0

    buddy0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +142
    สวัสดีค่ะพี่ภู. ขอโมทนาสาธุด้วยค่ะ ตามมาอ่านค่ะ ^ ^. ตอนนี้ก็ยังพยายามอยู่ค่ะ แต่รู้สึกว่าเกาะพระเวลาทำกิจกรรมปกติง่ายกว่าตอนนั่งสมาธิค่ะ. ภาพพระเวลาปกติก็ชัดดีค่ะ แต่เวลานั่งสมาธิจับภาพพระได้ไม่นานพระจะหายไป เหมือนต้องพยายามนึกให้กลับมาแล้วตอนมองเห็นพระสมาธิจะไม่ลึกค่ะ. พอลึกลงก็ไม่เห็นอีกแล้ว
    แล้วพระของหนูเป็นสีทองค่ะไม่ได้เป็นแก้วใสประกายพฤก คือใสน่ะเข้าใจแต่ประกายพฤกนี่เป็นยังไงคะ แล้วถ้าเป็นสีทองเฉยๆจะได้มั๊ยคะ เคยอ่านมาว่าจับภาพพระต้องใสเป็นประกายพฤกถึงจะดี ใช่หรือไม่คะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    สาร์นจากมิสเตอร์ภูอีกครั้งนึง​

    (รูปข้างบนนี้ท่านช่วยจำในจิตกันให้ดี ถ้าวิกฤตินาทีนั้นมาถึงตัว แล้วท่านจะได้พบ.....เอง)

    แผ่นดินสั่นไหวได้ แต่อย่าให้จิตเราหวั่นไหวเป็นใช้ได้
    แต่สำหรับผู้ยังไม่ได้ฝึกกรรมฐานอื่นๆ ตอนนี้เห็นว่าไม่ทันแล้วครับ
    นอกเสียจาก จิตเกาะพระอย่างเดียวแล้ว รถขบวนสุดท้ายรอท่านทุกวัน
    รีบไวๆหน่อย ผมเตือนมาหลายครั้งหลายคราแล้ว มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่กำลังให้ความสำคัญกับจิตตนเอง นอกนั้นหลงทางทั้งหมดครับ
    บุญเท่านั้นที่จะนำพาร่างกายและจิตใจปลอดภัย นอกนั้นไม่มี รถยนต์ป้าย มีเงินถังตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว เพราะทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วนะว่า ตายไปแล้วมีแต่บาปกับบุญเท่านั้นที่จะยังติดตามดวงจิตของเราไป
    แม้นแต่ร่างกายของตนเองก็ยังนำเอาไปไม่ได้เลย นับประสาอะไร แล้วท่านจะไปห่วงอะไรอีกเล่า
    ก่อนอื่น ตอนนี้ ให้รีบยกจิต เอาจิตตนรอดก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น
    เหมือนในสมาชิกจิตเกาะพระนี้ ท่านช่วยจิตตนรอดพ้นแล้ว และช่วยยกจิตที่ตนทำสำเร็จ คือมีส่วนช่วยยกจิตให้คุณพ่อ คุณแม่ พี่น้องเขาอีก
    มีนะ คนในกระทู้แหล่ะ ลองไปสอบถามกันเอาเอง

    ผมเตือนไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ ทำหูทวนลม ก็ไม่ว่ากัน ตามใจพวกเขา เพราะผมทำหน้าที่ได้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าไม่ใช่สมเด็จพระองค์ปฐม ผมจะไม่มาเตือนลูกหลานของท่านแน่ๆ


    "เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อนลูกหลาน เหลนไม่มี
    แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด
    เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน
    เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า
    วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว
    เราสิ้นทุกข์แล้ว"​



    คิดไว้อย่างนี้ทุกวันจิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายดี แล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที

    ขอขอบพระคุณธรรมะของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แค่นี้เธอก็นับว่าเก่งแล้ว ขอให้จิตจับได้ก็แล้วกัน
    ส่วนจิตใครจะจับได้เป็นสีอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะสีนั้นหมายถึงจิตทรงสมาธิ หรือจิตทรงฌาน
    แต่ถ้าเข้าสมาธิลึกแล้ว จิตจะลืมก็ช่างเขา นั่นหมายถึงจิตเริ่มยกสูงขึ้นไปตามลำดับ ขอให้สติตามดู ตามรู้จิตไปเฉยๆ ทำแค่นี้นะ อย่านำสติไปช่วยจิตตามหาพระ
    แต่ถ้าเธอทำอย่างนั้น แสดงว่าเธอกำลังไปขัดขวางของจิตกำลังทำงาน หรือจิตกำลังยกสูงขึ้นไปตามลำดับ

    สำหรับเห็นเป็นสีทองนั้น คือจิตกำลังทรงฌานต่ำ
    แต่ถ้าจิตลืมพระไปนั้น แสดงว่าจิตกำลังยกสูง หรือจิตกำลังจะทรงฌานสูงขึ้นไป ขยันเข้าไว้เดี๋ยวดีเอง

    สำหรับจิตท่านใดที่มองพระจากสีทอง เป็นสีใสเหมือนแก้วไปจนถึงสีประกายพรึก(ระยิบระยับประกายเพชร)นั่นก็แสดงว่า จิตทรงฌานสูง หรือจิตละเอียด จิตยกแล้ว
    รอดแล้ว พ้นแล้ว
    อย่าถามกันอีกว่าพ้นแล้ว รอดแล้วหมายถึงอะไร

    เพราะเวลามีภัยพิบัติมาถึงตัว ขอให้ท่านระลึกถึงพระนะ เดี๋ยวจะมีปาฎิหาริย์....


    สีของจิต​

    สีของจิตนี้ บางแห่งก็เรียกว่า "น้ำเลี้ยงของจิต" ปรากฏเป็นสีออกมาโดยอาศัยอารมณ์ของจิตเป็นตัวเหตุ การที่จะรู้อารมณ์จิตนั้นต้องมี เจโตปริยญาณ ก่อนจึงจะรู้อารมณ์ของจิต สีนั้นบอกถึงจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ อารมณ์ขัดข้องขุ่นมัวหรือผ่องใส ท่านกล่าวไว้ดังนี้

    จิตที่มีความยินดีด้วยการหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง
    จิตที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีความอาฆาตจองล้างจองผลาญ กระแสจิตมีสีดำ
    จิตที่มีความผูกพันด้วยความลุ่มหลง เสียดายห่วงใยในทรัพย์สิน และสิ่งมีชีวิต กระแสจิตมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
    จิตที่มีกังวล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เด็ดขาด มีความวิตกกังวลอยู่เสมอ กระแสจิตมีสีเหมือนน้ำต้มตั่วหรือน้ำซาวข้าว
    จิตที่มีอารมณ์น้อมไปในความเชื่อง่าย เชื่อโดยไม่ใคร่ครวญทบทวนหาเหตุผล คนประเภทนี้ที่ถูกต้มตุ๋นอยู่เสมอ ๆ จิตของคนประเภทนี้กระแสมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์ คือ สีขาว
    คนที่มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันเหตุการณ์เสมอ เข้าใจอะไรก็ง่าย เล่าเรียนก็เก่ง จดจำดี มีไหวพริบ คนประเภทนี้ กระแสจิตมีสีผ่องใสคล้ายแก้วประกายพรึก หรือคล้ายน้ำกลิ้งอยู่ในใบบัว คือมีสีใสคล้ายเพชร


    ข้อมูลจากlarnbuddhism.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 เมษายน 2012
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Plapersia
    สวัสดีค่ะเป็นสมาชิกใหม่นะค่ะ ชื่อ ทิวลิป เป็นนศ.คณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ค่ะ ตอนนี้ที่ม.ยังไม่ปิดเทอม งานสุดท้ายที่จะส่งก็มีกำหนดวันที่ 30 เม.ย. เลยค่ะ

    ถ้าคืนฟ้ามืดเป็นวันที่25จริง ก็คงต้องทำใจยอมรับล่ะค่ะ ว่าเป็นกรรมของหนูจริงๆ เป็นไปได้ก็อยากจะอพยพเหมือนกันค่ะไม่รู้ว่าถ้าบอกญาติๆไปเขาจะเชื่อรึไม่ ไปคนเดียวดีหรือไม่ ไปยังไง ที่ไหนดี แต่ทางคุณตาตอนนี้เชื่อแน่นอนค่ะ เพราะท่านเป็นคนนำหนังสือ พุทธทำนาย ที่ท่านพิมพ์แจกในนามของท่านและครอบครัวลูกหลานมาให้ครอบครัวหนู(ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ที่พัทลุงกับคุณยาย มีญาติฝ่ายคุณแม่อยู่ในอ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราชค่ะส่วนครอบครัวหนูอยู่ในเขตชานเมืองของอ.เมืองจ.ตรังค่ะ อยากภาวนาขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยเหลือเกิน)

    เมื่อหนูหนังสือพุทธทำนายได้อ่านก็เริ่มมีความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น เริ่มค้นหาข้อมูลตอนปิดเทอมที่ปิดไปยาวนานเพราะเหตุการน้ำท่วมมหาลัย เข้าไปดูคลิปเด็กชายปลาบู่และหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ได้พักการหาข้อมูลไปตั้งแต่เปิดเทอมที่ผ่านมา เพราะงานเยอะมากจริงๆจนลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย แต่พอมีข่าวแผ่นดินไหวเมื่อวานก็เริ่มหาข่าวต่อทันทีจนถึงตอนนี้ค่ะ อ่านกระทู้ในเว็บนี้มาหลายกระทู้แล้ว ส่วนกระทู้นี้ก็อ่านมาเกือบครบทุกหน้าแล้ว
    ในตอนนี้เริ่มฝึก "จิตเกาะพระ" จากคุณภูทยานณาน2ค่ะ เพิ่งเริ่มวันนี้เอง นั่งมองรูปหน้าจอที่เปลี่ยนจากรูปดาราเป็นรูปพระพุทธชินราชบ่อยๆ (เพื่อว่าจิตเราจะสงบขึ้น ไม่คิดฟุ้งซ่าน)



    ขออนุญาตน้องทิวลิป มาเป็นธรรมาทานให้กับคนรุ่นใหม่
    (คัดมาจากกระทู้ อ.อัญญาสิทธิ์)
    ที่ยังหลงทางกันอีกเยอะ หรือสติไม่ค่อยจะมีกัน ขอให้ดูตัวอย่างน้องทิวลิปคนนี้
    จากที่ดูเคยดูแต่รูปดารา แต่คราวนี้ต้องกลับมาหันดูรูปพระกันแล้ว
    พอได้ยินข่าวแผ่นดินไหวหนักได้มาเตือนจิตคนให้ตื่นจากภวังค์กันมากขึ้น น่าจะเตือนบ่อยมากขึ้นไปเรื่อยๆ

    ก็แล้วแต่ใครจะคิดกันได้ หรือว่ามีสติกันตอนไหน
    แต่ถ้าสติใครเกิดรู้ตัวตอนนี้ แล้วรีบหันมาปฎิบัติกันตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป


    กรรมใครกรรมมัน
    บุญใครบุญมัน
    ใครกินใครอิ่ม
    ใครทำใครได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...