วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ข้อความข้างต้นสำคัญมากๆ ครับ

    สำรวจตรวจสอบสภาวะจิตของเรา
    หากยังมีตะกอนมิจฉาทิฐิ อยู่
    ขอให้ตั้งจิต ล้างออกไป ตามคำแนะนำที่คุณคณานันท์ ลงไว้แล้ว นะครับ
    เมื่อตะกอนหมดไป ก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้จิตขุ่น ได้อีกต่อไป

    การเดินทางของจิต จะแจ่มใส ชัดเจน ไม่ติดขัด
    ขออย่างเดียว อย่านำขยะ เข้าไปเสริมเติมแต่งในจิตอีก
    เป็นอันขาด... ก้าวหน้าแล้วอย่าถอยหลัง..
    จูงจิตขึ้นมาแล้ว ต้องรีบผลิตปัญญา
    ผลของมันจะเกิดได้ดีกว่า

    ใครที่เคยรับปากใครไว้ว่า
    เมื่อทำบุญแล้ว จะให้ไอ้นั่น ไอ้นี่ ก็รีบคลียร์ซะนะครับ
    สัจจะสำคัญอย่างยิ่ง ติดตัวนี้ ก็อย่าได้คิดจะไปไหนไกล
    นิพพานติดอยู่เพียงแค่ปาก แต่ใจมันไม่มีทางถึง
    เสียศรัทธา เสียน้ำใจ เสียไมตรี หมดศักดิ์ศรีคุณค่า คำว่าคน
    ก็เพราะ สัจจะ ตัวเดียว
    อันนี้ไม่ใช่ หนุมานผู้นำสาร..นะครับ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คั่นรายการสักครู่ครับ

    วันนี้ได้ไปกราบพระอาจารย์ประจักษ์เพื่อคุยเรื่องงานการสร้างองค์จตุคาม และการสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่อง จักรพรรดิ์

    ท่านได้เล่าว่า อันที่จริงการได้มาร่วมกันสร้างบุญ สร้างบารมีร่วมกันในงานกุศลนั้น เป็นการที่พระท่านจัดสรรมาให้พระโพธิสัตว์และพุทธภูมิทั้งหลายได้มาพบกันสร้างบารมีร่วมกัน ซึ่งตอนนี้ท่านก็กำลังจะต่อลิงค์อีกส่วนหนึ่งให้กับพวกเราครับคาดว่าเมื่อสำเร็จ งานของพวกเราจะก้าวหน้าขึ้นอีกมากเลยทีเดียว

    และก็ตรงกับที่ผมได้คุยกันกับพวกเราในวันที่ไปพบคุณปราโมทย์แห่งชมรมรักษ์พระธาตุด้วยเช่นกัน

    มาประจวบเหมาะพอดีกับที่คุณตู๋ตู๋ ได้นำพระคาถา เชื่อมดวงจิตพระโพธิสัตว์มาลงเอาไว้พอดีในช่วงเวลาที่กำลังลงเรื่องราวของพุทธภูมิกันอยู่ด้วยพอดี

    วันนี้ตอนสวดมนต์พระท่านให้พวกเรา ไปทำพิธีในทริปที่จะถึงนี้และช่วยกันสวดพระคาถาเชื่อมดวงจิตพระโพธิสัตว์นี้กันด้วย เพือ่ที่งานจะได้มีพลังความมั่นคง ความสำเร็จทวีคูณขึ้น

    ก็ขอกราบโมทนาในบุญแห่งวาระที่เหล่าพุทธภูมิทั้งหลายได้ตื่นขึ้นสู่การสร้างบารมีอย่างเต็มกำลังครับ สาธุ
     
  3. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>สมเด็จพระสังฆราชทรงแนะชาวพุทธน้อมนำแนวทางพุทธดำเนินชีวิต</TD></TR><TR><TD vAlign=top>25 พฤษภาคม 2550 02:01 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] [​IMG] สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานสาสน์วันวิสาขบูชา ทรงแนะชาวพุทธน้อมนำแนวทางพุทธดำเนินชีวิต ขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญถึงมณฑลพิธีสนามหลวงแล้ว

    (24 พ.ค.) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานสาสน์วันวิสาขบูชา ความว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ต่อทวยเทพ มวลมนุษย์ และสรรพสัตว์
    ฉะนั้น เมื่อวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2550 มาถึง ควรที่เราทั้งหลายจะได้ทำการบูชาและน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์ เพื่อน้อมนำมาเป็นที่พึ่งของตน เป็นแนวทางในการปฏิบัติดำเนินชีวิต เพื่อความสวัสดีและความสงบร่มเย็นแก่เพื่อนร่วมโลกสืบไป ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลอำนวยให้ทุกท่านเจริญด้วยสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลตลอดไปโดยทั่วกัน
    ขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญถึงมณฑลพิธีสนามหลวงแล้ว พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปจำลองสำคัญจากทั่วประเทศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ประกอบด้วย พระพุทธโสธร พระพุทธสิงห์ชัยมงคล พระหลวงพ่อใส พระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธชินราช พระหลวงพ่อศิลา พระพุทธสิหิงห์ เพื่อเฉลิมฉลองและเป็นสิริมงคลในงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนาเทศกาลวิสาขบูชาประจำปี 2550 ตั้งแต่วันที่ 25-31 พฤษภาคม ให้ประชาชนได้สักการะตลอดเทศกาลวิสาขบูชาจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2550 พร้อมกันนี้ พล.อ.บุญสร้าง พร้อมด้วยประธานฝ่ายสงฆ์ ได้ร่วมนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุบนพระเศียรพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาได้จัดสร้างเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 และในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาส่วนกลาง เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา 2550 ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงด้วย


    -->[​IMG]
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานสาสน์วันวิสาขบูชา ทรงแนะชาวพุทธน้อมนำแนวทางพุทธดำเนินชีวิต ขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญถึงมณฑลพิธีสนามหลวงแล้ว
    (24 พ.ค.) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานสาสน์วันวิสาขบูชา ความว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ต่อทวยเทพ มวลมนุษย์ และสรรพสัตว์

    ฉะนั้น เมื่อวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2550 มาถึง ควรที่เราทั้งหลายจะได้ทำการบูชาและน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์ เพื่อน้อมนำมาเป็นที่พึ่งของตน เป็นแนวทางในการปฏิบัติดำเนินชีวิต เพื่อความสวัสดีและความสงบร่มเย็นแก่เพื่อนร่วมโลกสืบไป ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลอำนวยให้ทุกท่านเจริญด้วยสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลตลอดไปโดยทั่วกัน [​IMG] ขบวนอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญถึงมณฑลพิธีสนามหลวงแล้ว พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปจำลองสำคัญจากทั่วประเทศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ประกอบด้วย พระพุทธโสธร พระพุทธสิงห์ชัยมงคล พระหลวงพ่อใส พระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธชินราช พระหลวงพ่อศิลา พระพุทธสิหิงห์ เพื่อเฉลิมฉลองและเป็นสิริมงคลในงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนาเทศกาลวิสาขบูชาประจำปี 2550 ตั้งแต่วันที่ 25-31 พฤษภาคม ให้ประชาชนได้สักการะตลอดเทศกาลวิสาขบูชาจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2550 พร้อมกันนี้ พล.อ.บุญสร้าง พร้อมด้วยประธานฝ่ายสงฆ์ ได้ร่วมนำพระบรมสารีริกธาตุบรรจุบนพระเศียรพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาได้จัดสร้างเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 และในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาส่วนกลาง เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา 2550 ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงด้วย
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=567 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มรดกธรรม

    พ่อของเราทุกๆคน ท่านมีมหาเมตตาธิคุณต่อเรามากมายจนประมาณมิได้ มรดกที่ท่านมอบเอาไว้ให้เรา ใช้สอยกันไม่หวาดไม่ไหว มากมายข้ามภพชาติแห่งสังสารวัฏฏ์ มรดกภายนอก อันได้แก่ ทรัพย์สิน เงินตรา ตำแหน่งอันเป็นของสมมุติกันในโลก ล้วนเป็นภาพลวงตา มีวันเสื่อมมีวันหมดไปตาม โลกธรรมทั้งแปดประการ

    แต่มรดกธรรม อันเป็นอริยทรัพย์ภายใน มีแต่สั่งสมเพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งสั่งสมยิ่งเพิ่มพูน ยิ่งปฏิบัติยิ่งเป็นวสี ยิ่งใช้กำลังใจในสิ่งที่ยากยิ่งได้เท่าไรบารมีก็ยิ่งแก่กล้า เป็นปรมัตถ์บารมี

    สิ่งที่ได้มาง่ายๆ มีค่า มีประสบการณ์น้อยกว่าสิ่งที่ต้องใช้กำลังใจฟันฝ่าอย่างเหนื่อยยากอุตสาหะพยายาม

    มรดกที่พ่อให้พวกเราก็เช่นกัน จะเสวยผลที่พึงได้ อาจจะยาวนาน ยากลำบาก แต่พ่อก็ได้แสดงให้พวกเราทุกคนได้เห็นแล้วว่า ผลที่พึงมีพึงได้นั้นมีคุณค่าต่อสรรพสัตว์มากมายเพียงไร

    พ่อพระองค์แรกของพวกเราหลายๆคน ท่านก็คือ "สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสิกขีทศพลญาณ" ผู้ทรงเป็นองค์ต้นปฐมพุทธวงศ์ ทรงเป็นแบบอย่างแห่งมวลหมู่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาคุณตราบจนดวงจิตสุดท้ายที่จะเข้าสู่พระนิพพาน

    มรดกธรรมของพระองค์ท่านคือ "การปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อความหลุดพ้นของมวลหมู่สรรพสัตว์อย่างแท้จริง" กำลังใจแห่งพระมหาโพธิสัตว์เจ้าผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาต่อมวลหมู่สัตว์ทั้งปวง

    หากเราจะดำเนินปฏิปทาเพื่อสนองพระคุณท่าน ก็ของให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิษฐิ ยกดวงจิตของตนเองขึ้นจากผู้ปรารถนาพุทธภูมิขึ้นสู่ความเป้นพระโพธิสัตว์ ช่วยเพื่อช่วย โปรดเพื่อโปรด หวังผลของหมู่สัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ทั้งสามระดับ

    เมื่อใดที่เรานั้นได้บรรลุถึงซึ่งอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ชอบเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศแล้วไซร้ จึงนับได้ว่า เป็นผู้รับมรดกธรรมแห่งองค์สมเด็จท่านได้ทรงมีพุทธประสงค์ไว้


    พ่อพระองค์ต่อมาของพวกเรา คือสมเด็จองค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านทรงเมตตาเพียรสอนสั่งให้พวกเราให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ให้พวกเราได้ใช้พระศาสนาของพระองค์เพื่อการสร้าง การบำเพ็ญบารมี ได้ขัดเกลาชำระล้างสรรพกิเลสออกไปจากจิตใจ ทรงเป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญพระบารมีให้พวกเราได้เห็น ได้ปฏิบัติตาม เพื่อความวิสุทธิแห่งใจ งานหลายๆอย่างที่พวกเรากำลังบำเพ็ญกันอยู่นี้ ท่านก็ได้เมตตาสงเคราะห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราจะได้ทราบหรือไม่เท่านั้น

    มรดกธรรมของพระองค์ท่านนั้น พวกเราทั้งหลายพึงรื้อถอนมวลกิเลสออกไปจากดวงจิตของเรา พุ่งจิตไปที่พระนิพพานเพียงจุดเดียว ตัด ละ วาง ความนิยมชมชอบในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเสีย ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นทุกข์ ออกจากทุกข์คือความไม่อยากเกิด ที่นั้นคือพระนิพพาน นั่นจึงถือได้ว่า ท่านได้รับมรดกธรรมแห่งพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

    ส่วนท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ก็พึงสร้างกำลังใจในบารมี ที่พวกเราจะร่วมกันรักษาพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ท่าน ให้เจริญรุ่งเรืองประดุจสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ และทำบำรุงไว้ตราบเท่า ห้าพันปีเพื่อเป็น เนื้อนาบุญต่อมวลหมู่สัตว์ทั้งหลายในภายภาคหน้าสืบไปได้บรรลุถึงซึ่งอมตะธรรมอันเป็นอริยะภูมิ อริยะผล


    พ่อพระองค์ต่อไป นั้นแม้จะมีผู้สำคัญท่านผิดไปประการใด แต่ท่านก็ทรงตั้งมั่นอยู่ในความเคารพในพระพุทธศาสดา เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แม้ในยุคสมัยหนึ่ง พระสัทธรรมเกิดความแปรปรวนจากพุทธบริษัท อันเป็นมิจฉาทิษฐิที่มิได้ตั้งใจและที่เป็นอลัชชี บิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนที่มีมาแต่บุพพสมัยโบราณกาล ตัดทำลายให้กลายเป็น"พุทธปรัชญา" โดยสำคัญกันเองตามใจตนคิดบ้าง ตามอำนาจแห่งกิเลสตนบ้าง ตามที่มารมาดลใจบ้าง ทำให้เกิดวิปลิตผิดอรรถ ผิดธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์ ทำให้การบรรลุธรรมจากเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก จากเรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

    แต่ "หลวงพ่อ" ท่านได้ทำให้ "พระนิพพาน"ที่ได้เคลื่อนคล้อยลอยห่างไปจากจิตใจของพุทธบริษัททั้งหลาย ให้กลับมาสู่ดวงจิต ดวงใจของพุทธบริษัทผู้ประพฤติชอบ จิตประกอบไปด้วยสัมมาทิษฐิทั้งปวง ทำให้พระนิพพานติดปาก ติดใจของทุกคนกันอีกครั้งหนึ่ง

    มรดกธรรมของหลวงพ่อ เป็นเหมือน "กุญแจ"ที่ไขหีบสมบัติที่เก็บรักษามรดกธรรมเก่าแก่อันนับเนื่องมาจาก สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้นมา ผ่านการสืบสายพุทธวงศ์ตราบ จนถึง สมเด็จองค์ปัจจุบัน มิฉะนั้นแล้ว เราก็ย่อมไม่ได้รู้จักพระองค์ท่านคงจะเข้าใจแต่ว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

    ธรรมปฏิบัติเพื่อหนีนรก
    ธรรมปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน
    ธรรมปฏิบัติเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ


    ปฏิปทาสาธารณะประโยชน์

    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกธรรมอันพ่อของพวกเราได้วางรากฐานไว้แน่นหนาตามพุทธประสงค์เอาไว้ได้ละเอียดชัดเจนที่สุดแล้ว

    พึงรักษา ทำให้เจริญรุ่งเรือง ยิ่งๆขึ้นไปตามกำลัง ตามวาสนาบารมี ขึ้นชื่อว่าความดีเราจงทำให้ยิ่งขึ้นไป ความชั่วเราก็พึงละวางเสีย รักษาจิตใจให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก

    มรดกของพ่อให้เราทุกๆคนเท่ากัน แต่เราได้เล็งเห็นคุณค่าแห่งมรดกธรรมได้มากน้อยแค่ไหน และประพฤติปฏิบัติได้เพียงไร


    ขอให้ความเจริญงอกงามในมรดกธรรมจง เบ่งบานในใจของทุกๆท่านครับ สาธุ..
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลักการ หลุดพ้น สู่พระนิพพาน ****

    แรงโน้มถ่วง...คือ แรงดึงดูด
    คือ สัญญา....คือ พันธะ

    หลุดพ้น...คือ ไร้แรงโน้มถ่วง
    ไร้แรงดึงดูด....คือ หมดความผูกพัน
    หมดสัญญา...หมดพันธะ


    .......วิธีหลุดพ้น สู่พระนิพพาน
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    สัจจะ...คือ ทางตรงสู่พระนิพพาน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,069
    ค่าพลัง:
    +13,915
    อ่านเจอเลยสงสัยว่า ?

    บารมี ๑๐

    ๑. ทาน
    ๒. ศีล
    ๓. เนกยัมมะ
    ๔. ปัญญา
    ๕. วิริยะ
    ๖. ขันติ
    ๗. สัจจะ
    ๘. อธิษฐาน
    ๙. เมตตา
    ๑๐. อุเบกขา

    ที่เหลืออีก 9 เนี่ยทางตรงมั๊ยครับ (b-oneeye)


     
  8. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    วาระของใครของมัน
    อยากดีทำเอา อยากเมาทำเอง
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    หากต้องการพิสูจน์..."สัจจะ" คือ ทางตรงหรือไม่?
    ให้ศึกษาว่า... "หลักสัจจะธรรม" มีความหมายอะไร !!!!!!!
    แล้ว....กลับมาดูว่า "สัจจะ" ที่ทำได้จริง พูดจริง ทำจริง...จะเกิดอะไรขึ้น

    แล้วที่แต่ละวัน...ที่ทำได้บ้าง....ทำไม่ได้บ้าง ...ในแต่ละวินาทีที่ย่างก้าว
    จะเกิดผลต่างกันอย่างไร...กับ การตั้งใจจริงด้วย "สัจจะ" ให้ได้จริง อย่างมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน

    ความคิดสงสัย กล้าถาม...เป็นที่มาของปัญญา และสมาธิพิจารณา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    พระคาถาอาการะวัตตาสูตร
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๒๘ พระองค์ที่ล่วงไปแล้วก็ดี พระพุทธเจ้าในปัจจุบันก็ดี ได้ทรงกระทำตามกันมาทุกๆพระองค์
    พระสูตรนี้เป็นพระสูตรอันใหญ่ยิ่งหาสูตรอื่นมาเปรียบมิได้ ด้วยมีทั้ง พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ พระปิฎก
     
  11. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    ในลำดับนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอาการวัตตาสูตร
    กำหนดด้วยวรรค ๕ วรรค มีนวราทิคุณวรรค เป็นต้น จนถึงปารมีทัตตะวรรค เป็นคำรบ ๕
    คาถาอาการวัตตาสูตรนี้ มีอานุภาพยิ่งกว่าสูตรอื่น ๆ ในการที่ป้องกันภัยอันตรายแก่ผู้มาตาม
    ระลึกอยู่เนืองนิตย์
     
  12. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    พระคาถาอาการะวัตตาสูตร

    1. อิติปิโสภะคะวา อะระหัง
    อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
    อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สุคะโต
    อิติปิโสภะคะวา โลกะวิทู
    อิติปิโสภะคะวา อะนุตตะโรปุริสะธัมมะสาระถิ
    อิติปิโสภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง
    อิติปิโสภะคะวา พุทโธ
    อิติปิโสภะคะวา ภะคะวาติ
    (พุทธะคุณะวัคโค ปะฐะโม)

    2. อิติปิโสภะคะวา อะภินิหาระ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะนิธานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ยุติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ชุติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คัพภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คัพภะฐิติ ปาระมิสัมปันโน
    (อะภินิหาระวัคโค ทุติโย)

    3.อิติปิโสภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คัพภะมะละวิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา มะหาสิริ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะรินาหะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สุนิฏฐะ ปาระมิสัมปันโน
    (คัพภะวุฏฐานะวัคโค ตะติโย)

    4. อิติปิโสภะคะวา อะภิสัมโพธิ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สีละขันธะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สะมาธิขันธะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญญาขันธะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ทะวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
    (อะภิสัมโพธิวัคโค จะตุฏโฐ)

    5. อิติปิโสภะคะวา มะหาปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปุถุปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะพุทธะกะระ ปาระมิสัมปันโน
    (มะหาปัญญาวัคโค ปัญจะโม)

    6. อิติปิโสภะคะวา ทานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สีละ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา เนกขัมมะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วิริยะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ขันตี ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สัจจะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะธิษฐานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา เมตตา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อุเปกขา ปาระมิสัมปันโน
    (ปาระมิวัคโค ฉัฏโฐ)

    7. อิติปิโสภะคะวา ทะสะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ทะสะอุปะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สะมะติงสะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ตังตังฌานะฌานังคะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะภิญญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สะมาธิ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วิมุตติญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    (ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม)

    8. อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะวิปัสสะนาวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา มะโนมะยิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อิทธิวิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ทิพพะโสตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะระจิตตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะระณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะระณะธัมมะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะนุปุพพะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน
    (วิชชาวัคโค อัฏฐะโม)

    9. อิติปิโสภะคะวา ปะริญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะหานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉิกิริยาภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะตุธัมมะสัจจะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปะฏิสัมภิทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    (ปะริญญานะวัคโค นะวะโม)

    10. อิติปิโสภะคะวา โพธิปักขิยะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สะติปัฏฐานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สัมมัปปะทานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อิทธิปาทะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา โพชฌังคะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อัฏฐังคิกะมัคคะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา มะหาปุริสะสัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะวิโมกขะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะระหัตตะพะละวิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
    (โพธิปักขิยะวัคโค ทะสะโม)

    11. อิติปิโสภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา นานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อินทริยะปะโรปะริยัตตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    (ทะสะพะละญาณะวัคโค ทะสะโม)

    12 . อิติปิโสภะคะวา โกฏิสะหัสสานังปะกะติสะหัสสานังหัตถีนังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปุริสะโกฏิทะสะสะหัสสานังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ยะมักกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คุณะปาระมิสะมาปัตติ ปาระมิสัมปันโน
    (กายะพะละวัคโค ทะวาทะสะโม)

    13. อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พะละ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะตุละยะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อุสาหะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คะเวสิญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    (ถามะพะละวัคโค เตระสะโม)

    14. อิติปิโสภะคะวา จะริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ติวิธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
    (จะริยาวัคโค จะตุระสะโม)

    15. อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนิจจะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนัตตะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อายัตตะเนสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะธาตุสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วิปะรินามะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
    (ลักขะณะวัคโค ปัณณะระสะโม)

    16. อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วะสิตะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา วะสิตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สิกขา ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    (คะตัตถานะวัคโค โสฬะสะโม)

    17. อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณี ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณีญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะตุพรหมวิหาระ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา อะปะริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
    อิติปิโสภะคะวา จะตุวีสะติโกฏิสะตะวัชชิระ ปาระมิสัมปันโน
    (ปะเวณีวัคโค สัตตะระสะโม)

    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  13. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    ด้วยอำนาจอาการวัตตาสูตรนี้
    และบุคคลผู้ใดได้ฟังก็ดีได้เขียนเองก็ดี หรือได้จ้างท่านผู้อื่นเขียนให้ก็ดีได้ท่องทรงจำไว้ก็ดี ได้กล่าว
    สอนผู้อื่นก็ดี ได้สักการบูชาเคารพนับถือก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่เนือง ๆ ก็ดี ก็จะได้พ้นจากภัย ๓๐
    ประการคือภัยอันเกิดแต่ งูพิษ สุนัขป่า สุนัขบ้าน โคบ้าน และโคป่า กระบือบ้านและกระบือเถื่อน
    พยัคฆะ หมู เสือ สิงห์ และภัยอันเกิดแต่คชสารอัสดรพาชี จตุรงคชาติของพระราชา ผู้เป็นจอมของ
    นรชน ภัยอันเกิดแต่น้ำและเพลิงเกิดแต่มนุษย์และอมอุษย์ภูตผีปิศาจเกิดแต่อาชญาของแผ่นดินเกิดแต่
    ยักษ์กุมภัณฑ์ และคนธรรพ์อารักขเทวตา เกิดแต่มาร ๕ ประการที่ผลาญให้วิการต่าง ๆ เกิดแต่วิชาธร
    ผู้ทรงคุณวิทยากรและภัยที่จะเกิดแต่มเหศวรเทวราช ผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกรวมเป็นภัย ๓๐ ประการ
    อันตรธานพินาศไป
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** จะเกิดอะไรต่อไป ก็อยู่ที่การกระทำ ณ วันนี้ ****

    วันนี้...ท่านมี "สัจจะ" นำชีวิต .... แล้วหรือยัง ???????
    หากยังไม่มี....ขอให้มี "สัจจะ" ตั้งแต่วินาที นี้เป็นต้นไป

    "สัจจะ คือที่พึ่งตลอดชีวิต"
    ทำให้ได้จริง ...ตามที่ตั้งใจกล่าวไว้

    อย่ามัวหลงทาง...หลงวัตถุ...หลงกาย หลงสังขาร...หลงพิธีกรรม....อยู่อีกเลย
    เวลาปลอดภัยที่เหลือ...ให้ปฏิบัติตาม "หลักสัจจะธรรม"...มีน้อยมาก !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->
    ติช นัท ฮันห์ พลังแห่งสติ...ความสุขหนึ่งเดียว

    สุทธาสินี จิตรกรรมไทย



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    "เดินวิถีแห่งสติ" รอบสวนลุมพินี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"หายใจเข้า...ให้ตระหนักรู้ว่าหายใจเข้า"

    "หายใจออก...ให้ตระหนักรู้ว่าหายใจออก"

    ดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงจ้าในยามบ่าย หากภายในอาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี สถานที่จัดกิจกรรม "วันแห่งสติ" กลับร่มเย็น เงียบ สงบ

    ด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทุกเพศวัย-หลายศาสนาหลายพันคนล้วนเจริญสติ ตระหนักรู้ถึงลมหายใจของตน สร้างบรรยากาศแห่งธรรมให้เกิดขึ้น

    หลังภิกษุและภิกษุณีจากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ร่วมกันขับขานบทเพลงแห่งสติแล้ว เป็นเวลาที่ ท่านติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกายเซน ชาวเวียดนาม แสดงปาฐกถาธรรม "สู่ศานติสมานฉันท์ : ความสุขอันเป็นหนึ่งเดียวในครอบครัวและสังคม"

    ท่านติช นัท ฮันห์ แสดงปาฐกถาธรรมด้วยใบหน้าอิ่มเอิบผ่องใสตอนหนึ่งว่า เมื่อร่างกายตึงเครียดใจก็หงุดหงิดง่าย เกิดการแสดงออกต่อคนในครอบครัวและคนรอบข้าง

    พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการตระหนักรู้ให้มนุษย์จัดการอารมณ์ตัวเอง เมื่อพลังแห่งความโกรธผุดขึ้นมาก็ต้องหาพลังแง่บวกมาจัดการ คือ พลังแห่งสติ จึงควรทำทุกอย่างอย่างมีสติ

    "เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งสติเจริญเติบโตก็จะดูแลความเจ็บปวดและความรู้สึกต่างๆ เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นได้ก็ช่วยคนในครอบครัวปลดปล่อยความตึงเครียดได้

    "เมื่อเรากลับมาดูแลสันติในตัวเราก็เป็นการง่ายที่จะเชิญผู้อื่นให้มีสันติ ความโกรธและความหงุดหงิดก็จะเกิดขึ้นได้ยาก" ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าว

    พอแดดร่มลมตกก็ถึงช่วงของ การเดินวิถีแห่งสติ

    ท่านติช นัท ฮันห์ พร้อมด้วยพระครูใบฎีกาพิทยา ฐานิสสโร ภิกษุณีนิรามิสา และภิกษุ-ภิกษุณีแห่งหมู่บ้านพลัมรูปอื่น เป็นผู้นำชาวไทยและชาวต่างชาติ "เดินสมาธิ" รอบสวนลุมพินี

    เป็นการเดินอย่างช้าๆ สัมผัสผืนดินผืนหญ้า แต่ละก้าวให้ตระหนักรู้ว่ากำลังสัมผัสแผ่นดินผู้ให้กำเนิด...เป็นแผ่นดินอันงดงาม

    เมื่อการเดินวิถีแห่งสติสิ้นสุดลง ความปีติก็งอกงามขึ้นในใจของใครหลายคน

    เพราะอย่างน้อยท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมโลกทุนนิยม-บริโภคนิยมในปัจจุบัน ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "สติ" ช่วยเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้หลงทาง

    ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านติช นัท ฮันห์ ฝึกการเจริญสติ และแสดงปาฐกถาธรรมเกี่ยวกับ "สันติ" แก่ผู้คนโดยไม่เลือกชาติศาสนา แต่ท่านได้กระทำเช่นนี้มานานต่อเนื่องหลายสิบปี

    ท่านติช นัท ฮันห์ มีนามเดิมว่า เหงียน ซวน เบ๋า เกิดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2469 ในตอนกลางของประเทศเวียดนาม เมื่ออายุ 16 ปี บรรพชาเป็นสามเณร และอายุ 23 ปี ก็อุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกายเซน

    ฉายาของท่านเมื่อบวชแล้วคือ ติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh)

    "ติช" เป็นคำเรียกพระ แปลว่า "แห่งศากยะ" คือ ผู้สืบทอดพุทธศาสนา "นัท ฮันห์" แปลว่า "สติอยู่กับปัจจุบันขณะ"
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    ติช นัท ฮันห์ แสดงปาฐกถาธรรมที่อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านติช นัท ฮันห์ มีความคิดว่าพุทธศาสนาต้องรับใช้สังคม จะมัวเจริญสติเจริญภาวนาอยู่ในวัดอย่างเดียวไม่ได้ ท่านจึงช่วยเหลือผู้คนและสังคมด้วยวิถีแห่งสติและสันติตามแนวทางพุทธศาสนา ช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาให้เข้ากับยุคสมัย รวมทั้งเขียนบทความทางพุทธศาสนา แต่กลับถูกรัฐบาลเวียดนามต่อต้าน

    ต้นทศวรรษ 2500 ท่านเดินทางไปศึกษาต่อด้านศาสนาเปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากได้รับทุน จากนั้นท่านได้เป็นผู้บรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

    ราวปี 2506 ท่านติช นัท ฮันห์ ตัดสินใจกลับเวียดนาม เพื่อช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทกับมหายานในเวียดนามใต้ ดำเนินการตั้งโรงเรียนยุวชนรับใช้สังคม ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามเวียดนาม และพยายามสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น

    เมื่อถึงปี 2509 ท่านได้จัดตั้ง "คณะเทียบหิน" เป็นกลุ่มสังฆะประกอบด้วยภิกษุ-ภิกษุณีและฆราวาส ปฏิบัติตนตามหลัก 14 ข้อ ซึ่งครอบคลุมการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่

    ในปีเดียวกันท่านติช นัท ฮันห์ กลับไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เพื่อร่วมการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับพุทธศาสนาในเวียดนามที่มหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ รวมถึงพยายามทำให้สังคมมีสันติภาพ ด้วยการกระตุ้นให้คนไม่ว่าชาติใดก็ตามเห็นถึงความสำคัญของสันติภาพ

    มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกา ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อ พ.ศ.2507 จึงเสนอนามท่านติช นัท ฮันห์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2510

    ผลของการเคลื่อนไหวต่างๆ ของท่านติช นัท ฮันห์ ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามใต้ไม่อนุญาตให้ท่านกลับเข้าประเทศ ท่านจึงต้องลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส และทำงานเพื่อสันติภาพควบคู่ไปกับการนำธรรมสู่ผู้คนทุกเชื้อชาติ

    กระทั่งปี 2548-หลังไฟของสงครามเวียดนามดับมอดไปแล้วถึง 30 ปี ท่านติช นัท ฮันห์ จึงได้เดินทางกลับสู่แผ่นดินเกิด

    ถึงตอนนี้ ท่านติช นัท ฮันห์ พำนักที่หมู่บ้านพลัม และยังคงเดินทางไปประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก พร้อมด้วยภิกษุและภิกษุณีแห่งหมู่บ้านพลัม เพื่อเผยแผ่ธรรมและนำเจริญสติเจริญภาวนาแก่ผู้สนใจซึ่งมีเป็นจำนวนมาก

    ท่านติช นัท ฮันห์ เคยกล่าวไว้ว่า พุทธศาสนาเป็นวิถีชีวิต เนื่องด้วยคติข้อหนึ่งที่แพร่อยู่ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือ วิถีทางแห่งพุทธธรรม คือ วิถีทางแห่งชีวิต

    ท่านจึงนำธรรมเข้าสู่ชีวิตประจำวัน เช่น ฝึกลมหายใจเพื่อนำสู่ "สติ" และ "สันติ" ไม่ว่าจะในขณะเดิน นั่ง รับประทานอาหาร หรือขณะทำกิจกรรมอื่นๆ

    ในหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ (The Miracle of Being Awake) ซึ่งท่านติช นัท ฮันห์ เป็นผู้แต่ง กล่าวไว้ว่า

    ในพระสูตรต่างๆ พระพุทธเจ้ามักทรงสอนให้ใช้ลมหายใจบำเพ็ญสติเสมอ มีพระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ลมหายใจ เพื่อฝึกสติเจริญสมาธิโดยเฉพาะสูตรหนึ่ง คือ อานาปานัสสติสูตร

    การหายใจเป็นเครื่องมือตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน ลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตและจิตสำนึก ทำให้ร่างกายและความคิดเป็นเอกภาพกัน หากเกิดความคิดฟุ้งกระจายไป ผู้ปฏิบัติงานควรใช้ลมหายใจในการรวมจิตเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง

    "เราไม่ควรปล่อยตนเองให้หลงไปในความคิดที่ฟุ้งซ่านและสิ่งแวดล้อมรอบตัว จงเรียนรู้วิธีฝึกลมหายใจ เพื่อจะได้คอยควบคุมจิตใจและร่างกายของเรา ฝึกสติ พัฒนาสมาธิและปัญญา

    "...การตื่นตัวและพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและมีไหวพริบ นี่แหละคือความมีสติโดยแท้..." ท่านติช นัท ฮันห์ แนะไว้ใน ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ

    ท่านติช นัท ฮันห์ ยังสอนให้มองทุกอย่างอย่างเชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน (interbeing) ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่แยกจากสิ่งอื่นได้

    "...บางทีเราอาจจะพูดได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จริง มิใช่อยู่อย่างตายซาก ก็ต่อเมื่ออยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโลก ดังนั้น จงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ความทุกข์ของคนอื่นก็คือความทุกข์ของเรา ความสุขของคนอื่นก็คือความสุขของเรา..." เป็นอีกคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์



    คนไทยส่วนใหญ่อาจเคยได้ยินนาม "ติช นัท ฮันห์" หรือทำความรู้จักท่านและคำสอนทางธรรมผ่านงานเขียนของท่าน อาทิ "ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" "ความโกรธ ปัญญาดับเปลวไฟแห่งโทสะ" (Anger) "สันติภาพทุกย่างก้าว" (Peace Is Every Step) "กุญแจเซน" (Zen Key) "ศานติในเรือนใจ" (Touching Peace) "ปลูกรัก" (Cultivting the Mind of love) ฯลฯ

    แต่น้อยคนนักที่จะเคยพบท่านในเมืองไทย

    ท่านติช นัท ฮันห์ มาเยือนเมืองไทยครั้งแรกเมื่อราว 30 ปีที่แล้ว คราวที่ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยามอาราธนาท่านมายังอาศรมที่วัดผาลาด จ.เชียงใหม่

    ครั้งนั้นนั่นเองที่ ส.ศิวรักษ์ สนับสนุนให้มีการแปลงานเขียนของท่านติช นัท ฮันห์ เป็นภาษาไทยหลายต่อหลายเล่ม รวมถึงกลุ่มอื่นยังมีการจัดเสวนาในประเด็นที่ว่าด้วยธรรมของท่านติช นัท ฮันห์ อยู่หลายครั้ง ส่งผลให้คนไทยได้ลิ้มรสแห่งธรรมจากท่านติช นัท ฮันห์

    พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ พระนักกิจกรรม กล่าวถึงท่านติช นัท ฮันห์ ไว้ในการเสวนาเรื่อง "3 ทศวรรษสายธารความคิด ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย" เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า

    ถ้าพูดถึงท่านติช นัท ฮันห์ หรือที่ศิษย์ของท่านเรียกว่า "ไถ่" คือ อาจารย์ คนที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นสะพานให้คนไทยได้รู้จักท่านติช นัท ฮันห์ หนีไม่พ้นอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์

    ความรู้สึกที่ได้อ่านบทความชิ้นแรกๆ ของท่านติช นัท ฮันห์ พระไพศาลเล่าว่า ไม่ได้ทำให้ประทับใจอะไรมาก แต่จะเริ่มประทับใจเมื่อทราบถึงบทบาทและขบวนการของท่าน คือ "ขบวนการของชาวพุทธในเวียดนาม"

    พระไพศาลเล่าอีกว่า การที่ได้รู้จักและประทับใจท่านติช นัท ฮันห์ กับขบวนการของท่าน เพราะตอนนั้นไม่เชื่อเรื่องการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา แต่เชื่อในสันติวิธี

    สิ่งที่ขบวนการชาวพุทธทำ คือ อุทิศตัวเพื่อสันติภาพโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นการต่อสู้อุทิศตัวซึ่งมีแรงขับเคลื่อนจากภายใน คือ เมตตา กรุณา ไม่ใช่ความเกลียด ความโลภ หลายคนในขบวนการที่เกี่ยวข้องถูกฆ่า แต่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้เรียกร้องให้อภัยต่อผู้ที่ฆ่า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร

    "จนมีโอกาสพบท่านเมื่อเดือนเมษายน ปี 2518 ท่านมาประชุมอาศรมแปซิฟิกที่วัดผาลาด เชียงใหม่ ตอนนั้นอาตมายังเป็นนักเรียนอยู่ แล้วรู้สึกว่าท่านเป็นฮีโร่ของเรา

    "ท่านทำให้เห็นว่าในการทำงานเพื่อสันติภาพหรืออะไรก็ตาม จิตใจเราต้องสงบ ต้องมีสันติ และท่านทำให้ชีวิตและการทำงานเพื่อสังคมนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว คือ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างธรรมะกับชีวิตประจำวัน และไม่มีเส้นแบ่งระหว่างธรรมะกับการทำงานเพื่อสังคม

    "คำสอนของท่านยังมีคุณค่า ไม่ว่าเรื่องของการใช้สันติวิธีและการให้อภัย หรือความสงบสุขภายในที่ต้องเผชิญกับการยั่วยุของบริโภคนิยม

    "ถ้ามีความสงบสุขภายในแล้ว ก็สามารถเผชิญกับวัฒนธรรมแห่งความโกรธเกลียด และวัฒนธรรมแห่งความละโมบได้" พระไพศาลเล่า

    ด้าน ภิกษุณีนิรามิสา นักบวชแห่งหมู่บ้านพลัม เล่าถึงความพยายามหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ ในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์

    ที่หมู่บ้านพลัมจะมีการจัดให้ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มาอยู่ภาวนาร่วมกันทุกปี ช่วงแรกให้ต่างฝ่ายต่างฝึก มีการฟังเทศน์จากท่าน แลกเปลี่ยนทรรศนะกับนักบวชแห่งหมู่บ้านพลัม จากนั้น 1 อาทิตย์จึงให้มีการสนทนากัน

    ถึงวันสุดท้ายจึงให้ 2 ฝ่ายขึ้นเวที ซึ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าญาติพี่น้องของอีกฝ่ายประสบความทุกข์ยากจากความขัดแย้ง ความเมตตาและความสงสารในกันและกันก็เกิดขึ้น

    "หลวงปู่และคณะสังฆะพยายามคุยกับทางสหรัฐอเมริกาขอให้เขาตั้งคณะกรรมการรับฟังอย่างลึกซึ้งในฝ่ายชาวมุสลิมและฝ่ายชาวอเมริกาทั่วไป ให้รู้ว่าคนมุสลิมในอเมริกามีความทุกข์มาก คนอเมริกาเองก็ทุกข์เช่นกัน

    "ถ้าจัดให้คนเหล่านั้นมารวมกันแล้วรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพื่อวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิ ก็จะเกิดปัญญาและทำให้เห็นทางออกว่าควรจะช่วยกันอย่างไร"

    การมาเยือนเมืองไทยของท่านติช นัท ฮันห์ และคณะภิกษุ-ภิกษุณีจากหมู่บ้านพลัมครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะกระตุ้นให้คนไทย "หัน" มาสนใจพุทธศาสนามากขึ้น
    http://www.matichon.co.th/matichon/m...sectionid=0131
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________________________________________
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เมื่อสองวันที่กำลังป่วยด้วยอาการท้องเสีย
    รู้สึกทรมานกายมาก แต่นึกขึ้นมาได้เรื่องการกำหนดรู้ลมหายใจ
    จึงนำมาใช้ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ อาการทรมานทางกายลดน้อยลง
    เลยเดินลมปราณรักษาท้อง พร้อมกับกินยารักษา วันที่สองอาการเกือบหาย
    จะมีก็ลมในกระเพาะเท่านั้น เรี่ยวแรงยังไม่เหมือนเดิม

    วันที่สาม คือวันนี้ อาการทุกอย่างเป็นปกติ
    เริ่มมาจ้อ ทางเน็ต ได้บ้างแล้ว ประกอบกับได้อ่านเรื่องราวของ
    แม่ทา สตรีผู้มีความอดทนอดกลั้นสูงสุด
    แม้จะอ่านหนังสือไม่ออก ก็สามารถปฏิบัติตน จนเกิดอภิญญา หยั่งรู้
    เล่าให้ฟังสั้นๆ ที่สำคัญๆ คือ
    ช่วงที่แม่ทา ป่วยหนัก ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
    ใครๆก็ว่าไม่รอด แม่ทา ก็เรียกลูกๆมาสั่งเสียว่าถ้าตาย
    ไม่ต้องหาม ถ้าไม่ฝัง ก็ให้เผา
    ที่สั่งไม่ให้หามนั้น เพราะจะเป็นการลำบากกับคนอื่น
    ขณะที่นอนอยู่ในคืนวันหนึ่ง ได้มีแม่ชีชื่ออะไรจำไม่ได้
    มาบอกว่า จะมานอนรอความตายทำไม
    ให้ว่าพุทโธ ทุกลมหายใจเข้าออก
    ยังจะมีประโยชน์กว่า แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
    เจ้าจักไม่ตายดอก อีกหน่อยจะหยั่งรู้ฟ้ารู้ดิน

    แม่ทา พยายามถ่อมเนื้อเจียมตน ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร
    ลำพังความรู้ก็ไม่มี ถูกดูถูกดูแคลนกลั่นแกล้งมาตลอด
    แต่ก็มานึกดู ลองใช้พุทโธ ตามที่แม่ชีแนะ ดีกว่านอนรอความตาย
    ก็ไม่เห็นจะเป็นไร

    ตั้งแต่นั้นมา แม่ทา ก็เดินลมหายใจเข้าออก พุทโธ
    กำหนดสติรู้อยู่กับพุทโธ จนเวลาผ่านไปไม่นานนัก
    แม่ทา ก็ร้องขอน้ำดื่ม เป็นที่แปลกใจของผู้เป็นสามียิ่งนัก
    เพราะปกติ แม่ทาไม่สามารถกินอะไรลงคอได้เลย
    ผิวพรรณก็เริ่มมีสีเลือด สามีอดถามไม่ได้ว่า ทำอย่างไรถึงเป็นอย่างนี้
    แม่ทาก็ยังไม่กล้าบอก กลัวเขาจะหาว่าบ้า
    ได้แต่กำหนดลมหายใจตามวิธีที่แม่ชีมาเข้าฝันต่อไป
    ร่างกายเริ่มมีกำลัง จึงขอให้สามีขึงเชือกรอบเสาเรือน เพื่อจะได้จับพยุงเดิน
    ก็เริ่มเดินได้อย่างซัดเซไปมา

    นานวันเข้า..แม่ทา ก็เริ่มแข็งแรง ทานอาหารได้เป็นปกติ
    ทำนา เก็บเกี่ยวผล ตามที่เคยทำมา
    และไม่ทิ้งการกำหนดรู้ลมหายใจ พุทโธ
    แล้วสารพัดญานหยั่งรู้ก็บังเกิด



    แม่ทาเริ่มสัมผัสรับรู้โลกต่างมิติได้
    เรื่องราวที่จะเล่านี้เกี่ยวพันกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ
    หลวงพ่อได้พบกับแม่ทา จากการแนะนำของหลวงพ่อเจ้าวัด
    ใกล้บ้านของแม่ทา หลวงพ่อพุธ กล่าวว่า นี่ขนาดเป็นหญิง
    ยังได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นชายคงจะได้อะไรอีกมากมาย
    และถามแม่ทาว่า มีอะไรจะถวายบ้าง

    ตอนแรกแม่ทา ตอบปฏิเสธ แต่ก็ฉุกคิดมาได้ว่า
    มีเพชรพญานาคอยู่ในกระเป๋า 8 เม็ด จึงล้วงหยิบออกมา
    ถวายหลวงพ่อพุธ.....หลวงพ่อบอกว่า ต่อไปแม่ทาจะเป็นผู้
    ผลิตลูกแก้ว.......
    ที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนั้นเพราะ แม่ทาสามารถสื่อกับพญานาคได้
    และนำเพชรพญานาค มาให้ได้พบเห็นกันบนพื้นพิภพมนุษย์ได้
    เพียงตั้งจิตระลึกถึง เพชรพญานาค ก็สามารถมาปรากฏอยู่บนมือของแม่ทาได้เอง

    หลวงพ่อพุธ...กล่าวต่อไปว่า วันหน้าหาเพชรพญานาคมาถวายอีกนะ
    ลูกศิษย์ฉันเยอะ........

    ท้ายที่สุดก่อนหลวงพ่อพุธ จะมรณภาพ
    ท่านได้มาสื่อจิต กับแม่ทาว่า ต้องไปแล้ว รู้สึกเบื่อหน่าย
    รับสังขารไม่ไหว มีอะไรถวายให้รีบมาถวาย

    จากวันนั้นจนถึงวันที่หลวงพ่อมรณภาพ แม่ทา ไม่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อพุธอีกเลย
    <!-- / message -->
     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ประมาณปี 2534-35 ผมได้มีโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อพุธ
    ที่วัดป่าสาละวัน วันนั้นไม่ทราบว่าเขามีพิธีการอะไรกันอยู่
    เห็นมีพระนั่งเรียงยาวเป็นสองแถว เว้นตรงกลาง
    มองไปเห็นหลวงพ่อพุธนั่งอยู่ เหมือนกำลังเป็นประธานในพิธีอย่างนั้น

    อารามดีใจที่ได้พบหลวงพ่อ และเดินทางมาไกล กำลังจะกลับเข้ากรุงเทพ ทำให้ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า ค่อยๆก้ม โค้งตัว
    เดินเข้าไปอย่างสุภาพนอบน้อม มุ่งตรงไปหาหลวงพ่อ
    บรรยากาศตอนนั้น เงียบมาก ทุกสายตาเพ่งมองมาที่ผม อย่างรู้สึกได้

    เมื่อมาหยุดต่อหน้าหลวงพ่อ ผมก็กราบท่าน
    แล้วเขยิบตัวให้ใกล้ท่านพร้อมกล่าวว่า
    หลวงพ่อเป่าหัวให้ผมหน่อยนะครับ
    พร้อมกับยกมือประนมจะก้มศีรษะให้ท่าเป่า

    ท่านรีบช้อนมือผมไว้ แล้วพูดว่า
    อย่าลืมพุทโธ นะ แล้วท่านก็เป่าลมออกจากปากมาที่มือของผม
    แม้จะไม่ใช่ที่ศีรษะ แต่ก็นับว่าหลวงพ่อเมตตาแก่ผมเป็นอย่างยิ่งแล้ว
    ผมก้มลงกราบท่าน แล้วลากลับทันที เพราะรู้สึกว่า
    พิธีอะไรบางอย่างกำลังจะเริ่มขึ้น

    นั่นเป็นการพบหลวงพ่อ ของผมครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้าย
    ซึ่งผมจะไม่มีโอกาส เช่นนี้อีกแล้ว
    ขอให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อ สู่สวรรค์ชั้นนิพพานเทอญ
    ผมยังระลึกถึงเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างไม่รู้ลืม
    และคำของหลวงพ่อที่ว่า อย่าลืมพุทโธ นะ

    ประจวบกับ ได้อ่านการปฏิบัติพุทโธ ของแม่ทา
    ทำให้เกิดการกระทุ้งต่อมปฏิบัติ ให้ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
    การพยายามครั้งนี้ จะทำให้ดีที่สุด..อย่างน้อยเพื่อหลวงพ่อ
    ที่เคยชี้แนะมาแล้ว..แต่หาใส่ใจไม่...ผมจะทำตามที่หลวงพ่อบอกครับ.

    (หลวงพ่อพุธ มรณภาพในปี 2542)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2007
  18. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ปี 2530 ก่อนไปปฏิบัติงานที่ภาคใต้ ผมได้พบหลวงพ่อพุธ ที่วัดหนึ่งย่านบางแค ผมบอกหลวงพ่อท่าน ว่า ผมจะต้องไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่ภาคใต้ ท่านก็เป่ากระหม่อมให้ผม และให้พระผงสมเด็จ 1 องค์ ด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อพุธ ผมแขวนคอตลอดการทำงานที่ภาคใต้ และหลวงพ่อพุธ เคยให้สัมภาษณ์ลงหนังสือ ว่าถ้าต้องการกราบพระอรหันต์ ก็พระเจ้าอยู่หัว ของเรา
     
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    หลังจากที่ผมเริ่มฟื้นฟู การกำหนดลมหายใจเข้าออก
    ด้วยคำภาวนาพุทโธ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในแต่ละวัน
    ผลที่เกิดขึ้น ราวปาฏิหาริย์จริงๆ ที่เห็นได้ชัดคือ
    จิตสงบดีมาก ยามหลับ เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตลอดเวลาที่หลับ
    มีการฝันเห็นสิ่งที่ดี ทำให้จิตมีกำลังที่จะมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติให้ดียิ่งๆขึ้น
    นอกจากนี้ยังให้เรานิมิตเห็นภัยพิบัติที่จะเกิดจากใต้ทะเล
    และบนพื้นดินชายฝั่ง (นิมิตรเมื่อใกล้สว่างเช้าวันนี้เองครับ)

    ผมบอกเพื่อนไปให้เดินลมพุทโธ สม่ำเสมอ
    เพื่อนผมทำตาม เพียงไม่ถึง 3 วัน
    ภรรยาได้เข้ามาพูดบางอย่าง ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยในตัวเขา
    เพื่อนผมเขาบอกว่า ไม่น่าเชื่อจริงๆ
    อานุภาพแห่งปราณภาวนาพุทโธ จะมีได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
    มหาเมตตา จริงๆ เขาบอกว่าจะไม่ทิ้ง ปราณภาวนาพุทโธ นับแต่นี้ไป

    ปราณภาวนาพุทโธ..... คำนี้เพิ่งแวบเข้ามาได้ เดี๋ยวนี้เอง
    กราบขอบคุณหลวงพ่อพุธ ที่ยังคงความเมตตาให้แก่ศิษย์
    แม้ท่านจะลับ ดับสังขาร ไปแล้วก็ตาม
    ผมยังรู้สึกว่า หลวงพ่อยังอยู่ใกล้ๆ ทุกครั้งที่ ทำปราณภาวนาพุทโธ

    ลองตั้งใจปฏิบัติกันดูนะครับ กระแสพลังตอบรับให้ผลดีมากๆ
     
  20. รัก+ยม

    รัก+ยม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    862
    ค่าพลัง:
    +3,122
    ทำตอนเวลานอนแล้วนอนไม่หลับอะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...