ผลที่คาดไม่ถึงของการทำนายภัยพิบัติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Leeporter, 5 มกราคม 2012.

  1. thaijin

    thaijin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +16
    "จิม โจนส์"ลัทธิฆ่าตัวตายหมู่

    ยู โทเปีย เป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์แบบตามทฤษฎีของเพลโตในสมัยกรี กโรมัน (347 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เซอร์โทมัสมอร์ (Sir Thomas More) นักปรัชญามนุษยนิยมชาวอังกฤษ ได้นิยามคำว่า "ยูโทเปีย" (Utopia) ในหนังสือที่เขาแต่ง ซึ่งกล่าวถึงเกาะแห่งหนึ่งที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสามัคคีกลมเกลียว ไม่มีความขัดแย้ง สงครามหรือการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน

    แต่ในโลกแห่งความจริงแล้วไม่มีใครสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้หรอก ...แต่มีคนหนึ่งเขาเชื่อมากๆ ว่าเขาสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้

    เขาคือ "จิม โจนส์"

    จิม โจนส์ มีบุคลิกภาพเป็นนักต่อต้านสังคม จากเริ่มแรกทำอาชีพเป็นเซลล์แมน เมื่อเขาได้รู้เรื่อง "ยูโทเปีย" เขาไม่ยอมเชื่อว่าสถานทีแห่งนั้นไม่สามารถสร้างได้ในโลกใบนี้ ด้วยความคิดนี้เขาได้ชักชวนสาวกและผู้เสื่อมใสศรัทธาในตัวเขา จากนั้นก็ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิใหม่ ออกเดินทางไปตั้งอาณาจักรยูโทเปียที่กลางป่าลึก ในประเทศกีอาน่า ดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศส ในทวีปแอฟริกา

    การสร้างสังคมอุดมสุขของ จิม โจนส์ ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่นานมันก็ยิ่งเหลวแหลก ในที่สุดสังคมในฝันของเขาก็เกิดอาการซ็อก ...วันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 จิม โจนส์และสาวกร่วม 914 คน พากินยาพิษฆ่าตัวตาย ...และนี่คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตายที่ได้รับการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นการ ฆ่าตัวตายหมู่โดยเจตนามากที่สุดในโลก


    [​IMG]Jim Jones หรือ James Warren Jones (1931 - 1978)


    จิม โจนส์ เกิดเมื่อ 13 พฤษภาคม 1931 ในครอบครัวยากจนที่รัฐอินเดียน่า ประเทศอเมริกา เจมส์บิดาของเขาซึ่งเป็นสมาชิก KKK นั้นทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เขาอายุ 12 ปี ลีเน็ตต้าผู้เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงเขามาลำพังคนเดียวนั้นรักลูกตัวเองมากและมัก จะบอกกับคนอื่นว่าลูกของเธอเป็นเหมือนนักบุญมาตั้งแต่เกิด ลีเน็ตต้าเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครของท้องถิ่นและให้ความช่วยเหลือผู้ด้อย โอกาสคนอื่นๆ ประกอบกับเขตที่จิมอาศัยอยู่นั้นเป็น Fundamentalism (กลุ่มผู้มีความเชื่อในไบเบิ้ลว่าทุกคำในไบเบิ้ลนั้นเป็นความจริง) เสียส่วนใหญ่ จิมจึง เติบโตขึ้นเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า เขาเริ่มท่องจำไบเบิ้ลตั้งแต่อายุ 8 ปี และเมื่ออายุ 12 เขาก็สามารถเทศน์เด็กในละแวกบ้านราวกับเป็นนักบวชจริงๆ เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมก็ไปเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นบาทหลวงของเมโธดิสต์ พออายุ 21 ปี เขาก็ได้พบกับ มัลเซลีน บอลด์วินด์ ซึ่งเป็นนางพยาบาล (มีบางที่กล่าวว่าเธอเป็นลูกของนักเผยแพร่ศาสนาด้วย) และแต่งงานกัน พร้อมกันนั้นเอง จิมก็ถอนตัวออกจากเมโธดิสต์ออกมาเป็นนักเผยแพร่ศาสนา

    จิมเริ่มทำการเผยแพร่คำสอนโดยมีกลุ่ม เป้าหมายหลักเป็นคนผิวดำในเขตเกตโต้ (Ghetto) และตั้งโบสถ์มวลชน (Peoples Temple) ขึ้นมาในปี 1957 แน่นอนว่าเงินทุนย่อมมีน้อย เขาจึงเริ่มธุรกิจการเพาะพันธุ์ลิงมาขายเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือคนผิวดำ คนที่มีทัศนคติแบ่งแยกสีผิวไม่พอใจในการกระทำของจิม เขาถูกด่าว่าอย่างไม่มีเหตุผล มีคนปาหินใส่บ้าน ซึ่งบางครั้งก็ยกระดับมาเป็นระเบิดขวด ถึงกระนั้นจิมก็ไม่ยอมแพ้และทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นพลเมืองผิวดำของอินเดียน่าโพลิสกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอเมริกากำลังรณรงค์การมีส่วนร่วมในการปกครองของคนผิวดำและอาศัยว่า จิมมีพรสวรรค์ในการเทศน์ผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้นและโบสถ์มวลชนก็ขยาย ตัวอย่างรวดเร็ว

    ปี 1959 จิมรับเด็กเชื้อสายนิโกรและเด็กเชื้อสายเกาหลีอย่างละคนมาเป็นบุตรบุญธรรม นอกเหนือไปจากลูก 2 คนของเขากับมัลเซลีนและเรียกครอบครัวของตัวเองว่า Rainbow Family ทั่วอินเดียน่าโพลิสเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของจิม เขาให้ความช่วยเหลือแก่คนผิวดำในรูปของอาหารและที่หลับนอน ซึ่งรวมไปถึงการหางานให้ทำด้วย เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้เป็นนักศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก หากยุคสมัยก็ทำให้หนทางนั้นบิดเบือนไป

    อเมริกาในยุคปี 60 นั้นเต็มไปด้วยความคิดเรื่องการต่อต้านสงครามและการรณรงค์สิทธิเสรีภาพ จิมได้รับอิทธิพลความคิดจากบาทหลวง คิง มัลคอม และแบล็คแพนเธอร์มาอย่างมาก

    เขาตั้งอุดมคติเป็นสังคมแบบสังคมนิยม ซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติและเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสี ผิวทั้งการออกเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ และการที่ ทิมส์ สโตน (ทนายซึ่งเป็นฮิปปี้มาก่อน) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของเขาในช่วงนี้ก็ยิ่งทำให้จิมยึดมั่นในแนวคิดนั้นมาก ยิ่งขึ้น จากนั้น จิม โจนส์ ก็ตั้งสัทธิของตนเองขึ้นคือ "ลัทธิดินแดนสวรรค์"

    เมื่อจิม โจนส์ ตั้งลัทธิตนเองได้ เขาประกาศว่า "ในลัทธิของพวกเราจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ความรุนแรงจะต้องหมดไปจากโลก เหมือนสะเก็ดเนื้อหนังหลุดออกไปจากมือ จากเท้าคนป่วยขี้เรื้อนกุดถัง"

    โครงการหนึ่งที่จิม โจนส์ สร้างศรัทธาต่อสาวก คือโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตาย เมื่อปี 1977 จิม โจนส์ และสาวกผู้ติดตามกว่า 500 เดินทางไปสะพานโกลเดนเกท เพื่อต่อต้านการฆ่าตัวตาย ซึ่งสะพานแห่งนี้ชาวอเมริกันนิยมมาฆ่าตัวตายมากที่สุด และอีกครั้งงจิมและสาวกหนึ่งคันรถบัสเดินทางไปที่คุกแห่งหนึ่งเพื่อเยี่ยม นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหาที่ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งการกระทำของศาลถือว่าผิดต่อรัฐอย่างร้ายแรงมาก จิมตั้งเวทีปราศรัยหน้าคุก เขาเรียกร้องให้ชาวอเมริกันมีเสรีภาพต่อการพูด คิดและเขียน และยินดีเป็นโซ่กลางระหว่างอำนาจรัฐและวงการสื่อมวลชน

    นั่นเองที่ทำให้จิม โจนส์ ได้รับถ้วยรางวัลและเหรียญเชิดชูเกียรติต่อการทำงานรับใช้สังคมมากมาย ในจำนวนนั้นเขาได้รับเหรียญ "ลาเฮอราลด์" เป็นเหรียญสำหรับผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน (เมื่อปี 1978)
    [​IMG]

    น่าเสียดายความจริงจิมน่าจะได้เป็นนัก ศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกก็ว่าได้ แต่แล้วจิมก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วและคนดีในเวลาเดียวกัน ...

    แน่นอนการกระทำของจินหลายคนไม่เห็น ด้วย โดยเฉพาะพวกเหยียดสีผิว ทำให้ผู้คนเริ่มจับตามองการเคลื่อนไหวของโบสถ์ ทำให้จิมรู้สึกอ่อนไหวต่อปัญหาซึ่งเพ่งเล็งมายังตัวเขา จิมเห็นรัฐบาลและผู้แยกตัวออกจากโบสถ์เป็นศัตรูและจัดให้มีองครักษ์อยู่ข้าง ตัวเขาเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งส่งคนไปคอยจับตาดูบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์ด้วย

    หลังจาก The Cuban Missile Crisis ในปี 1962 จิมแสดงท่าทีหวาดกลัวต่อปรมาณูเป็นอย่างมาก ในไม่ช้าเขาก็อ้างว่าได้รับบัญชาจากพระเจ้า "ในไม่ช้าโลกจะถูกปรมาณูฆ่าล้างผลาญ มีแต่ผู้อยู่ในเวโลโอริซอนเด้ในบราซิลและยูเกียในแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะ รอดชีวิต" เขาตัดสินใจย้ายโบสถ์ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่จิมก้าวพลาดจากหนทางของคนปกติ

    ปี 1965 จิมย้ายโบสถ์ของเขามายังยูเกียในแคลิฟอร์เนียตามคำทำนายของตัวเอง เขาเทศน์เรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือผู้ไม่อาจปรับตัวเข้ากับสังคม คนตกงาน คนมีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์เติบโตอย่างรวดเร็ว หากในขณะเดียวกัน จิมก็เริ่มมีท่าทีรุนแรงขึ้น ระหว่างการเทศน์เรื่องไคน์และอาเบล จู่ๆ จิมก็ขว้างไบเบิ้ลทิ้ง "ผมไม่เชื่อในพระเจ้าที่ถูกสมมติขึ้นหรอก บนฟ้ามีสวรรค์อยู่ที่ไหน โลกที่เราอยู่นี่แหละคือนรกเพียงหนึ่งเดียว" เป็นการปฏิเสธในหลักคำสอนจนยากจะเชื่อได้ว่าเขาเป็นนักศาสนาจริง หากสำหรับผู้คนซึ่งใช้ชีวิตอยู่อย่างยากแค้น คำพูดเหล่านี้กินใจพวกเขาเป็นพิเศษ

    [​IMG]
    ปี 1967 จิมย้ายโบสถ์ไปยังซานฟรานซิสโก คนนับพันคนมาชุมนุมที่โบสถ์ทุกครั้งที่มีพิธีมิซา จิมให้ความช่วยเหลือผู้ยากจนและได้แรงงานเป็นสิ่งตอบแทนเช่นที่ผ่านมา แต่ถึงตรงนี้เขามีสาวกในมือมากราวกับเป็นกิจการขนาดใหญ่ เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างเส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารเมืองและมีฐานะถึงขนาดมีนักการ เมืองระดับประเทศมาหาถึงบ้าน ในตอนนี้จิมเป็นเหมือนกับวีรบุรุษของเหล่าสาวกทีเดียว หากในความเป็นจริงแล้ว สภาพจิตใจของจิมไม่ค่อยปกตินัก เขาอารมณ์รุนแรงและต้องพึ่งยาระงับประสาท บ่อยครั้งแนวคิดของจิมเอนเอียงไปยังระบอบสังคมนิยม แม้แต่ในพิธีมิซา เขาก็เริ่มเทศน์ "ในนามของระบบสังคมนิยมอันศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งกล่าวว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อใน Christian Communalism นี้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้มีอิสระ และในขณะเดียวกันก็เริ่มการรักษาโรคด้วยปาฏิหารย์เช่นการรักษามะเร็งหรือ รักษาคนตาบอด

    จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมด แก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์ โดยบอกว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ เมื่อมีคนแคลงใจก็กล่าวว่าเพราะคนผู้นั้นมีความศรัทธาไม่เพียงพอและบอกกับ สาวกของตัวเองว่าสังคมภายนอกเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่ควรจะเชื่อข้อมูลของคนนอกโบสถ์และในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ ฉันท์ชู้สาวกับสาวก (ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) ทำให้ชีวิตแต่งงานของเขาและมัลเซลีนเริ่มระหองระแหง จิมสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฏให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้ความสัมพันธ์ของ ครอบครัวอ่อนลง เด็กๆ ถูกแยกจากพ่อแม่ และการทำเช่นนี้เองทำให้ความสนใจทุกประการของสาวกมารวมกันยังโบสถ์และทำให้ พวกเขาปล่อยมือจากทรัพย์สมบัติไปอย่างง่ายดาย (แน่นอนว่าเข้ากระเป๋าโบสถ์แทน)

    จิมถูกครอบงำด้วยความคิดว่าพวกเขาจะ ถูกข่มเหง เขาสั่งให้สาวกเรียกตัวเองว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" และเริ่มเทศน์เกี่ยวกับ Translation ซึ่งมีใจความว่า "ท้ายที่สุดนั้น สาวกทุกคนต้องฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ที่ดาวดวงอื่น" จิมยึดติดกับความคิดนี้จนถึงกับมีการทำรายชื่อของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่า ตัวตายหมู่และกล่าวโจมตีคนเหล่านั้นต่อหน้าคนอื่น

    ปี 1973 ก่อนที่การต่อต้านโบสถ์มวลชนจะเป็นรูปร่างขึ้น จิมเริ่มวางแผนจะย้ายสาวกไปยังกูยาน่าในอเมริกาใต้และสร้าง "โจนส์ทาวน์" ขึ้นบนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ กล่าวกันว่าเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเตรียมการนี้กินเงินเป็นล้านดอลล่าร์ที เดียว จิมเรียกมันว่า "ยูโทเปีย" นี่คือยูโทเปียของจิม เขาจะใช้ที่แห่งนี้เผยแพร่ความคิดของเขาแก่สาวก ที่แห่งนี้ทุกคนจะอยู่อย่างเท่าเทียมและสงบสุข ...

    โจนส์ทาวน์ถูกสร้างขึ้นโดยมีหนทางสื่อ สารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์และโทรศัพท์คลื่นสั้น ซึ่งการสื่อสารเหล่านี้ก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ที่นี่เป็นเหมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิม สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วโจนส์ทาวน์ถูกดูแลด้วยกลุ่มคนผิวขาวหยิบมือเดียว คนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีใน ตอนกลางคืน ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึง ตี 2-ตี 3 ของอีกวัน

    หนำซ้ำระบบสาธารณูปโภคของที่นี่ก็ใช่ ว่าจะดีนัก ทุกคนต้องต่อสู้กับโรคเมืองร้อนและโรคระบาดต่างๆ กฏมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่จำไม่ได้ คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไปจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งการลงโทษได้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมานและจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศ ว่ากันว่า ผู้ใดที่คิดหลบหนีจากยูโทเปียของจิม ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ผู้ใหญ่ หากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ "โพรงแห่งทุกข์ทรมาน" โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย และนานวันเข้าสาวกหลายรายในโจนส์ทาวน์เริ่มเบื่อหน่าย โดยเฉพาะการเผยแพร่ความเชื่อของจิมผ่านเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงที่ หน้าวิหารเทวาลัยมันเริ่มหนวกหู เพราะต้องทนเสียงประกาศทั้งวันทั้งคืน จนหลายคนคิดว่านี้ไม่ใช่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อย่างที่โฆษณาไว้ ในปีเดียวกันนี้เองจิมถูกจับในข้อหาทำอนาจารต่อผู้ชายที่มัคคาซ่าร์ปาร์ค (ที่ชุมนุมเกย์) เขายอมเซ็นในเอกสารยอมรับความผิดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเป็นการ "เตรียมตัว" โบสถ์มวลชนมีการซ้อมพิธีฆ่าตัวตายหลายครั้งตั้งแต่ก่อนการย้ายไปกูยาน่า ครั้งแรกสุดนั้นถูกจัดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1976 จิมรวบรวมสาวก 30 คนมาโดยกล่าวว่าจะฉลองด้วยการดื่มไวน์ และเมื่อทุกคนดื่มแล้วก็บอกว่า "ไวน์นี้มีพิษ พวกเราคงจะตายในไม่ช้า" แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องโกหกและหลังจากนั้น จิมก็มีทำการ "ซ้อม" ทำนองนี้อีกหลายครั้ง (คราวนี้บอกล่วงหน้าว่ามียาพิษ) มีการตรวจว่าสาวกได้ดื่มไวน์ในแก้วไปจนหมดหรือไม่ เหมือนกับเป็นการวัดความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง

    ปี 1977 โบสถ์มวลชนย้ายสาวกมากกว่าพันคนไปยังกูยาน่า การ "ซ้อม" ก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวกันว่าในปีสุดท้ายนี้ มีการซ้อมฆ่าตัวตายถึง 43 ครั้งทีเดียว (วันไหนที่มีการซ้อม เวรทำอาหารจะถูกยกเลิกล่วงหน้า เมื่อซ้อมเสร็จจึงค่อยมาเตรียมอาหารกัน ดังนั้นพอไม่มีเวรทำอาหาร สาวกจึงรู้ว่าวันนี้จะมีการซ้อม)

    ในปีนี้ เกรซ สโตน ซึ่งเคยเป็นคนรักของจิม ออกมาแฉเบื้องหลังของโบสถ์ทำให้สื่อมวลชนเปิดศึกโจมตีโบสถ์มวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากออกมาฟ้องศาลและสาวกซึ่งหนีจากโจนส์ทาวน์ไปขอความ ช่วยเหลือจากสถานฑูตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มแอนตี้โจนส์ขึ้นมา แล้วรัฐบาลอเมริกาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ สส.ไรอัน จากรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นจดหมายขอไปทำการตรวจโจนส์ทาวน์แก่จิม เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น แล้วม่านสุดท้ายของโศกนาฏกรรมในโจนส์ทาวน์ก็ถูกยกขึ้น

    [​IMG]14 พฤศจิกายน 1978 ไรอันพร้อมกับนักข่าว อดีตสาวกและครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คนได้ไปยังกูยาน่า หลังจากการเจรจาผ่านทนายเป็นเวลาหลายชั่วโมง โจนส์ทาวน์ก็ยอมเปิดประตูรับพวกเขาเข้าสู่ภายในในครั้งแรกนั้น การตรวจเป็นไปอย่างไม่มีปัญหา เด็กๆ เล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นอย่างร่าเริง ผู้ใหญ่ทำงานในไร่อย่างอิสระไม่มีทีท่าว่าถูกบังคับ พอตกค่ำจิมก็จัดเลี้ยงพวกเขาและกล่าวอย่างภูมิใจว่าผักผลไม้และกาแฟเหล่านี้ ล้วนเก็บสดๆ มาจากไร่ของที่นี่เอง พวกไรอันเกือบจะเชื่อว่าข้อครหาต่อโจนส์ทาวน์เป็นเพียงข่าวลือ หากในวันที่ 4 ของการพักที่โจนส์ทาวน์นี้เอง นักข่าวคนหนึ่งก็พบกระท่อมที่ผิดปกติหลังหนึ่ง ในกระท่อมนั้นคนแก่และคนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆ จนแน่นไปหมด ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่มเหม็น แมลงวันบินให้ว่อน มีกระทั่งตัวหนอนคลานอยู่จนทั่ว เมื่อนักข่าวจะถ่ายรูปก็มียามมาห้ามไว้ และเมื่อพวกไรอันถามเรื่องนี้กับจิม เขาก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาทันที (จิมในตอนนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวานและยาที่เขากินก็มีผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็โกรธ)

    18 พฤศจิกายน ไรอันออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการและพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ลารี่ เลย์ตัน หนึ่งในสาวกที่ถอนตัวมา ก็ชักปืนออกมายิงพวกไรอัน พร้อมกับที่กลุ่มคนติดอาวุธออกมาล้อมเครื่องบินไว้และเริ่มการยิง สส.ไรอันและผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต หลังจากการโจมตีนี้ ในเวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิมรวบรวมสาวกทั้งหมดมาร่วมในพิธีของ "ไวท์ไนท์"


    คืนสุดท้ายในโจนส์ทาวน์

    นางพยาบาลนำถังใส่ไซนาไนด์ออกมา ซึ่งไซยาไนด์เหล่านี้ถูกผสมกลิ่มผลไม้ให้ดื่มง่าย พวกเขาฉีดไซยาไนด์ให้กับเด็กๆ ก่อน เพื่อที่เด็กๆ จะไม่ร้องโวยวายออกมาให้เสีย "พิธี" จากคำให้การของผู้รอดชีวิต ใช่ว่าสาวกทุกคนจะยินยอมพร้อมใจกับการฆ่าตัวตายนี้ มีทั้งผู้คัดค้านและผู้ที่พยายามจะหนี หากทั้งหมดก็ถูกสาวกคนอื่นจับไว้และกรอกไซยาไนด์ลงปากหรือถูกยิงอย่างไม่ ปราณี เด็กๆ พากันร้องไห้และพ่อแม่ก็เกิดอาการฮิสทีเรีย แต่โดยรวมๆ แล้วไม่มีการขัดขืนมากนัก โดยเฉพาะคนชราซึ่งเฝ้ารอคิวของตัวเองอย่างสงบ คนที่ถึงคิวกล่าวคำอำลากับคนรู้จักแล้วดื่มยา อีกประมาณ 5 นาที ก็จะเกิดอาการทรมานทุรนทุรายจนกระทั่งตายไป

    มีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดออกมาได้ จากสาวกกว่า 1100 คน มีเพียง 167 คนที่รอดมาได้และในจำนวน 900 กว่าคนที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่าโดยคนอื่น มีทั้งศพที่ถูกยิงจากข้างหลังและศพที่อยู่ห่างจากแก้วยาพิษจนไม่มีความเป็น ไปได้ที่เขาจะเอื้อมไปถึง เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายหลังมีการนำเทปซึ่งบันทึกคืนสุดท้ายของโบสถ์มวลชนมาออกอากาศ "การฆ่าตัวตายนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ นี่คือการต่อต้านอำนาจรัฐ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติ" ศพของจิมถูกพบบนแท่นพิธี ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน ไม่ทราบว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมกันแน่ แต่ดูจากสถานการณ์โดยรวม คนส่วนใหญ่ต่างก็ลงความเห็นว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า



    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]







     
  2. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    ยู โทเปีย ที่จิม โจนส์กับสาวกถวิลหา ก็ไม่ต่างอะไรกับลัทธิโลกพระศรีอาริย์นั่นแหล่ะครับ

    ในเมืองไทยมีผู้พยายามเป็นเจ้าลัทธินี้หลายราย

    รายล่าสุดก็พ่อปลาบู่ที่ไม่กล้าเป็นเอง แต่อุปโลกน์เอาลูกตัวเองขึ้นมาเป็นแทน

    ใครบอกว่าผมพูดผิด เถียงได้ครับ

     
  3. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    ส่วนตัวอย่างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

    ก็เช่น "อริยกิจลับ" ของปรมาจารย์ฮั้วโต๋ ที่มีกิจกรรมการทำให้ภัยพิบัติเลื่อนออกไปได้

    เมื่อมีผู้เลื่อมใสมาก กิจกรรมต่อๆ ไปก็จะพัฒนาขึ้นพัฒนาขึ้นจนถึงจุดที่ทำให้เกิดอันตรายกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมของลัทธิดังกล่าว หรือเกิดการเสียเงินเสียทองให้แก่เจ้าของลัทธิได้

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4.294356/

    ผมจึงอยากฝากบอกผู้ที่ทำงานด้านความมั่นคงของประเทศ ช่วยเข้ามาสอดส่องกิจกรรมต่างๆ ที่เจ้าลัทธิในนี้ตั้งขึ้นมาบ้าง

    ก่อนที่จะกลายเป็นวัวหายล้อมคอกไปอีกกรณีหนึ่ง
     
  4. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างของลัทธิที่สร้างอันตรายแก่เจ้าของลัทธิเองและสมาชิกในลัทธิ

    ยังมีลัทธิบางอันที่ไม่ได้ทำร้ายตัวเองแต่ทำร้ายผู้อื่น

    ที่โด่งดังที่สุดก็คงเป็นลัทธิโอมชินริเกียวซึ่งมีโชโกะ อาซาฮาระเป็นเจ้าของลัทธิ

    หากคุณคิดว่าคุณเป็นผู้มีการศึกษาสูง ไม่มีทางตกเป็นเหยื่อลัทธิอันตรายเหล่านี้ได้

    จงคิดใหม่

    อาซาฮาระสามารถโน้มน้าวนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ วิศวกร ระดับหัวกระทิของญี่ปุ่นให้กลายเป็นสาวกออกไปสร้างความเสียหายต่อสังคมได้

    อาซาฮาระเคยอ่านคำทำนายของนอสตราดามุสและเกิดความฝังใจในเรื่องโลกแตกและเริ่มเกิดภาพหลอนนิมิตเกี่ยวกับโลกแตกซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์สลดในญี่ปุ่นโดยสมาชิกซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของอาซาฮาระตั้งโรงงานผลิตแก๊สพิษนำไปปล่อยในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อล้างโลกและให้เกิดโลกใหม่

    อันนี้เป็นรายละเอียดของเหตุการณ์
    --
    ลัทธิโอมชินริเกียว (ปัจจุบันใช้ชื่อว่า เอลป์) เป็นลัทธิในประเทศญี่ปุ่นที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดย มัตซึโมโตะ ชิซูโอะ แต่เรียกกันภายในลัทธิว่า โชโกะ อาซาฮาระ มีสาวกนับหมื่นคนทั้งในญี่ปุ่นและรัสเซีย สอนให้ใช้การฝึกจิต การเข้าสมาธิ และโยคะ เพื่อให้ถึงการรู้แจ้ง เจ้าลัทธิยังมีความเชื่อเรื่องโลกาวินาศ ต้นทศวรรษ 1990 ได้ออกคำพยากรณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติในญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 3

    ชื่อของลัทธิมาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต โอม (ओम्) ตามด้วยตัวหนังสือคันจิ ชินริเกียว (Shinrikyō) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อลัทธิเป็น เอลป์ (ʾĀlep) ซึ่งหมายถึงอักษรตัวแรกในภาษาฮีบรู (א) และภาษาฟินิเชีย ()
    ลัทธินี้เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว หลังผู้นำของลัทธิปล่อยแก๊สพิษซาริน โจมตีสถานีรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน ทำให้ญี่ปุ่นต้องแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการตรวจสอบป้องกันและให้อำนาจสั่งเลิก และ ยุติลัทธิพิธีที่เห็นว่าอันตราย

    ที่มา: ลัทธิโอมชินริเกียว - วิกิพีเดีย

    --

    อันนี้เป็นวิดีโอที่เขาศึกษาว่าผู้นำลัทธิเหล่านี้สามารถควบคุมให้สาวกเชื่อฟังได้อย่างไร และตัวอย่างเจ้าลัทธิต่างๆ ที่สร้างอันตรายต่อสังคม

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=PLejgoNRpoA]Most Evil Cult Leaders 1/5 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wWgOxnEW8cM]Most Evil Cult Leaders Pt 2/5 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=TKB_TnNUCOQ]Most Evil Cult Leaders Pt 3/5 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WbddzR4lgLg]Most Evil Cult Leaders 4/5 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=UFxwiRq-VHc]Most Evil Cult Leaders 5/5 - YouTube[/ame]





     
  5. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    และสำหรับท่านที่นึกไม่ออกว่าเจ้าลัทธิเขาทำอย่างไรจึงสามารถโน้มน้าวผู้ที่คิดว่่าตัวเองฉลาดให้กลายเป็นสาวกเชื่องๆ ที่สามารถฆ่าตัวเองหรือผู้อื่นได้

    ลองดูคลิปนี้ครับ เป็นเทคนิคที่จะสอนให้คุณเป็นเจ้าลัทธิได้

    ลองดูว่าคุณเคยผ่านเทคนิคต่างๆ นี้มาแล้วมากน้อยเพียงใด


    http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=mnNSe5XYp6E
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2012
  6. thaijin

    thaijin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +16
    ลัทธิโอมชินริเคียว เคยได้ยินครับร้ายกาจมาก ปล่อยแก๊สฆ่าคนในสถานีรถไฟใต้ตินที่ญี่ปุ่น
    ลัทธิโอมชินริเกียว

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- /jumpto --><!-- bodycontent -->[​IMG]
    ลัทธิโอมชินริเกียว (ญี่ปุ่น: オウム真理教 Ōmu Shinrikyō <SUP>?</SUP>) (ปัจจุบันใช้ชื่อว่า เอลป์) เป็นลัทธิในประเทศญี่ปุ่นที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดย มัตซึโมโตะ ชิซูโอะ แต่เรียกกันภายในลัทธิว่า โชโกะ อาซาฮาระ มีสาวกนับหมื่นคนทั้งในญี่ปุ่นและรัสเซีย สอนให้ใช้การฝึกจิต การเข้าสมาธิ และโยคะ เพื่อให้ถึงการรู้แจ้ง เจ้าลัทธิยังมีความเชื่อเรื่องโลกาวินาศ ต้นทศวรรษ 1990 ได้ออกคำพยากรณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติในญี่ปุ่นและสงครามโลกครั้งที่ 3
    ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อลัทธิเป็น เอลป์ (ʾĀlep)
    ลัทธินี้เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว หลังผู้นำของลัทธิปล่อยแก๊สพิษซาริน โจมตีสถานีรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน ทำให้ญี่ปุ่นต้องแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการตรวจสอบป้องกันและให้อำนาจสั่งเลิก และ ยุติลัทธิพิธีที่เห็นว่าอันตราย

    แปลตรง ๆตัวนะครับ
    โอม มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต โอม (ओम्)
    ชินริ 真理(shinri)แปลว่า ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง
    เกียว 教 ศาสนาหรือลัทธิ

    ผมว่าทุกวันนี้มีเยอะมากพวกลัทธิปีศาจเหล่านี้ สงสารแต่พวกที่หลงงมงาย แบบไม่มีสติ
    ฉนั้นชาวพุทธควรมีสติให้มาก ๆจะได้ไม่ต้องไปกินหญ้า
     
  7. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  8. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    "สัตว์
    ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
    เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
    มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรม
    เป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์
    ให้เลวและประณีตได้"

    ส่วนอันนี้ผมเคยได้ยินคนสวดกันคือถ้าไม่ให้คนศรัทธราในกรรมแล้วมานั่งสวดกันทำไมครับข้ามบทนี้ไปผมไม่เก่งเรื่องศาสนาผมไม่ใช่นักบวชและไม่ใช่คนที่กางตำราที่แปลมาจากภาษาบาลีมาสอนใคร ๆ ได้ครับผมว่าถึงเรื่องจริงของชีวิตมนุษย์ที่เหตุมันจะเกิดและผลมันจะตามมาอย่างท่านเจ้าของกระทู้น่ะครับ ผมไม่เข้าใจว่าเอะอะอะไรก็เอาศาสนามาอ้างทั้งไทยและเทศให้คนเชื่อเพราะว่าถ้าผู้วิเศษเอย ผู้ระลึกชาติเอย หมอดูเอย หรือผู้ที่เอาพระสงฆ์มาแอบอ้างเอย ทำไมไม่ย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่เดียวกันครับในเมื่อมันจะเกิดเหตุแบบคำทำนายคนเหล่านั้นอพยพหนีไปสิครับคนไม่เชื่อก็ปล่อยเค้าไป แต่นี่เปล่าเลยผมก็เห็นใช้ชีวิตอยู่ในที่ ๆ คนเหล่านั้นบอกว่าจะมีคนตายมากมาย
    ยิ่งปีนี้ด้วยแล้ว คนสร้างข่าวปลุกกระแสก็ยังอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ ทำไมไม่หนีครับท่าน นี่คือเหตุผลง่าย ๆ ใช้ความคิดครับอย่ากางตำราภาษาบาลี คำสอนทางศาสนาเลยครับ เรื่องง่าย ๆ ที่ไม่คิดก็ไม่มีวันรู้
     
  9. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    ทุกคำเป็นคำสอนที่ดี... แต่มักลงท้ายด้วยวจีส่อเสียด ปรามาสกันทั้งนั้น so BADD
     
  10. scoopynoi

    scoopynoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +727
    ผมไม่ชอบหรอกครับส่อเสียด แต่เอาศาสนามาเล่นกันมากเกินไป คนจะทำเค้าทำเอง การที่เราชวนคนอื่นทำนู่นทำนี่ เช่นชวนทำบุญ แต่เค้าไม่อยากทำแต่ต้องจำใจทำคนชวนบาปนะครับ ผมแสดงเจตนาแน่แท้เลยว่า ถ้าทุกอย่างเป็นจริงตามคำทำนายคนที่ทำนายต้องย้ายถิ่นที่อยู่ก่อนไม่ใช่เหตุจะเกิดแต่ยังดำรงชีพอยู่ในถิ่นที่เค้าทำนาย แล้วก็บอกว่าให้ย้ายไปที่นู่นที่นี่ มันพิกลครับ
     
  11. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ท่าทางจะไม่ชอบคุณฮัวโต๋เอามากๆ ผมว่าลัทธิที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่ลัทธิจานบินหรอกหรือครับ :)
     
  12. ภูติอาคเนย์

    ภูติอาคเนย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ขอบคุณครับ จริงๆแล้วนี่ก็เป็นการเตือนภัยชนิดหนึ่งเหมือนกันนะ ภัยจากมิจฉาชีพและลัทธินอกรีต ที่หากินกับผู้มีศรัทธาจริตสูง ซึ่งนับวันจะมีเพิ่มขึ้นมากกว่าภัยพิบัติจากธรรมชาติเสียอีก และกลุ่มเหล่านี้น่ากลัวมากในภาวะที่ประเทศหรือบ้านเมืองเกิดวิกฤติ แต่เชื่อว่าผู้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย อย่างมั่นคง ย่อมพ้นจากการครอบงำของกลุ่มเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ดีหากลดการใช้คำส่อเสียดจะเป็นการดีกว่านี้ครับ
     
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    กระทู้นี้ดี ให้ข้อมูลอีกด้าน

    เพราะสังคมที่เป็นธรรม มันต้องมีแง่มุมแตกต่าง ให้คนหาความรู้ รับฟังกันหลายๆ ด้าน

    ถ่วงดุล คานกันไป ไม่ใช่ตุงอยู่ หน่วงอยู่ ขั้วไหนขั้วหนึ่ง

    ยังงั้นมันไม่หลากหลายทางความคิด


    [​IMG]

    ดีเหมือนกัน ที่ทีมงานย้ายมาห้องนี้ คนเข้ามาอ่านเยอะดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  14. คนทำสงคราม

    คนทำสงคราม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +24
    ท่าทางจขกทคงจะผิดหวังเรื่องทำนายภัยพิบัติหลายรอบ
    ของเลยขึ้น คงจะเตรียมตัวไปเยอะไม่มาซักที ชิมิชิมิ
     
  15. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    อ่านโพสแรกของ จขกท. แล้วคิดอีกอย่าง

    มองว่าเขาพยายามเปิดโลก ให้ข้อมูลอีกด้านกับสังคมมากกว่า ว่ามีคนบางกลุ่ม ที่รับข้อมูลแล้ว ตกใจอย่างหนัก เรียกว่าหนักกว่าชาวบ้านทั่วไป คิดได้อย่างเดียว คือคิดสั้น เลยพากันตายหมู่

    [​IMG]
     
  16. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,162
    ขอแสดงความเห็นในฐานะคนเป็นผู้นำกลุ่มบ้างนะครับ ผมเองก็มีกลุ่มของผมเหมือนกันผมเป็นผู้นำด้วย ซึ่งจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะโทษว่าเป็นผู้นำคนเดียวที่นำผิดก็ไม่ได้นะครับ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดจะเชื่อตามสิทธิของตนเสมอ ไม่มีใครไปบังคับใครให้เชื่อได้หรอกครับ ต่อให้จะใช้วิธีไหนๆ สุดท้ายคนที่จะต้องยอมรับความจริงก็คือตัวตนของเขาเอง ผมมองว่าเป็นเรื่องดีที่จะตรวจสอบผู้นำเหล่านี้บ้างว่ามีแนวโน้มจะผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็นไหม แต่ไม่เห็นด้วยถ้าจะเหมาเอาผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าเป็นผลจากผู้นำหรือคนที่สร้างกระแสข่าวลือ เพราะที่เขาสื่อสารบอกออกมาก็เป็นแค่ข้อมูลๆ นึงเท่านั้น เราเองต่างหากเคยจะคิดไตร่ตรองตามเหตุตามผลหรือเปล่า ถ้าข้ามข้อนี้ข้อเดียวก็จบแล้วยังไม่ต้องไปพูดถึงความเชื่อความศรัทธาหรอกครับ แล้วคนประเภทนี้มีน้อยเสียที่ไหน มีเยอะมากนะครับ แล้วจะไปนั่งเห็นใจคนประเภทนี้จริงๆ หรือครับ คิดดูให้ดีๆ นะครับ

    เพราะผมเข้าใจจุดนี้ดี กลุ่มผมเลยเหมือนไม่ใช่กลุ่มไม่ได้มีกิจกรรมที่จะร่วมกันทำอะไรใหญ่โต ไม่เคยเรี่ยไรเงิน ไม่เคยสั่งให้ใครต้องทำตามคำสั่ง มีแต่ให้ความรู้สิ่งไหนรู้ก็ตอบตามความรู้อันไหนไม่รู้ไม่ทราบก็พูดตรงๆ ไม่ทราบ ทุกอย่างที่บอกที่สอนถ้าคิดว่าส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็ค้านได้ทันที ซึ่งบางทีผมเองก็ยังผิดพลาดเลยขอโทษหรือแก้ข้อมูลที่บอกไปใหม่กับสมาชิกก็มี ก็ไม่เห็นว่าเขาจะว่าผมเป็นผู้นำไม่ได้หรือไม่มีความเป็นผู้นำอะไรเลย มีแต่กลับยิ่งศรัทธาเพิ่มมากขึ้น ก็ดูอยู่ว่ากลุ่มผมจะพอช่วยอะไรสังคมได้ไหม แต่ก็พยายามอย่างที่สุดก็แล้วกัน
     
  17. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ทำไมกระทู้นี้ไม่ไปอยู่ห้องภัยพิบัติคะ ตรงกลุ่มเป้าหมายกว่ากันเยอะเลยนะ
     
  18. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    "บางคนที่ผิดปกติทางจิต สามารถสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมา และเชื่อมันได้อย่างสนิทใจ ตัวตนของเขายอมเปิดทางให้กับจินตนาการที่เพ้อเจ้อ และที่มาของมัน"

    บางคนเชื่อจริงๆว่าตัวเองเป็นเจ้าแม่กวนอิมมาเกิด เชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งคำพูดและการแสดงออกของเขามีความมุ่งมั่น จริงจัง จนพลอยให้คนอื่นๆเชื่อตามเขาไปด้วย

    เพราะฉะนั้นคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นโรคจิต ที่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองจินตนาการขึ้นมา หรือใครเป็นคนปกติที่พูดความจริง จนกว่าคุณจะได้พิสูจน์ สิ่งที่เขาพูด ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้ดี

    อย่าเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะผู้ที่เชื่อสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ ย่อมได้ชื่อว่า "งมงาย" ส่วนผู้ที่ปฏิเสธสิ่งใดโดยที่ไม่รู้ ก็ย่อมได้ชื่อว่า "โง่เขลา" เช่นกัน

    ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของ "พระศรีอาริยเมตไตรย์" ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า ชื่อ พระศรีอาริยเมตไตรย์นั้น ไม่เคยมีปรากฏในพระไตรปิฎกเลย ไม่รู้ที่มาด้วยซ้ำ ว่าใครเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อไหร่

    ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า "พระอชิตเถระ" ในสมัยพุทธกาล ท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว และจะไม่มาเกิดเป็น ร.1 ร.5 ร.8 เด็กชายปลาบู่ หรือพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าได้อีก

    ท่านเคยรู้หรือไม่ว่า "พระเจ้าสังขะ" ไม่ใช่ผู้ที่จะเกิดมาเป็นพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า ในอนาคต

    ถ้าท่านยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ก็ลองมาพิสูจน์ความจริง ตามที่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกกันดูนะครับ
     
  19. คนทำสงคราม

    คนทำสงคราม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +24
    แค่แซวขำๆน่ะครับ
    กระทู้เตือนภัยมองอีกมุมก็มีสีสัน
    ส่วนตัวอ่านแล้วอันไหนมีหลักฐานอ้างอิง
    ก็จะใช้ปัญญาตรึกตรองดูความเป็นไปได้
    แล้วก็ไม่เคยมานั่งนับวันตาย แค่ลุ้นว่ามันจะจริงไหม
    ไม่จริงก็ดีไป
    ทำไงได้ก็นอสตาดามุส ก็มีตัวตนอยู่จริง คำทำนายก็บรรลือไปทั่วโลก
    เลยมีคนเลียนแบบไง ส่วนตัวก็อยากให้ขึ้นคำว่า โปรดใช้วิจารณญานในกระทู้เตือนภัยพิบัตินิดนึง
     
  20. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    พระศรีอาริยเมตไตรย์

    พระศรีอาริยเมตไตรย์

    ในพระไตรปิฎกไม่มีกล่าวถึงเรื่องของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” ไว้เลย

    ความจริงแล้ว ในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ไม่มีเรื่องของ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” อยู่เลย มีแต่พระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัส ถึงผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต ต่อจากพระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ หรือ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า เท่านั้น

    ดังปรากฏความในพระไตรปิฎกอยู่ ๒ แห่ง คือ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรข้อที่ ๓๓-๕๐ ประมวลความโดยสังเขปได้ว่า


    <O:p
    เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว บุตรของมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ต่อมาเมื่อ อทินนาทาน ปาณาติบาต มุสาวาท ได้ถึงความแพร่หลายบุตรของมนุษย์ที่เคยมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ก็มีอายุลดลงเรื่อยๆจาก ๘๐,๐๐๐ ปี ลดลงเหลือเพียง ๔๐,๐๐๐ ปี ๒๐,๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๒๕๐-๒๐๐ ปี และ ๑๐๐ ปี ตามลำดับ

    </O:p
    <O:pจะมีสมัยหนึ่งที่มนุษย์มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จะสมควรมีสามีได้ ในขณะที่มนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี มนุษย์จะไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด ต่างก็จะเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน จะมีการฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ กินเวลา ๗ วัน ครั้งนั้น มนุษย์บางพวกมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา จึงเข้าไปหลบซ่อนตามป่าหญ้า สุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ ตลอด ๗ วัน

    </O:p
    <O:pเมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกมาและมีความคิดอย่างนี้ว่า เราถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจะงดเว้นจากปาณาติบาต จะสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจะเจริญด้วยอายุบ้างจะเจริญด้วยวรรณะบ้าง

    เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปีจักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี

    </O:p
    <O:p“...เมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้...พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้...”

    </O:p
    <O:pและอีกแห่งหนึ่ง ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎกข้อที่ ๒๗ ความตอนหนึ่งว่า


    <O:p“...ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระสิขีและพระเวสสภู ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ ในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกุกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ บัดนี้เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าและจักมีพระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี้ ก็เป็นนักปราชญ์ อนุเคราะห์โลก บรรดาพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชาเหล่านี้ พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้าจักตรัสบอกมรรคานั้นแก่ผู้อื่นหลายโกฏิ แล้วจักเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก ฉะนี้แล”


    </O:p
    <O:pเมื่อวิเคราะห์ความในพระพุทธพจน์ที่มีการตรัสถึง พระพุทธเจ้าพระนามว่าเมตตรัยแล้ว ในด้านของชื่อ ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดว่า ชื่อ “พระศรีอาริยเมตไตร” นั้นเริ่มต้นบัญญัติชื่อโดยใคร และมีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ในพระไตรปิฎกไม่มีปรากฏคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์ อย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องของยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น ถ้าวิเคราะห์จากพุทธพยากรณ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว



    <O:pมีคำถามว่า “เมื่อเราเปรียบเทียบยุคสมัยเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่แล้วกับเมื่อ ๕๐ ที่แล้ว และเมื่อ ๕๐ ปี ที่แล้วกับในยุคสมัยปัจจุบันนี้ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมของมนุษย์เรา นั้นเป็นไปในทางที่เป็นกุศลเจริญขึ้นหรือแย่ลง ?” คำตอบก็คือนับวันมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงวิเคราะห์ได้ว่า ถ้าพุทธพยากรณ์เป็นความจริง มนุษย์เราในยุคสมัยปัจจุบันนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงขาลงกำลังอยู่ในช่วงที่เสื่อมศีลธรรม ไม่ได้อยู่ในยุคที่มนุษย์สมาทานกุศลธรรม และไม่ใช่ยุคที่มนุษย์เจริญไปด้วยศีลธรรมอย่างแน่นอน


    <O:pดังนั้นจึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในพุทธพยากรณ์และพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ว่า ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่า ศีลธรรมของมนุษย์เราในปัจจุบันนี้นั้นกำลังเจริญขึ้นหรือแย่ลงและอายุขัยของมนุษย์นั้นกำลังเพิ่มขึ้นหรือลดลงกันแน่ ถ้าความจริงคือศีลธรรมของมนุษย์เราในปัจจุบันนี้กำลังแย่ลง ยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น ก็คงยังอีกยาวไกลนัก และสัญญาณที่จะบอกว่าใกล้ถึงยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ก็คือ เมื่อศีลธรรมของมนุษย์เจริญขึ้น ๆ อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น ๆ เรื่อยๆ จากอายุขัยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันที่มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ ๑๐๐ ปี เป็น ๑,๐๐๐ ปี เป็น ๑๐,๐๐๐ ปี เป็น ๒๐,๐๐๐ ปี เป็น ๔๐,๐๐๐ ปี และเป็น ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่อมนุษย์เรามีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีค่อยมาคิดที่จะคอยพบกับยุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ก็ยังไม่สาย และอายุขัยที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์ จะต้องมีเหตุมาจากความเจริญขึ้นของศีลธรรม ไม่ใช่มาจากเทคโนโลยีทางพันธุกรรม


    </O:p
    <O:pถ้าอายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ศีลธรรมเสื่อมทรามลง พุทธพยากรณ์นี้ก็จะไม่เป็นความจริง หรือถ้าศีลธรรมเจริญขึ้น แต่อายุขัยของมนุษย์ลดลง พุทธพยากรณ์นี้ก็จะไม่เป็นความจริงเช่นกัน

    </O:p
    <O:pณ เวลานี้ ในเมื่อเรายังไม่รู้แน่ชัด ว่ายุคของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์นั้น จะยังอีกยาวนานสักกี่พันกี่หมื่นหรือกี่แสนปี แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ ลงมือทำเลยก็ได้ผลเลย เพราะใครก็ตามที่คิดดี พูดดี ทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ย่อมมีความสุขกายสุขใจในปัจจุบัน ถ้าชาติหน้ามีจริงสุคติก็เป็นอันหวังได้ ถ้าปฏิบัติตามมรรควิถี โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผล ก็เป็นอันหวังได้ ตลอดเวลา ไม่เห็นจะต้องรอให้ถึงยุคของ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์ ให้เมื่อยจิตเลย จริงไหมครับ



     

แชร์หน้านี้

Loading...