พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา

    [​IMG]ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาค่ะ ขอบารมีพระ ฯ พรหมเทพเทวา ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีคุณทั้งหลาย ได้โปรดดลบันดาลให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายได้สามารถเห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์อย่างถ่องแท้ แต่ไม่ทุกข์กับมันได้ และสามารถนำทุกข์นั้นมาเป็นแรงผลักดันให้สามารถหนีทุกข์สิ้นภพสิ้นชาติได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ[​IMG]:cool: :cool: :cool: :cool:
     
  2. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    (f) เห็นทุกข์ตัวเดียวก็ไปนิพพาน (f)

    [​IMG]ขออาราธนาคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือคำสอนหลวงพ่อเล่ม 2 หน้า 5 มาให้ทุกท่านได้อ่านกันนะคะ[​IMG]

    ขอทุกคน ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตั้งใจไว้เป็นปกติ ใช้จิตดูความเป็นจริง
    เข้าใจตามความเป็นจริงไว้เสมออย่าฝืน นั่นคือเห็นว่า ร่างกายของเรามันไม่ดี ร่างกายเรานี้
    มันไม่ดี ถ้ามันดีจริง ๆ มันต้องไม่หิว ถ้ามันดีจริงต้องไม่ป่วยไข้ไม่สบายถ้าดีจริงต้องไม่
    ทรุดโทรม ถ้าดีจริงมันต้องไม่ตาย
    และร่างกายของคนทุกคนก็ดี สัตว์ก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรเป็นของ
    สะอาดไม่มีที่น่ารัก จงตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลว ๆ อย่างนี้ ที่เรามีทุกข์อยู่ทุกวัน เพราะ
    ร่างกายอย่างเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว คำว่าทุกข์สักนิดหนึ่งก็ไม่มี นั่นคือเราไป
    นิพพาน
    ทุกคนจงพิจารณาไว้เสมอว่าร่างกาย ชาติปิ ทุกขัง เกิดมาเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะการ
    ทำมาหากิน ทุกข์เพราะการเหน็ดเหนื่อย ทุกข์เพราะการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากอารมณ์ที่
    ไม่สมหวัง ทุกข์จากการทรุดโทรมของร่างกาย ทุกข์จากความตายที่จะเข้ามาถึงทุกวัน เต็ม
    ไปด้วยความทุกข์ เห็นทุกข์ตัวเดียวก็ไปนิพพาน ในเมื่อมันทุกข์อย่างนี้มันเลวอย่างนี้ เราก็
    จำเอาไว้ มีชาตินี้เพียงชาติสุดท้ายที่จะมีร่างกายอย่างนี้ ชาตินี้ถึงแม้มีเราก็ไม่พอใจในมัน
    แต่อย่าไปฆ่ามันนะ
    เราก็ตัดสินใจในมันอีกว่า เมื่อขณะที่มันทรงตัว เราจะทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ต้องอาศัย
    มันเป็นนายจ้างถ้ามันพังไปเมื่อไร เราต้องการนิพพาน รักษาอารมณ์ใจนี้ให้จริง นึกถึงความ
    ตายให้ทรงตัว เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้มั่นคง มีศีลให้บริสุทธิ์ มีจิต
    รักพระนิพพาน ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้ การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียวมีผลและท่าน
    ที่ทำได้แล้วทุกคนที่เคยมีจิตใจเศร้าหมอง จะมีสภาพจิตแจ่มใสเป็นปกติที่เขาทรงตัวกันได้นะ
    เขาคิดอย่างนี้ ฉะนั้นขอทุกคนให้คิดเป็นปกติไว้


    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:

     
  3. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    โมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
    ดีครับเป็นการดีมากครับชอบๆ
    ขอเป็นกำลังใจให้ครับ มีเรื่องดีๆเอามาลงอีกนะครับ
     
  4. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ หลวงพ่อพระสุก สร้างพร้อมกับพระเสริมและพระใส โดยเจ้าหญิงสามพี่น้อง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ปัจจุบันยังจมลงอยู่ใต้แม่น้ำโขง ขอทุกท่านช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาขึ้นมาจากน้ำโขงกันครับ จักได้เป็นที่กราบไหว้สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนสองฝั่งโขงสืบไปครับ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2007
  5. สุริยทรงศีล

    สุริยทรงศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,873
    อสุภกรรมฐาน 2

    การพิจารณาอสุภ

    การพิจารณาอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ท่านสอนให้พิจารณาเพื่อถือเอานิมิตโดยอาการ ๖ อย่าง
    ดังต่อไปนี้
    ๑. พิจารณาโดยสี คือให้กำหนดว่า ซากศพนี้เป็นร่างกายของคนดำหรือคนขาวหรือเป็น
    ร่างกายของคนที่มีผิวด่างพร้อย คือผิวไม่เกลี้ยงเกลา
    ๒. พิจารณาโดยเพศ อย่ากำหนดว่า ร่างกายนี้เป็นหญิงหรือชาย พึงพิจารณาว่าซากศพ
    นี้เป็นร่างกายของคนที่มีอายุน้อย มีอายุกลางคน หรือเป็นคนแก่
    ๓. กำหนดพิจารณาโดยสัณฐาน คือกำหนดพิจารณาว่า นี่เป็นคอ เป็นศีรษะ เป็นท้อง
    เป็นเอว เป็นขา เป็นเท้า เป็นแขน เป็นมือ ดังนี้เป็นต้น
    ๔. กำหนดโดยทิศ ทิศนี้ท่านหมายเอาสองทิศ คือ ทิศเบื้องบน ได้แก่ทางด้านศีรษะ
    ทิศเบื้องต่ำ ได้แก่ทางด้านปลายเท้าของซากศพ ท่านมิได้หมายถึงทิศเหนือทิศใต้ตามที่นิยมกัน
    ท่านให้สังเกตว่า ที่เห็นอยู่นั้นเป็นทางศีรษะ หรือด้านปลายเท้า
    ๕. กำหนดพิจารณาโดยที่ตั้ง ท่านให้พิจารณากำหนดจดจำว่า ซากศพนี้ศีรษะวางอยู่ที่
    ตรงนี้ มือวางอยู่ตรงนี้ เท้าวางอยู่ตรงนี้ ตัวเราเอง เวลาที่พิจารณาอสุภนี้ เรายืนอยู่ตรงนี้
    ๖. กำหนดพิจารณาโดยกำหนดรู้ หมายถึงการกำหนดรู้ว่า ร่างกายสัตว์และมนุษย์นี้
    มีอาการ ๓๒ เป็นที่สุด ไม่มีอะไรสวยสดงดงามจริงตามที่ชาวโลกผู้มัวเมาไปด้วยกิเลสหลงใหล
    ใฝ่ฝันอยู่ ความจริงแล้วก็เป็นของน่าเกลียดโสโครก มีกลิ่นเหม็นคุ้งมีสภาพขึ้นอืดพอง มีน้ำเลือด
    น้ำหนองเต็มร่างกาย หาอะไรที่จะพอพิสูจน์ได้ว่า น่ารักน่าชมไม่มีเลย สภาพของ ร่างกายที่พอจะ
    มองเห็นว่าสวยสดงดงามพอที่จะอวดได้ก็มีนิดเดียว คือ หนังกำพร้าที่ปกปิด อวัยวะภายในทำให้มอง
    ไม่เห็นสิ่งโสโครก คือ น้ำเลือด น้ำหนอง ดี เสลด ไขมัน อุจจาระ ปัสสาวะ ที่ปรากฏอยู่ภายในแต่
    ทว่าหนังกำพร้านั้นใช่ว่าจะสวยสดงดงามจริงเสมอไปก็หาไม่ ถ้าไม่คอยขัดถูแล้ว ไม่นานเท่าใด
    คือไม่เกินสองวันที่ไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หนังที่สดใส ก็กลายเป็นสิ่งโสโครก เหม็นสาบ
    เหม็นสาง ตัวเองก็รังเกียจตัวเอง เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เอาดีไม่ได้ พอตายแล้วยิ่งโสโครกใหญ่ร่างกาย
    ที่เคยผ่องใส ก็กลายเป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง น้ำเหลืองไหลมีกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ
    คนที่เคยรักกันปานจะกลืน พอสิ้นลมปราณลงไปในทันทีก็พลันเกลียดกัน แม้แต่จะเอามือเข้าไป
    แตะต้องก็ไม่ต้องการ บางรายแม้แต่จะมองก็ไม่อยากมอง มีความรังเกียจซากศพ ซ้ำร้ายกว่านั้น
    เมื่ออยู่รักและหวงแหน จะไปสังคมสมาคมคบหา สมาคมกับใครอื่นไม่ได้ ทราบเข้าเมื่อไรเป็น
    มีเรื่อง แต่พอตายจากกันวันเดียวก็มองเห็นคนที่แสนรักกลายเป็นศัตรูกัน กลัววิญญาณคนตาย
    จะมาหลอกมาหลอน เกรงคนที่แสนรักจะมาทำอันตราย ความเลวร้ายของสังขารร่างกายเป็น
    อย่างนี้ เมื่อพิจารณากำหนดทราบร่างกายของซากศพทั้งหลายที่พิจารณาเห็นแล้วก็น้อมนึกถึง
    สิ่งที่ตนรัก คือคนที่รัก ที่ปรารถนา ที่เราเห็น ว่าเขาสวยเขางาม เอาความจริงจากซากอสุภ
    เข้าไปเปรียบเทียบดู พิจารณาว่า คนที่เรารักแสนรัก ที่เห็นว่าเขาสวยสดงดงามนั้นเขากับ
    ซากศพนี้มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เดิมซากศพนี้ก็มีชีวิตเหมือนเขา พูดได้ เดินได้ ทำงานได้
    แสดงความรักได้ เอาอกเอาใจได้ แต่งตัวให้สวยสดงดงามได้ ทำอะไร ๆ ได้ทุกอย่างตามที่
    คนรักของเราทำ แต่บัดนี้เขาเป็นอย่างนี้ คนรักของเราก็เป็นอย่างเขา เราจะมานั่งหลอกตนเอง
    ว่าเขาสวย เขางาม น่ารัก น่าปรารถนาอยู่เพื่อเหตุใด แม้แต่ตัวเราเอง สิ่งที่เรามัวเมากาย
    เมาชีวิต หลงใหลว่า ร่างกายเราสวยสดงามวิไล ไม่ว่าอะไรน่ารักน่าชมไปหมด ผิวที่เต็มไปด้วย
    เหงื่อไคล เราก็เอาน้ำมาล้าง เอาสบู่มาฟอก นำแป้งมาทา เอาน้ำหอมมาพรมแล้วก็เอาผ้าที่เต็มไป
    ด้วยสีมาหุ้มห่อเอาวัตถุมีสีต่างๆ มาห้อยมาคล้องมองดูคล้ายบ้าหอบฟางแล้วก็ชมตัวเองว่าสวยสด
    งดงามลืมคิดถึงสภาพความเป็นจริง ที่เราเองก็หอบเอาความโสโครกเข้าไว้พอแรงเราเองเรารู้ว่า
    ในกายเราสะอาดหรือสกปรก ปากเราที่ชมว่าปากสวย ในปากเต็มไปด้วยเสลดน้ำลาย น้ำลายของ
    เราเองเมื่ออยู่ในปากอมได้ กลืนได้ แต่พอบ้วนออกมาแล้ว กลับรังเกียจไม่กล้าแม้แต่จะเอามือแตะ
    นี่เป็นสิ่งสกปรกที่เรามีหนึ่งอย่างละ
    ต่อไปก็อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด น้ำเหลือง ที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย พอไหลออกมานอก
    กายเราก็รังเกียจทั้ง ๆ ที่เป็นตัวของเราเอง นี้ก็เป็นสิ่งโสโครกที่เป็นสมบัติของเราเองอีก
    น้ำเลือด น้ำเหลือง ของซากศพที่เรามองเห็นนั้น ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไร เมื่อตาย
    ไปแล้วจากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย เขามีสภาพอย่างไร คือตายแล้วมีน้ำเลือด
    น้ำเหลืองหลั่งไหลออกจากร่างกายฉันใด เราแม้ยังไม่ตาย สิ่งเหล่านั้นก็มีครบแล้ว คนที่เราคิดว่า
    สวยสดงดงามตามที่นิยมกัน ก็เต็มไปด้วยความโสโครกที่น่ารังเกียจเหมือนกัน เอาอะไร มาเป็น
    ของน่ารักน่าปรารถนา เรารักคนก็มีสภาพเท่ารักศพ ศพนี้น่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนรักที่เรารัก
    ก็มีสภาพอย่างนั้น พยายามพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจจนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใด
    ก็ตามที่เขานิยมกันว่า น่ารัก น่าชมนั้น เห็นแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที มีความรังเกียจ
    สะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีทันใด เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความ
    รังเกียจที่จะสัมผัสถูกต้อง รังเกียจที่จะคิดว่าน่ารักน่าเอ็นดู เพราะความสวยสดงดงามเห็นผิว
    ภายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด น้ำหนอง ถุงอุจจาระปัสสาวะที่เคลื่อนที่ได้
    พูดด้วยสนทนาด้วย ก็เห็นสภาพผู้ที่พูดจาสนทนาด้วย เป็นถุงอุจจาระปัสสาวะ และถุงน้ำเลือด
    น้ำหนองมาพูดคุยด้วย คิดว่าขณะนี้มีสภาพเป็นถุงน้ำเลือดน้ำหนอง มาสนทนาปราศรัยกับเรา
    ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล ต่อไปกายก็จะขาดจากกัน
    เป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ สัตว์จะกัดกิน และในที่สุด ก็จะเหลือแต่กระดูกกระจัดกระจายไป
    เขานี่เป็นผีตายชัดๆ เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่
    เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สะสมของโสโครกแล้ว แต่ถ้า
    จะยังยืนคู่ฟ้าคู่ดินก็พอที่จะทนรักทนชอบได้บ้าง แต่นี่เปล่าเลยท่านหลงว่าสวยสดงดงามนั้น
    ก็เป็นสิ่งหลอกลวง เต็มไปด้วยความโสโครกเท่านั้นยังไม่พอ กลับหาความเที่ยงแท้แน่นอน
    ไม่ได้อีก ดิ้นรนกลับกลอกทรุดโทรมลงทุกวันทุกเวลาเคลื่อนเข้าไปหาความแก่ทุกวันทุกนาที
    ยิ่งมากวันความเสื่อมโทรมของร่างกายก็ทวีมากขึ้น จากความเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นคนหนุ่ม
    คนสาว จากความเป็นคนหนุ่มคนสาวมาเป็นคนแก่ การเคลื่อนไปนั้นมิใช่เคลื่อนเปล่า ยังนำเอา
    โรคภัยไข้เจ็บมาทับถมให้ไม่เว้นแต่ละวัน ปวดที่โน่น ปวดที่นี่ โรคแน่น โรคจุกเสียด ปวดร้าว
    มีตลอดเวลา อวัยวะที่เคยใช้คล่องแคล่วสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยกำลัง ก็ง่อนแง่นคลอนแคลน กำลัง
    วังชาหมดไป ทำอะไรไม่ได้สะดวก หูก็หนัก ตาก็ฟาง ได้ยินเห็นอะไรไม่ถนัดเต็มไปด้วยความ
    ทุกข์ จะห้ามปรามรักษาด้วยหมอวิเศษ ท่านใดก็ไม่สามารถจะยับยั้งความเคลื่อนความทรุดโทรม
    นี้ได้ ในที่สุดก็พังทลายกลายเป็นซากศพที่ชาวโลกรังเกียจอย่างนี้ อัตภาพนี้เป็นสภาพโสโครก
    อย่างนี้ เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไหวไปหาความ
    เสื่อมอย่างนี้ เป็นอนัตตา เพราะเราจะบังคับบัญชาควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตาม
    กฎธรรมดา

    พิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์อันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกาย
    ของตนเองและร่างกายของผู้อื่น เห็นสภาพร่างกายของตนเองและของผู้อื่นเป็นซากศพ หมด
    ความพิสมัยรักใคร่ โดยเห็นว่าไม่มีอะไรสวยงาม เห็นเมื่อไรเบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น
    เห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็นอย่างนี้ท่านเรียกว่าได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนา

    เห็นร่างกายเป็นซากศพ เบื่อหน่ายในร่างกาย และเห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความ
    ไม่เที่ยง สกปรกโสมมแล้วยังหาความแน่นอนไม่ได้อีก เคลื่อนไปหาความแก่ตายทุกวันเวลา
    ขณะที่เคลื่อนไปก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องได้รับทุกข์จากโรค รับทุกข์จากการบริหาร
    ร่างกาย มีการประกอบการงานเป็นต้น ทุกข์เพราะมีลาภแล้วลาภหมดไป มียศแล้ว ยศสิ้นไป
    มีสุขแล้วก็มีทุกข์มาทับถม เดี๋ยวมีคำสรรเสริญมาป้อยอ แต่ก็ไม่นานก็ถูกนินทา เป็นเหตุให้ใจ
    เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเสื่อมโทรมของร่างกายมีอวัยวะทุพพลภาพ หูหนัก ตาฟาง ฟันหัก
    ร่างกายร่วงโรย ความจำเสื่อม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนของความทุกข์ทั้งสิ้น
    เห็นร่างกายเป็นทุกข์แล้ว ก็เห็นความดื้อด้านของสังขารร่างกายที่บังคับบัญชาไม่ได้
    คือเห็นว่าความเสื่อมโทรมอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็บังคับไม่ได้ ไม่ต้องการให้ปวดเจ็บเมื่อยล้า
    แต่มันก็จะเป็น ไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องการให้ระบบประสาทเสื่อมมันก็จะเสื่อม ใครก็ห้ามไม่ได้
    ไม่ต้องการตาย มันก็ต้องตาย ไม่มีใครห้ามได้ สิ่งที่ห้ามไม่ได้นี้ ท่านเรียกว่า อนัตตา แปลว่า
    เป็นสิ่งเหลือวิสัยที่จะบังคับ ที่ท่านแปล อนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนนั่นเอง เพราะถ้าเป็นตัวตนของเรา
    จริงแล้ว เราก็บังคับได้ ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราแน่
    อารมณ์ที่เห็นว่า ร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียนเป็นซากศพแล้ว ยังไม่
    เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายในการทรงสังขารร่างกาย เบื่อที่จะเกิดต่อไป
    เพราะถ้าเกิดมีร่างกายในภพใด ร่างกายก็จะมีสภาพโสโครกสกปรกเป็นซากศพและไม่เที่ยง
    เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้อย่างนี้อีก ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด เป็น
    นิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ ถ้าท่านคิดใคร่ครวญในรูปสมถะให้เห็นซากศพอยู่เสมอ และใคร่
    ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป คือ เมื่อเกิดความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้ หรืออารมณ์ที่
    ไม่พอใจหรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน ท่านก็วางใจเฉยเสียไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน โดยคิดว่า
    นี่เป็นเรื่องของธรรมดาเกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วลาภมันก็เสื่อมได้ มียศแล้ว
    ยศมันก็สิ้นได้ มีสุขแล้วทุกข์มันก็มีได้ มีคนสรรเสริญแล้วคนนินทาก็มีได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้
    ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ๆ จนจิตชินต่ออารมณ์ มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่
    ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้ ท่านเรียกว่าได้สังขารุเปกขาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้
    ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว หมั่นคิดนึกไปเสมอ ๆ ถึงร่างกายที่มี สภาพเป็นซากศพร่างกายที่ไม่มีอะไรแน่นอนจนจิตคิดเป็นปกติว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรมชั่วครู่ คือรักษาศีล ๕ ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ คือ ใคร่ครวญปรารถนาแต่พระนิพพานไม่ต้องการความเกิดต่อไปอีก อย่างนี้ท่านว่าทรงคุณได้ในระดับพระโสดาบัน
    ฉะนั้น ขอให้นักปฏิบัติที่ปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน จงอุตส่าห์พยายามกำหนดพิจารณาให้
    ขึ้นใจจนได้ปฏิภาคนิมิตในที่สุด แล้วรักษานิมิตนั้นไว้อย่าให้เสื่อม ต่อไปก็ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่
    อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ภายในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้ เรียกว่า พิจารณากำหนดรู้


    (f) (f) (f)



     
  6. สุริยทรงศีล

    สุริยทรงศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,873
    นิมิตในอสุภกรรมฐาน

    อสุภกรรมฐานก็มีนิมิตเป็นเครื่องกำหนดในการเข้าถึงเหมือนกสิณ แต่ต่างจากกสิณตรง
    ที่เอารูปซากศพเป็นนิมิต ไม่ยกเอาธาตุหรือสีภายนอกเป็นนิมิต นิมิตในอสุภนี้ก็มีเป็นสองระดับ
    เหมือนกัน คือ
    ๑. อุคคหนิมิต ได้แก่ นิมิตติดตา คือ รูปเดิมที่กำหนดจดจำไว้ และ
    ๒. ปฏิภาคนิมิตได้แก่ นิมิตที่เป็นอัปปนาสมาธิ คือ รูปต่างจากภาพเดิมดังจะได้ยกมา
    เขียนไว้ดังต่อไปนี้

    ๑. อุทธุมาตกอสุภ


    อสุภที่มีร่างกายขึ้นอืดพอง อสุภนี้เมื่อเริ่มปฏิบัติ เมื่อเห็นภาพอสุภที่เป็นนิมิต ท่านให้
    กำหนดรูปแล้วภาวนา " อุทธุมาตะกัง ปะฏิกุลัง " ภาวนาอย่างนี้ตลอดไป เมื่อเพ่งพิจารณา
    จนจำรูปได้ชัดเจนแล้ว ให้หลับตาภาวนาพร้อมด้วยกำหนดจดจำรูปไปด้วยตามที่กล่าวไว้แล้วใน
    กสิณ จนรูปอสุภนั้นติดตาติดใจ จะนึกเมื่อไรก็เห็นภาพนั้นได้ทันที ภาพนั้นเกิดขึ้นแก่จิต คือ อยู่ใน
    ความทรงจำ ไม่ใช่ภาพลอยมาให้เห็นเหมือนภาพที่ลอยในอากาศ เกิดจากการกำหนดรู้โดยเฉพาะ
    เมื่อภาพนั้นติดใจจนชินตามที่กำหนดจดจำไว้ได้แล้ว ท่านเรียกว่า " อุคคหนิมิต " แปลว่า
    นิมิตติดตา
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนี้ รูปที่ปรากฏนั้นผิดไปจากเดิม คือรูปเปลี่ยนไปเสมือนคนอ้วนพี
    ผ่องใสผิวสดสวย อารมณ์จิตใจเป็นสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ท่านเรียกว่าเข้าถึง อัปปนาสมาธิ
    ได้ปฐมฌาน

    ปฏิภาคนิมิตกำจัดนิวรณ์ ๕


    นิวรณ์ ๕ ก็คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธิ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ตามที่กล่าว
    มาแล้วนั่นเอง เมื่อท่านนักปฏิบัติทรงสมาธิได้ถึง อัปปนาสมาธิ มีนิมิตเข้าถึงปฏิภาค คือเข้าถึงปฐม-
    ฌานแล้ว นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการก็ระงับไปเอง ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนว่าด้วยฌาน

    ๒. วินีลกอสุภ

    อสุภนี้ ปกติพิจารณาสี มีสีแดง สีเขียว สีขาวปนกัน เมื่อขณะกำหนดภาวนาว่า
    "วินีละกัง ปะฏิกุลัง" จนภาพนิมิตที่มีสี แดง ขาว เขียว เกิดติดตาติดใจคละกันอย่างนี้
    ท่านเรียกว่า อุคคหนิมิต
    ต่อไปถ้าปรากฏว่าในจำนวนสีสามสีนั้น สีใดสีหนึ่งแผ่ปกคลุมสีอีกสองสีนั้นจนหนาทึบ
    ปิดบังสีอื่นหมดแล้วทรงสภาพอยู่ได้นาน ท่านเรียกนิมิตอย่างนี้ว่า ปฏิภาคนิมิต ทางสมาธิเรียกว่า
    อัปปนาสมาธิ ทางฌานเรียกว่า ปฐมฌาน

    ๓. วิปุพพกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาน้ำเหลืองน้ำหนองเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า
    " วิปุพพะกัง ปะฏิกุลัง"
    จนเกิดอุคคหนิมิต อุคคหนิมิตของอสุภนี้มีลักษณะดังนี้ ปรากฏเห็นเป็นน้ำหนองไหลอยู่เป็นปกติ
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีสภาพเป็นนิมิตตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่มีอาการไหลออกเหมือนอุคคหนิมิต


    ๔. วิฉิททกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ขณะพิจารณา
    ให้ท่านภาวนาว่า " วิฉิททะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ท่านว่ามีรูปซากศพขาด
    เป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูปเป็นบริบูรณ์ เสมือนมีอวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์

    ๕. วิกขายิตกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาอสุภที่ถูกสัตว์กัดกินเป็นซากศพที่แหว่งเว้าทั้งด้านหน้าหลัง
    และในฐานต่างๆ ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " วิกขายิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับ
    อุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นรูปซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็น
    รูปซากศพที่มีร่างกายบริบูรณ์

    ๖. วิกขิตตกอสุภ


    วิกขิตตกอสุภนี้ ท่านให้รวบรวมเอาซากศพที่กระจัดกระจายพลัดพรากกันในป่าช้า
    มาวางรวมเข้าแล้วพิจารณา ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้
    " วิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง "
    สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ มีรูปเป็นอสุภนั้นตามที่นำมาวางไว้ วางไว้มีรูปอย่างไร อุคคหนิมิต
    ก็มีรูปร่างอย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น เห็นเป็นรูปมีร่างกายบริบูรณ์ไม่บกพร่อง จะได้มีช่องว่าง
    ก็หามิได้

    ๗. หตวิกขิตตกอสุภ


    ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนๆ แล้วเอามาวางห่างกันท่อนละ ๑ นิ้ว
    แล้วเพ่งพิจารณา ขณะพิจารณาท่านให้ภาวนาว่า " หะตะวิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับนิมิต
    คืออุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นปากแผลที่ถูกสับฟัน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นร่างบริบูรณ์
    จะปรากฏริ้วรอยที่ถูกสับฟันนั้นหามิได้

    ๘. โลหิตกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกประหาร มีมือเท้าขาดเลือดไหล ขณะพิจารณา
    ท่านให้ภาวนาว่า "โลหิตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเหมือนผ้าแดง
    ที่ถูกลมปลิวไสวอยู่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นสีแดงนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว

    ๙. ปุฬุวกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ตายมาแล้วสองสามวัน มีหนอนคลานอยู่บนซากศพนั้น
    ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " ปุฬุวะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตใน อสุภนี้ ปรากฏเป็น
    รูปซากศพที่มีหนอนคลานอยู่บนซากศพ แต่สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นภาพนิ่งคล้ายกองสำลี
    ที่กองอยู่เป็นปกติ

    ๑๐. อัฏฐิกอสุภ


    อัฏฐิกอสุภนี้ ท่านให้เอากระดูกของซากศพเท่าที่พึงหาได้ จะเป็นกระดูกที่มี เนื้อ เลือด
    เส้น เอ็น รัดรึงอยู่ก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกล้วนก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกบางส่วนของร่างกายมี
    เพียงส่วนน้อยหรือท่อนเดียวก็ตาม เอามาเป็นวัตถุพิจารณา เวลาพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้
    " อัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอัฏฐิกอสุภนี้ จะมีรูปเป็นกระดูกเคลื่อนไหวไปมา
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้น จะมีสภาพเป็นกระดูกวางเฉยเป็นปกติ

    (จบนิมิตในอสุภ ๑๐ อย่างเพียงเท่านี้)
     
  7. สุริยทรงศีล

    สุริยทรงศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,873
    นิมิตในอสุภกรรมฐาน

    อสุภกรรมฐานก็มีนิมิตเป็นเครื่องกำหนดในการเข้าถึงเหมือนกสิณ แต่ต่างจากกสิณตรง
    ที่เอารูปซากศพเป็นนิมิต ไม่ยกเอาธาตุหรือสีภายนอกเป็นนิมิต นิมิตในอสุภนี้ก็มีเป็นสองระดับ
    เหมือนกัน คือ
    ๑. อุคคหนิมิต ได้แก่ นิมิตติดตา คือ รูปเดิมที่กำหนดจดจำไว้ และ
    ๒. ปฏิภาคนิมิตได้แก่ นิมิตที่เป็นอัปปนาสมาธิ คือ รูปต่างจากภาพเดิมดังจะได้ยกมา
    เขียนไว้ดังต่อไปนี้

    ๑. อุทธุมาตกอสุภ


    อสุภที่มีร่างกายขึ้นอืดพอง อสุภนี้เมื่อเริ่มปฏิบัติ เมื่อเห็นภาพอสุภที่เป็นนิมิต ท่านให้
    กำหนดรูปแล้วภาวนา " อุทธุมาตะกัง ปะฏิกุลัง " ภาวนาอย่างนี้ตลอดไป เมื่อเพ่งพิจารณา
    จนจำรูปได้ชัดเจนแล้ว ให้หลับตาภาวนาพร้อมด้วยกำหนดจดจำรูปไปด้วยตามที่กล่าวไว้แล้วใน
    กสิณ จนรูปอสุภนั้นติดตาติดใจ จะนึกเมื่อไรก็เห็นภาพนั้นได้ทันที ภาพนั้นเกิดขึ้นแก่จิต คือ อยู่ใน
    ความทรงจำ ไม่ใช่ภาพลอยมาให้เห็นเหมือนภาพที่ลอยในอากาศ เกิดจากการกำหนดรู้โดยเฉพาะ
    เมื่อภาพนั้นติดใจจนชินตามที่กำหนดจดจำไว้ได้แล้ว ท่านเรียกว่า " อุคคหนิมิต " แปลว่า
    นิมิตติดตา
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนี้ รูปที่ปรากฏนั้นผิดไปจากเดิม คือรูปเปลี่ยนไปเสมือนคนอ้วนพี
    ผ่องใสผิวสดสวย อารมณ์จิตใจเป็นสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ท่านเรียกว่าเข้าถึง อัปปนาสมาธิ
    ได้ปฐมฌาน

    ปฏิภาคนิมิตกำจัดนิวรณ์ ๕


    นิวรณ์ ๕ ก็คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธิ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ตามที่กล่าว
    มาแล้วนั่นเอง เมื่อท่านนักปฏิบัติทรงสมาธิได้ถึง อัปปนาสมาธิ มีนิมิตเข้าถึงปฏิภาค คือเข้าถึงปฐม-
    ฌานแล้ว นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการก็ระงับไปเอง ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนว่าด้วยฌาน

    ๒. วินีลกอสุภ

    อสุภนี้ ปกติพิจารณาสี มีสีแดง สีเขียว สีขาวปนกัน เมื่อขณะกำหนดภาวนาว่า
    "วินีละกัง ปะฏิกุลัง" จนภาพนิมิตที่มีสี แดง ขาว เขียว เกิดติดตาติดใจคละกันอย่างนี้
    ท่านเรียกว่า อุคคหนิมิต
    ต่อไปถ้าปรากฏว่าในจำนวนสีสามสีนั้น สีใดสีหนึ่งแผ่ปกคลุมสีอีกสองสีนั้นจนหนาทึบ
    ปิดบังสีอื่นหมดแล้วทรงสภาพอยู่ได้นาน ท่านเรียกนิมิตอย่างนี้ว่า ปฏิภาคนิมิต ทางสมาธิเรียกว่า
    อัปปนาสมาธิ ทางฌานเรียกว่า ปฐมฌาน

    ๓. วิปุพพกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาน้ำเหลืองน้ำหนองเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า
    " วิปุพพะกัง ปะฏิกุลัง"
    จนเกิดอุคคหนิมิต อุคคหนิมิตของอสุภนี้มีลักษณะดังนี้ ปรากฏเห็นเป็นน้ำหนองไหลอยู่เป็นปกติ
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีสภาพเป็นนิมิตตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่มีอาการไหลออกเหมือนอุคคหนิมิต


    ๔. วิฉิททกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ขณะพิจารณา
    ให้ท่านภาวนาว่า " วิฉิททะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ท่านว่ามีรูปซากศพขาด
    เป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูปเป็นบริบูรณ์ เสมือนมีอวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์

    ๕. วิกขายิตกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาอสุภที่ถูกสัตว์กัดกินเป็นซากศพที่แหว่งเว้าทั้งด้านหน้าหลัง
    และในฐานต่างๆ ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " วิกขายิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับ
    อุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นรูปซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็น
    รูปซากศพที่มีร่างกายบริบูรณ์

    ๖. วิกขิตตกอสุภ


    วิกขิตตกอสุภนี้ ท่านให้รวบรวมเอาซากศพที่กระจัดกระจายพลัดพรากกันในป่าช้า
    มาวางรวมเข้าแล้วพิจารณา ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้
    " วิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง "
    สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ มีรูปเป็นอสุภนั้นตามที่นำมาวางไว้ วางไว้มีรูปอย่างไร อุคคหนิมิต
    ก็มีรูปร่างอย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น เห็นเป็นรูปมีร่างกายบริบูรณ์ไม่บกพร่อง จะได้มีช่องว่าง
    ก็หามิได้

    ๗. หตวิกขิตตกอสุภ


    ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนๆ แล้วเอามาวางห่างกันท่อนละ ๑ นิ้ว
    แล้วเพ่งพิจารณา ขณะพิจารณาท่านให้ภาวนาว่า " หะตะวิกขิตตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับนิมิต
    คืออุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเป็นปากแผลที่ถูกสับฟัน ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นร่างบริบูรณ์
    จะปรากฏริ้วรอยที่ถูกสับฟันนั้นหามิได้

    ๘. โลหิตกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ถูกประหาร มีมือเท้าขาดเลือดไหล ขณะพิจารณา
    ท่านให้ภาวนาว่า "โลหิตะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอสุภนี้ ปรากฏเหมือนผ้าแดง
    ที่ถูกลมปลิวไสวอยู่ ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นสีแดงนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว

    ๙. ปุฬุวกอสุภ


    อสุภนี้ ท่านให้พิจารณาซากศพที่ตายมาแล้วสองสามวัน มีหนอนคลานอยู่บนซากศพนั้น
    ขณะพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่า " ปุฬุวะกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตใน อสุภนี้ ปรากฏเป็น
    รูปซากศพที่มีหนอนคลานอยู่บนซากศพ แต่สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นภาพนิ่งคล้ายกองสำลี
    ที่กองอยู่เป็นปกติ

    ๑๐. อัฏฐิกอสุภ


    อัฏฐิกอสุภนี้ ท่านให้เอากระดูกของซากศพเท่าที่พึงหาได้ จะเป็นกระดูกที่มี เนื้อ เลือด
    เส้น เอ็น รัดรึงอยู่ก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกล้วนก็ตาม หรือจะเป็นกระดูกบางส่วนของร่างกายมี
    เพียงส่วนน้อยหรือท่อนเดียวก็ตาม เอามาเป็นวัตถุพิจารณา เวลาพิจารณา ท่านให้ภาวนาว่าดังนี้
    " อัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง " สำหรับอุคคหนิมิตในอัฏฐิกอสุภนี้ จะมีรูปเป็นกระดูกเคลื่อนไหวไปมา
    สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้น จะมีสภาพเป็นกระดูกวางเฉยเป็นปกติ

    (จบนิมิตในอสุภ ๑๐ อย่างเพียงเท่านี้)
     
  8. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา

    [​IMG]ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา ขอบารมีพระฯ และท่านผู้มีคุณทั้งหลายได้โปรดเกื้อกูล ให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ [​IMG]
    [​IMG]พุทธังสรณังคัจฉามิ ธรรมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ[​IMG](f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  9. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    พระฤาษีบาฮะมาฯ อาศรมแก้วกู่ จ.หนองคาย ตามประวัติที่จารึกไว้ที่ฐานท่านได้บำเพ็ญเพียรอยู่ช่วยเหลือพระ,พระโพธิสัตว์มาเป็นเวลาประมาณ 25 พุทธันดรแล้ว ขอกราบร่วมโมทนาบุญท่าน,คุณปู่บุญเหลือและคณะอาศรมแก้วกู่ทุกท่านเป็นอย่างสูง (ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ)
    (verygood) (verygood) (verygood) (verygood) ​
     
  10. จ๊ะโอ๋

    จ๊ะโอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +1,137
    I've no long time to read all information which everybody post. Internet here very slow. Today friday have free time to post.
    I appreciated everybody to make merit nad pay donation.
    Love everybody
     
  11. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    โมทนาบุญ ที่กระทำเพื่อพระ

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมโมทนาบุญของพระฤาษีเป็นอย่างสูงยิ่ง ที่ได้กระทำความดีช่วยเหลือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาอันยาวนาน ขอให้คำปรารถนาของท่านที่ตั้งไว้ดีแล้วจงประสบความสำเร็จทุกสิ่งอย่างเถิด
    สาธุ สาธุ สาธุ

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"​
     
  12. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    วัดป่าสีดาฯ(พระเจ้านั่งแท่น) จ.หนองคาย เป็นสถานที่ประทับนั่งโปรดเวไนยสัตว์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปล์นี้ ในอนาคตกาลข้างหน้าพระศรีอาริย์จักเสด็จมาตามพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมาฯ ก่อนเสด็จไปโปรดพญาสิงห์กับพญาหงส์พระโพธิสัตว์ พร้อมทรงประทานรอยพระบาทที่บ้านพระบาทนาหงส์(พระบาทนาสิงห์)ให้เป็นที่สักการะบูชา ก่อนเสด็จข้ามไปยังประเทศลาวที่พระบาทโพนฉัน(ประทับนั่งเสวยภัตตาหาร) และประดิษฐานพระศาสนาในฝั่งลาวต่อไปฯ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  13. sasiwimon

    sasiwimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอโมทนาบุญ

    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯ
    ด้วยบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วและได้โมทนาบุญทุกอย่างในพระศาสนานี้ ขอน้อมถวายแด่พระฯ ทุกๆพระองค์ ขอบารมีแห่งพระฯท่านจงโปรดประทานพรให้ข้าพเจ้าและผู้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาประสบความสุข สำเร็จ สมหวัง สมปรารถนาทุกประการเทอญ(f) (f) (f)
     
  14. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ พระอาทิตย์ตกด้านซ้ายของภาพเป็นฝั่งไทย ด้านขวาของภาพเป็นฝั่งลาว สองดินแดนนี้ล้วนเป็นคนไทยเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันฯ
    ขอบารมีพระทุกพระองค์และบุญทั้งหมดที่ได้บำเพ็ญมา ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นตลอดกาลนานเทอญฯ
    อนึ่งดินแดนใดที่พระท่านทรงเสด็จประกาศพระศาสนาหรือได้ประดิษฐานพระศาสนา ขอให้ทุกดินแดนนั้นจงรวมกันเป็นไท เป็นปึกแผ่นสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวมั่นคง เป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธศาสนาตามพุทธประสงค์และพุทธพยากรณ์ของพระตลอดไปเทอญฯ
    ปล.ขอโมทนาบุญทุกๆท่านโดยเฉพาะท่านที่ได้รักษาพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นฯ ถวายเป็นพุทธบูชาฯ
    (verygood) (verygood) (verygood) (verygood) ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  15. ARTE

    ARTE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +1,139
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่างนะครับ

    [​IMG]
    ภาพนี้สวยมากเลยนะครับ หลับตานึกถึงพระสว่างมากเลยครับ ขอร่วมโมทนาบุญทกอย่างนะครับ สาธุ คงมีโอกาสได้ไปสักครั้งในชีวิตนี้ครับ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) ​
     
  16. thakoon

    thakoon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +896
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกท่านถวายเป็นพุทธบูชาฯ ด้วยพุทธคุณฯ อันเป็นที่พึ่งไม่มีประมาณ ขอความปรารถนาของทุกท่านจงเป็นผลสำเร็จ เพื่อยังประโยชน์ให้กับพระศาสนา,เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเพื่อพระนิพพาน ตามความปรารถนาของทุกท่านเทอญ...โมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2007
  17. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    พระเทวทัต ผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา​

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ​

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต​

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด​

    ข้าพระพุทธเจ้ามีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้นำเอาเรื่องราวของพระเทวทัต ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นคู่ปรับกับองค์สมเด็จพระพุทธโคดมองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่ครั้งยังทรงเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์เจ้า

    [​IMG]


    ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนาบุญทั้งหมดได้มารวมตัวกันนะบัดนี้ ได้ดลบันดาลให้การประกาศธรรมทานเป็นสาธารณะนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ทุกอย่างทุกประการ เทอญ

    ข้าพระพุทธเจ้าจะขอแบ่งรายละเอียดออกเป็น ๔ ส่วนด้วยกัน ได้แก่
    ส่วนแรก ประวัติของพระเทวทัต
    ส่วนที่สอง บุพกรรมแห่งพระเทวทัต
    ส่วนที่สาม ข้อมูลอ้างอิงถึงพระเทวทัต
    ส่วนสุดท้าย พุทธพยากรณ์เกี่ยวกับพระเทวทัต

    โดยจักขอแบ่งเป็นสี่กระทู้เพื่อความสะดวกในการอ่านและทำความเข้าใจ และจักได้ยังจิตของทุกท่านให้ดำรงตั้งมั่นอยู่ในพุทธานุสติและธรรมานุสติกรรมฐานเถิด

    [​IMG]


    ขอผลบุญทั้งหมดที่ได้กระทำแล้วในครั้งได้โปรดดลบรรดาลให้ข้าพระพุทธเจ้าและทุกท่านได้สำเร็จ สมหวัง สมปราถนา ในทุกสิ่งทุกประการด้วนเทอญ สาธุ.............. สาธุ............... สาธุ...............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2007
  18. Vipinda

    Vipinda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    238
    ค่าพลัง:
    +5,066
    ร่วมทำบุญสร้างพระฯ น้อมถวายเป็นพุทธบูชา

    SSL10166.JPG SSL10165.JPG SSL10163.JPG
    กองทุนผ้าป่าบุญญาอนันต์ 84,000 กองถวายบูชาพุทธคุณเพื่อสร้างพระประธาน 3องค์ที่ใหญ่ที่สุดของวัดจีนแห่งประเทศไทย ขนาดหน้าตัก 3.08 เมตร ร่วมสร้างวัดบรมราชากาญจนาถิเษกอนุสรณ์ เพื่อประดิษฐานพระประธาน คับ จ.นนทบุรีเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี​

    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
    ติดต่อสอบถาม
    -วัดมังกรกมลาวาส กทม 0-2222-3975 0-2226-6553​
     
  19. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ประวัติของพระเทวทัต

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา​


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ​


    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต​


    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นทีสุด​

    จักขอเริ่มต้นโดยการกล่าวถึงประวัติของท่านเทวทัตให้เป็นที่ทราบ โดยละเอียดก่อน​

    พระเทวทัตความจริงก็เป็นพระญาติของพระพุทธองค์เป็นพี่ชายของพระนางพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังไม่บวชนั่นเอง ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ มีเจ้าชายออกบวชตามท่านเป็นจำนวนมาก มีแค่ ๖ องค์เท่านั้น ที่ไม่ได้ออกบวชตาม คือ ภัททิยกุมาร อนุรุทธะ อานันทะ ภคุ กิมพละ แล้วก็เทวทัต ​

    ใคร ๆ ก็เลยนินทากันว่า สงสัย ๖ องค์นี้จะไม่ใช่พระญาติถึงไม่ได้ออกบวช ตอนหลัง ๖ องค์นี้ก็เลยออกบวชตามไปด้วย ตอนไปก็มีพี่เลี้ยงคนหนึ่งตามไปด้วย ชื่อ อุบาลี เจ้าชายทั้ง ๖ องค์ พอเปลี่ยนชุดก็ถอดพวกเครื่องทองเครื่องประดับ บอกให้อุบาลีนำกลับไปวัง แต่อุบาลีกลัวจะถูกหาว่าทำร้ายพวกเจ้าชายชิงทรัพย์สินมาก็ไม่กล้ากลับวัง เลยเอาของทั้งหมดแขวนไม้บนต้นไม้ แล้วพูดว่า " ใครอยากได้ก็จงเอาไปเถิด "​

    แล้วอุบาลีก็เลยตามไปบวชด้วย เจ้าชายทั้ง ๖ ก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่าให้อุบาลีบวชก่อน เพราะอุบาลีรับใช้มานาน ถ้าบวชก่อน พวกเจ้าชายจะได้ไหว้อุบาลี เพราะพระวินัยบอกว่า คนที่บวชทีหลัง ต้องไหว้คนที่บวชก่อน แม้จะบวชก่อนเพียงวันเดียวก็ตาม จะมาถือยศถือศักด์ตามสมัยที่ยังไม่บวชไม่ได้​

    เจ้าชายทั้ง ๖ องค์นั้น พระภัททิยะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้งเอง พระอนุรุทธได้ตาทิพย์ต่อมา ได้ฟังมหาปุริสวิตักสูตร ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ส่วนพระภคุและพระกิมพิละเจริญวิปัสสนาแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย พระอานนท์บรรลุเป็นโสดาปัตติผล แต่พระเทวทัตได้ฤทธิ์ ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่​

    ต่อมา พระพุทธเจ้าเสด็จไปโกสัมพี ประชาชนก็เลื่อมใสมาก เอาข้าวของเครื่องใช้มาถวายสักการะใคร ๆ ก็ถามถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ถามถึงทุกองค์นั่นแหละ ยกเว้นพระเทวทัตไม่มีใครถามถึงเลย​

    พระเทวทัตก็เสียใจมาก อยากจะหาคนมาอุปัฏฐากดูแลตัวเอง ก็เห็นพระเจ้าอชาตศัตรูยังหนุ่มอยู่ ยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ เลยแปลงกายเป็นเด็กน้อย และมีงูพันมือพันเท้าพันคอ งูอีกตัวอยู่บนหัว อีกตัวพาดบ่า เหาะลงมานั่งบนตักพระเจ้าอชาตศัตรู พออชาตศัตรูกลัว ถามว่าท่านเป็นใคร พระเทวทัตจึงกลับร่างเป็นภิกษุตามเดิม บอกอาตมาคือพระเทวทัต อชาตศัตรูก็ดูแลอุปัฏฐากพระเทวทัต แต่ต่อมา พระเทวทัตอยากมีอำนาจปกครองคณะสงฆ์ พอคิดว่าจะปกครองคณะสงฆ์เท่านั้นเอง ฤทธิ์ที่มีอยู่ก็เสื่อมไปหมดเลย​

    ดังนั้น พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาราชคฤห์ อยู่ที่วัดเวฬุวัน พระเทวทัตก็ไปเฝ้า กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงแก่มากแล้ว ขอให้อยู่สบาย ๆ เถอะ พระเทวทัตจะปกครองสงฆ์เอง พระพุทธเจ้าไม่ยอม ทรงตรัสว่า ให้พระเทวทัตทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ก่อนเถอะ คือให้บำเพ็ญเพียรของตัวเองให้ดี เพราะพระเทวทัตยังไม่ได้บรรลุอะไร ยังเป็นปุถุชนอยู่เลย แต่เขาก็ยังอ้อนวอนหลายครั้ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า "ดูก่อนเทวทัต เธอพอใจติดอยู่ในลาภ ชื่อเสียง ถูกลาภครอบงำ ลาภนี่เหมือนน้ำลายที่พระอริยเจ้าทั้งหลายถ่มทิ้งแล้ว แต่เธอยังติดใจในลาภ สมควรหรือ พระเทวทัตไม่พอใจมาก เลยผูกอาฆาตพระพุทธิเจ้าเป็นครั้งแรก แล้วก็จากไป" ​

    พระเทวทัตก็คอยทำอะไร ๆ ให้พระสงฆ์เสื่อมเสียอยู่เรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าจึงประกาศว่า ต่อไปนี้ พระเทวทัตทำอะไร ไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ ขอให้ประชาชนรับทราบตามนี้ พระเทวทัตเลยไปยุยงพระเจ้าอชาตศัตรูให้ปลงพระชนม์พระบิดาคือยุให้ฆ่าพ่อซะ แล้วตัวเองจะฆ่าพระพุทธเจ้าด้วย พระเจ้าอชาตศัตรูก็ไปฆ่าพ่อ แล้วตั้งตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์​

    พระเทวทัตขอคนแม่นธนูจากพระเจ้าอชาตศัตรูมายิงพระพุทธเจ้า แต่ส่งไปเท่าไหร่ก็ไปเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าหมด ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดเลย พระเทวทัตให้คนอื่นฆ่าไม่สำเร็จ ก็เลยจะทำเอง ขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏ แล้วผลักก้อนหินลงมา ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไป หินก็ค้างอยู่ซอกเขา มีแค่สะเก็ดเล็ก ๆ มาโดนพระบาทห้อพระโลหิต แต่หมอชีวก หมอประจำองค์พระพุทธเจ้าก็รักษาหายวันรุ่งขึ้น​

    พระเทวทัตขอให้พระเจ้าอชาตศัตรู ปล่อยช้างนาฬาคิรีมาทำร้ายพระพุทธเจ้าอีก แต่พระพุทธเจ้าแผ่เมตตาออกไป ช้างก็หมอบลง ไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า​

    [​IMG]

    เรื่องต่าง ๆ พวกนี้ที่พระเทวทัตทำ ใคร ๆ ก็รู้ ประชาชนก็มองว่าทำไมพระราชาคบคนชั่ว พระเจ้าอชาตศัตรูชักกลัวบัลลังก์ไม่มั่นคง เพราะประชาชนจะไม่รักพระองค์ เลยเลิกคบกับพระเทวทัต​

    พระเทวทัต ไม่มีใครดูแลแล้ว ประชาชนก็ไม่ใส่บาตร เลยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขอ ๕ เรื่อง คือ
    ๑.ขอให้ภิกษุงดฉันเนื้อและปลาตลอดชีวิต ฉันแต่ผัก
    ๒.ขอให้ภิกษุอยู่ป่าตลอดชีวิต
    ๓.ขอให้ภิกษุถือผ้าบังสกุลตลอดชีวิต ไม่รับผ้าที่มีคน เขาถวาย
    ๔. ขอให้ภิกษุฉันเฉพาะอาหารที่บิณฑบาตมาได้ ไม่ฉันอาหารที่มีผู้ถวาย
    ๕. ขอให้ภิกษุอยู่โคนไม้ ไม่เข้าที่ที่มีอะไรบังให้ ที่เขาขออย่างนี้ก็เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนเคร่งครัด​

    แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้ตามที่ขอ ทรงตรัสว่าใครอยากทำข้อไหน อย่างไรก็ทำเถิด แต่จะให้ออกเป็นกฏนี่พระพุทธเจ้าไม่ทำ พระเทวทัตได้ที จึงบอกพวกภิกษุบวชใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรมาก ให้ตามตัวเองไป ภิกษุเหล่านั้นก็ตามไปพอได้บริวาร พระเทวทัตก็พาไปบิณบาต ในใจก็คิดจะทำให้สงฆ์แตกแยกกัน​

    พระพุทธเจ้าทรงเตือนพระเทวทัตว่า การทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นบาปหนักมาก แพระเทวทัตก็ไม่เชื่อวันหนึ่งก็มาบอกกับพระอานนท์ว่า ตั้งแต่วันนี้ไป จะทำอุโบสถสังฆ-กรรมต่างหาก คือไม่รวมกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงสังเวช ทรงวิตกว่า พระเทวทัตทำกรรมอันเป็นเหตุให้ตกนรกเสียแล้ว กรรมอย่างนี้เป็นความย่อยยับของสัตว์โลก พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า​

    " กรรมที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์ ทำได้ง่าย
    กรรมที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ทำได้ยาก
    กรรมดี คนดีทำง่าย คนชั่วทำได้ยาก
    กรรมชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย แต่พระอริยเจ้าไมทำเลย "​

    พระเทวทัตพาพระบวชใหม่กลุ่มนั้นไปตำบลยาสีละ แคว้นมคธ พระพุทธเจ้าทรงเป็นห่วงพระใหม่เลยให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปตามกลับมา​

    พระเทวทัตเห็นพระสารีบุตรมา นึกว่าตามมาอยู่กับตัว ก็เลยนอนเล่นเย็นใจอยู่ ปล่อยให้พระสารีบุตรเทศน์พระใหม่ไป จนพระสารีบุตรพาพระใหม่กลับไปหมดแล้วก็ยังไม่รู้ สาวกคนสนิทของพระเทวทัตก็เข้าไปบอก นี้รู้หรือเปล่า พระไปหมดแล้ว สาวกคนนั้นโมโหมาก เลยเอาเข่ากระแทกหน้าอกพระเทวทัตจนกระอักเลือด​

    ตอนนั้นพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปสาวัตถีแล้ว ไปประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ฝ่ายพระเทวทัตโดยอัด เลยป่วย เสียใจมากด้วยเลยนอนซมไป ๙ เดือน ระหว่างนอนป่วยไป ก็คิดทบทวนความหลังไป เริ่มรู้สึกสำนึกผิดต่อพระพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ขอให้ลูกศิษย์หามไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีใครยอมไป บอกว่าคนผูกเวรกับพระพุทธเจ้านี้ เราพาไปไม่ได้ พระเทวทัตก็อ้อนวอนบอกว่า เราผูกเวรในพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่มี่เวรต่อเราเลยแม้แต่ปลายผม จงพาเราไปเฝ้าเถอะ ก็เลยพากันหามไปทั้งเตียงเลย เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พวกพระรู้ข่าวก็กราบทูลพระพุทธเจ้า ว่าเทวทัตเดินทางมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ในชาตินี้เทวทัตจะไม่ได้เห็นเราอีกเลย เพราะคนที่ขอพระพุทธเจ้า ๕ ประการแล้ว จะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกเลย อันนี้เป็นเรื่องปกติเหมือนฝนตกต้องเปียกอย่างนั้นแหละ "

    ใคร ๆ ก็รู้ว่าพระเทวทัตกำลังมา ก็เลยเกิดโกลาหลเล็ก ๆ เพราะว่าคนอยากรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสบอก เลยมีการส่งข่าวกันเป็นระยะ ๆ ว่า พระเทวทัตมาถึงอำเภอนี้แล้ว มาถึงตำบลนี้แล้ว บอกกันทุกระยะเลย แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันอย่างเดิม จนจะมาถึงวัดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสว่า " แม้เทวทัตจะเข้ามาภายในวัดเชตวันแล้ว ก็จะไม่ได้เห็นเรา" พวกสาวก็พาพระเทวทัตมา วางเตียงลงริมสระโบกขรณี แล้วก็พากันลงไปอาบน้ำในสระ พระเทวทัตลุกขึ้นจากที่นอน นั่งห้อยเท้าลงบนพื้นดิน เท้าทั้งสองก็ค่อย ๆ จมลงไปในดิน ถึงข้อเท้า ถึงเข่า ถึงเอว... ถึงนม ถึงคอ พอเวลาที่กระดูกคางจรดพื้น พระเทวทัตก็พูดว่า " พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงเป็นผู้เลิศ เป็นยิ่งกว่าเทพทั้งหลาย เป็นผู้ชำนาญการฝึกคน ทรงมีพระจักษุรอบด้าน ทรงมีพระลักษณะอันสำเร็จมาจากบุญ ข้าพเจ้าขอถือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่ง ขอถวายกระดูกคาง และลมหายใจครั้งสุดท้าย เป็นเครื่องสักการะแด่พระองค์"

    แล้วพระเทวทัตก็จมดินไปเกิดในนรก ถูกไฟนรกไหม้อยู่ เคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะทำร้ายพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ทุกข์ทรมานอยู่ในนรกนานแสนนาน พระพุทธเจ้าทรงยอมให้พระเทวทัตบวชตั้งแต่แรก ก็เพราะทรงเห็นว่า ตอนจบนี่พระเทวทัตจะขอถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่ได้บวชเลย จะทำกรรมหนักกว่านี้ แม้จะทำกรรมหนักก็จริง แต่ก็ยังมีบุญอยู่บ้าง ต้องอีกแสนกัปข้างหน้า พระเทวทัตถึงจะได้บำเพ็ญบุญต่อ จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า "อัฏฐิสสระ"

    ไม่ใช่ชาติเท่านั้นที่พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ชาติก่อนก็เคยถูกแผ่นดินสูบมาแล้วเหมือนกัน สมัยหนึ่ง พระเทวทัตเคยเป็นนายพรานหลงป่ามา สมัยนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นช้าง ช้างเจอนายพรานหลงป่า ก็ยกขึ้นหลังตัวเอง แล้วพาเดินไปส่งที่ปลอดภัย แต่ตอนหลังนายพรานกลับมาตัดงาช้าง ตั้ง ๓ ครั้งแน่ะ เลยถูกแผ่นดินสูบ
    ตอนพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบไป พวกชาวเมืองก็โห่ร้องดีใจ ยกธง พูดกันว่า ดีแล้วที่พระเทวทัตตายไป พวกภิกษุเลยไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสว่า " ไม่ใช่เพียงเวลานี้เท่านั้น แม้ในสมัยก่อนเมื่อเทวทัตตาย ชาวเมืองก็ชอบใจร่าเริงเหมือนกัน"

    สมัยหนึ่ง เทวทัตเคยเกิดเป็นเจ้าเมืองพาราณสี ชื่อพระเจ้าปิงคละ เป็นเจ้าเมืองที่ดุร้าย พอสวรรคต ผู้คนก็เลยดีใจ แต่มีนายประตูเมืองคนหนึ่งร้องไห้ เมื่อถามว่าเขารักเจ้าเมืองหรือ เขาก็ตอบว่า "พระราชาใจร้าย ข้าพเจ้าไม่ได้รัก แต่ที่ร้องให้เพราะกลัวว่า เดี๋ยวไปเบียดเบียนพญามัจจุราช พญามัจจุราชรำคาญ จะพากลับมาส่งอีก ข้าพเจ้ากลัวก็เลยร้องไห้"

    ประวัติแห่งพระเทวทัตก็ดำเนินมาจบลง ณ บัดนี้ ในกระทู้ต่อไปก็จักกล่าวถึงบุพกรรมแห่งพระเทวทัต ขอให้ทุกท่านผู้จำเริญทั้งหลาย ได้ติดตามกันต่อไปนะครับ

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2007
  20. sasiwimon

    sasiwimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอโมทนาบุญ

    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบุชาฯ ขอบารมีพระช่วยดลบันดาลให้ พระขึ้นมาจากน้ำโขง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชากราบไห้วด้วยเทอญ สาธุสาธุสาธุ[b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     

แชร์หน้านี้

Loading...