สัพเพเหระ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย phanbuaphet, 4 ธันวาคม 2011.

  1. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    one and only

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=51bO1CVPWRA&feature=related]CELINE DION - SO THIS IS CHRISTMAS - YouTube[/ame]​
     
  2. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    one and only
     
  3. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    คลิปแนะนำค่ะ ขอให้เจริญในธรรมค่ะ....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sDrA3pKprg8&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..1/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BhzBXVRNrb4]บุญ แก้วิบากกรรม..2/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CIFZ81mWNJo&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..3/9 - YouTube[/ame]
     
  4. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ต่อ....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=p6dxwqOIX24]บุญ แก้วิบากกรรม..4/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Yq4u2IKzKmo&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..5/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Iu98rsCQdr8&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..6/9 - YouTube[/ame]
     
  5. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ต่อ....

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=7Em0CG6F9Yk&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..7/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=JAVyCv2aciY&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..8/9 - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=oxuRPE_tVKo&feature=related]บุญ แก้วิบากกรรม..9/9 - YouTube[/ame]
     
  6. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  7. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  8. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  9. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2013
  10. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2014
  11. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=570 align=center><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(157,119,36); FONT-SIZE: 16px" align=center>
    การใช้ทองคำของไทยในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ​
    </TD></TR><TR><TD class=textmain height=20>
    [​IMG]
    </TD><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51)"><TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ในสมัยสุโขทัยมีหลักฐานการใช้ทองคำเป็นเครื่องราชบรรณาการ และการสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ รวมทั้งภาชนะอื่นๆ เช่น ตลับและผอบเล็กๆ สำหรับใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือทำเป็นเจดีย์ขนาดเล็ก และเครื่องประดับ เช่น แหวน ต่างหู กำไล ฯลฯ แหล่งทองคำในสมัยนั้น ส่วนหนึ่งได้มาจากเมืองบางสะพาน ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และอีกส่วนหนึ่งนำเข้ามาจากประเทศจีน


    [​IMG]

    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>ในสมัยที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้ปรากฏหลักฐานจากบันทึกการเดินทางของชาวต่างประเทศ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา คือ ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ามา ติดต่อค้าขายใน พ.ศ. ๒๐๕๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ได้กล่าวไว้ว่า สินค้าออกของประเทศสยาม ได้แก่ ครั่ง กำยาน ไม้ฝาง ตะกั่ว เงิน ดีบุก ทองคำ และงาช้าง โดยชาวสยามนำภาชนะที่ทำด้วย ทองแดง ทองคำ และเครื่องประดับที่ทำจากเพชร และทับทิมไปขายด้วย ตลาดคู่ค้าที่สำคัญคือ จีน มะละกา กัมพูชา เบงกอล ในบันทึกยังกล่าวต่อไปอีกว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามส่งผู้แทนพระองค์ไปพบอัลฟองโซ เดอ- อัลบูร์เกอร์กี ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกส ที่เมืองมะละกา และได้พระราชทานขันทองคำ สำหรับดื่มเหล้า และดาบทองคำ เพื่อขอความสนับสนุนช่วยเจรจาให้รัฐบาลโปรตุเกสคืนเมืองมะละกาให้แก่กรุงศรีอยุธยา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงมอบเครื่องบรรณาการ ของขวัญ ของกำนัล โดยนิยมใช้ทองคำที่ประดิษฐ์ เป็นงานศิลปะชั้นสูง ในการแลกเปลี่ยนพระ-ราชศุภอักษรสาส์น หรือพระสุพรรณบัฏกับกษัตริย์ต่างประเทศ
    เมอซิเออร์ เดอลาลูแบร์ อัครราชทูตชาวฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวไว้ว่า ชาวสยามถลุงแร่ทองคำได้มาก เพื่อนำมาประดับพระพุทธรูปซึ่งสร้างขึ้นเป็นจำนวน มาก นอกจากนี้ ยังนำไปประดับเป็นส่วน- ประกอบของโบสถ์ วิหาร วัดวาอารามต่างๆ เช่น ประดับช่อฟ้า ใบระกา เพดาน หน้าบัน ด้วยการลงรักปิดทองลงลวดลายต่างๆ และกล่าวอีกว่า ชาวสยามเป็นช่างกะไหล่ทองที่มีฝีมือ และรู้จักนำทองคำมาตีแผ่เป็นแผ่นบาง เมื่อพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชสาส์นไปยังกษัตริย์พระองค์อื่น พระองค์โปรดให้จารึกข้อความศุภอักษรลงในพระสุพรรณบัฏซึ่งบางเหมือนกระดาษ นอกจากนี้ ยังโปรดให้ทำจานทองคำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับใส่ผลไม้ เมื่อครั้งพระราชทานเลี้ยงแก่เมอซิเออร์ เดอ โชมองต์ แสดงให้เห็นว่า ทองคำของพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาคงจะมีอยู่มาก โดยมีที่มาดังนี้

    </TD><TD align=right><TABLE><TBODY><TR><TD noWrap></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>๑. ได้จากการเก็บส่วย
    ในสมัยอยุธยา มีระบบการเก็บส่วยซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากประชาชนในท้องถิ่น โดยในบางกรณีส่วยที่เรียกเก็บนั้นต้องจ่ายเป็นทองคำ เช่น ส่วยที่เรียกเก็บจากเมืองบางสะพาน ในส่วนของราษฎรที่ร่อนทองได้ ก็ต้องส่งส่วยภาษีเป็นทองคำเช่นกัน
    </TD><TD align=right><TABLE><TBODY><TR><TD noWrap></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>๒. ได้จากการเกณฑ์กรณีพิเศษ
    ได้จากการเกณฑ์กรณีพิเศษ เป็นการรวบรวมทรัพย์สินเงินทองเพื่อทำ กิจกรรมสำคัญ เช่น การร่วมกันสร้างศาสนสถาน การหล่อพระพุทธรูป การสร้างเจดีย์ การเรี่ยไรบริจาคจากข้าราชบริพาร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และราษฏรทั่วไป ตามกำลังฐานะและแรงศรัทธา
    </TD><TD align=right><TABLE><TBODY><TR><TD noWrap></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>๓. ได้จากการค้าขายแลกเปลี่ยน
    จากบันทึกของนักเดินทางชาวยุโรป ระบุว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดค้าขายทองคำ ซึ่ง พ่อค้านำเข้ามาจากต่างประเทศ คือ ชวา สุมาตรา มลายู อาหรับ เปอร์เซีย และจีน กรุงศรีอยุธยาอาจนำทองคำที่ขุดหาได้ออกขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น การค้าขาย ในสมัยอยุธยาจึงมีบทบาทมากต่อการแสวงหาทองคำมาใช้ประโยชน์ เพื่อตอบสนองค่านิยมของสังคม
    </TD><TD align=right><TABLE><TBODY><TR><TD noWrap></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>๔. ได้จากเครื่องราชบรรณาการ
    ได้จากเครื่องราชบรรณาการ ธรรมเนียมประเพณีของหัวเมืองขึ้นและประเทศราช ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองให้แก่กรุงศรีอยุธยาทุก ๆ ๓ ปี เพื่อแสดงว่า ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมอยู่ใต้อำนาจ ทำให้มีทองคำนำเข้าสู่ท้องพระคลัง และนำไปแปรรูปเป็นเครื่อง-ราชูปโภคต่าง ๆ
    </TD><TD align=right><TABLE><TBODY><TR><TD noWrap></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=fontblacksm border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD>๕. ได้จากการนำ หรือการริบจากเอกชนเข้าเป็นของหลวง
    มีหลายกรณี เช่น ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำความผิดร้ายแรงต้องโทษ ประหารชีวิต ยังจะต้องริบทรัพย์สินทุกอย่าง เข้าหลวง ที่เรียกว่า พัทธยา หรือเรียกคืนเครื่องยศต่างๆที่ทำจากทองคำ เมื่อขุนนาง ผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้นั้นสิ้นชีวิตแล้ว รวมทั้ง การยึดทรัพย์สินมีค่าจากศัตรูคู่สงคราม

    ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีเหตุการณ์ต่างๆที่แสดงถึงการใช้ทองคำเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมากลายเป็นธรรมเนียม
    ประเพณีของไทยในระยะหลัง ตัวอย่างเช่น ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ได้โปรด ให้หล่อพระพุทธรูปนามว่า “ศรีสรรเพชญ์” ประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวง วัดพระศรี-สรรเพชญ์ ขนาดสูงจากพระบาทถึงยอดพระรัศมี ๘ วา พระพักตร์ยาว ๔ ศอก และกว้าง ๓ ศอก พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก ทองสำริดที่ใช้หล่อหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ทองคำหุ้มหนัก ๒๘๖ ชั่ง หรือ ๑๗๑.๖ กิโลกรัม ข้างหน้าเป็นทองเนื้อเจ็ด ข้างหลังเป็นทองเนื้อหกรวมทั้ง การยึดทรัพย์สินมีค่าจากศัตรูคู่สงคราม
    ในส่วนของสามัญชน ก็มีตลาดค้าขายทอง มีช่างทำทองรูปพรรณอยู่ทั่วไป หากมี การค้าขายทองและมีช่างทองอยู่กันอย่างหนา แน่น
    เป็นย่าน ก็มีชื่อเรียกขานเป็นที่รู้จัก เช่น ย่านป่าทองขายทองคำเปลว ย่านวัดกระชีช่าง ทำพระพุทธรูปทองคำ การทำทองรูปพรรณในสมัยอยุธยาช่างทองมีวิธีการทำคล้ายกับ ช่างทองโบราณสุโขทัย แต่อาจแตกต่างกันไปบ้าง วิธีการเหล่านี้นิยมทำกันจนช่างทองสมัยอยุธยามีชื่อเสียงมาก



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    ข้อมูลจาก สมาคมค้าทองคำ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2011
  12. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center><TBODY><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(157,119,36); FONT-SIZE: 16px" align=center>ประวัติศาสตร์</TD></TR><TR><TD class=textmain height=20>
    [​IMG]
    </TD><TR><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(51,51,51)">ประวัติของทองคำโลก
    ทองคำเป็นที่รู้จักกันในสังคมมนุษย์มาเป็นเวลาเกือบหกพันปีมาแล้ว คำว่า “Gold” นั้นมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ “Geolo” ซึ่งแปลว่าเหลือง ส่วนสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของธาตุทองคำ “Au” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Aurum” แปลว่าทอง ในยุคโบราณทองคำได้นำมาใช้เป็นเครื่องตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา หรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจ ความรุ่งเรือง การค้นพบหาทองครั้งแรกสุดดูเหมือนจะพบทางแถบเอเชียตะวันตก โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นประเทศที่มีสิ่งของเครื่องทองให้ปรากฏเห็นตั้งแต่ประมาณ 4,000 ปีก่อนศริสตศักราช ต่อมาได้มีการค้นพบอีกที่ประเทศมาเซโดเนีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย การขุดทองเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่มีการค้นพบทวีปอเมริกา นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา ทองคำยังคงสามารถใช้เป็นเงินตราที่มีค่าสูงสุด และเป็นโลหะชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับในทุกหนทุกแห่ง การใช้ทองคำเป็นเงินตรานั้นมีบ้าง ในดินแดนที่มีความเจริญที่สุดในสมัยโบราณกาล ทองคำได้ครองความเป็นเจ้าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินตรา( คือโลหะ ) มาจนถึงคริสตศตวรรษที่ 19 ได้มีการเอามาตรฐานทองคำเข้ามาใช้ในระบบเงินตราในหลายประเทศนายทุนใหญ่ ๆ โดยรัฐบาลเป็นผู้หลอมทำและจำหน่ายเงินเหรียญทองคำ ทองคำจึงกลายมาเป็นพื้นฐานหลักของระบบเงินตราไป ได้มีการกำหนดมาตรฐานทองคำใช้กันเป็นครั้งแรกที่สุดในประเทศอังกฤษ แล้วค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปประเทศอื่น ๆ เมื่อทองคำและเงินหลั่งไหลเข้ามาในยุโรปตะวันตกภายหลังจากที่ได้มีการค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งใหญ่ ( หมายถึงการล่าอาณานิคม )ในศตวรรษที่ 15 และ 16 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ตัณหาของมนุษย์ในการที่มุ่งครอบครองทองคำได้ผลักดันให้มนุษย์แสวงหาอาณานิคม ทำสงคราง และสร้างอารยธรรม
    ในตอนกลางศตวรรษที่ 19 ได้มีการค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียและในออสเตรเลีย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรปตะวันตกและในอเมริกาเหนือ ทองคำช่วยดึงเอาประเทศต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันก่อตัวเป็นตลาดโลกขึ้น ต่อมาในตอนปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีการค้นพบทองคำในอาฟริกาใต้และนี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของสมัยใหม่ในประวัติศาสตร์

    ประวัติทองคำในประเทศไทย
    ประเทศไทย เคยเป็นที่รู้จักและเรียกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่า “สุวรรณภูมิ” แปลว่าแผ่นดินทอง การที่ประเทศไทยได้ชื่อนี้อาจเนื่องมาจากความเป็นจริงของธรรมชาติตามหลักฐานที่กรมทรัพยากรธรณีมีอยู่ ซึ่งล้วนแต่มีการร่อนหาทองคำกันมาแต่โบราณ ประเทศไทยครั้งนั้นคงมีทองคำอุดมสมบูรณ์มาก นักเผชิญโชคชาวภาระตะผู้นำอารยะธรรมของชมพูทวีปมาสู่กัมพูชา ในโบราณกาลจึงพากันเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” แผ่นดินที่เรียกว่าสุวรรณภูมินี้มีอาณาเขตครอบคลุมพม่า ไทย ตลอดจนแหลม มาลายู สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงประทานอรรถาธิบายไว้ในคำอธิบายหนังสือพระราชพงศาวดาร เล่มที่หนึ่ง(พ.ศ.2457) ว่าทรงเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า “สุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ตั้งแต่เมืองมอญ ตลอดลงมาถึงแหลมมาลายู หรือบางทีอาจตลอดไปจนถึงเมืองญวน โดยในครั้งกระโน้น ดินแดงนี้อาจเรียกว่าสุวรรณภูมิทั้งหมด”
    ความผูกพันกันระหว่างโลหะทองคำกับคนไทยนั้น มีมายาวนาน อาจย้อนไปถึงสมัยอาณาจักรเชียงแสนเพราะมีหลักฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำซึ่งมีศิลปะแบบเชียงแสน ปรากฎอยู่ จากนั้น เมื่อไทยได้รับระบบสมมติเทวราชของขอมมาให้เป็นสถาบันบริหารสูงสุดของประเทศ ทองคำถูกนำมาใช้ในการทำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภคทั้งหลาย


    ความมั่งคั่งในทองคำของไทยในอดีตอาจพิจารณาได้จากการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับชาวต่างชาติ เช่น พระราชสาสน์นั้นเป็นการเขียน (จาร) ลงบนแผ่นทองคำที่เรียกว่าพระสุพรรณบัฏ และเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ ที่ทำด้วยทองคำเป็นต้น นอกจากนี้เครื่องใช้และเครื่องประดับต่าง ๆ ก็ยังนิยมใช้ทองคำด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงถึงการมีทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าที่มาของทองคำเหล่านี้ คือแหล่งทองที่เป็นเกล็ดปนอยู่ในทรายซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามลำธารของภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือ

    ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ส่งทองคำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสถึง 46 หีบ และพระองค์ได้ให้เอกอัครราชทูตไทยที่ส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีในครั้งนั้นว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญการทำเหมืองแร่ทองคำจากฝรั่งเศสมาด้วย แร่ทองคำที่มีการผลิตหรือร่อนแร่กันในสมัยนั้น คือ แร่ทองคำบ้านป่าร่อน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีการค้นพบและทำเหมืองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2283 และมีหลักฐานว่าในปี พ.ศ.2293 สามารถผลิตทองคำ ได้ทองคำหนัก 90 ชั่งเศษ หรือน้ำหนักประมาณ 109.5 กิโลกรัม
    ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเครื่องทองคำที่ควรกล่าวถึง เป็นเครื่องประดับสำหรับเกียรติยศซึ่งปรากฏในหลักฐานเอกสารต้นตำนานตรานพรัตน์ฯ เมื่อพระมหากษัตริย์บรมราชาภิเษกเสด็จประทับพระที่นั่งภัทรบิฐพราหมณ์ย่อมถวายพระสังวาลย์นพรัตน์นั้นสวมทรงก่อน

    จวบจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 เป็นต้นมา ในรัชกาลที่ 4 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การขุดทองลดน้อยลงจนต้องหาซื้อนำเข้าจากต่างประเทศ การใช้ทองคำมีปรากฏในพระราชนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับการทำเงินตราสยามเป็นเหรียญเงิน และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้ทำเหรียญทองคำ ด้วยเช่นกัน
    กระทั่งปี พ.ศ.2414 มีการค้นพบทองคำที่บ้านบ่อ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีและได้มีการทำเหมืองด้วยวิธีการขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินในปี พ.ศ.2416 โดยพระปรีชากลการเจ้าเมืองปราจีนบุรี แต่ปิดดำเนินการในปี พ.ศ.2421 ต่อมาได้เปิดดำเนินการอีกครั้ง ในช่วงปี พ.ศ.2449 – 2459 แต่ไม่มีข้อมูลของการผลิตแต่อย่างใด
    จากนั้นจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวต่างประเทศได้เข้าติดต่อค้าขายและมีการเสาะหาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีชาวอิตาเลียน ได้ขอทำการขุดทองที่บางตะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เมื่อกลับไปก็ไปเผยแพร่ว่าประเทศไทยนั้นอุดมด้วยแร่ทองคำเนื้อดีจึงทำให้ชาวต่างชาติหลายชาติได้เข้ามาขออนุญาตขุดหาแร่ทองคำมากขึ้น
    ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลได้ให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแก่บริษัทจากประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสหลายแห่ง เช่น แหล่งโต๊ะโมะ จังหวัดนราธิวาส แหล่งบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แหล่งกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น แต่บริษัทต่างๆ เหล่านี้ ได้หยุดดำเนินการเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มีบันทึกไว้ว่า บริษัท Societe des Mine d’Or de Litcho ของฝรั่งเศส ได้ทำเหมืองแร่ทองคำที่แหล่งโต๊ะโมะ จังหวัดนราธิวาส ในระหว่างปี พ.ศ.2479 – 2483 ได้ทองคำหนักถึง 1,851.44 กิโลกรัม ระหว่างปี พ.ศ.2493 – 2500 กรมโลหกิจ(กรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน) ได้ทำเหมืองทองคำที่บ้านบ่อ จังหวัดปราจีนบุรี สามารถผลิตทองคำได้ถึง 54.67 กิโลกรัม

    แหล่งแร่ทองคำ
    โดยทั่วไปแล้วมักพบแร่ทองคำจะอยู่ในหินอัคนีชนิดเบสมากกว่าชนิดกรด แต่ส่วนใหญ่จะพบว่าทองอยู่ในหินชั้นและในกระบวนการของหินชั้น พบว่าหินทรายจะมีปริมาณทองมากกว่าหินชนิดอื่น ๆ
    ส่วนในแหล่งแร่จะพบว่า แร่ทองจะอยู่กับแร่เงิน ทองแดง และโดบอลต์ ปริมาณที่พบทองในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ทอง 1 กรัมต่อหินหรือดิน 300 เมตริกตัน ส่วนในน้ำทะเลจะมีปริมาณทอง 1 กรัมต่อน้ำทะเล 20,000-90,000 ตัน ซึ่งการสกัดเอาแร่ทองคำออกมาแล้ว ไม่คุ้มต่อการลงทุน กล่าวคือจะมีต้นทุนสูงมาก
    การเกิดของแร่ทองคำ
    การเกิดของแร่ทองคำนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบตามลักษณ์ที่พบในธรรมชาติ ดังนี้
    1.แบบปฐมภูมิ คือแหล่งแร่ที่เกิดจากกระบวนการทองธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่าง ๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีส่วนน้อยที่จะมีขนาดโตพอที่จะเห็นได้ชัดเจน แหล่งแร่คำแบบนี้จะมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ ก็ต่อเมื่อมีทองคำมากกว่า 3 กรัมในเนื้อหินหนัก 1 ตัน หรือมีทองคำหนัก 1 บาท(15.2 กรัม) ในเนื้อหินหนักประมาณ 5 ตัน (ประมาณ 2 ลูกบาศก์เมตร)

    2.แบบปฐมทุติยภูมิ หรือแหล่งลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อนผุพัง แล้วสะสมตัวในที่เดิมหรือถูกน้ำชะล้างพาไปสะสมตัวในที่ใหม่ ในบริเวณต่าง ๆ ที่เหมาะสม เช่น เชิงเขา ลำห้วย หรือ ในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ

    แหล่งแร่ทองคำที่พบในต่างประเทศ
    เมื่อ พ.ศ. 2396 สหรัฐอเมริกาได้มีการค้นพบทองครั้งใหญ่ ผลิตทองได้มากมายจนทำให้เป็นผู้นำการผลิตทอง ถึง 50 ปี ส่วนในออสเตรเลียก็เช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา คือมีการค้นพบทองมากมาย จึงทำให้ตลาดของสหรัฐอเมริกาดูตกต่ำลง แต่ช่วงเวลาไม่นานจำนวนทองที่ออสเตรเลียก็ลดลงอย่างรวดเร็วในขณะที่การค้นพบทองครั้งใหญ่ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่สหรัฐอเมริกาทำให้สหรัฐอเมริกาในตลาดโลกมีความกระเตื้องขึ้นหลังจากที่ตกต่ำไป หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2439 มีการตื่นทองครั้งใหญ่ที่แคนาดาซึ่งผลิตทองได้เกินกว่า 15 ล้านเอานซ์ต่อปี และในปี พ.ศ. 2458 สุงสุดเกือบ 23 ล้านเอานซ์ต่อปี นับตั้งปี พ.ศ. 2448 ประเทศแอฟริกา เป็นอันดับหนึ่งในการผลิตทอง รองลงมาคือประเทศ สหรัฐอเมริกา ประมาณ 26 ปี ต่อมา ผลผลิตทองของสหรัฐอเมริกาจึงตกเป็นรองประเทศรัสเซียและแคนาดา
    ได้มีการประเมินปริมาณของการขุดทองทั่วโลก นับจากเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ ได้ทั้งหมด 3 พันล้านเอานซ์ เป็นข้อมูลที่ประเมินไว้ก่อนปี พ.ศ. 2515

    แหล่งแร่ทองคำในประเทศไทย
    เมื่อประมาณ 60-70 ปีมาแล้ว แหล่งแร่ทองคำที่สำคัญที่สุด คือแหล่งแร่ที่ป่าร้อนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งชาวบ้านที่นี่ทำการหาทองโดยวิธีการร่อน เป็นเวลาหลายปีจนปริมาณลดลง แต่ก็ยังมีเหลือพบบ้าง
    กรมทรัพยากรธรณี สำรวจพบแร่ทองคำกระจายอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด ยกเว้นพื้นที่ส่วนที่เป็นที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พื้นที่ที่มีศักยภาพทางแร่สูงมีอยู่ 2 แนวคือ แนวแรก พาดผ่านจังหวัดเลย หนองคาย เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ลพบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี และจังหวัดระยอง ส่วนแนวที่ 2 พาดผ่านจังหวัดเชียงราย แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย และจังหวัดตาก ส่วนพื้นที่อื่นๆ พบทองคำกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เช่น บริเวณบ้านป่าร่อน อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แหล่งโต๊ะโมะ อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส และ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
    บริเวณที่สำรวจพบว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางแร่ทองคำสูง ในปัจจุบันมีด้วยกัน 9 บริเวณ ดังนี้
    1.บริเวณพื้นที่ในเขตตอนเหนือของจังหวัดอุดรธานี อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย อำเภอเมือง อำเภอเชียงคาน และอำเภอปากชม จังหวัดเลย
    2.บริเวณพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอสระแก้ว และอำเภอวัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี
    3.บริเวณพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย อำเภอสบปราบ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง และอำเภอวังชิ้น อำเภอลอง จังหวัดแพร่
    4.บริเวณพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ขึ้นไปทางเหนือผ่านอำเภอเมือง อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอม่จัน อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
    5.บริเวณพื้นที่อำเภอสนามชัยเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงไปถึงอำเภอบ้าบึง กิ่งอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี จรดชายฝั่งทะเลที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
    6.บริเวณพื้นที่อำเภอทับสะแก อำเภอบางสะพาน กิ่งอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถึงอำเภอประทิว และอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร
    7.บริเวณกิ่งอำเภอสุคิริน อำเภอระแงะ และอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส และบริเวณทางตอนใต้ของจังหวัดยะลา
    8.บริเวณพื้นที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอไทรโยค ถึงอำเภอสวนผึ้งและอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
    9.บริเวณพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอโคกสำโรง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี และอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์


    ประวัติการผลิตทองคำ
    ในช่วง 6000 ปีที่ผ่านมา คาดว่ามีการขุดทองคำขึ้นมาใช้แล้วมากกว่า 125,000 ตัน โดยประวัติการขุดค้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ยุด คือ ยุคก่อนการตื่นทอง และยุคหลังการตื่นทอง คาดว่ากว่า 90% ของทองคำที่เคยถูกขึ้นนั้นถูกขุดขึ้นมาหลังปี ค.ศ. 1848 หรือตั้งแต่ยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย

    ยุคแรก (ก่อนปี ค.ศ. 1848)
    ในช่วง 2000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์ขุดทองคำได้ไม่ถึงปีละ 1 ตัน จากบริเวณที่เป็นประเทศอียิปต์ ซูดาน และซาอุดิอาราเบียในปัจจุบัน
    ในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง คาดว่ามีการขุดทองคำได้ 5-10 ตันจาก สเปน ปอร์ตุเกส และแอฟริกา
    ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 มีการผลิตทองคำ 5-8 ตันต่อปีจากแถบแอฟริกาตะวันตก ซึ่ง คือบริเวณประเทศกานาในปัจจุบัน
    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 มีการผลิตทองคำรวม 10-12 ตัน จากแอฟริกาตะวันตกและ อเมริกาใต้
    ในปี ค.ศ. 1847 หนึ่งปีก่อนเกิดการตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย รัสเซียผลิตทองคำได้ 30-35 ตัน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ผลิตได้ทั้งโลกที่มีประมาณ 75 ตัน

    ยุคที่สอง (หลังปี ค.ศ. 1848)
    หลังปี ค.ศ. 1848 นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลังการค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียและในออสเตรเลีย โดยในแต่ละแห่งสามารถขุดได้ทองคำในแต่ลปีเกือบ 100 ตัน
    หลังจากได้ได้มีการค้นพบแหล่งทองคำในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผลผลิตสูงที่สุดมาต่อเนื่องยาวนานนับจากช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงปัจจุบัน
    ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีการขุดทองคำได้เฉลี่ยปีละ 400 ตัน
    ในช่วงปี 1990 โลกมีการขุดค้นได้ทองคำเฉลี่ย 1744 ตันต่อปี ทั้งนี้เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยทำให้การผลิตเดิมที่ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจมีความเป็นไปได้ขึ้น แต่ราคาทองคำที่ตกต่ำลงทำให้ผลผลิตทองคำไม่เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด



    ข้อมูลจาก สมาคมค้าทองคำ goldtreders.or.th


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2011
  13. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
    one and only
     
  14. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <IFRAME style="POSITION: absolute; WIDTH: 10px; HEIGHT: 10px; TOP: -9999em" id=twttrHubFrame tabIndex=0 src="http://platform.twitter.com/widgets/hub.1324331373.html" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    ความดันโลหิตต่ำไม่ใช่โรค

    [​IMG]
    “คุณหมอคะ ดิฉันมีอาการเวียนศีรษะหน้ามืดบ่อยๆ ไม่ทราบว่าใช่เป็นโรคความดันต่ำหรือเปล่าคะ” หญิงสาววัย ๓o เศษเอ่ยขึ้น
    “ส่วนมากจะมีอาการตอนไหน หรือขณะทำอะไรครับ” หมอซัก
    “มักจะเป็นอยู่วูบเดียวตอนลุกขึ้นนั่งหรือลุกขึ้นยืน พอตั้งหลักได้สักครู่ก็หาย แล้วก็ทำอะไรได้ปกติทุกอย่าง”
    หลังจากซักถามอาการต่างๆ ตรวจร่างกาย พร้อมทั้งวัดความดันเลือดเสร็จ คุณหมอก็บอกกล่าวกับคนไข้ว่า “เท่าที่ตรวจดูก็ไม่พบโรคอะไร นอกจากความดันเลือดของคุณอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าคนปกติทั่วไปเล็กน้อย”
    “คุณหมอหมายความว่าดิฉันเป็นโรคความดันต่ำอย่างที่ดิฉันสงสัยตั้งแต่แรกใช่มั้ยคะ” หญิงสาวแสดงท่าวิตกกังวล “ได้ยินมาว่า โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาด ไม่ทราบว่าจะมีอันตรายมากมั้ยคะ”
    “ก่อนอื่นหมอขอรับรองว่า คุณมิได้เป็นโรคอะไรเลยทั้งสิ้น ความดันของคุณวัดได้ตัวบน 100 ตัวล่าง 60 อาจต่ำกว่าคนในวัยเดียวกันที่ตัวบนประมาณ 120 ตัวล่าง 70-80 แม้ว่าความดันเลือดของคุณจะมีค่าเท่านี้ ก็มิได้หมายความว่าคุณเป็นโรค”
    “เพื่อนบ้านดิฉันคนหนึ่งมีอาการคล้ายกัน หมอที่โรงพยาบาลตรวจแล้วบอกว่าเป็นโรคความดันต่ำ ทำไมคุณหมอจึงบอกว่าดิฉันไม่ได้เป็นโรคนี้ล่ะคะ” หญิงสาวชักฉงน
    “จริงๆแล้วค่าความดันเลือดของคนแต่ละคนจะมีค่าเฉพาะของตัวเอง ซึ่งอาจแตกต่างจากคนอื่นๆได้ ตราบเท่าที่ไม่สูงเกินเกณฑ์ปกติ ในผู้ใหญ่ตัวบนให้ได้ถึง 140 ตัวล่างได้ถึง 90 ถ้ามีค่าเกินกว่านี้ก็ถือว่าเป็นความดันสูง” คุณหมออธิบาย
    “ส่วนขั้นต่ำนั้นไม่มีเกณฑ์ตายตัว ขอเพียงแต่ให้ช่วงต่างของความดันตัวบนกับตัวล่างมีค่าเกินกว่า ๓o ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นความดันเลือดที่ปกติ อย่างของคุณตัวบน 100 ตัวล่าง 60 มีช่วงต่างอยู่ 40 ก็ถือว่าปกติ แต่ถ้าคนที่เสียเลือดรุนแรงถึงขั้นช็อก ช่วงต่างของความดันจะลดลง เช่น ตัวบน 90 ตัวล่าง 70 แบบนี้จึงจะถือว่าอันตราย”
    “คุณหมอคิดว่าความดันของดิฉันแม้จะต่ำกว่าคนอื่นบ้าง ก็ยังถือว่าเป็นปกติของดิฉันใช่มั้ยคะ” หญิงสาวซัก “แล้วดิฉันต้องกินยาอะไรเพื่อเพิ่มความดันหรือไม่คะ”
    “เมื่อคุณไม่ได้เป็นโรคอะไร จะกินยาไปทำไมเล่าครับ” คุณหมอตอบ “ความดันสูงสิจึงจะถือว่าเป็นโรคเรื้อรังและอันตราย ต้องกินยาและรักษาตัวไปตลอดชีวิต ส่วนความดันต่ำแบบของคุณนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคและจะไม่มีอันตรายทั้งสิ้น เพียงแต่บางครั้งอดนอน หรือร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้มีอาการหน้ามืดได้บ้างเป็นครั้งคราว วิธีป้องกันก็คือหมั่นพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาการต่างๆก็จะหายไปได้ โดยที่ความดันของคุณอาจยังคงมีค่าเท่าเดิมต่อไปก็ได้”
    “เห็นเพื่อนบ้านของดิฉันแนะนำให้ดื่มเบียร์รักษาโรคความดันต่ำ คุณหมอว่าดีมั้ยคะ”
    “ความเชื่ออันนี้เห็นว่าจะมีประโยชน์ไม่คุ้มโทษ เดี๋ยวติดเบียร์จะยิ่งเสียหายหนักไปอีก” คุณหมอตอบ “จริงๆแล้วคุณไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะไม่ได้เป็นโรคอะไร คุณน่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำว่า ความดันต่ำดีกว่าความดันสูง ในตำราแพทย์ระบุไว้ชัดเจนว่าคนที่มีความดันต่ำนั้นมักจะมีอายุยืน”
    “ฟังคุณหมออธิบายแล้วดิฉันรู้สึกสบายใจ มัวแต่หลงเข้าใจผิดมานาน ที่แท้ความดันต่ำไม่ใช่โรค ความดันสูงจึงจะเป็นโรค” ว่าแล้วหญิงสาวก็ไว้ลาคุณหมอ โดยไม่ร้องขอยาเพิ่มความดันอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
     
  15. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    ง่วงนอนบ่อย สัญญาณบอกโรค

    [​IMG]
    1. โรคโลหิตจาง
    อาการง่วงนอนในคนเป็นโรคโลหิตจางนี้เป็นอาการทางสมอง โดยผู้ป่วยจะมีอาการง่วงนอนบ่อย เฉื่อยชาความคิดความอ่านด้อยลง เนื่องจากร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนจากปอดมาเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย คุณผู้หญิงที่ง่วงเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ประจำเดือนมามาผิดปกติ ควรไปตรวจหาโรคนี้เสียหน่อย เพราะโรคนี้จะพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

    2. เบาหวาน คนที่เป็นเบาหวานมักจะง่วงนอนบ่อยๆ
    เพราะระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ เพื่อให้แน่ใจว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ควรสังเกตตัวเองด้วยว่า นอกจากง่วงบ่อยแล้ว ยังมีอาการอ่อนเพลียง่าย กระหายน้ำ หิวจัด น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย ตกขาว และ สายตาพร่ามัวร่วมด้วย หรือไม่


    3. โรคซึมเศร้า
    โรคซึมเศร้าทำให้พลังงานในร่างกายลดลงการนอนจึงเปลี่ยนไป บ้างก็นอนไม่หลับในตอนกลางคืน หรือหลับๆ ตื่นๆ ส่งผลให้ง่วงมากในตอนกลางวัน บ้างก็มีอาการนอนมากหรือนอนน้อยเกินไป

    4. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาการมักเริ่มด้วยการกรน แล้วตามมาด้วยอาการอ่อนเพลียและง่วงนอนในวันรุ่งขึ้น อาการจะเป็นเช่นนี้เกือบทุกวันหากง่วงนอนโดยหาสาเหตุไม่ได้แนะนำให้ไปพบแพทย์ ดังนั้นเราควรสังเกตตัวเองบ่อยๆ เป็นประจำเป็นทางหนึ่งที่ทำให้ช่วยป้องกันโรคได้ทันท่วงที
     
  16. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    <IFRAME style="POSITION: absolute; WIDTH: 10px; HEIGHT: 10px; TOP: -9999em" id=twttrHubFrame tabIndex=0 src="http://platform.twitter.com/widgets/hub.1324331373.html" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    ประโยชน์ของลูกเกด

    [​IMG]

    แก้ตาแพ้แสง บำรุงผิวพรรณ รักษาไมเกรน แก้ถุงน้ำดีข้น ลดความเครียด ลดโคเลสเตอรอลช่วยดูแลเยื่อหุ้มหัวใจ
    ขยายหลอดเลือด คนที่หงุดหงิดก็ช่วยได้ เพราะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดีขึ้น
    เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี ปอดและหัวใจก็จะแข็งแรงตามไปด้วยช่วยขับถ่ายพยาธิ


    ข้อมูลจาก numsai.com
     
  17. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    โรคสมองเสื่อม DEMENTIA

    โรคสมองเสื่อม เป็นคำที่เรียกใช้กลุ่มอาการต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง อาการที่พบได้บ่อย คือในด้านที่เกี่ยวกับความจำ การใช้ความคิด และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ



    [​IMG]


    นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพร่วมด้วยได้ เช่น หงุดหงิดง่าย เฉื่อยชา หรือเมินเฉย การเสื่อมของสมองนี้จะเป็นไปอย่าง ต่อเนื่องเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อ การดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านอาชีพการงาน และชีวิตส่วนตัว
    โรคสมองเสื่อมไม่ใช่ภาวะปกติของคนที่มีอายุ ในบางครั้งเวลาที่เรามีอายุมากขึ้น เราอาจมีอาการหลงๆลืมๆได้บ้าง แต่อาการหลงลืมในโรคสมองเสื่อมนั้นจะมีลักษณะ ที่แตกต่างออกไปกล่าวคือ อาการหลงลืมจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ และจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลย ไม่เพียงแต่จำรายละเอียดของเหตุการณ์ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เท่านั้น คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมจะจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เลย รวมทั้งสิ่งที่ตัวเองกระทำเองลงไปด้วย และถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นอาจจำไม่ได้ว่าใส่เสื้ออย่างไร อาบน้ำอย่างไร หรือแม้กระทั่งไม่สามารถพูดได้เป็นประโยค
    อะไรคือสาเหตุของโรคสมองเสื่อม
    อาการต่างๆ ของโรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ
    โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer ) นั้นเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม
    ส่วนโรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดในสมอง ( Vascular dementia ) นั้น เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยรองลงมา นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมที่พบได้ คือ โรค Parkinson , Frontal Lobe Dementia , จาก alcohol และจาก AIDS เป็นต้น

    โรคสมองเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย แต่จะพบได้น้อยมากในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบในคนสูงอายุ แต่พึงตระหนักไว้ว่า โรคสมองเสื่อมนั้นไม่ใช่สภาวะปกติของ ผู้ที่มีอายุมาก เพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคได้มากขึ้น โดยคร่าวๆ นั้นประมาณ 1 ใน 1000 ของคนที่อายุน้อยกว่า 65 ปี จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ ประมาณ 1 ใน 70 ของคนที่อายุระหว่าง 65-70 ปี 1ใน 25 ของคนที่มีอายุระหว่าง 70-80 ปีและ 1ใน 5 ของคนที่มีอายุมากกว่า80ปีขึ้นไป จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนี้ได้ โดยประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วย
    เป็นโรคสมองเสื่อมนั้น มีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer’s Disease)
    เนื่องจากสาเหตุของโรคสมองเสื่อมนั้น มีมากมายหลายสาเหตุ ดังนั้นการพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษา และตรวจร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะทำให้ทราบว่า เราป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่แล้ว ยังทำให้พอทราบได้ว่า สาเหตุนั้นมาจากอะไร ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการรักษาต่อไป



    ข้อมูลจาก myhomedee.com
     
  18. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    จิงหรอ.. เพิ่งรู้นะเนี่ย



    วิธีทําดีท็อกซ์กาแฟล้างพิษ


    [​IMG]



    วิธีทําดีท็อกซ์ด้วยกาแฟเพื่อล้างพิษให้แก่ร่างกายแบบง่ายๆ กาแฟที่ใช้ล้างพิษนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกาแฟที่มียี่ห้อหรือชื่อเสียงโด่งดังอะไร ใช้กาแฟธรรมดาราคาถูกๆนี่แหล่ะ ประหยัดเงินดี หรือใครมีเงินแยะจะซื้อแบบแพงๆยี่ห้อดังๆมาดื่มกิน ก็ไม่เป็นไรอีกเช่นกัน ไม่ว่ากันครับ ชีวิตใคร ใครก็ใช้กันเอาเองตามแต่สะดวก

    วิธีทำก็มีดังนี้

    ตื่นเช้ามาให้ดื่มน้ำอุ่นทันที 1-2 แก้ว แล้วแต่ความสามารถในการดื่มของแต่ละคน ไม่ต้องเคร่งครัดอะไรมากนักหรอก เดี๋ยวจะเครียดซะเปล่าๆ และจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย
    หลังจากนั้นอีกสักประมาณ 30 นาที ให้ชงกาแฟดำร้อนดื่มสัก 1 แก้วหรือครึ่งแก้วก็ได้ เพราะบางคนดื่มกาแฟไม่ได้มาก แต่จำไว้ว่า ห้ามใส่นมเด็ดขาดนะ อนุญาตให้ใส่น้ำตาล น้ำผึ้ง หรือสารให้ความหวานได้นิดหน่อย แต่อย่ามากนัก
    หลังจากดื่มกาแฟดำร้อนนี้แล้ว อยากจะทำอะไร หรือมีอะไรทำ ก็ทำไป พอสักพัก จะมีอาการปวดท้องอยากถ่ายหนัก ก็จงรีบไปห้องสุขา จัดการเอาออกซะโดยไว อย่าชักช้า
    ให้ทำแบบนี้ทุกๆวันตอนเช้า เพราะนี่แหล่ะคือ วิธีทําดีท็อกซ์ด้วยกาแฟเพื่อล้างพิษออกจากร่างกายโดยวิธีง่ายๆ และในระหว่างวัน หากดื่มการแฟดำร้อนแบบนี้อีกสัก 1-2 ครั้งก็จะดี เพราะอะไรรู้ไหมครับ
    ก็เพราะว่ากาแฟนี้ จะไปช่วยกระตุ้นให้ตับขยันทำงาน และขับหลั่งสารบางอย่างออกมาเพื่อกำจัดกาแฟนี้ ซึ่งปกติแล้วกาแฟเป็นสารพิษหรือ Toxin นั่นเอง เมื่อเราดื่มเข้าไปในร่างกาย ตับจะตรวจจับสารพิษนี้ได้ง่ายกว่าอาหารชนิดอื่นๆ และเมื่อตับขับสารออกมากำจัดสารพิษของกาแฟ ในขณะเดียวกัน มันจะกำจัดสารพิษต่างๆไปทั่วร่างไปด้วยในเวลาเดียวกัน นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ คนดื่มกาแฟดำร้อนแบบนี้ ไม่ค่อยเป็นโรคมะเร็งกันได้มีรายงานการวิจัยแล้วพบว่า ผู้หญิงฝรั่งเศสไม่ค่อยเป็นมะเร็งทรวงอกกัน เพราะคุณสาวๆประเทศนี้เธอนิยมดื่มกาแฟดำร้อนแบบนี้กันเป็นประจำ
    ดังนั้น การดื่มกาแฟดำร้อนแบบนี้ จึงมีประโยชน์มากในหลายๆอย่างในคราวเดียวกัน ได้ทั้งล้างพิษให้แก่ร่างกาย ได้ทั้งป้องกันโรคท้องผูก และได้ทั้งการป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย ขอบอก




    ข้อมูลจาก myhomedee.com
     
  19. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2014
  20. phanbuaphet

    phanbuaphet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +2,180
    [​IMG]

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2790377/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...