ผลที่คาดไม่ถึงของการทำนายภัยพิบัติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Leeporter, 5 มกราคม 2012.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=HPHh0EitMyI&feature=player_embedded"]เตรียมใจอย่างไรรับภัยพิบัติ 1/2 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=y0R8POM0Cnk&feature=player_embedded"]เตรียมใจอย่างไรรับภัยพิบัติ 2/2 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=rIqyiVNe_Zo&feature=player_embedded"]เตรียมกาย เตรียมใจ รับภัยพิบัติ - YouTube[/ame]

    โดยคุณดังตฤณ และ คุณหมอพรทิพย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2012
  2. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    ถาม – โลกกำลังจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงหรือไม่?

    ตอบ - ตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มหลายประเทศ ขบวนการพยากรณ์ก็กลับมาฮิตใหม่อีกครั้ง หลังจากซบเซาไปนาน ทั้งการไม่มาตามนัดของสงครามนิวเคลียร์ในปี ๑๙๙๙ และทั้งการลบแผนที่หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีหมู่เกาะซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำทั้งหลาย

    ผมมองว่าขบวนการพยากรณ์ภัยพิบัติส่วนใหญ่คือการใช้ประโยชน์จากความกลัวของผู้คน คำทำนายมักหนีไม่พ้นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุซัด เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง

    แต่เพื่อให้น่าสนใจ คำพยากรณ์ช่วงนี้จะออกแนวหายนะระดับล้างโลกที่น่าขนพองสยองเกล้า เช่นประเทศนั้นประเทศนี้จะหายวับไปกับตา อะไรทำนองนั้น

    นอกจากภัยทางธรรมชาติ ยังมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงและควรมองว่าน่าหวั่นวิตกกว่ากันเสียอีก เพราะมีข่าวไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ยินเป็นรายวัน

    ชนิดที่ต่อไปคนอาจไม่ประหลาดใจถ้ามีข่าวว่าอยู่ดีๆมีคนกลุ่มหนึ่งบนฟุตบาทลงไปชักดิ้นชักงอพราดๆเหมือนในหนังเขย่าขวัญ โดยทีมแพทย์ตรวจเบื้องต้นไม่ทราบว่าโดนเชื้อโรคสายพันธุ์ใดเล่นงาน

    เสียงลือเกี่ยวกับการเอาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเครื่องมือข่มขู่กันระหว่างประเทศ ก็ทำให้เกิดการพยากรณ์อันน่าเชื่อถือได้อีก

    ว่าวันหนึ่งโลกคงไม่แคล้วต้องประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สุด คนตายเรือนล้านทันทีจากอาวุธนิวเคลียร์ และอีกหลายล้านต้องตายแบบผ่อนส่งจากพิษกัมมันตภาพรังสี

    สรุปคือ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น มีอยู่จริง!

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีอยู่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแผลงฤทธิ์เสมอไป ทำนองเดียวกับที่เราเดินผ่านหมามีเขี้ยวเล็บทุกวัน มันมีสิทธิ์กัดเราเนื้อขาดได้ตอนทีเผลอ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่กัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินผ่านไปสบายๆโดยไม่คิดอะไร

    จนกว่าจะมีข่าวหมาเป็นพิษสุนัขบ้า หรือได้ยินใครในตลาดเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้หมาชอบกัดคนเดินเท้าประจำ คุณถึงค่อยเกิดอาการเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก แตกต่างไปจากเดิม

    ลองหลบมุมจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แล้วมาดูกันในมุมมองของกรรมวิบากกันบ้างนะครับ ผมจะไม่พูดแบบหมอดู คือไม่ฟันธงลงไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนดาวทำมุมอย่างไร

    แต่จะลองวาดภาพให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้

    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย

    เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่นๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็กๆ

    ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่นๆจะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่วๆว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลางๆดีกว่า

    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้ายๆมาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่ายๆว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่มนิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน

    ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง

    เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน

    ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้นๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้

    น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ

    เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้

    อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุกๆนั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    ผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?

    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย

    โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด

    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย

    หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่างไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน

    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติ

    ก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระพุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ

    ไม่ได้สูบฮวบเดียวจมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม

    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว

    พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

    ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง

    ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด

    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมาจึงร่วมตายเกือบพร้อมเพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ

    การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมาร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด

    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี

    ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้!

    นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ ‘คัดคนออก’ ของกฎแห่งกรรมวิบาก ใครยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็สมควรทบทวนดูใหม่จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมความบังเอิญจึงเล่นตลกได้ขนาดนี้?

    การประสบเคราะห์กรรมร่วมกัน ชนิดที่ส่อถึงอดีตกรรมที่เคยทำมาด้วยกันนั้น จะเป็นประเภทกลุ่มคนที่รู้จักกัน ร่วมทางหรือลงเรือลำเดียวกัน ประสบกับรูปแบบเคราะห์กรรมเดียวร่วมกัน

    เช่นในคัมภีร์มีเรื่องของเหล่าภิกษุไปติดในถ้ำด้วยกัน อดอยากปากแห้งร่วมกันอยู่หลายวัน ก็เพราะกรรมหมู่ในอดีตชาติที่เคยร่วมกันกักขังสัตว์ให้ได้รับความทรมาน เป็นต้น

    โลกนี้แบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยกับเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง และเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีสมัยใดที่โลกปูตลอดด้วยพื้นที่ปลอดภัยหรือสุ่มเสี่ยงอย่างเดียว ต้องมีกระจายเขตดีเขตร้ายไว้ให้บริการส่ำสัตว์ผู้มีบุญมีบาปอย่างทั่วหน้าอยู่เสมอ

    ฉะนั้น ขอให้ลืมเรื่องภัยล้างโลกแบบกวาดทีเดียวหายเรียบไปได้ วันหนึ่งโลกอาจถึงกาลแตกดับจริง แต่ป่านนั้นต้องไม่มีสัตว์บุญมากอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

    โลกยังไม่แตกวันนี้ แต่ก็อย่าประมาทเลยครับ เพราะเราอาจยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ในเขตประหาร และเราก็ไม่อาจทราบเสียด้วยว่าถึงเวลาของเราหรือยัง ขอให้คำนึงถึงการเตรียมเสบียงไว้เพื่อความไม่ประมาทแหละดีที่สุด

    เราจะได้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหาคำทำนาย ว่าที่กำลังหายใจได้ กำลังรู้สึกและนึกคิดได้เหมือนอย่างนี้ วาระสุดท้ายจะต้องตายเดี่ยวหรือตายหมู่ ตายดีหรือตายทรมาน ตายในขณะที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล

    เพราะธรรมดาผู้สั่งสมบุญ ตุนเสบียงไว้มากๆ ย่อมอุ่นใจอยู่เสมอว่ากรรมขาวทั้งปวงจะตามไปช่วยอุดหนุนค้ำจุนมิให้หลงตายตกร่วงลงต่ำอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    ถาม – เขาว่าเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ขึ้น จะมีนิวเคลียร์ลง ผู้คนจะตายเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าใครทำดีมากๆแล้วจะรอดได้ อยากถามคุณดังตฤณว่าคำทำนายนี้เป็นจริงหรือไม่?

    ตอบ - สิบกว่าปีก่อนผมเคยอ่านคำทำนายที่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๙ จะมีมหาสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้มตายกันทั่วโลก แต่คนดีๆจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ

    บางแหล่งถึงกับระบุทีเดียวว่าจะมีกรวยสีรุ้งพุ่งจากฟากฟ้าลงมาปกป้องอภิบาลคนดีมีศีลสัตย์ให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากระเบิดล้างโลก

    ครั้งนั้นผมก็ขมวดคิ้วสงสัยแล้วว่าเอ๊! คนเลวตายหมด แต่คนดีผีคุ้ม ไม่ตายง่ายๆ มิแปลว่าผลของการเป็นคนดีคืออยู่ทรมานต่อจากพิษกัมมันตภาพรังสีหรอกหรือ?

    คิดดูซิครับ โลกหลังมหาสงครามนิวเคลียร์น่ะมันจะไปเหลืออะไรนอกจากฝุ่นพิษ อาหารการกิน น้ำไฟและความเป็นอยู่ต่างๆคงย่ำแย่เหลือรับประทาน

    คำทำนายทำนองนี้เหมือนจะเอาใจคนทั่วไปที่ไม่อยากตาย หรือเป็นกุศโลบายให้คนเร่งขวนขวายทำความดีกัน ส่วนดีก็ดีแหละครับ

    แต่ส่วนไม่ดี ที่เป็นผลกระทบข้างเคียง คือความเข้าใจผิด สำคัญผิด และเชื่อมโยงเรื่องกรรมวิบากกันผิดๆ เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาได้ง่ายๆถ้าผลออกมาไม่ตรงกับคำทำนาย

    ยกตัวอย่างเช่นยังไม่ทันเกิดสงครามนิวเคลียร์ คนดีมีศีลสัตย์ถูกไฟดูดตายโดยไม่มีปาฏิหาริย์ที่ไหนช่วย คนรู้ข่าวก็จะมองกันว่าไหนบอกคนดีผีคุ้มไง ทำไมงอก่องอขิง ไหม้เกรียมเป็นที่น่าสลดสังเวชขนาดนี้?

    ถ้ามองแบบคนกลัวตาย ยังยึดติดกับสุขขี้ปะติ๋วในโลก คุณก็ต้องอยากฟังคำทำนายประเภทตัวเองดีพอ มีบุญพอจะอยู่ต่อ แต่หากคุณมีศรัทธาในบุญอย่างแท้จริง และตระหนักว่าบุญจะเป็นที่พึ่งให้คุณสบายกว่านี้

    ก็คงคิดไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือถึงตายโหงก็ตายโหงอย่างคนมีบุญ ร้องจ๊ากใหญ่ๆสักนาทีหนึ่งแล้วได้ไปหัวเราะร่าหรรษาบนสวรรค์อีกครึ่งกัปครึ่งกัลป์ อย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร?

    ทำดีมากๆในชาตินี้ ไม่เกี่ยวกับตายเร็วหรือตายช้าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับตายสงบหรือตายน่าสังเวชด้วย แต่จะเกี่ยวกับตายแล้วไปไหนมากกว่า อย่างไรทุกคนก็ต้องทยอยจากกันไปหมดอยู่แล้ว ถ้าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้อยู่

    ก็แปลว่าเหลือเวลาให้ทำใจเชื่อเรื่องบุญกรรมกันอย่างถูกต้องพอสมควร ก่อนตายไม่ควรหวาดผวา แต่ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อความไปสู่สุคติ หรือเพื่อความสิ้นสุดทุกข์ร้อนถาวรต่อไป

    อีกประการหนึ่ง เรื่องตื่นข่าวหายนะระดับประเทศหรือระดับโลกนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องงมงายเสียทีเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายเสียจนคนหายประมาทกันเยอะ

    แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาตามจริงด้วยว่าคำทำนายเกี่ยวกับหายนะระดับช้างนั้น ผิดมากกว่าถูก ถ้าเหมารวมได้ทั้งหมดคุณอาจตาค้างด้วยความประหลาดใจ

    คือร้อยคำทำนายจะมีสักหนึ่งหรือน้อยกว่านั้นที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นจริงๆ ชนิดตรงเผงทั้งเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ก่อการ

    เมื่อข้อเท็จจริงตามสถิติคือ ‘เป็นไปได้ต่ำที่จะทายถูก’ พวกเราก็ควรกำหนดใจเชื่อไว้น้อยๆด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมของคนเรือนล้านนั้น ไม่ใช่รู้กันง่ายๆหรอกครับ

    บางคนฟังคำทำนายแล้วก็วิ่งเต้นเข้าพิธีไสยศาสตร์บ้าง ตระหนกตกตื่นจนท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง หรือกระทั่งสิ้นหวังขนาดอยากฆ่าตัวตายไปล่วงหน้าบ้าง เพราะคิดๆอยู่ก่อนหน้าแล้วจากเรื่องรันทดในชีวิตตน

    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตที่เหลือไม่คุ้มค่า เป็นไปเพื่อถูกอุปาทานครอบงำให้จิตเป็นอกุศลเปล่าโดยแท้

    ผมว่าเรามาเตรียมตัวกันแบบชาวพุทธจริงๆกันดีกว่าครับ ชาวพุทธเป็นอย่างไร?

    เป็นคนที่พยายาม ‘รู้ตามจริง’ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ‘เชื่อตามกัน’ โดยปราศจากการพิจารณา

    และด้วยท่าทีของชาวพุทธ ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้

    ๑) ยอมรับตามจริงว่าปัจจุบันโลกตกอยู่ในเงื้อมเงาของอันตรายหลายประเภท อย่าดึงดันปฏิเสธแบบหัวดื้อตาใส ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเชื่อเรื่องภัยพิบัติคือกลุ่มคนที่งมงายเท่านั้น

    ๒) เมื่อเกิดคำทำนายใดๆ ทั้งจากฝั่งหมอดูและจากฝั่งนักวิทยาศาสตร์ ขอให้ตั้งสติฟังอย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    เช่นเร็วๆนี้มีข่าวว่าอุกกาบาตจะตกในอ่าวไทย ลือกันแพร่สะพัดต่างๆนานา ถือเอาจังหวะที่ผู้คนกำลังขวัญเสียจากสึนามิ โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ

    หากพิจารณาคำทำนายดีๆแล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่เมื่ออ่านหรือรับฟังในครั้งแรกนั่นเองว่าเป็นของเก๊ เป็นเรื่องของคนชอบเล่นสนุกกับความกลัวของมวลชน

    ๓) เมื่อใจกลัวก็อย่าทำปากแข็งว่ากล้า ขอให้ถือเป็นโอกาสศึกษาพุทธพจน์ ว่าท่าทีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายเป็นเช่นใด ตายด้วยจิตแบบไหนถึงจะคุ้ม

    ซึ่งขอสรุปรวบรัดโดยง่าย คือพระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึงความตายเสมอๆ และความตายแบบมนุษย์สามัญก็ปราศจากร่องรอยนิมิตบอกเหตุเหมือนเทวดา

    เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท ชะล้างสิ่งโสโครกใดได้ก็ชะล้างเสีย เตรียมเสบียงไว้เดินทางต่ออย่างใดได้ก็เตรียมเสีย

    ซึ่งเสบียงที่ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการมีปัญญาเห็นชอบ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นสมบัติถาวรของเราหรือของใคร

    เมื่อใจไม่เปื้อนมลทินบาป สะอาดเอี่ยมด้วยบุญกุศล และเลิกห่วงหวงดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายในโลกหล้าที่ต้องมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เห็นอิสระทางใจอันเกิดจากความปล่อยวางเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด นั่นแหละครับ ท่าทีการเตรียมตัวตายแบบพุทธของแท้

    หากจำที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ ก็ขอให้ระลึกสั้นๆว่า อย่ากลัวตายร้าย แต่ขอให้กลัวจะอยู่อย่างไม่ได้เตรียมตัวไปดี ก็แล้วกัน

    ถ้าเปลี่ยนค่านิยมใหม่เสียได้ ไม่เอาแต่กลัวตายโหง ไม่เจาะจงอยากแก่ตายอย่างสงบ คุณจะไม่ตื่นเต้นกับคำทำนายหายนะโลกเก๊ๆอีกต่อไปครับ

    [​IMG]
    ถาม - ข่าวว่าน้ำจะท่วมโลกแน่ ไม่มีใครรู้ว่าอีกเมื่อไร อาจจะ ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีก็ได้ทั้งนั้น

    ตอบ - ข่าวโลกแตกมีมานานครับ ผู้คนฟังแล้วก็ตื่นกลัวบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง สุดแท้แต่ว่าใครเป็นคนประกาศข่าวโลกแตก

    ช่วงนี้เสียงหัวเราะเยาะอาจจะแผ่วลงหน่อย แล้วความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอย่างยาวนานกระทั่งด้านชาและกลายเป็นความชินไปเสียแล้ว เพราะดินฟ้าวิปริตปรวนแปรเหลือเกิน ในวันเดียวกันธรรมชาติอาจมี ‘อารมณ์แปรปรวน’ ได้สารพัด

    เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวร้อนแสบผิว เดี๋ยวหนาวถึงไขกระดูก นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปดูภูเขาน้ำแข็งถล่มที่ไหนก็รู้สึกได้ว่าโลกทำตัวเกเรขึ้นทุกวัน
    แถมข่าวโลกแตกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในหมู่บ้านเล็กๆเสียด้วย

    แต่เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปของประเทศและของโลกโดยตรง!

    เอาล่ะ! สมมุติว่าคราวนี้โลกจะแตกจริงๆเสียที ด้วยการมีน้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แล้วเป็นยังไง เราจะทำอะไรได้?

    มาตั้งต้นกันแบบที่ทำให้ไม่ตื่นกลัวและไม่ประมาทดีกว่า วิธีก็ง่ายๆคือถ้ายังไม่มีโจทย์ให้ชีวิตในอนาคต ก็ตั้งโจทย์สมมุติให้กับวันนี้แล้วกัน

    ถามตัวเองหรือยังว่าถ้าต้องพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดในโลกอย่างมือถือและอินเตอร์เน็ตดังเช่นปัจจุบัน คุณจะเลือกไปอยู่กับใคร?

    แน่นอนว่าคุณคงเลือกอยู่กับคนที่รักไม่ได้ครบทุกคน เพราะในวันน้ำท่วมฉับพลัน คนที่คุณรักอาจอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คุณจะรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลคุณจริงๆก็ตอนไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ตนี่แหละ

    สรุปคือในที่สุดอันเป็นสุดท้ายแล้ว คุณเลือกอยู่กับใครไม่ได้ตามปรารถนาหรอก ซึ่งนั่นก็ไม่แตกต่างจากที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไรเลย

    แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักในวันนี้ คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใดมาพรากเขาไป

    และวันใดบุคคลอันเป็นที่รักถูกพรากไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง วันนั้นเองที่ต้องตระหนักด้วยความตระหนกว่าคุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง

    คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นถ้าเตรียมสร้างตัวเองให้น่ารัก น่าอบอุ่น และน่าอยู่ด้วย คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเองในทุกวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะต้องตายโหงในชาตินี้หรือตายดีในชาติไหน

    อีกสักคำถามหนึ่ง คุณถามตัวเองหรือยังว่าถ้าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้จมน้ำตาย หรือกระหายน้ำจนขาดใจเพราะหนีขึ้นที่สูงเกินไป คุณจะเอาอะไรเป็นทุนรอนสำหรับเกิดใหม่ ให้ดีกว่าต้องมาอยู่ในโลกที่จมน้ำได้?

    แน่นอนว่าตอนยังดีๆทุกคนจะบอกว่าช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... แต่ขอโทษที คนพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จำๆเขามานะครับ

    ดีที่สุดที่จะทำวันนี้ของคนพูด ก็มักไม่ต่างจากเมื่อวานและวันก่อนๆ นั่นคือขอให้ผ่านไปอีกวัน กินให้อร่อยที่สุด นอนให้นานที่สุด และขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้โล่งที่สุด!

    พอถึงคราวหายนะขึ้นมาจริงๆ มีสักกี่คนทำใจได้

    เราต้องการความมั่นคงทางใจในวาระสุดท้ายเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราพร้อมตายโดยไม่ต้องทำใจใดๆ ทุกอย่างจะสบายในตัวเอง

    ความมั่นคงทางใจเกิดขึ้นจาก ๒ สิ่ง

    ๑) กรรมดีที่สั่งสมมา ไม่ใช่กรรมดีที่รีบตาลีตาเหลือกนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตายนะครับ ผมหมายถึงความดีที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิต ความดีจะปรากฏเป็นความขาว ความสว่าง และความรู้สึกงดงามทางใจ ก่อให้เกิดความสุข ความตั้งมั่น โดยไม่ต้องวิงวอนขอการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

    ๒) ความเข้าใจ คนเราจะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย นั่นเพราะความไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแน่ ต่อเมื่อทำความเข้าใจว่าอนาคตก็คือผลของปัจจุบัน คุณก็จะเห็นอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง

    หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง หากใจคุณมืด อนาคตก็ย่อมมืด!

    ความสว่างคือธรรมะ ความมืดคืออธรรม ยิ่งใจคุณผูกอยู่กับธรรมะมากขึ้นเท่าไร ใจคุณก็ยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม หากใจคุณเอาแต่ผูกอยู่กับอธรรม พอทำความรู้สึกเข้ามาในใจ ก็จะเห็นแต่ความมืดคลุ้มไม่มีดี

    ธรรมะที่ดีที่สุดคือการมีสติระลึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เช่น เห็นให้ได้ว่าประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก

    นอกจากนั้นก็ทำความเข้าใจเตรียมไว้ว่า แม้ดวงจิตที่จะดับก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดด้วยเหตุ และดับไปเรื่อยๆอยู่แล้ว

    เอาแค่ตื่นนอนตอนเช้าก็ถือว่าจิตเกิดใหม่แล้ว และแค่หลับไปก็ถือว่าจิตดับไปแล้ว จะต่างอะไรจากจิตดับยามตาย และเกิดอีกในยามปฏิสนธิในภพใหม่เล่า?

    [​IMG]

    สรุปคือ ถ้าเข้าใจถูกและดีพอ คุณก็จะยิ้มรอโลกแตกได้ ไม่ต่างจากที่เคยรอวันพรุ่งนี้ ที่แสนธรรมดาจริงๆครับ

    [​IMG]

    www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=784:-4-&catid=82:sabiangnew&Itemid=278
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2012
  3. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ถ้าใครทันเหตุการณ์ Y2K ปี 2000
    ช่วงนั้นโกลาหลพอสมควรแต่ละคนวิตกนั่นวิตกนี่ แล้วเป็นไงครับทุกอย่างก็ปกติ ส่วนเรื่องโลกแตกผมได้ยินมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นผมดำๆ จนตอนนี้ หัวผมใหญ่กว่ากำปั้นและผมก็ขาวแล้วมันก็ยังเหมือนเดิม
    สมัยก่อนนู้นไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต พอมีการปล่อยโคมเรื่องโลกแตกก็จะฮือฮาพักเดียวในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มแล้วก็เงียบหายไป แต่พอมีใครปล่อยโคมลอยอีก ก็ฮือฮาแล้วก็เงียบ ต่างกับสมัยนี้เทคโนโลยีมันดี ดีซะจนการปล่อยโคมได้สารพัดเรื่องแล้วมันไม่หยุดง่าย ๆ มันจะลามไปตามสายเคเบิลไปถึงบ้านใครต่อใครไม่รู้จบ วันข้างหน้าอาจจะจบเรื่องปลาบู่ ซึ่งจะทุเลาหายไปถ้าไม่มีใครมากระทุ้ง ปลาบู่หายไปก็จะมีตัวแทนปลาบู่เกิดขึ้นมาอีกมันจะเป็นวัฏจักรแบบนี้ นิสัยคนไทยน่ะครับพอใครเป่าอะไรใส่หูก็เชื่อเลยทันทีพอเชื่อแล้วต้องให้คนอื่นเชื่อตามตนเองด้วยมันก็จะต่อกันไปเรื่อย ๆ ผมไม่ได้แอนตี้ใคร ๆ แต่สังเกตุหรือไม่ว่าช่วงนี้ทำไมคนหนุ่ม-สาว วัยกลางคนจนถึงชราเข้าวัดกันมากมายเหตุผลหลัก ๆ กลัวโลกแตกขึ้นมาแล้วจะตายเพราะในคำทำนายบอกว่าคนที่จะรอดคือคนที่ทำบุญมาก สวดมนต์มาก ผมถามว่าถ้าเกิดวันปีใหม่ที่ผ่านมาโลกแตกจริง ๆ คนที่เข้าวัด วันนั้นวันเดียวจะรอดหรือ ผมไม่ได้ว่าไม่ดีนะครับที่คนเข้าวัดกันแต่ถ้าเข้าเพื่อหวังผลกลัวตายก็เท่านั้นแหละครับ ผมเชื่อว่าหลาย ๆคนที่ผ่านชีวิตมามากหรือคนที่อายุมาก ๆ น่ะ คงเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมาบ้างกับเรื่องพวกนี้ลองทบทวนชีวิตดูสิครับแต่ถ้าใครหัวปักหัวปำเชื่อเรื่องเหลวไหลโดยไม่ได้สติก็ตามสบายครับเพราะอย่างน้อยพวกคุณก็จะโดนพวกที่มาล้างความคิดทางสมองคุณหัวเราะเยาะเย้ยคุณ คุณ ๆ ทั้งหลายคิดกันดูนะครับผมไม่อยากเอาเรื่องศาสนามาเอ่ยเลยเพราะผมไม่เก่ง ไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่คนที่สวดมนต์เป็นเล่ม ๆ ผมแค่อยากจะบอกว่า "คนที่ทุกข์คือพวกคุณที่มานั่งกังวลเรื่องโลกแตกหรือสารพัดภัยพิบัติ คนที่มีความสุขสบายใจคือคนที่มาปล่อยสิ่งลวงให้คุณเพราะเค้าไม่กังวลมาคิดมาก คุณอลากจะแบกทุกข์ก็ตามสบายเพราะผมไม่ทุกข์ด้วย"
     
  4. toskilo12

    toskilo12 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +16

    ชอบครับ ไม่ต้องใช้คำศัพท์อะไรๆที่เค้าใจยาก
    พูดกันแบบบ้านๆแบบนี้แหละชัดเจนดี
     
  5. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=jroS8pIISQw"]เด็กชายปลาบู่ @ วู้ดดี้เกิดมาคุย - YouTube[/ame]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  6. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    ลุงทองใบ ถูกศาลจังหวัดตากสั่งลงโทษจำคุก 15 วัน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ก่อน

    จากนี้ไป คดีของลุงทองใบจะเป็นตัวอย่าง สำหรับดำเนินการกับนักทำนายทั้งหลาย
     
  7. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    ต้องบอกว่าคุณคือผู้กล้าหาญมากที่กล้า ออกมาให้มุมมองอีกด้าน
    ของการทำนายล่วงหน้า ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตและธุรกิจ

    ผมเคยคิดที่จะตั้งกระทู้แนวนี้ แต่แล้วก็ต้องเลิกไป
    เพราะด้วย คห.ของผู้ที่เห็นใจผู้ที่ทำนายผิดพลาดนั้น มากมาย
    และพวกเค้ามองผู้ที่ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบกับคำทำนาย
    ต้องกลายเป็นคนใจดำ และเป็นอะไรที่แย่มากในสายตาพวกเค้าเหล่านั้น

    ธุรกิจบ้านจัดสรร ต้องถูกยกเลิกการสั่งจองไปไม่น้อย เพราะด้วยคำทำนายนี้

    แล้วใครเล่าจะรับผิดชอบต่อความเสียหายของธุรกิจนี้ ใคร....
     
  8. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    แม้เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีใครมาโทษใครได้
    แม้ผู้ที่รู้ว่าเกิดขึ้นจริง จะไม่ออกมาบอก

    กลับกัน เหตุการณ์ ไม่ได้เกิดขึ้น แต่กลับต้องทำให้ชีวิตและเศรษฐกิจ
    ต้องเสียหาย ตรงนี้สิ ใครกันกล้ารับผิดชอบต่อที่ได้ทำนายเอาไว้
     
  9. kwansao

    kwansao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +619

    และอาจจะมีตามมา อีกหนึ่งกระทู้ ในห้องภัยภิบัติ เห็นว่า
    บางคนกำลังดำเนินเรื่องอยู่ แต่ คงไม่ดังเท่าพ่อปลาบู่
    คงรู้เฉพาะบางคนที่นี่ มั๊ง.!! (ตัวอย่างที่ 2)

    ลองไปอ่านกันดู ที่กระทู้
    เตือนน้ำท่วม พย. 54 ชาวเมืองเชียงใหม่ เชียงรายและผู้ที่สนใจช่วยเข้ามาอ่านหน่อยค่า
    โดยคุณ natthapatpun

    เริ่มที่หน้า 31-33 ของคุณ มู
     
  10. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    น่าจะตกไปนิดนึง ซึ่งเป็นส่วนของคำตัดสินที่สำคัญที่สุดของคำตัดสิน

    คือศาสสั่ง "ห้ามพูดเพ้อเจ้อ" ให้สังคมแตกตื่นด้วยครับ

    แต่ที่อนาถที่สุดคือผู้ที่ออกมาบอกว่า "ดันไปเชื่อเขาเองทำไม" ??????

    คิดได้งัย????

    ถ้าผมโทรไปหลอกชาวบ้านว่ามีระเบิดวางอยู่ในห้างสรรพสินค้่า แล้วพอจับได้ ผมบอกว่า "ดันมาเชื่อผมทำไม ไม่ใช่ความผิดของผม" ผมจะรอดคุกไหมครับ? :d
     
  11. poopo_n

    poopo_n สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +21
    คนเราสมัยนี้จิตใจต่ำ คิดอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ตัวเองเสียผลประไม่ได้
    ไม่ค่อยมองเจตนามองแต่ประโยชน์ก็คือเงิน
    ถ้าลุงทำนายว่าปีให่มน้ำมันจะผุดที่ตาก จะมีใครฟ้องไหมน้าเพราะที่ราคาพุ่งปี๊ด
     
  12. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    "วู้ดดี้ เกิดมาคุย" ออกอากาศทางช่อง ๙ อสมท. เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒

    www.jitdrathanee.com/aree26/Dhamma26/aroonchai07.htm

    [​IMG]
    [​IMG]

    วู้ดดี้ : มีหลายคนพูดว่าวู้ดดี้ไม่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์พระ ท่านมองว่าอย่างไรครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็คงต้องย้อนกลับไปถามว่าคุณเอาอะไรมาวัดว่าคนอย่างวู้ดดี้ไม่เหมาะที่จะคุยกับพระ พระอาจารย์มองในเวลานี้ ไม่มีใครเหมาะเท่าวู้ดดี้เลยนะ ถ้าวู้ดดี้ไม่มาสัมภาษณ์พระ เกิดมาคุยไม่สมบูรณ์แบบ


    วู้ดดี้ : ก้าวร้าว พูดตรง ถามตรง มีความรุนแรงบ้างในวาจา ไม่เหมาะสมกับพระ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์คิดว่าพระไม่ได้หมายความว่าต้องเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ เราไปดูที่เนื้อหาสาระได้มั้ย หลายครั้งที่พระอาจารย์เปิดไปเจอวู้ดดี้สัมภาษณ์ บางทีบางตอนดีกว่าพระบางรูปเทศน์

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอก เจาะไปที่เนื้อหาสาระก็ไม่มีปัญหาที่วู้ดดี้จะคุยกับพระไม่ได้

    วู้ดดี้ : งั้นในวันนี้ผมสามารถที่จะถามพระอาจารย์ได้ทุกเรื่อง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็แล้วแต่จะถาม แต่พระอาจารย์จะตอบทุกเรื่องหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    วู้ดดี้ : พระอาจารย์บวชตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเณรอายุ ๑๒

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ๑๓

    วู้ดดี้ : แล้วเป็นพระมาตลอดชีวิต ทุกวันนี้ที่ผ่านมาท่านจะเทศน์เรื่องของแฟน เรื่องของชีวิต การมีกิ๊ก การไม่มีกิ๊ก แต่ท่านไม่ได้คุ้นเคยกับทางโลกเลย ท่านสามารถที่จะเข้าใจโลกและเทศน์กลับไปสู่โลกได้อย่างไรในเมื่อท่านอยู่กับวัดตลอดเวลา

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เอางี้ วู้ดดี้เคยเห็นคนที่ติดยาเสพติดมั้ย

    วู้ดดี้ : เคยเห็นครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าคนติดยาเสพติดมันอันตรายมาก คุณไม่เคยลองสักนิดนึง

    วู้ดดี้ : ก็เห็นผลมัน เห็นว่าเขาไม่ไปโรงเรียน สุดท้ายเขาต้องเข้าโรงพยาบาลและตาย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นไง พระอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องไปลองมีกิ๊ก พระอาจารย์ก็เห็นผลของมันเหมือนกัน พระอาจารย์ก็อนุมานเอาได้

    วู้ดดี้ : แต่พระอาจารย์อยู่ในวัด พระอาจารย์ไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับเขา

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยู่ในวัด แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์ถูกปิดหูปิดตา ตรงกันข้ามอยู่ในวัดบางทีรู้ดีกว่าชาวโลกด้วยซ้ำไป เพราะชาวโลกเปรียบเสมือนนักมวยที่อยู่บนเวที

    คุณชกสะเปะสะปะ คุณถูกต่อย คุณถูกน็อก คุณมึนไปหมด คนอยู่ข้างเวทีเห็นชัดที่สุดว่าคุณชกยังไง พระไม่จำเป็นต้องไปตะลุมบอนกับกิเลสเหมือนคุณหรอก แต่พระอยู่ข้างเวที พระรู้ว่ากิเสลมันร้ายแค่ไหน

    วู้ดดี้ : งั้นมีกิ๊กผิดมั้ยครับถ้าเต็มใจทั้งคู่

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เต็มใจทั้งคู่ กิ๊กไม่ใช่ชู้ แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิกใช่มั้ย นี่นิยามของกิ๊ก

    วู้ดดี้ : แต่ถ้าแฟนไม่รู้และทั้งคู่เต็มใจที่จะเป็นกิ๊กกัน

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติในระบบความสัมพันธ์แบบนี้ทำไมคุณต้องเลิก คุณก็คบกันต่อไปสิ

    วู้ดดี้ : ก็คงรู้สึกผิดไงฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็นั่นแหละ ถ้ามันรู้สึกผิดก็แสดงว่ามันชอบธรรมมั้ยล่ะ

    วู้ดดี้ : ไม่

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็มันไม่ชอบธรรม คำตอบมันอยู่ในตัวอยู่แล้วว่ามันไม่ดี

    วู้ดดี้ : งั้นสำหรับผู้ชายบางคนมีภรรยาสองสามคน แล้วภรรยาอยู่บ้านหลังเดียวกัน กินนอนด้วยกันได้ โอเคไม่มีปัญหา เมียคนที่หนึ่งคนที่สองคนที่สามยอมรับซึ่งกันและกัน อย่างนี้ครอบครัวนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำบาป

    ท่าน ว.วชิรเมธี : กิ๊กหมายถึงความสัมพันธ์ที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ แต่ที่คุณโยมวู้ดดี้เล่ามาน่ะ เขารู้เห็นเป็นใจกันทั้งหมดใช่มั้ย ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดใช่มั้ย

    วู้ดดี้ : ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : แต่เขาบริหารจัดการได้มั้ยล่ะ

    วู้ดดี้ : ได้ครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วภรรยาทั้งสามคนเขายอมรับได้มั้ยล่ะ

    วู้ดดี้ : ยอมรับหมดครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ารับได้หมดก็ไม่เป็นปัญหา

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=336>[​IMG]</TD><TD width=20></TD><TD>วู้ดดี้ : ท่าน ว. ตั้งแต่โตขึ้นมาผมสังเกตว่าคนมักจะชวนผมเข้าวัด

    ไปทำบุญกันเถอะ ไปนั่งสมาธิในวัด ไปไหว้พระแล้วคุณจะมีความสุข

    แต่ผมเห็นหลายคนเขาไปเพราะเขามีความทุกข์เรื่องเพื่อน เรื่องงาน เรื่องแฟน ชีวิตเป็นทุกข์เลยต้องเข้าไปในวัด

    แต่ผมเอง ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่มีตรงนั้น ผมไม่ได้มีความต้องการที่จะไปไหว้พระ ไม่มีความต้องการที่จะไปเข้าวัด

    ถามว่าแล้วสุดท้ายวู้ดดี้จะต้องเข้าวัดทำไมล่ะครับพระอาจารย์


    ท่าน ว.วชิรเมธี :จริงๆ วัดก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาเข้านะ พระอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าบอกว่ามาเข้าวัดกันเถอะ

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะแล้วพระองค์ก็เดินไป ใครอยากฟังธรรมก็มาฟังเท่านั้นเอง ก็มีแต่เราคนไทยนี่แหละที่บอกว่าเข้าวัดๆ

    วู้ดดี้ : ต้องไปไหว้วัดนี้อยู่บนภูเขา วัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ต้องบินไปถึงเชียงใหม่ ต้องมาเชียงราย ต้องลงมาภาคใต้ ต้องวัดนี้

    โห...สุดยอดมาก อยู่ใต้น้ำ พระธาตุนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก คนก็ต้องบินไป

    แล้วบางทีเราก็คล้อยตามไปด้วย อ๋อเหรอ ถ้าไหว้พระวัดนี้ที่องศาแบบนี้ ไหว้ทิศอย่างนี้แล้วกราบอย่างนี้

    คุณจะมีบุญมากกว่าทุกคนในประเทศชาตินี้ จริงหรือเปล่า

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ฟังดูมันยิ่งไม่ใช่ไหว้พระตามแนวพุทธเลยนะ

    เพราะว่าไหว้พระตามแนวพุทธมันไหว้ที่ใจ ฉุดเข้าวัดนี่ประเสริฐมั้ยล่ะ

    วู้ดดี้ : ครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เพราะฉะนั้นโชคดีขนาดไหนที่มีคนชวนคุณเข้าวัดมาตลอดเวลา

    คนที่โชคร้ายก็คือ ไป...คืนนี้ไปผับมั้ย คืนนี้ไปอาร์ซีเอ.มั้ย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วู้ดดี้ : แต่ถ้าไปแล้วไม่ดื่มเหล้าล่ะพระอาจารย์ ไปแล้วมันเต้นแล้วมีความสุข ผมก็มีความสุข มันร้องเพลงไปด้วย แล้วมันได้ปลดปล่อย นั่นมันคือความสุข มันไม่ใช่ความทุกข์ไม่ใช่เหรอพระอาจารย์

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากจะบอกว่านั่นเป็นความทุกข์ที่รอเวลาอยู่

    วู้ดดี้ : ยังไงครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ผลไม้ทุกผลมีโอกาสที่จะหล่นมั้ย

    วู้ดดี้ : มีครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คนทุกคนก็เหมือนผลไม้ ขณะที่มันมีความสุขก็มีความทุกข์แฝงอยู่ในนั้นตลอดเวลา แต่ถ้าคนที่ไม่เคยเข้าวัดไม่เคยเรียนธรรมะเลยนะ วันนี้คุณจะสุข พรุ่งนี้คุณจะทุกข์ ชีวิตคุณจะสุขๆ ทุกข์ๆ กระเด็นกระดอน

    วู้ดดี้ : เพราะมีอบายมุขล้อมรอบเหรอ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณมีโอกาสที่จะทุกข์ได้ตลอดเวลา วันนี้ทุกข์ยังไม่มาถึงแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มา ทุกข์ไม่ได้เกิดจากข้างนอก ทุกข์เกิดจากในนี้ เมื่อเรามีความเห็นผิด คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ทุกข์อยู่ตรงนั้น นรกก็อยู่ตรงนั้น

    (วู้ดดี้ : ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ท่านพูดสักเท่าไหร่นัก ทำไมคนเรามีความสุขแล้วต้องมีทุกข์รออยู่ คิดแบบนั้นก็ไม่ต้องมีกันพอดีสิครับ ผมชักจะหวั่นไหวแล้วล่ะครับว่าวันนี้ผมจะได้อะไรกลับไปหรือเปล่า

    เมื่อวู้ดดี้เดินเข้ามาที่ศูนย์วิปัสสนาอาศรมอิสรชน จ.เชียงราย ผมแปลกใจเลยล่ะครับ เพราะจะมีป้ายติดตามต้นไม้เต็มไปหมด ท่าน ว.วชิรเมธีบอกผมว่า เหล่านี้คือต้นไม้พูดได้)

    วู้ดดี้ : พึงชนะคนชั่วด้วยความดี มีให้อ่านทุกต้น

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มี คุณโยมเดินไป คุณโยมจะเห็นทุกหนทุกแห่ง อาตมามีความรู้สึกว่าเวลาเดินมาถ้าพระอาจารย์ไม่อยู่ ต้นไม้เทศน์แทนก็ได้

    วู้ดดี้ : ผมกลัวมากว่าที่แห่งนี้ห้ามฆ่าสัตว์ แต่มดมันเยอะมาก ถ้าผมเหยียบมดตายผมจะตกนรกมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เจตนาจะเหยียบมีมั้ยล่ะ

    วู้ดดี้ : ไม่มี

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาปก็แค่นั้นเอง วัดกันที่เจตนา กรรมไม่มี บาปไม่มีแก่ผู้ไม่เจตนาแค่นั้นเอง

    วู้ดดี้ : ขับรถบนไฮเวย์เหยียบ 180 เพราะจะรีบไปหาภรรยาที่กำลังคลอดลูก แต่ดันไปชนคนแก่ตาย ไม่มีเจตนา บาปมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็เป็นแค่กิริยาไม่ถือเป็นกรรม แต่อย่าทำบ่อยๆ

    วู้ดดี้ : โอเค อันนั้นผมแค่ยกตัวอย่างมันไม่เกี่ยวกับผมนะครับพระอาจารย์

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร

    วู้ดดี้ : รายการของผมจะเสนอประเด็นหนึ่งอยู่บ่อยๆ ล่ะครับ ผมก็เลยอยากจะรู้ว่าท่าน ว. คิดยังไง พระอาจารย์เคยดูหมอดูมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่จำเป็น พระอาจารย์คิดว่าคนที่รู้จักตัวเองไม่มีใครไปหาหมอดู

    วู้ดดี้ : พระอาจารย์เชื่อเรื่องหมอดูมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่เชื่อ พระอาจารย์เชื่อกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎที่บอกว่าชีวิตของเราจะเป็นอะไร ยังไง ขึ้นอยู่กับเรา ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

    วู้ดดี้ : แต่บางทีที่หมอดูแม่นมาก พระอาจารย์ จนบางทีทำให้เราหวั่นไหว โอ้โห...มันเป๊ะว่ะ เราจะเอาชนะตรงนี้ได้ยังไง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็แล้วแต่เรานะ ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อ หมอดูก็จะมีอิทธิพลกับคุณ ถ้าคุณเลือกที่จะไม่เชื่อ หมอดูก็จะไม่มีอิทธิพลกับคุณ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นปัญหา มันอยู่ที่เรานะ แต่พระอาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์รังเกียจหมอดู หมอดูก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง

    อาจจะเรียกว่าเป็นสถิติศาสตร์เพราะว่ากว่าที่จะประมวลองค์ความรู้ ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมาฟันธงให้ใครมันมีที่มาที่ไป พระอาจารย์ก็เคยเรียนวิชานี้ แต่พระอาจารย์ไม่ได้ใช้เท่านั้นเอง

    ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าหมอดูทายแม่นหรือไม่แม่นนะ ปัญหามันอยู่ที่หมอดูไปทายให้คนที่เต็มใจให้ทายหรือเปล่า ถ้าเขาเต็มใจให้ทาย คุณทายไปเหอะ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้คุณดูแล้วคุณดัดจริตไปดูให้เขา คุณละเมิดสิทธิมนุษยชนนะรู้มั้ย

    วู้ดดี้ : นี่พระอาจารย์ไม่ได้แขวะใครใช่มั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ได้แขวะเลย พระอาจารย์ไม่ได้พูดถึงใครเลยในประโยคนี้ เป็นประโยคที่ไม่มีประธานไม่มีกรรมมีแต่กิริยาล้วนๆ

    วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ

    วู้ดดี้ : การห้อยพระเลยดีกว่าฮะ เขาสามารถที่จะทำให้ตัวเขาเองพ้นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทางอากาศ ทางน้ำได้หมด ต้องหลวงพ่อนี่ หลวงพ่อนั่น คือเต็มไปหมดเลย อันนี้มันจริงมั้ย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ถ้ามันจริงอย่างนั้น กฎแห่งกรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นหมันน่ะสิ แสดงว่าการห้อยพระไปง้างกฎแห่งกรรม มันมีกฎอีกกฎหนึ่งที่เหนือกฎแห่งกรรมนะเนี่ย คือการห้อยพระแล้วมันไม่เป็นอะไรเลย

    ถ้ามันจริง ประเทศไทยผลิตพระยี่ห้อนี้ส่งออกนอก แล้วส่งคนไทยไปสงครามโลกเลยนะ เราจะเป็นมหาอำนาจโลก เพราะอะไรทำอะไรเราไม่ได้เลย ไม่ต้องไปวิจัยวิจารณ์อะไรแล้ว เอาพระรุ่นนี้ไป รับรองนะ

    วู้ดดี้ : มันบาปมั้ยสำหรับคนทำธุรกิจตรงนี้ คือพิมพ์พระเยอะๆ แล้วก็ต้นทุนอาจจะซัก ๕ บาทแต่อัพราคาเป็นค่าเช่ารูปละ ๑,๕๐๐ แล้วก็ได้กำไรเป็นล้าน สุดท้ายเขาช่วยคนไทยจริงมั้ยฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : บาปไม่บาปมันวัดกันที่เจตนา คุณห้อยพระ คุณปั๊มพระให้คนบูชา คุณอยู่กับพระนะ แต่บางทีคุณอาจจะไม่ได้อยู่กับพุทธ ถามว่ามันทำแล้วดีหรือไม่ดีให้วัดที่เจตนา

    ถ้าเขามีเจตนาว่าอยากให้พระที่เขาปั๊มออกมาเยอะๆ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นสัญลักษณ์ของความมีศีลมีธรรมนี้ไม่บาปแต่ถ้าเขาคิดแต่ว่าที่ฉันปั๊มออกมารุ่นนี้แล้วฉันจะรวยเป็นร้อยล้านเป็นพันล้าน เขากำลังทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ ๑๐๐% น่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้บุญ

    วู้ดดี้ : มาพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่าครับพระอาจารย์ เรื่องของกรรม ช่วงนี้จะมีคนพูดถึงเยอะมาก แปลกนะทำไมมันกลายเป็น trend เมื่อปีที่ผ่านมา แก้กรรม จนกระทั่งศาสนาพุทธเองหลายๆ วัดผมก็ยังเห็น

    อ้าว...มาที่วัดนี้แล้วเราจะมาแก้กรรมได้ ชาติที่แล้วคุณมีกรรม ชาตินี้คุณจะต้องแก้แล้วชาติหน้าคุณจะได้ดีขึ้น ถามนะครับว่าตกลงมันจริงมั้ย การแก้กรรมด้วยการตัดกรรม

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยนี่ชอบแก้กรรม ก็ทำเหมือนว่าเรากำลังถูกมัดเอาไว้ก็เลยต้องมาแก้ หรือบางทีก็ต้องทำพิธีตัดกรรม ก็เหมือนกันว่ากรรมมันเป็นผ้าผืนหนึ่งหรือยังไง เป็นเชือกเส้นหนึ่งหรือยังไง กรรมก็คือตัวความคิดของเรานั่นเอง ฉะนั้นมันง่ายนิดเดียวนะถ้าจะตัดกรรมก็เปลี่ยนความคิด

    วู้ดดี้ : แล้วมันมีกรรมจริงมั้ยครับ โลกใบนี้ มันมีเวรมันมีกรรมมั้ย ถามจริงๆว่ามันมีชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า มันมีจริงมั้ย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คือตามหลักพุทธมันมี

    วู้ดดี้ : แต่มันพิสูจน์ไม่ได้น่ะพระอาจารย์

    ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันจะเสียหายตรงไหนถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้

    วู้ดดี้ : วู้ดดี้มีความรู้สึกว่าเวลาคนเราตาย มันก็แค่กลายเป็นผงธุลี แล้วมันก็ลงไปฝังในดินหรือเป็นขี้เถ้า มันจะไปชาติหน้าได้จริงเหรอ มันมีจริงเหรอ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มี หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเอาเข้าห้องแล๊ปไม่ได้นะ มันก็มีจริงๆ ฉะนั้น เราอย่าไปคิดว่าความจริงมันต้องเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เท่านั้น อย่างความรักก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี อิจฉาตาร้อนก็ดี เอาเข้าห้องแล็ปได้มั้ย

    วู้ดดี้ : ไม่ได้

    ท่าน ว.วชิรเมธี : แล้วมันมีมั้ย ความรักมีมั้ย ความโลภน่ะมีมั้ย กามารมณ์น่ะมีมั้ย

    วู้ดดี้ : เยอะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เอาไปพิสูจน์ได้มั้ยของพวกนี้

    วู้ดดี้ : ไม่ได้

    ท่าน ว.วชิรเมธี : นั่นสิ แต่มันมี เพราะฉะนั้นชาติหน้าเราก็ไม่ต้องไปคิดว่าพิสูจน์ยังไง พิสูจน์ไม่ได้แล้วมันจะมียังไง

    วู้ดดี้ : อาจารย์ไม่เคยเห็นใช่มั้ยฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ของพวกนี้เขาไม่เห็นด้วยตา ต้องเห็นด้วยปัญญาสิ ใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้คุณจะสงสัยก็ได้ไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาสูงขึ้นหรือต่ำลง สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่โลกหน้ามีหรือไม่มีนะ มันอยู่ที่ว่าโลกนี้มันมีแล้วคุณใช้ชีวิตในโลกนี้ยังไง

    (วู้ดดี้ : เป็นครั้งแรกนะครับ ที่แขกรับเชิญทำให้ผมอึ้ง เพราะหลายเรื่องที่ผมถามคำถามยากๆ ท่านก็ตอบออกมาได้ง่ายๆ เสียเหลือเกิน แต่ผมก็ยังไม่ได้เห็นด้วยกับท่านทั้งหมดนะครับ


    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาตินี้ชาติหน้าและอีกหลายเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ผมอดคิดไม่ได้นะครับว่ายังไงธรรมะก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจะตัวผมอยู่ดี

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=336>[​IMG]</TD><TD width=20></TD><TD>ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมสงสัย พุทธศาสนิกชนก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ เพราะคำถามที่ผมจะถามนี้อาจทำผมกำลังจะท้าทายท่าน)


    วู้ดดี้ : ขอพูดถึงพุทธพาณิชย์หน่อยดีกว่า ท่านเคยได้ยินมั้ยฮะ ถ้าบางคนจะบอกว่าพระเดี๋ยวนี้จะเริ่มค้าขายกันมากขึ้น ออกตามทีวี ออกตามรายการต่างๆ ขายหนังสืออะไรมากมาย ท่านเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มันจะเป็นพุทธพาณิชย์หรือไม่ มันไปวัดที่เจตนาสิ ถ้าพระอาจารย์เขียนหนังสือขาย มีเงินมีทองร่ำรวยมหาศาลแล้วก็ทำตัวเป็นหลวงเสี่ย

    พระอาจารย์กำลังทำพุทธพาณิชย์ แต่การเทศน์แต่ละครั้งฟังได้แค่คนเดียว

    เหมือนวู้ดดี้มาคุยกับพระอาจารย์ที่เชียงราย ถ้าเราถอดบทสนทนานี้พิมพ์เป็นหนังสืออ่านกันทั่วโลกทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาอะไรก็ได้ คนเปิดหูเปิดตาและเรียนรู้ธรรมะ

    พระอาจารย์ไม่ได้คิดถึงเงินที่จะได้ คิดถึงแต่ประโยชน์ที่จะได้แก่ชาวโลก อย่างนี้เรียกว่าพาณิชย์ได้มั้ย ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จะเป็นพุทธพาณิชย์ก็ต่อเมื่อเรามุ่งไปที่กำไรคือเม็ดเงิน แต่ถ้าเรามุ่งไปที่กำไรคือสติปัญญา

    คือความเฉลียวฉลาด คือความรู้ คือความหายโง่งมงาย ไม่มีทางเป็นพุทธพาณิชย์

    วู้ดดี้ : แล้วส่วนใหญ่กำไรที่ได้จากการตีพิมพ์อะไรต่างๆ หรือว่ากับหลายๆ อย่างที่เราทำ ท่านเอาเงินนั้นไปบริจาคต่อยังไง หรือว่าเอาไปใช้ลงทุนต่อยังไง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์ใช้เป็นทุนการศึกษาทั้งหมด ไม่เชื่อไปดูได้เลย

    พระอาจารย์สร้างโรงเรียนให้สามเณรที่วัดบ้านเกิดของพระอาจารย์ มีนักเรียนที่รับทุนจากพระอาจารย์

    ตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้นะ ทั้งพระทั้งเด็กทั้งเยาวชนเป็นพันคน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วู้ดดี้ : อย่างนึงที่ค้างคาใจก็คือเรื่องของเรต เอางี้ดีกว่ามีคนบอกว่าพระเดี๋ยวนี้ออกตามรายการต่างๆหรือว่าจะนิมนต์ไปไหนต่อไหน ไปสถานที่บางสถานที่ที่พิเศษจะต้องมีเรต เป็นแสนบ้าง เป็นล้านบ้าง

    วันนี้ผมมาเองยังถามทีมงานเลยว่าคุยกับท่าน ว.วชิรเมธีกี่บาท จริงมั้ยฮะว่ามันเป็นล้านๆ เลยหรือมันยังไง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์คิดว่าคนคิดอย่างนี้ต่ำนะ ไม่ใช่ว่าเรตมันต่ำ คือพระอาจารย์คิดว่า เขาคิดว่าพระเป็นดารา

    วู้ดดี้ : ท่านมีสังกัดมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มี วันก่อนมีคนโทรศัพท์มาหาพระอาจารย์ ขอโทษนะครับต้องขออนุญาตสังกัดพระอาจารย์มั้ย

    พระอาจารย์บอกว่า โยม...อาตมาเป็นพระนะ ไม่ได้เซ็นสัญญากะค่ายไหนเลยนะ ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ เพราะฉะนั้นจะมีใครสูงไปกว่าอาตมา อยากนิมนต์อาตมา

    อาตมาเป็นต้นสังกัดของตัวเอง เวลานิมนต์อย่ามาถามเรต ถามอย่างนี้ถือว่าดูถูกกันมากเลย แต่อาตมาต้องทำความเข้าใจเพราะคนมักจะถาม เพราะฉะนั้นนิมนต์มาเลยนะ ถ้าพระอาจารย์ ๑. ว่าง ๒. เห็นว่ามีประโยชน์ ได้เจอกันแน่นอน

    วู้ดดี้ : มีงานไหนที่ไปแล้วงงมั้ยฮะ แบบว่าเอ๋อเลย มีมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ไปบรรยายงานแห่งหนึ่งที่โรงแรม ถัดจากพระอาจารย์เขากำลังจะเดินแบบกัน แล้วเขาก็ขี้เกียจตั้งธรรมาสน์ต่างหากก็ให้เทศน์บนแคทวอร์ค

    วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ จริงรึเปล่าฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : จริง...รู้สึกว่าวันนี้มาผิดฝาผิดตัว นางแบบทั้งนั้น

    วู้ดดี้ : แล้วท่านก็มายืนกลางแคทวอร์คเหรอครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่สถานที่นะ ถ้าใจคุณพร้อมที่ไหนก็ได้ ไม่เป็นปัญหา

    วู้ดดี้ : วัดอยู่ที่ใจใช่มั้ย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง ถ้าคุณเป็นคนดีแล้ว นั่นแหละคุณบรรลุวัตถุประสงค์ของการมีวัด วัดอยู่ในใจคุณแล้ว

    วู้ดดี้ : ชีวิตผมทุกวันนี้ต้องเข้าวัดก่อน ชัวร์

    ท่าน ว.วชิรเมธี : อาการอย่างนี้มันต้องเข้าแหละ

    วู้ดดี้ : ท่านชมใช่มั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ชม มั่นใจว่าชม

    [​IMG]

    วู้ดดี้ : วู้ดดี้มี twitter ไว้ล่าสุดเพื่อที่จะมีการโต้ตอบ real time กับคุณผู้ชมทางบ้าน วู้ดดี้ได้ฝากหัวข้อเอาไว้ว่าวู้ดดี้จะได้มีโอกาสเจอกับท่าน ว. ใครอยากจะฝากอะไรไว้บ้างมั้ย ประเด็นหรือว่าคำถาม

    ปรากฎว่ามีคนตอบมาเป็นหลักร้อย เยอะมาก คำถามน่าสนใจมาก วู้ดดี้ขอคัดออกมาซักคำถามสองคำถามแล้วกันนะครับ

    มีอยู่คนหนึ่งถามมาว่า เราไม่เคารพพระที่เราไม่ชอบหรือที่ประพฤติมิชอบแต่ยังเป็นพระ บาปมั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ไม่บาป คนจะเคารพใครสักคนหนึ่งอย่างน้อยเขาต้องดีกว่าคุณใช่มั้ย ก็ถ้าคุณตระหนักว่าเขาไม่ได้ดีกว่าคุณ คุณไม่เคารพก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ฉะนั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่มีความดีให้เราเคารพ ท่านก็ไม่ได้รับการเคารพ

    วู้ดดี้ : แม้ว่าท่านจะห่มผ้าเหลืองก็ตามที

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ ตรงกันข้ามถ้าเราไปเคารพในคนที่ไม่ควรเคารพสิ อันนี้จึงบาป

    วู้ดดี้ : ถ้าหากให้เอานักการเมือง หรือแกนนำเหลืองแดงมาให้ท่านเทศน์ ท่านจะเทศนาอะไรครับให้เขายอมจับมือกัน

    ท่าน ว.วชิรเมธี : หนึ่ง...อยากจะฝากประโยคสั้นๆ ว่าอย่าเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวประเทศไทย ประโยคที่สองพระอาจารย์จะบอกว่าต้องยอมถอยเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า

    คือถอยนี้ไม่จำเป็นต้องถอยหลังนะ พระอาจารย์คิดว่าเราสามารถถอยไปข้างหน้าได้ ถ้าถอยแล้วทำให้ประเทศชาติของเราราบรื่นแล้วก็เดินต่อไปได้ ก็ขอฝากสองเรื่อง

    วู้ดดี้ : ทุกวันนี้คนไทยเกิดอาการจิตตก จิตตกมาก ผมเลยถามว่าคนเราถ้าจิตตกจะมีวิธีแก้ยังไง ผมไปไหนเจอจิตตกๆ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : จิตตกก็ต้องยกจิตนะ คนส่วนใหญ่จิตตกก็ปล่อยให้ตกใช่มั้ย
    วู้ดดี้ : ครับ มันจะยกยังไงฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ยกจิตหมายความว่า ต้องออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คุณไปคุยกับคนๆ นี้แล้วมันคุยแต่การเมืองๆๆ จนคุณรู้สึกแย่ไปเลย คุณก็เลิกคุยสิ ไปคุยกับคนอื่น อย่างน้อย ๓ ปี ๕ ปีใช่มั้ยที่ผ่านมา

    วู้ดดี้ได้เรียนรู้มั้ย ได้รู้เช่นเห็นชาตินักการเมืองไทยมั้ย นี่คือสิ่งดีมากนะที่นักการเมืองสายพันธุ์นี้ได้มอบให้แก่เรา

    เขากำลังทำทุกอย่างให้เห็นว่านักการเมืองสายพันธุ์นี้จะเลวได้ถึงที่สุดขนาดนี้ พอเราเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เชื่อมั้ย จากนี้ไป ๑๐๐ ปีข้างหน้า เมืองไทยจะไม่กลับมาตรงนี้อีก

    วู้ดดี้ : เพราะว่าคนเรามีความรู้มากขึ้นถูกมั้ย ในการที่จะดูออกว่าคนนี้เป็นคนเลว

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามองโลกในแง่ดี พระอาจารย์กลับรู้สึกว่าวันเวลาช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเราได้เรียนรู้ครั้งใหญ่พร้อมกันทั้งประเทศ ห้องเรียนประชาธิปไตยเปิดให้เราได้ไป take course พร้อมกัน

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ได้พาผมเดินขึ้นมาถึงยอดเขาของอาศรมแห่งนี้แล้วผมก็ได้พบกับหลวงพ่อยิ้มที่งามที่สุดครับ

    วู้ดดี้ : จริงๆ วู้ดดี้มาจากวุฒิธรใช่มั้ย ทีนี้วุฒิชัยชื่อของท่านแปลว่าอะไร

    ท่าน ว.วชิรเมธี : วุฒิชัยใช่มั้ย ก็แปลว่าเจริญด้วยชัยชนะ วุฒิธรของคุณโยมคือทรงไว้ซึ่งชัยชนะ เวลาไปเมืองนอกฝรั่งเขาไม่เรียกพระอาจารย์ว่าพระมหาวุฒิชัย เขาออกเสียงไม่ได้ เขาเรียกว่ามาสเตอร์วู้ดดี้

    วู้ดดี้ : มาสเตอร์วู้ดดี้

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร ก็พระอาจารย์วู้ดดี้

    วู้ดดี้ : โห...ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าผมไปบวชมั่ง ก็จะมีสองวู้ดดี้สิ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ๒ ว.

    วู้ดดี้ : ก็มี ว.หนึ่ง ว.สอง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เจริญพร

    วู้ดดี้ : ถ้าผมเป็นพระ ผมโทรหาท่านก็ ว.หนึ่ง นี่ ว.สอง ได้มั้ยครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ได้

    วู้ดดี้ : ฮ่าๆๆๆๆ น่าจะเป็นอะไรที่ดี

    ขึ้นมาทั้งทีก็ต้องไหว้พระขอพร และขออีกหลายอย่างที่ผมจะอยากขอ ซึ่งผมเพิ่งรู้ตอนนี้แหละครับว่า

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มาหาพระพุทธเจ้าอย่าขอ แต่บอกว่าพระองค์จะเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของเรา

    วู้ดดี้ : อยากจะได้เงินเยอะๆ วันนี้ขอให้เงินไหลมาเทมา ไม่ใช่

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีทาง พระพุทธเจ้าไม่ได้มีหน้าที่มาหาเงินให้ใคร ท่านมีหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา พระธรรมทำหน้าที่เป็นแผนที่ให้เรา พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้เรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้านับถือให้ถูกต้อง ต้องเป็นแบบนี้นะ

    วู้ดดี้ : ขอให้พ่อแม่พ้นจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ หรือขอให้ครอบครัวมีความสุข อันนี้ก็ไม่ใช่

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าคุณขอให้โลกนี้จะมีคนผิดหวังมั้ย พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ คุณอยากได้อะไรดีๆ คุณทำเหตุให้ดีแล้วผลที่ดีจะตามมา คุณมาขอท่านแต่คุณไม่ได้ทำอะไรให้พ่อให้แม่เลย ท่านจะดีมั้ย

    วู้ดดี้ : วู้ดดี้ก็จะบอกว่าผมจะเริ่มจากการเป็นคนดี ผมจะมีสติในการใช้ชีวิต ผมจะดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้มีสติในการช่วยเหลือชาวโลก

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถูกต้อง เรามาหาพระองค์ท่านเพียงเพื่อขอให้พระองค์ท่านเป็นสักขีพยานให้เรา การลงมือทำเป็นเรื่องของเราทั้งหมด เคยได้ยินมั้ย อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน


    วู้ดดี้ : แสดงว่าตั้งแต่เกิดมาผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยว่าเวลาเจอพระคือขอๆๆๆๆ อย่างเดียว

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่ใช่แล้ว พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ เราเป็นศาสนาแห่งการลงมือทำ ไม่ใช่ให้มาหาแล้วก็ขอๆๆๆ

    วู้ดดี้ : แล้ววู้ดดี้ควรจะตั้งจิตแล้วก็อธิษฐานว่ายังไงครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ตั้งสัตยาธิษฐานว่าวันนี้ข้าพระพุทธเจ้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์แล้ว พระองค์เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของพระองค์เองฉันใด

    ข้าพเจ้าจะขอเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามของข้าพระพุทธเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน นี่เป็นการขอที่ถูกต้องนะ ขอให้ตัวเองได้ทำอย่างที่พระองค์ทำสำเร็จมาแล้ว ไม่ใช่มาขอให้พระองค์มาทำให้เรา

    อยู่บนโลกนี้มา ๓๒ ปี เพิ่งรู้วันนี้แหละครับว่าการที่คนเราจะทำอะไรได้หรือจะประสบความสำเร็จนั้น คนเดียวที่เราจะต้องพึ่งคือตัวเราเอง


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=336>[​IMG]</TD><TD width=20></TD><TD>วู้ดดี้ : ท่านพาผมมาที่กุฏิส่วนตัวของท่านด้วยครับ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

    ก็สมกับที่ใครๆ ยกย่องว่าท่านเป็นพระนักปราชญ์

    ผมอยากรู้ว่าบุคคลต้นแบบหรือไอดอลของท่านนั้นคือใครครับ



    ท่าน ว.วชิรเมธี : แน่นอนที่สุดเบอร์หนึ่ง แล้วไม่มีเบอร์สองด้วยนะ ต้องพระพุทธเจ้า อันนี้ยกไว้เลยนะ เป็นพระถ้าไม่ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นไอดอลก็คงไม่ใช่พระแล้วนะ

    ทีนี้ในแง่คนทั่วไป พระคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นแรงบันดาลใจให้พระอาจารย์

    ในแง่ของการเป็นพระที่กล้าที่จะคิดนอกกรอบ และมีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะเทศน์ที่จะสอน

    ท่านยินดีที่จะพูดความจริงโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย

    รูปที่สองพระพรหมคุณาภรณ์ ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร

    มีความแม่นยำในทางพระธรรมวินัยสูงมาก เป็นพระไทยรูปแรกที่ไม่ได้เรียนเมืองนอก แต่มีปัญญาพอที่จะไปสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด

    สาม หลวงพ่อชา สุภัทโท เพราะพระอาจารย์อยากเจริญรอยตามหลวงพ่อชา สุภัทโท อาศรมอิสรชนจึงเกิดขึ้น

    มิฉะนั้น พระอาจารย์ไม่มาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เพราะพระอาจารย์ฝันที่จะเป็นอย่างท่าน ต่อไป

    รูปที่สี่ ท่านดาไลลามะ เป็นพระที่มีชีวิตชีวามาก ความรู้ทางโลกดีมาก ความรู้ทางธรรมดีมาก แล้วเป็นพระที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ชาวตะวันตกยอมรับ

    ท่านเป็นพระของวันนี้ ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กับชาวโลกแล้วชาวโลกสัมผัสได้
    แล้วก็รูปที่ห้า พระเซ็นชาวเวียดนามชื่อท่านติช นัท ฮันห์ เป็นพระวิปัสสนาญาณสายเซ็นที่ได้รับการยอมรับสูง หนึ่งในสองรูปของโลกนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วู้ดดี้ : พระพุทธเจ้าบอกว่ากิเลสเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าวู้ดดี้เองไม่มีกิเลส เช่น ไม่อยากทำรายการ ไม่อยากมีรถยนต์เพื่อเดินทางมาหาท่าน ไม่อยากขึ้นเครื่องบินมาหาท่าน แล้วเราจะมีวันนี้ได้ยังไงครับท่านอาจารย์ มันต้องมีบ้างไม่ใช่เหรอ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คนไทยมักจะเข้าใจผิดนะ แท้ที่จริงถ้าคุณไม่มีความอยากอย่างนี้ คุณก็สามารถทำอะไรดีๆ และยิ่งกว่านี้ได้ ฉะนั้น ความอยากจึงมีสอง
    อย่าง

    ๑. อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวกิเลส

    ๒. อยากเพราะถูกผลักดันโดยตัวปัญญา ทีนี้ถ้าปัญญามันผลักดันคุณ มันจะให้คุณมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง

    เช่น อย่างพระอาจารย์อยากแสดงธรรม ปัญญามันพาทำนะ ปัญญามันจะบอกว่าทำเถอะ เพราะว่าธรรมะช่วยเปิดหูเปิดตาให้คนพ้นทุกข์

    ทีนี้ ถ้าความอยากคือกิเลสมันพาทำนะ ทำเถอะไปออกทีวีเถอะแล้วท่านจะดัง

    วู้ดดี้ : ถ้าวู้ดดี้อยากจะเป็นนายก วู้ดดี้จะ manage กิเลสยังไงฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ก็ต้องถามดูว่า คุณอยากจะเป็นนายกเพื่ออะไร

    วู้ดดี้ : เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้ให้มันดีขึ้น

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ถ้าอย่างนี้นะ คุณไม่ได้ทำเพราะกิเลส คุณทำเพราะปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง

    วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะผมอยากจะโกงกินประเทศนี้ อยากเอาเงินเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองให้ครอบครัวเรารวย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา แสดงว่าคุณเป็นนายกที่มีโอกาสจะเป็นทรราชย์สูงมาก

    วู้ดดี้ : ถ้าผมอยากจะเป็นนายกเพราะว่ามีคนแบ๊คแล้วก็สั่งให้ผมต้องเป็นนายก

    ท่าน ว.วชิรเมธี : อันนี้คุณทำเพราะตัณหา คุณเป็นตัวแทนของกิเลส หัวหน้าพรรคของคุณคือกิเลสไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นวัดได้หรือยังว่าความอยากมันมีสองอย่าง อยากทำอะไรดีๆ เพราะมีปัญญาเป็นความอยากที่ถูกต้อง อยากทำอะไรดีๆ เพราะมีตัณหาเป็นความอยากที่ไม่ถูกต้อง

    ฉะนั้น วันหนึ่งคุณโยมทำรายการนะ แต่คุณโยมมีเงินมากแล้วมีชื่อเสียงมากพอแล้ว คุณอยากจะให้แต่สาระประโยชน์แก่คนไทยล้วนๆ นี่แหละความอยากของคน เป็นความอยากที่ถูกต้อง

    วู้ดดี้ : ตอนนี้คนไทยทั้งประเทศมีความทุกข์เยอะ บางทีหาทางไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย วู้ดดี้ออยากจะให้คนที่ดูอยู่และมีความรู้สึกแบบนั้น ได้มีโอกาสในการคิด อยากจะให้พระอาจารย์ช่วยให้เขามีสติหน่อย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : พระอาจารย์อยากให้เขาลุกขึ้นมา เดินออกจากสภาพแวดล้อมอย่างนั้น แค่คุณเดินออกไปพลังงานด้านลบก็จะหายไปจากตัวคุณแล้ว ถ้าคุณมีแนวโน้มกำลังจะฆ่าตัวตาย คุณพูดให้เพื่อนฟังนะ โทรศัพท์ไปหาเพื่อน เพื่อนจับสัญญาณได้ เพื่อนจะได้ช่วยคุณได้

    วู้ดดี้ : ถ้าคนที่ไม่มีเพื่อนล่ะครับ ไม่มีเพื่อนไม่มีครอบครัว อยู่คนเดียวล่ะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คุณก็สร้างขึ้นมาใหม่ให้มันมีได้นี่ เปิดโทรทัศน์ก็ได้ ไปหาเทปธรรมะมาฟังก็ได้ เพื่อนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขึ้นอยู่แต่ว่าคุณเปิดหูเปิดตาเปิดใจหรือเปล่า

    เคยได้ยินคำนี้มั้ย โลกของวู้ดดี้ต้องไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้แน่ๆ

    "กัลยาณมิตร" อีกคำหนึ่ง good friend เพื่อนแท้ แต่คนไทยไม่ชอบหรือบางทีไม่ให้ความสำคัญกับกัลยาณมิตรนะ บางทีเราไม่รู้จักด้วยซ้ำ เรามีสิ่งหนึ่งมากเกินไปนั่นคือ ปาปมิตร เพื่อนชั่ว เพื่อนเลว ชวนกันไปกิน ชวนกันไปเที่ยว

    วู้ดดี้ : สนุกมาก

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเล่น

    วู้ดดี้ : โห...มันมันส์

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ชวนกันไปเมา

    วู้ดดี้ : สนุกเลย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ปาปมิตรทั้งหมด เขาเรียกเพื่อนชั่ว คบแล้วต่ำลงๆๆๆ บางทีหน้าตาดีแต่ใจต่ำ

    [​IMG]

    (วู้ดดี้ : คำถามสุดท้ายที่ผมจะถามท่าน ว.วชิรเมธี เป็นคำถามที่หลายคนบอกว่า เราไม่ควรถามพระ แต่ผมเชื่อว่าท่านมีคำตอบครับ)

    วู้ดดี้ : ท่านเป็นเพศชายแน่นอน ท่านเข้ามาอยู่ในโลกของธรรมะ ท่านสามารถระงับอารมณ์ทางเพศได้อย่างไร

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่เรา จะไปให้ความสำคัญกับมันมากหรือน้อย คนทุกคนมีนะ อารมณ์ทุกอย่างที่มีในปุถุชนก็มีในพระทั้งหมด แต่พระเราจะถูกสอนให้เรียนรู้ที่จะไม่ต่อยอดสิ่งเหล่านี้

    วู้ดดี้ : แสดงว่าเวลาเกิดกำหนัดเราก็แค่ไม่ต่อยอด...จบ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : เราก็เดินหนี แค่นั้นเอง กามารมณ์เกิดจากความคิด

    วู้ดดี้ : งั้นเวลาสมมติว่าท่านท่องเน็ต แล้วดันเผอิญไปคลิกผิดแล้วมีไซต์โป๊ขึ้นมา เคยมีมั้ยฮะ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : มันแย่มากเพราะอาตมาไม่ไปท่องเว็บที่ไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเข้ามาก็ไม่เป็นปัญหาถ้าเราไม่ต่อยอด แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วหลังตรัสรู้ว่ากามารมณ์ก็คือความคิด ถ้าคุณไม่คิด ความรู้สึกเชิงกามารมณ์ไม่เคยมีตัวตน

    วู้ดดี้ : มนุษย์เราต้องมีเพศสัมพันธ์ใช่มั้ยฮะ มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสุขทางโลก ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่มีเราทุกวันนี้ เราจะอธิบายได้ยังไง เราจะแยกแยะได้ยังไง ไม่งั้นโลกทั้งโลกใบนี้ ผู้ชายทุกคนก็ควรต้องเป็นพระสิครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ไม่มีใครพูดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่พูดอย่างนั้น เรามักจะคิดว่าความสุขที่เข้มข้นที่สุด ถึงอกถึงใจที่สุดคือความสุขเชิงกามารมณ์ใช่มั้ย หยิบจับสัมผัสได้

    แต่คุณลืมไปว่าความสุขมันเป็นขั้นบันไดนะ แต่มนุษย์ติดอยู่บันไดขั้นแรกคือสุขจากกามารมณ์แล้วก็คิดว่าถึงที่สุดแล้วหลวงพ่อไม่เท่าฉันหรอกน่า

    ไอ้พวกนี้มันอยู่ในมูตรในคูถแล้วมีความสุขที่สุด แล้วมันไปสงสารคนอื่นที่ไม่มีความสุขเหมือนตัวเอง คิดว่าความสุขจากกามารมณ์เป็นสุขที่วิเศษที่สุด หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายไม่มีโอกาส สู้เราไม่ได้

    วู้ดดี้ : เราถึงจุดสุดยอดแต่พระไม่ถึง

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่ เราลืมไปว่าจุดสุดยอด ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องเกิดจากกามารมณ์เท่านั้น มันอาจจะเป็น Spiritual Orgasm ก็ได้

    วู้ดดี้ : มันมี Orgasm หลายแบบ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ใช่ ทำไมคุณไปคิดว่ามันมีแค่ไหนล่ะ

    วู้ดดี้ : งั้นความสุขทางโลกของเราจริงๆ แล้วในหลักของพระพุทธศาสนามันไม่ใช่อย่างนั้นเลยใช่มั้ย

    ท่าน ว.วชิรเมธี : คือความสุขที่มนุษย์บอกว่าสุขที่ถึงที่สุดแล้วก็ทุกข์ถึงที่สุดก็เพราะความสุขชนิดนี้ คือสุขเพราะกามารมณ์ พระอาจารย์อยากจะบอกว่ามันเป็นแค่ความสุขขั้นต่ำที่สุด จุดสุดยอดในวงการพุทธศาสนาคือการเป็นพระอรหันต์

    การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเหมือนที่พระพุทธเจ้าบรรลุ พอเราไปถึงที่สุดทุกข์เราบรรลุมรรคผล เราวิวัฒนาการถึงจุดสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มีความสุขตลอดกาล ยังมีขั้นที่สองนะ ปัญญาสุข สุขจากการแสวงหาปัญญา

    วู้ดดี้ : แล้วขั้นต่อไปล่ะครับ

    ท่าน ว.วชิรเมธี : ขั้นที่สาม สมาธิสุข สุขจากการที่หลับตานั่งนิ่งๆ ตามดูลมหายใจ พอจิตสงบร่างกายก็สดชื่นเบิกบาน หลั่งสารเอนโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมานะ เท่านั้นแหละ วู้ดดี้จะรู้สึกว่ามันชุ่มเย็นมันเบิกบานทั้งเนื้อทั้งตัว

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า เวลาสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ไม่มีตรงไหนตั้งแต่หัวจรดเท้าที่รังสีแห่งความสุขแผ่ไปไม่ถึง นี่เรียกว่าสมาธิสุข วันหลังลองนั่งสมาธินานๆ ซักครั้งละครึ่งชั่วโมง

    แล้ววู้ดดี้จะเห็นว่าสุขจากกามารมณ์ที่ตัวเองเคยผ่านพบมันเป็นแค่อะไรที่เล็กที่สุด ต่ำต้อยที่สุด แล้วเธอจะหันไปมองความสุขชนิดนั้นเหมือนคนที่ถ่มน้ำลายทิ้งแล้วไม่เสียหายเลย

    แล้วคุณจะรู้ว่าคุณไปหลงอยู่ตรงนั้นเสียตั้งนาน สุขที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่ทำไมไม่มอง บางครั้งมาดูถูกด้วยนะ นี่แค่ขั้นที่สามเองนะ สมาธิสุขจนน้ำหูน้ำตาไหล นี่ขั้นที่สาม

    สุขที่สี่ สุขสุดท้ายที่ปลายทางชีวิตมนุษย์ทุกคนควรไปให้ถึง นิพพานสุข เป็นความสุขที่เราเป็นอิสระจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง

    (วู้ดดี้ :ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเสียน้ำตาแต่มีความสุขมากขนาดนี้ครับ อาจเป็นเพราะว่าผมได้คำตอบแล้วในที่สุด สุดท้ายเรื่องที่ผมคิดว่าไกลตัวผมมากกลับกลายเป็นสิ่งที่ใกล้มากกว่าที่คุณคิด

    เพราะทั้งหมดคือเรื่องของใจและตัวเราเอง และแล้วแขกรับเชิญที่ผมคิดว่าไม่ใช่มากที่สุดกลับกลายเป็นแขกที่ใช่ที่สุดสำหรับผม)


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  13. poopo_n

    poopo_n สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +21
    วิจารณญานของแต่ละคนไม่เท่ากัน
    พวกออกมาโวยวายคงเป็นพวก
    เคยเชื่อและผิดหวังหรือไม่ก็โง่ลาฉกจากงานกลับไปสมัครให่มเขาไม่รับ
    หรืออาจจะโดนกระทบทำยอดขายตก เลยแอ๊ฟแตก
    เลือกมองและรับเอาสิ่งๆมาคิดมาเตรียมใจ มาปลง กันบ้างหนอ แ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2012
  14. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    กระทู้นี้ดี มีหลากหลายแง่มุม หลากหลายความเห็น เอาปัญญา เอาความสุภาพ ไม่หยาบคาย มาแลกเปลี่ยนกันยังงี้ดี คนเราคิดแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก


    หวังว่ากระทู้จะไม่หายไปไหน

    [​IMG]

    ปญฺญาวุเธน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2012
  15. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    สิ่งที่ผมอยากจะเห็นคือหน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มากกว่านี้

    ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องชาวบ้านๆ

    เรื่องลัทธิต่างๆ มันเป็นเรื่องระดับความมั่นคงของประเทศนะครับ

    เราไม่รู้หรอกว่าลัทธิที่เราเห็นมีสมาชิกไม่กี่คน จะสามารถทำอะไรร้ายแรงได้หากผู้นำลัทธิเกิดการเพี้ยนไป ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อมีคนมาอยู่รวมกันเยอะๆ เช่นเวลานักเรียนมาอยู่รวมกันเยอะๆ ของมันจะขึ้น มันสามารถทำอะไรๆ ที่โดยปกติไม่กล้าทำได้ เช่น ยกพวกตีกัน หรือทำอะไรที่แผลงๆ

    ลัทธิที่เราเห็นว่ามีสมาชิกไม่กี่คน ไม่เป็นพิษเป็นภัย หากมีผู้นำที่มีศักยภาพมากพอเหมือน โอมชินรินเกียว ก็อาจเพิ่มจำนวนสมาชิกได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศได้

    รัฐควรเข้ามาดูแลกิจกรรมของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้

    และหากคุณๆ ที่เป็นผู้นำลัทธิต่างๆ ในนี้มีความบริสุทธิใจ ควรกำหนดมาตรฐานการดำเนินกิจกรรมของคุณ

    การทำกิจกรรมแต่ละครั้งควรมีการรายงานไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง มีผู้เข้าร่วมกี่คน ค่าใช้จ่ายที่สมาชิกต้องออกมีอะไรบ้าง ฯลฯ

    ไม่ใช่ใครก็ได้อยากจะจัดกิจกรรม พาผู้คนเข้าไปในถ้ำ แล้วปิดปากถ้ำหลบภัยกันปลายปี 2012

    หรือไม่ใช่ใครก็ได้อยากจะจัดพิธีกรรมเพื่อเลื่อนภัยพิบัติ โดยที่ทางการไม่ต้องมารับรู้กิจกรรมของคุณกันเลย

    มันเสี่ยงต่อการตายหมู่นะครับ

    การแสดงความบริสุทธิใจสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ เป็นแบบสมัครใจ

    เมื่อมีการรายงานการทำกิจกรรมของกลุ่มไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยเขาก็มีฐานข้อมูลว่ามีกลุ่มอะไรบ้าง กี่กลุ่ม

    ทางการเขาจะได้คอยสอดส่องไม่ให้เกิดเหตุร้าย อาจจะขอเจ้าหน้าที่มาคอยสังเกตการณ์พิธีกรรมหรือกิจกรรมของคุณ

    ไม่ใช่รู้ตัวอีกที ประเทศไทยเมืองพุทธกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกว่าคนปฏิบัติพิธีกรรมตายหมู่

    ประเทศอื่นๆ ทางการเขาขยับกันแล้ว เมืองไทยยั่งนิ่งเฉย

    เราต้องนำหน้าประเทศอื่นๆ โดยการที่กลุ่ม/ลัทธิต่างๆ ลุกขึ้นมาป้องกันตัวเองโดยการรายงานตัวให้ทางการได้รับทราบการทำกิจกรรม/ความเคลื่อนไหว โดย "ความสมัครใจ" เพื่อแสดงความบริสุทธิใจ

    ไม่ทราบว่าผู้นำกลุ่มต่างๆ ในนี้เห็นอย่างไรต่อข้อเสนอนี้ครับ?


     
  16. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ธรรมดับทุกข์ โดย ว.วชิรเมธี


    [​IMG]

    <!-- .entry-meta -->[​IMG]

    ในช่วงเวลาที่คนไทยจิตตก ตระหนกไปกับทุกกระแสข่าว ตกใจไปกับข่าวสารทุกๆช่องทางที่เผยแพร่ออกมา ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย สถาบันที่ศึกษา วิจัย ภาวนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก เพื่อมาให้ไขรหัสเอาชนะความทุกข์จากน้ำท่วม โดยใช้ “ธรรมะ” เข้าใจ “ธรรมชาติ” !!

    Q : ตามคำภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวถึงวันสิ้นโลก นอสตราดามุส ชนเผ่ามายัน ต่างก็กล่าวถึงวันสิ้นโลกเช่นกัน ในพระไตรปิฎกหรือพุทธทำนายของศาสนาพุทธ มีกล่าวถึงเรื่องวันสิ้นโลกหรือเปล่า…?

    A : มี แต่ไม่ได้บอกเวลา บอกแต่ว่า “ในอนาคตกาลนานไกลโพ้น โลกจะวิบัติเพราะน้ำ เพราะลม เพราะไฟ” ฉะนั้น ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาโลก สิ่งไหนก็ตามที่มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็จะมีการแตกดับไปในที่สุด อย่าตื่นตกใจกับธรรมดาของโลก เราต้องพร้อมที่จะอยู่ในโลกอย่างคนที่เป็นนักเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนเราเป็นนักกีฬาที่วิ่งลงไปในสนามแล้ว เราก็ต้องยอมรับกฎกติกาของสนามนั้น เราถึงจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ

    เช่นเดียวกัน เราเกิดมาในโลก เราก็เป็นนักกีฬาของโลก เราก็ต้องพร้อมที่โลกจะมอบบทเรียนต่างๆให้กับเรา มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นบทเรียน แล้วเราก็จะเข้มแข็ง ยิ่งโจทย์ยากๆ ถ้าหากเราแก้โจทย์ได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่เก่งมากขึ้นๆ ยิ่งขึ้นไป

    ดังนั้น มองอีกนัยหนึ่งก็คือความทุกข์มากปลุกให้เราตื่น เมื่อเราตื่นแล้วปีต่อๆไป เมื่อน้ำไหลมา เราก็จะกลายเป็นผู้ที่รับมือกับน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ

    Q : ควรจะใช้ชุดความคิดแบบไหนดีที่จะจัดการความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่ข่าว มีแต่คนเครียดๆ เพราะน้ำท่วมบ้าน คนที่ยังไม่โดนน้ำท่วมก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำอะไร?

    A : อาตมาอยากจะให้ทุกคนคิดว่า อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน ณ เวลานี้ เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะเกิด เพราะว่านี่คือธรรมชาติ เรามาอยู่ในโลก เราต้องพร้อมจะรับมือกับทุกวิกฤติ เพราะว่าโลกมาอยู่ก่อนเรา แล้วเรามาทีหลัง ฉะนั้นก็ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้

    วิธีที่ดีที่สุด “ให้มองปรากฏการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ว่าเป็นครูที่มาเตือนเราให้เราตื่น” เราอาจจะพากันหลับใหลอยู่ในความประมาท พอน้ำไหลบ่ามาปลุกให้เราให้ตื่น มองวิกฤติเป็นครูแล้วอยู่ด้วยกันแบบไม่ประมาท เพราะว่าน้ำมาแต่ละปี ก็จะทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการรับมือมากยิ่งขึ้น

    นั่นหมายความว่า ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้วิธีที่จะรับน้ำในแต่ละปี แต่ละปี ในอนาคตประเทศเราอาจจะเป็นประเทศที่บริหารจัดการน้ำที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

    นี่คือมองให้บวก มองวิกฤติเป็นครูอยู่ด้วยความไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาดเฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ ในอนาคตเมื่อเราเรียนรู้จากการรับมือน้ำอย่างดีที่สุดและอย่างต่อเนื่อง ชนไทยอาจจะเป็นชนชาติที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการน้ำมากเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นได้

    Q : คนที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สินจากน้ำท่วม?

    A : ตอนที่เราเกิดมา เราทุกคนนั้นเปล่าเปลือยมาทั้งหมดเลย คุณมีแต่ตัวล้วนๆ คุณยังหาบ้านหารถหาเรือกสวนไร่นาได้อย่างมากมาย วัตถุเงินทองเสียไปแล้วถ้าหากวันหนึ่งคุณยังมีชีวิต ก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด

    ดังนั้น เสียวัตถุเสียไป แต่จงรักษากำลังใจและชีวิตเอาไว้ ให้กำลังใจให้ชีวิตนี้เป็นสมบัติติดตัวเราไปตลอด ถ้าชีวิตนี้ยังมีชีวิตอยู่กำลังใจก็ยังมีอยู่ คุณสามารถสร้างวัตถุขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ควรเสียใจ เมื่อถึงเวลาพักที่นาคาที่อยู่

    ที่สำคัญให้รู้จักเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เพราะชีวิตสำคัญมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคุณไม่มีทรัพย์คุณสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่มีชีวิตทุกอย่างทุกสิ่งก็จบตรงนั้นแล้ว ให้ยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ ให้ยอมสละทรัพย์

    เช่น บ้าน รถ วัตถุข้าวของทั้งหลายอย่าไปยึดติดถือมั่น มาเวลานี้ต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อน ถ้าคุณยังมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสูญเสียไป หามาได้ใหม่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล

    Q : คนที่เพิ่งสูญเสียคนรักจากน้ำท่วม?

    A : ก็ให้ทำใจยอมรับ อย่าโกหกตัวเอง เพราะว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน พอเราเกิดมาแล้วก็ต้องมีอันต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของอันเป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา

    “พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องจากพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นของธรรมดา เพียงแต่ว่ามันจะเกิดช้าเกิดเร็วเท่านั้น” เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

    “เมื่อสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” คนที่เหลือก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตกันไปโดยไม่ประมาท เติบโตจากความผิดพลาด เฉลียวฉลาดขึ้นมาจากความทุกข์ สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป แต่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณสูญกำลังใจคุณสูญทุกอย่าง แต่หากคุณยังมีกำลังใจ คุณยังสามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างได้ใหม่อย่างแน่นอน

    Q : น้ำท่วมจนธุรกิจล้มละลาย?

    A : อาตมาอยากให้เขาคิดเหมือน “สตีฟ จ็อบส์” เพราะจ็อบส์เคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้ง

    แต่เขาบอกว่า “เขาแค่สูญเสียบริษัทไปเท่านั้น แต่ฉันไม่ได้สูญเสียความสามารถ ภูมิสติปัญญาที่อยู่ในหัวซะหน่อย”

    ดังนั้น เขาจึงก่อตั้งบริษัทใหม่แล้วกลายเป็นซีอีโอแห่งศตวรรษ คือในรอบ 100 ปีจะมีคนอย่างเขาคนหนึ่ง

    ฉะนั้น ก็ขอให้นักธุรกิจทั้งหลายที่ประสบกับความล้มละลายในระหว่างนี้ ให้บอกตัวเองว่าเราแค่สูญเสียข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่เราไม่ได้สูญเสียชีวิต แล้วเราก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถของการก่อร่างสร้างตัวของเราแต่อย่างใด

    ฉะนั้น เราสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าเราจะไม่กลับมา “หลายคนเมื่อล้มเหลวแล้วกลับมาได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญผ่านไปแล้ว”

    ถ้ามองแบบนี้ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว มันกลายเป็นว่ามันทำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต ระมัดระวังในการทำธุรกิจยิ่งขึ้น ความล้มเหลวมันจะทำให้เราได้รับบทเรียนที่ดี คุณอาจจะสูญเสียธุรกิจ เงินทุน แต่ตราบใดที่คุณยังมีความสามารถนั้นอยู่ในหัว คุณเริ่มต้นได้ใหม่ทั้งหมด

    Q : กล่าวโทษหน่วยงาน รัฐบาล ข้าราชการ คนอื่นๆ เพราะไม่มีคนมาช่วยเหลือตนเองซะที

    A : สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้คราวนี้มันกินพื้นที่กว้างเหลือเกินกว่า 50 จังหวัด ไม่อยากให้กล่าวโทษใคร

    ในตอนนี้อยากจะให้เราช่วยซึ่งกันและกันไปก่อน รัฐบาลคือคนไทยเหมือนกับเรา มีความปรารถนาดีที่อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่าเราต่างเดือดร้อนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะให้ไปกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นการยาก ให้มองด้วยความเข้าใจดีกว่าการกล่าวโทษ

    ดังนั้น อาตมาอยากให้คิดว่าจงพึ่งตัวเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล เพราะว่าเวลาน้ำไหลมามันไม่รอรัฐบาลหรือรอใครทั้งสิ้น ธรรมชาติไม่มีการเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

    สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ “อัตาหิ อัตตาโน นาโถ พึ่งตนก่อนพึ่งคนอื่น” ทำได้อย่างนี้แล้ว เราจะสามารถเอาตัวรอดได้ก่อนที่ความช่วยเหลือคนอื่นจะมาถึง ในส่วนของประชาชนคนไทยก็ขอโอกาสนี้เป็นการแสดงออกแห่งวัฒนธรรมแห่งน้ำใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทอดกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม

    ท่ามกลางวิกฤติ เราก็จะเห็นได้ว่าความงดงามแฝงอยู่ เราจะเห็นได้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งการให้ เราอยู่กันมาด้วยการให้ และนี่คือวันเวลาที่จะทำให้เราให้ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความทุกข์ก็ยังมีความงดงามแห่งการให้ เป็นดั่งดวงดอกไม้ที่โดดเด่นอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาเสน่ห์น้ำใจของคนไทยตรงนี้เข้าไว้

    Q : โกรธ โมโห ด่าทอ ธรรมชาติ…?

    A : การด่าทอธรรมชาติ มันไม่ใช่อะไรหรอก เราเกิดมาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มองในมุมกลับกัน เช่น ต้นไม้อาจจะด่ามนุษย์ว่าเธอตัดฉัน เธอปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในขณะที่เราด่าธรรมชาติ

    คุณรู้ไหมว่าธรรมชาติอาจจะด่าเรา มันไม่ช่วยอะไร แนะนำให้เราเรียนรู้จากธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติคือมารดาบิดาของมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของธรรมชาติ คุณไม่ควรไปด่ามารดาบิดาของคุณ ควรจะเรียนรู้จากมารดาบิดาของคุณว่าเขามีธรรมชาติอย่างไร

    พอเราเรียนรู้จากธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เราก็จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย การด่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา การเรียนรู้ธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย

    Q : ถ้าจะต้องมีคนผิดกับเหตุการณ์วิปโยคน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิต และสิ่งมีค่ามากมาย สุดท้ายเราควรจะกล่าวโทษโกรธใคร

    A : จงโทษตัวเองว่าทำไมไม่เรียนรู้ น้ำไม่ได้ท่วมเป็นปีแรก มันท่วมเกือบทุกปี ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนไทยว่าไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเทศที่ประชาชนที่ไม่ยอมเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้น ก็เป็นประเทศที่จะต้องมีชะตาร่วมกัน ในการเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ

    ฉะนั้น เราคนไทยจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เรื่องน้ำให้ดี แล้วมาหาวิธีจัดการเสียให้ถูกต้อง วิถีนี้เท่านั้นที่จะทำให้น้ำไม่ท่วมซ้ำซาก จงอย่าหลงลืมประวัติศาสตร์

    ลุกขึ้นมาศึกษาว่า เราถูกน้ำท่วมมาแล้วกี่ครั้ง แล้วก็หาทางรับมือให้ดีที่สุด ดังนั้นพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การกล่าวโทษไม่ช่วยอะไร มีแต่ตั้งใจเรียนรู้เท่านั้นที่จะรับมือภัยธรรมชาติได้


    ข้อมูลจาก ไทยรัฐ 25 ตุลาคม 2554

    www.tawanth.wordpress.com/2011/10/25/%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b9%8c-%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2-%e0%b8%a7-%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%80/
     
  17. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    คุณลี ที่นับถือ

    สังคมอินเตอร์เน็ต รึสังคมข้างนอก ก็มีคนที่จริตคล้ายๆ กัน มารวมตัวแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน อุปมาว่า ดำดูดดำ เทาดูดเทา ขาวดูดขาว

    ก็ว่ากันไปตามจริตนิสัยพื้นฐานที่สั่งสมมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่ปางไหน

    การที่จะมีใคร ไปทางดำ ทางเทา รึทางขาว แล้วได้ผลเป็นดำ เป็นเทา เป็นขาว ก็ต้องว่ากันไปตามวิบากของกรรม ของแต่ละคน

    ชอบที่คุณ ไม่นิ่งดูดาย ไม่อยากเห็นคนเข้ารกเข้าพง หลงทิศหลงทาง แต่สุดท้ายแล้ว การออกมาเตือน ก็ต้องอยู่ที่คนรับสาห์นอีกนั่นแหละ ว่าเขาจะเอายังไง จะรับ ไม่รับ

    คนเตือนก็ต้อง วาง & ปลง
     
  18. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    ----------

    จขกท. เค้าต้องการแชร์ ผลกระทบกับเหตุการณ์คำนายนี้

    คงจะต้องมีอีกหลายคนที่ต้องได้รับรู้หรือเจอกับตนเอง
    ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตหรือทางธุรกิจ

    ผมซึ่งไม่ชอบพวกที่มันทำนายล่วงหน้าที่ทำให้เกิดผลกระทบ
    ต่อสังคมเป็นวงกว้างจนถึงกับต้องทำให้เศรษฐกิจและผลการดำเนินชีวิต
    ต้องหยุดชะงัก เพราะด้วยคำทำนายนี้อาจส่งผลกระทบกับชีวิตกับเขาเหล่านั้น

    ผมไม่ได้ทำธรุกิจเกี่ยวกับบ้านจัดสรร แต่เพราะว่าแฟนผมเค้า
    วางเงินดาวน์บ้านไว้ 5 พันบาท ก็ต้องยกเลิก เพราะเรื่องปลาบู่ นี่แหละ

    ผมเคยบอกแฟนแล้วเรื่องนี้ อย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับคำทำนาย
    เพราะมันไม่ได้ทำให้เราใช้ชีวิตเป็นอย่างปกติ อย่างที่เราควรจะเป็น

    ***ผู้ที่เห็นใจคนทำนาย แต่ทำไมไม่เห็นใจกับผู้ที่เสียหายกับคนที่หลงเชื่อ
    ว่าเค้าเหล่านั้นเสียหายอะไรและเสียโอกาสอะไรไปบ้าง***
     
  19. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    บังเอิญตอนนี้ยังไม่อะไรทำที่ดีกว่านี่ครับ

    เดี๋ยวมีอะไรที่สำคัญกว่านี้ทำ ผมก็ไปทำเรื่องอื่นแล้วครับ

    แต่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่งอื่นอยู่ในความสนใจครับ :d
     
  20. songkyunkwan

    songkyunkwan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +7

    โอโห มางวดนี้มันหรูว่ะ
    กลายเป็นสมาชิกชั้นพิเศษไปแล้ว


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...