ดาวนิบิรุมีเป้าหมายเพื่อทำลายโลกเราอย่างเดียวหรอครับ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย KasroK, 5 มีนาคม 2012.

  1. KasroK

    KasroK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +98
    คือว่าก่อนที่ดาวนิบิรุนั้นจะมาโคจรทับระบบสุริยะจักรวาลทั้งเเทบของกาเเลกซี่ที่เราอาศัยอยู่ ดาวนิบิรุนั้นเคยทำลายดาวดวงอื่นมาบ้างหรือยังครับ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เท่าที่อ่านมานะ นิบิรุ ไม่ได้มาเพื่อทำลายโลก มีตำนานในอดีตเขาเล่าไว้ประมาณว่า
    สุริยะจักรวาลเรามีช่วงที่เกิดภาวะแม่เหล็กระหว่างดวงดาวเกิดไม่สมดุลขึ้นมา
    เป็นอันตรายต่อการดับสูญของจักรวาล จึงได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือมี
    ดาวหางพุ่งมาจากจักรวาลหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้รออ่านในตำนานนะ จะแปะให้ทีหลัง)
    เป็นดาวหางที่มีบริวารเป็นดาวจันทร์จำนวนหนึ่ง(5ดวง?) มีแหล่งกำเนิดแม่เหล็กในตัวเอง
    พุ่งเข้ามาในสุริยะจักรวาล และถูกดวงอาทตย์ของสุริยะจักรวาลของเราจับไว้เป็นบริวารตั้งแต่นั้นมา
    การเข้ามาครั้งแรก ก็ชนกับดาวโลก ทำให้โลก แหว่งเหมือนแอปเปิ้ลโดนกัด
    และแรงระเบิดทำให้เกิด asteriod belt เศษดาวกระจายเป็นวงแหวนกั้นแบ่ง
    สุริยะจักรวาลเป็น ชั้นนอกและชั้นใน การชนกันครั้งนี้ทำให้สุริยะจักวารสงบและเกิด
    สมดุลย์แรงสนามแม่เหล็กจักรวาลไปได้ระดับหนึ่ง ส่วน นิบิรุ หรือดาวแดง
    ก็กลายเป็น ดาวหางบริวารของสุริยะจักรวาลต่อไป วงโคจรประมาณ 3600 ปี ควงรอบ
    2 จักรวาล คือ สุริยะจักวาลหนึ่ง และอีกจักรวาลหนึ่งจำชื่อไม่ได้ และการมาถึงของ
    นิบิรุก็จะมีผลกับสุริยจักรวาลคือ ทำให้แรงสนามแม่เหล็ระหว่างดวงดาว ปั่นป่วนไประยะหนึ่ง

    เล่าคร่าวๆ จากความจำนะ เดี๋ยวจะทะยอยหาบทความมาแปะให้ เป็นตำราสุเมเรียนโบราณ
    มีเยอะ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    nibiru (อ่านเอามันนะครับ)

    ดาวนิบิรุ เรื่องจริงหรือตำนาน



    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; FONT: 16px verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; COLOR: rgb(0,0,0); TEXT-INDENT: 0px; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=t_msgfont id=postmessage_368978 style="FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif">**คำเตือนโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านและคิด วิธีที่แนะนำควรจะลองทำใจให้เป็นกลางก่อนอ่าน เพราะมีอยู่ไม่น้อยที่หมิ่นเหม่ต่อระบบศาสนาเป็นอย่างมาก**




    เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่งเทียมัตเป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูปของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดยสิ่งกระตุ้น

    ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

    วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดกหนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นภิภพ เหล่าชาวภิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อเท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

    เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและมุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รีคล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู

    ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อนที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง

    ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มีตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและสามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทองและส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ

    ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง


    ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับชาวเทียมัตเพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”

    และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย

    แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่งมีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานและเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะกระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ครอบครองเทียมัต

    ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวกเขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าในอินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษาผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา ดาวนิบิรุ เรื่องจริงหรือตำนาน - 2012 วันสิ้นโลก - Naruto Board ,Naruto,แฟนพันธ์แท้นารูโตะ,Spoiler Naruto,Chapter Naruto - Powered by Discu

    รวมเรื่อง Crop circles | Truth4Thai.org
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    a.jpg
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อันนี้เป็นเรื่องจากตำนานสุเมเรียน บาบิโลนเนี่ยน ที่มีคนเอามาวิเคราะห์
    ใช้วิจารณญาณในการอ่าน ละกัน เนาะ (อ่านเอามันส
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed; MARGIN-LEFT: 1px; WIDTH: 760px; LINE-HEIGHT: normal; BORDER-COLLAPSE: collapse; WORD-WRAP: break-word; empty-cells: show" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY style="LINE-HEIGHT: normal; WORD-WRAP: break-word"><TR style="LINE-HEIGHT: normal; WORD-WRAP: break-word"><TD class=t_msgfont id=postmessage_326 style="FONT: 14px/1.6em Verdana, Helvetica, Arial, sans-serif; COLOR: rgb(68,68,68); WORD-WRAP: break-word">
    :: By Sonic ::​



    บอกกล่าว​

    ซีรี่ส์ล่าสุดที่ผมกำลังจะเขียนนี้ เป็นเรื่องที่เอามาจากหนังสือซีรี่ส์ The 12th Planet ของ Zecharia Sitchin เป็นหลัก นอกนั้นก็มีหนังสือในชุด Gods of New Millennium อีกสองสามเล่มมา รวมถึงข้อมูลจากเว็บไซต์ The Earth Chronicles เป็นข้อมูลรองพื้น ซึ่งแน่ล่ะครับว่าความหนาของเอกสารที่เอามาประกอบนั้นไม่ใช่เล่นๆเลย

    ดังนั้นขอทำความเข้าใจกันก่อนอ่านสักนิดนะครับ ว่าผมจะสรุปแบบย่อๆให้ฟังเท่านั้น บางครั้งอาจ Quote ข้อความจากต้นฉบับในลักษณะของการตัดต่อมาเลยเพื่อความประหยัดเวลา หรือไม่ก็เน้นกันไปเป็นข้อๆในลักษณะเหมือนเขียนเล็คเชอร์ให้คุณอ่านกัน ไม่อย่างนั้นผมนั่นแหละที่ต้องตายก่อน

    อย่างที่รู้ๆกันว่าผมทำเว็บนี้เพราะอยากทำ เขียนเพราะอยากเขียน ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อหรือศรัทธา แม้พระเจ้าของ Myth แห่งนี้จะมาจากห้วงอวกาศ แต่เราก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่ออย่างที่เรา,ผม (และอาจรวมถึง)คุณเชื่อกันอยู่ ใครที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ถือว่าอ่านเพื่อศึกษาหรือประดับความรู้เถิดนะครับ

    อย่างไรก็ตาม ผลของการศึกษาในเรื่องใดๆย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าคุณลองศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อที่ได้อ่านไปจากแหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง เป็นวิชาการ และน่าเชื่อถือกว่าเว็บไซต์เล็กๆแห่งนี้ ตัวผมเองก็ใช่ว่าเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน ดีไม่ดีตอนนี้ผมอาจกำลังต้มพวกคุณอยู่ก็ได้

    อ้อ มีเรื่องจะรบกวนนิดครับ คือปกติผมเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกิจกรรมที่วุ่นวาย บ่อยครั้งที่ผมทำอะไรค้างคาเอาไว้เนื่องจากต้องไปทำกิจกรรมอื่นที่มีความสำคัญกว่า แล้วก็ลืมไปเลยว่าตัวเองค้างอะไรชาวบ้านเอาไว้บ้าง ดังนั้นถ้าผมเกิดอาการแบบนี้อีก รบกวนเมล์มากระทุ้งผมหน่อยนะครับ ถ้าครั้งแรกผมเงียบไม่ยอมตอบก็อย่าเพิ่งท้อเสียล่ะ กระทุ้งบ่อยๆเข้าเดี๋ยวผมก็ละอายแก่ใจกลับมาเขียนบทความที่ค้างเอาไว้ต่อเองแหละครับ

    และต่อไปนี้คือรายชื่อของหนังสือที่คุณและผมจะมาช่วยกันแกะในซีรี่ส์นี้



    1 - THE 12TH PLANET - - เรื่องราวของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียน ซึ่งรายละเอียดส่วนหนึ่งผมเคยเขียนไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดที่จะตามมาในภายหลัง
    2 - THE STAIRWAY TO HEAVEN - - ความเกี่ยวเนื่องของพระเจ้าจากห้วงอวกาศ, ความลับของฟาโรห์, กิลกาเมชวีรบุรุษชาวสุเมเรียนผู้ปฏิเสธได้แม้กระทั่งความตาย
    3 - THE WARS OF GODS AND MEN - - สงครามแห่งพระเจ้าโบราณที่ลากเอามนุษย์เข้าไปเกี่ยวพันด้วย, การชิงชัยเหนือแผ่นดินไอยคุปต์ระหว่างโฮรัสกับเซธ, ขีปนาวุธข้ามทวีปของเซอุสและองค์อินทรา, อับราฮัมผู้บันทึกความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเปอร์เซีย
    4 - THE LOST REALMS - - ความลับของ เอล โดราโด, บุรุษแปลกหน้าผู้มาจากอีกฟากมหาสมุทร, วันที่โลกหยุดหมุน, และพระเจ้าแห่งน้ำตาทองคำ
    5 - WHEN TIME BEGAN - - วัฏจักรของกาลเวลา, คอมพิวเตอร์ที่ทำจากก้อนศิลา, ผู้พิทักษ์ความลับ, สถาปัตยกรรมแห่งสวรรค์ และ ยุคแห่งลูกแกะผู้หลงทาง
    6 - THE COSMIC CODE - - The Cosmic Conection: DNA, ผู้พยากรณ์แห่งกาลเวลา, สะดือแห่งโลก, มนุษยชาติทายาทของมนุษย์ต่างดาว
    7 - GENESIS REVISITED - - ผู้ส่งสารจากเยเนซิส, เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต, อาดัม:ผลผลิตแห่งพันธุวิศวกรรม, อีฟ:มหามารดาแห่งมวลมนุษย์, ฐานลับบนดาวอังคาร
    8 - DIVINE ENCOUNTERS - - กาลนั้นสวรรค์ล่ม, The Nefilim ครึ่งมนุษย์-ครึ่งพระเจ้า, ความลับของเทพผู้อมตะ, เทวทูตหรือดาราทูต

    รายชื่อด้านบนเป็นฉบับที่ผมมีข้อมูล(และสโคปของเรื่องที่จะเขียน)ครับ ชื่อบทมันลิเกไปหน่อย เขียนแบบสรุปและรีวิว(ว่าแต่มันจะเสร็จไหมเนี่ย ชาตินี้) หนังสือเล่มที่เหลือในซีรี่ส์เดียวกันอันได้แก่ Of Heaven and Earth, The Lost Book of Enki, The Earth Chronicles Expeditions ผมคงละเอาไว้ก่อน สบโอกาสเมื่อไหร่ค่อยว่ากันต่อ

    จนกว่าคุณและผมจะตายกันไปข้าง...
    Sonic 12-06-2004



    สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ตามไปอ่านต่อ ที่ ลิ้งนี้นะคะ
    http://www.mythland.org/v3/thread-111-1-1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  7. KasroK

    KasroK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +98
    ดาวหางพุ่งมาจากจักรวาลหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้รออ่านในตำนานนะ จะแปะให้ทีหลัง)
    เป็นดาวหางที่มีบริวารเป็นดาวจันทร์จำนวนหนึ่ง(5ดวง?) มีแหล่งกำเนิดแม่เหล็กในตัวเอง
    พุ่งเข้ามาในสุริยะจักรวาล และถูกดวงอาทตย์ของสุริยะจักรวาลของเราจับไว้เป็นบริวารตั้งแต่นั้นมา
    การเข้ามาครั้งแรก ก็ชนกับดาวโลก ทำให้โลก แหว่งเหมือนแอปเปิ้ลโดนกัด
    และแรงระเบิดทำให้เกิด asteriod belt เศษดาวกระจายเป็นวงแหวนกั้นแบ่ง
    สุริยะจักรวาลเป็น ชั้นนอกและชั้นใน การชนกันครั้งนี้ทำให้สุริยะจักวารสงบและเกิด
    สมดุลย์แรงสนามแม่เหล็กจักรวาลไปได้ระดับหนึ่ง ส่วน นิบิรุ หรือดาวแดง
    ก็กลายเป็น ดาวหางบริวารของสุริยะจักรวาลต่อไป

    จากข้อความเดิมด้านบน

    เเต่ทำไมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าดาวนิบิรุมีการโคจรที่ไม่เเน่นอนละครับเเล้วก็บอกว่าเคยมาจากกาเเล็กซี่อื่นอีกด้วย
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Subject : The 12th Planet กับพระเจ้า จากดาวอันไกลโพ้น (p1)

    คนเรา แท้จริงนั้นไซร้ เกิดจากอะไีรกันหรอ ?
    หลายๆคนก็อาจจะตอบว่า ลิง
    (อาจจะใช่น่ะ เพราะมีลักษณะที่เหมือนกัน......แต่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันแล้วว่า
    DNA ของคนกับลิง ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีวันทีั่จะวิฒนาการมาเป็นคนได้แน่นอน) แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    แล้วลิงหล่ะ เกิดจากอะไร ?
    เกิดจากพ่อของลิง แล้วพ่อของลิงหล่ะ ?
    เกิดจากจุลชีพใต้ทะเล
    แล้วตัวจุลชีพตัวแรกหล่้ะ ?

    การกำเนิดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
    เรามาลองสืบ ค้น ข้อมูลจากทุกมุมโลก จากเผ่าบางเผ่า ศาสนา ความเชื่อ ของแต่ละอารยธรรมเมื่อหลายพันปีก่อน ที่แตกต่างกันออกไป
    แต่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน
    พวกนี้ อาจจะทำให้เราค้นพบความจริงก็เป็นได้
    ให้อ่านกันเล่นๆน่ะครับ ถ้าใจดีก็ช่วยดันนิดนึง อิอิ มีหลายตอนอยู่เหมือนกัน ^^ อ่านแก้เซ็ง

    ซีรี่ส์ล่าสุดที่ผมกำลังจะเขียนนี้ เป็นเรื่องที่เอามาจากหนังสือซีรี่ส์ The 12th Planet ของ Zecharia Sitchin เป็นหลัก นอกนั้นก็มีหนังสือในชุด Gods of New Millennium อีกสองสามเล่มมา รวมถึงข้อมูลจากเว็บไซต์ The Earth Chronicles เป็นข้อมูลรองพื้น ซึ่งแน่ล่ะครับว่าความหนาของเอกสารที่เอามาประกอบนั้นไม่ใช่เล่นๆเลย

    อย่างไรก็ตาม ผลของการศึกษาในเรื่องใดๆย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าคุณลอง
    ศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อที่ได้อ่านไปจากแหล่ง อ้างอิงที่ถูกต้อง เป็นวิชาการ ตัวผมเองก็ใช่ว่าเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน ดีไม่ดีตอนนี้ผมอาจกำลังต้มพวกคุณอยู่ก็ได้

    และต่อไปนี้คือรายชื่อของหนังสือที่คุณและผมจะมาช่วยกันแกะ ในซีรี่ส์นี้

    [​IMG]

    1 - THE 12TH PLANET - - เรื่องราวของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียน ซึ่งรายละเอียดส่วนหนึ่งผมเคยเขียนไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดที่จะตามมาในภายหลัง
    2 - THE STAIRWAY TO HEAVEN - - ความเกี่ยวเนื่องของพระเจ้าจากห้วงอวกาศ, ความลับของฟาโรห์, กิลกาเมชวีรบุรุษชาวสุเมเรียนผู้ปฏิเสธได้แม้กระทั่งความตาย
    3 - THE WARS OF GODS AND MEN - - สงครามแห่งพระเจ้าโบราณที่ ลากเอามนุษย์เข้าไปเกี่ยวพัน ด้วย, การชิงชัยเหนือแผ่นดินไอยคุปต์ระหว่างโฮรัสกับเซธ, ขีปนาวุธข้ามทวีปของเซอุสและองค์อินทรา, อับราฮัมผู้บันทึกความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามนิวเคลียร์ในคาบสมุทร เปอร์เซีย
    4 - THE LOST REALMS - - ความลับของ เอล โดราโด, บุรุษแปลกหน้าผู้มาจากอีกฟากมหาสมุทร, วันที่โลกหยุดหมุน, และพระเจ้าแห่งน้ำตาทองคำ
    5 - WHEN TIME BEGAN - - วัฏจักรของกาลเวลา, คอมพิวเตอร์ที่ทำจากก้อนศิลา, ผู้พิทักษ์ความลับ, สถาปัตยกรรมแห่งสวรรค์ และ ยุคแห่งลูกแกะผู้หลงทาง
    6 - THE COSMIC CODE - - The Cosmic Conection: DNA, ผู้พยากรณ์แห่งกาลเวลา, สะดือแห่งโลก, มนุษยชาติทายาทของมนุษย์ต่างดาว
    7 - GENESIS REVISITED - - ผู้ส่งสารจากเยเนซิส, เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต, อาดัม:ผลผลิตแห่งพันธุวิศวกรรม, อีฟ:มหามารดาแห่งมวลมนุษย์, ฐานลับบนดาวอังคาร
    8 - DIVINE ENCOUNTERS - - กาลนั้นสวรรค์ล่ม, The Nefilim ครึ่งมนุษย์-ครึ่งพระเจ้า, ความลับของเทพผู้อมตะ, เทวทูตหรือดาราทูต

    เรามาช่วยกันสืบดีกว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมอ่านตอนแรกก็รู้สึกเบื่อๆเหมือนกัน แต่รับรองมีมีความลับหลายอย่าง ที่คุณได้รู้ ได้อ่านแล้ว จะต้องอ้าปากค้างแน่นอน อิอิ

    Chapter One: THE ENDLESS BEGINNING

    ทุกคนคงเคยได้ยินกฏของมัวร์ที่ว่าด้วยการเพิ่มของความเร็ว CPU แม้ว่ากฏนี้จะถูกคิดขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบันกฏนี้ก็ยังกล้อมแกล้มไปได้อยู่ วิวัฒนาการของมนุษย์ก็เช่นกันครับ หากคำนวณจากระยะเวลานับตั้งแต่มนุษย์คนแรกอุบัติขึ้นบนพื้นพิภพ ปัจจุบันพวกเราน่าจะมีความก้าวหน้าพอๆกับเผ่าบุชเมน คนป่าเผ่าหนึ่งในอาฟริกา ไม่ใช่ยุคซิลิกอนชิปครองโลกอย่างทุกวันนี้

    ตำราทางมานุษยวิทยาอนุมานเอาไว้ว่ามนุษย์ใช้เวลาประมาณ 2 ล้านปีในการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมหิน รู้จักใช้เครื่องมือที่ทำมาจากหิน โดยเฉพาะอาวุธหินและกระดูกสัตว์ซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับการล่าสัตว์เพื่อยัง ชีพ 2 ล้านปีกว่าที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักใช้ความคมของแง่งหินมาหั่นเนื้อ เฉือนไม้ เซาะดิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาต้องการจะทำ ดูจากสเกลนี้ ทำไมมนุษย์จึงไม่ใช้เวลาอีก 2 ล้านปีก้าวเข้าสู่ยุคสัมฤทธิ์และยุคโลหะ และอีก 10 ล้านปีเพื่อความชำนาญการด้านคณิตศาสตร์ เครื่องกล และดาราศาสตร์

    เป็นวิวัฒนาการที่มหัศจรรย์เหลือจะกล่าว เราใช้เวลาน้อยกว่า 5 หมื่นปีด้วยซ้ำ จากยุคของมนุษย์ถ้ำนีแอนเดอร์ธัลแมนมาสู่ยุคของการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเดินเล่น บนดวงจันทร์

    [​IMG]

    ูู^ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน ว่าใช่ดวงจันทร์จิงหรือ ? หรือจะเป็นสุดยอดการโกหกโลก ของสหรัฐ

    ถ้าจะย้อนกลับไป ในช่วงสมัย มัธยม3 พวกเราๆ ก็เคยเรียนวิชาสังคมศาสตร์ กันมาบ้างแล้ว แล้วอาณาจักรไหนที่เก่าแก่ที่และรุ่งเรือง ที่สุดหล่ะ ?
    พวกคุณก็ต้องตอบว่า อียิป ถูกต้องครับ


    -อารยธรรมแบบปุบปับ-

    ตอนที่นโปเลียนมาถึงอียิปต์ในปี 1799 ท่านจอมคนได้นำนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดมาด้วยเข่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำการศึกษาโบราณสถานของอียิปต์ อันได้แก่หมู่ปิระมิด เมืองโบราณซึ่งจมอยู่ใต้กองทราย สัตว์ผู้พิทักษ์รูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่าสฟิงซ์ หนึ่งในทีมสำรวจค้นพบศิลาโบราณใกล้ๆเมืองโรเซตตา อายุของศิลาหลักนี้นับย้อนหลังไปถึง 200 ปีก่อนคริสตกาล เหล่านักปราชญ์รู้สึกประหลาดใจกับอักขระไฮโรกลิฟิกที่จากรึกอยู่บนนั้น และเมื่อสำรวจต่อไปพวกเขาก็พบศิลาโบราณเพิ่มเติมอีกสองหลักครับ


    ความมหัศจรรย์ของภาษาโบราณแห่งอียิปต์ที่ไม่มีใครอ่านออก(ในตอนนั้น) ทำให้เริ่มมีการสำรวจพื้นที่อย่างเอาจริงเอาจัง เหล่าผู้พิชิตจากยุโรปเริ่มตระหนักว่าอารยธรรมบนแผ่นดินไอยคุปต์ มีอายุยาวนานกว่าอารยธรรมกรีกที่พวกเขาภูมิใจนักหนาเสียอีก บันทึกประวัติศาสตร์ของอียิปต์ เองก็เริ่มต้นราชวงศ์แรกเมื่อ 3100 ปีก่อนคริสตกาล สองสหัสวรรษเต็มๆก่อนยุครุ่งเรืองของอารยธรรมเฮลเลนิคในยุโรป ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 4-5 ศตวรรษกว่าจะมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเจริญสูงสุดอย่างแท้จริง


    ด้วยความเก่าแก่นี้ หรืออียิปต์จะเป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ?

    [​IMG]

    ตอนแรกใครๆก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาต่อมานักโบราณคดีได้รู้จักดินแดนใน ตะวันออกกลาง นับระยะทางแล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เลย ดินแดนแห่งนั้นรู้จักกันในนามของซูเมอร์ (Sumer) ชื่ออื่นๆที่ใช้เรียกกันก็มี Sumer, Shumer, Sumeria, Southern Mesopotamia ครับ


    ดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมมากมายต่อเนื่องกันมา ที่พวกเราคุ้นหูกันก็ได้แค่ อารยธรรมสุเมเรียน อัคเคเดียน บาบิโลเนียนเป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อียิปต์เลยครับ พวกเขามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาษาเขียนที่จารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวหรือคิวนิฟอร์มของพวกเขานี่ แหละครับ ที่ทำให้เราแกะรอยย้อนเวลาไปสู่ความรุ่งเรืองแต่ครั้งนั้นของพวกเขาได้

    หนึ่งในการค้นพบจารึกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงโบราณคดีได้แก่ การค้นพบห้องสมุดที่นิเนเวห์(Nineveh) นักโบราณคดีพบจารึกดินเหนียวมากกว่า 25,000 ชิ้น ในบรรดาจารึกเหล่านั้นมีไม่น้อยเหมือนกันที่ระบุเอาไว้ว่า เนื้อหาทั้งหลายไม่ได้มาจากสมองของคนเชียนหรอก หากแต่คัดลอกจากเอกสารโบราณของบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง ฮ่วย... อารยธรรม Sumer นี่ว่าเก่าพอดูอยู่แล้วยังมีอารยธรรมไหนที่เก่าไปกว่านี้อีกเรอะ?

    มีแผ่นจารึกอยู่ราว 20 แผ่นที่มีหมายเหตุกำกับเอาไว้เป็นภาษาโบราณแปลออกมาได้ทำนองนี้ครับ

    23rd tablet: language of Shumer not changed..... Except for mispronouncing the name

    ถูกต้องแล้วครับ ชื่อที่แท้จริงของดินแดนนี้ควรอ่านว่าชูเมอร์ไม่ใช่ซูเมอร์ มีเรื่องติดตลกจะเล่าให้ฟังนิดหน่อยคือ เมื่อก่อนนี้นักโบราณคดีสับสนมากครับ ว่าอารยธรรมที่พวกเขาค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณนั้น ชนชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมคือใคร พวกเขาสืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์วงศ์ไหน เหตุใดจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างกระทันหันและล่มสลายไปอย่างปุบปับเช่นนั้น เล่า ช่วงแรกๆของการศึกษาอารยธรรม Sumer นั้น นักโบราณคดีตีอกชกหัวไปตามๆกัน เนื่องจากรื้อก็แล้ว ขุดก็แล้ว สอบถามคนเก่าคนแก่ก็แล้ว พวกเขาไม่เจอเอกสารที่กล่าวถึงที่มาชนชาติสุเมเรียนเลยครับ (อันนี้เป็นเหตุการณ์ในยุโรปช่วงนั้นเน้อ ^^)


    โทษใครไม่ได้หรอกงานนี้ ก็เล่นค้นไม่ถูกจุดเองนี่ ความจริง Sumer ไม่ใช่ดินแดนปริศนาอะไรเลย ในเอกสารเก่าแก่อย่างไบเบิลได้ระบุถึงดินแดนนี้ อย่างชัดเจนในฐานะที่ตั้งเมืองหลวงของชาวบาบิโลน, อัคเคด และอีเรช ไบเบิลระบุชื่อของดินแดนเอาไว้ว่า The Land of Shi'ar หรือ Shinar ครับ

    การขุดค้นโบราณสถานครั้งสำคัญของอารยธรรมสุเมเรียนเริ่มขึ้นในปี 1877 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลจากการขุดค้นทำให้ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างมโหฬาร อะโห! พื้นที่ของอาณาจักรนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย ครับ จากไซต์สู่ไซต์ จากเมืองแรกสู่เมืองที่สอง สร้างความพิศวงงงงวยแก่ทีมสำรวจเป็นล้นเหลือ โปรเจ็คนี้ยุติลงในปี 1933 ทั้งที่ยังเหลืองานที่ต้องสำรวจอยู่อีกเยอะ แต่แน่ล่ะ ทีมสำรวจไม่ได้มีทีมเดียวนี่ครับ นักโบราณคดีในสังกัดอื่นยังคงทำงานของพวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยใดๆนอกจากกลัวตาย ก็จะไม่ให้กลัวได้ไงล่ะครับ อาณาบริเวณของ Sumer กินดินแดนครอบคลุมทั้ง อิห* อิรัก จอร์แดน ตุรกี ซึ่งระอุด้วยไฟสงครามมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคุณเชื่ออย่างที่ผมเชื่อ เราอาจสรุปได้ว่า ดินแดนแห่งนี้มีอาถรรพ์ เพราะรบพุ่งกันตลอดไม่เคยหยุดนับจากปัจจุบันย้อนไปจนถึงยุคสมัยแห่งพระเจ้ากันเลยทีเดียว

    Zecharia Sitchin เป็นหนึ่งในผู้กล้าไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการสำรวจดินแดนนั้น ตะแกเป็นเก่งครับ เรียกว่าปราชญ์ด้านภาษาโบราณคนหนึ่งเลยทีเดียว Sitchin ทำการศึกษาโบราณสถาน, แผ่นจารึกที่เรียกว่า Seals, เอกสารที่เขียนด้วยอักษรลิ่ม(Cuneiform)จนแตกฉาน Sitchin เริ่มต้นงานอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่นจนก้าวสู่มืออาชีพ Sitchin อดพิศวงกับนิสัยช่างจดบันทึกของชาวสุเมเรียนไม่ได้ เพราะชนชาตินี้บันทึกอะไรเอาไว้แบบจิปาถะเสียจริงๆเมื่อเทียบกับอารยธรรม อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีภาษาเขียนไว้เพื่อจดจารงานสำคัญเช่น คำสอนทางศาสนา หรือตัวบทกฏหมายเท่านั้น

    แต่ชาว Sumer เล่นบันทึกเอาไว้แทบทุกอย่างแม้กระทั่ง ตำราทำกับข้าว !

    -ความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียน-

    นทึกของคนโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม ของพวกเขา มันสร้างความตื่นใจให้กับนักโบราณคดีไม่แพ้ซิกกูรัตหรือโบราณสถานอื่นๆ นักโบราณคดีบางคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังครับว่า การศึกษาอารยธรรมในดินแดนแถบนั้นเหมือนการค้นพบภูเขาน้ำแข็งในทะเล เริ่มแรกเห็นแต่ยอดกระจิ๋วที่ลอยปริ่มอยู่เหนือน้ำ ครั้นพอสำรวจเข้าจริงๆก็พบว่าความจริงแล้วเนื้อที่อันมหึมาของมันซ่อนอยู่ ใต้น้ำต่างหาก

    ในฐานะอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนพิภพ สุเมเรียนไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง แต่ภาพวาดและงานเขียนของพวกเขาก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะภาพประดิษฐ์ที่ทำเป็นตราสัญลักษณ์หรือผนึก(Cylinder Seal)นั้น นอกจากจะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ยังเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติพันธุ์นี้อีกด้วย

    ปกติงานศิลปะของมนุษย์ยุคโบราณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาอย่างแยกกันไม่ ออก ชาวสุเมเรียนไม่เพียงแต่สร้างงานทางศาสนาเท่านั้น พวกเขายังมีศิลปะที่บอกเล่าถึงการเกษตร การรังวัดที่ดิน การคำนวณราคาของผลผลิต ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์อันสูงส่งของพวกเขา ตัวอย่างของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียนได้แก่

    # การคิดค้นอิฐเผาสำหรับก่อสร้าง
    # อุตสาหกรรมเครื่องทอขนาดใหญ่
    # การเก็บเกี่ยวและถนอมผลผลิตทางการเกษตร
    # ศิละในการประกอบอาหาร ซึ่งจากดูจากวิธีทำและส่วนผสมแล้ว
    # ...แสดงว่าชนชาตินี้มีรสนิยมในการกินอยู่ไม่น้อยเชียวครับ

    [​IMG]

    In the wine of drinking,
    In the scented water,
    In the oil of unction -
    This bird have I cooked,
    and have eaten

    ไม่น่าเชื่อว่าอาหารขึ้นชื่อในปัจจุบัน ชาวสุเมเรียนเค้าทำกินกันเป็นแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน
    (อั่นแน่ ! 6000ปีก่อนคริสศักราช รู้จักการทำอาหารซะด้วย ไม่ธรรมดาน่ะเนี่ย
    ว่าแต่ มนุษย์ธรรมดาๆ อ่ยางเราๆ รู้จักรึยังหล่ะ ? นอกจากการล่าสัตว์)

    เอ้า เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า

    ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง ปกติคนโบราณจะแสยงกับทะเลมากครับ เพราะเชื่อว่าโลกแบนขืนแล่นเรือไปไกลจะพาลตกขอบทะเลเอาเสียเปล่า แต่ชาวสุเมเรียนไม่อย่างนั้นครับ พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา


    [​IMG]

    ภาพจำลองเทวสถานในยามเย็นของชาวสุเมเรียน งดงามและคงความขลังน่าประทับใจเป็นยิ่งนัก

    กำ ทำไมตัวหนังสือมันติดกันแบบนี้อ่ะเนี่ย -*-
    หมดกันกุ อุส่าทำมา

    Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา (Sumerologist) ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริเริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ลองดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ แล้วคิดให้ดีๆนะครับว่า คนโบราณที่ดำรงชีวิตอยู่เมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้วพวกนี้ เค้าเจริญก้าวหน้ากันผิดยุคขนาดไหน ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้นได้แก่





    * โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก(ของโลก เท่าที่เรามีหลักฐานกันน่ะนะครับ)
    * มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
    * มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
    * มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
    * มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
    * ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็น เจ้าแรก
    * มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
    * มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
    * มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก (โปรดนึกถึงรายการถึงลูกถึงคนเมื่อหลายพันปีก่อน)
    * เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุก มุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่ครับ
    * มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก (ต้นฉบับเค้าใช้คำว่า Social Reform หรอก
    * และอื่นๆอีกมากมาย



    สิ่งเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน เราแบ่งโลกออกเป็น 360 องศาตามแบบสุเมเรียน, นับเวลาด้วยชั่วโมงและนาทีตามแบบของพวกเขา ยกเว้นระยะเวลาของการดำรงอยู่บนโลกซึ่งแตกต่างกันแล้ว อาจกล่าวได้ว่า เราและเขาไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย
    (เพียงแต่ว่า เขาทำก่อนเรา 9000กว่าปี แค่นั้นเอง)


    <TABLE class=msgdetail style="BACKGROUND-POSITION: 0% 0%" target="_blank" postborder_body.jpg);? misc goodgame images webboard.gg.in.th http:>http://webboard.gg.in.th/images/goodgame/misc/postborder_body.jpg); WORD-SPACING: 0px; FONT: 11px Tahoma, 'Microsoft Sans Serif'; TEXT-TRANSFORM: none; COLOR: rgb(0,0,0); TEXT-INDENT: 0px; WHITE-SPACE: nowrap; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px; background-origin: initial; background-clip: initial" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="FONT: 10pt Tahoma, 'Microsoft Sans Serif'">
    ถึงตอนนี้พวกคุณบอกผมได้หรอยัง ว่าคนเกิดจากอะไร ?

    และเป็นไปได้ไหม ที่มนุษยชาติ จะเกิดจากการกระทำของพระเจ้า ตามพระคัมภีร์ใบเบิล

    ถึงตรงนี้ พวกนายก็คงบอกว่า ไม่รู้ ฮี้ๆๆ
    แล้วถ้ามองมองในทางศาสนา พวกคุณก็คงต้องบอกว่า เกิดจากพระเจ้า เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา

    ถูก แล้วคับ พระเจ้าเป็นผุ้สร้างมนุษย์
    เป็นไปได้มั้ย ที่มนุษย์จะเกิดจากพระเจ้า.................จากพิภพอื่น ?
    อ้างอิงตาม ตำนานของชาวสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนเรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า (Anunnaki) อะนันนาคิ
    (อ่านไปเพลินๆน่ะครับ ไม่ต้องซีเรียส)

    Zecharia Sitchin เขาเขียนหนังสือดังๆไว้หลายเล่มด้วยกันในที่นี้จะเก็บรายละเอียดย่อๆมาเล่า ให้ฟังพอหอมปากหอมคอนะครับ

    อีตา Sitchin เนี่ยเค้ามีความเชื่อว่ามนุษย์เรานี้เป็นทายาทของมนุษย์ต่างดาวครับ บางท่านก็คงจะนึกว่ามันจะแปลกอาไร๊… เพราะนักเขียนฝรั่งที่เชื่อแบบเดียวกันและเขียนหนังสืออกมาก็มีกันตั้งหลาย คน อันนั้นมันก็ใช่อยู่หรอกครับ เพียงแต่ตา Sitchin เนี่ยค่อนข้างจะเชี่ยวชาญเรื่องอักขระโบราณ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามรอยอารยธรรมที่มีคนเชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมที่ มาจากนอกพิภพ งานเขียนของเขาครอบคลุมอย่างกว้างขวางไล่ไปตั้งแต่เรื่องของสโตนเฮนจ์ โบราณสถานเทียฮัวนาโค รวมไปถึงอายธรรมโบราณของสุเมเรียนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาว Nibiruans ในคำจารึกของชาวสุเมเรียนเรียกพวกเขาว่า อานันนาคิ (Anunnaki) ซึ่ง Anunnaki นี่แหละครับที่ตา Sitchin เชื่อว่าไม่เพียงแต่สร้างอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมียเท่านั้น แต่ยังสร้างอารยธรรมของทั้งโลกอีกด้วย พวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงที่ชื่อว่า นิบิรุครับ

    จากการถอดรหัสอักษรคูนิฟอร์มมากกว่าสองพันชุดที่จารึก เรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซียเอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมณีกล่าวถึงราย ละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละ ครับ ฟังแล้วน่าทึ่งจริงๆ เพราะอายุของจารึกคูนิฟอร์มนี้มันปาเข้าไปตั้งสี่พันกว่าปีแล้ว ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งค้นพบดาวพลูโตและนับมันเป็นดาวเคราะห์ ดวงหนึ่งในระบบสุริยะเมื่อเร็วๆนี้เอง ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะครับ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกครับ ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้า ที่เรียกกันว่านิบิรุ
    (ใครที่ติดตามข่าวต่างประเทศบ่อยๆ ก็น่าจะรู้ดีเกี่ยวกับดาวดวงนี้ และ 2012)[​IMG]

    [​IMG]
    ^ดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรของเผ่า สุเมเรียน

    อ่านต่อๆ อิอิ(มันจะออกแนว ufoไปหน่อยน่ะคับ)
    พระเจ้าหรือพระผู้สร้างจากนิบิรุพา พวกเขาล่องเรือลงมายังโลก แล้วก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ ใช้ชีวิตเริ่มต้นอารยธรรมกันบนดินแดนเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนเหล่านี้ หาได้มีความสามารถสร้างอากาศยาน เพื่อท่องไปทั่วอวกาศอย่างพระผู้สร้างไม่ แต่ความรู้ที่พระผู้สร้างจากนิบิรุทิ้งไว้ให้นี้ ก็เล่นเอานักวิทยศาสตร์ปัจจุบันงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกันแหละครับ สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดแบบลึกๆของเรื่องนี้ คงต้องหาหนังสือมาอ่านกันเองล่ะครับ เพราะรายละเอียดค่อนข้างแยะ

    Sitchin ให้ทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่า "ใบหน้าบนดาวอังคาร" หรือ Face On Mars อันว่า Face On Mars นี้เป็นที่กังขากันมานานแล้วครับว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการเล่นตลก ของแสงกับมุมกล้อง สำหรับท่านที่ตกข่าวอยู่ ผมจะท้าวความให้ก็ได้ว่าเจ้า Face On Mars ที่ว่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายใบหน้าสฟิงก์และหมู่ปิระมิด ซึ่งยานอวกาศขององค์การนาสาถ่ายได้โดยบังเอิญ ในบริเวณที่ราบที่เรียกกันว่า Cydonia บนดาวอังคาร (เรื่องนี้กรุณาอ่านในหัวข้อ Face On Mars นะครับ) ตอนนี้ยังไม่มีใครตีความออกว่าลักษณะของสฟิงก์ที่รายล้อมด้วยหมู่ปิระมิด นั้นหมายถึงอะไร แต่คาดกันว่า น่าจะใช้เป็นจุดสังเกตทางอากาศเมื่อจะนำยานลงจอดมากกว่าอย่างอื่น เพราะสิ่งก่อสร้างลักษณะนี้จะดูสะดุดตามากหากมองจากทางอากาศ หากเป็นจริงแล้ว สฟิงก์แห่งกิซาและมหาปิระมิดอาจเป็นจุด Landing ของยานจากดาวนิบิรุก็ได้

    ปริศนาอย่างหนึ่งของสฟิงซ์และมหาปิระมิด ก็คือมันถูกสร้างด้วยฝีมือของชาวอียิปต์จริงๆหรือไม่ เพราะอายุอานามของปิระมิดและสฟิงซ์นั้น จากการตรวจสอบทางโบราณคดีอายุมันมากกว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ตั้งสองพันกว่าปี หากเป็นอย่างนั้นจริง ฟาโรห์คีออปส์ก็หาใช่ผู้สร้างปิระมิดเลย พระองค์เพียงแต่บูรณะมหาปิระมิดขึ้นมาแล้วก็อ้างชื่อในฐานะผู้สร้างเท่านั้น แน่ล่ะครับเป็นถึงเหนือหัวเจ้าแผ่นดินนี่นา จะทรงสั่งให้อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ยังไงก็ได้ทั้งนั้น แหละ............

    ารศึกษาเรื่องของพระ เจ้าโดยอาศัยเงื่อนงำจากตำนานสุเมเรียนโบราณยังคงดำเนินต่อไป หากเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานเหลวไหลแล้วองค์การเบิ้มๆอย่างNASA คงไม่บ้าจี้ค้นหานิบิรุตามตำนานหรอกครับ ปัจจุบัน ณ อาร์เจนตินาและชิลี NASAได้ขอความร่วมมือตั้งกล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมา เพื่อสอดส่องหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างเงียบเชียบ NASAปิดบังสิ่งใดไว้หรือครับ? อเมริกาและมหาอำนาจอื่นๆกำลังทำอะไรกันอยู่ …เตรียมพร้อมรับการมาถึงของ
    Anunnaki

    หลักฐานอีกชิ้นที่ยืน ยันการมีอยู่ของพระเจ้าจากอวกาศ ก็คือแผนที่ครับ เป็นแผนที่โลกจารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวอายุอานามกว่าหกพันปี มีเส้นรุ้งเส้นแวงครบถ้วนตามกระบวนการทำแผนที่ยุคปัจจุบันเด๊ะ เพียงแต่ลักษณะของทวีปต่างๆไม่เหมือนกับปัจจุบันเลยซักนิดเดียว มันคืออะไร? แผนที่โลกนี้เมื่อนมนานมาแล้วหรือว่าเป็นแผนที่ของดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวที่ Anunaki นำบรรพชนของเราลงมายังโลก มีงานเขียนบางชิ้นกล่าวถึงการสร้างมนุษย์จากหลอดทดลอง มนุษย์ที่ว่าก็คือบรรพชนของเรานี่แหละครับ งานเขียนเหล่านั้นจะอ้างอิงคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเป็นหลัก อาศัยการตีความจากไบเบิลเท่านั้น แต่บันทึกของสุเมเรี่ยนเจ๋งกว่า เพราะมีทั้งเรื่องราวและภาพโครงสร้างของ DNA อยู่อย่างเสร็จสรรพ
    ชาวสุ เมเรียนโบราณรู้เรื่อง DNA ตลอดจนวาดภาพโครงสร้างของมันออกมาได้อย่างไรครับหากเขาไม่เคยเห็นมาก่อน?

    [​IMG]
    (น่าแปลกเนอะ เมื่อ6000พันปีก่อน พวกเขารู้จัก โครงสร้างของDnaมนุษย์ได้ดี ถึงขนาดที่ว่าวิวัฒนาการปัจจุบันยังไม่สามารถหยั่งรู้ได้ถึงขนาดนี้เลย เหอๆ )

    คำถามสุดท้ายสำหรับ ช่วงนี้คืออนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศกำลังมีน้ำหนักและอิทธิพลต่อความเชื่อของคนยุคปัจจุบัน มากขึ้นทุกที หลายคนเริ่มคล้อยตามในขณะที่บางคน บางกลุ่ม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจยอมรับมันมานานแล้ว เราอาจถูกสร้างโดยพระผู้สร้างผู้เดินทางมาจากอวกาศ สักวันเราจะมีโอกาสเจริญรอยตามพระผู้สร้างได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราได้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากมาย เรียกได้ว่าก้าวหน้าทั้งศาสตร์และศิลป์จนทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าจากอวกาศ เริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ที่สำคัญคือ***ก้าวร้าวในตัวมนุษย์รวมถึงนิสัยชอบก่อสงครามนี่แหละจะทำ ให้มีปัญหาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดปีกกล้าขาแข็งและคิดจะวัดรอยเท้าพระ เจ้าขึ้นมา?

    [​IMG]
    ^ Planet X ในศิลาจาลึกของชาวนิบิรุเกี่ยวข้องกันยังไง
    โปรดติดตาม อิอิ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ง่ารูปไม่ขึ้นอ่ะ

    [​IMG]
    ^ดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรของเผ่า สุเมเรียน


    [​IMG]
    (น่าแปลกเนอะ เมื่อ6000พันปีก่อน พวกเขารู้จัก โครงสร้างของDnaมนุษย์ได้ดี ถึงขนาดที่ว่าวิวัฒนาการปัจจุบันยังไม่สามารถหยั่งรู้ได้ถึงขนาดนี้เลย)

    [​IMG]
    ^ Planet X ในศิลาจาลึกของชาวนิบิรุเกี่ยวข้องกันยังไง
    โปรดติดตาม อิอิ

    ฝากอีกนิดครับ

    ของสิ่งนี้เป็นเครื่องลางของชาวสุเมเรียน และผมเชื่อว่าทุกๆคนไม่รู้จักมันแน่นอน
    และมันมีอายุ มามากกว่า 6000 ปี! สิ่งนี้ ทำให้ นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี
    ต่างหัวทิ่มไปตามๆกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ตามมา


    [​IMG]>>[​IMG]

    ไม่ทราบว่า ชาวสุเมเรียน เล่นตลกอะไรครับ ? 6000ปีก่อน แม้แต่รถลาก มนุษย์ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

    พวกเขาไปเห็น มิราจแอร์ฟอส ของสหรัฐ ที่ไหน ?



    เด๋วมาต่อน่ะ ^^


    Planet - X
    โลกของ เราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ
    (บทความนี้เป็นบทความในหนังสือเมื่อปี 2003 ในปัจจุบัน ทุกๆคนก็รู้ๆกันอยู่ ว่าสหรัฐได้ตัดดาวพลูโต ออกจากระบบสุริยะจักรวาลแล้ว)
    นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?


    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่ สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง
    (ในตอนนั้นยังเป็นแค่การเริ่มต้นค้นหา แต่ในปัจจุบันปี2010 องค์การนาซ่าออกมายืนยันแล้วว่า ดาวที่ว่านั่นมีอยู่จริง และจะโคจรมาทับกับวงโคจรโลก ในปี 2012 ! นั่นหมายความว่า คลื่นพลังแม่เหล็กต่างๆ ฯลฯ
    ภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุด
    เราอาจจะโดนเหมือนกับที่ไดโนเสาร์-ชาวสุเมเรียน เคยเจอ โลกอาจจะเหลือแค่ครึ่งใบ มนุษยชาติ อาจจะสุญพัน)
    และนี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นโลกใบใหม่ของทุกสรรพสิ่งบนโลก
    (แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ ผมศาสนาพุทธน่ะ ผมเคยอ่านพระคัมภีร์มาแบบผ่านๆ พระเจ้า พระองค์ทรงบอกไว้ว่า จะล้างโลกด้วยไฟ ทุกสิ่งทุกอย่าง บาป จะจบลงบนโลก ในปี2012
    ซึ่งผมอ่านในตอนนั้นก็ ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าศาสนา ก็คือความเชื่อ ที่ ต่อๆกันมาปากต่อปาก และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
    แต่พอผมได้มาสึกษาเกี่ยวกับโบราณคดีต่างๆ มันน่าแปลกมาก หลายศาสนา ชนเผ่ามายัน ชนเผ่าสุเมเรียน และอีกหลายๆศาสนา ต่างทำนายถึงปี 2012 ไว้เหมือนกันหมด*0*
    แปลกดีแฮะ และปี2012นี้เป็นปีที่โลกจะมาปะทะกับplanet x เหมือนเมื่อหลายพันปีก่อน
    อย่างที่บอกไปในข้างบน)
    เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า อิอิ

    เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือน กันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?



    เหอๆ รูปก็ใส่ไม่ได้อีก ไอเวรเอ๋ย
    ต่อๆ
    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก


    เปอร์ ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะ*** (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย

    Planet - X
    นับ เป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา


    นักดาราศาสตร์ยุคนี้ น่าตลกจิงๆเล้ย

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน นายเจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

    ครั้ง ล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน
    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"


    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย

    (ฮ่าๆๆ 6000ปีก่อน ดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียน ก้าวข้ามขีดจำกัดไปถึงขนาดนั้นเรยเหลอ ฮ่าๆ แล้วเค้าใช่อะไรดูหล่ะ ? กล้องดูดาว ? 6000ปีก่อนมีกล้องเหลอ ?แต่เดี๋ยวผมจะมาใส่รูปให้น่ะครับ เวปบอร์ดนี้เป็นเชิ้ยไรก็ไม่รู้ ไอGMเวร)


    http://webboard.gg.in.th/topic/44/191787
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  9. KasroK

    KasroK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +98
    ถึงเเม้ว่าดาวนิบิรุจะไม่ชนโลกเราเเต่ไปชนกันดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ในกาเเล็กซี่เราหรือที่กาเเล็กซี่อื่น มันก็น่าจะส่งผลกระทบต่อโลกเราเเน่ๆเเต่ถ้าว่ามนุษย์ต่างดาวที่เขามีวิทยาการล้ำหน้ากว่าเรามากเขาก็คงเคยพบกับดาวนิบิรุเเต่เขาก็ปล่อยให้ดาวนิบิรุโคจรมาเรื่อยๆ
    เเน่นอนว่าถ้าดาวนิบิรุเป็นอันตรายกับดาวที่เขาอาศัยอยู่เขาก็คงไม่ปล่อยดาวนิบิรุไว้เหมือนกันหรือเขาจะสามารถเลื่อนให้ดาวนิบิรุออกไปได้เเต่ทำไมเขาไม่ทำลายดาวนิบิรุไปเสียเลย
    จะได้ไม่เป็นอันตรายกับดาวต่างๆ เเละสรรพชีวิตในจักรวาลอันเเสนกว้างใหญ่
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นักวิทยาศาสตร์เขายังไม่ยอมรับเรื่อง นิบิรุ นะ
    มีแต่นักโบรณคดีเขาวิเคราะห์ในเชิงของวิทยาศาสตร์ คือมีหลักฐานเชื่อมโยง+ตีความจากตำนาน
    แต่นักวิทยาศาสตร์ดวงดาว นาซ่า หรืออื่นๆที่เป็นทางการเขาปิฏเสธไม่ยอมรับ

    สรุปว่ายังไม่มีใครรู้จริงหรอก ก็ได้แต่ตั้งสมมุติฐานไว้ก่อน
    ตอนนี้ยังเป็นแค่ความเชื่อ เพราะยังจับตัวนิบิรุตัวเป็นๆไมได้
    มีแต่พวกแม่นกตัวใหญ่ (UFO หน้าตาแปลกๆ) มาผลุบโผล่ โฉบไปโฉบมา อยู่แถวๆดวงอาทิตย์
    ทำยังกับมาระดมสูบพลังงานพระอาทิตย์ของเรา ยังงั้นแหละ (ดูจากภาพถ่ายนาซ่า นะ)

    บ้างก็บอกว่า มันเป็น UFO กึ่งดาวเคราะห์ ที่ควบคุมวิถีการโคจรตัวเองได้
    มีจุดกำเนิดสนามแม่เหล็กในตัวเอง มีวิถีวงโคจรของตัวเอง ท่องเที่ยวไปในอวกาศ
    ถ้าเรื่องในตำนานเป็นจริง และปีนี้ 2012 คือปีที่เขามาจริง
    เราก็ได้แต่รอพิสูจน์ความจริงกัน มาจริงก็คงได้เห็นจริงเหมือนที่ชาวสุเมเรียน
    เขาวาดภาพทิ้งไว้ให้เราดู สัญลักษณ์ของนิบิรุในแผ่นดินเหนียวโบราณ คือรูปดาวกางเขน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2012
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ที่อ่านเจอมานะ มีบางคนเขาให้เครดิต ว่า นิบิรุ เดินทางไปถึงไหน
    ก็พาอารยธรรมของตัวเองไปเผยแพร่ที่นั่นด้วย เหมือนกระจายความเจริญทางวัตถุ
    แต่คำสอนทางด้านจิตใจนี่ไม่รู้ ที่ใกล้เคียงก็น่าจะเป็นคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์
    และคัมภีร์โตราของชาวยิว รวมถึงคัมภรีอัลกุอาน ของอิสลาม นะ น่าจะเข้าเค้า
    เพราะคำสอนเขา มาจากพระเจ้าของเขามาติดต่อพูดคุยกับผู้รับสาสน์ ทั้งโมเสส
    พระเยซู พระนบีมุฮัมหมัด

    ซึ่งต่างจาก คำสอนของพุทธศาสนา ที่พระศาสดาเราตรัสรู้ในฐานะมนุษย์
    และเผยแผ่คำสอนแบบมนุษย์ต่อมนุษย์ ไม่มีเรื่องลึกลับซับซ้อน

    หรือแม้แต่คำสอนของ ขงจื๊อ เล่าจื๊อ ก็มาจากตัวท่านค้นพบเองเข้าใจเอง
    แล้วมาสั่งสอนด้วยตนเอง

    อันนี้เป็นทัศนะ ไม่ใช่ความรู้จริง อ่านมาหลายๆทางแล้ววิเคราะห์เอาเอง
     
  12. จั๋งได๋

    จั๋งได๋ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +6
    hello8ถ้ามีจริงปีนี้คงได้เห็นกัน คงไม่มีเลื่อนอีกแล้วมั้ง คนรอก็รอนานเลยแบบนี้ แหะ แหะ ~
     
  13. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    ชอบอ่านค่ะ อ่านเพลินดี
    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาโพสให้อ่านกัน
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สำหรับคนที่ชอบเรื่องพระเจ้าจากอวกาศ มีเรื่องสนุกๆมาให้อ่าน อีกแระ จากคุณโซนิคเจ้าเก่า

    Ancient Astronaut: บทที่ 1 อารัมภบท

    :: เรียบเรียงโดย Sonic ::







    จากงานเขียนของ
    วิลเลียม เซเลอร์
    และแรงบันดาลใจจากภาพอภิมหาคลาสสิคแห่งวงการพระเจ้าจากอวกาศ อันเป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวมายาโบราณนาม ปากัล-Pakal มาเป็นบทความอภิมหายาว
    The Return of Ancient Astronauts
    แอ่น-แอ น-แอ๊น (ทั้งที่แอตแลนติสก็ยังทำไปได้ไม่ถึงไหน) ท่านที่ตามงานของนายโซนิคเป็นประจำคงจะเอียนกับเรื่องของ Anunnaki และNibiru กันเต็มทน มาบัดนี้ท่านจะได้เอียนซ้ำอีกรอบหนึ่ง แต่เป็นคนละมุมมอง นายโซนิคไม่รับประกันนะครับว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้จะเสร็จเมื่อไหร่ และนี่คือสาระสังเขปของเรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านกัน คลิกที่ลิงค์เพื่อเข้าไปอ่านบทเต็ม(เฉพาะบทที่เสร็จนะครับ จะทยอยอัพเดทตามเวลาที่มีอยู่) ด้านล่างคือสารบัญสำหรับผู้ต้องการลัดไปอ่านบทที่สนใจโดยเฉพาะ



    บทนำ ไหว้ครู โหมโรง อารัมภบท ฯลฯ
    แล้วแต่จะเรียกครับ



    # จิ๊กซอแห่งประวัติศาสตร์ #
    ชิ้น ส่วนเล็กๆที่จะนำมาประกอบกันเพื่อยืนยันทฤษฎี "พระเจ้าจากอวกาศ" ทั้งจากตำนานโบราณ วรรณคดี โบราณวัตถุต่างๆที่ขุดค้นพบกัน ที่บ่งชี้ว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาได้เหินลงมาสร้างอาณานิคมอยู่บน โลกมนุษย์ของเรา หลายชิ้นได้รับการยอมรับแล้วจากวงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ในขณะที่อีกหลายๆชิ้นยัง"หาคำตอบกันไม่ได้"



    # ลายเส้นบนพื้นราบ #
    ลวดลายเรขาคณิตบนที่ราบนาซก้าและที่อื่นที่มีลักษณะเดียวกัน เป็นลวดลายที่สร้างขึ้นมาโดยคนโบราณโดยมีความน่าประหลาดคือ มันสามารถมองเห็นได้จากทางอากาศเท่านั้น นี่คือไอเดียใหม่ๆที่จะชยายความให้ท่านฟังว่า คนโบราณสร้างลวดลายเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไรและสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไร



    # โบราณสถานขนาดยักษ์ #
    ที่ กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่งบนโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ หรือเป็นความจริงตามในพระคัมภีร์ที่ว่า "กาลครั้งหนึ่ง เคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกใบนี้" คนโบราณสร้างอนุสรณ์สถานด้วยหินยักษ์หนัก 2,000,000 ปอนด์ได้อย่างไร ในเมื่อด้วยวิทยาการของโลกปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย มันก็ยังเป็นไปได้อย่างยากเย็น บางทีไอเดียบางอย่างในบทนี้ อาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องในอนาคต



    # ปิระมิด-ปิระมิด-ปิระมิด #
    สูงน้อยหน่อยก็ 400 ฟิต ที่สูงมากหน่อยก็ 2,300 ฟิต แถมพบในชนชาติโบราณที่เจริญผิดยุคแทบทุกชาติ พวกเขาสร้างมันขึ้นมาทำไม? นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า ปิระมิดคือโบราณสถานที่เกิดขึ้นมาพร้อมอารยธรรมมนุษย์และทำหน้าที่อย่างหลาก หลาย เป็นจุดสังเกตในการลงจอด เป็นลานบินฉุกเฉิน สถานีเติมเสบียง หลุมหลบภัย และศาสนสถานเพื่อประกอบพิธีบวงสรวง ข้อสรุปของบทนี้คือ ปิระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้ติดต่อกับพระเจ้า - - The Contact



    # ปริศนาแห่งตำนานโบราณ #
    ความลับของนักบินอวกาศยุคโบราณ ที่ซุกซ่อนอยู่ในตำนานของชนชาติที่เจริญด้วยอารยธรรมอย่างผิดยุค พันธุวิศวกรรม ยานอวกาศในคัมภีร์ไบเบิล และไขข้อข้องใจที่ว่า ทำไมแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าจากอวกาศจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก



    # From Myth to Myth #
    จากตำนานสู่ตำนาน จากปริศนาสู่ปริศนาที่ซับซ้อนกว่า จะนำพาท่านไปพบกับเรื่องราวอันชวนพิศวงของ


    * ชนชาติสุเมเรียน ทายาทของทวยเทพจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบ
    * เรื่องลึกลับในคัมภีร์ไบเบิล นักท่องอวกาศยุคโบราณผู้สมอ้างตนเป็นพระเจ้า
    * มหากาพย์กิลกาเมช วรรณกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้เป็นเพียงตำนานวีรบุรุษธรรมดาๆ
    * มหาภารตะ เพียงจินตนาการหรือสงครามนิวเคลียร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จริงๆ...







    # พาหนะของทวยเทพ #
    "มนุษย์อินทรีย์" ของสุเมเรียน, "นาวาแห่งสวรรค์(Boat of Heaven)" ของอียิปต์, "วิมานะ" ของอินเดีย, "มังกรบิน" ของตะวันออกไกล, "พญางูมีปีก" ในอเมริกากลาง และบัลลังก์ลอยฟ้าที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆในจารึกของชนชาติฮีบรู ฯลฯ มันคืออะไร?



    # การบวงสรวงบูชายัญ #
    แกะ วัว แพะ หรือแม้กระทั่งมนุษย์ พระเจ้าที่ว่ากันว่าอมตะต้องการอาหารเหล่านี้ไปทำไม? ศาสนสถานหลายแห่งบ่งชี้ว่า มันคือสถานที่ที่พระเจ้าเสด็จลงมา"เติมเสบียง"ที่เรียกร้องเอาจากมนุษย์ ยะโฮวา เรียกร้องวัว 100 ตัวลูกแกะ 100 ตัว ลูกแพะร้อยตัว ยะโฮวาเอาไปทำไม เก็บไว้ในตู้เสบียงของยานขณะเดินทางหรือ? คิฮัวโคเทิล เทพโบราณของอเมริกากลางต้องการให้มีการสังเวยมนุษย์ทุกสัปดาห์ พระเจ้าองค์นี้ต้องการมนุษย์เพื่ออะไร เอาไปกินหรือแค่ต้องการชิ้นส่วน?



    # สงครามนิวเคลียร์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ #
    "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง", "เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้ง ร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกเอาไว้ อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว" - - จาก มหาภารตะ



    # วิทยาการแห่งชีวิต #
    - - Biotechnology of the God พระเจ้าทรงปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นจากฝุ่นผงแห่งพสุธา เป่าลมหายใจให้มีชีวิต ประทานสติปัญญา เรื่องราวจากพระคัมภีร์เหล่านี้แฝงไว้ด้วยฉากหลังที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ของกระบวนการพันธุวิศวกรรม ทูตสวรรค์ที่อยู่กินกับหญิงสาวชาวมนุษย์ การผสมข้ามสายพันธุ์ของมนุษย์และพระเจ้า เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงสร้างความกังขาและถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้น บัดนี้เทคนิคทางพันธุวิศกรรมที่เรียกว่า "cross-species cell transfer" และ "recombinant DNA" กำลังจะให้คำตอบเราและยืนยันกับเราว่า อย่างช้าๆ...มนุษย์กำลังเจริญรอยตามพระผู้สร้างในอดีต...



    # อมตะ #
    ไม่ใช่หนังสือรางวัลซีไรท์ แต่เป็นความลับแห่งอายุขัยของพระเจ้า



    # Orion: Home of the God? #
    พระเจ้าโบราณของพวกเราไปอยู่เสียที่ไหน? บางทีร่องรอยขนาดยักษ์ที่พระเจ้าทิ้งเอาไว้บนโลก ดวงจันทร์ดาวอังคาร คือ step เล็กๆที่พระเจ้าต้องการให้เราก้าวตามไป เมื่อผนวกเข้ากับปริศนาแห่ง Orion แล้ว พระเจ้าของเราน่าจะอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งบริเวณกลุ่มดาว Orion - - มุมมองใหม่ที่ไม่ใช่ Nibiru...



    # พลิกฟ้าคว่ำดิน #
    ไม่ใช่วิทยายุทธในหนังจีน... แต่เป็นเรื่องราวของทฤษฎี Pole Shift, Pole Round ซึ่งได้ให้ข้อสังเกตกับเราว่า การที่แกนโลกเปลี่ยนแนวนั้น สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของอายธรรมโบราณอย่างไร แกนโลกกำลังจะพลิกในเร็ววันนี้จริงหรือไม่ ถ้าจริง มันจะพลิกเมื่อใด?



    # Akkadian Seal #
    - จารึกดินเหนียวชิ้นเล็กๆในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน ที่ Zecharia Sitchin บอกว่า มันคือข่าวสารจากโลกโบราณที่บอกกับเราว่า บรรพชนของเรารู้จักระบบสุริยะจักรวาลเป็นอย่างดี จารึกดินเหนียวชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึง ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ทั้งเก้า(รวมไปถึง... Nibiru) Titan ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดวงจันทร์ของโลกเรา แต่ไม่ยักกะมีพลูโต นักวิชาการหลายคนค้าน Sitchin ว่าด้วยเรื่องของจำนวนดาวเคราะห์และ scale ที่ผิดสัดส่วน Akkadian Seal คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนงั้นรึ? ไม่มั้ง... ไปฟังเค้าเถียงกันหน่อยเป็นไร



    # บทสรุป #
    ปัจจุบัน พระเจ้าจากอวกาศเหล่านี้อยู่ที่ไหน ปรากฏในรูปแบบใด พระเจ้าเคยสัญญาว่าจะหวนกลับมาสู่โลกมนุษย์ คำสัญญานี้จะเป็นจริงเหมือน
    "I'll Back!"​
    กับภาคต่อของคนเหล็ก Terminator หรือไม่ และถ้ากลับมาจริง พระเจ้าจะกลับมาเพื่ออะไร?

    บทนำ: A brief history of Ancient Astronaut


    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed; MARGIN-LEFT: 1px; WIDTH: 760px; LINE-HEIGHT: normal; BORDER-COLLAPSE: collapse; WORD-WRAP: break-word; empty-cells: show" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY style="LINE-HEIGHT: normal; WORD-WRAP: break-word"><TR style="LINE-HEIGHT: normal; WORD-WRAP: break-word"><TD class=t_msgfont id=postmessage_14 style="FONT: 14px/1.6em Verdana, Helvetica, Arial, sans-serif; COLOR: rgb(68,68,68); WORD-WRAP: break-word">มีหลายคนถามผมว่า ทำไมผมจึงใช้ชื่อของเว็บไซต์นี้ว่า Myth มันมีที่มาจากคำว่า Mythology หรือเปล่า?

    ถูกแล้วครับ ชื่อของเว็บไซต์นี้มาจากคำว่า Mythology หรือ Mythical เพราะหนึ่งนั้นผมชอบเรื่องราวในแนวตำนานเป็นการส่วนตัว ประการที่สองคือ โดยรากศัพท์แล้ว Myth ไม่ใช่แค่ตำนานการบอกเล่าธรรมดา แต่มันหมายถึงอะไรที่มัน "Incredible" เอามากๆ และผมเห็นว่าเรื่องราวที่ผมจับอยู่นั้น มันเป็นอย่างว่าเสียด้วยก็เลยตัดสินใจใช้ชื่อนี้ คงพอจะหายสงสัยแล้วนะครับ ว่าทำไมผมไม่ใช้คำว่า UFO หรือ Alien หรือ X-Files อะไรอย่างที่ชาวบ้านเค้าใช้ เพราะผมเน้นตำนาน(ที่บางทีก็ตำนานไปจนคนอื่นรออ่านไม่ไหวเอาเหมือนกัน)




    เอ้า นอกเรื่องมาซะนาน เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ใครที่เบื่ออินโทรนี้จะข้ามไปก็ได้นะครับไม่ว่ากัน ผมขอเล่าแบบคร่าวๆให้ผู้ที่บังเอิญหลงเข้ามาฟังเท่านั้นเองว่า ในการศึกษาคัมภีร์หรือจารึกโบราณนั้น ส่วนใหญ่เท่าที่เราพบเเห็นกันจะอิงไปทางศาสนาเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นไบเบิ้ล อัลกุรอาน มหาภารตะ หรืออื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องของกฤษฎาอภินิหารเข้ามเกี่ยวข้องด้วยเป็นส่วนใหญ่ บางเรื่องก็เหลือเชื่อเอามากๆ ทีนี้ถ้าเราลองมองอย่างเป็นธรรม มองในแง่ของวิทยาศาสตร์เพียวๆโดยตัดอภินิหารหรือศัรทธาอะไรเทือกนั้นออก เราจะมองเห็นและตั้งคำถามในใจขึ้นมาหลายต่อหลายคำถาม โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของคนโบราณ หินยักษ์ก้อนใหญ่ที่ถูกนำมาก่อร่างสร้างวิหารอันโอฬาร ลายเส้นบนพื้นราบที่มองได้เฉพาะจากบนอากาศ ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างและยากจะตีความ

    ครับ... นั่นคือเฉพาะสิ่งที่เราเห็นและจับต้องได้ ไม่รวมไปถึงอภินิหารทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ การสร้างมนุษย์ สงครามระหว่างเทพกับคน น้ำท่วมโลก ฯลฯ เราเพิกเฉยกับส่งเหล่านี้พร้อมกับโยนมันให้วงการศาสนวิทยามาแสนนาน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง... ในรุ่งอรุณแหงยุคอวกาศ ด้วยพลังของไบโอเทคโนโลยี สิ่งที่มนุษย์เราสามารถทำได้มันก็คล้ายคำว่า "อภินิหาร" เข้าไปทุกทีๆ มนุษย์ทำได้ในหลายๆสิ่งที่พระเจ้าเคยทำมาในพระคัมภีร์ และยิ่งถ้ามองกลับลงไปในเรื่องของสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา โบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่เราเคยฉงนฉงายมาตั้งนมนานว่า คนโบราณเขาสามารถทำได้อย่างไร เราก็เริ่มที่จะเข้าใจและสามารถใช้คำอธิบายในเชิงของวิทยาศาสตร์มากกว่าคำ ว่าอภินิหาร

    แล้วมันทำไมหรือครับ?

    มันก็ไม่ทำไมหรอกครับ ที่มาของแนวคิดเกี่ยวกับ Ancient Astronaut หรือนักบินอวกาศยุคโบราณ ที่แวะเวียนมาสร้างอาณานิคมบนโลกเรา สั่งสอนศิลปวิทยาการให้กับมวลมนุษย์จนได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้า สำหรับรายละเอียดอื่นๆนั้น ตามหาอ่านได้จากงานเก่าๆของผม หรือจากหนังสือเล่มอื่นๆตามท้องตลาดได้ครับ เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวเอาไว้ค่อนข้างตรงกัน และนี่คือ Summary of Ancient Astronaut Hypothesis ที่ผมจะยึดเป็นแกนหลักในงานเขียนฉบับนี้ครับ




    Ancient Astronaut(s) ได้ลงมาที่โลกของเราเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้ว วิทยาการด้านไบโอเทคโนโลยีของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ในปัจจุบันมาก พวกเขาได้สร้างชาติพันธุ์มนุษย์ด้วยวิธีการทางพันธุวิศวกรรม โดยผสานยีนของพวกเขาเข้ากับสิ่งมีชีวิตคล้ายมุนษย์บนโลก ปรับปรุงสั่งสอนศิลปวิทยาการให้เพื่อใช้มนุษย์ในการทำงานบางประการ เช่น เป็นหน่วยผลิตอาหาร ทำเหมืองแร ่และแรงงานในการก่อสร้าง

    พระเจ้าจากอวกาศ (จริงๆแล้วผมควรใช้คำว่า Gods from Space มากกว่า หากอิงตามบริบทของคนโบราณ แต่ยังไงก็ตามนะครับ ผมขอใช้คำๆนี้ในความหมายเดียวกันกับ Ancinet Astronauts คงไม่ว่ากัน เพื่อความคล่องปากของผมเองนั่นแหละ) โดยปกติแล้วไม่ต้องการให้มนุษย์เข้าใกล้หรือเห็นพวกเขา เพียงอนุญาตให้มนุษย์รับรู้การคงอยู่ของพระเจ้าโดยให้เห็นในรูปของสัญลักษณ์ หรือปรากฏกายแก่สายตามนุษย์ในลักษณะที่น่าเกรงขามและพรั่นพรึง อย่างไรก็ตาม มนุษย์บางส่วนก็ยังสามารถ contact กับบริวารของพระเจ้าได้ เช่นทูตสวรรค์ หรือเทพกึ่งสัตว์ (หุ่นยนต์?) พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์เข้าใกล้แหล่งพำนักของพระเจ้านัก ยกเว้นเฉพาะนักบวชชั้นสูง มีข้อสังเกตว่า สาเหตุอาจจะมาจากการป้องกันการติดเชื้อบางชนิด ซึ่งมีเฉพาะบนโลกของเราก็เป็นได้

    พระเจ้าจะไปไหนมาไหนด้วยพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงเคมี ในคัมภีร์โบราณหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า ช่วงแรกพระเจ้ามักเสด็จลงมาบนยอดเขาสูง ในซอกเขา หรือปล่องถ้ำ ทั้งนี้อาจจะเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย และการทำอันตรายแก่เหล่าทาสรับใช้คือมนุษย์ ที่อาจโดนลูกหลงเมื่อตอนยานลงจอด และพัฒนามาเป็นตามเทวสถานใหญ่ๆ เช่น ปิระมิด หรือ ซิกกูรัตในภายหลังเมื่อเวลาผ่านไปได้ช่วงใหญ่ และมนุษย์เริ่มพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาแล้ว (นึกภาพปิระมิดแบบตะวันออกกลางหรือมายาที่มียอดตัดเรียบสิครับ เหมาะสำหรับนำ ฮ.ลงจอดหรือไม่?) ในกรณีที่ไม่มีที่จอดที่เหมาะสม พระเจ้าอาจสั่งให้คนงานชาวโลก ทำสัญลักษณ์ชี้พิกัดที่ใกล้เคียงกับการลงจอดและสามารถมองเห็นได้จากอากาศ เช่น เลย์ไลน์ในยุโรป หรือนาซก้าไลน์ในอเมริกากลาง

    พระเจ้าจากอวกาศยังต้องการอาหาร เราไม่แน่ใจว่าพระเจ้ากินอาหารด้วยวิธีไหน หรือกินอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พวกเขามีการป้องกันหรือฆ่าเชื้ออย่างง่ายๆ โดยการให้มนุษย์ย่างหรือเผาเครื่องสังเวยที่มนุษย์นำมาถวายเสียก่อน (อาจเป็นที่มาของธรรมเนียมการบวงสรวงพระเจ้าในการบูชายัญด้วยไฟ ของหลายๆชนชาติในภายหลัง) จากหลักฐานที่มี พระเจ้าจะสั่งเครื่องสังเวยที่ต้องการมาเป็นล็อทๆ และมนุษย์ต้องหาและนำไปให้ที่เทวสถานหรือในถ้ำในตามเวลาที่พระเจ้าสั่ง (ยังกะ Just in Time เลยแฮะ) ส่วนใหญ่คือเนื้อสัตว์ และในบางครั้งสิ่งที่พระเจ้าต้องการคือมนุษย์

    พระเจ้าได้ทรงสอนศิลปวิทยาการแขนงสำคัญแก่มนุษ์หลายๆสาขา เช่น กสิกรรม วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประทานกฏหมายฉบับแรกแก่มนุษย์ สุดท้ายสงครามชิงความเป็นใหญ่ระหว่างพระเจ้าโดยใช้โลกเป็นสมรภูมิก็เกิดขึ้น (นึกถึงสงครามชิงอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกนะครับ พระเจ้ากับมนุษยืนี่จริงๆแล้วก็ไม่ต่างกันเลย) และสุดท้ายเมื่อโลกประสบภัยพิบัติจากดาวหางที่พุ่งเข้ามาชน พระเจ้าก็ได้ถอนตัวจากไป คงเหลือไว้แต่ซากอารยธรรมและตำนานที่สืบขานกันมารุ่นต่อรุ่น ยังผลให้พวกเราคนรุ่นใหม่ฉงนฉงายกันจนถึงทุกวันนี้

    ครับ... นี่คือสรุปเนื้อหาโดยรวมที่กล่าวถึง Ancient Astronauts ยืนพื้นบนงานเขียนของ Zecharia Sitchin, Eric Von Daniken, William Saylors และ Alan F. Alford ผู้เขียน The Gods of new Millenium หนังสือดีที่ออกมาตั้งนานแต่นายโซนิคเพิ่งได้มาจับ (เค้าให้มาอีกทีครับ) เนื้อหาอาจจะซ้ำกับที่เคยเขียนเอาไว้แล้วบ้าง ตัดทอนเนื้อหาจนสั้นห้วนและ บางคนตามไม่ทันบ้าง ก็ต้องขอให้ทำความเข้าใจนะครับว่า หนังสือหรือเอกสารหลายสิบเล่ม หนาเป็นพันๆหน้านั้น ผมทำได้ดีที่สุดแค่วิธีตัดมาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว หรือหยิบมาแต่ประเด็นสำคัญๆ (ซึ่งบางครั้ง ผู้อ่านต้องเข้าใจพื้นฐานในบางสาขา เช่นโบราณคดี มานุษยวิทยา หรือ ศาสนเปรียบเทียบพอสมควร) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อตอบคำถามสี่ประเด็นหลัก ที่ผมตั้งใจจะเก็บมานำเสนออันประกอบด้วย


    1. ลักษณะตามธรรมชาติของพระเจ้าจากอวกาศ
    2. อธิบาย "อภินิหาร" ของพระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในปัจจุบัน
    3. พระเจ้ามาจากไหน?
    และ
    4. พระเจ้ากำลังจะไปที่ไหน (อืมห์ ยังกับทิศทางและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเลยแฮะ)


    ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ - - Sonic 23/03/2545​





    สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากลิ้งค์นี้ค่ะ

    http://www.mythland.org/v3/forum-23-1.html
     
  15. HLC

    HLC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +259
    ที่จริงแล้ว เป้าหมายเดียวของมันคือเพื่อทำลายสติปัญญา ของพวกติงต๊อง ปัญญานิ่ม หัวอ่อน หลอกง่าย ที่ชอบเพ้อฝัน พร่ำเพ้อ
    บ้างก็เรียกร้องความสนใจตามหาคำทำนายอัปมงคล โลกแตก วันสิ้นโลก วันพิพากษา วันล้างโลก ฯลฯ สารพัดจะตั้งชื่อมาอ้างอิง

    555555



    (||)(||)(||)(||)(||)(||)
     
  16. KasroK

    KasroK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +98
    ที่จริงผมก็ไม่ได้โง่หรอกครับที่รู้ว่าคุณ HLC ด่า เเละที่เขาเอามาโพสผมเเละเขาก็ไม่ได้เชื่อ100%หรอกเพราะมันยังไม่เกิดขึ้นจริงเพียงเเต่เอามาคุยกันเล่นๆเท่านั้นเองเเละก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายครับ คุณอย่ามาดูถูกความคิดของคนอื่นสิครับ
    เเละอีกอย่างถ้าหากเกิดขึ้นจริงผมก็ไม่รอดเหมือนกัน
    ผมรู้ว่าคุณก็เคยอ่าน(งมงาย)เรื่องพวกนี้มาเเล้วเหมือนกันผมก็อ่าน(งมงาย)มาบ้างเเล้วเพียงเเต่สงสัยเลยถามดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2012
  17. หมูน้ำยืน

    หมูน้ำยืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +38
    จะว่าให้กันทำไม บทความคุณโซนิคสนุกจะตายไปpig_balletpig_balletpig_ballet
     
  18. navyhawk

    navyhawk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +33
    ผมไม่รู้เรื่องโลกแตกก็มีปัญญา อ่านเรื่องราวโลกแตกก็ไม่เห็นปัญญาจะหายไปไหน มันทำลายปัญญาตรงไหนวะ ?? ตรงกันข้ามมันทำให้มีปัญญามากขึ้น รู้คิดรู้ไตร่ตรองมากขึ้น ได้ศึกษาค้นคว้าได้รู้มากขึ้น คนที่อ่านเรื่องพวกนี้ไม่ใช่โง่ไม่ใช่ควายเซ่อ แต่เขาต้องการข้อมูลเพื่อใช้ปัญญาไตร่ตรองเพื่อวิเคราะห์ มีคนควาย ๆเท่านั้นที่อ่านแล้วไม่มีปัญญาคิดไตร่ตรองมองคนอื่นไร้ปัญญา ไร้สมอง เพ้อฝัน พร่ำเพ้อครำ่ครวญมันทุกกระทู้ ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2012
  19. GinJi

    GinJi สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    -*- ก็เป็นบทความที่ต้องให้ผู้อ่านพิจารณา

    ถ้าคุณคิดว่าเรื่องพวกนี้มันหนักกับปัญญา ไร้สาระ บลาๆๆ คุณโลกแคบไปหน่อยนะ ,,

    ผมคิดว่าปัญญาคือการเปิดรับแล้วพิจารณา((หรือไม่ใช่??))
     
  20. มะนาวขม

    มะนาวขม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +31
    ถ้ามีก็ดีสิค๊ะคนที่รอโลกแตกตั้งแต่ปี2000จะได้ไม่ต้องรอนานจะได้สมใจอยากกันไป อุตส่าห์ซื้อของตุนขุดทำหลุมก็แล้วไม่มาซะทีนู๋ก็รออยู่เหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...