โอวาทของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย กล่าวถึงพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย jumook, 21 กรกฎาคม 2011.

  1. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    แล้วก็จงจำไว้ด้วยว่ามันไม่ใช่แต่ขันธ์ 5 ของฉัน แม้แต่ขันธ์ 5ของเธอ ก็เหมือนกัน ขันธ์ 5ของคนอื่นใด ๆ ในโลกก็เหมือนกัน แม้วัตถุต่าง ๆ ที่เป็นธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุเหล็ก ตึก บ้านช่อง วัตถุแข็ง อ่อน อากาศคือ ธาตุลม ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งของความสุข มันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความทุกข์ มันไม่มีสภาพทรงตัว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนในที่สุดมันก็สลายตัว ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อนัตตา
    ความจริงฉันไม่มีอะไรวิเศษเลย ขันธ์ 5 ของฉันมันก็เลว มันจะพังสลาย สภาพร่างกายก็ไม่ดี ความจำก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี ทุกอย่างมันหาความดีอะไรไม่ได้
    ตราบใดที่พระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังมีอยู่ครบถ้วน ทั้งพระธรรมวินัย ในขณะนั้นถ้าคนเอาจริงปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเป็นพระอรหันต์ได้หมดทุกคน
    การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ก็ดี เขาศึกษากันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิ คือ ร่างกาย (หรือ ขันธ์ 5 หรือ รูปนาม) ได้ตัวเดียวก็เป็นพระอรหันต์
    ก่อนที่จะใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ อันดับแรกต้องเข้าฌานให้ถึงที่สุดที่เธอทรงได้เข้าฌานออกฌานสลับกันมาสลับ กันไป ให้มันมีอาการทรงตัว แล้วทำจิตให้ทรงในฌานให้แนบสนิททรงตัว มีความสุขที่สุด ถ้าได้สมาบัติ 8 เป็นกำลังใหญ่ ถ้าได้มโนมยิทธิก็ยกจิตไปไว้พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระบรมพิชิตมารสัมมา สัมพุทธเจ้า ถอยกำลังถึงอุปจารสมาธิ พิจารณาขันธ์ 5 ว่า ขันธ์ 5 มันเป็นภัยสำหรับเรา มันเป็นวัตถุธาตุที่สร้างแต่ทุกข์ สร้างแต่โทษ ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มองดูขันธ์ 5 คือ ร่างกายเกิดมาเราต้องเลี้ยงดูมันเท่าไร มันชอบอะไร เราให้มันกินหมด แต่เราคือจิตไม่ต้องการให้มันป่วย แล้วร่างกายยังขืนป่วย เพลีย เจ็บปวด หิวกระหาย ร้อนหนาว ยุ่งวุ่นวาย ฉันก็ไม่เคยต้องการให้มันแก่มันก็แก่ แล้วคนที่ตายไปก่อนเราเขาไม่ต้องการจะตายมันก็ตาย ในเมื่อร่างกายหรือขันธ์ 5 มันมีความเลวทรามอย่างนี้ จิตเราจะคบค้าสมาคมมันเพื่อประโยชน์อันใด
    [​IMG]ตั้งใจจับจุดไว้เพื่อพระโสดาบัน
    1. ระงับความพอใจในขันธ์ 5 เสีย คิดว่าร่างกายมันตายอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ลืมความตาย เป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนารวมกัน
    2. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ควรทำเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คือ ทรงอารมณ์อยู่ในศีลตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องทางใจ ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ให้ลืมตาทำงาน คุยกับหมากับแมว หรือเจอะหน้าคนด่าคนนินทา ศีลเราทรงตัวไม่หวั่นไหวใช้ได้ เป็นการตัดสังโยชน์ ข้อ 2 สีลัพตปรามาส
    3. ตัดวิจิกิจฉา โดยการน้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ คือ ทรงพระกรรมฐาน 3 ให้เป็นฌาน คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ให้ทรงตัว
    4. ตัดสินใจทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ต้องการเกิดเป็นคนรวยสวยแข็งแรง ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม กำลังใจมุ่งพระนิพพานเป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน
    การที่จะหลีกหนีบาปกรรมชั่วหรือนรกได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง 4 ข้อนี้ หรือตัดสังโยชน์ 3 ประการได้ ท่านให้ชื่อว่าผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คือ พระโสดาบัน ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถถูกลงโทษได้แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะวนเวียนเฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ากำลังใจเต็มไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจเทวดาพรหมก็ไปนิพพาน
    การเป็นพระสกิทาคามีก็มี 4 ข้อ เช่นพระโสดาบัน แต่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้นมาจากศีล 5 ข้อ คือ กรรมบถ 10 คือ เพิ่มอีก 5 ข้อ นอกจากศีล 5 แล้วคือไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่คิดอยากได้ของของผู้อื่น ไม่คิดผิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ คือ มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้จีรังแน่นอ มีแต่ความเสื่อมทรุดโทรมสูญหายแตกสลายในที่สุด
    การปฏิบัติจิตเพื่อเป็นพระอนาคามี คือ นอกจาก 4 ข้อ แรกของการเป็นพระโสดาบัน และกรรมบท 10 ของพระสกิทาคามีแล้วก็เพิ่ม
    1. กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน ให้ชั่งใจควบกับสักกายทิฏฐิ นอกจากเห็นว่าร่างกายตายแน่แล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรกเน่าเหม็นตลอดเวลา
    2. ระงับความโกรธความพยาบาท ด้วยความเมตตา พรหมวิหาร 4 หรือ ระงับด้วยญาณสมาบัติ ใช้วิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิควบคุมไว้ คนที่เขาโกรธเรา แกล้งเรา ด่าว่าเรา เขาด่าขันธ์ 5 และขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว จิตเราก็ไม่ใช่ขันธ์ 5 เขาอยากจะดุด่าก็เชิญว่าไปตามใจ เราไม่สะดุ้งสะเทือน คนด่าว่าเราเขาก็ตกนรกไปเอง
    ความเป็นพระอรหันต์ นั่นก็เป็นเรื่องขี้ผงแล้วง่ายมาก เพิ่มเข้ามาจากร่างกาย ธาตุ 4 คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม
    1. อย่าติดในรูปฌาน ที่เราเข้าฌานได้ว่าเป็นของวิเศษ รูปฌานก็คือร่างกาย ธาตุ 4 คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม
    2. อย่าติดในอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณนัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญา นาสัญยตนะ ที่เราได้แล้วว่าเป็นของวิเศษ ให้ถือว่าเป็นกำลังใหญ่ที่ช่วยให้เราคือ จิตเข้าประหัตประหารกิเลส โลภ โกรธ หลง เท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้อรูปฌานก็ไม่จำเป็น อรูปฌาน ก็คือ นามในขันธ์ 5 มีสังขาร ความคิด เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำ วิญญาณ ประสาท ไม่ใช่ของจิต
    3. กำจัดมานะออกจากจิต อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ ได้อภิญญา สมาบัติเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เราดีเท่าเขา อารมณ์นี้ไม่ดีก็ทิ้งไปเสีย ด้วยการคิดว่า ทุกคนเกิดมามีทุกข์จากขันธ์ 5 เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน ให้มีเมตตาเห็นอกเห็นใจทั้งคนและสัตว์
    4. อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ คือ คิดทางโลกไม่มี พระอนาคามีก็ฟุ้งไปในด้านของกุศลที่ไม่ตรงกับพระนิพพาน คือ คิดว่า แค่เทวดา พรหมก็พอ ท่านห้ามคิดแบบนั้น ให้จิตมุ่งตรงพระนิพพานเป็นพรหมก็ไม่พ้นทุกข์
    5. อวิชชา เป็นสังโยชน์ข้อ 10 ข้อสุดท้าย ตัดอารมณ์พอใจ (ฉันทะ) อารมณ์รัก (ราคะ ) ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะมีปัญญาเข้าใจแล้วว่า พระนิพพานเป็นแดนทิพย์ อมตะสูญจากความทุกข์ ความไม่แน่นอน สูญจากขันธ์ 5 ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มีอิสระเสรีจากบาปกรรม มีความสุขชั่วกาลนาน มีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืนมีความสุขหาเปรียบมิได้ ทุกอย่างเป็นทิพย์วิเศษ จิตเป็นสุขสมปรารถนาทุกประการ
    พระพุทธเจ้าท่านตรัส บอกว่า พระนิพพานดับธาตุทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่โลกมี ดับขันธ์ 5 หมด พระนิพพานไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัณหา อุปาทาน ไม่มีบาปกรรม ไม่มีร่างกายแบบคนนี้ แต่ว่า อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กายทิพย์ มีจิตทิพย์ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ มีกายโปร่งใสแพรวพราวสว่างไสว ไม่รู้สึกไม่มีระบบประสาทสมอง อยากรู้อะไรรู้ได้เพราะจิตเป็นทิพย์
    ทุกข์ ใด ๆ ไม่มี แต่ความรู้สึกเป็นสุข มีเมตตา มีห่วงลูกห่วงหลานแต่ไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านมีอุเบกขาไม่ต้องกินต้องถ่ายหรือหลับ ไม่มีการอ่อนเพลีย

    ที่มา Untitled Document
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2011
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]

    ประวัติโดยย่อ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย พระเกจิอาจารย์ที่เลื่องลือ
    เป็นพระอาจารย์ของปรมารย์ที่โด่งดัง อาทิ หลวงพ่อโหน่ง , หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

    หลวงพ่อเนียม วัดน้อยบ้านสามหมื่น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี เป็นชื่อที่ชาวสุพรรณ ต่างรู้จักท่านดี เป็นที่นับถือโดยทั่วไป ลือกระฉ่อนในด้านปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าระทึกใจ
    หลวงพ่อเนียมมีอายุยืนยาวถึง ๔ รัชกาล เกิดเมื่อ พ.ศ ๒๓๗๒ ในรัชกาลที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ต. มดแดง อ. ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มารดาเป็นชาวป่าพฤกษ์ ต. ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ธรรมเนียมไทยฝ่ายชาย ที่เข้าสู่งานมงคลสมรสแล้วจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นบิดาของหลวงพ่อเนียมจึงมาอยู่กับมารดาของท่านที่บ้านป่าพฤกษ์ ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นชาติภูมิของท่าน หลวงพ่อเนียม มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันหลายคน ตัวท่านเป็นบุตรคนที่สอง ส่วนน้อง ๆ มีอีกกี่คนไม่สามารถสืบทราบได้
    การศึกษาสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน เหมือนปัจจุบัน หลวงพ่อเนียมจึงมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัด เรียนอักขระขอมและภาษาบาลีจากวัดข้างเคียงที่ให้กำเนิดท่าน เมื่ออายุครบบวชทำการอุปสมบทในบวร พุทธศาสนา วัดใกล้บ้านท่านนั่นแหละ คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์ หรือไม่ก็วัดตะค่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓
    เมื่ออุปสมบทถือเพศบรรพชิตแล้ว ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี สืบทราบไม่แน่ชัด มีบางท่านว่าอยู่วัดพระพิเรนทร์ บางท่านว่าอยู่วัดโพธิ์, วัดระฆัง,วัดทองธรรมชาติธนบุรี ไม่เป็นที่ยุติ สรุปความว่าท่านไปอยู่วัดในจังหวัดพระนครและธนบุรี ซึ่งอาจจะอยู่วัดในจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้วก็ได้ ขณะที่ท่านศึกษาทางด้านธรรมะอยู่นั้นท่านมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระและทางไสยศาสตร์คาถาอาคมด้วย เมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ท่านก็ต้องเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เพราะสมเด็จฯ(โต) มีอายุถึง พ.ศ.๒๔๑๕ ดังนั้น หลวงพ่อเนียมอุปสมบทในราว พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓ ถ้าท่านมาอยู่ วัดระฆัง ท่านจะต้องเป็นลูกศิษย์สมเด็จฯ (โต) อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งพ่อเนียมก็ต้องได้ศึกษา วิชาทางไสยศาสตร์และวิปัสสนาธุระ จากสมเด็จฯ (โต)
    รูปร่างของหลวงพ่อเนียมสันทัด ผิวขาวไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปนัก ใบหน้ามีเสน่ห์ในขณะที่เรียนวิชาทางไสยศาสตร์อยู่นั้น ท่านได้เคยทดลอง วิชาเมตตามหานิยมที่ได้ เล่าเรียนมาครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งท่านไปบิณฑบาตร์ที่บ้านพระยาผู้หนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวพระยาผู้นั้นเป็นผู้ใส่บาตร ท่านคิดในใจว่าวันนี้ อาตมาจะ ขอทดลอง วิชาที่ได้ อุตส่าห์เล่าเรียนมาว่าจะเป็นจริงเพียงไร ขณะที่ลูกสาวพระยาเอาทัพพีตักข้าวใส่บาตรของท่านนั้น ท่านบริกรรมพร้อมกับใช้ฝาบาตรกดทับทัพพีของสีกาสาวลูกพระยาผู้นั้นไว้ชั่วขณะหนี่ง แล้วปล่อยปรากฏว่าตอนเย็นวันนั้น พระยาผู้บิดาสีกาสาวผู้นั้นให้คนมานิมนต์ท่านไปพบที่บ้าน พอท่านทราบเรื่องใจไม่ดีคิดว่าคงมีเรื่องเสียแล้ว คาถาอาคมที่เรียนมานั้นคงไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นแน่ นึกตำหนิตนเองว่าไม่ควรจะทดลองเลย จะไม่ไปหรือก็ไม่ได้เพราะรับนิมนต์ไว้แล้ว เป็นไงเป็นกัน แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่ท่านได้คิดไว้ พระยาผู้นั้นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จากการรับนิมนต์ครั้งนั้นจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกันในตอนต่อๆมา ท่านไปมาหาสู่ที่บ้านพระยาผู้นั้นอยู่เป็น เนืองนิจจนเป็นที่สนิทสนมกันมาก วันหนึ่งพระยาผู้นั้นเอ่ยปากยกลูกสาวให้ท่าน ท่านตกใจมากเพราะไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจึงต้องรีบปฏิเสธอย่างสุภาพว่าท่านยังรักที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไปโดยจะไม่ขอลาสิกขาบท จากนั้นท่านพยายามทำตนให้ห่างไว้เพื่อความสัมพันธ์จะได้ค่อยๆ จางหายไป จะอย่างไรก็ดีเมื่อท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดในจังหวัดสุพรรณแล้ว ท่านยังลงไปเยี่ยมพระยาผู้นั้นอยู่เสมอๆ
    ท่านกลับมาอยู่สุพรรณอายุในราว ๔๐ ปี ในราวพ.ศ.๒๔๑๒ อยู่ในกรุงเทพฯ-ธนบุรี เกือบ ๒๐ ปี นับว่านานโขอยู่ ในการกลับมาตอนต้นท่านไม่ได้มาอยู่วัดที่ท่านอุปสมบทเลยขึ้นมาอยู่ที่วัดรอเจริญ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อยู่ได้ไม่นานเกิดขัดคอกับเจ้าอาวาส ท่านจึงคิดจะไปจำพรรษาที่วัดป่าพฤกษ์ใกล้บ้านเกิดของท่านดีกว่า
    ขณะนั้นวัดน้อย ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ซึ่งอยู่เหนือวัดรอเจริญไปไม่ไกลนัก เป็นวัดมีสภาพร้าง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงวิหารเก่าคร่ำคร่าเท่านั้น ชาวบ้านมีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซม ให้พ้นสภาพวัดร้างขึ้นมาใหม่ จึงให้นายมวนและชาวบ้านแถบนั้นจะหาปัจจัยสร้างหอฉันให้ หลวงพ่อเนียมไม่ขัดศรัทธา ตกลงใจมาอยู่วัดน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอสรุปได้ว่าวัดน้อย ได้พ้นสภาพจากการเป็นวัดร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๒ เป็นต้นมาเช่นกัน
    วัดน้อยค่อยๆ มีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับมีพระเณรมาจำพรรษามากขึ้นทั้งใกล้และไกลเช่นจากอำเภออู่ทอง เป็นต้น อำเภออู่ทองสมัยโน้นไกลแสนไกล เป็นอำเภออยู่ป่าสูง การคมนาคมไม่มี นอกจากจะเดินทางด้วยเท้าหรือม้าผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะและย่างเข้าป่าสูง ต้องใช้เวลาเดินไม่น้อยกว่าหนึ่งวันเต็มๆ หรือกว่านั้น การที่มีพระจากท้องที่ไกลๆ มาจำพรรษาด้วยย่อมเป็นการแสดงว่าหลวงพ่อเนียมต้องมีอะไรดี ลุงคำ(หลานนายมวน) เล่าว่าเพราะหลวงพ่อเนียมเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเมตตากรุณา แต่เคร่งในดานการศึกษาพระธรรมวินัยบางท่านที่สนใจศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระหลวงพ่อก็ช่วยให้การศึกษาเต็มที่ โดยไม่มีการหวงแหน พระเณรมีความรักใครกลมเกลียวกันดี นอกจากนั้นหลวงพ่อเนียมยังมีชื่อเสียงในทางรักษาโรคต่างๆ ได้อีก เช่น โรคพิษสุนัขบ้า บางทีถึงกับจับเอาสุนัข บ้ามาขังไว้ ทำการรักษาสุนัขตัวนั้นจนหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ นอกนั้นการรักษาวัณโรค อหิวาตกโรค ฝีดาษ ไข้ทรพิษ ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัณโรคนั้นได้ผลดีมาก
    หลวงพ่อเนียมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าได้ดั่งตาทิพย์ ครั้งหนึ่งมีภิกษุจากวัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำนวน ๔ รูปไปหาหลวงพ่อที่วัดน้อยเพื่อขอฤกษ์ลาสิกขาบท ขณะนั้นหลวงพ่อเนีบมกำลังคุมลูกศิษย์วัดทำความสะอาดบริเวณวัดอยู่พอเห็นหน้าภิกษุทั้งสี่หลวงพ่อร้องทักขึ้นก่อนว่า จะมาขอฤกษ์ลาสิกขาบทใช่ไหมล่ะ ภิกษุทั้งสี่ตอบว่าใช่ ท่านให้ฤกษ์ไปสามรูป อีกรูปหนึ่งท่านท้วงว่าอย่าเพิ่งเลย ชะตากำลังไม่ใคร่ดี แล้วท่านก็ไม่ให้ฤกษ์ แต่ภิกษุนั้นหายอมฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมไม่ทนไม่ไหว จีวรร้อนเป็นไฟ เพื่อนพระสึกไปหมดแล้วตนเองก็จะรู้สึกว้าเหว่ ตัดสินใจลาสิกขาบทโดยไม่ฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมเมื่อออกจากวัดกลับมาหาบิดามารดาที่บ้าน ค่ำวันนั้นเองขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนบ้านปรากฎว่ามีคนร้ายแอบเอาปืนยิงเข้าไปในกลุ่มสนทนา กระสุนถูกศีรษะทิดสึกใหม่คนนั้นตายคาที่
    ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดของท่าน ชาวบ้านจัดงานใหญ่โต มีแสดงพระธรรมเทศนาแจง ๕๐๐ พร้อมด้วยมหรสพสมโภชหลายอย่างร้านค้าขายตั้งเต็มลายวัด คาดว่างานแซยิดของท่านคงจัดขึ้นในราว พ.ศ. ๒๔๔๕ เพราะผู้เล่าเรื่องนี้คือ ลุงเปล่ง สุพรรณโรจน์ เล่าขณะที่ลุงเปล่ามีอายุ ๘๔ ปี บอกว่าปีนั้นลุงเปล่งมีอายุเพียง ๑๘ ขวบ ดังนั้น พ.ศ. ทำบุญงานแซยิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๔๔๕
    ค่ำวันนั้น ปรากฏว่าเมฆดำทมึนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตั้งเค้า พายุพัดตึงบอกลักษณะว่าฝนจะตกลงมาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นฝนยังได้ลงเม็ดมาปรอยๆ บ้างแล้ว ร้านค้าขายต่างกุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมหนีฝน กันจ้าละหวั่น วุ่นวายไปทั่วทั้งลานวัด คนที่มาเที่ยวต่างก็หลบฝนเข้าไปในใต้ถุนกุฏิ และที่หอฉันเต็มไปหมด ในขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเองหลวงพ่อเนียมเดินลงมาจากุฏิร้องบอกว่า "ไม่ต้องเก็บไม่ต้องเลิก มหรสพเล่นต่อไป ของขายต่อไป ที่นี่ไม่มีฝน ฝนไม่ตกที่นี่" แล้วท่านเดินไปหยุดที่หน้ากุฏิของท่าน มองขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า แล้วเดินไปเดินมา จริงเหมือนดังคำประกาศิต ฝนตั้งเค้าและท่าจะตกลงมาอย่างหนักนั้นหาได้ตกลงมาภายใน บริเวณวัดไม่มีเพียงละอองฝนปรอยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปนอกวัดจะเห็นฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทั้งตกอยู่นานอักโขอยู่ พองานเลิกทุกคนต้องเดินลุยน้ำขนาดครึ่งหน้าแข้ง
    หลวงพ่อเป็น ผู้ที่มีความ เมตตา ต่อสัตว์เลี้ยง ท่านเลี้ยงแมว,สุนัข,ไก่,แม้กระทั่งงูเห่าก็เลี้ยงไว้ ในกุฏิของท่านจึงเต็มไปแล้วมูลสัตว์ต่างๆ งูเห่ามีอยู่สองตัว ตัวใหญ่หายไปนานแล้ว แต่ก่อนมันจะหายไปมันมาลาท่านด้วยการชูหัวแผ่แม่เบี้ยคำนับอยู่ ๓ ครั้ง ตั้งแต่นั้นมันก็หายไป ส่วนตัวเล็กหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณะภาพแล้ว
    กิจวัตรประจำวันของท่านระหว่างเข้าพรรษา ท่านจะตื่นแต่เช้ามืดยังไม่ทันมีแสงเงินแสงทอง ครองจีวรแล้วปลงอาบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของวันต่อไปทุกๆ เช้ามือ เสร็จแล้วนั่งสนทนากับภิกษุในวัดเป็นการอบรมไปในตัวพอได้อรุณจึงออกไปบิณฑบาตร ต่อมาในระยะหลังๆ ท่านไม่ค่อยได้ออกไปบิณฑบาตร์เพราะชราภาพมากแล้ว ในขณะที่ท่านไปส้วมจะมีขันน้ำและข้าวสารไปด้วย โปรยข้าวสารไปตลอดทางจนถึงส้วมเพื่อให้ไก่กิน ออกจากส้วมกลับมาตามทางเดินโปรยข้าวสารที่เหลือให้ไก่กินจนหมด
    อาหารที่ท่านชอบเป็นพิเศษ คือ เปลือกแตงโมต้มปลาเจ่าแล้วในน้ำตาล ปกติการปรุงรสค่อนข้าวหวานแระเปรี้ยวเป็นส่วนมาก เช่นขนมจีนท่านชอบใส่น้ำเชื่อมลงไปด้วย
    ตอนบ่ายท่านจะลงไป รับแขกที่กุฏิเล็กซึ่งท่านสร้างขึ้นเพื่อนั่งวิปัสสนา ตอนเย็นเป็นธุระในเรื่องสัตว์เลี้ยง ตอนค่ำทำวัตรเสร็จแล้วนั่งสนทนากับพระลูกวัดจนกระทั่ง เวลาสามทุ่มจึงเข้าจำวัดหลวงพ่อเนียม สร้างพระเครื่องไว้หลายพิมพ์ด้วยกัน มีผู้เล่าว่าตอนต้นท่านสร้างพระเครื่องดินเผา แต่เนื้อที่เผาไม่แกร่งพอ ท่านจึงไม่แจกให้แก่ผู้ใดเลยแม้แต่องค์เดียว ในวงการพระเครื่องจึงไม่รู้จักพระเครื่อง เนื้อดินเผาของท่าน ส่วนมากเท่าที่รู้จักกันคือพระเนื้อชินตะกั่วผสมปรอท ท่านสร้างไว้หลายพิมพ์โดยเอาพระเก่าๆ มาทำแม่พิมพ์
    การทำปรอทให้แข็งในสมัยโน้นไม่ใช่ของง่ายนัก ว่ากันว่าต้องใช้คาถาอาคม ทั้งต้องทำในฤดูฝนฤดูเดียวเท่านั้น เพราะพืชบางอย่าง เช่น ใบแตงหนู ซึ่งขึ้นในท้องนา จะขึ้นในฤดูฝน ส่วนผสมต่างๆ มีใบสลอด, ข้าวสุกหลวงพ่อท่านเอาของสามอย่างมาโขลกปนกันเพื่อไล่ขี้ปรอทออกให้หมด ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปรอทขาวที่สุด การโขลกจะต้องโขลกและกวนอยู่ถึง ๗ วัน จึงจะเข้ากัน พอครบ ๗ วันเอาไปตากแดดเสร็จแล้วนำเอาไปกวนต่อจนเข้ากันดี จึงทำการแยกชั่งเป็นส่วนๆ ส่วนละหนึ่งบาทต่อจากนั้นเอาไปใส่ครกหิน เติมกำมะถันและจุนสีโขลกตำให้เข้ากัน โดยใช้เวลาทำตอนกลางคืนเท่านั้น ทำเช่นนั้นอยู่ ๓ คืนจึงเอาปรอทใส่ลงไปในกระปุกเหล้าเกาเหลียง ผสมกับตะกั่วเอาเข้าไฟสุมอยู่ถึง ๗ วัน บางครั้งอุณหภูมิ สูงจัด กระปุกเหล้าเกาเหลียงแตกเสียหายก็มี การสุมไฟสุมเฉพาะเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนทำพิธีปลุกเสกด้วยคาถาอาคม พอครบ ๗ ไฟเทลงในแม่พิมพ์จึงจะได้พระตามที่ต้องการ
    หลวงพ่อเนียมมรณะภาพเมื่ออายุ ๘๐ ปี ผู้เขียนไปวัดน้อยสอบถามผู้ใกล้ชิดแล้วบวกลบคูณหารดู ปรากฏว่างตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๒ ประมาณ ๙๕ ปีมาแล้ว หลังจากการฌปนกิจเสร็จแล้วชาวบ้านแย่งกันเก็บอัฐของท่านเอาไปไว้บูชากันอย่างอลหม่าน

    สรุปย่อจากบทความของ จ่ากองเมืองกาญจน์


    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2011
  3. พัชรกันย์

    พัชรกันย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +622
    ขอกราบบูชาหลวงพ่อเนียมค่ะ
     
  4. anna8182

    anna8182 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +39
    ขอโมทนาสาธุค่ะ อ่านแล้วรู้สึก ปีติค่ะ หวังว่าบทความนี้จะช่วยย้ำให้ทุกคนทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งค่ะ
     
  5. VICT

    VICT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +269
    โมทนา สาธุค่ะ ท่านเทศน์ธรรมะเข้าใจง่ายดีจังเลยค่ะ สาธุ สาธุ
     
  6. P.S._FabriNET

    P.S._FabriNET เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +803
    กราบอนุโมทนากับท่าน <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->jumook และอาจารย์ชนะด้วยครับ ที่นำคำสอนอันทรงคุณค่า รวมทั้งประวัติของหลวงพ่อเนียม มาเผยแพร่ครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  7. jumook

    jumook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,043
    นิพพานของหลวงพ่อเนียมได้อธิบายเหมือนกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อเนียมเป็นพระอริยะเจ้าอีกองค์หนึ่งถือว่าเป็นการยืนยันคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เ็ป็นอย่างดีเลยครับ

    โดยเฉพาะบทความนี้ พระนิพพานไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัณหา อุปาทาน ไม่มีบาปกรรม ไม่มีร่างกายแบบคนนี้ แต่ว่า อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กายทิพย์ มีจิตทิพย์ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ มีกายโปร่งใสแพรวพราวสว่างไสว ไม่รู้สึกไม่มีระบบประสาทสมอง อยากรู้อะไรรู้ได้เพราะจิตเป็นทิพย์
    ทุกข์ ใด ๆ ไม่มี แต่ความรู้สึกเป็นสุข มีเมตตา มีห่วงลูกห่วงหลานแต่ไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านมีอุเบกขาไม่ต้องกินต้องถ่ายหรือหลับ ไม่มีการอ่อนเพลีย
    ผมเชื่อว่ามันจะเป็นบทความที่ทำให้ทุกท่านอยากไปพระนิพพานมากๆเหมือนผมแน่เลย อ่านแล้วมีกำลังใจในการปฏิบัติหมดความลังเลสงสัยไปเลย
     
  8. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    กราบแทบเท้าหลวงพ่อ จะหมั่นละ 2 สิ่งนี้
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมด้วยจิตใจ ขอให้ข้าฯมีจิตสะอาดสว่างใสหลุดพ้นไซร้ สู่บ้านนิพพานเทอญ
     
  10. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    ขอบคุณสำหรับแผนที่เดินทางคะ ทำให้เรารู้ตัวเองว่า เดินผ่านจุดไหนมาบ้างแล้ว ขณะนี้กำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน และก้าวต่อไป จะไปต่อแบบไหน อย่างไร หวังนิพพานอย่างเดียว อยากไปอยู่กับหลวงปู่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ





    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เนียม ที่เคารพยิ่ง ขอรับ __-/|-__

    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ^_^
    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์มาทำงานกัน
     
  12. Whitedeangle

    Whitedeangle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +342
    อนุโมทนาด้วยครับ

    จะพยายามทำใจให้ได้อย่างที่หลวงพ่อสอนครับ
     
  13. kirakungzz

    kirakungzz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +145
    อนุโมทนาสาธุครับ
    หลวงพ่อเป็นพระที่น่าเลื่อมใสมากครับ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...