วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ถูกต้องแล้วครับ คุณsupernova

    วางกำลังใจไว้ถูกต้องแล้วครับผม
     
  2. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ผมคิดทบทวนชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน มันต้องประสบแต่ความทุกข์ยากเข็ญมาตลอด ความสุขมีเพียงชั่วคราวแล้วมันหายไป ความตายที่มาเยือนคนเราอย่างรวดเร็ว ไม่ทันตั้งตัว ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ผมเห็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่เป็นทหารตายไปหลายคน คิดว่าครั้งต่อไปอาจจะเป็นเรา และมีความคิดมาว่าเราไม่อยากจะมาผจญกับชะตาชีวิตแบบนี้แล้ว เบื่อการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น จึงแสวงหาทางหลุดพ้น
     
  3. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    874
    ค่าพลัง:
    +3,159
    เป็นสาวกภูมิแหงๆๆ คงมาเก็บสะสมแต้มบารมี สะสมบุญ ความรู้ต่างๆ
    เพราะที่ผ่านมาคงน้อยหรือคงไม่มีอไรติดตัวมาเลย
    แล้ว...ไว้รอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
    แล้วก็คงรวบรวมผลบุญทั้งหมดไปนิพพาน ล่ะมังท่า
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ก่อนที่พระพุทธองค์ จะทรงออกบรรพชา
    ได้ทรงพิจารณา เห็นความเป็นไปของสังขาร
    ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งตาย
    ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องพบอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
    ทุกอย่างที่ดำเนินผ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบชีวิต ล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น

    ไม่ว่ายากดีมีจน ก็ต้องพานพบเหมือนกันหมด
    วนเวียนกันไปเป็นวัฏฏะ ไม่สิ้นสุด...เกิดแล้วตาย
    ...ตายแล้วเกิด...

    พระพุทธองค์ ทรงเห็นแล้ว ซึ่งทุกข์ทั้งหลาย
    จึงชี้หนทางแห่งการดับทุกข์...มุ่งสู่หนทาง
    แห่งพระนิพพาน เป็นที่สุด

    หากเราไม่เห็นทุกข์ ไหนเลยจะทำสุข ให้เกิดขึ้นได้

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีท่านที่เป็นผู้หญิง และปรารถนาพุทธภูมิ และบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิ หรือแม้บำเพ็ญบารมีในระดับพระโพธิสัตว์ ในเพศสตรีก็มีหลายท่านครับ

    ไม่ทราบเคยได้ยินชื่อ "เจ้าแม่กวนอิม" ไหมครับ
     
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับอภิธรรม ให้ลึกซึ้ง
    เราจะเข้าใจว่า จริงๆแล้ว ไม่มีหญิง ไม่มีชาย
    มันเป็นสภาวะของดวงจิต แต่ละดวง
    ที่สร้างกรรมชรูป ขึ้นมา จากกรรมที่กระทำ ทั้งดีและชั่ว
    ดังนั้นการปฏิบัติธรรม ตั้งจิตในการปรารถนาพุทธภูมิ
    ย่อมไม่มีจำกัด หญิง หรือชาย
     
  7. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    <TABLE class=tborder id=post566870 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 07-05-2007, 11:43 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>vacharaphol<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_566870", true); </SCRIPT>
    สมาชิก GOLD
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 09:26 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2005
    ข้อความ: 6,615 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 83 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 9,919 ครั้ง ใน 2,558 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1970 [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_566870 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->"วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆจะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า


    เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า "คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ"


    เป็นอันว่าคณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม....


    วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า "คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่"


    ท่านบอกว่า "มี ๓๗ สาย"

    ถามว่า "สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร....?"

    ท่านบอกว่า "สองแสนโยชน์ของนิพพาน"


    แล้วก็ไปดูเห็นหมดทั้ง ๓๗ สาย สองฝั่งของถนนวิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย ๓๗ คูณด้วย ๒ วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน ๓๗ ถนนยาวเหยียด ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมดบอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป


    ทางด้านของนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ อย่างกลุ่มของพระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของสมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง


    ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปพอดี แต่ว่าต้องเกิดไปอีก ๗ ที ทนไม่ไหวไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก ๗ ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ ๒๒ หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า ฉะนั้นกลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของพระพุทธกัสป และกลุ่มของพระสมณโคดม

    เป็นอันว่าหาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฎที่นั่น แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่ เป็นอันว่าคนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน
    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า

    ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปมันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า
    ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น

    ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฎิบัติ เพราะอะไรเพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะโวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ

    เป็นอันว่าทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี ถึงแม้ว่าในชาตินี้เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ ๕ ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆเอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว

    อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา คำว่า ฌาน ก็คือ อารมณ์ชิน จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น
    สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า

    "การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕00 ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"
    ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒0 ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น

    และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒0 ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง

    เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า


    "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"


    ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ"


    ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔0 กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด"


    บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย" ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"


    ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔0 นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔0 ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"


    ท่านก็ถามว่า "คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา"

    ก็บอกว่า "เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท"

    ท่านถามว่า "คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ....?"

    เลยบอกท่านว่า มี

    ท่านถามว่า "ทำไมว่ามี....?"

    ก็เลยบอกว่า "ยังไม่รู้ตัวว่าดี"

    ท่านบอกว่า "เออ ใช้ได้"


    คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้วเราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์


    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า


    "งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"


    ต่อไปเรื่อง "สมเด็จองค์ปฐม" ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขีนี่องค์ปฐมจริงๆ


    วันนั้นพบท่านเข้า พบจริงๆสมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาค อยู่ที่นครราชสีมา วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม...ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า


    "ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ"


    องค์ปฐม หมายถึงองค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลางพระพุทธเจ้า ยืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด"


    จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓"
    โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี <!--MsgFile=0-->




    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>http://www.pantip.com/cafe/religious.../Y5386483.html
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    "การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕00 ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"
    ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒0 ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น

    และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒0 ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง

    เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า


    "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"


    ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ"


    ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔0 กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด"


    บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย" ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"


    ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔0 นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔0 ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"


    --------------------------------------------------------------------
    ต้องขอขอบคุณ คุณกิ๊ก ที่ได้มานำลง ไว้ ณ ที่นี้

    ตอนนี้มีอีกภาระกิจหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ ในการรองรับขอขึ้นของพระบวรพุทธศาสนา เทปคำสอน และ วิดีโอ ของหลวงพ่อท่าน เริ่มเก่าแก่และเสียหายเนื่องจากเชื้อรา ต้องทำการคัดลอก (RE Maser) ลงใหม่ในรูปดิจิตอล ในฮาร์ดดิสส์ ท่านผู้มีหน้าที่ทำอยู่ปัจจุบัน ก็มีอายุสูงขึ้น ทำไม่ค่อยไหว ตามองจอมอนิเตอร์ไม่ค่อยจะเห็น

    มีเพื่อนของเราท่านหนึ่ง สามารถมาช่วยสร้างบารมีตรงจุดนี้ได้ แต่อยู่ในช่วงการตัดสินใจในจุดหักเหของชีวิตที่เขาเลือกได้ ว่าจะเดินทางโลก หรือทางธรรม

    ผมขอเอาใจช่วยเขาให้เลือกทางเดินอันเป็นกุศล และยังผลสืบต่อในการสืบทอดพระพุทธศาสนา ช่วยสรรพสัตว์ในอนาคตกาลที่หวังได้รับฟังธรรม อันยังความพิสุทธิ์ของจิต มีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ.......
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตรวมธรรมมะของสมเด็จองค์ปฐมที่มาโปรดคุณเปิ้ลไว้ในกระทู้เดียวกันครับ

    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม


    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสอน อุบายการละสักกายทิฏฐิ ไว้มีความสำคัญดังนี้ี้



    1. "ให้พิจารณาความไม่เที่ยงไว้เสมอๆ จักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จักละได้ยังไม่สนิท ก็บรรเทาสักกายทิฏฐิลงได้บ้างไม่มากก็น้อย"



    2. "อย่าลืมคำว่า สักกายทิฏฐิมีเป็นขั้นๆ ตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คือตั้งแต่ปุถุชนมาสู่พระโสดาบัน - พระสกิทาคามี - พระอนาคามี - พระอรหันต์ ล้วนแต่ละสักกายทิฏฐิในระดับนั้นๆทั้งสิ้น"



    3. "สาเหตุก็เนื่องจากการเห็นทุกข์ในความไม่เที่ยง จากการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ต่างคนต่างปฏิบัติไป ก็เข้าสู่อริยสัจ ตามระดับจิตนั้นๆเห็น โดยความไม่เที่ยง - เป็นทุกข์ - เป็นโทษ จึงพิจารณาสักกายทิฏฐิเพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นลงเสีย



    4. "อย่าลืมละที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จที่ใจ ถ้าหากจิตหรือใจดีเสียอย่างเดียว กาย - วาจาซึ่งเป็นบ่าวก็จักดีตามไปด้วย เดินมรรคด้วยจิต ทำให้ถูกทางแล้ว จักเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ง่าย"



    อีกจุดหนึ่งที่ทรงเมตตาสอน เรื่อง ความไม่ประมาท มีความสำคัญดังนี้



    1. "ให้พิจารณาอายุของร่างกายที่มากขึ้นทุกวัน แสดงให้เห็นชัดถึงความตายที่ใกล้เข้ามาทุกที จงอย่าประมาทในชีวิต"



    2. "ให้เห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน จากภัยนานาประการ เรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลก หรือของใหม่แต่อย่างไร เป็นภัยที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว ในทุกๆพุทธันดรที่เจอมาอย่างนี้"



    3. "อย่าไปหวังแก้โลก อย่าไปหลงปรุงแต่งตามโลก ให้เห็นตัณหา 3 ประการ ที่ครอบงำโลก ให้วุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน"


    4. "ให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวาางโลกเสีย ด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดี


    ไม่น่ายินร้ายแม้แต่นิดเดียว



    5. "อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง ให้มองจิตตนเอง เข้าไว้เป็นสำคัญเพราะตนเองปรารถนา พระนิพพาน จักต้องโจทย์จิต ของตนเองเอาไว้เสมอ ฝึกให้ปล่อยวาง เพราะการไปพระนิพพาน จิตติดอะไร แม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้ หรือไตรภพก็ไปไม่ถึงซึ่งพระ


    นิพพาน"



    6. "การปฏิบัติมิใช่เพียงคำปรารภโก้ๆเท่านั้น จักต้องเอาจริง เอาจังในการละซึ่งทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลก จึงจักไปได้ แต่ตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็น


    ที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็น


    เครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุ


    ทั้งหมด มีคำว่า เสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด


    จิตมีความสุข มีความสงบ เมื่อถึงวาระต่างกายจักพัง การตัดทุกสิ่ง


    ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกรวมตัว หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก


    เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้ว"



    7. "ให้พิจารณาร่างกาย พิจารณาเวทนา โดยย้อนกลับไปกลับมา


    ไม่มีร่างกาย ก็ย่อมไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนา ก็ย่อมไม่มีร่างกาย


    แล้วให้เห็นเป็นปกติธรรมของรูปและนาม ซึ่งอาศัยกันและกัน


    พิจารณาให้ลึกลงไป จักเห็นความไม่มีในเรา ในรูป ในนามได้


    ชัดเจน เราคือจิต ที่ถูกกิเลสห่อหุ้มในหลงอยู่ ติดอยู่ในรูปในนาม


    อย่างนี้มานานนับอสงไขยกัปไม่ถ้วน หากไม่พิจารณาให้เห็นชัดเจน


    ลงไปในรูปและนาม ก็จักตัดความติดอยู่ไม่ได้ และเมื่อตัดไม่ได้ก็ไป


    พระนิพพานไม่ได้"



    8. "จิตเมื่อจักวางจริยาของผู้อื่นได้ ต้องใช้ปัญญา พิจารณาจุดนี้


    ให้มากๆ ลงตัวธรรมดาให้ได้ แล้วจิตจึงจักปล่อยวางกรรม ของผู้อื่นลงได้ ไม่ว่ากรรมดี หรือกรรมชั่ว เช่นเห็นการเกิด - การตาย


    เป็นของคู่กัน เกิดเท่าไหร่ ตายหมดเท่านั้น เป็นของธรรมดา


    แม้แต่พวกเจ้าเองก็เช่นกัน อย่าคิดว่าร่างกายนี้จักยังไม่ตาย


    ทั้งๆที่ระลึกถึงความตายอยู่นี้ ยังมีความประมาทแฝงอยู่มาก


    ไม่เชื่อให้สอบจิตของตนเองดู 24 ชั่วโมง ระลึกนึกถึงความตาย


    อย่างยอมรับความจริงได้สักกี่ครั้ง มิใช่สักแต่ว่าระลึกอย่างนกแก้ว


    นกขุนทอง หาได้มีความเคารพนับถือความตายอย่างจริงจังไม่


    ซึ่งการกระทำอย่างนั้น หาประโยชน์ได้น้อย"



    9. "จำไว้ มรณานุสสติกรรมฐาน เป็นพื้นฐานใหญ่ ที่จักนำจิตของตนเองให้


    เข้าถึงความไม่ประมาทได้โดยง่าย และเป็นตัวเร่งรัดความเพียร


    ด้วยเห็นค่าของเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตจริงๆดั่งเช่นเปลวเทียน


    วูบๆ วาบๆ แล้วก็ดับหายไป เกิดใหม่ก็ดับอีก หากไม่เร่งรัดปัญญา


    ให้เกิดขึ้น ก็ยังจักต้องเกิดตายอีก นับภพ นับชาติไม่ถ้วน"



    10. "ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มิใช่ของจริง ตัวจริงๆคือจิตให้พิจารณาแยกส่วน


    ออกมาให้ได้ ร่างกายนี้สักเพียงแต่ว่าเป็นที่อยู่อาศัย เสมือนบ้านเช่า


    ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจิตวิญญาณก็จักออกจากร่างกายนี้ไป


    ทุกร่างกายมีความตายไปในที่สุด เป็นธรรมดาเหมือนกันหมด


    แล้วพิจารณาการอยู่ของร่างกาย ทุกลมหายใจเข้าออก คือทุกข


    เนื่องด้วยความไม่เที่ยง ทรงตัวไม่ได้ พิจารณาให้เห็นชัด


    จึงจักวางร่างกายลงได้ในที่สุด"



    11. "เม้ว่าเรื่องของบ้านเมือง เรื่องของเศรษฐกิจ เวลานี้สับสนวุ่นวาย


    ให้พิจารณาเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงเมืองไทยเป็นอย่างนี้เอง


    จักต้องทำใจให้ยอมรับสถานการณ์ให้ได้ทุกๆสภาพ เพราะล้วนเป็น


    กฎของกรรมทั้งสิ้น"



    12. "ให้ดูวิริยะบารมี เพราะยังมีความขี้เกียจอยู่เป็นอันมาก ให้โจทย์จิต


    (จับความผิดของจิต) เข้าไว้ให้ดีๆอย่าไปเสียเวลากับจริยาของผู้อื่น


    ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง พิจารณาโลกก็เท่านี้ หาที่สิ้นสุดไม่ได้


    ประการสำคัญคือ ประคองจิตของตนเองให้พ้นไปเท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้"



    13. "การสงเคราะห์บุคคลอื่น เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น อย่าเอาจิตไปเกาะ


    กรรมของเขา มองให้เห็นธรรมดา แก้โลกไม่มีสิ้นสุด ให้แก้ที่จิตใจ


    ตนเองเป็นสิ้นสุดได้ พยายามปลดสิ่งที่เกาะติดอยู่ในใจลงให้ได้


    มากที่สุด เท่าที่จักมากได้ วางภาระและพันธะลงเสีย ให้เป็นสักแต่


    ว่าหน้าที่เท่านั้น จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ ประเด็นสำคัญ อันจักต้องให้


    เห็นชัดเจนคือพิจารณากฎของกรรม ให้ยอมรับนับถือในกฎของ


    กรรม จุดนั้นจึงจักถึงซึ่งจิตเป็นสุขและสงบได้"



    14. "เวลานี้กฎของกรรมกำลังให้ผลหนัก ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นได้


    ทุกวัน แต่ไม่ควรที่จักหวั่นไหว รักษาจิตให้สงบ ให้เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา


    เข้าไว้ รักษาอะไรไม่สำคัญเท่ารักษาจิตใจของตนเอง ใครตกอยู่ในห้วงกิเลส


    ก็ไม่สำคัญเท่าจิตใจของตนเองที่ตกอยู่ในห้วงของกิเลส ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดี


    รักษาอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในกุศล ดีกว่าปล่อยให้อยู่ในห้วงของอกุศล


    ปล่อยวางกรรมใคร กรรมมันให้ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นชัดในกฎ


    ของกรรม จุดนั้นแหละจึงจักปล่อยวางกรรมใคร กรรมมันได้ ความสุขจัก


    เกิดขึ้นแก่จิตใจของตนเองอย่างแท้จริง"



    15. "การทำบุญ และทำทาน แล้วพิจารณาด้วยความระลึกนึกถึงในบุญ


    ในทานอันทำเพื่อพระนิพพาน โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นอย่างอื่น จัดเป็นจาคานุสสติด้วย และอุปสมานุสสติด้วย เป็นการดี เพราะจิตอยู่ใน


    อารมณ์กุศล ซึ่งดีกว่าปล่อยจิตให้ครุ่นคิดถึงความชั่ว ความเลว แม้จักเป็นการกระทำของบุคคลที่อยู่รอบข้าง มิใช่เป็นการกระทำของ


    เราเอง ก็ให้พิจารณาลงเป็นธรรมดา แล้วปล่อยวาง อย่าให้ติดอยู่ใน


    อารมณ์ของใจ เพราะยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง รวมทั้งสร้างความเร่าร้อน หรือเศร้าหมองให้เกิดขึ้นแก่จิต ต่างกับจิตที่อยู่ในบุญกุศล อยู่ในทาน - ศีล -ภาวนา ให้ติดดีมากกว่าติดเลว"



    16. "การสอบอารมณ์ของจิต เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง อย่าคิดว่าบุญ - ทานไม่ติดแล้ว ฉันไม่เกาะ ถ้าหากสำรวจแล้ว จิตยังติดเลวอยู่มาก เพียงใดบุญ - ทานยิ่งไม่เกาะ จิตก็ยิ่งเศร้าหมองมากเพียงนั้น


    เพราะทำบุญ ทำทานไป ก็เหมือนไม่มีผล จิตไม่ยินดี ไม่สดชื่นไปกับบุญ - ทานนั้น หากแต่ทำก็ทำไป จิตไม่ยินดี จิตกลับไปมีอารมณ์ติดบาป ติดอกุศล อย่างนี้นับว่าขาดทุนแท้ๆ พระอรหันต์ท่านก็ยังทำบุญ ทำทานด้วยความยินดี และเต็มใจทำด้วยเมตตา กรุณา จิตเป็นสุข"



    17. "คำว่าไม่เกาะ กล่าวคือไม่หวังผลตอบแทนใดๆในโลกธรรมทั้ง 8 ประการ จิตไม่เกาะบุญ - บาปในที่นี้ เนื่องด้วยผลบุญ ผลบาปไม่สามารถ


    ให้ผลแก่จิตใจของท่านอีก (หมายถึงพระอรหันต์) แล้วพวกเจ้าเล่า จิตยังข้องอยู่ในบาปอกุศลเป็นอันมาก จักฝึกจิตให้จิตยินดีอยู่ในบุญ - กุศล มีความสุข สดชื่นบ้างไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นจงอย่าพูดว่า ไม่ติดในบุญ


    ในทาน เพราะจิตยังติดอยู่ในบาป - อกุศล พระอรหันต์ท่านยังไม่ทิ้ง


    จาคานุสสติกรรมฐาน ท่านมีอภัยทาน อันเป็นทานสูงสุด เกิดขึ้นด้วย พรหมวิหาร 4 เป็นอัปมัญญา ท่านไม่ข้องอยู่ในบาป - อกุศลของบุคคล


    รอบข้าง เพราะท่านมีอภัยทานอยู่ในจิตเสมอ แล้วพวกเจ้ามีแล้วหรือยัง


    เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในอกุศลกรรม รักษาจิตให้เป็นสุข สดชื่น


    ด้วยการระลึกนึกถึงบุญ (การทำบุญ) การทำทาน หรือรักษาศีล - เจริญ


    ภาวนาด้วยจิตยินดี ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ดีกว่าปล่อยให้จิต


    ตกเป็นทาสของบาปอกุศล"



    หมายเหตุ



    1. พระุพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างให้ดู หลวงพ่อฤๅษีซึ่งเป็นครูบาอาจารย์


    ของพวกเราว่า แม้ท่านจะจบกิจเป็นพระอรหันต์มาหลายสิบปีแล้ว ท่านก็


    ไม่เคยทิงการทำบุญ - ทำทาน - ทำกุศลให้พวกเราทุกคนปฏิบัติตามท่าน



    2. บุคคลที่ฉลาด ทรงสอนให้ตัดหรือละสักกายทิฏฐิข้อเดียว ก็จบกิจใน


    พระพุทธศาสนาได้



    3. คำสั่งสอนของพระองค์มี 84,000 บท สรุปแล้วเหลือประโยคเดียวคือ


    "จงอย่าประมาท" ในทุกกรณี หรือ "จงพร้อมอยู่ในความไม่ประมาท"



    <!-- / message --><!-- sig -->


    พระพุทธองค์ทรงเมตตาแนะนำสั่งสอนเรื่อง ความตาย


    กับการเจ็บไข้ไม่สบาย มีความสำคัญว่า



    1. "ถ้าร่างกายไม่ดี ให้พิจารณามรณานุสสติ บวกอุปสมานุสสตินั้น


    ถูกต้องแล้ว เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต เพราะความตายเกิดขึ้นได้ทุกๆ


    ขณะจิต และที่คิดว่า ไม่รู้จักดิ้นรนไปทำไม เพราะทุกชีวิตมีความตาย


    เป็นของธรรมดา จุดนั้นๆก็เป็นการถูกต้องแล้ว เพราะคนไม่ตาย


    ไม่มีในโลก และที่ตั้งใจปลอบจิตตนเอง ไม่ให้หวั่นไหว ในความตาย


    ด้วยอุบายว่า ถ้าไม่ตายก็ไปพระนิพพานไม่ได้ คนไปพระนิพพานได้


    ก็คือคนที่ตายแล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกจุดนี้ก็ถูกต้อง


    เพราะฉะนั้นให้รักษาอารมณ์จิตให้แน่วแน่อยู่เสมอๆ มิใช่จัำกมาทำเอา


    แต่เฉพาะเวลาร่างกาย มันป่วยหนักเท่านั้น"



    2. "ชีีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง จงอย่ามีความ ประมาทในชีวิต อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการบอกเตือน ให้ระลึกนึกถึง


    ร่างกายตามความเป็นจริง โดยให้พิจารณา รูป - เวทนา - สัญญา -


    สังขาร - วิญญาณ ว่าไม่เที่ยง และไม่ใช่เรา มิใช่ตัวตนของใคร ปล่อยวางให้สบายๆ การรักษาให้ยาก็จำเป็นที่จักต้องรักษา เพื่อบรรเทา


    ทุกขเวทนาชั่วคราว มิใช่รู้ว่าไม่ใช่เราแล้วปล่อยช่างมันไม่รักษา ทุกข


    เวทนายิ่งเบียดเบียนหนักยิ่งขึ้น ทุกอย่างจักต้องอาศัยปัญญา"



    <!-- / message --><!-- sig -->


    3. "ร่างกายไม่มีแก่นสารก็จริงอยู่ แต่การระงับทุกขเวทนามีความจำเป็น


    อย่างยิ่งแก่ร่างกาย สภาวะจิตใจก็เช่นกัน ถ้าปล่อยให้ทุกขเวทนาเบียด


    เบียนมาก ก็ทำความทุกข์ทรมานให้เกิดแก่จิตใจมากเช่นเดียวกัน


    ดังนั้นจงพยายามปลดทุกข์ให้มากหรือระงับเวทนาให้ได้ด้วยสติ - ปัญญาแต่มิใช่การคิด การคาด การเดาเอาเอง จักต้องอาศัยคำสอน


    ของตถาคตเจ้า คือ พระธรรมที่มีพุทธบัญญัติอยู่แล้ว ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั่นแหละจึงพ้นทุกข์ได้ นอกเหนือจากนั้นมิใช่คำสอนของ


    ตถาคตเจ้า และจงจำหลักไว้ทุกอย่างในไตรภพ ไม่มีอันใดเที่ยง ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง มีการอนัตตาไปในที่สุด แล้วทุกอย่าง


    ก็พังสลายตัวไปหมด ยึดเมื่อไหร่เป็นทุกข์เมื่อนั้น จักพ้นทุกข์ก็จักต้อง


    ประพฤติตามโลกุตรธรรม ธรรมที่กล่าวมาทั้งหมด เพื่อการปล่อยวาง


    เพื่อการหลุดพ้นจากไตรภพ พวกเจ้ามุ่งหวังการไม่เกิด ก็จงหมั่นดูกาย


    วาจา ใจ ของตนเองให้บริสุทธิ์อยู่ในศีล - สมาธิ - ปัญญา หรืออริยมรรค


    8 นั่นแหละ"​



    <!-- / message --><!-- sig -->


    <!-- / message --><!-- sig -->​


    <!-- / message --><!-- sig -->​


    <!-- / message --><!-- sig -->​


    4. "ชีวิตสุขภาพของร่างกาย ย่อมกำหนดไม่ได้ที่จักให้เที่ยงแท้หรือแน่นอน เพราะมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดูแต่กระแสของจิต หรือที่เรียกว่า อารมณ์ ฝึกแล้วฝึกอีก ก็ยังยากที่จักกำหนดได้ การฝึกฝนร่างกายอย่างนักกีฬา ก็ฝึกฝนได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่ช้าไม่นานเมื่อวัยมากขึ้น โรคและชราก็มาเยือนร่างกายนี้ ให้แปรปรวน ให้ทรุดโทรมลง ต่างกับจิตใจยิ่งฝึกยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งมีความอดทนผ่องใสยิ่งกว่าอื่นใด ไม่ได้ทรุดไม่ได้โทรมเหมือนกับร่างกาย ความสำคัญมีอยู่ที่ว่า เวลาฝึกฝนจิตใจให้อดทนเข้มแข็งนั้น เพียงพอหรือยังหากยังไม่เพียงพอ ต้นเหตุก็เพราะจิตยึดเกาะเวทนาของร่างกายมากจนเกินไป ให้พยายามใช้ปัญญาเป็นตัวปลด จึงจักปล่อยวางได้ การที่จักดูว่า วางได้หรือไม่ได้ ก็เอาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นของร่างกายนี่แหละเป็นตัววัด"
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->

    5. "อย่ากังวลเรื่องสิ่งของ เพราะเป็นปกติธรรมของการเกิดเป็นมนุษย์ ไม่หาก็ไม่มีเครื่องอยู่ เมื่อหาแล้วคำว่า พอดีก็ไม่ค่อยจักมี ส่วนใหญ่ให้รู้สึกขาด และเกินพอดีมากกว่า การนึกเบื่อนั้นนึกได้ แต่ก็เป็นความเบื่อผสมกับความทุกข์ เพราะไม่ได้ใช้ปัญญา จักต้องเบื่อแล้วปล่อยวาง เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ทุกข์นั่นแหละ จึงจักเป็นการวางอารมณ์ที่ถูกต้อง"

    6. "ให้พิจารณาอารมณ์ของจิต ให้ทราบความจริงของอารมณ์ของจิตว่า ที่มีความอึดอัดขัดข้องอยู่นี้ เป็นด้วยเหตุประการใด อย่าให้มีโมหะจริตหรือวิตกจริตเข้ามาครอบงำดวงจิต ให้มากจนเกินไป พิจารณาให้ลงตัวให้ได้ แล้วจิตจักมีความสุขเกิดขึ้นได้ อย่าให้มีความกังวลใดๆมาเป็นตัวถ่วงความเจริญของจิต ให้รู้ว่าจิตที่เสื่อมมีอะไรเป็นต้นเหตุ ให้รู้ว่าจิตที่เจริญมีอะไรเป็นต้นเหตุเช่นกัน อย่าให้จิตตกอยู่ในกระแสของโลกนานเกินไป พยายามให้จิตอยู่ในโลกพระนิพพานนานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น"

    <!-- / message --><!-- sig -->

    7. "อนึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วยนี่แหละ เป็นการวัดกำลังใจของตนเอง อันที่จักปล่อยวางร่างกายได้ขนาดใหน การดูแลรักษาจำเป็นต้องมี เพื่อระงับทุกขเวทนา แต่ในขณะเดียวกัน จิตจักวางความกังวลห่วงใยในร่างกายไม่มี ความรู้สึกเหมือนกับเราดูแลเด็กไปตามหน้าที่ แต่ความผูกพันห่วงใยกังวลวิตกในเด็กนั้นไม่มี เด็กจักเป็นอย่างไรก็เรื่องของเด็ก อารมณ์มีความสุข ความเดือดร้อนทุกข์ใจนั้นไม่มีเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่การพิจารณาร่างกายให้เห็นตามความเป็นจริง เอาจิตเข้าไปยอมรับนับถือร่างกายว่าเป็นอย่างนี้ เราคือจิตไม่สามารถฝืนหรือบังคับร่างกายไม่ให้แก่ ไม่ให้ป่วยได้เลย แล้วในที่สุดมันก็ตาย พิจารณาให้ลงตัว ให้จิตเป็นเอกัตคตารมณ์ จิตจึงจักคลายหรือวางความวิตกกังวลลงได้"
    <!-- / message --><!-- sig -->

    8. "ดูร่างกายที่มันโทรมลงทุกวัน ให้เห็นความตายใกล้เข้ามาทุกที จงอย่ามีความประมาทในชีวิต ให้คิดอยู่เสมอว่า ความตายเข้ามาถึงชีวิตได้เสมอ แล้วจงทำความรู้สึกไม่เสียดายชีวิตเพราะถึงอย่างไรก็หนีความตายไปไม่พ้น และร่างกายเท่านั้นที่เป็นฝ่ายตายไป ตัวเราเองคือจิต ไม่มีวันตาย ถ้ากิเลสตัณหาไ่ม่สิ้นไปจากจิตเพียงใด เมื่อละไปจากภพนี้ ก็ไปสู่ภพหน้าอีก ให้ตั้งใจไว้เลยว่า ต่อไปจักไม่กลับมาเกิดมาตายสำหรับเราอีก คำว่าภพชาติจักไม่มีกับเราอีก"

    9. "ให้อดทนเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นให้อดทน ถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทนไม่ได้ก็ต้องทน แล้วพยายามมีสติปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามปลดทุกข์ออกจากจิตให้ได้มากที่สุด โดยใช้ปัญญาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง อย่าฝืนธรรม อย่าฝืนโลก แล้วจิตจักเป็นสุข"

    <!-- / message --><!-- sig -->

    10. "ร่างกายที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน อย่าไปคิดว่ามันจักทรงตัวอยู่อย่างนี้ตลอดไป ให้คิดพิจารณายอมรับนับถือตามความเป็นจริงว่า ร่างกายมันเสื่อมลงไปทุกวัน หาความจีรังยั่งยืนอะไรไม่ได้ แล้วให้สังเกตอารมณ์ของจิต มักจักฝืนความจริงอยู่เสมอ จิตมันถูกกิเลสหลอกว่า ร่างกายจักดีอยู่เสมอ และแม้ว่าขณะป่วยๆอยู่นี่แหละ กิเลสมันยังจักหลอกว่า พรุ่งนี้ - มะรืนนี้ ทนเอาหน่อย ประเดี๋ยวก็หายป่วย จิตนี้มันไม่เคยคิดว่า วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ร่างกายมันอาจจักตายก็ได้ หรือบางขณะคิด แต่จิตก็หาได้น้อมยอมรับนับถือตามที่คิดก็หาไม่ มันคิดว่าหายามากิน แล้วก็เป็นผลดี หายป่วยแน่ๆ นี่แหละสอบอารมณ์จิตเอาไว้ให้ดีๆ จิตมันหลอกเก่งมาก การเตรียมพร้อมที่จักไปพระนิพพาน จักต้องเห็นร่างกายพังได้อยู่ตลอดเวลา ร่างกายของตนเอง ของบุคคลอื่น สัตว์ - วัตถุธาตุพังหมดไม่มีเหลือ จิตจักต้องมีอารมณ์คลายจากการเกาะยึดสิ่งเหล่านี้ ปลดจากอารมณ์ ยึดมั่นถือมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความทรงตัว นั่นแหละจึงจักไปพระนิพพานได้ จงอย่าท้อใจและจงอย่าละความเพียร ในเมื่อต้องการจักไปพระนิพพาน ก็จักต้องทำให้ได้ตามนี้"
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ___________________________________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2007
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สาธุ ขออนุโมทนาครับ [​IMG]

    นำมารวมกันทีเดียวอ่านง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    <CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>หลักธรรมนำสุข : หลักที่ไม่ควรลืม
    โดย..พระธรรมปิฎก</CENTER>

    พระพุทธศาสนา สอนให้รู้จักความจริง ที่มีทุกข์อยู่ตามสภาวะ แต่แล้ว เมื่อปฏิบัติ ท่านให้ปฏิบัติด้วยความสุข นี่คือหลักการของพระพุทธศาสนาการปฏิบัติด้วยความสุขที่สำคัญ ก็คือ การที่เราทำให้กุศลธรรมเกิดมีขึ้นในใจตลอดเวลา

    ถ้าใครทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นในใจได้เสมอ คนนั้นก็จะมีการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง แล้วก็จะมีความสุขอยู่เรื่อยๆ อันนี้เป็นหลักสำคัญมาก

    ถ้ามีการเกิดของกุศลธรรมอยู่เสมอตลอดเวลา ชีวิตของเราก็เจริญงอกงาม จิตใจก็เจริญงอกงาม คือมีความดีงามเพิ่มมากขึ้นๆ หลักการปฏิบัติธรรมที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรจึงจะให้กุศล ธรรมนี้เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ต่อเนื่องกันไปแล้วอันนั้นก็จะกลายเป็นความเจริญงอกงามของจิตใจ ความเจริญงอกงามนี้แหละ ที่เราเรียกว่า ภาวนา

    ความมุ่งหมายของภาวนาก็คือ การทำให้ กุศลธรรมเกิดขึ้นในใจต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ แล้วกุศลธรรมก็จะเจริญเพิ่มพูนไป จนกระทั่งเต็มบริบูรณ์

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต้องขอกราบอภัย ตามระเบียบครับ ติดหนี้ท่านผู้อ่านกันอีกตามเคย หลายท่านก็ขอให้ผมเร่งเพื่อปิดต้นฉบับ ของกระทู้วิชชาที่ทำให้รอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ เพื่อการรวมเล่มให้อ่านกันได้ง่ายๆขึ้น

    ผมก็ไม่มีเวลาวาระที่เหมาะสมเท่าไรนักเนื่องจาก งานของพวกเราเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ มาวันนี้จะค่อยๆเก็บงานให้สำเร็จไปครับ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรื่องที่จะสรุปจบนั้น จะเป็นเนื้อหาของการปฏิบัติทางสายพุทธภูมิครับ


    ก่อนอื่น

    ขอกราบแทบเบื้องบาท พระพุทธศาสดาทุกๆพระองค์นับเนื่องมาจาก สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต้น สืบสายต่อเชื้อบรมโพธิสมภารในธรรมบัลลังค์ ตราบจนถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และเหล่าหน่อเนื้อพุทธธางกูร พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระคุณเมตตา ต่อสรรพสัตว์ ทั้งปวง ให้พ้นจากภัยจากวัฏฏสงสาร

    ขอให้กระแสธรรม ที่ถูกต้องส่องประกายอยู่ท่ามกลางดวงจิตของเหล่าพุทธภูมิทั้งหลายให้ดำเนินรอยตามการสร้าง การบำเพ็ญบารมี ของความเป้นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตามพุทธประสงค์ของพระบรมครูทุกๆพระองค์ได้ปฏิบัติ บำเพ็ญ สืบต่อกันมาเป็นพุทธประเพณีอันงดงาม หมดจด บริสุทธิ์ด้วยเทอญ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    แต่กาลก่อนมา นานนับ จะหาที่สุดมิได้ เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ หลงเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ เกิดแล้ว ตาย ตาย แล้วเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด หลงอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์แต่ไม่รู้ว่าตนเอง อยู่ท่ามกลางทะเลทุกข์ที่ไร้ฝั่ง


    ครั้งนั้นได้ปรากฏ มหาบุรุษ ท่านหนึ่ง ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ดำริห์ ว่า ภพภูมิทั้งหลาย ที่หมู่สัตว์ได้เวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ วนเวียนอยู่ในทุกข์ ไปเกิดในสุคติภูมิก็ยินดีมีความสุข ไปเกิดในทุกคติภูมิก็เป็นทุกข์หนักแสนสาหัส ตัวเราเองก็ไม่ต่างไปจากผู้อื่น อย่ากระนั้นเลย เรามาหาหนทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์นี้เถิด

    จากนั้นมหาบุรุษก็ได้อธิฐานมั่นที่จะหาหนทางออกจากสังสารวัฏฏ์ให้จงได้

    ในช่วงนี้ท่านก็เพียรศึกษาหาความรู้ เพียรถามครูบาอาจารย์ ท่านต่างๆ ครั้นไปเกิดไปจุติ ณ ภพภูมิอันเป็นสุขคติภูมิ ก็เพียรถามยังท่านผู้เป็นใหญ่ในภพภูมินั้น ว่ามีหนทางใดในการที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์นี้ได้ นับเป็นเวลานานแสนนาน ที่มหาบุรุษได้ท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ เพื่อค้นหา สัจจะธรรมอันจะนำพารื้อขนสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฏฏสงสาร

    ในที่สุด ท่านมหาบุรุษ ก็ได้ทราบด้วยตนเองว่า ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า ธรรมใด เป็นธรรมอันพิสุทธิ์ เป็นธรรมอันทำให้อาสวะกิเลส สิ้นลง หลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย

    แต่ในดวงจิตอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาอันหาที่สุดไม่ได้ต่อมวลสรรพสัตว์ ท่านมีความมั่นคงอย่างแรงกล้าที่จะค้นหา สัจจธรรมนั้น ด้วยตัวของท่านเอง


    ณ จุดนี้เองที่เป็นจุดเริ่มแห่งการบังเกิด พระมหาโพธิสัตว์ พระองค์แรกขึ้นในมหาสังสารวัฏฏ์แห่งนี้ ในวินาทีที่พระองค์ทรงตั้งสัจจาธิษฐานด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วย พระเมตตาต่อสัตว์โลก ในการที่พระองค์จะทรงเริ่มต้นบำเพ็ญบารมี เพื่อการปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ณ วินาที นั้น พสุธา ก็บังเกิดสั่นสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น ไปทั้งจักรวาลน้อยใหญ่ ทวยเทพเทวา ต่างก็รับรู้ด้วยความเป็นทิพย์ว่าเป็นเหตุจากแรงอำนาจแห่งสัจจาธิษฐานของพระมหาโพธิสัตว์ เทพพรหมผู้ทรงความเป็นสัมมาทิษฐิก็ต่างโมทนาสาธุการกับ อุดมการณ์อันตั้งมั่นนี้

    ครั้นจากพระชาตินั้นแล้ว พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ผู้เป็นปฐมวงศ์ ก็ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ในห้วงแห่งวัฏฏะ นานชั่วกาล สามสิบสองอสงไขย กับ กำไรแสนกัปป์ จน พระบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ของพระองค์เต็มบริบูรณ์
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระมหาโพธิสัตว์เจ้าท่านทรงบำเพ็ญบารมีมาอย่างเหนื่อยยากยาวนานแสนเข็ญยิ่งนักเนื่องจากยังไม่เคยมีท่านผู้ใด ได้ทำ ได้บำเพ็ญให้ดุกันเป็นตัวอย่างแมแต่ท่านเดียว เหตุนี้พระองค์ท่านจึงต้องใช้ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมียาวนานกว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ใด


    ครั้นเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ ท่านได้มาจุติยังพระชาติสุดท้าย พระองค์ก็ทรงบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ทรงพบวิโมกข์ธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ครั้งนั้น เองมวลเหล่าทวยเทพ มนุษย์และสัตว์ ล้วนแล้วแต่ยินดีปรีดา อิ่มเอมใจในธรรมอันประดุจน้ำอมฤต หลั่งชะโลมดวงจิตของเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ให้ชุ่มเย็น ด้วยธรรมปิติ

    หมู่สัตว์มากมายจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ฟังธรรมและบรรลุคุณธรรมอันเป็น อริยภูมิวิสัย นับแต่ พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันตผล ในเวลาอันสั้น

    นับแต่นั้นมา มหาสังสารวัฏฏ์ก็ปรากฏ พระพุทธเจ้าพระองค์แรก อันทรงเป็น "สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า" ต้นวงศ์พุทธธางกูร ผู้ทรงเปรียบประดุจ พระบิดาของเหล่าพระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์

    พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ล้นพ้นยิ่งนัก นับแต่พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเหนื่อยยากเพื่อ แสวงหาหนทางและการบำเพ็ญบารมีตราบจนบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณด้วยความเหนื่อยยากแสนสาหัส

    ดังนั้น หากท่านผู้เป็นพุทธภูมิ ยังเห็นว่าการบำเพ็ญบารมีนี้ยากเกินไปบ้าง

    การบำเพ็ญบารมีนี้ยาวนานเดินไปบ้าง
    การบำเพ็ญบารมีนี้มีอุปสรรคมากไปบ้าง

    ขอให้ย้อนกลับไปพิจารณากำลังใจของสมเด็จองค์ปฐมท่านเป็นแบบอย่าง ว่าท่านเหนื่อยยากกว่าเราเพียงไร ไม่มีแบบอย่างให้ดู ไม่มีเพื่อนพุทธภูมิคอยประคับประคองกันแบบนี้ และท้ายที่สุด ในยุคสมัยนั้น สิ่งที่ท่านทรงทำ เหมือนกับการค้นหาของที่ไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ท่านก็ยังทรงกำลังใจของท่านได้อย่างเด็ดเดี่ยวมั่นคง จนสัมฤทธิ์ผลเป็นประโยชน์ต่อมวลหมู่สัตว์ตราบจนทุกวันนี้

    พระมหากรุณาธิคุณอีกประการนั้น เริ่มจาก การที่สมเด็จองค์ปฐมท่านทรงเล็งอนาคตังสญาณ ดูว่า เมื่อหากพระองค์ท่านทรงเสด็จเข้าสู่พระมหาปรินิพพานแล้ว จะยังมีผู้ใดสามารถเสวยผลแห่ง วิมุตติธรรม เมื่อสิ้นพระศาสนาของพระองค์ได้อีกหรือไม่

    ด้วยพุทธทัศนญาณ ก็ปรากฏว่า การสืบต่องานในการรื้อขนสรรพสัตว์ตราบจนดวงจิตสุดท้ายนั้น ต้อง อาศัย การปรากฏของพระพุทธเจ้าขึ้นบนโลก เพื่อการประกาศพระพุทธศาสนา สืบต่อกันไป ตราบจน พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายจะทรงรื้อขนสรรพสัตว์ไปสู่พระนิพพานจนหมดสิ้นจึงค่อยเสด็จตามเข้าสู่พระนิพพานเป็นองค์สุดท้าย

    ข่ายพระญาณของสมเด็จองค์ปฐมท่านทรงเห็นแจ้งแทงตลอด ยาวไกล จนสุดช่วงเวลาอันเป็นอนันต์ ในงานรื้อขนสรรพสัตว์สู่พระนิพพานตราบจนดวงจิตสุดท้าย

    พระองค์เมื่อทรงหยั่งพระญาณเห็นเหตุการณ์แล้ว ท่านก็ทรงหยั่งกำลังใจของสัตว์ทั้งปวง ว่า มีจิตดวงใด จะทรงอารมณ์ใจ ทรงบารมีพอที่จะสร้างบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลได้หรือไม่

    ครั้นทรงหยั่งรู้ว่า "มี" ก็ทรงบรรลือสีหนาท และประกาศออกก้องไปทั่วจักรวาลทุกภพภูมิว่า

    "การบำเพ็ญบารมี เพื่อการปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นเอกองค์เนื้อนาบุญแก่หมู่สัตว์ทั้งปวง หากผู้ใดมีใจอาดูรในทุกข์ของหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ยินยอมแบกทุกข์ทั้งมวลของหมู่สัตว์นั้นไว้เต็มทั้งสองบ่า ว่ายข้ามมหานทีเดือด อันหาฝั่งไม่ได้ มีอันตรายล้วนรายรอบในมหานทีนั้น ผู้ใดมีใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อสรรพสัตว์ ด้วยกำลังใจปานนี้ ก็พึงได้อธิฐานจิตเพื่อตั้งต้นการบำเพ็ญบารมี เพื่อการปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเถิด"

    ครั้งกระนั้นมีหมู่สัตว์มากมาย ที่เกิดศรัทธาในปฏิปทา เพื่อการบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกัน จำนวนมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร

    สมเด็จองค์ปฐมท่านได้ทรงบรรญัติ "พุทธประเพณี" อันงดงามบริสุทธิ์หมดจด เป็นประโยคที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงตรัส และทรงทำ

    ที่พวกเราได้ทราบก็ที่ปรากฏในพระไตรปิฏกที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสว่า "พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก็ทรงตรัสเช่นนั้น"เพื่อเป็นการรับรองพระสัทธรรมนั้น

    และพุทธประเพณี ที่พระพุทธเจ้าท่านจะต้องทรงมีพุทธพยากรณ์ความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลของพระโพธิสัตว์ พระองค์อื่น (ซึ่งเปรียบเหมือน สมเด้จองค์ปฐมท่านทรงเป็นเหมือน"พ่อ"ของ พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ท่านทรงวางรากฐานในการทำงาน รักษาพระพุทธศาสนาให้กับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตราบจนดวงจิตสุดท้าย)

    พุทธประเพณีที่จะไม่มีการประกาศพระพุทธศาสนาทับเขตกาลเขตสมัยกัน

    พุทธประเพณี ที่พุทธภูมิจะต้องเอื้อเฟื้อในธรรม ในความดี ในการบำเพ็ญบารมีต่อกัน

    นอกเหนือจากที่ทรงกำหนดแบบแผน แนวทางในการสร้างบารมี เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลครั้งนั้น มีมากมายหลายท่านที่ได้ ตั้งความปรารถนาให้ถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ รวมทั้งก็มีอีกมากที่ได้อธิฐาน พุทธภูมิพิเศษ อาทิ การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายบ้าง การเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีอายุพระพุทธศาสนายาวนานที่สุดบ้าง การเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสาวก สามารถรื้อขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพานได้มากที่สุดบ้าง

    แต่ก็มีบางท่าน ที่ปรารถนาการบำเพ็ญบารมีช่วยส่งเสริมให้พุทธภูมิได้เข้าถึงการสร้างบารมีจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด เป็นเหมือนพี่เลี้ยงคอยช่วยแนะนำผลักดันผู้อื่นให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าโดยเร็ว ส่วนตัวเองจะบรรลุเมื่อไรก็ช่างขอให้ได้ช่วยพุทธภูมิท่านอื่นในช่วงกลางบ้าง ช่วงค่อนบ้าง ของอนันต์ยุค จึงได้มาเกิดใช้หนี้ที่ได้อธิฐานอยู่นี้

    ที่ได้เล่าให้ฟังนี้ เป็นเรื่องราวอันยาวนานที่พระท่านเล่าให้ฟังวันนี้อย่างค่อนข้างละเอียด เพื่อให้พุทธภูมิทั้งหลายได้เห็นภาพรวมของงานที่สมเด็จองค์ปฐมท่านได้ทรงวางรากฐานเอาไว้อย่างมั่นคงหนาแน่น และยาวนานจน สุด แห่งทุกข์

    ขอกราบโมทนาบุญในมหากุศล พระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จองค์ปฐมที่ท่านทรงมีต่อทุกๆดวงจิต

    กราบบูชาในพระวิสุทธิคุณแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    กราบบูชาในบารมี กำลังใจของพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ อย่างหาที่สุดไม่ได้ด้วยครับสาธุ..
     
  16. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    คาถาเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์

    หลวงพ่อชุมพล พลปฺโ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘

    ตั้งเครื่องสักการะขึ้นมา (คำว่าเครื่องสักการะนั้นอาจเป็นธูปเทียนหรือดอกไม้หรือพวงมาลัยหรือน้ำหนึ่งแก้วก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรเลยให้เอาดวงจิตที่อ่อนน้อมเป็นเครื่องสักการะ ขอเพียงให้ทำด้วยความเคารพ เอาใจเป็นใหญ่) จากนั้นอธิษฐานดังนี้

    เครื่องสักการะนี้ ข้าพเจ้าขอประดิษฐาน เพื่อถวายเป็นเกียรติแก่ พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์และบริวาร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และบริวาร พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์และบริวาร (อาจเพิ่มพระโพธิสัตว์ที่เราเคารพเป็นพิเศษไปอีกได้ตามสะดวกและตามศรัทธา เช่นหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้และบริวาร หลวงพ่อปานวัดบางนมโคและบริวาร ครูบาศรีวิชัยและบริวารเป็นต้น ก็ได้)

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาในอดีตชาติก็ดีปัจจุบันชาติก็ดี ที่จะให้ผลแก่ข้าพเจ้าเพียงไร ข้าพเจ้าขออุทิศกุศลนั้น ให้แก่พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง จงทุกประการเทอญ

    อนึ่งบุญใดที่พระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง ได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนา ขอให้ข้าพเจ้า จงมีส่วนแห่งบุญนั้น จงทุกประการเทอญ

    สิ่งใดข้าพเจ้า ได้เคยล่วงเกินท่านทั้งหลาย ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้าขอขมา ขอท่านจงโปรดเมตตา ยกโทษอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    สิ่งใดที่ท่านได้เคยล่วงเกินข้าพเจ้า มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี

    ข้าพเจ้าขอปวารณาให้เป็นอโหสิกรรมทั้งหมดทั้งสิ้น

    ข้าพเจ้าขออุทิศกุศล ไปกับกระแสเมตตาจิต ของพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวง สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล จงมีส่วนแห่งกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาจงทุกประการเทอญ

    ข้าพเจ้าขอพรว่า เมื่อใดที่ข้าพเจ้า อุทิศกุศล แผ่เมตตา และอธิษฐานจิต ขอให้ศักดิสิทธิ์มีฤิทธิ์ คล้ายประหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาบันดาลให้เป็นไปด้วยเทอญ


    (การเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวงหมายถึงเราได้ทำการผูกมิตรกับท่านผู้ที่อยู่ในสายการสร้างบารมีทั้งหมดทั้งสิ้นเลย ฉะนั้นคาถาเชื่อมจิตกับพระโพธิสัตว์ทุกองค์นี้ถ้าใครใช้ทุกวันจะทำให้ผู้นั้นมีจิตพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป เวลาอธิษฐานอะไร ถ้าไม่ผิดทำนองคลองธรรม จะสัมฤทธิ์ผลง่ายกว่าคนทั้งหลาย เวลาประกอบกิจการอันเป็นกุศลที่อยู่ในขอบข่ายการสร้างบารมีก็จะสำเร็จง่าย เพราะพระโพธิสัตว์ทุกองค์และบริวารทั้งปวงจะมาช่วย)


    พระชุมพล พลปฺโ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๙
     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    อาจารย์สรพล เมื่อคราวมาบรรยาย ให้สมาชิก
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัย วันที่ 13/5/50 ได้แนะนำ
    เรื่องการทำสมาธิ ให้จิตสงบ ดังนี้.-

    การกำหนดนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ โดยรวดเร็ว
    ให้อาศัยการนั่งแบบปฏิบัติสมาธิจิต เช่นเดียวกับ
    การบำเพ็ญทุกข์กิริยาขององค์สมเด็จพระศาสดา
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้

    ให้กำหนดลมหายใจเข้าให้ลึกเต็มปอดเต็มท้องช้าๆ
    และผ่อนลมหายใจออกช้าๆ สัก 5 ครั้ง
    แล้วตั้งใจกำหนดว่า เราจะนั่งปฏิบัติสมาธิ
    อย่างตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ไม่แตะต้องอาหารใดๆ
    เห็นร่างกายค่อยๆผอมลงๆๆ
    จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก..
    จากนั้นให้กำหนดว่า วิธีทรมานกาย นี้ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
    กลับมาพิจารณาเดินทางสายกลาง
    กินอาหารแต่พอประมาณ ให้กายสังขารพอมีกำลัง
    จิตจะค่อยๆสงบ และเย็นเบาสบาย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    ขอให้ทุกท่านลองใช้ดู เป็นทางลัดให้จิตสงบ เป็นสมาธิได้เร็วยิ่งขึ้น
     
  18. thavornsiripat

    thavornsiripat สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มี เป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2,069
    ค่าพลัง:
    +13,915
    น่าสนใจครับพี่เม้าท์


    น่าสนใจครับพี่เม้าท์ ไว้ต้องลองดูมั่งซะแล้ว (verygood)(verygood)(verygood)
     
  19. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ขออุทิศส่วนบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาตั้งแต่แรกเริ่มกำเนิดดวงจิตในอดีตชาติจวบจนถึงปัจจุบันชาติ และบุญกุศลที่พึงกระทำในอนาคตจนกว่าทุกดวงจิตจะเข้าสู่นิพพาน ขอให้ส่วนบุญส่วนกุศลนี้จงส่งผลให้กับ ทุกสรรพสัตว์ ทุกสรรพสิ่ง ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ไม่มีที่สุด ไม่มีที่ประมาณ ขอให้ทุกดวงจิตเข้าถึงกระแสพระนิพพานโดยเร็ววันด้วยเถิด...
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การปฏิบัติธรรมทางสายของพุทธภูมินั้น พระท่านสอนผมว่า

    "ผู้ที่ตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า เป็นพุทธภูมิ แต่ พุทธภูมินั้นก็ยังมีที่เป็นมิจฉาทิษฐิและที่เป็น สัมมาทิษฐิ เธอลองดู แต่พระยามาราธิราช ผู้ประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ พรั่งพร้อมด้วยเสนามารน้อยใหญ่ มากมาย ก็เป็นผู้ปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า (ปัจจุบันท่านกลับจิตสู่สัมมาทิษฐิแล้ว) ด้วยเช่นกัน

    แต่การเป็นมิจฉาทิษฐินั้น นำพาให้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องคล้อยลอยเลื่อนห่างไกลออกไปจาก ตนเอง และหนำซ้ำยังพาบริวารสาวกต้องไปเสวยผลแห่งอกุศลกรรมที่ทำพลั้งผิดจากความดี ต้องไปสู่ทุคติภูมิอีก นับชาติภพไม่ถ้วน

    เหตุเเห่งความเป็นมิจฉาทิษฐิของผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมีเหตุมีปัจจัยดังนี้

    -มีมารสิงใจให้เข้าใจไขว้เขว้ไปจากหลักธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านทรงดำเนินเป็นแบบอย่างกันมา

    -มีความสำคัญผิดว่า การเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นเพื่อความเป็นเลิศ เป็นเพื่อความเป็นหนึ่งที่สุดใน สามภพ อุปมาดั่งความอยากเป็นพระเจ้าจักพรรดิราช เพราะเข้าใจว่าจะได้ เป็นผู้ครอบครองทรัพย์ทั้งปวงบนโลก แต่ไม่เข้าใจว่า การเป็นพระเจ้าจักพรรดิ์นั้นต้องทำนุบำรุงดูแลความสุขและแบกรับความทุกข์ของคนทั้งแผ่นดิน

    -มีความสำคัญผิด คิดว่าการบำเพ็ญบารมีเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีสาวกมากๆ เยอะๆ กลัวผู้อื่นจะแย่งสาวกตน พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นจะพาคนไปนิพพานหมดไม่เหลือให้ตนเองได้บำเพ็ญ (กรณี พระยามาราธิราช ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจุบันท่านกลับจิตเข้าสู่สัมมาทิษฐิ รอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล)

    -มานะทิษฐิ เข้าครอบงำจิตใจ ให้สำคัญตนว่าตนเอง เก่งกว่า บารมีมากกว่า สูงกว่าพระพุทธเจ้า

    เหล่านี้คือมิจฉาทิษฐิที่ปรากฏในพุทธภูมิ

    ผลของมิจฉาทิษฐิแห่งพุทธภูมิ

    -หลงแล้วกลับคืนมาได้โดยยาก เพราะทิษฐิของพุทธภูมิย่อมแรงกล้ากว่าคนสามัญธรรมดา

    -พาสาวกบริวารไปในทางเดินที่ผิดตามๆกันไปทั้งหมด

    -ใช้เวลาวาระ ที่ยาวนานกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

    -เกิดกรรมที่ไปล่วงละเมิดต่อทั้งพระพุทธเจ้า พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นและผลของกรรมนั้นจะติดตามให้ผลทั้งยาวนาน ทั้งทวีคูณ (เป็นข้อที่น่ากลัวที่สุด)

    ดังนั้นเมื่อเธอทั้งหลายได้เห็นโทษภัยในความเป็นมิจฉาทิษฐิแล้วก็ขอจงได้อธิฐาน ถอน ชำระล้างดวงจิตจากมิจฉาทิษฐิเถิด

    "ข้าพขอกราบขอขมาลาโทษต่อพระรัตนไตร อันมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งปวง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วอนันตจักรวาล

    "ข้าพเจ้าขอถอนจิตอนุสัย อันประกอบไปด้วยทิษฐิที่ผิด ที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่เป็นบาปอกุศล ที่ได้สร้างความขุ่นเคืองใจ เป็นความเร้าร้อน เป็นความอิจฉา เป็นมานะทิษฐิ เป็นทางแห่งการปฏิบัติที่ไม่บริสุทธิ์ ขอถอนให้สิ้นจากดวงจิตของข้าพเจ้า และเหล่าบริวารสาวก ผู้ศรัทธาในปฏิปทาการปฏิบัติบำเพ็ญของข้าพเจ้า นับจากนี้ตราบที่ข้าพเจ้าจะบรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"


    เมื่อได้ถอนดวงจิตออกมาจากความเป็นมิฉาทิษฐิแล้ว ก็ขอให้ ได้เริ่มสัมผัสหยั่งวางจิตใหม่ในการปรารถนาซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ใช้ใจเราวางลงท่ามกลางสังสารวัฏฏ์อันกว้างใหญ่ไพศาล ใช้จิตของเราสัมผัสกับดวงจิตทุกดวงด้วยความเมตตาปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นได้หลุดพ้นจากทุกข์จากภัยแห่งวัฏฏสงสาร

    เมื่อจิตของเราเต็มไปด้วยความเมตตาจนเปี่ยมล้นในดวงจิตดวงใจ เกิดธรรมปิติจากเมตตาธรรม ก็ขอให้อธิฐานว่า

    "นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ด้วยดวงจิตที่เมตตา ปรารถนาช่วยรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ถึงซึ่งพระนิพพาน การบำเพ็ญบารมีนับแต่นี้ไป ก็เพื่อประโยชน์ สุขแห่งสรรพสัตว์น้อยใหญ่ มากมายไม่มีประมาณ ขอให้เทพพรหมทั้งหลายโปรดได้เป็นพยานรับรู้คำอธิฐานของข้าพเจ้าด้วย เทอญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...