วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากนั้นพิจารณาว่า อันอารมณ์แห่งฌานสี่มีองค์แห่งสมาธิอันเป็นสุข ฉะนี้ก็ดี อัน อรูปฌาน มีอารมณ์อันละเอียดปราณีต ดั่งนี้ก็ดี พระพุทธองค์ท่านยังทรง ตรัสว่า ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ ยังมีธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า รูปพรหม อรูปพรหมก็ดี ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกเมื่อหมดกำลังบุญ ดังนั้นพรหมก็ดี อรูปพรหม ก็ดีเราไม่ต้องการ เพราะเราไม่ต้องการเกิดอีก จุดเดียวที่เราต้องการคือ พระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    "ตัด"สังโยชน์ทั้งสิบประการ ด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปด เห็นทุกสิ่งล้วนเว้งว้างว่างเปล่าไปหมด

    ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้เราทรงอารมณ์พระนิพพานด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปดนี้ และขอให้กำลังของสมาบัติแปดนี้จงตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร ลง ณ บัดนี้ด้วยเทอญ

    ทรงอารมณ์ใจพระนิพพาน ไว้ให้เป็นปรกติของจิต

    ขอกราบโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกๆท่านด้วย เทอญ ขอให้ทุกท่านได้ทรงอารมณ์พระนิพพานได้ จนเป็นธรรมดาของจิต พูดถึงพระนิพพานจนติดปาก ติดใจ ไม่ไกลตัว กันอีกต่อไป
     
  2. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เล่าความฝันนิด

    ฝันเห็นพระพุทธรูปปางใหม่ มือซ้าย นิ้วชี้แตะหน้าผากระหว่างคิ้ว มือขวาแตะอยู่ที่พื้นดิน

    (เอามาเล่าเฉยๆ)
     
  3. KEN_BP

    KEN_BP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +544
    ทุกสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้นก็ดี ตั้งอยู่ก็ดี ดับไปก็ดี
    เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็ต้องมีดับลงไปเป็นธรรมดา
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ท่านที่ตั้งจิตไปนิพพานชาตินี้ก็จงเร่ง มรณานุสติ และอุปมานุสติ มีนิพพานเป็นอารมณ์เข้าไว้ มองเห็นทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นธรรมดาโลก เป็นธรรมดาธรรม ที่มีเกิด มีเจริญ มีเสื่อม เป็นธรรมดา

    เราไปยึด ไปหลงเอาเองว่า โลกนี้เที่ยง ตึกรามบ้านช่อง บ้านเมืองมันจะคงอยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล ตลอดสมัย ที่จริงมันก็พัง ร่างกายเราก็พัง เป็นธรรมดา

    รักษาใจของเราให้ใส สะอาด เปล่งประกายของพรหมวิหารสี่ให้เต็มหัวจิตหัวใจเข้าไว้ เป็นปกติ มีพระรัตนไตร เป็นหลักยึดเป็นที่พึ่งอาศัยของใจไว้ให้มั่นคง อย่าให้จิตเศร้าหมอง

    ไม่ยากเกินกำลังใจของพวกเราครับ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

    ยามใดที่เราพบทุกข์ เห็นทุกข์ รู้สึกทุกข์ ก็ขอให้เราหลบออกจากความทุกข์โดยนำจิตของเราจับอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์

    อุปมาดั่งเราเดินอยู่กลางทะเลทราย (แห่งทุกข์) ย่อมอยากหลบแดด(ทุกข์) ที่แผดเผากาย(ใจ) ของเราให้เร้าร้อน เราย่อมอยากที่จะหลีกออกจากสถานที่นั้น เข้าสู่หมู่แมกไม้ลำธารอันสงบชุ่มเย็นกาย(ใจ) ฉันใด เราเองเมือ่สัมผัสกับความทุกข์ก็จงปลีกใจของเราไม่เสวยอารมณ์ความรู้สึกในทุกข์เหล่านั้น โดยพุ่งจิตจับอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์ฉันนั้น

    การที่อยู่ในทุกข์แต่ไม่รู้สึกทุกข์ อันเป็นวิสัยของพระขีนาสพท่าน หากแม้นเราปฏิบัติได้แม้สักนิด เพียงวันละครั้งต่อวันได้ ก็จะทำให้ใจเราชินกับพระนิพพานยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆจนจิตถอดถอนจากกิเลศเป็นสมุทเฉทประหารได้ในที่สุด

    เห็นทุกข์ปุ๊ปจับนิพพาน
    เจอคนเลวคนกลั่นแกล้งปุ๊บจับนิพพาน
    เบื่อความทุกข์จับนิพพาน
    กลัวความทุกข์จับนิพพาน
    เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด จับนิพพาน
    กลัวภัยในสังสารวัฏ จับนิพพาน

    นิพพานนัง ปรมังสุขัง

    พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    พระนิพพานมีสภาวะเช่นไร ไม่ต้องไปเถียงกันกับเขา เรารู้แต่เพียง เราตามเบื้องพระบาทพระศาสดาเข้าสู่พระนิพพาน "อันเป็นสถานที่ ที่ไม่ต้องเกิด" อีก เท่านั้นพอแล้ว

    ก็ขอกราบโมทนาบุญในจิตอันเป็นมหากุศลของทุกๆท่านที่ได้ติดตาม อ่านและปฏิบัติธรรมมาด้วยความตั้งใจดีกันมาตลอด บุญ อานิสงค์อันใดที่พึงบังเกิดเป็นบารมีบุญ บารมีธรรมใน สามไตรภูมิ หนึ่งพระนิพพานนี้ ก็ขอพึงมี เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร งอกงามท่ามกลางดวงใจทุกๆดวง ให้ดำรงความเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ไว้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ว่าจะโดย ฐานะแห่งพุทธภูมิก็ดี หรือ สาวกภูมิก็ดี ขอจงมีแต่ความรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกๆพระองค์ ทุกๆท่านด้วยเทอญ.........
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    [​IMG]

    นิพพานนัง ปรมังสุขัง

    พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง



    โมทนาสาธุ ครับ


     
  6. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,378
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ขออนุโมทนาบุญ ด้วยครับ

    ร่างกาย นี้ ไม่ใช่ของเรา เราเช่ามา เมื่อถึงเวลา เราก้อ ต้องคืน เค้าไป ตาม...

    ดิน น้ำ ลม ไฟ....ธาติ 4 ....มี แต่ จิต ...

    ....ที่ ...เวียนว่าย ตาม บุญ ...หรือ กรรม..

    ......นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง......สุขใดไหน... เท่าสุขจากหยุด...
    ...กระทำสิ่งใด จิต ตั้ง ..พระนิพพาน

    นิพานนัง ปัจจโยโหตุ....
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อุปมานุสติกรรมฐาน คือการมีจิตจับ(ระลึกถึง) พระนิพพาน เป็นอารมณ์ ครับ แนวการปฏิบัติคือ

    -พอจิตจับมรณานุสติได้ ก็ควบอุปมานุสติไปเลย โดยพิจารณาว่า "ตายเมื่อไหร่ ไปนิพพานดีกว่า " ในทุกๆครั้งที่เราระลึกได้ ในทุกๆวันจนจิตของเราชิน และจับพระนิพพานจนเป็นปรกติ


    -พอจิตสัมผัสกับความทุกข์ (ทุกข์กระทบใจ) เมื่อไร ก็ให้ พิจารณาว่า "สถานที่ ซึ่งปราศจากทุกข์ ไม่พบไม่เจอกับความทุกข์อีก ก็คือการไม่เกิดอีก ซึ่งมีเพียงพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น "

    ทุกข์เมื่อไหร่หนีเข้า(อารมณ์) พระนิพพาน(ด้วยอารมณ์ที่สะอาด สว่าง ปลอดโปร่ง สงบ )

    อุปมานุสติกรรมฐาน คือ นิพพานนุสตินั่นเองครับ

    วางอารมณ์ใจไว้อย่างนี้ทุกๆวันว่า

    "รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน"
     
  8. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอคำแนะนำการปฏิบัติครับ

    ผมมักทำสมาธิตอนนอน เคยปฎิบัติจนสามารถถอดจิตออกมาข้างนอกได้ (1-2 ครั้งเท่านั้น) หลังจากนั้นทำสมาธิบ้าง ไม่ทำบ้างตามโอกาส แต่มักจะเผลอหลับไปทุกครั้งไม่สามารถถอดจิตได้อีก ผมปฏิบัติมาอย่างไม่สม่ำเสมอ มีโอกาสละเมิดศีลก็ละเมิดบ้าง โดยเฉพาะข้อ 5 เร็วๆนี้ได้ฝันถึงการทำลายล้างอย่างน่ากลัว แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นภาพของนรกหรือการทำลายล้างโลกมนุษย์ จากนั้นได้พบท่านพระยายมทราบว่าเคยเป็นลูกหลานท่าน และท่านมาเตือนให้ตั้งใจปฏิบัติ เมื่อตื่นนอนจึงคิดว่าต้องตั้งสัจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ และตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังสักที ผมไปวัดท่าซุงครั้งแรกตรงกับงานเต็มกำลัง ปี 2536 ได้ร่วมฝึก ขณะที่กำลังอธิษฐานจิดพยายามจะออกจากกาย แต่ฝืนรั้งไว้ด้วยความกลัว จากนั้นไปฝึกอีกหลายครั้งยังไม่สามารถทำได้อีกเลย ผมต้องการปฏิบัติต่อ แต่มีคำถามอย่างนี้ครับ
    1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ
    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่

    ขอเรียนถามท่านใดก็ได้ที่มีจิตเมตตาสงเคราะห์ ขอบคุณครับ
     
  9. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ

    - ถ้าจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ตั้งใจรื้อขนสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฎฎะสงสาร ปรารถนาเป็นสัพพัญญ (รู้แจ้งทุกเรื่อง) ก็เป็นจิตของพุทธภูมิ
    ถ้าเป็นสาวกภูมิก็ควรหาทางดับทุกข์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสารนี้

    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่
    - รอพี่คณานันท์ตอบละกันครับ ^^
     
  10. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ผมเพิ่งได้มาอ่านกระทู้นี้เป็นวันแรก ขอปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณคณานันท์ก็แล้วกัน ได้ผลอย่างไรจะมาโพสท์ไว้เพื่อป็นการวัดความคืบหน้าครับ
     
  11. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ
    อยากเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้นแหละจ้ะ

    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่
    เริ่มจากกสิณกองไหนก็ได้ควบอานาปานุสติและพุทธานุสติจ้ะ
    ฝึกเองก็ได้ แต่ต้องใช้อิทธิบาท4เยอะหน่อยเน้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2007
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post565486 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Nakamura<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_565486", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:59 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: นิพพาน
    อายุ: 20 ปี
    ข้อความ: 582 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 25,401 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,792 ครั้ง ใน 470 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 456 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_565486 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ

    - ถ้าจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ตั้งใจรื้อขนสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฎฎะสงสาร ปรารถนาเป็นสัพพัญญ (รู้แจ้งทุกเรื่อง) ก็เป็นจิตของพุทธภูมิ
    ถ้าเป็นสาวกภูมิก็ควรหาทางดับทุกข์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสารนี้

    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่
    - รอพี่คณานันท์ตอบละกันครับ ^^
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    "เมื่อคิดในความว่าง แล้วความจริงก็ปรากฎ"
    เกิดขึ้น->ตั้งอยู่-> ดับไป มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post565869 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>อักขรสัญจร<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_565869", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:39 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2005
    อายุ: 38 ปี
    ข้อความ: 921 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 62 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,499 ครั้ง ใน 682 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 458 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 id=td_post_565869 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ
    อยากเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้นแหละจ้ะ

    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่
    เริ่มจากกสิณกองไหนก็ได้ควบอานาปานุสติและพุทธานุสติจ้ะ
    ฝึกเองก็ได้ แต่ต้องใช้อิทธิบาท4เยอะหน่อยเน้อ
    <!-- / message --><!-- edit note --><HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย อักขรสัญจร : วันนี้ เมื่อ 03:10
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขอขอบคุณทั้งพี่ฝุ่นและน้องนาคามูระ ที่ต่างมีความเมตตาและเอื้อเฟื้อในธรรมกันครับผม

    ถูกต้องแล้วทั้งสองท่านครับ

    ผมขออนุญาต เสริม อีกนิดหน่อยครับ

    1. จะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นพุทธภูมิหรือไม่ หรือเป็นสาวกภูมิ

    ขอตอบว่า เป็นเรื่องปัจจัตตัง คือตัวเราเองสามารถรับรู้รับทราบได้ด้วยตนเองว่าเรานั้นตั้งจิตปรารถนาเพื่อความเป็นพุทธภูมิ หรือสาวกภูมิครับ

    เราจะทราบเองว่า เราปรารถนาที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อความบรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากภัยแห่งวัฏฏสงสารหรือไม่ จะนาน จะเหน็ด จะเหนื่อย จะยากลำบาก จะต้องแบกเอาทุกข์ทั้งมวลของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้บนบ่าทั้งสองข้างแหวกว่ายข้ามมหาสมุทรที่ไร้ฝั่งได้ไหม ไหวไหม หากกำลังใจพร้อม ที่จะยอมทุกข์ยากเพื่อผู้อื่นอย่างไม่ย่อท้อ เพราะความมีเมตตา พรหมวิหารสี่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวจิต หัวใจของเราเอง ใครจะว่าอย่างไร เราก็ไม่สน เราจะสร้างบารมีของเราเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณเป็นที่สุด อย่างนี้จึงนับว่า ตัวเรานั้น มีกำลังใจ เป็นพุทธภูมิวิสัยอย่างแท้จริง

    หากเรามีความคิดว่า การเกิดเป็นทุกข์เหลือเกิน การต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ยิ่งทุกข์ เราขอติดตามพระพุทธเจ้า (พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง)เข้าสู่พระนิพพานดีกว่า กำลังใจเช่นนี้ นับเป็นสาวกภูมิ

    หากเรามีกำลังใจเห็นว่า สังสารวัฏฏช่างยาวนานเสียเหลือเกิน เหล่าพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายอีกมากมายต่างก็ รอวาระแห่งการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนับเป็นประมาณไม่ได้ หากเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไปก็อีกนานนับเป็นกัปป์ มหากัปป์ หลวงพ่อเองท่านก็ได้ลาพุทธภูมิแล้ว เราเองเกิดต่อก็ต้องทุกข์ อย่ากระนั้นเลย เราขอกราบลาพุทธภูมิ เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานชาตินี้ดีกว่า หากมีกำลังใจเช่นนี้ ก็จะเป็นผู้ลาพุทธภูมิเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

    เราก็ดูกำลังใจ กำลังของจิตตนเองดู ว่ามีกำลังเพียงไร มีหลายๆท่านเช่นกันที่เห็นท่านผู้อื่น บอกกันว่าท่านนั้นท่านนี้ ปรารถนาพุทธภูมิ ก็เลยได้ เห็นดี มีศรัทธาว่า ตนก็ปราถนาพุทธภูมิด้วยบ้าง แต่ในความเป็นจริงเมื่อพิจารณาอารมณ์ใจของตนเองก็จะพบว่ากำลังใจถึงหรือไม่ กำลังใจนั้น หลวงพ่อท่านหมายถึง "บารมี" ครับ มีตั้งแต่ บารมีต้น ไปจนกระทั่งเป็น ปรมัตถบารมี ส่วนภูมิธรรมของพุทธภูมิ ก็ไล่ขึ้นไปจาก พุทธภูมิ ขึ้นไปจนมีน้ำใจเป็นพระโพธิสัตว์ ขึ้นไปเป็นพระมหาโพธิสัตว์ จน เป็นพระอริยะโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์ ผู้ทรงภูมิจิตภูมิธรรมคล้ายพระอริยะเจ้า)

    ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา กำลังใจของท่านเอง จงอย่าไปได้ให้ท่านผู้ใดเป็นผู้พยากรณ์เลย (หากไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านมาเมตตาพยากรณ์ )

    2. ต้องการฝึกอภิญญา ควรเริ่มจากตรงไหน สามารถฝึกเองได้หรือไม่

    -เริ่มจริงๆต้องเริ่มจากไม่อยาก ก่อนครับ
    ที่ว่าไม่อยาก หมายความว่า ให้วางกำลังใจไม่อยากได้อภิญญาเพื่อความเก่ง ความมีมานะของตนเอง แต่ให้มีใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาอยากช่วยเหลือท่านผุ้อื่น ให้ได้ก่อน

    -จากนั้นขอให้เริ่มจากศีลครับ รักษาให้ได้ไล่ระดับไม่ได้ทุกข้อ ก็เอา1ข้อบ้างสองข้อบ้างจนครบห้าข้อ รักษาไม่ได้ทั้งวัน ก็รักษาเฉพาะเวลาจนได้ทั้งวัน รักษาจนครบตลอดกาลตลอดสมัย จนศีลรักษาเรา

    -ต่อมาก็คือการมีหลักของใจมีพระพทธเจ้า พระรัตนไตรเป็นหลักชัยแห่งชีวิต

    -พิจารณาพรหมวิหารสี่ จนเต็มล้นในดวงใจของเรา

    -พิจารณาลมหายใจจนเป็นปกติ

    -พิจารณาวิปัสนาญาณให้แจ่มใสชัดเจน เห็นจริงกระจ่างแจ้งในใจตน

    -ทำเหตุดี จิตดี จากนั้นอธิฐานขอให้ครูบาอาจารย์ท่านที่มีวาระผูกพันมาช่วยเมตตาสงเคราะห์ครับ

    -เมื่อถึงวาระ ได้เอง เป็นเองครับ จะรู้ได้ด้วยตนเอง

    ขอโมทนาในความสนใจในการปฏิบัติธรรมเพื่อความดีด้วยครับ
     
  13. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ จากคำแนะนำคิดว่าตนเองคงเป็นสาวกภูมิแน่ เพราะเห็นว่าเกิดมาก็ช่างลำบาก และเวลาในโลกก็ช่างยาวนาน รู้สึกเหนื่อยมากเหลือเกิน ไม่ไหวที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่มีสิ้นสุด และคงไม่มีกำลังใจพอที่จะช่วยคนอื่นๆ เพราะลำพังตัวเองก็เบื่อเต็มที่แล้ว

    ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้คำตอบครับ
     
  14. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    สำหรับผมแล้ว เมื่อเริ่มมีสติรับรู้ความเป็นไปและความเป็นจริงในสังสารวัฏของโลก ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้รับฟังและอ่านคำสอนของท่าน ก็มีความคิดว่า

    การเกิดเป็นทุกข์เหลือเกิน การต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ยิ่งทุกข์ เราขอติดตามพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระนิพพานดีกว่า.....ที่สำมะคัญกลัวจะล่วงลงสู่นรกเหลือเกิน..เพราะทำไม่ดีเอาไว้เยอะแยะตาแป๊ะไก่....

    ต่อมาเมื่อได้รู้จักคนเมืองบัว (อ.ไก่ แห่งเว็บคนเมืองบัว) ได้รับคำบอกเล่าว่า เคยตั้งความปรารถนาเอาไว้ ก็ชักสงสัย เอ๊ะ...จริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ต่อมาไม่นานได้พบเพื่อนรุ่นน้องมาตอกย้ำและยืนยันให้ทราบ โดยอาศัยคำครูบาอาจารย์บ้าง คำจาก "พระ" เบื้องบนบ้าง อืมมม....ชักจะเป็นจริงแฮะ... ในช่วงต่อมาได้พบสหธรรมมิกท่านหนึ่ง มายืนยันว่า เคยปรารถนาจริง แถมเล่านิทานย้อนหลังไปหลายพันชาติให้ฟังจนเคลิบเคลิ้ม อืมม แฮะ.... น่ารับฟัง.... แต่ก็ยังคิดว่า

    สังสารวัฏฏะช่างยาวนานเสียเหลือเกิน เหล่าพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายอีกมากมายต่างก็ รอวาระแห่งการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนับเป็นประมาณไม่ได้ หากเราจะบำเพ็ญบารมีต่อไปก็อีกนานนับเป็นกัปป์ มหากัปป์ หลวงพ่อเองท่านก็ได้ลาพุทธภูมิแล้ว เราเองเกิดต่อก็ต้องทุกข์ อย่ากระนั้นเลย เราขอกราบลาพุทธภูมิ เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานชาตินี้ดีกว่า....

    ในขณะที่กำลังสับสนกับวิถีชีวิตอันไม่สิ้นสุดแค่ภพภูมิปัจจุบันอยู่นี้ ก็ได้รับพุทธนิมิตจากสมเด็จองค์ปฐม และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ให้แนวทางในการปฏิบัติ แต่ก็ยังไม่วายช่างสงสัยอีกแล้ว....จะไปยังไงดีหว่า...เพราะความช่างสงสัยเลยเกือบถูกหลวงพ่อเพ่นกะบาลเข้าให้ ...แหะ...แหะ.... เกือบไปแล้ววว....

    ในตอนหลัง (ที่ไม่ใช่ตอนท้าย และไม่ใช่ท้ายที่สุด) ซึ่งไม่นานเท่าไร ได้อ่านพบจากกระทู้หนึ่งที่พูดถึงการได้รับพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับการเป็น "นิยตโพธิสัตว์" กับ "อนิยตโพธิสัตว์" เลยสงสัย (อีกแล้ว) ว่าเราเคยได้รับมาบ้างหรือเปล่า ก็ได้รับนิมิตจาก "พระมหาโพธิสัตว์" ผู้ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม ว่า ได้รับแล้ว โห....เป็นปลื้มมิรู้วาย แถมได้กำลังใจในการปฏิบัติอีกอักโข...

    นับแต่นั้นมา เริ่มมั่นใจ ตั้งใจ ทั้งเปล่งวาจา และอุทิศโลหิตพร้อมชีวิตและร่างกายเป็นพุทธบูชา ขอตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบารมีต่อไป.... เสร็จกิจเมื่อไรก็เมื่อนั้น... ตายจากคนในชาตินี้ขอไปนั่งเล่นรอเวลาลงมารับพุทธพยากรณ์ครั้งสุดท้ายสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เบื่อเมื่อไร..อาจขอชะแว๊บแค่ปัญญาธิกะ ตามบารมีที่พอมีอยู่...ถ้าขยันอีกนิด...อาจได้ถึงศรัทธาธิกะ... แต่วิริยาธิกะชักไม่ไหวหนทางยาวไกลเหลือเกิน....แฮ่..แฮ่....

    แต่ขอบอก...ที่พูดมาทั้งหมดแค่จิตนึกเอาน่ะ....ตัวตนที่แท้จริงยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะพอนับเนื่องได้ว่า "เข้าข่าย" เลย แม้แต่มโนมยิทธิก็ยังไม่แจ่ม ได้แต่หากินทางช่าง แต่เป็นพวก "ช่างฝัน" ไปวันๆ อภิญญาเหรอ อยากได้ แต่ไม่ขยันปฏิบัติ เอ...แล้วจะได้มั้ยละเนี่ย....

    ขออภัยที่เข้ามาใช้กระทู้นี้รำพึงรำพันตามประสาคน "ช่างฝัน" นานๆ จะเกิดอาการหลุดอย่างนี้เสียที พอเห็นสิ่งที่คุณคณานันท์เขียนถึงแนวทางการพิจารณาว่า ตนเองเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ อ่านแล้วเกิดอาการอิน เลยหลุดซะอย่างนั้น...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2007
  15. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    ไปไม่ไหวเหมือนกันครับ ขอให้จบกันเสียที
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อ่า ...นะ

    แต่ท่านทั้งหลาย แม้เป็นพุทธภูมิที่ลาแล้วก็ตาม ยังต้องใช้ "หนี้พุทธภูมิ"

    เพราะเคยได้ไปชัก ไปชวน ไปสร้างศรัทธาให้ สาวกบริวาร เอาไว้เมื่อกาลก่อนกันมา หากหัวหน้าดันเผ่นหนีเสียเองแล้ว ลูกน้องก็เคว้ง หาหลักที่ยึดไม่ได้ พลอยเสียเวลาของเขาที่จะเข้าถึงความดีไปเสียเปล่าๆอีก

    ดังนั้น ท่านผุ้ที่จะลาพุทธภูมิจึงต้อง พาเพื่อนๆน้องๆ สาวก บริวารทั้งหลายให้ไปนิพพานด้วยเป็นประการที่หนึ่ง ส่วนท่านที่ยังไปไม่ได้บ้าง ยังอยู่ในภพภูมิอื่นๆบ้าง ตัวเราจะต้องอธิฐานขอฝากสาวกบริวารที่ได้ติดตามและมุ่งหวังที่จะบรรลุธรรมในยุคที่เราจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคต เอาไว้กับ พระโพธิสัตว์พระองค์อื่น

    องค์หลวงพ่อท่านเอง นอกจากจะพาคนไปนิพพานชาตินี้เป็นจำนวนนับเป็นแสนๆท่านแล้ว ส่วนที่ยังไปไม่ได้ ท่านได้อธิฐานฝากเอาไว้ กับ พระศรีอาริยะเมตตรัย (แต่อย่าได้ลืมว่าบริวารของหลวงพ่อท่านบารมีเต็มหมดแล้ว) เพราะท่านไม่อยากให้ลูกหลานท่านทุกข์กันอยู่นาน ให้รีบไปขบวนต่อไปกันเลย

    ส่วนพวกเรานั้น การใช้หนี้พุทธภูมิ ก็เป็นการสร้างบารมีกันอย่างเต็มกำลัง ด้วยกำลังใจของพุทธภูมิ
    -การเผยแพร่ธรรมทานที่ทำกันอยู่ก็ดี
    -การส่งเสริมให้บุคคลทั่วไปได้เข้าถึงซึ่งความดีกันก็ดี
    -การช่วยให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสสร้างบุญ สร้างบารมี อันมี ทาน ศีล ภาวนา มี วิปัสนาญาณ เข้าถึงอารมณ์พระนิพพานเป็นที่สุด ได้ก็ดี
    -การสร้างพระพุทธรูปก็ดี
    -การสร้างกำลังใจให้กันก็ดี

    เหล่านี้นั้น นับเป็นการใช้หนี้ในความเป็นพุทธภูมิของตัวเรา

    ส่วนการอธิฐานฝากสาวก บริวาร ของเรานั้น ควรที่จะอธิฐานฝากไว้กับสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ว่าสมควรจะฝากเอาไว้กับพระโพธิสัตว์พระองค์ใด จึงจะเหมาะสมกับ บารมี วาระการบรรลุธรรม ความเกี่ยวเนื่องกัน วาระกรรมในอดีตชาติ ของสาวกบริวารแต่ละท่านนั้น ให้สมเด็จองค์ปฐมท่านได้เมตตาช่วยดูแลให้

    อันที่จริงผมได้ติดค้างหลายๆท่านในเรื่องราวของพุทธภูมิ และ ณ บัดนี้ ก็ได้วาระ ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของพุทธอริยะประเพณี ให้ท่านผู้ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณจะได้บำเพ็ญบารมีกันแล้ว

    ก็ต้องขออนุญาตใช้กระทู้นี้ ลงเรื่องราวต่างๆต่อไปครับ

    ขอกราบโมทนาบุญในความปรารถนาที่เป็นกุศลต่อมวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ ณ กาลบัดนี้ ด้วย เทอญ
     
  17. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    มาปูเสื่อนั่งรออ่านแถวหน้าเลยอ่ะ....จอง...จอง....เดี๋ยวไปหาซื้อขนมขบเคี้ยวมานั่งอ่านไปกินไปดีก่า...หุ..หุ.. โมทนาบุญในธรรมทานด้วยนะครับ


    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2007
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตคั่นราบการด้วย ธรรมมะที่สมเด็จองค์ปฐมท่านได้มาโปรดคุณ เปิ้ล ถาวรครับ ผมขอนำมารวบรวมไว้ในกระทู้นี้ด้วยครับ สาธุ

    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสอน อุบายการละสักกายทิฏฐิ ไว้มีความสำคัญดังนี้ี้

    1. "ให้พิจารณาความไม่เที่ยงไว้เสมอๆ จักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จักละได้ยังไม่สนิท ก็บรรเทาสักกายทิฏฐิลงได้บ้างไม่มากก็น้อย"

    2. "อย่าลืมคำว่า สักกายทิฏฐิมีเป็นขั้นๆ ตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คือตั้งแต่ปุถุชนมาสู่พระโสดาบัน - พระสกิทาคามี - พระอนาคามี - พระอรหันต์ ล้วนแต่ละสักกายทิฏฐิในระดับนั้นๆทั้งสิ้น"

    3. "สาเหตุก็เนื่องจากการเห็นทุกข์ในความไม่เที่ยง จากการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ต่างคนต่างปฏิบัติไป ก็เข้าสู่อริยสัจ ตามระดับจิตนั้นๆเห็น โดยความไม่เที่ยง - เป็นทุกข์ - เป็นโทษ จึงพิจารณาสักกายทิฏฐิเพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นลงเสีย

    4. "อย่าลืมละที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จที่ใจ ถ้าหากจิตหรือใจดีเสียอย่างเดียว กาย - วาจาซึ่งเป็นบ่าวก็จักดีตามไปด้วย เดินมรรคด้วยจิต ทำให้ถูกทางแล้ว จักเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ง่าย"

    <!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________________________________________
    "สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง"
    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อีกจุดหนึ่งที่ทรงเมตตาสอน เรื่อง ความไม่ประมาท มีความสำคัญดังนี้

    1. "ให้พิจารณาอายุของร่างกายที่มากขึ้นทุกวัน แสดงให้เห็นชัดถึงความตายที่ใกล้เข้ามาทุกที จงอย่าประมาทในชีวิต"

    2. "ให้เห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน จากภัยนานาประการ เรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องแปลก หรือของใหม่แต่อย่างไร เป็นภัยที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว ในทุกๆพุทธันดรที่เจอมาอย่างนี้"

    3. "อย่าไปหวังแก้โลก อย่าไปหลงปรุงแต่งตามโลก ให้เห็นตัณหา 3 ประการ ที่ครอบงำโลก ให้วุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน"

    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    "สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง"
    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->4. "ให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวาางโลกเสีย ด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดี
    ไม่น่ายินร้ายแม้แต่นิดเดียว

    5. "อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง ให้มองจิตตนเอง เข้าไว้เป็นสำคัญเพราะตนเองปรารถนา พระนิพพาน จักต้องโจทย์จิต ของตนเองเอาไว้เสมอ ฝึกให้ปล่อยวาง เพราะการไปพระนิพพาน จิตติดอะไร แม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้ หรือไตรภพก็ไปไม่ถึงซึ่งพระ
    นิพพาน"


    6. "การปฏิบัติมิใช่เพียงคำปรารภโก้ๆเท่านั้น จักต้องเอาจริง เอาจังในการละซึ่งทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลก จึงจักไปได้ แต่ตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็น
    ที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็น
    เครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุ
    ทั้งหมด มีคำว่า เสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด
    จิตมีความสุข มีความสงบ เมื่อถึงวาระต่างกายจักพัง การตัดทุกสิ่ง
    ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกรวมตัว หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก
    เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้ว
    "


    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    "สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง"
    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->4. "ให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวาางโลกเสีย ด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดี
    ไม่น่ายินร้ายแม้แต่นิดเดียว

    5. "อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง ให้มองจิตตนเอง เข้าไว้เป็นสำคัญเพราะตนเองปรารถนา พระนิพพาน จักต้องโจทย์จิต ของตนเองเอาไว้เสมอ ฝึกให้ปล่อยวาง เพราะการไปพระนิพพาน จิตติดอะไร แม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้ หรือไตรภพก็ไปไม่ถึงซึ่งพระ
    นิพพาน"


    6. "การปฏิบัติมิใช่เพียงคำปรารภโก้ๆเท่านั้น จักต้องเอาจริง เอาจังในการละซึ่งทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลก จึงจักไปได้ แต่ตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย 4 เป็นสิ่งจำเป็น
    ที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็น
    เครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุ
    ทั้งหมด มีคำว่า เสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด
    จิตมีความสุข มีความสงบ เมื่อถึงวาระต่างกายจักพัง การตัดทุกสิ่ง
    ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกรวมตัว หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก
    เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้ว
    "


    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________
    "สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง"
    <!-- / sig -->
    <!-- / sig -->
    <!-- / sig -->
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    [​IMG]
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]
     
  20. Supernova

    Supernova เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ขอทำหน้าที่ให้จบชาตินี้ ช่วยงานพระศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณะโคดมให้เต็มกำลังบารมีของเรา ส่วนจะไปนิพพานต่อ หรือบำเพ็ญบารมีต่อ อันนี้เดี๋ยวค่อยคิด งานพระศาสนาสำคัญกว่าอ่ะ แต่อย่างน้อยทุกๆวันก็ต้องทรงอารมณ์พระนิพพานให้ได้นะ จะได้ไม่พลาด อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...