พระอภิญญา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 8 สิงหาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    [​IMG]


    พระอาจารย์ กล่าวว่า ในยุคของเรา ถ้าหากว่าคนยอมรับกฎของกรรมมากกว่านี้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง อภิญญาจะปรากฏออกมาอีกเยอะ เพราะอภิญญาสามารถทำอะไรก็ได้ เกินกว่าคนทั่วๆ ไปมาก ถ้าหากไม่ยอมรับกฎของกรรมจะทำเขาวุ่นไปหมด ก็เลยรออยู่นิดเดียว ถ้าหากกำลังใจยอมรับกฎของกรรมเมื่อไร กำลังอภิญญาก็จะนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่

    สมัยเด็กๆ มี หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง จ.พิษณุโลก ท่านสามารถทำได้สารพัดเลย คนไปฟ้องร้องจะปรับอาบัติปาราชิกท่าน ปาราชิกที่ขาดจากความเป็นพระนั้น จะต้องบอกอุตริที่ไม่มีมนุษธรรมในตน แต่คราวนี้ของท่านทำได้จริงๆ ก็เดือดร้อนจนกระทั่ง พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ อธิบดีกรมศาสนาช่วงนั้น ท่านเดินทางไปดูด้วยตัวเอง แล้วก็กลับมาเขียนรายงานว่า หลวงพ่อยีท่านทำได้จริง ปรับท่านไม่ได้ พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์ ท่านรู้จริง เพราะตัวท่านเองเคยบวชและศึกษาเรื่องพวกนี้มาลึกซึ้งมาก

    ถาม : ท่านทำอะไรได้บ้าง ?

    ตอบ : สารพัด อภิญญา เลย เช่น บิณฑบาตข้าวเทวดามาเลี้ยงลูกศิษย์ก็มี ชาวบ้านคนไหนสงสัยก็ไปเอามาให้กินซึ่งๆ หน้า มีสมบัติใต้ดินอยู่ตรงไหนท่านก็ไปล้อมสายสิญจน์วง ๆ ไว้แล้วก็ขุดขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย เอาเหรียญบาทเป็นโลหะแท้ๆ มาดึงยึดออกเหมือนกับยืดหมากฝรั่งอย่างนั้น นั่นจริงๆ ก็แค่กสิณน้ำ

    แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้เห็นเป็นเรื่องตื่นเต้น มีมากต่อมากด้วยกันที่กล่าวหาว่าท่านเล่นกลหลอกเขา ก็เลยไปกล่าวหาว่าท่านอวดฤทธิ์อวดเดชจะปรับอาบัติปาราชิก

    เรื่องของการเล่นฤทธิ์เล่นเดชพระพุทธเจ้าท่านก็สั่งห้ามอยู่แล้ว เพราะว่าไม่อย่างนั้นศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้ เหตุที่ศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้เพราะว่า พระในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีพระอภิญญาหมวดเดียว ยังมีพระสุกขวิปัสโก พระวิชชาสาม เป็นต้น

    คนเราโดยธรรมชาติจะชอบบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อชอบลักษณะนั้น พอมีใครเล่นฤทธิ์เล่นอภิญญาให้ดูก็จะแห่ไป แล้วก็จะไปทำบุญอยู่ที่เดียว พระที่เหลือก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีคนอุปถัมภ์ แล้วศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ?

    พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้าม บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าห้ามทำไม พระทำได้น่าจะปล่อยให้ลุยไปเลย ถ้าขืนปล่อยให้ลุยไปเลยศาสนาไม่น่าจะอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2831



    .
     
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อนุโมทนา สาธุ... ธรรมดาของคน พอใครเหนือกว่าตนก็คิดว่าเขาเล่นกลหลอก
    อีกอย่างพระที่ท่านแสดงอุตริมนุสสธรรม"ที่มีในตน"แก่ผู้ไม่ได้อุปสมบท ท่านอาบัติเพียงปาจิตตีย์เท่านั้น เป็นอาบัติที่บางเบา พระอรหันต์บางรูปท่านก็ยังผิดได้เหมือนกัน
     
  3. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,163
    [​IMG]

    ประวัติหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง
    จากคำบอกเล่าต่างๆ นั้นทำให้ได้ทราบว่า หลวงพ่อยีเป็นชาวจังหวัดลพบุรี เมื่อเล็กๆ อายุได้ 8 ขวบ ได้อาศัยอยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ทราบชื่อแน่นอน แต่หลวงพ่อยีเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ได้ธุดงค์ออกป่าหลายแห่งจนอายุได้ 21 ปี หลวงพ่อยีจึงอุปสมบทเป็นพระธุดงค์ ออกเดินแบกกลดสะพายบาตรไปเรื่อยๆ พักตามป่าตามเขาทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ เคยเข้าไป ถึงพม่า เวียงจันทร์ มาลายู
    หลวงพ่อยี ท่านเล่าว่าท่านได้เดินธุดงค์หาความวิเวก จนจิตใจมองเห็น นรก สวรรค์ ยามที่ออกโปรดสัตว์ในตอนเช้า จะมีเทวดา นางฟ้า มาตักบาตรให้ตลอดเวลา ได้บวชเป็นพระถึง 28 พรรษา อายุประมาณ 50 ปี
    เมื่อเล็งเห็นว่า ตนเองยังมีกรรมอยู่ จำเป็นต้องสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาส หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปหลายๆ จังหวัด ใช้ชีวิต แบบฆราวาสเต็มที่ จนครั้งสุดท้ายได้มาหักร้างถางพง ณ บริเวณที่เป็นวัดดงตา ก้อนทองนี้ สมัยนั้นยังเป็นป่ารกชัฏอยู่มีที่ดินทั้งหมด 565 ไร่
    เคยประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สัก อยู่ยงคงกะพันชาตรีให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่พักหนึ่ง ต่อมาได้ออกบวชอีกเป็นครั้งที่ 2 หลวงพ่อยีได้ตกได้ตกลงใจยกที่ดินถวายเป็นของสงฆ์เสียส่วนหนึ่ง
    สิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดของวัดดงตาก้อนทอง คืออุโบสถ์ใช้เวลาในการสร้างเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น แต่ในการรวบรวมปัจจัยมาเป็นค่าวัสดุ และแรงงานใช้เวลานานพอสมควรทีเดียวงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 6-7 ล้านบาท การขนส่งวัสดุอุปกรณ์ต้องใช้ทางเกวียน เพราะสถานที่ในการก่อสร้างอยู่ห่างไกลมาก อย่างไรก็ตามด้วยบารมีของหลวงพ่อยี งานก่อสร้างอุโบสถก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ และยังเป็นถาวรวัตถุที่งดงามอยู่มาตราบจนถึงทุกวันนี้ ตัวโบสถ์กว้าง10 วา ยาว 20 วา สูง 12 วา ชั้นบทเป็นโบสถ์ใต้ถุนสูง ชั้นล่างใช้ทำกิจกรรมทางศาสนาแทนศาลาการเปรียญได้นับว่าเป็นโบสถ์อเนกประสงค์หลังหนึ่งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ภายในวัดนั้น มีปัญหาธรรมอยู่หน้าโบสถ์ คือ มีรูปปั้นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาใหญ่ 1 องค์ นั่งบังพระพุทธรูปขนาเล็กไว้ ปัญหาธรรมนี้ ผู้พบเห็นก็ขบคิดกันเอาเอง อีกด้านหนึ่งมีรูปปั้นคนขี่ช้าง ถัดมาด้านซ้ายมือเป็นป่ามะม่วงหนาทึบ มีพระพุทธรูปในอิริยาบถต่างๆ ตั้งอยู่เรียงรายเป็นระยะๆ มีรูปเคารพของศาสนาพราหมณ์อยู่หน้ากุฎิพระ มีโรงครัวขนาใหญ่โต แสดงถึงจำนวนญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดนี้ ซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต
    โยมผวน โตมา ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อยีใต้เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาเป็นโบสถ์หลังนี้ หลวงพ่อยีใต้ปัจจัยในกาสร้างโบสถ์มาจากการใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ช่วยให้ลูกศิษย์มีฐานะร่ำรวยขึ้นแล้วบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นก็นำเงินไปช่วยท่านในภายหลัง ท่านสามารถเสกกระดาษให้เป็นใบละร้อย เสกดินให้เป็นทองคำ เสกใบไม้ให้เป็นเงินหรือแม้บางครั้งก็เสกใบไม้เป็นกบนำมาทำอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อยก็เคยปรากฏแล้ว หรือเรื่องการบิณฑบาตข้าวทิพย์จากเทวดาก็ตามหลวงพ่อท่านเดินออกไปห่างจากครัวไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนทำสมาธิที่ต้นมะม่วงใหญ่ ไม่นานนักก็เดินกลับมาพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ เต็มบาตร ข้าวทิพย์นี้มีกลิ่นหอมมาก ทิ้งไว้ก็ไม่บูด แต่จะแห้งไปเองเหมือนข้าวตาก
    จากการที่ท่านสร้างอุโบสถ์นี้ทำให้ท่านต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ สถานที่พักของท่านก็คือที่โรงเรียนตะละภัฎศึกษา การแสดงฤทธิ์อภิญญาของท่านก็กระทำเป็นประจำจนถึงบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อถูพวกมิจฉาทิฎฐิ กล่าวหาว่าท่านหลอกลวง แต่ด้วยสัจจะบารมีของท่าน อิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ ที่ท่านแสดงให้ปรากฏก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่บุคคลสำคัญๆ ระดับประเทศในขณะนั้น เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา พันเอกปิ่น มุทุกันต์ อธิบดีกรมการศาสนาและนายประกอบ หุตะสิงห์ อธิบดีศาลอุทธรณ์ เป็นต้น
    หลวงพ่อยี ท่านสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตาว่า ท่านแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ได้จริงหรือไม่ จากคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมการศาสนา คือพันเอกปิ่น มุทุกันต์ ในขณะนั้นว่าหลวงพ่อยีใต้นำบาตรมาให้ตนดูและได้เป็นคนเช็ดบาตรด้วยตนเองหลวงพ่อยีอุ้มบาตรออกไปยืนที่นอกชานกุฎิห่างจากผู้สังเกตการณ์ไม่ถึง 10 เมตร ท่านยืนนิ่ง หันหน้าไปแต่ละทิศ แล้วเปิดฝาบาตร ทำนองรับบาตรจากผู้ใส่เหมือนกับที่เราใส่บาตรทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อยีก็เรียกอธิบดีกรมการศาสนาเข้าไปหา ท่านส่งบาตรให้ พอยื่นมือไปรับมารู้สึกว่าบาตรหนักอึ้ง เปิดฝาขึ้นดูปรากฏว่ามีข้าวสุกร้อนๆ เต็มบาตรมีกลิ่นหอมอบอวล เป็นข้าวชนิดมันปู ก้นบาตรมีลูกประคำทองอยู่ 2 ก้อน ขนาดใหญ่โตกว่าเม็ดข้าวโพด ซึ่งภายหลังเมื่อได้นำเข้ากรุงเทพฯ ให้ช่างทองบ้านหม้อดูก็เป็นทองคำบริสุทธิ์
    นอกจากจะพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว หลวงพ่อยียังเสกเหรียญเงินให้เป็นทองคำก็ได้ด้วย หลวงพ่อท่านแบ่งให้อธิบดีกรมการศาสนาครึ่งหนึ่งให้ประธานศาลฎีกาครึ่งหนึ่ง ให้ประธานศาลฎีกาครึ้งหนึ่ง ครั้นเมื่อนำไปพิสูจน์ที่ร้านทอง ก็ปรากฏว่าเป็นทองบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน
    ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงพ่อยี เช่น คุณสมหมาย-คุณณรงค์ศักดิ์ ตะละภัฎ คุณยรรยง ณ บางช้าง และลูกศิษย์อื่นๆ อีกมากมาย ก็สามารถที่จะยืนยันได้เป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อยีท่านมีอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ สูงส่งมากมายเพียงใด
    ในระยะที่ผู้คนฮือฮากันถึงเรื่องความมหัศจรรย์ที่หลวงพ่อยี ท่านได้กระทำขึ้นนั้น พระราชมุนี (โฮมโสภโณ) แห่งวัดปทุมวนาราม ก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งที่ต้องมาพิสูจน์ถึงความเท็จจริงนี้ให้เป็นประจักษ์หลวงพ่อถาวร ซึ่งในขณะนั้นเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุดของพระราชมุนีโฮมก็ได้ติดตามมาด้วย และภายหลังก็ได้มาที่วัดดงตาก้อนทองอีกหลายครั้ง เพื่อศึกษาเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์กับหลวงพ่อยี จนกระทั่งได้ประจักษ์แจ้งได้รู้ ได้เห็น เป็นที่ยอมรับว่า ทุกสิ่งเป็นจริงทุกประการ ไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลงสงสัยอีกเลย หลวงพ่อยี ท่านมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.2515 เก็บศพใส่โลงทองไว้ในกุฎิทางด้านจังหวัดพิจิตร ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้สั่งเสียไว้กับศิษย์ใกล้ชิด คือโยมผวน โตมา ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับวัดดงตาก้อนทอง นี้คือ ให้โยมผวนเป็นผู้ดูแลรักษาโบสถ์นี้ไว้อย่าไปอยู่ที่อื่น รอจนกว่าหลวงพ่อที่ 2 จะมารับช่วงต่อ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 สิงหาคม 2011
  4. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,163
  5. ศรัญญู

    ศรัญญู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +748
    ขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยนะครับสำหรับข้อมูลดีๆ

    อนุโมทนา สาธุๆครับ...^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  6. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    โมทนาสาธุ...ครับ
    เพิ่งจะเคยได้ทราบประวัติก็วันนี้แหละครับ ขอบคุณครับ
     
  7. ฐิตะ

    ฐิตะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +1
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2011
  8. kwanille

    kwanille เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +166
    ขอกราบโมทนาในธรรมทานด้วยนะคะ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. ทิพย์ปทุโม

    ทิพย์ปทุโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +2,471
    อภิญญาเป็นรางวัลแด่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามแนวของพระตถาคตเจ้า ใครขยันปฏิบัติจะได้อภิญญาเป็นรางวัล เอาไว้เป็นยานพาหนะ ส่งวิญญาณไปในที่สูง ๆ พระอาจารย์ ท่านว่าเช่นนั้น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...