ธรรมะเย็นใจ ในห้องภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 12 พฤษภาคม 2011.

  1. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สารคดีแบ่งปันรอยยิ้ม พระปริยัติธรรมนำทาง วัดบ่อเงินบ่อทอง

    อีกมุมหนึ่งที่ยังรอ รอยยิ้ม แบ่งปัน และกำลังใจจากท่าน
    ด้วยจิตอารมณ์แห่งความประเสริฐ พรหมวิหาร ๔

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=1rTnkt7aiYg"]‪แบ่งปันรอยยิ้ม พระปริยัติธรรมนำทาง‬‏ - YouTube[/ame]



    บุญ บารมีที่ยิ่งใหญ่อีกทางหนึ่งนั้นคือการได้สร้างคนให้สมบูรณ์ สร้างคนให้เป็นพระ อันจะเป็นการช่วยจรรโลง ช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาที่ถูกทาง อีกทางหนึ่ง และการให้ทานด้วยการสร้างคนนั้น ก็เป็นการสร้างทานบุญบารมีอีกทางหนึ่ง ที่มีค่ามากกว่าสร้างวัตถุสิ่งของใดๆ วัตถุสิ่งย่อมมีวันเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สร้างคนให้รู้จักธรรม มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ธรรมนั้นจะจับดวงจิตนั้นตลอดไป เมื่อจิตนั้นหลุดพ้น แต่บุญนี้ก็ยังแตกแขนงและสร้างบุญที่มีอานิสงส์ต่อไปเรื่อยๆไม่จบสิ้นใน วัฏจักรเหมือนที่เรากำลังสร้างอยู่ทุกวันนี้ ไม่สร้างคนให้รู้จักพระ จักธรรม แล้วใครจะมารู้จักพระ จักธรรม ก็เพียงแต่รู้อยู่เท่าผู้รู้เท่านั้น ไม่สร้างคนให้เห็นค่าของวัตถุ แล้วจะให้ใครมารู้จักคุณค่าของวัตถุ

    แต่จะขาดสิ่งหนึ่งใดนั้นก็คงไม่ได้ ต้องไปด้วยกันไม่ว่าจะสร้างบุญกุศล บุญบารมีด้วยทางใหนอย่างไรนั้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น จะไปตัดสินว่าผิดว่าถูกนั้นก็คงไมใช่ และขึ้นอยู่กับจริตและทุนเดิมของแต่ละจิตที่สั่งสมมา
    ธรรมที่ไม่ได้ถูกบันทึกก็มี ที่ถูกบันทึกในรูปของลายลักษณ์อักษรก็มี เห็นว่าทุกอย่างเป็นธรรมของพระพุทธเ้จ้า


    สิ่งของที่รับบริจาค สงเคราะห์พระภิกษุสามเณร
    1. ข้าวสาร อาหารแห้ง เช่น กะปิ น้ำปลาซอส เครื่อง แกงเครื่องปรุงแต่งรสอาหาร ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
    2. อุปกรณ์ การศึกษา เช่น สมุด ปากกา ดินสอ ยางลบไม้บรรทัด เป็นต้น

    3. หนังสือเรียน นักธรรม ตรี โท เอกและสายสามัญ


    * **โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสายสามัญศึกษา**
    สำนักสงฆ์ บ่อเงินบ่อทอง ต. หนองแหนอ.พนมสาร คาม จ.ฉะเชิงเทรา

    หรือสามารถร่วมทำบุญได้ที่
    หมายเลขบัญชี 203-0-06304-5
    ธ. กรุงไทย
    สาขา พนมสารคาม
    ชื่อบัญชี ร.ร. ปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง

    สามารถโทรติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่
    พระมหาแผน 081-940 8541,038135239

    (แค่ช่วยบอกต่อๆกันก็เป็นกุศลแล้ว)
     
  2. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ประเพณีทอดกฐิน

    หลังจากวันออกพรรษาเป็นเวลา ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ หรือจำง่ายๆ ว่า ตั้งแต่วันตักบาตรเทโวจนถึงวันลอยกระทง เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า "เทศกาลกฐิน" . . .

    ประเภทของกฐิน
    แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ๑. กฐินหลวง ๒. กฐินราษฎร์

    ๑. กฐินหลวง มีประวัติว่าเมื่อพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายมาประดิษฐานในประเทศไทย และประชาชนชาวไทยได้นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ การทอดกฐินก็ได้กลายเป็นประเพณีของบ้านเมืองมาโดยลำดับ และพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองบ้านเมืองก็ได้ทรงรับเรื่องกฐินเป็นพระราชพิธี อย่างหนึ่ง การที่พระเจ้าแผ่นดินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับกฐินเป็นพระราชพิธีดัง กล่าว เป็นเหตุให้เรียกกันว่า กฐินหลวง ดังนั้น วัดใดก็ตามไม่ว่าวัดหลวงหรือวัดราษฎร์ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไป ทรงถวายผ้าพระกฐินแล้ว ก็เรียกว่า กฐินหลวงทั้งสิ้น แต่สมัยต่อมากฐินหลวงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมือง เช่น ประชาชนมีศรัทธา เจริญรอยตามพระราชศรัทธาของพระเจ้าแผ่นดินและได้รับพระกรุณาให้ถวายผ้าพระกฐินตามควรแก่ฐานะ กฐินหลวงปัจจุบันจึงได้แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

    ๑.๑ กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์ เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายเป็นประจำ ณ วัดสำคัญๆ ปัจจุบันมี ๑๖ วัด เช่น วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นต้น

    ๑.๒ กฐินต้น หมายถึง กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดที่มิใช่วัดหลวงและมิได้เสด็จไปอย่างเป็นทางการหรืออย่างเป็นพระราชพิธี แต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์

    ๑.๓ กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระ ราชทานไปถวายยังวัดหลวง ที่นอกเหนือไปจากวัดสำคัญ ๑๖ วัดที่กำหนดไว้ เหตุที่มีกฐินพระราชทาน ก็เพราะปัจจุบันวัดหลวงมีจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ตลอดจนคณะบุคคลต่างๆ ที่สมควรขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายได้ ซึ่งกฐินดังกล่าวส่วนใหญ่ก็คือกฐินที่หน่วยงานราชการต่างๆ นำไปถวายนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ที่จะรับพระราชทานผ้ากฐินไปถวาย ณ วัดหลวงวัดใดต้องติดต่อไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
    ตามระเบียบเพื่อเป็นการจองไว้ก่อนด้วย

    ๒. กฐินราษฎร์ หมายถึง กฐินที่ราษฎรหรือประชาชนผู้มีศรัทธานำผ้ากฐินของตนไปถวายตามวัดต่างๆ ยกเว้นวัดหลวง ๑๖ วัดที่กล่าวไว้แล้ว ซึ่งจะมีชื่อเรียกต่างๆ ตามลักษณะของการทอด คือ

    ๒.๑ กฐินหรือมหากฐิน เป็น กฐินที่ราษฎรนำไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งที่ตนศรัทธาเป็นการเฉพาะ ผ้าที่เป็นองค์กฐินจะเป็นผืนเดียวหรือหลายผืนก็ได้ จะเย็บแล้วหรือไม่ก็ได้ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นผ้าสำเร็จรูปแล้ว และนิยมถวายของอื่นๆ ที่เรียกว่า บริวารกฐิน ไปพร้อมกับองค์กฐินด้วย เช่น เครื่องอุปโภค บริโภคของพระภิกษุสงฆ์ อย่างหมอน โอ่งน้ำ เตา ไม้กวาด จอบ เสียบ อาหาร ยาต่างๆ เป็นต้น

    ๒.๒ จุลกฐิน เป็นกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบเร่ง เดิมเรียกแบบไทยๆ ว่า กฐินแล่น เจ้าภาพที่จะทอดกฐินเช่นนี้ได้ต้องมีพวกและกำลังมาก เพราะต้องเริ่มตั้งแต่ปั่นฝ้ายเป็นด้าย ทอด้ายให้เป็นผ้า ตัดผ้าและเย็บผ้าเป็นจีวร ย้อมสี และต้องทอดภายในวันนั้น และพระสงฆ์ก็ต้องกรานและอนุโมทนาในวันนั้นๆ ด้วย เรียกว่าเป็นกฐินที่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียว

    ๒.๓ กฐินสามัคคี เป็นกฐินที่มีเจ้าภาพหลายคนร่วมกัน ไม่จำเป็นว่าใครบริจาคมากน้อย แต่มักตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการและมีหนังสือบอกบุญไปยังผู้อื่น เมื่อได้ปัจจัยมาเท่าไรก็จัดผ้าอันเป็นองค์กฐิน รวมทั้งบริวารไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งที่จองไว้ ซึ่งกฐินชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะนอกจากทำบุญกฐินแล้ว ยังนำปัจจัยที่เหลือไปช่วยทำนุบำรุงวัด เช่น ก่อสร้างศาสนสถาน บูรณะโบสถ์ เจดีย์ เป็นต้น

    ๒.๔ กฐินตกค้าง หรือ กฐินโจร กล่าวคือในท้องถิ่นทุรกันดาร อาจจะมีวัดตกค้างไม่มีใครไปทอด จึงมีผู้มีจิตศรัทธาเสาะหาวัดอย่างนี้ แล้วนำกฐินไปทอด ซึ่งมักจะเป็นวันใกล้สิ้นเทศกาลกฐินหรือวันสุดท้าย จึงเรียกว่า กฐินตกค้าง หรืออาจเรียกว่า กฐินโจร เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จู่ๆ ก็ไปทอด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าให้วัดรู้เพื่อเตรียมตัวคล้ายโจรบุก ซึ่งกฐินแบบนี้ต่างกับกฐินอื่นคือ ไม่มีการจองล่วงหน้า และจะทอดเฉพาะวัดที่ยังไม่มีใครทอด จะทอดหลายวัดก็ได้ และสามารถเอาของไทยธรรมที่เหลือจากวัดที่ไม่ได้ทอด (กรณีไปหลายวัด) ไปจัดเป็นผ้าป่า เรียกว่า "ผ้าป่าแถมกฐิน" ก็ได้

    -
    :ความหมายของกฐินที่เกี่ยวข้องกันดังนี้ :-
    -กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้ กรอบ ไม้แม่แบบสำหรับทำจีวร ซึ่งอาจเรียกว่าสะดึงก็ได้ เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปลักษณะตามที่กำหนดกระทำได้โดยยาก จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่ม หรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่าจีวรเป็นส่วนรวม ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง, ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่า สังฆาฏิ

    -กฐินที่เป็นชื่อของผ้า หมายถึงผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวาย นั้นจะเป็นผ้าใหม่ หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว และเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าที่มีผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้

    -กฐิน ที่เป็นชื่อของบุญกิริยา คือการทำบุญ คือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบไตรมาส เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐิน หรือที่เรียกว่า ทอดกฐิน คือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำว่าถวายในท่ามกลางสงฆ์ เรียกได้ว่าเป็น กาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ท่านจึงถือโอกาสทำได้ยาก

    -กฐิน ที่เป็นชื่อของสังฆกรรม คือกิจกรรมของสงฆ์ก็จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายก็จะได้เป็นโอกาสให้ ได้ช่วยกันทำจีวรของภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือน ทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก ไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน ๑๐ วัน แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้วอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บไว้ทำ เป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4


    -: ที่มาของประเพณีทอดกฐิน :-

    ใน สมัยพุทธกาล ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐจำนวน ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระศาสดา แต่ไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาฝนยังตกชุกอยู่ ภิกษุเหล่านั้นก็เดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความลำบาก ระยะนั้นมีฝนตกชุก หนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำ เป็นโคลนเป็นตม ต้องบุกต้องลุยมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถี พระศาสดาตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลให้ทรงทราบ จากนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตให้มีการถวายผ้ากฐินแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส โดยกำหนดระยะเวลา คือ นับจากวันออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นระยะเวลา 1 ดือน กฐิน จึงได้ชื่อว่าเป็น กาลทาน

    ในปีหนึ่ง แต่ละวัดสามารถรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว นอกจากนั้นแล้ว กฐินทานก็มีความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น ได้แก่

    1. จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือน การให้ทานอย่างอื่นไม่ได้
    2. จำกัดเวลา คือ ต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป
    3. จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
    4. จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่สงฆ์กำหนดไว้
    5. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
    6. จำกัดคราว คือ วัดๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
    7. เป็นพระบรมพุทธานุญาต
    การให้ทานอย่างอื่น ทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขา ทูลขออนุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้ พระองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระพุทธประสงค์โดยตรง

    อานิสงส์ของการทอดกฐิน
    <table><tbody><tr valign="top"><td>[​IMG]</td><td>
    </td> <td>



    </td></tr></tbody></table>
    อานิสงส์กฐินนี้ หลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเคยเทศน์ และ ก็เทศน์ตามบาลี ฉะนั้น การทำบุญ จะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่า ทุกอย่างเป็น อานิสงส์กฐิน พระสูตรตามที่ท่านกล่าวไว้ในบาลี พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใดตั้งใจทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี หรือ เป็นบริวารกฐินก็ดี (แต่ถ้าเป็นกฐินสามัคคี หมายความว่า ทุกคนจะเป็นเจ้าภาพเหมือนกันหมด) จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "โภ ปุริสะ ดูกรท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยตั้งใจทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า ถ้าหมดอายุขัยของเทวดา หรือนางฟ้า เมื่อจุติ (ตาย) แล้ว เมื่อบุญหย่อนลงมา จะเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ก็จะลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว บุญหย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี


    คำว่ามหาเศรษฐีนี่ หมายถึง การมีทรัพย์สินเงินทอง ตั้งแต่ ๘๐ โกฏิขึ้นไป (หรือ มากกว่า 800 ล้านขึ้นไป) เขาเรียกว่าเป็น มหาเศรษฐี แต่ถ้าตั้งแต่ ๔๐ โกฏิ ขึ้นไป ( หรือ มีทรัพย์ตั้งแต่ 400 ล้านขึ้นไป) เขาเรียก อนุเศรษฐี เมื่อเป็นมหาเศรษฐี แล้ว ต่อมาจะไปเกิดเป็นอนุเศรษฐี หลังจากนั้น ก็จะเป็นคหบดี ฯลฯ

    ก็รวมความว่า การตั้งใจทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นอกจากจะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้ว บุคคลที่ตั้งใจทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญานก็ย่อมได้ นั่นหมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพาน เป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้ ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบถึงอานิสงส์ และ มีความตั้งใจในการทอดกฐิน คนที่เคยตั้งใจทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่า ยากจนเข็ญใจจะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทในชาติต่อๆไปทุกชาติ

    โดยสรุป อานิสงส์จากการทำบุญทอดกฐิน ถ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์
    1. จะได้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีสัมมาทิฐิ มีเกียรติยศ มีชื่อเสียงที่ดีงาม
    2. จะเกิดมาโดยมีร่างกายที่ได้คุณลักษณะที่งดงามสมส่วน
    3. จะเกิดมามีผิวพรรณงดงาม จิตใจแจ่มใส ร่าเริงเบิกบาน
    4. จะเกิดมามีทรัพย์สมบัติมาก ไม่ลำบากในการแสวงหาทรัพย์
    5. เมื่อละโลกแล้ว อย่างน้อยได้ไปบังเกิดในสวรรค์



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2011
  3. พุชญา

    พุชญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +188
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ สำหรับธรรมทานที่มีค่ายิ่ง
    ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยค่ะ สาธุ
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]


    เชิญกราบไหว้สักการะบูชาหลวงปู่พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร

    ณ. ศาลาเรือนไทย
    วัดใหม่เทพพล
    บางพรม ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ


    สอบถามรายละเอียดได้ที่ พระยศดนัย อภิเสฎโฐ (พระเอ๋)
    วัดใหม่เทพพล บางพรม ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ (086-615-9285)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2011
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
  6. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร (พระเทพวิสุทธิมงคล)
    วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
    ท่านละสังขารด้วยอาการสงบ วันนี้ 16 สิงหาคม 2554
    เมื่อเวลา 05.34 น.
    สิริอายุ 94ปี 3เดือน 13วัน พรรษา65

    ขอน้อมแสดงความไว้อาลัย
    อย่างสุดซึ้ง



    [​IMG]


    น้อมกราบขอขมาองค์หลวงปู่ศรี มหาวีโร
    ขอส่งองค์หลวงปู่ศรี..สู่แดนนิพพาน

    กราบ3ครั้ง

    ตั้งนะโม3จบ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

    บทขอขมาพระรัตนตรัย

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป

    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป

    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
    การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา
    เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป

     
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ขออนุญาติประชาสัมพันธ์
    [​IMG]


    กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง
    ขอเชิญร่วมเดินทางกราบคารวะสรีระสังขารหลวงปู่ศรี มหาวีโร
    วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่ 20-21 สิงหาคม พ.ศ.2554


    กำหนดการ


    วันศุกร์ ที่ 19 สิงหาคม 2554

    เวลา 19.00 น. ลงทะเบียนที่ห้องกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง อาคารสวรรคโลก ชั้น 4 ห้อง 403

    เวลา 20.00 น. สวดมนต์ก่อนออกเดินทาง

    เวลา 20.30 น. ออกเดินทาง


    วัน เสาร์ ที่ 20 สิงหาคม 2554

    เวลา 06.00 น. ถึงวัดป่ามหาวีระสามัคคยาราม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม , นมัสการหลวงปู่สิงห์ สิริปุณโณ ( ศิษย์หลวงปู่ศรี มหาวีโร ) , ทำภารกิจส่วนตัว

    เวลา 07.00 น. ตักบาตรและรับประทานอาหารเช้าที่วัด

    เวลา 09.00 น. เดินทางไปวัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

    เวลา 09.30 น. ถึงวัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง) , กราบคารวะสรีระสังขารหลวงปู่ศรี มหาวีโร และ พระเจดีย์หินวัดป่ากุง

    เวลา 11.30 น. ออกเดินทางไปพระมหาเจดีย์ชัยมงคล อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด

    เวลา 13.30 น. ถึงพระมหาเจดีย์ชัยมงคล

    เวลา 15.30 น. เดินทางกลับมาวัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

    เวลา 17.30 น. ถึงวัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง ) ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร และ นมัสการพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มาร่วมในงาน

    เวลา 20.00 น. เดินทางไปวัดป่ามหาวีระสามัคคยาราม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม

    เวลา 20.30 น. ถึงวัดป่ามหาวีระสามัคคยาราม , ทำภารกิจส่วนตัว , พักผ่อนตามอัธยาศัย


    วันอาทิตย์ ที่ 21 สิงหาคม 2554

    เวลา 04.30 น. สวดมนต์ทำวัตรเช้า

    เวลา 07.00 น. ตักบาตรและรับประทานอาหารเช้าที่วัดป่ามหาวีระสามัคคยาราม

    เวลา 09.00 น. ออกเดินทางไปพระธาตุนาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

    เวลา 09.45 น. นมัสการพระธาตุนาดูน

    เวลา 10.45 น. ออกเดินทางไปวัดเกาะแก้วธุดงคสถาน (วัดระหาน) อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

    เวลา 11.45 น. ถึงวัดเกาะแก้วธุดงคสถาน (วัดระหาน) , นมัสการพระมหาธาตุเจดีย์ศรีบุรีรัมย์และกราบคารวะสรีระสังขารหลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ

    เวลา 12.30 น. ออกเดินทางไปวัดป่าเขาน้อย อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

    เวลา 13.15 น. ถึงวัดป่าเขาน้อย , นมัสการเจดีย์หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ

    เวลา 14.15 น. ออกเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

    เวลา 23.00 น. ถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยสวัสดิภาพ

    _________________________________

    รับจำนวน 60 คน ค่าเดินทาง 1,000 บาท ผู้สนใจติดต่อ คุณอภิภัสร์ โทร. 084-1232750

    ท่านสามารถชำระค่าเดินทางได้ 2 วิธีโดย

    1. มาชำระด้วยตนเองที่กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง อาคารสวรรคโลก ชั้น 4 ห้อง 403

    2. โอนทาง ATM มาที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประเภทออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 7442490109 ชื่อบัญชีนายอภิภัสร์ ปาสานะเก (เมื่อโอนแล้วกรุณาโทรมาแจ้งตามหมายเลขโทรศัพท์ด้านบน และเก็บหลักฐานการโอนมาแสดงในวันขึ้นรถ)

    หมายเหตุ : ท่านกรุณาชำระค่าเดินทางภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นถือว่าท่านสละสิทธิ์

    ที่มา: http://www.kammatanclub.com/index.php?mo=5&qid=748185 __________________
    "นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา"
     
  8. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    11/11/11
    11/11/12

    ไม่แน่ใจว่าเป็นวันใหนประมาณช่วงนี้ ไม่แน่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า อาจจะไม่มีความหมายอะไร ก็แค่ตัวเลขนะ

    ข้อความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล

    รู้สึกเป็นห่วงเรื่องน้ำเป็นอย่างมากประเทศไทย ถ้าเป็นไปได้ฝากถึงหน่วยงานทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเตรียมรับมือ เรืองน้ำ แต่คงไม่เฉพาะแต่ไทยทั่วโลกก็เจอเหมือนกัน ปีนี้มีเหตุการณ์ภัยพิบัติมากมายปรากฏขึ้น[FONT=arial, sans-serif]และสิ้นปีนี้จะแสดงให้เห็นหนัักขึ้น และจะยาวนานต่อเนื่องไปเป็นปีต้อง
    เตรียมตัวรับกับสถานการณ์
    [/FONT]ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพุทธะ มีพระโพธิสัตว์ที่ทรงปกครองด้วย ทศพิธราชธรรม ที่ไม่มีเหมือนที่อื่นใดในโลกเปรียบเหมือนได้ และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีผู้มีบุญบารมีมากมายมาสร้างบุญบารมี ที่คอยค้ำชูรักษา ก็เจอบ้างแต่ไม่หนักเหมือนต่างชาติ คือนอกศาสนา แต่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ไม่ อาจหนีพ้นได้ เพราะอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับความเกิดดับ พิจารณาถึงกฏไตรลักษณ์ และขึ้นอยู่กับกรรมของบุคคลและของส่วนรวมโดยส่วนใหญ่ ถ้ายอมรับในกฏของกรรม ก็ย่อมทำใจยอมรับ เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา และไม่กลัว ตื่นตระหนก แต่ตื่นตัวในการทำสิ่งดีๆทำความดี ใหักับตนเอง ครอบครัว สังคมส่วนรวมแล้วมาพิจารณาทุกอย่างให็เป็นธรรมะ เหตุการณ์ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวันจะดีหรือเลวร้ายยิ่งขึ้นไปก็ดี บัดนี้เรามัวทำอะไรอยู่ ทำเพื่อสนองกิเลสที่คอยปรุงแต่งอยู่ หรือทำเพื่อละ จะทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนทั้งทางโลกหรือทางธรรม หรือทั้งสองอย่าง

    ความเกิดเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นในเรื่องของความดับ ถ้ารู้แล้วยังไม่ทำให้ดับก็ยังไม่เป็นผู้หลุดพ้นจากความเกิด จากเครืืองพันธนาการ แต่จะวนเวียนด้วยเหตุผลใดก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปหาเป้าหมายเดียวกัน แต่ต่างทางเดิน ลำบากสาหัสแค่ใหน เจอภัยแค่ใหน
    จะเดินช้าเดินเร็วก็อยู่ที่กำลังใจ ถ้ามองทุกอย่างเป็นธรรมดา ใจก็จะธรรมดา ใจก็จะไม่ไปยึดติด
    เพราะการยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นนำมาซึ่งความทุกข์


    จะว่าไปแล้ว "น้ำที่ว่ามากเท่าใด ก็ไม่เท่าน้ำตาที่มาจากความทุกข์ในวัฏสงสาร

    ภัยใดๆที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่เท่าภัยในวัฏสงสาร"
    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง"



    ถ้าเป็นไปได้
    [FONT=arial, sans-serif]ให้ พยายามรักษาเนื้่อ รักษาตัว หมั่นทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือใช้ดนตรีบำบัด (เช่น เสียงธรรมะ เสียงพิณ เปิดในระหว่างวัน) เพื่อทำลายพลังที่ไม่ดี หรือพลังอัปมงคล เพราะเสียงหรือการทำสมาธินั้นจะทำให้พลังที่ไม่ดีเกิดสมดุล

    เพิ่มเติม
    [/FONT][FONT=arial, sans-serif]มีกัลยาณมิตรแนะนำมา [/FONT][FONT=arial, sans-serif]สำหรับท่านที่มีความศรัทธาจากหลวงปู่ดู่

    [/FONT][FONT=arial, sans-serif]ท่าน ใดมีเสียงของหลวงปู่ดู่ ให้นำมาเปิดให้ได้ทุกๆ วัน เพื่อเป็นการรับพลังโดยตรง ซึ่งหลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวว่าเสียงท่านอยู่ที่ไหน พลังท่านก็ไปถึงที่นั่น โดยบทที่ให้เปิดฟังมีดังนี้
    1. หลวงปู่ดู่ให้พร
    2. รีบศีล
    3. ครอบวิมานแก้ว
    4. บทแผ่เมตตาอุทิศกุศลใหญ่
    5. หลวงปู่ดู่นำถวายสังฆทาน

    ให้พยายามหาเวลาปฏิบัติดังนี้
    1. ภาวนา (จะสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมได้ทั้งนั้น)
    2. เดินวิชาฉัตร 9 ชั้น โดยให้เอามือสัมผัสแต่ละจุดเพื่อให้มีสติ ถ้าท่านใดสติดีแล้วจะไม่ใช้มือตามกำกับก็ได้ แต่ถ้าใช้มือแตะและสัมผัสไปตามจุดก็จะเหมือนเป็นการฝึกสติไปด้วยในตัว
    3. ท่านใดมีพระของหลวงปู่ดู่ให้นำมากำเวลาภาวนา หากไม่มีให้ใช้วิธีระลึกถึงท่าน หรือนึกถึงภาพท่านแทน
    หรือถ้าไม่มั่นใจอะไร วัตถุมงคลอะไรก็ได้ที่เคารพศรัทธาระลึกถึงให้เป็นอนุสสติ ก็ได้บุญแล้ว
    [/FONT][FONT=arial, sans-serif]
    [/FONT]


    (อย่าถือสาอะไรเลยและขออภัยถ้าข้อความดังกล่าวไม่มีสาระประโยชน์อะไร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2011
  9. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    [​IMG]
    [​IMG]

    สร้างพระอย่างพุทธะ

    หลวง ปู่ดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่อง หรือพระบูชาก็เพราะเห็นประโยชน์ เพราะบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ท่านเองมิได้จำกัดศิษย์อยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น คณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป ทั้งที่ใจในธรรมล้วนๆ หรือที่ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล" ทั้งนี้ท่านย่อมใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามความเหมาะสม ตามความเหมาะควรแก่ผู้ที่ไปหาท่าน

    พระ เครื่องและพระบูชาต่างๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกให้แล้วนั้น ปรากฎผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เช่น แคล้วคลาด เป็นต้น นั่นก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางโลก แต่ประโยชน์ที่ท่านผู้สร้างมุ่งหวังอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติกรรมฐาน เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติยังได้อาศัยพลังจิต ที่ท่านตั้งใจบรรจุไว้ในพระเครื่อง ช่วยน้อมนำและประคับประคองให้จิตรวมสงบได้เร็วขึ้น ตลอดถึงการใช้เป็นเครื่องสร้างเสริมกำลังใจ และระงับความหวาดวิตกขณะปฏิบัติอีกด้วย สิ่งนี้ถือเป็นประโยชน์ทางธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดพัฒนาการทางจิตของผู้ใช้ไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ เพราะการที่เราได้อาศัย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ และสังฆัง สรณัง คัจฉามิ คือได้ยึด ได้อาศัยเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะในเบื้องต้นก่อน

    เมื่อจิตของเราเกิดศรัทธา โดยเฉพาะอย่างที่เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธา คือ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขึ้นแล้ว เราก็ย่อมเกิดกำลังใจขึ้นว่า พระพุทธองค์ เดิมก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา ความผิดพลาดพระองค์ก็ทรงเคยทำมาก่อน แต่ก็ด้วยความเพียร ประกอบกับพระสติปัญญาที่ทรงอบรมมาดีแล้ว จึงสามารถก้าวข้ามสามโลกสู่ความหลุดพ้น เป็นการบุกเบิกทางที่เคยรกชัฏให้พวกเราได้เดินกัน ดังนั้น เราซึ่งเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพระองค์ ก็ย่อมที่จะฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ ด้วยตัวของเราเองได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำมา พูดอีกอย่างหน่งก็คือ กาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมกันได้ ใช่ว่าจะต้องปล่อยให้ไหลไปตามยถากรรม

    เมื่อจิตของเราเกิดศรัทธาดัง ที่กล่าวมานี้แล้ว ก็มีการน้อมนำเอาข้อธรรมคำสอนต่างๆ มาประพฤติ ปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกจากใจตน จิตใจของเราก็จะเลื่อนชั้นจากปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ขึ้นสู่กัลยาณชนและอริยชนเป็นลำดับ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ในที่สุด เราก็ย่อมเข้าถึงที่พึ่งคือ ตัวเราเอง อันเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะกาย วาจา ใจ ที่ผ่านขั้นตอนการฝึกฝนอบรมโดยการเจริญศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว ย่อมกลายเป็น กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต กระทำสิ่งใด พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ก็ย่อมหาโทษมิได้ ถึงเวลานั้น แม้พระเครื่องไม่มี ก็ไม่อาจทำให้เขาเกิดความหวั่นไหว หวาดกลัวขึ้นเลย....

    ที่มา : กายสิทธิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  10. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
  11. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2011
  12. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    (ต่อ)

    ตอน "เอาไงกันแน่"

    [​IMG]






    ตอน "พระสูบบุหรี่"

    [​IMG]



    ตอน "ดับไฟ"

    [​IMG]


    ตอน "ขอโทษ"

    [​IMG]


     
  13. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
  14. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    (ต่อ)

    ตอน
    หลวงพ่อ
    ?
    [​IMG]


    ตอน
    "ผีหลอก ! "

    [​IMG]




     
  15. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    ซึมซับๆคับท่าน ธรรมมะในนิทาน จงดูใจของเราให้ได้ก่อน ก่อนที่จะดูใจและเข้าใจคนอื่น
     
  16. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขออนุโมทนานะครับ
     
  17. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ช่วยกันแผ่บุญ แผ่ความดี อธิษฐานสิ่งดีๆ เพื่อช่วยกันรักษา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์..
     

แชร์หน้านี้

Loading...