แก้คุณไสยด้วยพุทธคุณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พนมกุเลน, 20 กันยายน 2011.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ต้องบอกก่อนว่า ทั้งหมดข้างล่าง ไปรวบรวมมาจากที่มีผู้รู้ตอบไว้ จากที่นั่นที่นี่ ขอกราบอนุโมทนากับท่านเหล่านั้นด้วย คิดว่าเป็นแนวทางที่ดี ผู้อ่านลองวิเคราะห์ดู

    ........................................................................................

    คุณไสยคืออะไร ?

    เรื่องราวของคุณไสยนั้นมีมานานแล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล และมีอยู่ทั่วโลกไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร คุณไสยต่าง ๆ ก็มีที่มาคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะของในเอเชีย และแอฟริกา

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    สำหรับคุณไสยของคนแอฟริกันนั้น เป็นพิธีการของลัทธิ " วูดู " ที่พวกหมอผีนิยมมาใช้เพื่อบังคับคนในเผ่าให้อยู่ในโอวาทหรือใช้วิชาไสยดำอันนี้ไปพิฆาตศัตรูที่อยู่ต่างเผ่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้วิธีปั้นรูปขึ้นมา

    แล้วเอาเศษเสื้อผ้า ผม เล็บ หรือแม้แต่เลือด อย่างใดอย่างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามใส่เข้าไปในหุ่น แล้วทำพิธีบวงสรวง ก่อนที่จะทำร้ายหุ่นด้วยการแทงลงไปบนส่วนต่าง ๆของร่างกาย หรือแม้แต่นำไปย่างไฟ ก็จะทำให้คนที่โดนคุณไสยได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนาแสนสาหัส

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    สำหรับคุณไสยในเอเชีย นั้น แพร่หลายในแถบลุมอินโดจีน ที่มีชื่อเสียงและหวาดกลัวกันมาก ก็คือ " คุณไสยของเขมร " และ " คุณไสยของมาเลเซีย " หรือคุณไสยมลายูที่เราเรียกันว่า " หมอแขก " นั่นเอง

    มีผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยกล่าวว่า คุณไสยของเขมรนั้นที่โด่งดังที่สุด ก็คือ เสกเนื้อหรือหนังควายเข้าไปอยู่ในท้อง ทำให้คนที่โดนคุณไสยรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ในขณะที่คุณไสยมาเลเซีย จะครบเครื่องทั้งเรื่องหนังและกระดูก ไปจนถึงการบังคับวิญญาณผีที่ดุร้ายให้เข้าไปสิงอยู่ในร่างคน

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    อับดุล กาเซร์ ราฮิม หมอผีชาวปะลิส มาเลเซีย เคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือฉบับหนึ่งว่า การทำคุณไสยในมาเลเซียนั้น ถ้าหากไม่โกรธแค้นกันอย่างจริงจังแล้ว มักจะไม่ทำกัน เพราะว่าเมื่อเสกของเข้าไปแล้วจะแก้ยาก อีกทั้งคนที่โดนคุณไสยส่วนใหญ่มักจะไม่รอด

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ในขณะเดียวกัน อาจารย์ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังชาวไทยอีกคนหนึ่งซึ่งศึกษเรื่องเกี่ยวกับคุณไสยมลายูมาอย่างช่ำชอง จนได้ชื่อว่าเป็นหมอแขกเพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากที่สุด ได้กล่าวถึงเรื่องราวของการทำคุณไสยเอาไว้ว่า

    คนที่โดนวิญญาณจากการทำคุณไสยของหมอผีชาวมาเลเซีย ถ้าหากโดนผีเข้าสิงก็จะมีนิสัยดุร้าย ชอบทำร้ายคนอื่นเหมือนกับคลุ้มคลั่ง บางทีก็ชอบกินเนื้อหรืออาหารสด ๆ คาว ๆ โดยเฉพาะเลือด


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    เนื่องจากว่า ถ้าหากไม่กินของเหล่านี้เข้าไป วิญญาณที่สิงอยู่ในกายก็จะกินตับไตของตัวเองแทน จนโทรมและเน่าตายไปในที่สุด

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ส่วนคุณไสยในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นหลายเพราะได้รับอิทธิมาจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากหมอผีไทยไม่ใคร่นิยมทำของกันมากนักนอกจากเล่นวิชาผีบังคับวิญญาณอย่างเดียว

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    วิชาคุณไสยที่แพร่หลายอยู่ในหมอผีชาวไทยและได้รับความเชื่อเรียกใช้มากที่สุด จะเป็นคุณไสยสายที่ได้รับอิทธพล มาจากเขมร เนื่องจากคุณไสยสายนี้มีทั้งดีและทั้งร้าย ไม่เหมือนคุณไสยของมาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย ที่ส่วนมากจะเล่นกันถึงตาย และมีไว้สำหรับฆ่าคนเท่านั้น

    แต่คุณไสยของเขมรซึ่งแพร่หลายเข้ามาทางกลุ่มของชาวส่วย ที่มีอาชีพเลี้ยงช้างในจังหวัดสุรินทร์นั้น แบ่งแยกออกอีกหลายวิชา ไม่ว่าจะทำให้คนบ้า หรือว่าฝังรูป ฝังรอย ทำให้คนรักคนหลง หรือแม้แต่ทำให้ผัวเมียแตกแยกเลิกร้างกัน ดังนั้นจึงทำให้คุณไสยสายนี้ได้รับความนิยมและมีคนเรียกใช้แพร่หลายมากที่สุดในประเทศไทย

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    กล่าวกันว่า บรรดาผู้ที่ร่ำเรียนวิชาคุณไสยนั้น จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษไม่เหมือนกับผู้อื่น กล่าวคือ สมาธิจะต้องแน่วแน่ มีพลังจิตสูง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    คนที่เรียน " ไสยดำ " ส่วนใหญ่จะเอาวิชาที่ร่ำเรียนมาใช้พิฆาตฝ่ายตรงข้ามและทำตนเป็นคนนอกศาสนา ไม่นับถือสิ่งใดนอกจากครูผู้ประสิทธิ์วิชาให้ คนพวกนี้มีทั้งวิชาที่จะเล่นงานเขาและแก้คุณไสยด้วยตัวเอง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ในขณะเดียวกัน คนที่เล่นคุณไสยประเภท " ไสยขาว " ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้กำลังสำหรับแก้ไสยดำนั้น จะเป็นผู้ที่ถือศีลอย่างเคร่งครัดและไม่นิยมเสกของไปเล่นงานใคร นอกจากส่งของนั้นกลับไปให้เจ้าของเดิมผู้ที่ส่งมา ด้วยเกรงว่าถ้าหากใช้อวิชชา ไปเล่นงานเขาแล้ว วิชาของตัวเองจะเสื่อม

    ความแตกต่างของผู้ที่เล่นวิชาไสยศาสตร์ 2 แขนงนี้ ก็คือ คนที่เล่นไสยดำจะหน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีราศี ผิดกับผู้ที่เล่นวิชา ไสยขาว สำหรับแก้คุณ ซึ่งหน้าตาอิ่มเอิบ ผ่องใส เพราะไม่มีจิตใจไปหมกมุ่นในอวิชชา อีกทั้งต้องทำบุญทำทาน อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณร้ายที่ไล่ออกไปจากคนที่ถูกไสยดำเล่นงานอยู่เสมอ

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    คนที่มีวิชาไสยดำ และ มีวิชาอาคมแก่กล้า กล่าวกันว่าจะมีสีหน้าที่ดำเป็นแถบ ๆ พูดจาเลอะเลือน ไม่ค่อยรู้เรื่อง จนถึงขั้นคล้ายกับวิกลจริตในที่สุด

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    " คนพวกนี้จะต้องปล่อยของทุกวันพระ ใครที่ไม่ปล่อยออกจากตัว เก็บสะสมเอาไว้ จะทำให้เป็นผีปอบได้ " ฟาติมะ มหารัตน์ หมอผีชื่อดังสายมลายูบอกดังนั้น พวกไสยดำทั้งหลาย

    จึงจำเป็นที่จะต้องปล่อยของไปตามลมเพลมพัด เพื่อขจัดสิ่งที่เกินอำนาจการควบคุมของตนเอง ออกไป เพราะฉะนั้นใครที่เดินอยู่ดี ๆ และ ถึงทีคราวซวยไปรับเอาของที่หมอผีปล่อยมา ก็ต้องมาหาวิธีแก้กันต่อไป

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ว่ากันว่าของที่ปล่อยออกไปนั้น อยู่นอกเหนืออำนาจของหมอผีที่จะควบคุมได้ เนื่องจากคุณไสยเหล่านี้มีพลังที่กล้าแกร่งมาก ถึงขนาดถ้าปะทะกิ่งไม้ ก็จะหักเป็นทาง หล่นบนหลังคาบ้านใครก็จะได้ยินเสียงโครมคราม

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ดังนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมัยโบราณถึงได้ห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าร้องทัก ถ้าหากได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ เพราะจะทำให้ของที่ปล่อยมาเข้าตัวได้ง่าย

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ข้อสำคัญคือ อย่าตกใจ ทำจิตให้สงบ เพราะคนที่โดนคุณไสยเล่นงานนั้น ส่วนมากจะเป็นคนที่ดวงตก หรือไม่ก็ถึงคราว ที่กรรมเก่าตามสนอง ซึ่งสำหรับคุณไสยในเมืองไทย สามารถแบ่งออกไป 2 ชนิด คือ การทำเสน่ห์ และ การทำร้ายชีวิตของผู้อื่น

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>




    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    คุณไสยที่ใช้ไปทำร้ายชีวิตผู้อื่น ซึ่งนับได้ว่าเป็นสุดยอดของวิชาไสยดำทั้งหมด เพราะสามารถใช้พลังจิตบังคับให้กระทำได้ แม้ว่าจะอยู่ในระยะห่างไกลแค่ไหนก็ตาม โดยมีวิธีการและเรียกชื่อต่างกันออกไป ตั้งแต่ บิดไส้ บังฟัน หรือเสกเนื้อ เสกหนังควายเข้าท้อง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    การทำบังฟัน เป็นไสยดำที่ต้องใช้หุ่นมาเป็นส่วนประกอบ เหมือนกับการทำเสน่ห์ยาแฝด เพียงแต่ว่าทำขึ้นมาเฉพาะคนที่ต้องการทำร้าย เขียนวันเดือนปีเกิดลงไปและเอา....... แม้แต่.......นั้นใส่เข้าไปในตัวหุ่นแล้วลงคาถากำกับ จากนั้นจึงมาฟันด้วยดาบไม้ เพื่อให้คนที่โดนทำของเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนกว่าจะตาย

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    การบิดไส้ ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเวลที่ว่าคาถากำกับไปนั้น หมอผีจะทำการบีบตัวหุ่นในกำมือหรือไม่ก็บิดไปบิดมาทำให้ผู้ที่โดนของ โดนคาถา เจ็บปวดท้องไส้เหมือนมีใครมาบิดลำไส้นั่นเอง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    การทำคุณไสยอีกอย่างหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อมาก ในกลุ่มเขมรล่าง คือชาวส่วย ในจังหวัดสุรินทร์ นั่นก็คือ การเสกเนื้อหรือหนังควายเข้าท้องคน ซึ่งผู้ที่จะทำได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตแก่กล้า หรือว่าอาคมกล้าแข็ง เพราะการเสกเนื้อเสกหนังเข้าท้องนี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของวิชาไสยดำทีเดียว

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ในขั้นแรก จะต้องมีการปั้นหุ่นเหมือนการทำพิธีที่ผ่านมา ซึ่งได้กล่าวมาแล้วเพื่อกำกับคาถา ก่อนที่จะใช้พลังจิตเพ่งบังคับจนเนื้อหรือหนังควายย่อขนาดลงเท่ากับเมล็ดงา จากนั้นจึงผลักดันออกไปในอากาศ ด้วยวิชาและพลังจิตที่แกร่งกล้าส่งไปยังสถานที่ซึ่งต้องการ และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่ง

    ซึ่งคนโบราณมักจะเตือนลูกหลานว่า อย่าร้องทักเมื่อได้ยินอะไรตกลงมาบนหลังคา เพราะว่าของนั้นอาจจะเป็นคุณไสยที่ใครปล่อยมา หรือว่าเสกให้ลอยไปทำร้ายใคร ซึ่งมันอาจจะสามารถแทรกเข้าไปได้ในทันทีที่มีคนร้องทัก

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ศพของคนที่ตายด้วยคุณไสยชนิดนี้ จะมีท้องที่บวมผิดปกติ และหนังควายที่ปลุกเสกมานี้ เมื่อเผาไฟจะไม่ไหม้ แม้ว่าศพของคนตายจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปแล้วก็ตามแต่หนังควายก็ยังคงอยู่

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    คนที่โดนคุณไสยชนิดนี้ จะมีอาการเจ็บปวดเฉพาะที่โดยของพวกนี้จะวิ่งไปตามร่างกายคล้ายกับพยาธิตัวจี๊ด คนที่โดนของจะรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ บางคนก็พาลไม่ยอมกินข้าวปลา จะตายเร็วตายช้าขึ้นอยู่ทีว่าคนบงการมาอย่างไร แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่เกิน 15 วัน

    ยกเว้นคนที่ดวงแข็งจริง ๆ ก็อาจจะทนได้เป็นปี ถ้าหากโชคดีไปเจอพวกที่เล่นไสยขาวเก่ง ๆ เข้า ก็จะสามารถเรียกออกมาได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้นานคุณไสยก็จะฝังเข้าไปในกระดูก หมดทางรักษาและเสียชีวิตไปในที่สุด


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    เรื่องสุดท้ายก็คือ ยาสั่ง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ยาสั่ง ซึ่งเป็นยาพิษ ชนิดที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ ว่ามาจากไหน หรือฝีมือใครกันแน่ แต่ที่แน่นอนก็คือ คนที่โดนยาสั่งเข้าไป จะต้องตายภายในเวลาที่ถูกกำหนด

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ในสมัยก่อน บรรดาขุนนางเวลาที่จะออกตรวจราชการแผ่นดินยังต่างเมืองต่างจังหวัด มักจะกลัวกันนักหนาเรื่องยาสั่ง โดยเฉพาะต่างจังหวัดภาคอีสานนั้นมี 3 แบบ ให้เลือกตายได้ตามใจชอบ

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    อย่างที่ 1 เป็นยาพิษที่ใช้ใส่ในเหล้าใครดื่มเข้าไปจะตายภายใน 4-5 ชั่วโมง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    อย่างที่ 2 เป็นยาทำลายกระเพาะอาหาร ใครกินเข้าไปจะตายภายในหนึ่งสัปดาห์ และอยู่ได้อย่างมากไม่เกิน 3 เดือน ยาพิษชนิดนี้นิยมใส่ในอาหาร

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    อย่างที่ 3 สุดท้าย เป็น ยาเบื่อ หรือ ยาเมา ซึ่งถือว่าเป็นยาขนานปรานี ที่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะหลับเป็นตาย 1 - 10 ชั่วโมง ยาสั่งชนิดนี้ใช้โรยในกองไฟก็ได้ ใครก็ตามที่สูดควันไฟเข้าไปจะต้องหลับเป็นตายในทุกราย ไม่มีข้อยกเว้น

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ผู้ที่โดนยาสั่ง จะมีอาการคลื่นเหียนอาเจียน ขาแข็ง เดินไม่ได้ และลงท้ายก็จะตายในที่สุด

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    วิธีแก้ยาสั่งจำพวกนี้ ท่านว่าจะต้องทำให้เขาอาเจียนออกมาให้หมด หรือให้กินยาแก้ ด้วยการนำปูนา 7 ตัว มาตำผสมน้ำกรอกปากรวดเดียว หรือไม่ก็ต้องให้กินน้ำต้มจากฟัก บวบ หรือน้ำเต้าอย่างใดอย่างหนึ่ง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    วิธีป้องกันยาสั่งก็คือ จะต้องอมว่านรางจืดเอาไว้ในปากก่อนดื่มน้ำ หรือไม่ก็ต้องใช้ถ้วยที่ทำจากงาช้างแท้ ๆ เพราะของพวกนี้จะทำให้ยาเสื่อมฤทธิ์ลง

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    วิธีการอีกอย่างหนึ่งที่ใช้ในการตรวจสอบว่า โดนยาสั่งหรือไม่ คือให้กินแตงโมเข้า ไป ถ้าอาการดีขึ้น ก็แสดงว่าเจอของจริงเข้าแล้ว หรือ อีกอย่างหนึ่งคือให้กินน้ำต้มจากรากและใบต้นชุมเห็ดควาย ถ้าผู้เคราะห์ร้ายอาเจียน ก็ให้พิจารณาว่าโดนยาสั่งแบบไหน เพราะยาสั่งนั้นแบ่งออกไปได้หลายประเภท

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    เช่น ยาสั่งวัน คือให้ตายภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือสั่งอาหารที่จะต้องตาย เมื่อกินของต้องห้ามเข้าไป เช่นสั่งว่าให้ตาย เมื่อกินขนมจีบ ถ้าหากไม่กินอาหารชนิดนี้เข้าไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ยาสั่งอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทรมารมาก คือ ยาสั่งอายุ เพราะต้องทนเจ็บออด ๆ แอด ๆ สามวันดีสี่วันไข้ไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    ดินแดนที่เชื่อกันว่า เป็นต้นตำรับของยาสั่งจริง ๆ ท่านว่ามาจากภาคใต้ และ เป็นยาสั่งชนิดร้ายแรง ไม่มีทางแก้ และไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ยาสั่งจากภาคใต้นั้นผสมจากอะไรบ้าง เพราะใช้ทั้งยางว่าน ยางคางคก และพิษจากสัตว์ พืชนานาชนิด

    เรื่องของไสยศาตร์นั้น ท่านว่าเป็นศาตร์ลึกลับ ไม่มีวันที่วิทยาการสมัยใหม่จะเข้าไปพิสูจน์ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามในกลุ่มผู้ที่เล่นคุณไสยนั้น ก็ยังมีคนดีอยู่บ้าง

    อย่างน้อย ก็พวกที่รับอาสาแก้คุณไสย ปลดปล่อยทุกข์ภัยให้กับคนที่โดนกระทำ ซึ่งก็ต้องดูกันเป็นราย ๆ ไปว่า หมอไสยศาตร์เหล่านั้น เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    แม้ว่าโลกเราในปัจจุบันนี้จะวิวัฒนาการไปมาก ถึงขนาดที่ว่าสามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ ส่งยานขึ้นไปสำรวจดาวอังคารได้แล้วก็ตามที แต่ทว่าไสยดำนั้นก็ยังคงเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับ และน่ากลัวมากกว่า เชื้อโรค ก็ตรงที่แพทย์แผนปัจจุบันนั้นไม่สามารถที่จะวินิจฉัยหรือรักษาได้

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>



    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>
    จะมีก็คงเพียงแต่ พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ เท่านั้น ที่จะปกปักรักษา ปกป้องเราให้แคล้วคลาดจากไสยศาตร์ทั้งมวลได้


    [​IMG]

    <TABLE id=ecxforums_table border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=ecxborder_dot border=0 cellSpacing=8 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=ecxbold_black>กรณีศึกษา การทำคุณไสย</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>คุณกันยา อยู่กินกับสามีคุณธันวา มาหลายปี มีลูกด้วยกัน 2 คน ทางผู้ชายทำงานเป็นเซลล์ขายแอร์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ขายแอร์ทุกแบบทั้งบ้าน แอร์โรงงาน แอร์สำหรับใช้แช่สัตว์ ต้องไปติดต่องานในหลายจังหวัดทำให้ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยมาก

    คุณกันยา เป็นแม่บ้านธรรมดา ตอนแรกไม่มีปัญหาครอบครัวอะไรด้วย จะเสียก็แค่ที่ ไม่ค่อยมีเงินเพราะต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ทางคุณธันวา ไม่ใช่คนเจ้าชู้อะไร แต่บังเอิญเป็นคนหน้าตาดี ไม่ได้ขี้ริ้ว ขี้เลห์อะไร ท่าทางเหมือนคนรวยเพราะมีทองใส่ มีรถขับ

    บังเอิญไปรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในห้างเป็นแคชเชียร์หน้าตาใช้ได้สมมุติ ชื่อ กบ เธอมีสามีอยู่แล้วนะสมมุติ ชื่อเขียด แต่ก็คบหากับทางคุณธันวา โดยที่สามียินยอมเต็มใจเพราะทางคุณเขียดอยากได้เงิน อีกอย่างคุณเขียดรู้ว่า คุณธันวามีภรรยามีลูกแล้ว
    คงจะไม่ว่างมาหาเมียตัวเองได้บ่อยหรอก แต่เงินก็ต้องแบ่งให้คุณกบใช้ตลอด ถ้าไม่ให้เงินใช้ทุกเดือน ทางคุณกบจะไม่คบหาด้วย

    เพราะทางผู้หญิงรู้ดีว่าทางคุณธันวา มีรายได้มากกว่า 2 ผัว-เมีย หาเงินรวมกันอีก

    ทางคุณธันวาจะเช่า ห้องราคาถูกๆไว้ เอาไว้พักผ่อนโดยบางครั้งก็ พาโสเภณีมาอยู่ด้วย โดยทางคุณกบ ก็ไม่ได้ว่าอะไร เอ๊ะ....ยังไงกันนี่

    เอาเป็นว่า เป็นความสัมพันธ์แบบ 3 คนผัวเมีย โดยที่ทางคุณธันวา กับ คุณเขียด รู้เห็นเป็นใจในการใช้ผู้หญิงคนเดียวกัน ก็ไม่รู้จะเรียกว่า เมียน้อย ชู้น้อย กิ๊ก ผัวน้อย หรือยังไงดี เอาเป็นว่า มีความสัมพันธ์ในลักษณะ 3 คนผัวเมียอยู่นาน 3 ปีจนความแตก

    ทางคุณกันยา จับได้เพราะทางเมียน้อยมันโทรมาเยาะเย้ย พยายามพูดยุแหย่ให้แตกแยกเลิกลากัน โทรมากวนประสาทบ่อยมาก

    ตอนแรกทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ก็ไม่ได้คิดจะเลิกลากันเพราะ รู้ดีว่าทางน้านอยากจะให้หย่าร้างกัน ตอนหลังก็ พยายามเอาชนะ พยายามสู้ตามแบบ ผู้หญิงทั่วไป เพื่อที่จะให้ได้สามีตัวเองกลับตัว พยายามเอาใจสามีมากกว่าเดิม พยายามทำทุกอย่างให้สามีพอใจ พยายามด่า บ่น น้อย ไปปรึกษาจิตแพทย์บ้าง ไปขอคำปรึกษาเพื่อนหลายคน

    ทางผู้หญิงก็ อภัยให้ทางคุณธันวาทุกอย่าง เพราะยังรักอยู่ ทางคุณธันวา ก็รู้สึกผิดเลยพยายามตีตัวออกห่างทางฝ่ายคุณ กบ และคุณเขียด มาตลอด ตอนแรกคุณกบ เขียด ก็ไม่พอใจ แต่คุณกันยาพยายามแกล้งให้ทางบ้านมีปัญหาต้องใช้เงินเยอะๆ เพื่อที่ทางน้านจะได้ขอเงินจากทางสามีน้อยลง

    โดยการ เอาลูกไปเรียน โรงเรียนเอกชนแพงๆ และพาลูกไปสมัครเรียนพิเศษ เรียนว่ายน้ำ เอาเงินไปจ้างครูมาสอนการบ้านหลังเลิกเรียนบ้าง บางครั้งกดดัน เอาเรื่องที่บ้านไปปรึกษาครูที่โรงเรียนของลูกๆ ทางครูเลยแนะนำให้ ลองเปลื่ยนบรรยากาศไปเทื่ยวต่างจังหวัดสักพัก อย่างน้อย สัก 3 วันพอกลับมามันจะดีกว่าเดิมมาก ทางคุณกันยาเลยชวนสามีไปเทื่ยว หัวหิน

    ทางคุณธันวา ก็เห็นด้วย หลังจากไปเทื่ยวกับมา สภาพจิตคุณกันยาก็ดีกว่าเดิมมาก เริ่มมีความสุข แจ่มใสมากขึ้น หลังๆ ก็ปลงได้เลย คุยตกลงกับ สามีเลยว่าอยากจะคบหากับทางน้านก็ได้นะ ไม่ว่าอะไร แต่ อย่าไปให้เงินกับทางน้านเยอะ ให้คิดถึงอนาคตลูกให้มาก เพราะเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

    หลังจากนั้น 1 ปีกว่า ก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะทางนั้นก็ไม่ได้มาระรานอะไรคุณกันยาอีก ทางคุณธันวา ก็ทำแต่งงาน แต่แอบไปง้อ งอน ไปพูดให้ความหวังอะไรทางคุณกบ อันนี้ไม่ทราบนะก็คบกันมาเรื่อยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร มามีปัญหาเอาตอนที่ คุณแม่คุณธันวาตาย แล้วทิ้งมรดกไว้เยอะมาก มีเงินอยู่หลายแสน แล้วก็ที่ดิน ในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัดเพียบ

    ตอนวันเผาศพ ทางคุณกบ คุณเขียด ยังมาเผาเลยโดยไม่มีใครรู้ประวัติสองคนนี้ เพราะ ทางฝ่ายคุณกันยา เขาก็ไม่อยากจะหน้าแตกเหมือนกัน ทางน้านคิดไม่ดี มาแอบขอเบอร์ญาติทางคุณกันยา และ คุณธันวาด้วย โดยโกหกว่า เป็นเพื่อนของคุณธันวา



    [​IMG]


    ต่อมาภายหลัง คุณธันวาอยากจะได้เงินก้อน เลยประกาศขายที่ดินมรดกหลายแห่งหลังจากน้านก็เริ่มเจอเรื่องประหลาดๆหลายครั้ง

    พอเริ่มจะมีเงิน เป็นล้าน ก็เริ่มมีคนปองร้ายเพราะเวลานอน มักจะฝันร้าย บางครั้งละเมอตื่นกลางดึก บางครั้งก็ หาเรื่องทะเลาะกับภรรยาโดยไม่มีเหตุผล ด่าภรรยาแสบๆบ้าง บางครั้งก็เรียกภรรยาตนเองว่า อีแก่ อีดำ หาว่าเมียมีชู้บ้างหล่ะ ด่าหยาบๆคายๆทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นมาก่อน บางทีก็หาว่าญาติพี่น้องกับเมีย วางแผนทำของใส่อยากจะให้เขาตายบ้างหล่ะ

    เมียแอบเอาน้ำมนตร์มาใส่แกง จะให้ สามีทาน สามีก็ไม่ยอมทานนะ เดินออกไปทานข้างนอกแทน พอตกกลางคืนจะมี อาการคลั่งมากๆ ใจเขาอยากจะไปหาทางเมียน้อย แต่ มันมีความโกรธที่ทางเมียน้อย มันอยู่กับผัว แล้วก็ เมียน้อยโทรมาหาก็ด่าแรงๆ ด่าแสบๆ

    เมียไป ปรึกษา จิตแพทย์เพราะเครียดมาก หมอก็บอกว่า สามีคุณอาจจะเข้าวัยทองนะ ฮอร์โมน อาจจะตกทำให้ สภาพอารมณ์แปรปรวน ทางภรรยาก็ไป หาฮอร์โมนเม็ดๆ ทั้งวิตามิน อาหารเสริมดีๆ สมุนไพรตัวไหนดีๆ ก็ยอมเสียเงิน ซื้อมาบำรุงสุขภาพคุณสามี ทั้งโสม ทั้งกระชายดำ สารพัด

    แต่ทางสามี กลับมีอาการหนักมากกว่าเก่า อาการเหมือนคนบ้า บางทีก็เห็น ผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนปลายเท้าบ้างหล่ะ บางทีก็นั่งตาลอย เหมือนคนบ้า ชอบได้ยินเสียงคนนั้นคนนี้เรียก บางทีก็ คลุ้มคลั่ง คิดถึงแต่ เมียน้อย ร้องอยากจะไปหายัยกบ หน้าดำคล้ำ ท่าทางหวาดระแวง เอาแต่หาว่า ญาติพี่น้องจะ ฆ่าตนเองหวังจะเอาสมบัติ หาว่า เมียมีชู้วางแผนจะ ฮุบสมบัติของตนเองบ้างหล่ะ
    นิสัยเปลื่ยนไปเหมือนคนหล่ะคนเลย

    พอเริ่มมีสติคุณธันวา ก็มั่นใจเต็ม 100 เลยว่าจะโดนทำของแล้วหล่ะ ก็เกิดความกลัวหวาดระแวงไปหมด หาพระที่พอมีห้อยติดตัวตลอด พยายามตั้งสติฝืนอำนาจคุณไสยของทางน้านเต็มสตรีมเลยก็ว่าได้

    ทางฝ่ายน้านโทรมาหา ก็ไม่คุยด้วย เพราะ โกรธที่ทางน้านไป จ้างหมอผีทำเสน่ห์ใส่ พอวันไหน อาการกำเริบ ก็จะด่าคนไปทั่ว
    ขี้หงุดหงิด ไปด่าหัวหน้าทะเลาะกันจนเกือบจะวางมวย

    โชคดี เมียไป คุยเคลียร์กับทางเจ้าของบริษัทให้ เพราะทางเมียเนื่ยๆ ไม่รู้ลึกๆแค้นเปล่า ที่ตนนอกใจไปมีเมียน้อย ยิ่งทางญาติ บางคนก็อิจฉา มีแต่มาขอยืมเงินเป็นแถวเลย ทางเมียน้อย ก็โทรจิก บางทีก็ให้ ผัวตัวเองโทรมาบ้าง ทางคุณธันวา สติไม่ดีเหมือนเก่า ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ดันไป พูดเหน็บแหนม ด่าแสบๆ ทางน้าน หาว่าทางน้าน เร่ขายหอยเมียกิน เป็นผัวแมงดาบ้างหล่ะ

    หลังจากน้านยิ่งโดนหนักเลย คราวนี้เข้ารพ.เลย ไปทำงานไม่ได้ หูแว่ว เห็นผีตายโหงมายืนหน้าบ้านบ้างหล่ะ ปวดตามกระดูก ปวดตามแขนขา เจ็บหลัง เจ็บตามตัวบ้างหล่ะ ฝันเห็นหมอผี หัวล้าน มาข่มขู่ ให้ฆ่าตัวตายบ้างหล่ะ ฝันเห็น อสุรกาย ปีศาจ ผี ตลอดจนนอนไม่ได้ หวาดผวา เหมือนคนบ้า งานการก็ทำไม่ได้

    ประมาณว่า ไสยศาสตร์ทำให้รักให้หลงได้ แต่ ไม่สามารถทำให้ เลิกเกลียดชัง โกรธ แค้น อาฆาตได้ ความรู้สึกมันเหมือนจะ ปนๆกัน ยิ่งมีอาการป่วยทางจิตมากเท่าไหร่ ยิ่งพยายามหนีไปอยู่คนเดียว ไม่ได้สนใจเมียเลยนะ เอาแต่ คิดถึงแต่เมียน้อย ขับรถแอบไปดูเมียน้อย แต่ไม่ยอมเข้าไปคุยด้วย เพราะโกรธ


    [​IMG]


    จนล่าสุดทางคุณธันวาตัดสินใจ หนีไปหาเพื่อนที่เขารักและไว้ใจที่อยุธยา ก็ไปเล่าไปปรึกษา ว่า ตนเองโดนคนทำของใส่เพราะขายที่ได้เงิน มาตั้งหลายล้าน

    แล้วคนที่ทำของใส่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ เพราะโจทย์มันสับสนไปหมด แต่ทางเพื่อนคนนี้เขาชื่อ เมษา เป็นคนดีมากเป็นพวกเล่นทางสักยันต์ ทางของขลัง เก่งพอสมควร เขาก็พยามก็หาทางช่วยเหลือเพื่อนเต็มที่ แล้วก็ขอเงินคุณธันวามาใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางบ้าง ไม่ได้ขอน่าเกลียด เพราะเป็นเพื่อนรักกัน

    พอคุณธันวามานอน บ้านเพื่อนคนนี้แล้วจะไม่ฝันร้ายแบบเก่า แต่คืนแรก จะฝันเห็น ชายแก่ มายืนหน้าบ้านกวักมือเรียกให้ออกไป ทางเจ้าของบ้าน เลยจุดธูปไหว้เจ้าที่ แล้วไป เช่าท้าวเวสสุวรรณองค์ใหญ่มาไว้ในบ้านเลย ไปหายันต์มาติดเพิ่มเอา หาตระกรุดดี
    กับ เบี้ยแก้ มาห้อยคอกันทั้งบ้านเลยนะ แล้วก็ไปสายสินทร์ มาพันรอบบ้าน เอามีดหมออาจารย์ดีๆ มาไว้บนพานวางบนหัวเตียง

    พาคุณธันวาตระเวน พาไปหาพระเกจิ ดังๆรักษา คุณธันวาหมดเงินไปเยอะมาก แต่ก็หายดีขึ้นเรื่อยๆ ตระเวน พาไปหาหมอดูเก่งๆ ไปให้ทายดวงชะตาดูว่ามีเคราะห์ร้ายแค่ไหน โดนของจริงไหม ควรจะแก้ยังไง จะหายดีเมื่อไหร่ ใครเป็นคนทำของใส่กันแน่ มันจะเลิกทำของใส่เมื่อไหร่ จนมั่นใจแล้วว่า ผัว-เมีย คู่นั้นมันทำใส่แน่นอน

    ส่วนทางเจ้าของบริษัทเขาสงสารไม่ได้ไล่ออกเพราะเขาเชื่อเรื่องนี้ เพราะ เคยเจอกับตัวเองมาก่อน ตอนที่เจอญาติพี่น้อง ฟ้องร้องแย่งมรดก

    หลังๆ พออาการดีขึ้น ก็เลยกลับไปทำงานตามเดิม เพราะพระ หลายคนบอกเลยว่า คนที่ทำหน่ะ เมียน้อย กับ ผัวของมันนะ เขาอยากจะได้เงิน อยากจะได้มรดกจากคุณด้วย เขาอยากจะให้หย่ากันกับทางเมีย จะได้ขอเงินง่ายๆ เขาทำเป็นหุ่นหันหลังชนกันเพื่อให้ แตกแยกกัน

    ทางพระ เล่าให้ฟังว่า สื่อคุยกับทางหมอผีได้อยู่ เพราะทางน้าน ก็ เก่งแถบเอาไม่อยู่เหมือนกัน ทางหมอผี มันสื่อคุยทางจิตกับทางพระที่ถอนของให้ว่า

    มันบอกว่า ความจริง ทางอีเมียน้อย กับ ผัวมัน จะให้ทำคุณไสย ใส่ทั้งบ้านเลยนะ จะให้ทำใส่ ภรรยาและลูกทั้งสองด้วย แต่ทำใส่ทาง ภรรยายากมาก เพราะ ทางภรรยาสวดมนตร์ทุกวัน มีพระดีๆ ป้องกัน เหมือนเกราะบางๆคลุมอยู่ทำของใส่ยากมาก ส่วนเด็กทั้ง 2 คน เขาไม่คิดจะทำร้ายให้ตายไปกับมือ แค่ จะทำให้ ทางผัวเอาเงินมาให้ลูกค้าของตนเองเท่าน้าน

    แต่ทาง คุณธันวา เป็นคนมีเซนต์เห็นผีได้ง่ายกว่าคนปรกติเลยรู้ตัวเร็ว กลายเป็นว่า ความหวาดกลัวมันมากกว่าความหลงในมนตร์เสน่ห์ ก็เลย ตะเลิด เปิดเปิงไป ผีมันมาบอกว่า

    คุณธันวา แอบไปเขียนพินัยกรรม ยกมรดกให้ลูกทั้งสองคนหมดเลย ไม่ให้เงินเมียแต่ง กับ เมียน้อยสักบาท ยกให้ลูกหมดเลยและถ้าลูกสองคนตายไป เงินในส่วนมรดกทั้งหมดจะถวายแบ่งเข้าวัดต่างๆให้หมดเลย ทั้งญาติพี่น้องหรือ เมียเขาไม่ไว้ใจแล้ว


    [​IMG]


    จะแก้คำสาปและคุณไสยได้อย่างไร?

    ก็น่าแปลก ถึงยุคที่มีอินเตอร์เน็ตใช้กันแล้ว นับวันกลับมีปัญหาเทือกนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที นี่ว่าตามที่รับรู้และมีเสียงขอความช่วยเหลือมานะครับ คงเห็นผมเหมือนหมอผีเข้าไปทุกวัน ก็ดีแล้ว

    ก่อนอื่นขอบอกว่าผมเป็นแค่นักเขียนธรรมดาๆ เพียงแต่พอทราบหลักการทางพุทธอยู่บ้าง คงได้แต่แบ่งปันความรู้กันตามมีตามเกิดเท่านั้น ความจริงผมไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ รวมทั้งไม่อยากให้ใครสนใจด้วย

    แต่ยิ่งวันก็ยิ่งได้ยินได้ฟังหรือพบคนโดนวิชาอาคมเล่นงานบ่อยขึ้น เอาล่ะในเมื่อไถ่ถามมาก็อยากเผยแพร่ทางแก้ไปกว้างๆ หวังว่าคงช่วยกลับร้ายให้กลายเป็นดีกันได้บ้าง

    คุณไสยเป็นของมืด เพราะโดยมากมักมากับความเจ็บใจเป็นอันดับหนึ่ง มากับความร้อนวิชาอยากลองของเป็นอันดับสอง และอันดับรั้งท้ายแต่ร้ายไม่แพ้สองอันดับแรกคือมากับความโลภทางเพศอยากครอบครองหญิงชายที่ตนปรารถนา ความโลภโมโทสันเหล่านี้เป็นฝักฝ่ายความมืดบอดที่ผลักไสให้ลงต่ำทั้งนั้น

    ถ้าไม่โดนกับตัวหรือไม่เห็นกับตา ก็ยากที่คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าคุณไสยมีจริง และหลายครั้งคนมักโดนดีก็เพราะแทนที่จะเก็บความไม่เชื่อไว้กับตัวเงียบๆ ก็ไปดูถูกดูหมิ่นท้าทายกันนั่นเอง ความจริงการส่งคุณไสยไปทำร้ายคนอื่นไม่ใช่เรื่องลี้ลับเกินสัมผัส ทำนองเดียวกับคำสาปแช่ง


    แม้คนโดนแช่งจะไม่ประสบความวิบัติตามคำ แต่ถ้าหากได้ยินกับหูก็จะรู้สึกถึงแรงกระทำอันเป็นด้านมืดบางอย่าง อาจมีความหนักเหมือนโดนค้อนทุบ หรืออาจติดพันไม่สบายใจคล้ายโดนครอบด้วยตาข่ายไร้ตนที่มืดทึบ เป็นต้น

    หากเป็นพ่อแม่ที่เผลอตัวสาปแช่งลูกด้วยความโกรธแค้น ผลร้ายบางอย่างมักปรากฏค่อนข้างทันตา เนื่องจากธรรมชาติความเป็นพ่อแม่นั้นมีลักษณะ ‘เหนือเกล้า’ ต่อลูกอยู่ ถ้อยคำจากปากหากมาในรูปการอวยพรก็นับเป็นมงคลอันประเสริฐ


    แต่หากมาในรูปคำสาปแช่งก็กลายเป็นมหาอัปมงคลจนยากจะหาอะไรเปรียบ นึกดูง่ายๆ ถ้าพ่อแม่ด่าลูกเสียๆหายๆเช่น ‘อีกะหรี่’ เสียงจะติดหูยิ่งกว่าคนอื่นด่ากี่ร้อยเท่า และจะสร้างความโน้มเอียงให้ลูกอยากประชดด้วยการไปเป็นเช่นนั้นจริงๆได้สักขนาดไหน

    คนที่ชอบสาปแช่งผู้อื่นเป็นนิตย์ โดยเฉพาะที่รู้สึกว่าสาปแล้วคนโดนมีอันเป็นไปตามประกาศิตตน มักจะหลงลำพองทะนง เข้าใจว่าตนเเป็นผู้วิเศษ ความจริงไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย เป็นบุญเก่าบางอย่าง


    เช่น เคยรักษาสัตย์ รักษาคำพูด ทำทุกอย่างสำเร็จครบตามสัญญาทางวาจาเสมอ หรือฝึกเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ ด้วยจิตที่หนักแน่นคมคาย ก็ก่อให้เกิดฤทธิ์ทางวาจา เป็นผู้มีวาจาสิทธิ์แบบอ่อนๆกันได้แล้ว

    สำคัญคือ เมื่อรู้ตัวว่ามีวาจาสิทธิ์แล้วเผลอใช้ไปในทางสาปแช่งเมื่อใด เงามืดแห่งบาปอกุศลอย่างใหญ่ก็เกิดขึ้นห่อหุ้มจิตทันที สิ่งที่จะรู้สึกด้วยตนเองเป็นอันดับแรกคือจิตใจที่ก้าวร้าว เหี้ยมเกรียม และคิดอ่านในทางมุ่งร้ายทำลายล้าง อันดับต่อมาคือการมีกระแสลบ ก่อแนวโน้มให้เกิดเหตุร้ายหรือเรื่องราวน่าร้อนใจไม่หยุดหย่อน

    คุณไสยก็มาในทำนองเดียวกับคำสาป ความต่างที่ชัดเจนคือคำสาปนั้นมาเดี่ยวได้ ไม่ต้องมีครู ไม่ต้องมีพิธีครอบครู ส่วนไสยศาสตร์จะมาเป็นหมู่ เป็นพรรคเป็นพวก วิชาจะเกิดผลต้องมีความศรัทธาในครู หรือเคยสัมผัสพลังจากครูจนเชื่อมั่นและรู้สึกถึงความเป็นของจริงเสียก่อน จึงจะประสบความสำเร็จได้ น้อยคนจะเกิดฤทธิ์ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งครูช่วยประสิทธิ์ประสาท

    สรุปคือ ทั้งคำสาปและคุณไสย เป็นพลังชนิดหนึ่ง อยู่ฝ่ายมืด ไม่ได้น่าพิศวงไปกว่าการแอบเป่าลูกดอกอาบยาพิษใส่คนอื่น คำถามน่าแปลกใจจึงไม่ใช่คุณไสยมีหรือไม่มีจริง แต่ประหลาดตรงที่ทุกคนทราบดีว่าใครริเล่นเข้าแล้วสุดท้ายต้องลงเอยด้วยการมีอันเป็นไปในทางร้าย ทำนองเดียวกับคนเล่นพิษย่อมพลาดโดนพิษเข้าสักวัน ก็ยังมีแก่ใจศึกษาร่ำเรียนสืบทอดวิชามืดพรรค์นี้ไม่จบไม่สิ้น



    [​IMG]


    ขอให้ทดลองดูเถิดครับ จะเห็นผลทันตาทันใจ หากสวดอิติปิโสฯด้วยความเลื่อมใสสักสองสามรอบกระทั่งเกิดความอบอุ่นและสว่างในภายในแล้ว ก็ขอให้น้อมนึกว่าความอบอุ่นสว่างใจนี้จงได้แก่ผู้ทำร้ายเรา ผู้สาปแช่งเรา หรือผู้กระทำคุณไสยใส่เรา ตรงนี้สำคัญ เป็นขั้นตอนของการแผ่เมตตาโดยตรง

    เสนียดหรือเงามืดทั้งหลาย จะหายไปอย่างแน่นอน ชนิดฉับพลันทันที เห็นกันจะจะ ไม่ต้องเดินทางไปรดน้ำมนต์หรือหาหมอไสยขาวใดๆทั้งสิ้น เพราะการมีกระแสพระรัตนตรัยอยู่ติดตัวนั้น ประเสริฐและให้ผลคุ้มครองเหนือกว่าการทำพิธีปัดเป่าใดๆในโลกอยู่แล้ว

    หากสวดช่วงเช้าแล้วยังไม่หายขาด เหมือนมีอะไรมืดๆ หรือกระแสหยาบๆน่าระคายติดตามอยู่อีก ก็ให้สวดอีก ๓ รอบในช่วงบ่าย สวดอีก ๓ รอบในช่วงเย็น ถ้าเป็นหนักก็สวดไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงๆ จนจิตเกิดความเลื่อมใสตั้งมั่น


    จะไม่มีเงามืดใดๆ ครอบงำได้เลย และชีวิตจะมีแต่ความสุกสว่างเจริญรุ่งเรืองด้วย ไม่จำเป็นต้องสวดบทอื่นใดเสริมเติมอีกก็จะเห็นความจริงนี้ถนัด

    ในกรณีที่ผู้ถูกคุณไสยขาดสติ ไม่อาจรับฟังคำชี้แนะ ไม่อาจช่วยเหลือตนเองด้วยการสวดมนต์ภาวนา ให้หาผู้มีศีลสะอาดมาคนหนึ่ง ยิ่งถ้ารักษาวาจาเป็นสัตย์มาตลอดได้ยิ่งดี โดยไม่จำเป็นต้องรู้อุปเท่ห์หรือเคล็ดลางพิธีกรรมใดๆมาก่อน

    ผู้รักษาศีลได้สะอาด ย่อมมีหนังสือธรรมะประจำใจ อย่างน้อยเล่มหนึ่ง ที่เคยอ่านแล้วกระจ่างแจ้ง เกิดศรัทธาปสาทะในหนังสือเล่มนั้นอย่างแรงกล้า จิตของเขาย่อมเห็นเหมือนหนังสือธรรมะดังกล่าว มีรัศมีสว่างเรืองในตนเอง


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนำมาคีบไว้ด้วยง่ามมือขณะพนมสวดอิติปิโสฯ ๓ จบ ใจจะสัมผัสถึงความอบอุ่นจากหนังสือได้มากเป็นพิเศษ แม้หลับตาก็จะรู้สึกเหมือนบังเกิดแสงโอภาสฉายจากหนังสือแรงกล้าราวกับเป็นอุปาทาน

    ขอให้มีความเลื่อมใสในรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นและรับรู้ด้วยใจนั้น และแผ่เมตตาผ่านธาตุลมจากปาก โดยนำหนังสือธรรมะไปวางลอยอยู่เหนือกระหม่อมของผู้ถูกคุณไสย ปิดตาเป่าปากผ่านหนังสือ ถ้าจิตกำลังใสเบาตั้งมั่น จะเห็นเหมือนลมปากเป็นลำสว่าง ผ่านทะลุหนังสือไปถึงกระหม่อม ของผู้ถูกคุณไสยได้


    และเขาจะมีความรับรู้เสมือนมีลมใหญ่มาปะทะให้สดชื่นขึ้น หากใครเป่าจนชำนาญและเกิดความมั่นใจ จะเห็นว่าสามารถช่วยคนที่อยู่ทางไกลได้โดยไม่ต้องเดินทางไปถึงตัวด้วยซ้ำ

    เป่าสองสามครั้งน่าจะเห็นผลชัด ถ้ายังไม่เกิดผลก็ให้สันนิษฐานว่านั่นไม่ใช่เรื่องของการถูกคุณไสย หรือสันนิษฐานว่าผู้เป่าไม่มีกำลังใจแน่วแน่เพียงพอ เลื่อมใสไม่พอ หรือศีลสัตย์ไม่หนักแน่นพอ

    ท้ายที่สุดอยากให้ทำความเข้าใจดีๆ คือไสยศาสตร์ไม่ใช่วิชาของพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม สาวกผู้สืบทอดที่แท้จริงของศาสนาต่างๆจะรู้ดีว่าคัมภีร์ของตนตำหนิติเตียนศาสตร์มืด อันเป็นโทษ ด้วยกันทั้งสิ้น แต่คัมภีร์ของศาสนาต่างๆก็ให้ทางแก้มาด้วย ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลหรือควรเหมาเป็นอุปาทานล้วนๆ



    [​IMG]


    บทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย

    ๑. พุทธคุณ

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

    ๒. ธรรมคุณ

    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

    ๓. สังฆคุณ

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=ecxpostdetails></TD><TD vAlign=top align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD class=ecxpostbody vAlign=top><HR>
    [​IMG]

    พุทธคุณ ๙

    คำว่า “พุทธคุณ” เป็นคำที่ชาวพุทธคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ได้อย่างถูกต้องนัก ดังนั้นจึงขอนำมาอธิบายขยายความไว้ในที่นี้ โดยในพจนานุกรมพุทธศาสน์ของรองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้ให้ความหมายไว้ว่า

    พุทธคุณ ๙ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรอง เพื่อใช้เป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐไว้ดังนี้

    ๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีคำแปลและความหมายอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้

    ๑.๑ เป็นผู้ควร คือ ผู้ทรงสั่งสอนสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้นได้ด้วย เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์

    ๑.๒ เป็นผู้ไกล คือ ผู้ทรงไกลจากกิเลสและบาปกรรม เพราะทรงละได้เด็ดขาดแล้วทั้งโลภ โกรธ และหลง

    ๑.๓ เป็นผู้หักซี่กำแพงล้อสังสารวัฏ คือ ผู้ทรงตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้แล้ว

    ๑.๔ เป็นผู้ไม่มีข้อลี้ลับ คือ ผู้ทรงไม่มีบาปธรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น และเป็นผู้ควรได้รับความเคารพของผู้อื่น

    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นการค้นพบด้วยพระองค์เอง ไม่มีครูอาจารย์เป็นผู้สอน

    ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีวิชชา ความรู้ตั้งแต่ความรู้ระดับพื้นฐาน จนกระทั่งความรู้ระดับสูงสุด และมีจรณะ ความประพฤติดีประพฤติได้ตามที่ทรงรู้ เช่น ความสำรวมในศีล เป็นต้น

    ๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดี คำว่า “ไปดี” มีความหมายหลายนัย คือ

    ๔.๑ เสด็จดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางเดินที่ดี
    ๔.๒ เสด็จไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ดียิ่ง
    ๔.๓ เสด็จไปดีแล้ว เพราะทรงละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
    ๔.๔ เสด็จไปปลอดภัยดี เพราะเสด็จไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก

    ๕. โลกวิทู เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก คือ ทรงรอบรู้โลกทางกายภาพ เช่น โลกมนุษย์ สัตว์โลก สังขารโลก โอกาสโลก และทรงรู้โลกภายใน คือทุกข์และการดับทุกข์

    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีผู้ทรงฝึกคนได้อย่างยอดเยี่ยม คือ พระองค์ทรงรู้นิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย (มีแวว) อธิมุตติ (ความถนัด) อินทรีย์ (ความพร้อม) ของบุคคลระดับต่างๆ


    และทรงฝึกสอนด้วยเทคนิควิธีการที่เหมาะแก่ความเคยชิน แววถนัด และความพร้อมของเขาให้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก

    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติที่ควรเป็นครูของบุคคลในทุกระดับชั้น เพราะพระองค์ทรงรอบรู้และทรงสอนคนได้ทุกระดับ


    ทรงสอนด้วยความเมตตา มิใช่เพื่อลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ทรงมุ่งความถูกต้องและประโยชน์สุขของผู้ฟังเป็นใหญ่ ทรงสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของผู้ฟัง และทรงทำได้ตามที่ทรงสอนนั้นด้วย

    ๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ พระองค์ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ยึดถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงรู้จักฐานะ คือ เหตุที่ควรเป็น เปรียบได้กับคนตื่นจากหลับ


    แล้วทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่งพระองค์ทรงตื่นแล้วเป็นอิสระจากอำนาจของโลภ โกรธ หลง แล้ว เมื่อทรงตื่นแล้วก็ทรงแจ่มใสเบิกบาน มีพระทัยบริสุทธิ์สะอาด

    ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค ผู้ทรงแจกแบ่งธรรม คือพระองค์ทรงเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา นับเป็นผู้มีโชคดีกว่าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงทำการใดก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ


    ส่วน “ภควา” แปลว่า “ทรงแจกแบ่งธรรม” หมายถึง มีพระปัญญาล้ำเลิศ จนสามารถจำแนกธรรมที่ลึกซึ้งให้เป็นที่เข้าใจง่าย และมีพระกรุณาธิคุณจำแนกแจกจ่ายคำสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ให้รู้ตาม

    พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้ สรุปลงเป็น ๓ ประการ คือ

    ๑. พระวิสุทธิคุณ คือ ความบริสุทธิ์ อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๑, ๓ และ ๙
    ๒. พระปัญญาคุณ คือ ปัญญา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๒, ๕ และ ๘
    ๓. พระมหากรุณาธิคุณ คือ พระมหากรุณา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๔, ๖ และ ๗


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]



    การแก้คุณไสย ไม่เปลืองตัวไม่เปลืองเงิน ทุกคนทำได้เอง

    [​IMG]

    ใบเสมา ที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ ให้ล้างน้ำทำความสะอาดให้ดี แล้วผ้าขนหนูสะอาด พันรอบฐานใบเสมา แล้วจุดธูป 3 ดอก พร้อมดอกไม้ ธูป เทียน บูชารัตนตรัย จากนั้น บอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้น เบื้องหน้าใบเสมา ในรายละเอียดที่รู้ เหมือนเล่าให้ศาลฟัง ทำนองเดียวกับ การให้คำร้องต่อศาล โดยห้ามโกหก ห้ามต่อเติมตามความรู้สึกนึกคิด

    แล้วขอต่อเสมา ขอน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธ์ เพื่อขจัดทุกข์ภัย และอื่นๆ ตามต้องการให้ตั้งอยู่บนสัมมาทิฐิ

    แล้วนำน้ำสะอาด รดลงบนใบเสมา พร้อมสวด อิติปิโส ไปเรื่อยๆ จนน้ำชุ่มผ้าที่พันไว้ที่ฐานเสมา จากนั้นนำผ้าที่ชุ่มน้ำ บิดน้ำใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ หากได้น้ำในปริมาณน้อย ให้นำผ้าไปพันที่ฐานใบเสมาอีก แล้วเอาน้ำรด สวดอิติปิโสต่อไป จนได้น้ำเพียงพอ ให้เอาน้ำนั้นไปกรอง ด้วยผ้าขาวบางใหม่

    น้ำที่ได้ เป็นน้ำมนต์อันศักสิทธ์ สามารถใช้กิน พ่น พรม ทา อาบ ตามแต่จะใช้ โดยควรใช้ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง

    ทั้งนี้ ไม่มีอำนาจใด ทานอำนาจแห่งใบเสมาได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณผี คุณคน คุณเทวดาใดๆ ล้วนต้องถอนถอยทั้งสิ้น

    ความสำคัญอยู่ที่ การบอกกล่าวเรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ขอต้องมีสาระที่ดี กับมีเป้าหมายที่แน่นอนว่าต้องการอะไร เพื่ออะไร

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); COLOR: rgb(255,255,255)" SIZE=1>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]


    คำเทศนาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
    (โต พรหมรังสี)

    <HR width="90%">

    สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ
    การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง​
    [​IMG]"ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตนเอง คือบารมีของตน ลงทุนไปก่อน

    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย

    มิฉะนั้น เจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว...

    เมื่อทำบุญทำกุศล ได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว...

    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..."

    " จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้...ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดิน ก็ต้านเจ้าไม่อยู่...

    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่คือคำเทศนาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิต หลังจาก ที่ท่านล่วงลับไปแล้ว เมื่อ ๑๐๐ กว่าปี

    อันเป็นปฐมเหตุ ที่ต้องสร้างความดี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
    <HR width="90%">


    วิธีสร้างบุญบารมีในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ และไม่เคร่งเครียดอะไร ทำให้เหมาะสมกับตนเองจะดีที่สุด


    1. นั่งสมาธิให้จิตนิ่งสนิท อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)

    อานิสงส์ ---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เมื่อจิตสงบนิ่ง

    จะปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ ได้บุญมาก จิตจะผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
    จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

    2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆ อย่างน้อย วันละครั้งก่อนนอน

    อานิสงส์ ---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
    เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
    แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

    3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ ตามสมควร

    อานิสงส์--- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
    สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

    4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า หรือ ที่มีโอกาส

    อานิสงส์ ---ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
    ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

    5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน

    อานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ
    สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
    ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

    6. สร้างพระถวายวัด สร้างคนเดียวหรือรวมๆ กันไปก็ได้

    อานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
    แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

    7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระ อย่างน้อย 9 วันขึ้นไป

    อานิสงส์ ---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่

    ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพาน
    ในภพต่อๆ ไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล

    8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย

    อานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือ
    ไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า
    ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

    9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ

    อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวร
    ที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวัง
    จะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

    10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ

    อานิสงส์---ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
    ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

    11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน ไม่ใช่การให้ยืม

    อานิสงส์ ---​
    ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
    เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
    จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

    12. รักษาศีล5หรือศีล8

    อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดา-นางฟ้า
    ปกปักรักษา
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  4. walkmann

    walkmann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +115
    ผมรู้สึกชอบในความคิดและการกระทำของคุณจังเลยครับ รับรู้ได้ว่า "ความรัก-ความเมตตา" มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าอำนาจหรือศาสตร์ลึกลับใดๆ ในโลก เพราะว่ามันคือสิ่งที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล และถ้าจะให้ผมเรียกใครสักคนว่า "อาจารย์" ผมคงอาจจะเรียกคุณได้เต็มปาก มากกว่าคนที่คิดมาทำร้ายคุณ;39
     
  5. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    คง จะต้องโดน นวด ก่อนครับ^^ มนุษย์เราต้องมีเห็นต่างบ้าง เพื่อสังคมอันอุดมปัญญาครับ
     
  6. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]

    บทสวดพระบรมมหาจักรพรรดิ<?xml:namespace prefix = o /><o:p></o:p>
    (แบบ แทรกคำอธิษฐาน)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ตั้งสัจจะอฐิษฐาน

    <o:p></o:p> ​
    ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอกราบขออาราธนา เมตตาบารมีรวม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด

    ขอหลวงปู่ ได้โปรดมีเมตตา อารธนาบารมีรวม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตั้งแต่องค์ปฐม จนถึงองค์ปัจจุบัน

    บรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย โดยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และอนาคต

    บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้า เป็นต้น
    <o:p></o:p>
    ขอบารมีหลวงปู่ ได้โปรดเมตตา น้อมนำภพภูมิต่างๆ ทั้งหลาย ในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุอันประกอบไปด้วย

    เทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้นเทพ พรหมทุกชั้นฟ้า มหาสมุทร โดยทั่ว ทั้งแสนหมื่นโกฎิจักรวาล เทพพรหมเทวา ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า

    เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคตท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราช พร้อมบริวารโดยทั้งหมด พระศรีสยามเทวาธิราชโดยทุก ๆ พระองค์ วีรบุรษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม

    โอปาติกะทั้งหลาย ฤาษีและดาบสทั้งหลายศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆ จังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองพระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย พญาครุฑพร้อมบริวาร
    <o:p></o:p>
    พญานาคพร้อมบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตา น้อมนำท่านทั้งหลาย มาร่วมสวดบทพระมหาจักรพรรดิ พร้อมกันเพื่อเพิ่มกำลัง


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บทบูชาพระ
    <o:p></o:p>
    พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​

    กราบพระ
    6 ครั้ง (กราบด้วยจิต)
    <o:p></o:p>
    พุทธัง วันทามิ (กราบ) ธัมมัง วันทามิ (กราบ)
    <o:p></o:p>
    สังฆัง วันทามิ (กราบ) ครูอุปัชฌาอาจาริยคุณัง วันทามิ (กราบ)

    มาตาปิตุคุณัง วันทามิ (กราบ) พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ (กราบ)

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    บทสมาทานศีล 5
    <o:p></o:p>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กราบ 3 ครั้ง)


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    <o:p></o:p>
    อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    <o:p></o:p>
    อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    <o:p></o:p>
    มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    <o:p></o:p>
    สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    <o:p></o:p>
    ** อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ ** (3 ครั้ง)
    <o:p></o:p>
    สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโย ธะเย
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​

    บทอาราธนาพระ
    <o:p></o:p>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กราบ 3 ครั้ง)
    <o:p></o:p> ​
    <o:p></o:p>
    พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    คาถาหลวงปู่ทวด : น้อมระลึกถึงปู่ทวด แล้วว่าคาถา ดังนี้
    <o:p></o:p>
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา (3 ครั้ง)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    คาถาหลวงปู่ดู่ : น้อมระลึกถึงปู่ดู่ แล้วว่าคาถา ดังนี้
    <o:p></o:p>
    นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (3 ครั้ง)


    [​IMG]

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    บทขอขมาพระรัตนตรัย
    <o:p></o:p>
    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    <o:p></o:p>
    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    <o:p></o:p>
    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    บทสวดมหาจักรพรรดิ
    <o:p></o:p>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (กราบ 3 ครั้ง)
    <o:p></o:p>
    (สวดตามกำลังของแต่ละวัน อาทิตย์ 6 จันทร์ 15 อังคาร 8 พุธ 17 พฤหัส 19 ศุกร์ 21 เสาร์ 10)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
    <o:p></o:p>
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    <o:p></o:p>
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    <o:p></o:p>
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    <o:p></o:p>
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
    <o:p></o:p>
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
    <o:p></o:p>
    อะหังวันทามิ สัพพะโส
    <o:p></o:p>
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน จงศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเป็นจริง โดยฉับพลัน ทันใจ ทุกประการ
    <o:p></o:p>
    อิมัง สัจจะวานัง อธิษฐามิ พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    การอธิษฐานรวมผู้เกี่ยวข้อง
    <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าขออธิษฐาน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ผู้ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ดู่ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ผู้ที่เคยอธิษฐานจิตที่ถ้ำนะ

    รวมถึง ผู้มีพระคุณและเทวดาประจำตัวข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรผู้ที่เคยอธิษฐานช่วย ชาติ ศาสนา ราชบัลลังก์ หมู่คณะ สัตว์ และมนุษย์ ผู้ที่ปรารถนาโพธิญาณ

    ขอบารมีหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จงจุดประกายทั่วทั้ง ๓ โลกธาตุ แผ่บุญส่งวิญญานทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ ให้เหล่าเทพพรหมโอปาติกะทั้งหลายจงรับ
    <o:p></o:p>
    ขอบารมีหลวงปู่ ช่วยน้อมนำให้เขาเหล่านั้น เข้ามาร่วมกัน เพื่อช่วยกันอธิษฐานช่วยชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์ รวมถึงหมู่คณะด้วยเทอญ

    <o:p></o:p>​
    เชิญพระเข้าตัว แผ่บุญปรับภพภูมิ ส่งวิญญาน
    <o:p></o:p>
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    <o:p></o:p>
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส (5 จบ)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (ให้อธิฐานจิตแผ่)

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    ต่อจากนั้น อธิษฐาน แผ่เรื่องส่วนตัว เพื่อประโยชน์ได้
    <o:p></o:p>
    ตั้งจิตอธิษฐานขอสติปัญญา และให้คิดทำสิ่งใด ให้สำเร็จทุกประการ ทั้งทางโลกและทางธรรม


    <o:p></o:p>
    (อธิษฐานเฉพาะเรื่อง.....อธิษฐานเรื่องที่เราต้องการอธิษฐานเป็นพิเศษ)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน จงศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเป็นจริง โดยฉับพลันทันใจ ทุกประการ
    <o:p></o:p>
    อิมัง สัจจะวานัง อธิษฐามิ พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    <o:p></o:p>
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส (3 จบ)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (ให้อธิษฐานจิต)


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อธิษฐานรวมบารมี ๑๐
    <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าขอตั้งสัจอธิษฐาน สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อชาติ ศาสนา ราชบัลลังก์หมู่คณะ สัตว์ และมนุษย์ทั้งหมด ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด

    สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี กำลังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์ถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิ์

    ขอบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บุญบารมีใด ที่ข้าพเจ้าเคยสั่งสมอบรมมา เคยปฏิบัติมาจากอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
    <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าขอรวมบุญบารมีนี้ น้อมถวาย แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม บรมมหาจักรพรรดิ์ จนถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิ์ ถวายหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอถวายเป็นพุทธบูชา มหาเตชวันโต ธัมมะบูชา มหาปัญโญ สังฆะบูชา มหาโภควะโห ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    <o:p></o:p>
    ขออาราธนาบารมีหลวงปู่ดู่ โปรดน้อมนำบารมี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มายังข้าพเจ้า เป็นเท่าทวีคูณ เพื่อข้าพเจ้า จะได้นำมาเป็นกำลัง ในการช่วยชาติ ศาสนา ราชบัลลังก์ หมู่คณะ สัตว์ และมนุษย์ทั้งมวล
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    ตั้งจิตแผ่บุญให้กับผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งที่บ้านและหมู่คณะ


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>​
    เชิญพระเข้าตัว แผ่บุญ ปรับภพภูมิ ส่งวิญญาน อธิษฐานจิต...
    <o:p></o:p>
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    <o:p></o:p>
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส (5 จบ)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (ให้อธิฐานจิตแผ่)
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    กราบพระ 3 ครั้ง...น้อมระลึกถึงพระ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ------------
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (นั่งสมาธิภาวนาต่อตามความพอใจ)


    [​IMG]



    คลิกที่นี่ -- หากต้องการโหลดไฟล์สำหรับ print

    www.luangtamalives.com/index.php?option=com_content&view=article&id=58&Itemid=81
     

แชร์หน้านี้

Loading...