เรื่องของจิตใจ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย พนมกุเลน, 6 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <TABLE width="98%" align=center><TBODY><TR><TD>ให้ลูกกินอุจจาระ เป็นการลงโทษ !!!


    [​IMG]

    เว็บไซต์ไชน่าสแม็คของจีน รายงานกรณีพ่อรายหนึ่ง ลงโทษลูกสาววัย 10 ขวบ ด้วยการบังคับให้กินอุจจาระ ที่ศูนย์การค้า เมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง ท่ามกลางสายตาของประชาชนเป็นจำนวนมาก

    พ่อรายนี้ได้ซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อกลับไปอ่านที่บ้าน แต่ลูกสาวของเขาไม่ยอมพับเก็บหนังสือพิมพ์ให้เรียบร้อย เขาจึงโมโห ก่อนที่จะลากตัวลูกสาวซึ่งกำลังร้องไห้เสียงดังเข้าไปในห้องน้ำชาย

    ใช้แผ่นพับโฆษณามาพับรองรับอุจจาระ ก่อนที่จะป้ายไปที่ใบหน้าของลูกสาว ลูกสาวพยายามจะห้าม ร้องขอให้พ่อหยุด แต่พ่อพยายามยัดอุจจาระเข้าไปที่ปาก ซึ่งเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เมื่อคนที่เดินผ่านมาเห็นจึงพยายามเข้าไปห้าม และเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุ

    พ่อดังกล่าวเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งหนึ่งจากมณฑล อื่น และหย่าร้างกับภรรยา โดยไม่พบว่ามีความผิดปกติทางสมองแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้เพียงแต่ลงบันทึกประจำวัน แล้วปล่อยตัวไป

    หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวนี้ จึงกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันถึงการถือสิทธิในการดูแลเด็ก กับพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พ่อกระทำต่อลูก พร้อมกับถกเถียงถึงแนวทางแก้ปัญหาและกำหนดบทลงโทษอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ขึ้นมาอีก


    ข้อมูลโดย : www.talkystory.com/
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. totccccc

    totccccc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +24
    เรื่องราว..ขอบคุณในเรื่องลาว..ฝังหัวในเรื่องลาว..
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <CENTER>ไอคิว และ อีคิว

    </CENTER><CENTER>ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
    แหล่งที่มาของข้อมูล : หนังสือ “เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข”</CENTER>

    [​IMG]


    ไอคิว คืออะไร


    <DD>ไอคิว เป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่าหมายถึง ระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อเป็น IQ คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ LM Terman เป็นคนอเมริกันใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1916


    <DD>ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน <DD><DD>ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูงแล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่มีไอคิวสูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ

    <DD>ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่างๆ เปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก

    <DD>[​IMG]<DD>
    อีคิว คืออะไร

    อีคิว เป็นคำค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับไอคิวแต่อีคิวสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มาก ทำให้คนหันมาสนใจคุณสมบัติเรื่องอีคิวของคนอย่างมาก
    <DD><DD>อีคิวเป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient และย่อว่า EQ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นชาวอเมริกันเช่นกันชื่อ Daniel Goleman เขียนเมื่อปี ค.ศ.1995

    อีคิว นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจ และยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิต นั่นเอง แต่คนทั่วไปแล้ว จะไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งนักว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้นหมายถึงอะไร
    <DD><DD>จึงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งมีคำว่า อีคิว เกิดขึ้น จึงเป็นคำที่ติดตลาดเหมือนคำว่า ไอคิว คนจึงหันมาสนใจและให้ความสำคัญขึ้นอย่างมากซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว

    อีคิว หมายถึง ความสามารถด้านต่างๆ ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมหลายด้าน
    [​IMG]

    <DD><DD>คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่วๆ ไป ดังนี้

    <DD>- มีวุฒิภาวะทางอารมณ์<DD>

    <DD>- มีการตัดสินใจที่ดี<DD>

    <DD>- ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้<DD>

    <DD>- มีความอดกลั้น<DD>

    <DD>- ไม่หุนหันพลันแล่น<DD>

    <DD>- ทนความผิดหวังได้<DD>

    <DD>- เข้าใจจิตใจของผู้อื่น<DD>

    <DD>- เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม<DD>

    <DD>- ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย<DD>

    <DD>- สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้<DD>

    <DD>- ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก<DD><DD>[​IMG]


    <DD>เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอีคิวและไอคิว คือ<DD><DD>อีคิว เป็นเรื่องที่สอนให้เกิดขึ้นได้ สามารถฝึกฝนให้ลูกของเรามีอีคิวที่ดีขึ้นสูงขึ้น ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ลูกมีไอคิวสูงขึ้น<DD>

    <DD>- คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้<DD><DD>- คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จสูง ในขณะที่คนที่มีไอคิวดีก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำร็จ มีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป<DD><DD>- คนที่มีไอคิวดี มักประสบผลสำเร็จดีมากในการเรียนหนังสือ หรือทำงานด้านวิชาการ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ คนไอคิวสูงอาจไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น เรื่องชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตในสังคม<DD><DD>[​IMG]


    <DD>ทั้งนี้ จากเหตุผลที่ว่าการวัดระดับไอคิวของคนที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นวัดความสามารถของคนเพียงไม่กี่อย่าง การวัดไอคิวจะวัดความสามารถด้านภาษา และการคิดคำนวณเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่จริงแล้วความสามารถของคนนั้นมีมากมายหลายด้าน เช่น ความสามารถด้านต่อไปนี้<DD><DD>- ดนตรี<DD>

    <DD>- กีฬา-การเคลื่อนไหว<DD>

    <DD>- ศิลปะ<DD>

    <DD>- ภาษา<DD>

    <DD>- สังคม<DD>

    <DD>- กาคิดคำนวณ<DD>

    <DD>- เครื่องยนต์กลไก<DD>

    <DD>- ตรรกะ<DD>

    <DD>- การเข้าใจผู้อื่น<DD>

    <DD>- อื่นๆ<DD><DD>[​IMG]


    <DD>คนที่มีความสามารถเด่นๆ เฉพาะทางที่รู้จักกันดีในสังคมโลก เช่น <DD>

    <DD>-Magic Johnson เป็นนักบาสที่เก่งมาก<DD>

    <DD>-Mozart เป็นนักดนตรีระดับโลก<DD>

    <DD>-Martin Luther King Jr. เป็นผู้นำที่มีความสามารถมาก<DD>

    <DD>-Sigmund Freud สามารถเข้าใจเรื่องจิตใจคนอย่างดีเยี่ยม


    <DD>ฉะนั้น จึงควรส่งเสริมลูกให้พัฒนาความสามารถเฉพาะตัวของเขาให้เต็มที่ถ้ามี ผู้ใหญ่ไม่ควรไปขัดขวางเขาแต่ผู้ใหญ่ควรช่วยเขา<DD><DD>[​IMG]

    องค์ประกอบของอีคิว
    <DD>

    <DD>ทักษะทางอารมณ์ หรือ อีคิวของคนอาจจัดได้เป็นเรื่องใหญ่ๆ 5 เรื่อง คือ<DD>

    <DD>1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง<DD>

    <DD>2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง<DD>

    <DD>3. สามารถทำให้ตัวเองมีพลังใจ<DD>

    <DD>4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น<DD>

    <DD>5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น

    <DD>[​IMG]<DD>
    1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
    <DD>
    คนที่จะมีทักษะชีวิตที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ คือเป็นที่รู้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร หรือสามารถติดตามความรู้สึกของตัวเองได้ใน ขณะที่อารมณ์กำลังบังเกิดขึ้นในตัวเรา เช่น รู้สึกว่าเรากำลังเริ่มรู้สึกโกรธ หรือเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้ว
    <DD><DD>ฉะนั้น เราจึงต้องมีการสังเกตตัวเราเองอยู่เสมอ การรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรจะทำให้คนๆ นั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำอะไรที่มีผลร้ายแรงดังที่เราเคยได้ยินเสมอๆ ว่า “เขาฆ่าคนตายเพราะเกิดบันดาลโทสะ”

    การรู้ว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใดนอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ยังทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากอารมณ์นั้นได้เร็วขึ้น เพราะทำให้เรารู้จักไปหาทางระบายอารมณ์นั้นออกไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง

    คนที่ไม่รู้จักหรือไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัวเองมากๆ จะไม่สามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ อาจกลายเป็นคนเฉยเมย เป็นคนไม่สนุก ไม่รู้สึกขบขันในเรื่องควรขบขันคือไม่มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะกลายเป็นคนน่าเบื่อสำหรับผู้อื่นได้ เพราะเป็นคนจืดชืดไร้สีสัน

    <DD>วิธีสอนให้ลูกรู้อารมณ์ตัวเองคือ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตอารมณ์ลูกและพูดคุยถามถึงอารมณ์ของลูกที่เปลี่ยนไป เช่น พ่อแม่ อาจถามว่า “วันนี้ดูลูกอารมณ์ไม่ดี หนูมีอะไรไม่สบายใจหรือ?” <DD><DD>และพ่อแม่เองจะต้องรู้และแสดงอารมณ์ของตัวเองให้เหมาะสมด้วย เช่น พูดว่า “วันนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดไปหน่อยนะลูก”

    <DD>[​IMG]<DD>
    2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง

    <DD>ทุกคนเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้วต้อง รู้วิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างเหมาะสม เช่น เกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์ไม่พอใจอะไรใครจะต้องหาทางออก ไม่ใช่เก็บกดสะสมอารมณ์เหล่านี้ไว้มากๆ ซึ่งจะเกิดอาการทนไม่ไหวแล้วถึงจุดหนึ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมารุนแรง โดยทำร้ายคนอื่นหรือทำร้ายตนเอง เช่น ฆ่าตัวตาย


    <DD>วิธีบริหารอารมณ์หรือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือ<DD>
    - พูดระบาย ให้คนที่พูดด้วยได้รับฟัง ซึ่งคนที่รับฟังมักจะช่วยปลอบใจได้ไม่มาก็น้อย หรือเขาอาจแสดงความเห็นใจด้วย
    <DD>

    <DD>- ทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคิดไตร่ตรองว่าคนที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นี่เขาเป็นอย่างไร มีเหตุผลอะไร มีเจตนาร้ายหรือไม่ หรือเขามีปัญหาอะไร เป็นต้น ถ้าเราสามารถเข้าใจเขาได้ เราอาจเกิดความเห็นใจเขา หรือให้อภัยเขา ซึ่งจะลดลดอารมณ์ของเราลงได้<DD>

    <DD>- หาวิธีผ่อนคลายให้ตัวเอง เช่น อาจไปเล่นกีฬา ร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรี เป็นการคลายเครียด

    <DD><DD>- วิธีอื่นๆ แต่ละคนอาจมีวิธีทำแตกต่างไปบ้าง เช่น บางคนอาจไปเดินเล่น ไปซื้อของ ไปทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ เป็นต้น<DD><DD>[​IMG]


    <DD>ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องหัดจัดการกับอารมณ์ของตนเองอยู่แล้ว เพราะทุกวันเราจะเกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้น เช่น อารมณ์เบื่อ เศร้า เครียด หงุดหงิด รำคาญ เซ็ง โดยทั่วไปควรจะหากิจกรรมทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปคุยกับเพื่อน และอื่นๆ อีกมาก


    <DD>วิธีช่วยลูกมีทักษะที่ดี พ่อแม่สามารถทำเป็นตัวอย่าง หรือแนะนำให้ลูกมีงานอดิเรกทำ แนะนำให้ลูกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน และที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือถ้าเล่นดนตรีได้จะดีมาก ดนตรีเป็นเพื่อนที่ดีมากของมนุษย์ <DD><DD>ถ้ามีโอกาสและลูกชอบ พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเลือกเรียนดนตรีอย่างหนึ่ง อย่างที่สองคือ การเล่นกีฬา เด็กควรเลือกกีฬาสักอย่างที่ชอบและสามารถเล่นไปได้ตลอดชีวิต เพราะนอกจากจะคลายเครียดยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้มาก จนมีคำพูดที่ว่า “กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ”

    <DD>[​IMG]<DD>
    3. สามารถทำให้ตนเองมีพลัง

    <DD>คือเป็นคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงใจให้อยากทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่เป็นคนย่อท้อหมดเรี่ยวแรงง่ายๆ หรือยอมแพ้โดยง่ายดาย สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้มาจากหลายๆ องค์ประกอบ เช่น<DD>

    <DD>- พ่อแม่ปลูกฝังมาให้แต่เด็ก เช่น พ่อแม่ชื่นชมในความสำเร็จของลูก ลูกก็จะกลายเป็นคนอยากมีความสำเร็จ หรือพ่อแม่คอยให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเวลาลูกทำอะไรๆ

    <DD><DD>- การมีทัศนคติที่ดี เช่น พ่อแม่พูดว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” หรือมีทัศนคติว่าคนนั้นต้องมีความพากเพียรทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครได้อะไรมาอย่างง่ายๆ

    <DD>- วัฒนธรรม หลายวัฒนธรรมสอนเด็กให้เป็นคนขยัน อดทน เช่น วัฒนธรรมจีน<DD>

    <DD>- อารมณ์ คนที่มีอารมณ์ดีจึงจะมีจิตใจอยากทำสิ่งต่างๆ ถ้าเป็นคนมีปัญหาทางจิตใจ มีความขัดแย้งในชีวิตและครอบครัวจะมักไม่มีกำลังใจในการทำงาน<DD>

    <DD>- ความหวัง คนมีพลังใจทำอะไรต่อๆ ไปได้ต้องเป็นคนที่มีความหวังเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิตใจให้อยากทำต่อไป <DD>

    <DD>- มองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีจะสามารถมองหาจุดดีๆ จากทุกๆ อย่างรอบตัวได้ คนนั้นก็จะสามารถมีแรงจูงใจในการทำอะไรต่อไป ตัวอย่างที่เคยได้ยิน เช่น<DD><DD>[​IMG]


    <DD>มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เวลาไม่ทะเลาะกันเพื่อนๆ จะเห็นว่าเขามีความสุขดี แม้ว่าเวลาทะเลาะกันฝ่ายภรรยาจะค่อนข้างกร้าวร้าวและจะชอบเอาจานชามขว้างใส่สามี <DD><DD>วันหนึ่งเพื่อนสามีจึงถามสามีว่าเห็นทะเลาะกันบ่อยๆ เหตุใดจึงยังมีความสุขได้ สามีจึงตอบเพื่อนว่ามีความสุขได้ เพราะเวลาภรรยาขว้างจานชามใส่ตน ถ้าตนหลบทันตนก็มีความสุข ส่วนถ้าตนหลบไม่ทันแล้วโดนขว้างภรรยาตนก็มีความสุข

    4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น

    <DD>ความสามารถนี้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับจิตใจผู้อื่นจะขาดไม่ได้เลย เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ แต่ที่จริงแล้วทุกๆ คน เป็นคนที่คนอื่นนิยมชมชอบ เป็นคนที่เพศตรงข้ามชอบ ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีเสน่ห์ และสามารถเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี


    <DD>ความสามารถนี้ หมายถึง เราสามารถเข้าใจได้หรือรู้ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งหมายถึง ความเห็นใจคนอื่น หรือความสามรถที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง การที่คนเราจะสามารถเข้าใจจิตใจผู้อื่นได้เขาจะต้องเข้าใจตัวเขาเองก่อน เขาต้องรู้จักตัวเอง และมีความรู้สึกของตัวเองเสียก่อนว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร จึงจะสามารถ อ่านความรู้สึก ของผู้อื่นได้


    <DD>การที่จะอ่านความรู้สึกคนอื่นได้ดี จะต้องเป็นคนที่อ่านภาษาท่าทางได้ดี เพราะคนส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอารมณ์เป็นภาษาท่าทางมากกว่าการแสดงอารมณ์เป็นคำพูด เช่น คนเวลาโกรธ มักจะแสดงท่าทางโกรธแบบต่างๆ <DD><DD>เช่น หน้างอ หน้าบึ้งตึง มีกริยากระแทกกระทั้น เกินกระแทกเท้าโครมๆ ปิดประตูปึงปัง เป็นต้น แต่มีน้อยคนที่เวลาโกรธจะใช้คำพูดแสดงออกมาตรงๆว่า “ฉันกำลังรู้สึกโกรธคุณมากเลย คุณทำอย่านี้ได้อย่างไร”

    <DD>การอ่านภาษาท่าทางทำได้โดยการสังเกตการแสดงออกของ<DD><DD>- น้ำเสียง เช่น เสียงดุ เสียงหวาน เสียงกัดฟันพูด<DD>

    <DD>- สีหน้า เช่น สีหน้ายิ้มแย้ม บูดบึ้ง เฉยเมย เคร่งเครียด เหนื่อยหน่าย เศร้า<DD>

    <DD>- แววตา เช่น แจ่มใส เป็นประกาย เคียดแค้น หม่นหมอง อมทุกข์ โศก<DD>

    <DD>- กริยาต่างๆ เช่น ท่านั่ง เบือนหน้าหนี นั่งห่างๆ นั่งเข้ามาใกล้ชิดเกินไป นั่งแบบผ่อนคลาย นั่งกระสับกระส่าย

    <DD>[​IMG]
    <DD>
    5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
    <DD>

    <DD>เป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญอักเช่นกัน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์นั้นยั่งยืนยาวนานได้ คือจะต้อง รู้จักหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ ที่มีอยู่ให้มีอยู่ต่อไป <DD><DD>ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการบริหารจัดการกับความรู้สึกของผู้อื่น โดยทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เราแล้วเขาเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวเขาเอง และเขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับเราด้วย เช่น เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเรา

    <DD>- เห็นเขาสำคัญ<DD>

    <DD>- ให้เกียรติเขา<DD>

    <DD>- ยกย่องเขา<DD>

    <DD>- เข้าใจเขา<DD>

    <DD>- เห็นเขามีคุณค่า<DD>

    <DD>- ช่วยเหลือเขา<DD>

    <DD>- เป็นมิตรกับเขา<DD>

    <DD>- หวังดีต่อเขา<DD>

    <DD>- รักเขา


    <DD>ความสามรถในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นยังขึ้นกับว่า เรานั้นสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเราเองได้ดีแค่ไหน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่เข้าใจเรา ไม่รู้จักเรา เข้าไม่ถึงเรา ทำให้เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร วางใจได้แค่ไหน จริงใจเพียงใด เป็นต้น</DD>

    <DD><DD>[​IMG]

    </DD>
     
  4. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ประณาม พ่อใจร้าย ป้ายอุจจาระห้องน้ำสาธารณะ ให้ลูกกิน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=40><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 กุมภาพันธ์ 2555 </TD><TD vAlign=center align=left>

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><G:pLUSONE size="medium"></G:pLUSONE>
    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=560>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์มือถือ แสดงภาพชายจีนคนหนึ่ง ลงโทษลูกสาววัย 10 ขวบด้วยการบังคับให้เธอกินอุจจาระในห้องน้ำสาธารณะ (ภาพเอเยนซี)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเยนซี - ชายจีนคนหนึ่ง ลงโทษลูกสาววัย 10 ขวบด้วยการบังคับให้เธอกินอุจจาระในห้องน้ำสาธารณะ

    โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์กรูเข้าห้ามปราม ขณะชาวเน็ตฯ หวั่นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอาจเกิดซ้ำได้ หากญาติไม่เข้าร้องขอศาลคุ้มครองเด็กแทนบิดา

    สื่อออนไลน์จีน รายงานวันที่ 5 ก.พ. ว่า พ่ออารมณ์ร้าย ใช้วิธีลงโทษอบรมลูกอย่างน่าสะอิดสะเอียน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมือวันที่ 3 ก.พ. เวลา 15.40 น. ที่ย่านการค้าแห่งหนึ่งในหังโจว

    เมื่อพ่อของเด็กได้ซื้อหนังสือพิมพ์กลับบ้าน แต่ไม่ทราบเหตุใดลูกสาวได้งอแงและขว้างหนังสือพิมพ์ลงที่พื้นและไม่ยอมเก็บขึ้นมา จนทำให้พ่อของเด็กหญิงคนนี้โกรธจัด และเมื่อลูกสาวร้องไห้เสียงดัง เขาก็ลากเธอไปที่หน้าห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง

    พยานหลายคนได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจีนว่า เห็นพ่อของเด็กม้วนแผ่นพับโฆษณาเข้าไปตักอุจจาระในห้องน้ำ พ่อคนนี้อายุประมาณ 30 ปี ดูท่าทางก็เป็นคนมีการศึกษา

    ขณะที่ผู้หญิงทีเห็นเหตุการณ์อีกคนกล่าวว่า เห็นพ่อคนนี้ออกมาจากห้องน้ำ และพยายามป้ายก้อนอุจจาระนั้นเข้าปากของลูกสาวตน แต่เด็กพยายามขัดขืน ปิดปากและวิ่งหนี

    เช่นเดียวกับพยานอีกคนที่บอกว่า ตนได้ตะโกนเรียกสติของพ่ออารมณ์ร้ายคนนี้ ซึ่งกำลังบังคับลูกสาวให้กลืนกินอุจจาระเข้าไป

    ด้านเฉียนเจียง อีฟนิ่งนิวส์ รายงานว่า เด็กอยู่ในอาการตื่นกลัวมาก ขณะที่พ่อของเธอพยายามป้ายอุจจาระเข้าไปในปากพร้อมกับถามลูกตนเองว่า "อร่อยมั๊ยๆ"

    โดยผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนได้กรูกันเข้าไปห้ามปรามและเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเข้าระงับเหตุได้ในเวลารวดเร็ว

    โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวพ่ออารมณ์ร้ายคนนี้ ไปสอบสวน พบว่าเขาสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นชาวหังโจว และหย่าร้างกับภรรยาหรือแม่ของเด็กแล้ว

    จากการสอบสวนก็ไม่พบความผิดปกติทางจิตของพ่อรายนี้ และเมื่อบุตรสาวยังอายุเพียง 10 ขวบ ในทางกฎหมาย บิดาจึงมีสิทธิเต็มที่ในการดูแลลูกที่มารดาทิ้งไป ตำรวจจึงไม่แจ้งความผิดใดๆ นอกจากใช้วิธีว่ากล่าวตักเตือนว่าอย่าทำอย่างนี้อีกเท่านั้น

    ชาวเน็ตฯ หลายคนที่ได้ทราบข่าวต่างประณามการกระทำของพ่อคนนี้ บ้างก็ว่า เป็นไปได้ที่แม่ของเด็กหนีไปเพราะอารมณ์ร้ายของชายคนนี้เอง

    กระนั้น จิตแพทย์ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า มีพ่อหลายคน เก็บกดความโกรธแค้นต่อภรรยาไว้ข้างใน และอาจจะระบายไปที่ลูกสาวทุกครั้งที่มีสถานการณ์หรือปัจจัยมากระตุ้น

    ขณะที่นักกฎหมายกล่าวว่า กรณีนี้ มารดาของเด็กและญาติสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อขอเข้าเป็นผู้ปกครองเด็กแทนพ่อใจร้าย

    โดยในท้ายๆ ข่าว ได้เทียบเคียงว่าถ้าเป็นที่อื่น เมื่อเกิดสถานการณ์นี้ สิ่งที่ควรทำคือการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ก่อน ไม่ใช่รอให้เกิดซ้ำและจึงลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...