สัพเพเหระ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย phanbuaphet, 4 ธันวาคม 2011.

  1. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    one and only
     
  2. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    วิธีดูแบบโบราณ... ได้ลูกสาวหรือลูกชาย

    [​IMG]

    สมัยก่อนนั้นยังไม่มีการอัลตร้าซาวน์ว่าคนคนนั้นจะได้ลูกสาว หรือลูกชาย แต่คนโบราณเขาก็มีวิธีดูตามความเชื่อกันต่างๆ นานาในการทายจากพฤติกรรมต่างๆ จนทำให้เชื่อว่าคนๆ นั้นจะได้ลูกเพศอะไร ...
    ซึ่งวิธีดูของคนโบราณ อาทิ

    1. ดูจากการก้าวเท้าของแม่ - โบราณบอกว่า ให้คุณแม่ทดลองก้าวเท้าสัก 2-3 ก้าว หากก้าวเท้าขวาจะได้ลูกชาย ก้าวเท้าซ้ายจะได้ลูกสาว (ที่สำคัญอย่าให้คุณแม่รู้ตัวก่อนนะคะว่าคำทำนายจะเป็นอย่างไร ไม่งั้นไม่ตรงค่ะ)

    2. ดูจากฝ่ามือคุณแม่ - ถ้าคุณแม่หงายมือมา แสดงว่าลูกเป็นลูกสาว ถ้าคว่ำมือลูกเป็นผู้ชาย ถ้ายื่นมือซ้ายเป็นลูกสาว ถ้ายื่นมือขวาเป็นลูกชาย

    3. ดูจากใบหน้าคุณแม่ - ถ้าคุณแม่มีหน้าตาแจ่มใส ไม่มีฝ้าจะได้ลูกชาย แต่ถ้าคุณแม่ดูโทรม มีไฝฝ้าจะได้ลูกสาว

    4. ดูจากความฝันของแม่ - ถ้าฝันว่าได้แหวนจะได้ลูกชาย ถ้าฝันว่าได้สร้อย ได้กำไล ตุ้มหู จะได้ลูกสาว

    5. ทายจากเด็กเหยียบท้อง - ถ้าไม่เหยียบแปลว่าได้ลูกสาว ถ้าเหยียบแปลว่าได้ลูกชาย

    ก็เป็นคำทำนายจากสมัยโบราณนะคะ ลองทดลองทำกันดูก็ได้นะคะ ...

    ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
    ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


    sanook.com





    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=fancy_title_left class=fancy_title></TD><TD id=fancy_title_main class=fancy_title>
    </TD><TD id=fancy_title_right class=fancy_title></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=fancy_title_left class=fancy_title></TD><TD id=fancy_title_main class=fancy_title>
    </TD><TD id=fancy_title_right class=fancy_title></TD></TR></TBODY></TABLE>







     
  3. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    หลากหลายความเชื่อเกี่ยวกับแมว


    [​IMG]


    แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่หลายบ้านมีไว้เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา แต่ในทางความเชื่อโบราณแล้วแมวมีมากกว่าแค่คลายเหงาแต่จะเป็นอะไรบ้างนั้นมาดูพร้อมๆกันเลย
    รก เป็นเครื่องสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในครรภ์แนบอยู่กับมดลูก มีสายต่อกับสะดือลูกอ่อน เฉพาะรกของแมวชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นเครื่องรางนำโชค จึงนิยมเก็บรกไว้เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ดังนั้นในขณะที่แมวจะออกลูก เจ้าของมักคอยจดจ้องที่จะเอารกแมวให้ได้
    ทั้งนี้โบราณท่านว่า ถ้าจะให้ได้ผลต้องมีพิธีกรรมตามขั้นตอนก่อน กล่าวคือ อันดับแรก เมื่อแมวมีอาการเหมือนจะออกลูกให้เจ้าของจัดเตรียมสถานที่ โดยจัดหาผ้าที่อ่อนนุ่มไว้ในบริเวณที่มิดชิด และแม่แมวคิดว่าปลอดภัย เมื่อเห็นแมวพอใจซึ่งสังเกตง่าย ๆ คือ แม่แมวจะทดลองนอนและจัดที่เกิดให้เข้าที่ ณ เวลานั้นให้เจ้าของนำปลาปิ้ง ซึ่งนิยมใช้ปลาตะเพียนใส่ภาชนะ บอกกล่าวแม่แมวเพื่อเอ่ยขอว่า
    "...เอ่อหนี้เน้อ นางวิฬา กูมีสะเพียนปล๋า มาแลกเอาฮก ป๊กเจ้าแม่ป๊ก ฮกนางวิฬา..."
    จากนั้น เฝ้าจับตาทุกขณะ เพราะแมวมักกินรกเสมอเมื่อลูกออกมา และเมื่อรกออกให้กล่าวทักทายรกว่า

    "...ฮกเหยฮก บ่ป๊กแต่น้ำ ป๊กเงินป๊กฅำ ป๊กกอบก๋ำเข้า โภคา ธะนัง หลั่งไหลหาเจ้า วิฬาป๊กเอา ก่อก๊ำ..."
    เมื่อได้รกแล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท พอถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ให้นำมาเสกเป่าด้วยคาถาว่า
    "พุทธ สัง มิ สัง สิ โม นา ธัมมะ สัง มิ โม นา สัง สิ สังฆะ สัง มิ สิ โม นา สัง พหุชะนานัง เอหิ จิตตัง เอหิ มะนุสสานัง เอหิ ลาภัง เอหิ สัพพะโภคัง ภะวันตุ เมฯ
    เสกให้ครบ ๑๐๘ คาบ แล้วปิดทองให้ทั่ว เก็บไว้กับบ้านเรือนร้านค้า เชื่อว่าจะให้คุณทางเมตตามหานิยม ซื้อง่ายขายได้กำไร ประสบแต่โชคลาภอยู่เนือง ๆ

    น้ำมนต์แมว
    การบริโภคอาหารที่ปรุงจากปลา บางครั้งประสบปัญหาก้างติดคอ ทำให้ได้รับความทุกขเวทนา โบราณให้นำน้ำใส่ภาชนะไปวางเฉพาะหน้าแมว หากแมวกินน้ำหรือแม้กระทั่งดม ก็ถือได้ว่าน้ำนั้นเป็น "น้ำมนต์แมว" ให้นำไปให้คนที่ก้างติดคอดื่มกิน เชื่อกันว่าก้างจะหลุดไปกับน้ำนั้น เพราะโดยธรรมชาติของแมว มีความสามารถกินปลาเป็นพิเศษ ก้างจึงไม่ติดคอแมว


    ก้างติดแมวเกา
    มีอีกวิธีหนึ่ง กรณีที่ก้างติดคอ ท่านให้เอาเท้าหน้าของแมวลากผ่านลูกระเดือกเสมือนเอามือแมวมาเกา ก้างนั้นจะหลุดทันที


    แมวซ่วยหน้า
    อากัปกริยาของแมวอย่างหนึ่ง คือเอาเท้าหน้าข้างใดข้างหนึ่งปัดหน้า เหมือนมัน "ซ่วยหน้า" คือล้างหน้าตัวเอง ทายว่าไม่นานจะมีคนที่อยู่แดนไกลมาเยี่ยมเยือนเจ้าของบ้าน


    แมววิ่งตัดหน้า
    ขณะเดินทางไปไหนมาไหน หากมีแมวสีขาวหรือสีดำวิ่งตัดหน้ากะทันหัน ก็มีคำทำนายว่าจะดีหรือร้าย กล่าวคือ แมวขาววิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวดี แต่ถ้าแมวดำวิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวร้าย


    แมวข้ามหล้อง
    ในขณะที่ตั้งศพอยู่ที่บ้านหรือที่วัด ถ้ามีแมวสีดำกระโดดข้าม "หล้อง" คือโลงศพนั้น เชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายจะดุร้าย เที่ยวหลอกหลอนและทำร้ายผู้คนมากมาย


    ฝันเห็นแมว
    โบราณล้านนาเชื่อว่า ถ้าใครฝันเห็นแมวนั้นเป็นเรื่องไม่ค่อยดี จะขัดสนเงินทองทรัพย์สิน ญาติมิตรไม่ยินดีจะคบหาสมาคม มิหนำซ้ำยังพากันรังเกียจโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ

    แห่นางแมว
    ปีใดฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล โบราณจะมีพิธีแห่นางแมวเพื่อขอฝน โดยนำแมวตัวเมียมาแต่งหน้าทาปากนุ่งห่มเหมือนคนแล้วตั้งขบวนแห่แหนไปตามหมู่ บ้าน ผู้ชายที่ร่วมขบวนจะแต่งกายเป็นหญิงถือรูปอวัยวะเพศร่วมขบวน ส่วนคนที่พบเห็นจะสาดน้ำใส่กลุ่มผู้เข้าร่วมขบวน และรุมสาดน้ำใส่แมวอย่างคึกคะนอง ด้วยว่าการกระทำเช่นนี้ จะทำให้ฝนตก

    ห้ามเลี้ยงแมวห้าตัว
    ในตำราโบราณล้านนา กล่าวถึงสิ่งไม่ควรมีไว้กับบ้านเรือน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวระบุจำนวนไว้ ดังนี้

    เอ โก มหิงสโก ควายตัวเดียว ติ โคโณ วัวสามตัว เทฺว ภริยา เมียสองคน ฉะ สุนขา หมาหกตัว จุต ทาสา คนใช้สี่คน ปัญฺจ มัชชารี แมวห้าตัว สัตตะ อาชา ม้าเจ็ดตัว อัฏฐ กุญชรา ช้างแปดเชือก เทฺว อาวุธา ดาบสองเล่ม เทฺว จ เกสี หญิงมีช้องเสียบผมสองอัน

    ดังนั้นชาวล้านนา จึงไม่นิยมเลี้ยงแมวห้าตัว เพราะเกรงจะเกิดอุบัติภัยกับคนในครอบครัวตามความเชื่อ

    ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม
    ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
    sanook.com
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=fancy_title_left class=fancy_title></TD><TD id=fancy_title_main class=fancy_title>


    </TD><TD id=fancy_title_right class=fancy_title></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ตำนานแวมไพร์


    [​IMG]


    แวมไพร์ เป็นผีตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อกันว่าเป็นผีดิบ โดยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้แสงแดด โดยความคิดนี้จะเชื่อว่่า แวมไพร์จะอาศัยในโลงศพ หรือ หลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ หรือสัตว์ประเภทอื่นๆสามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมหาศาล

    การเกิดแวมไพร์
    ความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิแวมไพร์มีมานานกว่าพันปี ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมอย่าง เมโสโปเตเมีย, ฮิบรู, กรีกโบราณ และโรมัน มีเรื่องเล่าของปีศาจและวิญญาณที่ตีความว่าเป็นที่มาของแวมไพร์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตคล้ายแวมไพร์ ในสมัยโบราณ ความเชื่อในรูปธรรมที่เรารู้ในปัจจุบันของต้นกำเนิดแวมไพร์ มักมาจากต้นศตวรรษที่ 18 ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป เมื่อประเพณีการเล่าขานของคนหลายเผ่าพันธุ์ต่างบันทึกและตีพิมพ์ ในกรณีส่วนมาก แวมไพร์คือผีในรูปแบบปีศาจ, เหยื่อฆ่าตัวตาย, หรือผู้ใช้เวทมนตร์คาถา หรือถูกสร้างมาด้วยอำนาจวิญญาณความชั่วร้ายที่ครอบงำศพ หรือถูกกัดโดยแวมไพร์ ความเชื่อต่าง ๆ ในตำนานกระจายไปทั่วท้องที่ที่ก่อให้เกิดความผวาหวาดกลัว


    สาเหตุของการสืบสายสายพันธุ์แวมไพร์ มีหลากหลายรูปแบบตามความเชื่อท้องถิ่น ในสลาวิกและความเชื่อจีน หากศพที่มีสัตว์กระโดดข้ามโดยเฉพาะหมาหรือแมว จะเกรงว่าจะทำให้ศพไม่ตาย ในความเชื่อรัสเซีย แวมไพร์มักถูกเคยเชื่อว่าเป็นพ่อมดหรือคนที่ขบถต่อโบสถ์ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่เมื่อตายไปจึงกลายเป็นแวมไพร์


    ความเชื่อสมัยโบราณ
    ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า โดยการตัดสินลงโทษด้วย ตอกหมุดลงหัวใจหรือเผาทั้งเป็น


    การจำแนกแวมไพร์
    มีพิธีกรรมมากมายที่จะสามารถระบุถึงแวมไพร์ได้ หนึ่งในวิธีนั้นคือการหาหลุมศพของแวมไพร์ โดยนำม้าผู้บริสุทธิ์เดินผ่านสุสานหรือพื้นโบสถ์กับพ่อม้าบริสุทธิ์ ม้ามักจะหยุดกะทันหันในที่ที่สงสัยโดยทั่วไปจะใช้ม้าดำ หลุมที่ปรากฏบนพื้นมักจะมีลางว่าเกี่ยวข้องกับแวมไพร์

    ศพที่จะเป็นแวมไพร์มักจะอธิบายว่าจะดูมีสุขภาพดี จะดูอ้วนและดูไม่มีสิ่งที่บ่งว่าจะเน่าเปื่อย ในบางกรณีเมื่อหลุมศพที่น่าสงสัยถูกเปิดออก ชาวบ้านก็เล่าว่า ศพดูมีเลือดที่แวมไพร์ไปดูดกินมาเลอะไปทั่วหน้าของแวมไพร์ รวมไปถึงหลักฐานที่พบว่ามีแวมไพร์อยู่อย่างเช่น การตายของวัวควาย, แกะ หรือเพื่อนบ้านเอง


    วิธีป้องกันและจัดการกับแวมไพร์ สิ่งที่แวมไพร์และบรรดาผีดูดเลือดกลัว คือ แสงแดด ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม ( ใช้ตอกอก ) น้ำ
    - แสงแดด
    - น้ำ
    - ไม้กางเขน เพราะไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แทนเครื่องหมายของพระเจ้า ชาวยุโรปเชื่อว่าสามารถป้องกันผีได้อย่างดี แต่ถ้าเป็นไม้กางเขนหัวกลับ จะเป็นเครื่องหมายของ ซาตาน
    - กระเทียม สรรพคุณ กลิ่นแรง รสชาติเผ็ดร้อน
    - เหล็กแหลม แน่นอน คือ อาวุธสำหรับจัดการแวมไพร์ โดยการ เอาเหล็กแหลมตอก หรือจิ้มลงไปบนอกของแวมไพร์

    อย่างไรก็ตามแวมไพร์ ผีดูดเลือดนี้ก็เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจะให้ดีก็ขอให้เป็นแค่ตำนานต่อไปจะดีกว่านะคะ เพราะถ้าหากเกิดมีแวมไพร์ขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็คงน่ากลัวน่าดู แต่ถ้าเป็นแวมไพร์หล่อขั้นเทพแบบ "โดม ปกรณ์ ลัม" สงสัยสาวๆ คงอยากให้มาดูดเลือดกันน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia
    sanook.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  5. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ความเชื่อเรื่องการรำละครแก้บน


    ละครแก้บน คำๆนี้หลายคนอาจสงสัยว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้เราหาคำตอบมาให้ค่ะ ก่อนอื่นต้องมาสังเกตุกันก่อนนะค่ะว่าส่วนใหญ่เราจะพบการรำละครแก้บนที่ไหนบ้าง คำตอบที่ได้คือ วัดหลวงพ่อโสธรวรวิหาร จ. ฉะเชิงเทรา นี่เอง

    ละครแก้บนกับวัดโสธรวรวิหาร เป็นสิ่งคู่กันมาช้านาน เนื่องจากจะมีการแสดงละครแก้บนที่หน้าโบสถ์เสมอ ๆ ผู้คนที่เลื่อมใสศรัทธาในอภินิหารของหลวงพ่อโสธร มักมากราบ ไหว้และบนบานขอในสิ่งที่ตนปรารถนา ครั้นเมื่อสมปรารถนาแล้วก็จะมาแก้บนด้วยการปิดทอง ถวายสิ่งของ และหาละครรำแก้บน

    ละครรำแก้บนแต่ละชุดใช้เวลารำประมาณ ๕-๑๐ นาที มีนางรำ ๔-๖ คน แต่งเป็นพระและนางคู่กัน เนื้อเรื่องมักตัดตอนมาจากวรรณคดี เช่น แก้วหน้าม้า รามเกียรติ์ สังข์ทอง เป็นต้น การรำแก้บนเป็นวิถีชีวิตแบบไทยที่สะท้อนความเชื่อ และเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดนี้

    ละครแก้บนเป็นกิจกรรมที่ช่วยปลดเปลื้องความผูกพันที่ติดค้างทางใจ เป็นสื่อกลางในเรื่องการช่วยเหลือและการตอบแทนระหว่างผู้บนกับองค์หลวงพ่อ พุทธโสธร และเป็นสื่อ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อแบบไทยๆ คือเรื่องบุญคุณ ความกตัญญู เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  6. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านค่ะ
    เชื่อมั่นและศัทธาในพระพุทธองค์และท่านครูบาอาจารย์


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=V5wcxi7JvNU"]ชาติก่อนและการแก้กรรม DMC.TV 1/4 - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=HwS0wYcncKM&feature=related"]ชาติก่อนและการแก้กรรม DMC.TV 2/4 - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=V-gRWaWO2a0&feature=related"]ชาติก่อนและการแก้กรรม DMC.TV 3/4 - YouTube[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=CPnMleyHcO8"]ชาติก่อนและการแก้กรรม DMC.TV 4/4 - YouTube[/ame]
     
  7. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LJBCbUSvd-g&feature=related]ทำไมคนทำดีถึงมีคนเกลียด 1/2 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8Lu1D1Ij45Q&feature=related]ทำไมคนทำดีถึงมีคนเกลียด 2/2 - YouTube[/ame]
     
  8. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    one and only
     
  9. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    สบาย สบาย สไตล์คนรักธรรมชาติ....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZIHdutlIVoM&feature=related]ENYA - The memory of the trees - YouTube[/ame]​
     
  10. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    อืมมมมม......relax

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=u9yDWiosyfk&feature=related"]The Very Best of Enya - YouTube[/ame]​
     
  11. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เห็นด้วยมั๊ยว่าสวยจัง....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=52ev9CW7gzw&feature=related]Lothlorien By Enya - YouTube[/ame]
     
  12. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    I Love It....


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2rALVgdoMHk&feature=related]Enigma - Return To Innocence - YouTube[/ame]​
     
  13. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WNoaB9bNeQk]สร้างผังรวยข้ามชาติ DMC.TV 1/2 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Jj1gL_lWSj8&feature=related]สร้างผังรวยข้ามชาติ DMC.TV 2/2 - YouTube[/ame]
     
  14. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านค่ะ....



    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HkShUC1awI0&feature=related]อย่าดีแต่บอกผู้อื่น DMC.TV 1/2 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4dJ6XsHqx_Y&feature=related]อย่าดีแต่บอกผู้อื่น DMC.TV 2/2 - YouTube[/ame]
     
  15. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    รัก อย่างไร...ไม่เป็นทุกข์


    [​IMG]


    คนเราทุกคนต้องการความรัก รักแล้วก็ต้องการความสุข จนเผลอไผลคิดไปว่า รักคือความสุข อันที่จริง รักให้ได้ทั้งสุขและทุกข์ อยู่ที่เรารักอย่างไรและคาดหวังอะไรจากความรัก ต่อไปนี้เป็นวิธีคิด เพื่อสร้างมุมมองใหม่ อย่าเอาความสุขทั้งชีวิตไปฝากไว้กับใคร มีเขาแค่เพื่อ "เติมเต็ม" ก็พอ

    1. ขณะรักควรมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นที่เข้ามาเติมความสุขให้ ถือเป็นเพียงโบนัสที่เพิ่มเข้ามา

    2. ขณะรักควรปรารถนาให้ผู้อื่นเกิดสุขด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสุขของเราฝ่ายเดียว เช่น เมื่อคนที่เรารักไม่รักเรา แต่เขามีความสุขของเขา แม้เราจะเศร้าก็ยังคิดได้ว่า อย่างน้อยก็ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข

    3. ลดความคาดหวัง แม้เราจะเป็นปุถุชน ซึ่งคงตัดความคาดหวังไม่ได้ แต่ถ้าเรายิ่งคาดหวังจากอีกฝ่ายน้อยลงเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสุขสมหวังก็ยิ่งมากขึ้น

    4. ยอมรับความแตกต่าง ทั้งด้านสรีระและความคิดของผู้อื่น ความคิดไม่ตรงกันนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ หากฝ่ายหนึ่งไม่พยายาม ทำให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกัน และพยายามเข้าใจว่าเหตุใดจึงคิดต่างกัน ปัญหาก็จะไม่เกิด หากเข้าใจและยอมรับได้แล้ว เมื่อเห็นเขาทำตัวไม่ถูกใจ ไม่น่ารัก ขี้บ่น ใจร้อน เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับเขาและมอบความรักให้ได้ง่ายขึ้น

    5. ยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ความรักจึงจะยืนยาว เพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลก เพลงโปรด ฟังซ้ำ อาหารจานประจำ กินบ่อยก็เบื่อ ความรักที่เคยจี๋จ๋าหวานแหวว อาจจืดจางลง แต่ยังคงความผูกพันและสัมพันธ์อันดี หรือแม้จะเลิกรา บางคู่ก็ยังเป็นเพื่อนรู้ใจต่อกันได้

    6. ไม่ควรทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้คนอื่นเพียงอย่างเดียว จะต้องมองถึงความต้องการของเขาด้วย จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจว่าเราอุตส่าห์หวังดี ยอมเหน็ดเหนื่อยทำเพื่อเขา แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่า

    7. ความเกรงใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะคนใกล้ชิดสนิทกัน มักคิดว่าจะสามารถทำอะไรตามใจ ตัวได้แทบทุกเรื่อง จนลืมนึกถึงความรู้สึกของอีกคนไป

    8. พูดจาชื่นชมในสิ่งดีของกันและกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีมอบความรักที่ควรทำ บางคนละเลยว่าอยู่ด้วยกันมานาน เรื่องดีเขาคงรู้อยู่แล้วไม่ต้องชม จึงเอาแต่พูดถึงสิ่งไม่ดี หรืออยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลง เอาแต่บ่นโดยไม่เคยชม คนฟังก็ท้อใจเหมือนกัน

    9. ถ้ารักแล้วไม่แสดงออกเลยอีกฝ่ายก็คงไม่รู้ เพราะเขาไม่มีตาทิพย์ แต่การแสดงความรู้สึกแค่ไหน อย่างไร คงต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการด้วย ส่วนความต้องการของเราก็ควรบอกตรงๆ ไม่ใช่คาดหวังให้คู่ของเราเป็นหมอดู คอยเดาใจ

    และถ้าจะรักให้ดีต่อสุขภาพจิต ทุกคนควรคิดว่าความรักนั้นเหมือนกับ ดอกไม้ที่สวยงาม หรือเป็นของหวานสำหรับชีวิต อย่ายึดติดว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดว่า "รัก" เป็นข้าวปลาอาหารหรืออากาศที่ขาดไม่ได้!!

    pooyingnaka.com
     
  16. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ผมหงอกผมขาว "แก้ได้"การเกิดผมหงอกผมขาวนั้นก็คงจะมีหลาย ๆ สาเหตุและหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกันค่ะ แต่หากว่าคุณกังวลในเรื่อง ผมหงอกผมขาว มากนักเราก็พอจะมีวิธีแก้ไขผมหงอกผมขาวให้กับคุณค่ะ ถ้ายังไงก็ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้ซึงเป็นคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะเลยล่ะค่ะ


    เรื่อง ผมหงอกผมขาว


    ผู้หญิงที่เริ่มมีผมหงอกขาวแซมประปรายประดับเรือนผมของคุณและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ งๆ ที่คุณยังไม่แก่สักนิด แน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความกังวลแก่คุณไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าจะมีน้ำยาย้อมผมให้เลือกใช้มากมายก็ตามมีข่าวดีเกี่ยวกับการค้นพบหนทางแก้ไขผมขาวแล้วละค่ะ

    แต่ก่อนอื่น ดอกเตอร์เทด ได้อธิบายกลไกการเกิดผมขาวว่า ผมหงอกหรือผมขาวนี้ เป็นสีดั้งเดิมของผมคนเราค่ะ โดยมีเซลส์สีผมซึ่งอยู่ตรงโคนรากผมเป็นตัวผลิตสีผมตามธรรมชาติสีผมของแต่ละคน และถ้าอายุมากขึ้นเซลส์สีผมก็จะค่อย ๆ ฝ่อลงและตายไป สีผมของคุณก็จะค่อย ๆ ขาวขึ้นและสาเหตุที่ทำให้เกิดผมขาวนั้นก็มีหลายสาเหตุค่ะ ทั้งจากความเครียด อายุมากขึ้น พันธุกรรรมก็มีส่วนรวมทั้งโรคบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังชนิดตุ่มน้ำคัน และ โรคหอบหืด ก็มีส่วนทำให้ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวได้ค่ะ

    ดอกเตอร์ เทด ดาลี (Dr.Ted Daly) จากนิวยอร์ค ได้ค้นพบว่า มีบุคคลที่ผมขาวซึ่งวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ผมของเขากลับดกดำขึ้นมาได้ค่ะ ปรากฎการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าร่างกายของคนเราสามารถเยียวยาตนเองได้ แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นจะต้องทำการศึกษาต่อไป แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นความหวังว่าในอนาคตเราจะสามารถค้นพบวิธีการพิชิตผมขาวได้ในไม่ช้านี้ค่ะ


    วิธีการรักษาผมขาวจากพันธุกรรม

    ในขณะนี้แพทย์จะให้ไลโปโซมส์ทาบริเวณหนังศีรษะค่ะ ไลโปโซมส์จะช่วยให้ต่อมรากผมได้รับสารอาหาร เช่น โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเซลส์สีผมได้ดีขึ้นซึ่งก็เป็นการช่วยให้ผลิตสีผมได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ

    ส่วนสาเหตุผมขาวจากความเครียดนั้น วิธีแก้ไขก็ คือ พยายามผ่อนคลายความเครียดเสียเท่านั้นเองค่ะ หากไม่อยากแก่ก่อนวัยอันควรและผู้หญิงมักจะเครียดจนผมหงอกได้ง่ายกว่าผู้ชายซะด้วยสิคะ และถ้าหากคุณต้องการความรวดเร็วขึ้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือการย้อมผมนั่นเองค่ะ เดี๋ยวนี้ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่อ่อนโยนต่อเส้นผมของคุณออกมามากมายหลายยี่ห้อให้คุณได้เลือกใช้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีและสีผมที่เหมาะกับคุณนะคะปัญหาผมขาวก็ถือเป็นเรื่องเล็กแล้วละค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

    www.n3k.in.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2012
  17. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    น่ารู้! โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุ วิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์ หรือก็คือ โรคขี้หลงขี้ลืม ที่หลายคนมันคุ้นเคยกับคำนี้ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีเรื่องน่ารู้ของ โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ และ วิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์ มาฝากกันด้วยค่ะ ยิ่งคุณอายุมากขึ้นเท่าไรโรคอัลไซเมอร์ก็ดูเหมือนจะเข้าคุกคลามมากขึ้นทุกครั้ง คุณเคยลองสำรวจตัวเองบ้างหรือไม่ว่า มีอาการโรคอัลไซเมอร์กันบ้างรึเปล่า เช่น ลืมนู้นนี่นั้น หรือคนใกล้ตัวของคุณเช่น คุณแม่ คุณพ่อ คุณยาย คุณตา คุณปู่ หรือ คุณย่า ฯลฯ มีอาการเหล่านี้กันบ้างไหม หรือใครไม่อยากเป็นโรคอัลไซเมอร์กันก่อนวัยเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็มีคำแนะนำดีๆ ถึงวิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และสารเหตุโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงอาการโรคอัลไซเมอร์ มาบอกให้คนรักสุขภาพอย่างคุณได้ฟังกันด้วยค่ะ ฉะนั้นแล้วใครอยากรู้เรื่อง โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร สาเหตุโรคอัลไซเมอร์ วิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และอาการโรคอัลไซเมอร์ ว่าเป็นอย่างไร มาดูเรื่องเหล่านี้ไปพร้อมกับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่าค่ะ



    โรคอัลไซเมอร์ สาเหตุ วิธีป้องกัน

    พ.อ.นพ.สามารถ นิธินันทน์ หัวหน้ากองจิตเวชและประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ความรู้ว่า โรคสมองเสื่อม คือ การที่สูญเสียความจำระยะสั้นร่วมกับมีความผิดปกติทางวุฒิปัญญา สูญเสียทักษะ โดยที่มีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และอาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุของโรคสมองเสื่อมที่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ "โรคอัลไซเมอร์" พบได้ร้อยละ 50-60 รองลงมาได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองพบได้ร้อยละ 15-20 สำหรับในประเทศไทยเริ่มพบว่ามีจำนวนมากขึ้น

    โรคอัลไซเมอร์ คือ

    โรคที่เกิดจากการตายของเซลล์สมองโดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทนทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่จากการตรวจพบทางพยาธิวิทยาพบว่ามีสมองฝ่อและตรวจพบนิวโรฟิบริวลารี่ แทงเกิลส์ (neurofibrillary tangles) เป็นโครงสร้างที่พันกันยุ่งเหยิงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นประสาท มีการสะสมโปรตีนอมัยลอยด์ (amyloid) ในสมองซึ่งเป็นสารเหนียวๆ จับกันเป็นก้อนที่เรียกว่า พลัค (plaque) ซึ่งทั้ง 2 ตัวต่างทำลายเซลล์สมองที่ดีที่อยู่รอบๆ ให้เสียหายและลักษณะอีกอย่างหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์ คือ เซลล์สมองสร้างสารส่งผ่านประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำลดลง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์มีความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้นด้วย

    ปัจจัยเสี่ยง และ สาเหตุโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่



    อาการโรคอัลไซเมอร์

    อาการต่างๆ ที่อาจจะพบ พ.อ.นพ.สามารถ อธิบายว่า ได้แก่ อาการหลงลืมซึ่งเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ ชอบถามคำถามซ้ำๆ นึกคำหรือประโยคที่จะพูดไม่ออก หลงลืมสิ่งของที่ใช้เป็นประจำ สับสนเรื่องเวลา สถานที่ จำบุคคลที่เคยรู้จักไม่ได้ มีอารมณ์หงุดหงิด หวาดระแวง ซึมเศร้า อาการเหล่านี้เป็นมากขึ้นจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ โดยผู้ป่วยอัลไซเมอร์ในระยะแรกใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ญาติมักจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติมากนัก อาการเหล่านี้จะเป็นมากขึ้นตามลำดับ


    ในผู้ป่วยระยะกลางใช้เวลาประมาณ 2-10 ปี ผู้ป่วยบางรายยังพอรู้ตัวว่าหลงลืมง่ายโดยเฉพาะเรื่องวัน เวลา สถานที่ ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการด้านอารมณ์ เช่น ก้าวร้าว หวาด ระแวง ซึมเศร้า ทำให้ความสนใจต่อตนเองลดลง ญาติมักจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงควรรีบนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ หากปล่อยไว้จนผู้ป่วยเข้าสู่ระยะที่ 3 ความจำจะเลวลงมาก พูดน้อยลง ปัสสาวะหรืออุจจาระโดยไม่บอก มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ สับสน เอะอะอาละวาด หรือมีอาการทางจิตประสาท เช่น เห็นภาพหลอน หูแว่ว หวาดระแวงกลัวคนมาทำร้าย

    ในปัจจุบันแม้จะยังไม่มียารักษาโรคนี้ให้หายได้ แต่จากการศึกษาทั้งในและต่างประเทศพบว่า มีตัวยาที่สามารถช่วยให้ความจำ พฤติกรรมและการทำกิจวัตรประจำวันดีขึ้น ทั้งในโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะปานกลางจนถึงรุนแรงได้ และความจำเสื่อมที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองมีผลข้างเคียงที่พบ ได้แก่ คลื่นไส้ ปวดท้อง นอนไม่หลับ วิงเวียน ปวดศีรษะ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มรับประทานยาครั้งแรก ดังนั้นหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ และทำการรักษาอาการจะทุเลาลง

    ถึงแม้ว่าโรคอัลไซเมอร์มีอาการไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตและใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน แต่กว่าจะทราบก็สายไปแก้ไขสิ่งใดไม่ได้แล้ว ดังนั้นเราควรหันมาดูแลเอาใจใส่ พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติหรือผู้สูงอายุรวมทั้งหมั่นสังเกตอาการเพื่อพามารักษาความทรงจำให้ดีขึ้นอย่าให้ท่านจากเราไปโดยที่จดจำเราไม่ได้เลย

    ขอขอบคุณข้อมูลวิธีการดูแลสุขภาพจาก เดลินิวส์ ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต


    n3k.in.th


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2012
  18. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ริมฝีปากบอกนิสัยวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณผู้หญิงมาดูริมฝีปากบอกนิสัยกันค่ะ คุณผู้หญิงทราบหรือไม่ค่ะว่า ริมฝีปากบอกนิสัย ของคุณได้อีกด้วยนะจ๊ะ พร้อมจะมาเริ่มการดู ริมฝีปากบอกนิสัย ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) วิธีการในการดู ริมฝีปากบอกนิสัย ก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณผู้หญิงรู้ว่าตัวเองนั้นมีลักษณะริมฝีปากแบบไหนลองสำรวจกันดูซิจ๊ะ เมื่อได้คำตอบของตัวคุณเองแล้วก็ตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มาเริ่ม ริมฝีปากบอกนิสัย ของคุณผู้หญิงกันได้เลยค่ะ แต่ช้าก่อน...ถ้าคุณผู้หญิงจะแอบเอาไปทายใจคนรักหรือเพื่อนรักก็ไม่ว่ากันด้วยนะจ๊ะ


    ทายใจ ริมฝีปากบอกนิสัย

    - ริมฝีปากใหญ่


    - ริมฝีปากเล็ก


    - ริมฝีปากอิ่ม


    - มุมริมฝีปากโค้งลงเล็กน้อย


    - มุมริมฝีปากโค้งขึ้น


    - ปากอ้าหรือเผยอ


    - มีเส้นลึกรอบริมฝีปาก

    เป็นคนจับจดทำงานทีละอย่าง แต่มักไม่สำเร็จสักอย่าง ค่อนข้างเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว

    - ริมฝีปากบาง

    เป็นคนมีเหตุผล มีความคิดดี สามารถเก็บความรู้สึกและควบคุมตนเองได้ดี ฉลาดรู้เท่าทันคน

    - ริมฝีปากคว่ำ

    เป็นคนดื้อรั้น เอาแต่ใจตนเอง แต่มีความตั้งใจแน่วแน่

    - ริมฝีปากล่างหนาเต็มอวบอิ่ม

    เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ขี้หึง ปากรูปพระจันทร์เสี้ยว เป็นคนจิตใจร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์อ่อนไหว โรแมนติก มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม

    - ริมฝีปากบางและกว้าง

    เป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน มั่นใจในตัวเองสูง จิตใจเข้มแข็ง เย่อหยิ่งทะนงตน บ้าอำนาจ

    - ริมฝีปากรูปหัวใจ

    เป็นคนอ่อนแอ อ่อนไหว นิ่มนวล ถ้าเป็นผู้ชายจะมีจิตใจคล้ายผู้หญิง

    ขอขอบคุณข้อมูลทายใจทายนิสัยจาก forward mail
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2012
  19. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    เทคนิค วิธีการบริหารเวลา "ให้อยู่หมัด!!!"ใครที่คิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาหรือยังหาวิธีการบริหารเวลาของตัวคุณไม่ค่อยจะได้ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ขอนำเสอน เทคนิค วิธีการบริหารเวลา "ให้อยู่หมัด!!!" มาฝากคุณๆ ทุกคนกันค่ะ ด้วยเทคนิค วิธีการบริหารเวลา นี้จะช่วยให้การจัดการเวลาของคุณๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ เพราะบางคนมักจะคิดว่าตัวเองนั้น ไม่ค่อยมีเวลา เวลาไม่พอ หรือ รู้สึกเร่งรีบ จนเป็นเหตุให้ความเครียดมาเยือนตัวคุณ ฉะนั้นลองมาหาทางออกที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันกับ เทคนิค วิธีการบริหารเวลา กันดีกว่าค่ะ เพื่อที่คุณๆ ทุกคนจะได้บริหารเวลาให้ทำงานได้เสร็จทันเวลามากยิ่งขึ้น หรือ สามารถจัดสรรคเวลากันได้อย่างมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ รับรองว่าด้วย เทคนิค วิธีการบริหารเวลา นี้ยังจะช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะมีเวลาเหลือในการพักผ่อนส่วนตัวอีกด้วยค่ะ ฉะนั้นแล้วคุณๆ มาดู เทคนิค วิธีการบริหารเวลา นี้ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่าค่ะ

    ตามคำคมของเบนจามิน แฟลงคิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกที่กล่าวเอาไว้ว่า “เวลาคือเงิน” ถึงใครจะเถียงว่าเงินซื้อควาสุขไม่ได้ แต่เงินก็เป็นปัจจัยหลักที่เอื้อให้เราอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเวลา ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็เหมือนกับทำของมีค่าหล่นหาย บางคนคิดว่าเก็บไว้อย่างดีแล้วก็ยังถูกขโมยเวลาไปจนได้ มีบางคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า เวลาคือของขวัญ เพราะเหตุนี้จึงเรียกปัจจุบันว่า “Present” ทุกคนรู้ดีว่าเวลามีค่าแค่ไหน แต่ก็ยังเผลอทำหายอยู่บ่อยๆ ที่ว่า” โอ๊ย...ไม่มีเวลาหรอกงานเยอะจะตาย…ไม่ว่างหรอก ไม่มีเวลา...ต้องเคลียร์งานก่อน” คนส่วนมากมักรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลา แม้จริงแล้วเคล็ดลับอยู่ที่การบริหารเวลานั่นเองฟังดูเหมือนยากแต่ถ้ารู้จักบริหารเวลาให้ดีก็สามารถที่จะหาเวลาเพิ่มได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างและเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังคุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นลองเริ่มด้วย


    9 เทคนิค วิธีการบริหารเวลา

    1. จดบันทึกการใช้เวลาในแต่ละวัน

    การบริหารเวลาควรเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเองก่อนว่าในแต่ละวันนั้นได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมอะไรบ้าง โดยการจดบันทึกเวลาและการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันติดต่อกันประมาณ 3 วัน แล้วลองคำนวณดูว่าได้ใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงกับการนอน การกิน การทำงาน การเดินทาง การออกกำลังกาย การอยู่คนเดียวเงียบๆ การใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ลองพิจารณาดูว่าเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมเหล่านี้สมดุลแล้วหรือยังได้เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากน้อยแค่ไหนและบ่อยแค่ไหนที่คิดจะทำอะไรแล้วก็รีรอผัดผ่อนไปทำอย่างอื่นก่อนงานที่ควรจะเสร็จจึงไม่เสร็จเสียทีควรจะต้องปรับปรุงเวลาในเรื่องใดให้มากขึ้นหรือน้อยลง

    2. วางแผนงานล่วงหน้า

    ในแต่ละวันจะมีเวลาสำหรับการทำงานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จึงควรตั้งใจทำงานให้เต็มที่ โดยวางแผนการทำงานล่วงหน้าว่าในวันนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วพรุ่งนี้จะต้องทำอะไรจัดลำดับความสำคัญของงาน เลือกทำงานที่สำคัญและเร่งด่วนก่อน ทำงานที่คิดว่ายากก่อนในช่วงเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายยังสดชื่น รู้จักแบ่งงานชิ้นใหญ่ให้เป็นชิ้นย่อยๆ ถ้าเป็นหัวหน้างานควรแบ่งงานให้ลูกน้องหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับไปทำอย่างเท่าเทียมกันเพื่อความยุติธรรม และอย่างหวงงาน อย่าคิดว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ ค่อยๆ สอน และค่อยๆ ฝึก เขาย่อมทำได้ในวันหนึ่งและเราก็จะสบายขึ้นด้วย เมื่อทำงานติดต่อกันประมาณ 2 ชั่วโมงควรพักสมองโดยการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง และควรพยายามทำงานให้เสร็จที่ที่ทำงาน ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้านเพราะจะรบกวนเวลาสำหรับตนเองและครอบครัว

    3. เพิ่มเวลา

    ถ้ารู้สึกว่าเวลามีไม่พอควรหาเวลามาเพิ่ม เช่น ตื่นให้เช้าขึ้นหรือย้ายมาพักใกล้ที่ทำงานเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง เป็นต้น ลองสังเกตผู้ร่วมงานดูบ้างว่าแต่ละคนมีวิธีการบริหารเวลาอย่างไร ลองเรียนรู้จากผู้ที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเครียดน้อยลงก็ได้

    4. ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์

    ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ว่าคุณจะทำอะไร เพื่ออะไร ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ คือ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนจดไว้กันลืมแล้วลงมือทำทันที จำไว้ว่าถ้าจะยิงปืนให้เข้าเป้าก็จำเป็นต้องเล็งให้ดีซะก่อน เมื่อโฟกัสถูกจุดแล้วก็ต้องรู้ว่าทำอะไรบ้างจึงจะไปถึง เคล็ดลับการอยู่ที่การมี “แผน” ที่ดีอยู่กับตัวทั้งระยะสั้นและระยะยาวว่าคุณต้องทำอะไรบ้างตั้งแต่วันนี้ สัปดาห์นี้ จนถึงตลอดทั้งปีนี้ แผนที่ดีคือต้องรู้ปัญหาของงานแต่เนิ่นๆเพื่อที่จะหาทางแก้ได้ทันท่วงที

    5. สร้าง To-Do-List

    เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่จะทำเอาไว้ก่อนแล้วเชื่อและบังคับตัวเองให้ทำตามนั้น เป็นการไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเสียเวลาเที่ยวเล่นไปกับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายแหล่ ว่ากันว่า คนที่ประสบความสำเร็จน่ะเขาโน๊ตไว้ทั้งนั้น ว่าอะไรที่ควรทำก่อนหลังแต่ถ้ามีเรื่องด่วนแทรกเข้ามาก็สามารถปรับให้ยืดหยุ่นได้

    6. มีแฟ้มงาน

    อย่าปล่อยให้ความคิดกระจัดกระจายรีบเก็บๆๆๆ เข้ามาใส่ในแฟ้มซะ เอกสารก็เหมือนกันถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก็จับมันมาเก็บใส่แฟ้มงานเดียวกัน เพื่อไม่ให้ความคิดของคุณเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน โต๊ะรกๆ ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่ามาอ้างว่าโต๊ะรกๆ ทำให้ไอเดียคุณบรรเจิด มุกนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีความจำดีเยี่ยมเท่านั้น ว่ากระดาษและสิ่งของที่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะน่ะ มีเรื่องอะไร อยู่ตรงไหนบ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาจัดของให้เข้าที่เข้าทางจะดีกว่านะ

    7. ใช้โทรศัพท์ให้เป็น

    เสียงกริ๊งทุกสิบห้านาทีติดโผสาเหตุอันดับต้นๆ ที่มารบกวนเวลาทำงานของคุณ อย่าตกเป็นโรคโฟนลิซึ่มด้วยการเม้าท์สนุกปากในเวลางาน เพราะนอกจากจะขโมยเวลาไปจากคุณแล้วมันยังทำให้คุณดูไม่ดีอีกด้วย ธนาคารและโรงแรมใหญ่ๆในต่างประเทศเริ่มขอความร่วมมือให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์งดใช้โทรศัพท์มือถือขณะปฏิบัติงาน เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรู้สึกไม่ประทับใจเมื่อเห็นพนักงานรับโทรศัพท์มือถืออยู่บ่อยๆ จนเสียงานและรับรองลูกค้าได้ไม่เต็มที่

    8. ทุกคนมีเวลาของตัวเอ

    สังเกตให้ดีว่าช่วงเวลาใดที่สมองคุณรู้สึกปลอดโปร่ง ไอเดียกระฉูด ถ้าคุณถูกชะตากับเวลาเช้าตรู่ก็รีบเรียงลำดับความคิดทำ list สิ่งที่จะทำในวันนั้นก่อนที่เมฆดำจะเลื่อนมาบดบังความคิดเจ๋งๆ ของคุณ

    9. มีความรับผิดชอบ

    บริหารเวลาต้องเริ่มจากการจัดการตัวเองซะก่อนก็จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าทำ list ขึ้นมาแล้วทำตามนั้นไม่ได้จะบอกให้ก็ได้ว่าสาเหตุหลักของความล้มเหลวเกิดจากโรคความรับผิดชอบบกพร่องของคนเรานี่แหละ ไม่มียารักษาแต่หายได้ด้วยวินัยในตัวคุณเอง

    คุณลองใช้เวลาไม่กี่นาทีอ่านเคล็ดบริหารเวลาเหล่านี้ใช้เวลาอีกนิดหน่อยลองลงมือทำดูแล้วคุณจะค้นพบเวลาอีกหลายชั่วโมงที่หายไป ทีนี้ไม่ว่าคุณจะงานยุ่งแค่ไหนก็จัดการมันได้ไม่ยากด้วยสองมือของคุณเอง เวลาเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของคุณที่สามารถนำไปแลกเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจัดการกับมันได้ดีแค่ไหน

    ขอขอบคุณข้อมูลการดูแลสุขภาพจาก โพสต์ทูเดย์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2012
  20. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1848297/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...