ขันธ์เทพหรือขันธ์ผี ?

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ปาราชิก, 26 มีนาคม 2012.

  1. ปาราชิก

    ปาราชิก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    ผมมีคำถามอยากจะรู้คับว่า ถ้าการรับขันธ์เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเจ้าของตำหนักเค้าเอาขันธ์เทพหรือขันธ์ผีมาให้เรากันแน่ แต่ที่อยากรู้คือ ในเมื่อเรามีจิตตั้งมั่น ขณะรับขันธ์ ว่าท่านใดคือครู และ ภาวนาขอพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งของชีวิต มันจะช่วยแก้เรื่องขันธ์ผีได้หรือไม่ อีกทั้งหากผู้ที่รับขันธ์มาแล้วแต่ขันธ์นั้นอาจเป็นขันธ์ผี แต่ผู้รับปฎิบัติในศีลในธรรมสวดมนต์ภาวนาเจริญสมาธิ ขันธ์ผีนั้นจะอยู่ได้หรือ วอนผู้รู้ชอบตอบข้อสงสัยทีคับ ขอบพระคุณล่วงหน้า
    (ส่วนตัวผมนั้นกำลังจะรับขันธ์เหมือนกันที่ตัดสินใจรับเพราะที่ตำหนักนี้ไม่รับทรงเจ้าไม่ดูดวง 1ปีจะไหว้ครูและลูกศิษย์ถึงจะลงกัน1ครั้งเท่านั้น อีกทั้งเจ้าของตำหนักยังชอบสอนให้ไหว้พระสวดมนต์อย่างมงายและมีสติ ยึดมั่นในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักพ่อแม่เป็นรองและรองมาคือครูอาจารย์ ไม่เรียกร้องค่าครูเหมือนที่อื่น ค่าครู 12 บาทตามตำราโบราณทั่วไป ผมจึงตัดสินใจรับ )
     
  2. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    รับขันธ์ (ขัน) ครูดีไหม?
    www.dhamma5minutes.com/<!-- google_ad_section_end -->
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ระยะหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีมากมายหลายคนต่างได้ยินคำว่า รับขันธ์ เกิดขึ้น

    โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่ถือว่าเป็นแดนศิวิไลซ์ที่สุดของเรา หากกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีผู้เชื่อถือในเรื่องการมีเทพเจ้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด
    <o:p></o:p>
    จะเห็นได้ว่ามีผู้กล่าวอ้างอิงถึงการสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่หลาย

    มีทั้งร่างทรงหรือที่ไม่ยอมรับว่าเป็นร่างทรง แต่ยืนยันว่ามีความเกี่ยวพันกับเทพเจ้าปรากฏทางหน้าหนังสือเกิดขึ้นตลอดเวลา
    <o:p></o:p>
    ทั้งหมดมิได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับมนุษย์ในยุคพ.ศ. นี้ กับการเกี่ยวข้องกับเทวดา...โดยการผ่านพระญาณลงมาโปรดมนุษย์ตาดำ ๆ ที่มีกิเลสครอบงำอย่างพวกเรา ๆ

    บ้านของคนเดินดินธรรมดา ๆ ก็เลยถูกสถาปนาเป็น พระตำหนัก กันเป็นทิวแถว...
    <o:p></o:p>
    ก็อีกนั่นแหละปรากฏการณ์เหล่านี้จะว่าไปก็มิได้ทำความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรให้กับผู้เขียนหรอกครับ นอกเสียจากว่า...
    <o:p></o:p>
    ...ถ้าไม่มีโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่อยู่แทบทุกวัน...
    <o:p></o:p>
    เขาว่าดิฉันมีเทวดาคุ้มครอง... เสียงในลักษณะนี้แว่วเข้ามาเป็นประจำ
    <o:p></o:p>
    ก็ดีแล้วนี่ครับ คนมีเทวดาคุ้มครองก็ถือว่าเป็นมงคล... ผู้เขียนมักจะตอบเช่นนี้เสมอ...ทว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้...
    <o:p></o:p>
    เขาให้รับขันธ์ค่ะ แต่ดิฉันลังเลใจ
    <o:p></o:p>
    ครับ...ก็น่าเห็นใจเพราะอยู่ดี ๆ มีใครสักคนแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาทำพิธีกรรมแปลก ๆ โดยที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน
    แน่นอนคุณต้องลังเลใจ ว่าสิ่งที่จะทำนั้นมีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง...
    <o:p></o:p>
    และที่ร้ายไปกว่านั้น...มีบางรายไปรับมาแล้ว ปรากฏว่าต้องมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการถอดถอน‘ขันครู’

    ด้วยเหตุผลที่ว่า ตั้งแต่รับกันมามีแต่เรื่อง อวมงคล จนทนไม่ไหว...หากแต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวจะมีภัยแก่ตน...
    <o:p></o:p>
    มีผู้แนะนำให้ไปลอยแม่น้ำ แต่ดิฉันกลัว... บางประโยคเช่นนี้ภูเตศวรมักจะได้ยินบ่อย

    ซึ่งผู้เขียนเห็นใจและเข้าใจดี...เพราะพิธีรับขันธ์ (ขัน) ถูกกระทำให้เห็นว่าเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ความรู้สึกจึงเกาะแน่นในจิตของผู้รับ

    ยามเมื่อต้องการละทิ้ง จึงกลายเป็นความวิตก...หวาดหวั่น กลัวว่าจะถูกทำโทษ ฯ

    จากการค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง และจากที่ฟังคำบอกเล่ามา...สาเหตุแห่งการรับขันธ์นั้นมักจะเกิดจากข้ออ้างของเหล่าเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งหลายว่า

    บรรดาศิษยานุศิษย์ที่นับถือมานาน และเพิ่งนับถือพระญาณของเหล่าเทวดาปกปักคุ้มครองรักษา
    <o:p></o:p>
    ...บางรายกล่าวอ้างว่า ถ้าไม่ทำพิธีรับขันธ์ (ขัน) ครูเอาไปบูชา จะถูกทำโทษต่าง ๆ นานา (หมายถึงเทวดาที่คุ้มครองลงโทษ)

    อย่างเช่นทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ถูกลงโทษให้ทำมาหากินลำบาก กิจการทั้งหลายขาดทุนย่อยยับ...
    <o:p></o:p>
    ...ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ถูกทำนายทายทัก ขวัญผวา วิตกกันเป็นที่ยิ่ง...
    <o:p></o:p>
    ถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงนึกอยากจะถามว่า... ตกลงรับขันธ์ (ขัน) ดีหรือไม่ดี ?”
    <o:p></o:p>
    คำตอบก็คือ... ดี และก็ ไม่ดี
    <o:p></o:p>
    หลายท่านคงแอบค้อนควักผู้เขียนหลายตลบ อีตาบ้านี่ตอบกวนประสาทแฮะ...แต่ภูเตศวรยังมีข้ออรรถาธิบายอีกครับ โปรดใจเย็น ๆ

    จากประสบการณ์ที่ภูเตศวรพบเห็นพิธีกรรมรับขันครูมาไม่น้อย ทำให้คิดได้เป็นสองแง่
    <o:p></o:p>
    ประการแรก คือ ดี ก่อน การรับขันธ์ (ขัน) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ท่านผู้อ้างว่ามีเทวดาลงประทับทรง

    หรือมีสมมติสงฆ์บางรูปเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทให้นั้น จะสั่งให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดทำขันขึ้นมาก่อน

    ขันที่ว่าก็คือ ขันน้ำพานรองที่เห็นกันอยู่ โดยจะกำหนดขันเป็นสีเงินหรือสีทองเป็นส่วนใหญ่
    <o:p></o:p>
    สิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในขัน ก็จะมีดอกไม้ ธูปเทียนกับบายศรีที่ประดิษฐ์ขึ้นจากใบตอง บางรายอาจกำหนดให้มีสิ่งอื่นมากกว่านี้ก็ได้ อย่างเช่นเงินกำนลครูเก้าบาท หญ้าแพรก ฯ
    <o:p></o:p>
    การรับขันธ์ครูส่วนใหญ่ จะมีกฎมีข้อห้ามบางประการสำหรับศิษย์อย่างเช่น...
    <o:p></o:p>
    ...ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ใหญ่...เช่น วัว...ควาย
    <o:p></o:p>
    ...ต้องรับประทานมังสวิรัติในวันพระ ฯ

    แล้วแต่เจ้าของสำนักจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งเท่าที่ฟังดูก็ล้วนแต่เป็นสิ่งดี ๆ ทั้งสิ้น
    <o:p></o:p>
    ตรงนี้แหละครับที่ผมตอบว่าการรับขันธ์ ดี ดีตรงที่เหมาะสำหรับผู้ยังติดอยู่ใน อุบาย ข้อกำหนดต่าง ๆ สามารถระงับการอยากในบางสิ่งได้

    หากข้อกำหนดของเหล่าครูบาอาจารย์เจ้าสำนักอยู่ในศีลธรรมก็แล้วกันไป ยกเว้นข้อกำหนดนั้นผิดทำนองคลองธรรม...
    <o:p></o:p>
    ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าผู้มีปัญญาคงแยกแยะได้
    <o:p></o:p>
    ข้อดีอีกประการของการรับขันธ์ก็คือ...เมื่อผู้รับได้ขันธ์ (ขัน) ครูมาแล้ว ก็นำมาตั้งไว้ในที่อันสมควร...และแน่นอนต้องทำการบูชาอยู่เป็นนิจ...

    เท่ากับการได้บูชาพระคุณแห่งครูบาอาจารย์ ได้บูชาคุณแห่งพระเทวาที่ตนเชื่อถือว่าคุ้มครองตนด้วย...
    <o:p></o:p>
    ขันธ์ (ขัน) ครู จึงเป็นเครื่องย้ำเตือนตนให้เป็นผู้ที่ประกอบกรรมดี
    <o:p></o:p>
    และเหนี่ยวรั้งสติมิให้กระทำชั่ว ในฐานะที่มีเทวดาดูแลรักษา...(ตามความเชื่อของผู้รับขันธ์)
    <o:p></o:p>
    แล้วที่ว่าไม่ดีล่ะ?” คำถามเช่นนี้คงต้องตามมาแน่นอน
    <o:p></o:p>
    ภูเตศวรคงต้องบอกว่า...ส่วนไม่ดีตรงนี้อยู่ที่ตัวของผู้รับขันธ์ (ขัน) ครูมาเองว่า คุณเป็นผู้มีสติมากน้อยเท่าใด...
    <o:p></o:p>
    สิ่งแรกก็คือ...คุณรู้จักแยกแยะว่าเจ้าของตำหนักนั้นเป็นผู้ที่มีความดีมีศีลธรรมจริงหรือไม่?
    <o:p></o:p>
    ถ้าเจ้าสำนัก ดี...คุณก็รอดตัวไป
    <o:p></o:p>
    ถ้าเจ้าสำนักอยู่ในคราบนักบุญ หากใจเป็นซาตานก็ถือว่าเป็นความซวย
    <o:p></o:p>
    ที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะเคยเห็นมาเยอะที่พบเห็นครั้งแรก อะไร ๆ ก็ดีไปหมด พูดจามีเหตุผลอยู่ในศีลธรรม...แต่ภายหลังลูกศิษย์ถูกปอกลอกให้เสียทรัพย์จนหมดตัวมาก็มี
    <o:p></o:p>
    ประการที่สอง...ผู้ที่รับขันธ์ (ขัน) ครูมาแล้ว มีส่วนมากคาดหวังว่าเมื่อรับแล้ว ตนจะประสบความสุข พบความร่ำรวย

    ตรงนี้ผู้เขียนอยากจะบอกกับทุกท่านว่า คิดผิด

    เพราะขันธ์ครูกำหนดความเป็นไปในชีวิตของคุณไม่ได้...ตัวคุณเท่านั้นต้องกำหนดชีวิตตนเองด้วยการกระทำ
    <o:p></o:p>
    ชีวิตของมนุษย์ถูกกำหนดด้วย... กรรม หรือการกระทำแห่งตนเท่านั้น
    <o:p></o:p>
    เทวดา...ยังอยู่เหนือกรรมไม่ได้...แล้วอย่างเรา ๆ จะเหลืออะไร?
    <o:p></o:p>
    ที่เขียนอย่างนี้ก็เพราะมีผู้รับขันธ์ (ขัน)ครู บางคนเอะอะอะไรก็นั่งวิงวอน นั่งพร่ำบ่นร้องขอเทวดาให้ช่วย ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องงาน...เรื่องเงิน หรือแม้กระทั่งเรื่องครอบครัว ตรงนี้แหละครับที่ขอบอกว่า
    <o:p></o:p>
    ไม่ดี
    <o:p></o:p>
    ไม่ดีเพราะรับขันธ์ไปแล้วมัวแต่นั่งอ้อนวอน หรือไม่ก็อหังการ์ว่ามีเทวดาคุ้มครอง ภารกิจทั้งหลายที่พึงกระทำก็ไม่ทำ ท้ายสุดชีวิตครอบครัวก็ล่มสลาย
    <o:p></o:p>
    ...ก็เลยกลายเป็น ขันครู ทำลายล้างชีวิตไปเสียอีก...
    <o:p></o:p>
    ในส่วนความเห็นของผู้เขียนเองนั้น ถือว่าการรับขันธ์ (ขัน) ครูเป็นเรื่องของ โลกียธรรม รับก็ได้ ไม่รับก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเองว่า เป็นสุขหรือไม่อย่างไร? ในการนำไปบูชา -ปฏิบัติ...
    <o:p></o:p>
    ...ทุกอย่างอยู่ที่ จิต อันประกอบด้วย สติ ระลึกรู้ของคุณเอง...
    <o:p></o:p>
    คำว่า ขันธ์ ในความหมายของคณาจารย์โบราณต่างกับ ขัน ที่เรียกกันในปัจจุบัน

    ฉะนั้น คำว่ารับขันธ์หรือขันครูนั้น เพื่อต้องการให้พ้องกัน คนส่งเจตนาให้คนรับรู้ถึงสภาวะอันเที่ยงแท้ของมนุษย์ที่ประกอบขึ้นด้วย...
    <o:p></o:p>
    รูป...เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ...อันเป็น ขันธ์ห้า
    <o:p></o:p>
    ถึงตรงนี้อยากจะขอสรุปเลยว่า...การรับขันธ์ (ขัน) ครู นั้นดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเท่านั้น

    ว่าคุณรู้จักเลือก รู้จักปฏิบัติอย่างไร...รวมทั้งรู้ถึงความหมายของการรับหรือไม่...
    <o:p></o:p>
    แต่ถ้าเป็นภูเตศวร ประสบปัญหาอย่างที่เรียกกันว่ามีญาณเทวดาจับต้องตามคำทายทักของร่างทรง...เจ้าสำนักต่าง ๆ เหมือนผู้ตั้งคำถามมา
    <o:p></o:p>
    ภูเตศวร คงต้องขออนุญาตตอบว่า...การเป็นเทวดานั้นต้องประกอบด้วย...
    <o:p></o:p>
    หิริ โอตัปปะ...คือการละอายต่อบาป..
    <o:p></o:p>
    ฉะนั้น...ขออนุญาตยึดถือกฎข้อนี้แทนได้หรือไม่?<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กับประการสุดท้าย พระพุทธองค์ของเราได้ถูกเรายกเป็นบรมครูแล้ว เราเป็นพุทธมามะกะแล้ว

    พระผู้มีพระภาคได้สั่งสอนมนุษย์ให้ดำรงตนอยู่ใน ศีล...สมาธิ...ปัญญา...แล้ว
    <o:p></o:p>
    ฉะนั้น เราขอรับ ศีล...แทนรับขันธ์ครูได้หรือไม่?
    <o:p></o:p>
    เราขอ ปฏิบัติ สมาธิแทนได้หรือไม่?
    <o:p></o:p>
    เมื่อเราทำและปฏิบัติ ศีล...และสมาธิ ดีแล้วเราจึงเกิดปัญญา...
    <o:p></o:p>
    หากทำสิ่งนี้ครบถ้วน แล้วนำถวายเป็นพุทธบูชา...นำถวายต่อครูบาอาจารย์
    <o:p></o:p>
    ...น่าจะดีกว่าการรับขันธ์ (ขัน) ครู...มิใช่หรือ ?
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ร่างทรงขันธ์ห้า
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เทพมีจริงหรือ...?
    <o:p></o:p>
    ร่างทรงมีจริงไหม...?
    <o:p></o:p>
    มีคนทักว่า มีองค์ในต้องไปรับขันธ์ครู แต่ไม่แน่ใจ ควรรับดีหรือไม่ดี?
    <o:p></o:p>
    ปัญหาแรกที่ว่า เทพ หรือเทวดามีจริงหรือ? ต้องขอตอบด้วยน้ำเสียงและลายมืออันหนักแน่นเลยละครับว่า มี แน่นอน...
    <o:p></o:p>
    เพราะอย่างน้อยที่สุด พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเทวดาไม่มีจริงมาก่อน

    แถมในหมวดกรรมฐาน อนุสติ 10 นั้น พระองค์ยังได้บัญญัติ เทวดานุสติ เอาไว้ให้เราได้นำมาใช้เป็นข้อกรรมฐานอีกด้วย...
    <o:p></o:p>
    ผู้จะเกิดเป็นเทวดา ต้องมีคุณสมบัติอยู่สองประการคือ...มีหิริ...และโอตตัปปะ... หรือที่เรียกว่า มีความเกรงกลัวและละอายต่อการทำบาป...

    การเกรงกลัวและละอายต่อบาปนั้น ต้องทั้งในที่ลับและที่แจ้ง จึงมีคุณสมบัติเป็นเทวดาได้
    <o:p></o:p>
    เรื่องชาติภพของโอปปาติกะ ไม่เพียงแต่มีการบันทึกว่าพระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสถึงอยู่เสมอเท่านั้น

    ผู้เขียนเองขอยืนยันด้วยเกียรติแห่งตนว่า เคยได้ยินพระอริยเจ้าที่ผู้เขียนเคารพเทิดทูนยิ่ง

    อย่างหลวงปู่พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เล่าเรื่องโอปปาติกะให้ฟังมาแล้ว

    และภูเตศวรก็เชื่อโดยสนิทใจว่า พระอริยะอยู่ห่างไกลกิเลส และมีศีลบริสุทธิ์อย่างท่านย่อมไม่มุสาวาทเด็ดขาด
    <o:p></o:p>
    ...ฉะนั้น คำตอบแรกของผู้เขียนก็คือ เทวดามีแน่!<o:p></o:p>

    คราวนี้ก็มาถึงเรื่องร่างทรงกันละครับ...กับ คำถามที่ว่าร่างทรงจริง ๆ มีหรือไม่นั้น

    หากจะตอบกันชัด ๆ ก็คงจะยากสักนิด เพราะของอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง พิจารณาด้วยตัวเอง รู้ด้วยตนเองแล้วนั้น ยากจะกล่าวยืนยันได้...
    <o:p></o:p>
    เป็นอันว่า ผู้เขียนขอกล่าวเฉพาะสิ่งอันเป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ประสบพบพานมาให้ฟังก็แล้วกัน เท่าที่ได้พบเห็นมา...

    ร่างทรงที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน มีทั้งจริงและหลอกลวง

    แต่โดยส่วนมากเป็น ของเทียม เสียมากกว่า อยู่ในอัตราร้อยละเก้าสิบห้า ของแท้มีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์
    <o:p></o:p>
    หลายท่านอาจจะถามว่า... แล้วคุณรู้ได้อย่างไร? ครับ... ตรงนี้ไงครับที่เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาที่ทุกท่านอยากทราบกัน...
    <o:p></o:p>
    คำตอบของภูเตศวรก็คืออย่างนี้ครับ... การที่คุณรู้จักร่างทรงที่ไหนก็ตาม

    คุณต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ถืออคติหรือโน้มนำจิตศรัทธาเสียตั้งแต่แรกพบ การวางจิตเฉย ๆ เป็นกลาง จะทำให้คนเราสามารถค้นหาเหตุผลมาพิจารณาได้โดยง่าย
    <o:p></o:p>
    ร่างทรง จริงหรือเท็จ ดูได้จากองค์รวมต่อไปนี้...
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]1. [/FONT]ราศี... ดูราศีของมนุษย์ผู้เป็นร่าง ตรงนี้ดูเป็นเรื่องยากสักนิด แต่ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นได้ชัด คนเหล่านี้จะมีอะไรบางอย่างที่ห่างจากมนุษย์ทั่ว ๆ ไป

    พูดง่าย ๆ ว่ามีคุณลักษณะพิเศษกว่าตรงมองดูน่าเกรงขาม แต่น่าเข้าใกล้ มีเสน่ห์ดึงดูดใจ
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]2. [/FONT]จริยวัตร... ข้อนี้ดูได้ค่อนข้างง่าย เหมือนเราดูพระสงฆ์นั่นแหละครับ พระดี ดีที่ศีลอันบริสุทธิ์ ดีที่สมาธิ และเป็นผู้มีปัญญา

    ฉะนั้นแม้นร่างทรงจะเป็นมนุษย์ แต่ถูกควบคุมโดยเทพเจ้า เทพย่อมแตกต่างจากมาร ตรงที่มีคุณความดี มีศีลธรรม และสำคัญคือมีเมตตา...

    เท่าที่เคยพบเห็นร่างทรงแท้จริงมา ส่วนใหญ่จะไม่เคยเรียกร้องเงินทองจากมนุษย์ที่มาขอความช่วยเหลือ...

    จะยากดีมีจน จะให้การต้อนรับเท่าเทียมกัน ไม่เห็นคนร่ำรวยดีกว่าคนจน แต่มักจะมีความปรานีคนยากจนและลำบากด้วยการช่วยเหลือก่อนเสมอ...
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]3. [/FONT]ปัญญา... ตรงนี้สำคัญครับ ถ้าเป็นเทวดาลงมาประทับทรงช่วยมนุษย์ แต่ปัญญาทึบอับกว่ามนุษย์แล้วจะลงมาช่วยได้อย่างไร?

    มีครับ บางรายแอบอ้างว่า เป็นญาณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ อันเลื่องชื่อ ลงมาประทับ

    แต่พออาราธนาท่านให้เทศน์โปรดบ้าง ท่าน (ร่างทรง) กลับอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เทศน์ไม่ได้ อย่างนี้ถ้าใครเชื่อก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไรแล้ว...

    การเป็นเทวดาต้องมีปัญญากว่าคนทั่วไป และแตกฉานธรรมะพอสมควร เพื่อแนะนำผู้มีทุกข์กายทุกข์ใจทั้งหลายในการปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์ได้บ้างเท่านั้น
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]4. [/FONT]ความสะอาด-สงบ... ร่างทรงที่แท้จริงมักมีนิสัยชอบความสงบ...และที่อยู่ที่กินสะอาด

    ตรงนี้ไม่ได้หมายถึง มีบ้านช่องใหญ่โต หรือมีข้าทาสบริวารเยอะนะครับ ถึงจะอยู่ในกระต๊อบหรือที่ไหน คนเป็นร่างแท้มักจะเป็นคนรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบ

    ดังที่มีประโยคกล่าวว่าจะดูพระสงฆ์วัดไหนดีไม่ดี ให้ดูลานวัน ลานวัดสะอาด เสนาสนะเรียบร้อย บอกได้เลยว่า วัดนั้นพระสงฆ์เป็นผู้พัฒนาทางจิตได้มากกว่า

    ครับ ร่างทรงก็เป็นเช่นนั้น ถ้าแม้แต่หิ้งพระหรือที่บูชาเทพสกปรก รุงรังเต็มไปด้วยหยากไย่ฝุ่นละอองแล้ว เราจะเชื่อได้อย่างไรว่า จิตของเขาสะอาดพอที่จะรองรับพระญาณของเทพมาช่วยมนุษย์ได้ จริงไหมครับ...
    <o:p></o:p>
    สี่ประการที่กล่าวมาข้างต้น คือหลักการใหญ่ ๆ ที่ใช้สังเกตว่าร่างทรงที่คุณพบเห็นนั้นเป็นร่างทรงแท้จริงหรือไม่

    แต่ก็ใช่ว่าในสี่ประการนั้น จะเป็นตัวพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

    ทั้งนี้เพราะถ้าผู้แอบอ้างเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียว ก็สามารถปรุงแต่งขึ้นมาได้เหมือนกัน
    <o:p></o:p>
    ข้อสำคัญที่สุด... คือก่อนที่คุณจะไปพบร่างทรงเพื่อขอความช่วยเหลือ ต้องบอกกับตัวเองว่า เราเป็นผู้มีสติ...เป็นผู้มีปัญญาในการพิจารณาทุกสิ่งอันด้วยเหตุและผล
    <o:p></o:p>
    ร่างทรงและเทวดาที่ลงประทับจะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะทั้งร่างและเทวดาต่างก็ยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น...
    <o:p></o:p>
    ...อย่าเชื่อ! ว่าเทวดาจะล้างเคราะห์ล้างกรรมให้คุณได้
    <o:p></o:p>
    อย่าเชื่อ! ว่าการเสียเงินเสียทองมากมายแล้วจะทำการตัดเคราะห์ตัดกรรมได้ ถ้าเทวดาที่ไหนพูดอย่างนี้ ถือว่าไม่จริง!
    <o:p></o:p>
    อย่าเชื่อ! ว่าการรับขันธ์ครู บูชาด้วยการยอมเสียเงินเป็นพันเป็นหมื่น แล้วเทวดาจะมาอยู่ดูแลตัวคุณ อวยสุขให้คุณมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมาได้
    <o:p></o:p>
    ถ้าร่างทรงนั้น สามารถรับพระญาณของเทพเจ้าได้จริง สิ่งที่คุณจะพึ่งพาได้มีอยู่สองประการเท่านั้น... คือ...
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]1. [/FONT]คำทำนายทายทัก เพราะเทวดาบางท่านมีกระแสญาณสามารถหยั่งรู้อดีต-อนาคตได้พอสมควร

    ที่ใช้คำว่าพอสมควร เพราะอำนาจของเทวดาก็มีอยู่ในขีดจำกัดตามบารมีของตนที่สะสมมาเท่านั้น บางครั้งทำได้แต่ใกล้เคียง ไม่ใช่เป็นเทวดาแล้วจะรู้ไปเสียทั้งหมด
    <o:p></o:p>
    [FONT=’Times New Roman’]2. [/FONT]ถ้าเทวดาลงประทับจริงสามารถให้ข้อคิด-ข้อธรรม ให้เราเอามาใช้แก้ไขความทุกข์ได้บ้างในชีวิต

    แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คุณก็ต้องเอาปัญญาของคุณพิจารณาด้วย เพราะเทวดาก็ใช่ว่าทุกองค์จะอยู่ในสัมมาทิฐิเสียทั้งหมดไป บางองค์ยังเป็นพวกมิจฉาลัทธิอยู่ก็มี
    <o:p></o:p>
    ครับ...สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณา ร่างทรงว่า จริง หรือ ไม่จริง ก็คงมีคร่าว ๆ แค่นี้

    อยากฝากข้อคิดให้ท่านผู้อ่านลองไปคิดดูบ้างนะครับ...ข้อคิดนี้ไม่ใช่เอามาจากที่ไหน ก็นำมาจากบทสวดมนต์ที่ทุกท่านล้วนเคยได้ยินและได้สวดมาอยู่บ่อยครั้งนั่นแหละครับ เพียงแต่บางท่านยังไม่เคยรู้จักคำแปลก็เลยไม่รู้...
    <o:p></o:p>
    ...อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสานัง พุทโธ ภะคะวาติ...
    <o:p></o:p>
    ผู้เขียนข้อเน้นเฉพาะตรงที่ ขีดเส้น ไว้เป็นคำแปลให้เห็นชัดว่า...บทสรรเสริญพุทธคุณบทนี้ คือคำตอบของคำตอบทั้งมวลของภูเตศวร...คำแปลรวมความได้อย่างนี้ครับ...
    <o:p></o:p>
    ...สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยวิชชา... จรณะ ผู้เสด็จดี ผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้เคี่ยวกรำสั่งสอนได้ทั้งมนุษย์และเทวดา...
    <o:p></o:p>
    ตรงนี้แหละครับที่เป็นคำตอบชัดเจน... พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของทั้งมนุษย์และเทวดา

    พระองค์ทรงทิ้ง พระธรรม เอาไว้ให้เรายึดถือปฏิบัติแล้ว เพื่อการพ้นทุกข์ก้าวสู่มรรคผลนิพพาน
    <o:p></o:p>
    ...ถ้าเราน้อมนำแก้วสามดวงคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาอยู่ในใจของตนได้ อะไรจะประเสริฐเท่าเป็นไม่มี

    ร่างทรงกับเทวดาจึงสามารถให้ธรรมที่เป็นแค่ โลกียธรรมเท่านั้น!
    <o:p></o:p>
    ก็ร่างทรง...เทวดา เขามี เขาเป็น เพราะกรรมของเขา เมื่อเขายังอยู่ใต้กรรม...
    <o:p></o:p>
    ...เขาจะช่วยเราได้มากแค่ไหน? ท่านลองคิดดูเอาเถอะครับ!

     
  4. Rorschach

    Rorschach สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +15
    ลำพังเฉพาะ ขันธ์ห้า ยังหนักกันไม่พอกันอีกเหรอ
     
  5. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ไม่เข้าใจไปรับมาเพื่ออะไรเทพเทวดา เราเป็นคนดีสวดมนต์ไหว้พระ มั่นทำบุญรักษาศีล
    เขาก็มาปกปักรักษาอยู่แล้ว (ถ้าเป็นเรื่องของกรรมเวรก็อีกเรื่อง)

    ข้อสังเกตว่าใครมีองค์มีเทพ ผู้นั้นต้องไม่กินเนื้อทุกชนิด
    ถ้าเจ้าเข้าทรงยังกินเนื้อ องค์ที่ลงนั่นคือผีที่มีฤทธิ์เยอะแค่นั้น

    ฝากไว้ละกันนะคนที่ชอบไปรับขันธ์ เราก็คนเขาก็คน เขามีเทพได้เพราะบารมี
    เราก็มีเทพได้เพราะบารมี เราเขาก็เป็นคนต่างกันแต่ว่าบารมีมากน้อย
    บารมีเพิ่มพูนได้ถ้าเราใส่ใจที่จะสร้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2012
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต
    มีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่า "มีองค์" เป็นช่องทางทำมาหากินของพวกมิจฉาชีพ อาศัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษาอยู่แล้ว ตำหนักทรง ร่างทรงต่างๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็น "ผี" หรือ "สัมภเวสี" ทั้งสิ้น!!

    เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ "ผีเข้าตัว" บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก

    ร่างทรงต่างๆ ไม่รู้ว่าตัวเองถูกผีเข้า แต่เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผี.. ก็คงไม่มีใครศรัทธาเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง พระศิวะบ้าง พระพิฆเนศบ้าง พระพรหมบ้าง เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือมายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพราะท่านไม่มีหน้าที่จุกจิกกับเรื่องแบบนี้) บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ฯลฯ ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดังๆ มีอยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 ก็หลอกคนได้มากที่สุดเพราะคนนับถือเยอะ ..

    แท้จริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แจ้งความให้ตำรวจจับได้เลย ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่
    (แต่ก็เห็นมีพวกตำรวจ ลูกเมียตำรวจ ไปเป็นลูกค้าพวกร่างทรงก็มีนะ เห็นเข้าตำหนักกันเยอะ เจริญละ...)

    ผู้ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ล่มสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน พิการ อัมพาต หรืออุบัติเหตุแทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนผีกัดกินอวัยวะภายในให้เจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วยอุบัติเหตุไปเลย!!!

    ที่ผ่านมามีผู้ทนทุกข์ทรมานจากการรับขันธ์แล้วผีเข้าเป็นจำนวนมาก บางคนหมดเงินไปเป็นล้านๆ บางคนก็ถอนเอง แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ถูกวิธี ..ทิ้งขันธ์ไปก็มี แต่วิญญาณในขันธ์นั้นยังเกาะอยู่ที่เดิม..!! ถึงจะเหลือแต่ขันเปล่าๆ ก็ผีมันยังสิงสถิตไว้ที่เดิมอยู่ดี

    งานพิธีไหว้ครูต่างๆ เป็นการเต้นรำ บรรดาผีต่างๆ แต่งตัวมาเลียนแบบเทพ กันสนุกสนาน ท่านสังเกตุเกิดว่า พระแม่กวนอิมต้องมาฟ้อนรำกับกุมาร หรือพระศิวะ กุมารต่างๆ หรือมหาเทพอย่างพระแม่อุมา จะมาฟ้อนเต้นแร้งเต้นกากับผี หรือกุมารต่างๆ อย่างนั้นหรือ..???

    แท้จริงแล้วเทพต่างๆ ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่ต้องมาทรมานสังขารมนุษย์ เพราะมันเป็นบาป นั่งสั่นๆ หงายท้อง เคี้ยวหมาก หรือดูดบุหรี่ทีละ 4-5 มวน อันนั้นมันผีชัดๆ หรือพูดจาด่าทอสาปแช่งมนุษย์ หากมีจิตใจไม่ดี หรือไม่มีศีลธรรมคงไม่เป็นเทพหรอกครับ ยกเว้นพวกผีชั้นต่ำเท่านั้น!!

    บางตำหนักทรงก็เป็นผีชั้นดี ต้องการสร้างบุญจริงๆ ไม่เก็บเงินใดๆ เอาไปทำบุญ แต่หากให้รับขันธ์ ก็ผิดอีกนั้นแหละ ไปเอาพวกผีด้วยกันมาใส่ตัวชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนกัน

    บางท่านไม่ได้รับขันธ์ แต่เข้าไปร่วมด้อมๆมองๆในบริเวณตำหนักทรง ก็โดนสัมภเวสีเข้าแทรกได้เช่นกัน มีอาการแปลกๆ ดังที่เห็นได้ในงานพิธีของตำหนักทรงต่างๆ บางครั้งเห็นว่าเพียงพรมน้ำมนต์ก็จะสงบลง แต่จริงๆแล้วผียังไม่ออกนะครับ...ผลสุดท้าย ตำหนักทรงนั้นเพียงเอาเรื่องนี้มาทำมาหากิน ขายพานดอกไม้ ขายผลไม้ถวายเทพในราคาแพง ขายวัตถุมงคลของปลอม ฯลฯ

    มนุษย์เรา ไม่เข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรม ไปเอาไสยศาสตร์หรือวิชาต่ำๆมาคุ้ม ถึงได้ถูกผีเข้ากันมากมาย ใครรู้ตัวถอยออกมาก่อน ก็นับว่าเป็นบุญ...


    ความเข้าใจเรื่องการรับขันธ์
    ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

    แต่....ตำหนักทรงต่างๆ จะบิดเบือนว่า ขันธ์ 5 คืออย่างเดียวกับ ศีล 5 (ตั้งใจหลอกลวงเพื่อให้ทำพิธีรับวิญญาณเข้าตัว)

    ผี วิญญาณ จะมีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

    ความหมายของขันธ์ต่างๆ

    ขันธ์ 5 หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ขันธ์ 8 หมายถึงการรับ ศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง

    ขันธ์ 9 หมายถึงการรับ ศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ

    ขันธ์ 10 หมายถึง ศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ

    ขันธ์ 16 หมายถึง ศีลของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

    ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับขันธ์เลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ หรือเทพที่บูชา โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ ต้องนังสมาธิให้ถึงขั้นสูงสุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ รวมถึงการแผ่เมตตาถึงสรรพสัตว์ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

    คำแนะนำเรื่องการรับขันธ์
    ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ก็จงอย่าไปรับขันธ์เลย ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ และองค์เทพที่คุ้มครองตนเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

    ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากกรรมส่วนนี้ได้

    ดังนั้นการที่เราได้กล่าวถึงกรณีการรับขันธ์นี้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข มนุษย์เราไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจได้รับการชี้แนวทางแก้ไขได้ เพราะปัญหาต่างๆ ทั้งชีวิตความรัก การงาน สุขภาพ ฐานะการเงิน ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น...
    ธนากร ปุสสวงษ์ saisunya.com

    ...จึงขอให้ใช้สติพิจารณาไตร่ตรอง...

    จากเว็บไซต์ sanyana.com และ saisunya.com / เราขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

    คุณถูกผีหลอกให้รับขันธ์รับองค์หรือเปล่า?
    (ข้อความจาก saksitsart.com)

    คำว่า รับขันธ์ แทนที่คุณจะเป็นฝ่ายรับ คุณกลับต้องเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายเสียขันธ์(ห้า)ให้พวกผีห่าซาตานไป
    ขันธ์ห้าที่คุณต้องสูญเสียไปหลังจากที่คุณไปรับขันธ์ (ผี) รับองค์ หรือ รับสัญญา ยอมเป็นทาสผี

    สิ่งที่คุณต้อง สูญเสีย ให้พวกผีห่าซาตานไปก็คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

    แล้วคุณจะเหลืออะไร?

    ในเมื่อคุณหลงไปเป็นเหยื่อของพวกมันแล้ว ทุกอย่างในร่างกายของคุณตกเป็นทาสผี คุณบริจาคขันธ์ห้าให้พวกผีไปเพราะถูกพวกผีหลอก

    ถ้าคุณบริจาคสังขารบริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาล เมื่อคุณเสียชีวิตไปแล้วเขาจึงมีสิทธิ์นำอวัยวะที่คุณบริจาคไปใช้ได้
    แต่สัญญา ขันธ์ สามารถใช้ร่างกายและจิตวิญญาณของคุณได้ ไม่ว่าคุณจะตายหรือเป็น!!!

    อ่านต่อเรื่องร่างทรงเพิ่มเติม
    ����ͧ�� ��ҧ�ç ��˹ѡ�ç ഹ�ѧ��㹤�Һ�ѡ�ح
    ��ҧ�ç �Ѻ ����ͧ�� ����ᵡ��ҧ�����觷����餹�Ѻʹ
    ��ҧ�ç ���ѧ�ç���� ����ⴹ���ԧ�ѹ��� ���ⴹ��͡�ǧ�����ͼ���������ʵ��
    ��ͧ�� ��ҧ�ç �Ѻ�ѹ�� �Ѻ�ѹ ���ԧ �������� �ͺ�Ӷ������ͧ��ҧ�ç �.�Ե�� �Ѳ����ҵ�� �ѹ���¢ͧ����Ѻ�ѹ�� 5
    ��ҧ�ç �Ѻ�ѹ�� �Ѻ�ѹ ���ԧ �������� �Ըա���Ңѹ�� ��ö͹�ѹ��
    ������ҧ�ç�١�Ѻ ������ǵ�˹ѡ�ç ���ç���Ҷ١����Թ���
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2012
  8. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ดังตฤณวิสัชชนา


    ถาม – เทวดาประจำตัวมีจริงหรือเปล่าคะ?

    [​IMG]

    ตอบ - ถ้านึกถึงเทวดาเดินตามต้อยๆไปคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์คุณตลอดเวลาล่ะก็ แบบนั้นไม่มีหรอกครับ

    ลองคิดดู ถ้าใครสักคนสู้อุตส่าห์ทำบุญจนเกินมนุษย์ธรรมดา ถึงขนาดตายไปเสวยสวรรค์ได้

    สุดท้าย เบื้องบนตกรางวัล โดยให้มาเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองมนุษย์ตลอดเวลา ค่าจ้างค่าออนก็ไม่ได้รับกับใครเขา อย่างนี้จะเป็นเทวดาไปทำไมล่ะครับ

    เป็นคุณจะเอาไหม ถ้าทำบุญแทบตาย แล้วต้องไปกินบุญ ด้วยการเป็นเงาตามสิ่งมีชีวิตที่ศักดิ์ต่ำกว่า อย่างเช่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี?

    หากตอบว่า ไม่เอา เทวดาก็คงไม่เอาเหมือนกัน และหากบอกว่า ไม่เห็นจำเป็น

    เทวดาก็บอกว่า ไม่เห็นจำเป็นเช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้นเลยครับ

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือเกื้อกูลข้ามมิติภพภูมินั้น เป็นไปได้ครับ

    ทำนองเดียวกับที่คุณอยู่ในภูมิมนุษย์ สามารถยื่นมือไปช่วยเหลือสัตว์ในภูมิเดรัจฉานได้ ตั้งแต่สัตว์เล็กอย่างมด ไปจนกระทั่งสัตว์ใหญ่ อย่างปลาวาฬ

    โดยที่การช่วยเหลือ อาจมาในรูปแบบต่างๆ เช่น

    หยิบยื่นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการช่วยชีวิตพวกมัน ราวกับปาฏิหาริย์ หรืออาจมาในรูปของ การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่กำลังย่ำแย่

    หรืออาจมาในรูปของ การนำพวกมันมาผสมพันธุ์กัน ป้องกันการสูญพันธุ์ ฯ

    พวกมันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้เลยว่า เป็นฝีมือของคุณ

    [​IMG]

    พวกเราก็เหมือนกัน วันๆ ได้แต่ดุ่มเดิมไปตามยถากรรม รับรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่ไม่รู้ว่า เป็นการบันดาลของอะไร

    ระหว่างความบังเอิญ กรรมเก่า หรือเทวดา

    ว่ากันถึงความบังเอิญ คุณจะยิ่งทึ่งในโลก และจักรวาลมากขึ้น

    ถ้ารู้ว่า ความกระทบกระทั่งดีร้ายทั้งหลาย ไม่เคยบังเอิญเลย สิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ และกาลเวลา ต่างร่วมกันถักทอเหตุการณ์ ตามจังหวะการให้ผลของกรรมเสมอ

    [​IMG]

    ยกตัวอย่างเช่น คุณเดินไปเดินมา อยู่ในบ้าน แล้วนึกว่า คุณเป็นเอกเทศอยู่ตามลำพัง อยากก้าวเท้าไปที่จุดไหน ในเวลาใดก็ได้

    ความจริง คุณอาจทำหน้าที่เหยียบมดชะตาขาด ให้ตายดับโดยไม่รู้ตัว ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่ง

    เท้าคุณ เป็นวิบากของเหล่ามดกลุ่มดังกล่าว ทำหน้าที่เครื่องประหาร
    ส่งไปเกิดใหม่ ตามเวลาอันควรของพวกมัน

    เมื่อใด คุณเข้าใจความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ระหว่างสิ่งมีชีวิต วัตถุ อากาศ

    และกาลเวลา เมื่อนั้นคุณจะทราบว่า แม้ ‘ความบังเอิญ’ ก็มีเหตุผลบางอย่างของมันเสมอ

    ว่ากันถึงกรรมวิบาก แม้หลายคนจะเชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    แต่เมื่อ ‘ได้ดี’ หรือ ‘ได้ชั่ว’ แต่ละครั้ง ก็จะงงๆ ว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

    กับทั้งมองออกนอกตัว ไปเพ่งโทษว่า เป็นความผิดของมนุษย์ด้วยกันเสมอ เรียกหาความยุติธรรม เพื่อเอาผิดเอาถูก จากมนุษย์ด้วยกันเสมอ

    จะมีสักกี่คน ที่พูดออกและบอกถูกว่า เหตุการณ์ไหน ไหลมาจากกรรมอันใดของตน

    [​IMG]

    ว่ากันถึงเทวดา พวกเราในโลกมนุษย์นี้ มีจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่สัมผัสพลังต่างมิติด้วยจิต อาจจะได้กลิ่นหอมแปลก อาจจะยินเสียงพิเศษ

    หรือบางคนอาจเห็นความผิดปกติ ของเหตุการณ์บางชนิด แล้วทราบทันทีว่า เป็นการแสดงนิมิตด้วยฤทธิ์ของเทวดา

    แต่สัมผัสเทวดานั้น แม้จริง ก็ใกล้เคียงกับอุปาทานมาก เช่น สายลมโชยกลิ่นหอมรื่น อาจเป็นลมธรรมดา ที่หอบกลิ่นดอกไม้ มากระทบจมูก

    แต่จิตคุณปรุงแต่งไปว่า ไม่เคยได้กลิ่นอย่างนี้มาก่อน ที่ไหนในโลก ต้องเป็นกลิ่นทิพย์ของเทวดาแน่ๆ

    ของแบบนี้ ถ้าให้แน่จริง ต้องมีตาทิพย์ อันคู่ควรกับการเห็นสภาพทิพย์

    เมื่อมีตาทิพย์ คุณจะพบว่า อากาศว่างหลายๆ แห่ง ไม่ว่างจริง ต้นไม้ใหญ่หลายๆ ต้น ไม่ได้มีแค่กิ่งใบ

    โลกทิพย์ จะปรากฏต่อหน้า โดยไม่ต้องรอให้ได้ยิน ได้กลิ่น หรือได้สัมผัสอะไรแปลกๆ เสียก่อน เลยด้วยซ้ำ

    คนในโลกส่วนใหญ่ พร้อมจะเชื่อว่า เหตุการณ์ดีร้ายต่างๆ เกิดขึ้นจากความบังเอิญ

    หรือไม่ก็เทวดาบันดาล เพราะไม่ต้องมีตนเอง เข้าไปรับผิดชอบ เหมือนให้เชื่อว่า เป็นผลจากกรรมเก่าของตน

    แม้คนที่ศรัทธากรรมวิบาก ก็มักเลือกเชื่อ เฉพาะเมื่อเกิดเรื่องดีๆ ว่าเป็นเพราะบุญเก่าของตนบันดาล

    ส่วนเรื่องร้ายๆ ของตัวนี่ จะหาแพะ เพ่งโทษเอาผิด กับมนุษย์ด้วยกัน หรือไม่ก็โบ้ยให้ความบังเอิญ และเทวดาเป็นต้นเหตุไป

    ไม่อยากเชื่อว่า ตนเคยทำบาปอันใดไว้ จึงต้องมาเผชิญทุกข์ อย่างที่กำลังเป็น

    [​IMG]

    เมื่อโทษความบังเอิญหรือเทวดา อะไรๆ จะอธิบายง่าย ไม่ต้องเหนื่อยพิสูจน์ให้ยาก แค่ทำใจเชื่อ ก็ใช้ได้แล้ว

    นึกว่ารู้จริงแล้ว และด้วยความไม่รู้จริง หรือรู้ครึ่งๆ กลางๆ นี่เอง เป็นเหตุให้คนจำนวนมาก เชื่อเรื่องเทวดาประจำตัว

    ว่าเป็นเทวดาประเภทที่ คอยประกบติดคุ้มครอง คอยดลใจ หรือกระทั่ง คอยดลเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆ ให้เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    มาทำความเข้าใจ ให้ชัดเจนดีกว่าครับ เริ่มกันที่ความจริง อันเป็นต้นเค้า

    เราต้องทราบว่า เทวดา ก็เป็นสัตว์สังคมเช่นเดียวกับมนุษย์ พวกท่านมีเพื่อน มีสามี มีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวาร ที่รักและผูกพันกัน

    แม้เมื่อญาติมิตร จุติจากสวรรค์ ลงมาเกิดในมนุษยโลกแล้ว ก็ยังอาลัยอาวรณ์

    อาจคอยสอดส่องดู ด้วยความห่วงใย เกรงญาติมิตรของตน จะประสบทุกข์ต่างๆนานา หรือพลาดท่าเสียทีให้กิเลส ทำบาปทำกรรม อันเป็นเหตุให้ต้องพลัดไปสู่อบายภูมิได้

    วิธีสอดส่องของเทวดานั้น ถ้าเทียบให้ใกล้เคียง ก็คงคล้ายมนุษย์อาศัยอินเตอร์คอม ในการฟังเสียงลูกน้อยจากอีกห้อง หรือใช้กล้องวงจรปิด ในการสังเกตพฤติกรรมของฝูงสัตว์เลี้ยง จากที่ไกล

    ต่างกันแต่ว่า เหล่าเทวดาส่วนใหญ่ มีวิถีการรับรู้อันเป็นทิพย์ รู้เรื่องไกลตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย

    เพียงด้วยความห่วงใย มีใจผูกพันอาทร ก็จะรู้ขึ้นเอง เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรของตน ที่ไปเกิดในมนุษยโลก

    เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรในโลก เทวดาก็หาได้ สามารถช่วยเหลือไปหมดทุกเรื่อง ส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องของการดลใจ หรือโน้มน้าวจิตของญาติมิตร ให้เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล

    [​IMG]

    เช่น เมื่อญาติมิตรกำลังโมโหโกรธาจัดๆ เทวดาก็อาจแผ่เมตตา ช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในจิตใจญาติมิตร ให้เยือกเย็นลง ทำนองเดียวกับ บรรดาพระภิกษุผู้มีพลังเมตตาสูงๆ หลายรูป

    สามารถรวมตัวกัน แผ่กระแสความสุข ให้ญาติโยมที่มาประชุมกัน ระงับความทุกข์ และความฟุ้งซ่านลงได้ชั่วคราว เพียงเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้

    ตัวแปรในการดลใจมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง

    ประกอบกับที่ ขณะหนึ่งๆ กิเลสหรือวิบากของมนุษย์ ห่อหุ้มอยู่หนาแน่นเพียงใดด้วย หากมนุษย์กำลังโทสะแรงกล้า

    หรือกำลังมีวิบากมืดคลุมจิต มิดเม้นให้เห็นผิดรุนแรง แม้เทวดาฤทธิ์มาก ก็ดลใจไม่ไหว

    การดลใจ ยังมีหลายเหตุผล และไม่จำเป็น ต้องเคยเป็นญาติมิตรกันในชาติใกล้เสมอไป

    เช่น ในมหาปรินิพพานสูตร ส่วนที่ว่าด้วยการ สร้างเมืองที่ปาฏลิคาม ก็กล่าวไว้โดยใจความสรุปคือ พระพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง

    [​IMG]

    ว่าท่านได้เห็น ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ในการที่เทวดาเป็นอันมาก นับเป็นพันๆ หวงแหนพื้นที่เขตต่างๆ ในปาฏลิคาม

    ๑) เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่หวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ก็น้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    ๒) เทวดาชั้นกลางหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ ชั้นกลาง ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    ๓) เทวดาชั้นต่ำหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและมหาอำมาตย์ ชั้นต่ำ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น

    [​IMG]

    กล่าวสรุปโดยย่นย่อคือพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ว่า พื้นที่ส่วนต่างๆ ของโลกไม่เหมือนกัน ถ้าบุญไม่พอ ก็อยู่ไม่ได้

    หรือมีเทวดาดลใจ ให้ไปอยู่ที่อื่น ที่เหมาะกับวาสนาบารมีของแต่ละคน โดยที่เทวดา ไม่จำเป็นต้องเป็นเทวดาประจำตัวแต่อย่างใด

    หากคุณมีประสบการณ์ ผ่านเข้าไปในหมู่บ้านโจร ที่เล่นไสยศาสตร์มืด ก็คงเคยรู้จักกับ กระแสยะเยียบทมิฬ ชวนขนลุกอย่างประหลาด

    อันนั้น อาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นต่ำปนๆ กัน ทั้งคนทุศีล และเปรตดุ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน

    คนดีที่เข้าไป จะเหมือนแกะขาวที่ถูกแกะดำหมั่นไส้ เวลานอนหลับ อาจถูกรบกวนด้วยเรื่องน่าขนพองสยองเกล้าเอาได้

    ส่วนถ้าคุณมีประสบการณ์ ผ่านเข้าไปในเขตวัด ที่มีอริยเจ้าพำนัก ก็คงเคยรู้จักกับกระแสความอบอุ่นสว่างไสว ปลอดโปร่ง ราวกับอากาศว่างเบา แผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต

    อันนั้น อาจเป็นคลื่นจิต ของวิญญาณชั้นสูง ปนๆ กัน ทั้งมนุษย์ทรงศีล ทั้งเทวดาผู้มีพิมาน ซ้อนกับเขตวัด

    ทั้งเทวดาบุญญาธิการสูงเหนือโลก ที่หมั่นส่งใจลงมาบูชาพระอรหันต์ คนดีไม่พอ ที่คิดเข้าไปอาศัยวัดหลับนอน หรือปฏิบัติธรรมชั่วคราว อาจถูกกระตุกขา หรือได้ยินอะไรแปลกๆ เพื่อเตือนสติ ให้ขยันขึ้นกว่าเดิม ไม่นอนขี้เซาเหมือนเดิม

    โดยรูปแบบการเตือนนั้น อาจทำให้เกรง แต่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกสยดสยองพองขน เหมือนตอนเจอวิญญาณชั้นต่ำ

    [​IMG]

    สรุปคือ นอกจากคำว่า ‘เทวดาประจำตัว’ ซึ่งคุ้นๆกันแล้ว ยังมี ‘เทวดาประจำที่’ อีกด้วย

    รูปแบบความเกี่ยวข้องกัน ระหว่างเทวดากับมนุษย์ อาจมาทั้งในรูปของการดลใจ การปกป้อง ตลอดจนการสะกิดเตือนตรงๆ

    หากจู่ๆ คุณรู้สึกมึนงง หรือรู้สึกเหมือนถูกบล็อกความคิด ให้ตีบตัน โดยเฉพาะขณะต้องทำบุญหรือทำบาป อันขัดแย้งกับตัวตนเดิมมากๆ ก็เป็นไปได้ครับ ว่ามีความเกี่ยวข้อง กับภูตผีปีศาจ หรือเทวดานอกตัว

    แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นเหตุภายใน เช่น ความบกพร่องทางกาย หรืออาจเป็นความขัดแย้ง กับภาวะจิตใจเดิมๆ เท่านั้นเอง

    และไม่ว่า จะเชื่อเรื่องภายในหรือภายนอก การฝึกมี ‘สติ’ ให้เข้มแข็ง ต้านทานบาป และหันมาต้อนรับบุญทั้งปวง นับเป็นนโยบาย อันควรยึดถือเป็นที่สุด

    [​IMG]

    แถมอีกหน่อย เป็นการทิ้งท้าย วิญญาณที่ผูกกรรมสัมพันธ์บางอย่าง กับมนุษย์ ต้องคอยติดตามมนุษย์นั้น มีอยู่จริง แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

    ระดับหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่น คือ ต้องเป็นเหตุผลพิเศษจริงๆ เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอธิษฐานผูกติดกับอีกฝ่าย

    อำนาจการอธิษฐานที่แรงพอ จะทำตัวเป็นเสมือนเชือก โยงให้ต้องติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เมื่อหมดกำลังส่งของแรงอธิษฐาน

    หรือเมื่อฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนละคน ‘เงาตามตัว’ ก็จะจำไม่ได้ ต้องหายไปตามหนทางของเขาเองครับ

    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->


    ภาพประกอบจาก www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skybeach&month=11-2009&date=03&group=2&gblog=93

    www.siamganesh.com/navaratree.html

    www.bloggang.com/mainblog.php?id=plaipanpim&month=14-10-2010&group=15&gblog=4<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
     
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ปรสิตจิตวิญญาณ

    หลายคนงุนงงสงสัยว่า พลังงานที่แฝงมาอยู่ด้วย รึมาผ่านร่าง น่าจะเป็นเทพเทวดาจากสวรรค์ชั้นฟ้าแน่ เพราะชวนทำบุญทำกุศล ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมนั่นนี่กันตลอด

    [​IMG]

    เรื่องนี้ต้องบอกว่า สัมภเวสีทีี่มาเกาะร่าง รึเจ้ากรรมนายเวรบางประเภท ก็ชอบดูดบุญจากร่าง เพื่ออัพเกรดวิญญาณตัวเอง

    อย่างสัมภเวสีบางตน ก่อนตายก็มีคำนำหน้านามว่า นายนั่น นางนี่ แต่พอดูดบุญจากร่างที่เกาะไปนานๆ เข้า ก็อุปโหลกตัวเอง แล้วสื่อสารผ่านร่างว่า เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ สมเด็จพระองค์นั้น พระองค์นี้ เทพองค์โน้นไปก็มาก

    ก็เรียกว่ามุสาร่าง เพื่อความอยู่รอดของตัวเองนั่นแหละ อย่างน้อยๆ ก็ ไม่ต้องระเหเร่ร่อน แถมมีบุญที่ร่างทำอยู่เรื่อยๆ คอยหล่อเลี้ยงวิญญาณ นานไปก็ได้เลื่อนขั้น เลื่อนภูมิกะเขาเหมือนกัน<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    เรื่องที่ใครจะมีเทวดา รึมีสัมภเวสี มาข้องเกี่ยวกะชีวิต ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหตุปัจจัยของเก่า ที่ยึดโยงกัน เป็นสายสัมพันธ์ มันมีอยู่

    บวกกับการเลือกทำกรรมขาว กรรมดำ ในภพชาติใหม่นี่ก็ด้วย

    <CENTER>ขันธ์ ๕ ขันธ์ ยังไม่พออีกหรือ

    </CENTER>

    [​IMG]

    ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ หลวงปู่ดู่” ที่“วัดสะแก” จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

    คนจำนวนไม่น้อยที่ "เข้าพิธีรับขันธ์ ๕".. นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ


    บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณบุรพกษัตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล แต่แท้จริงแล้ว..
    หลวงปู่กล่าวว่า..

    "ส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง.."

    หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้ !


    หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนเมื่อก่อน

    ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

    นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้น ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกัน ด้วยการ..


    [​IMG]

    "ทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง"

    มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก

    หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่


    แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก บางครั้งหลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

    "เขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย"

    บัดนี้ สิ้น “หลวงปู่ดู่” แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้ความคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง


    และก็มิใช่โดยพระเครื่องของท่าน เพราะนั่นยังไม่ใช่ที่พึ่งที่สูงสุด หากแต่ต้องอาศัย..

    "การปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม"

    เพื่อให้เกิดเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม บนฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ...

    [​IMG]

    ขอบคุณบทความจาก คุณรณธรรม ธาราพันธุ์ www.navaraht.com
     
  11. LiuYiFei

    LiuYiFei สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +6
    อย่ารับเลย แล้วแต่บุญแต่กรรมนะครับ สาธุๆๆ :'(
     
  12. KhonKae

    KhonKae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2011
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +76
    ผมอยากรู้ว่า เวลารับขันธ์ทั้งหลายแหล่ ไหว้่ผีทั้งหลายแหล่ ถ้าเอาท้าวเวสสุวัณโณไปในพิธี ทั้งผีทั้งเจ้าทั้งหลายแหล่จะมามั้ย ไม่หนีจนขี้หดตดหายรึ อีกประการลำพังขันธ์ห้าในตัวยังไม่พออีกหรือท่านทั้งหลาย
     
  13. PumpDemon

    PumpDemon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +30
    สวดบทพุทธคุณ ธัมคุณ สังฆคุณ ครับ
    ดีกว่าการไปรับขันธ์ ใด ๆ ทั้งสิ้นครับ
    พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของทุกสรรพชีวิต
    พิสูจน์ได้ เข้าถึงได้จริง

    ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าพระธรรมของพระพุทธองค์แล้ว
    อย่ารับเลยครับ ทุกอย่างสำเร็จได้ที่จิตครับ
    พิธีการทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้นเพื่อยังศรัทธาให้เิกิด
    หากจิตเราถึง เรายังจะมีพิธีการไปเพื่ออะไรครับ
     
  14. ปาราชิก

    ปาราชิก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    เอ่อ ใจเย็นๆกันก่อนนะคับทุกท่าน พอพูดถึงการรับขันธ์เป็นต้องของขึ้นการทุกเว็บทุกกระทู้ไปสินะ ใจเย็นก่อนลองคิดทบทวนดูก่อนเราเรียนหนังสือยังต้องเรียนกับครูมีไหว้ครูแล้วเหตุใดการรับขันธ์ครู เพื่อยกย่องครูถึงได้ดูผิดร้ายแรง ผมกลับมองต่างมุมว่า คนที่รับขันธ์มาแล้วมีแต่เรื่องแย่ๆ ตนลืมมองการกระทำของตัวเองไปหรือปล่าว ทำดีแล้วหรือปล่าว ผิดคำสาบานตน หรือปล่าว อย่าโทษแต่ครู โดยไม่รู้ว่าตัวเองผิด ผู้ประพฤติดีทำดี มีหรือจะตกต่ำ แต่ที่กระทู้นี้ต้องการถามคือ หากผู้ที่รับผีมาแต่ปฎิบัติดี ผียังจะอยู่ได้อีกหรือ ???
     
  15. ruangsin

    ruangsin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมว่าอย่ารับขันธ์ให้เสียเงินเลยรับมาแล้วคุณรวยขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรไหม ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ตาย เราจะดีไม่ใช่คนอื่นทำให้ต้องทำเอาเอง ผมอยากได้อะไรผมลงมือทำเลยทำจนเสร็จไม่ต้องเสียเวลาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์ใดให้มาช่วย ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนจะดีมากเลย
    ภวนาบ่อยๆปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้อย่างอัศจรรย์ใจก็เย็นมีพลัง ชีวิตเราเราเป็นผู้กำหนดเองไม่ใช่หรือ
     
  16. ok_krub

    ok_krub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +103
    อย่ารับเลย

    เห็นด้วยกับหลายๆๆความคิดครับ...ถึงจำเป็นแค่ไหนผมก็ไม่ แนะนำให้ใครไปรับขันธ์ทันทีหรอกครับ..ให้เน้นไปที่การปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก่อนดีกว่า ทำดีไปเรื่อยๆ มันยุ่งยากวุ่นวาย เป็นภาระโน้นนี้ อย่างที่เค้าว่ากัน แค่ ขันธ์ห้า ยังหนักไม่พออีกหรือ ...แค่ตัวเรายังจะเอาดีไส่ตัว ได้ไม่ตลอดรอดฝั่งกันเลย ...ไปหาภาระมาเพิ่มอีก เสี่ยงมากๆๆ เทวดา แค่เราทำดี ท่านก็อนุโมทนาแล้ว หากแต่ไม่พ้นเวรพ้นกรรมกัน หรอก ถึง จะหวั่นจะกลัวกันไป เทวดามีแต่จะพาให้ทำดี เตือนสติให้ทำดี จิตยิ่งสูง ยิ่งไม่ยุ่งยากวุ่นวาย ให้มากเรื่องกัน เอาจิตกันล้วนๆๆ เป็นพอ
    .....ตนเตือนตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะช่วยให้ป่วยการ......
    .......มีมือมีสมองมีสังขาร32 จงรักถนอมพาจิตตนให้พ้นเวรพ้นกรรม ทำดีให้เยอะๆ คนที่ได้คือเราเอง เรารวยบุญกุศลรวยความดี จิตมีกำลังหนุนให้ไปพ้น ได้มากแล้ว จะเผื่อแผ่ใครก็ได้ เพราะจิตเราสูงได้มากแล้ว
    ........ทำให้เขา แล้วเขาพ้น แล้วทิ้งภาระให้เราไว้ นั้งไช้เวรใช้กรรม เอาแต่บุญกุศล หนีจากเราไป แบบนี้ จะโทดใคร ว่าป่ะครับ
    ........เทพมีจริง สวรรค์ นรกมีจริง แต่มนุษ เป็นแดนประเสริฐ ที่ จะนำพาไปสู่การบรรลุ อรหัตผล ได้ มากกว่าภพอื่น จงมองความสำคัญนี้ให้ดี
    ........ทำตนเองให้ดีก่อน ดีที่ศีล 5 พื้นฐาน ถ้ายังทำตนไม่ได้ดี แล้ว อย่าเพิ่งไปค้นหารับเอาสิ่งอื่นนอกจาก จิตตนเองมาเป็นภาระ ครับ .....
    ........ทำดีให้มาก สวด ไหว้พระปฏิบัติ สัมมา ให้มาก เทวดาเหล่านั้นผี เหล่านั้น จักยินดีอนุโมทนา อย่างสงบไปเอง ผู้จิตสูงแล้วย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ...ส่วนใหญ่ จักเห็น มาแบบนั้น .......ปฏิบัติให้สุดใจสุดกำลังเราก่อน ค่อย คิดที่จะไป หาขันธ์อื่น จิตอื่น มาเป็นภาระ .......
    ........**************...........จิตน้อมบูชาทุกอย่างย่อมเป็นกุศลเบื้องสูงย่อมรบรู้...
     
  17. yavoiii

    yavoiii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +65

    -เป็นร่างทรง แต่สอนให้ไหว้พระสวดมนต์อย่างมีสติอย่างมงาย-

    คุณนี่ก็จิตอ่อนดีเนาะ เค้าลากไปลงนรก จะไปด้วยมั้ย พ่อแม่ที่บ้านน่ะเคยกราบบ้างมั้ย(ขอโทษถ้าแรงไป)-
     
  18. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    พูดกันถึงผี ที่เป็นผีจริงๆ ไม่ใช่เทวดา ซึ่งปกติ ไม่มาสุงสิงติงนังกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป ที่ยังไม่พัฒนาไปเป็นมนุษย์

    ทำเป็นเล่นไป ผีที่มาผ่าน มาแฝงร่างคน รู้จักบิ๊ว อิมเมจ รึสร้างภาพ ทำการตลาด หาสาวกสร้างเครือข่ายก็มี เพราะงั้น เรื่องสวดมนต์นี่ เรื่องสิวๆ

    ยิ่งถ้าเป็นผีที่มีตบะ มีเดช มีอำนาจ เพราะตอนเป็นคน เป็นพวกเล่นฤทธิ์ เล่นคาถาอาคม แต่เป็นมิษฉาทิฐฐิ การสวดมนต์ ก็ทำได้สบายบรื๋อ

    ผีบางตน ตายใหม่ๆ ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร อาศัยรู้มาก ก็ค่อยๆ หลอกคนว่า เป็นเทนั่น เทวดานี่ พอคนมาขึ้นสักการะเยอะๆ เข้า ผีก็ได้รับผลบุญ จากพลังความศรัทธา ของคนที่มาเป็นสาวก หลังจากนั้น ฤทธิ์ผีก็เพิ่มไปเอง

    กลายเป็นเจ้าพ่อดำเกิงเดช เจ้าแม่เกศสุริยา เจ้าป้า เจ้าลุง เจ้าน้าอะไรกันไป ตามแต่จะอุปโลก
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตอบว่ายังอยู่ เพราะการรับขันธ์มาเท่ากับว่าเป็นการให้สัจจะ เป็นพันธะสัญญาให้ไปไหนไม่รอดทั้งคนทั้งผี
     
  20. เซียนเหินทะยานคลื่น

    เซียนเหินทะยานคลื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +312
    เมื่อ 5-6ปีก่อนบ้านผมก็เคยไปรับมาครับ เอามาแล้วมันก็เหมือนเดิมครับไม่ได้รวยขึ้น ไม่เห็นจะมีใครมาเมตรตามหานิยม เจ้าหนี้เหมือนเดิมต้องใช้ ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไร หวยก็ไม่เห็นมาเข้าฝันอะไรให้ถูกบูชามา 3 ปีก็งั้นๆแถมวันพระต้องเอาของมาไหว้บูชาไม่เห็นมันจะมีประโยชน์อะไรเลยเป็นภาระด้วย แล้วยิ่งมารู้ทีหลังว่าท่าเป็นขันผีจะตามกินบุญเราทุกอย่างที่เราทำเหมือนเป็นทาสมันผมเลยเอาออกซะ จขกท. อย่าไปหลงในคารมอะไรละ สวดมนต์ไหว้พระในห้องพระบ้านเราเองสุดยอดแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...