ขอทราบความต่างของ พุทธ - พราหมณ์ ครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khaikung, 11 มิถุนายน 2011.

  1. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    ตามหัวข้อเลยครับ
    อยากทราบความเหมือน หรือความต่าง

    ทั้งคำสอน การปติบัติ

    และเทพที่นับถือ

    ขอบคุณนะครับ

    ป.ล.พราหมณ์พุทธนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2011
  2. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ถามก่อนว่า พราหมณ์ ของคุณนี้ใช่าฮินดูหรือป่าวครับ
     
  3. สิบหก

    สิบหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    680
    ค่าพลัง:
    +603
    ุ ์ ชัดเจนครับ ขออำไพมาทำให้ฮาครับ...........
     
  4. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    พุทธ จบ พระนิพพาน
    พราหมณ์ จบ อรูปพรหม
     
  5. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    พราหมณพุทธครับ แม่บอกให้ลองศึกษาเรื่องนี้ดู เค้าว่าองค์เราเป็นพราหมณพุทธนะครับ
     
  6. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    คิดว่ายังเข้าใจคาดเคลื่อน อย่าได้ปะปนกัน


    นิพพาน โมกษะ ไกวัลยะ
    พรหม (คติพุทธ) ไม่ใช่พรหมคติพราหมณ์ (Bharma)


    พรหมคติพุทธ มีทั้งรูปา (Rupa) และอรูปา (Arupa)

    พระพรหมพราหมณ์ มีสี่พระพักตร์
    พระพรหมไทย มีพระพักตร์เดียว

     
  7. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    การที่ในเมืองไทยมีพราหมณ์ปนพุทธนั้น ก็เนื่องด้วยศาสตร์บางอย่าง พระเรียนไม่ได้ หรือไม่นิยมเรียน แต่พราหมณ์ทำได้ หรืออาจสืบทอดกันเฉพาะคนในตระกูล เช่นวิชาที่จะนำไปใช้ฆ่าคน หรือใช้ในศึกสงคราม คาถาอาคม ไสยเวทย์ ตลอดจนการทำนายทายทัก ฉะนั้นในราชสำนักจึงต้องมีพราหมณ์ไว้ใช้ในราชกิจ พราหมณ์จึงมีบทบาทในประเทศไทย แต่ก็ไม่เกินพระสงฆ์
     
  8. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    ก็ยังไม่เข้าใจยุดีอ่ะครับ ขอลองยกตัวอย่างซักรูปสองรูปให้ดูหน่อยได้มั้ยครับ
     
  9. chaipad

    chaipad สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +11
    พราหมณ์สอนให้เชื่อแต่เพียงอย่างเดียว...ห้ามสงสัย...
    แบ่งชนชั้นวรรณะ...ออกมาเป็น 4 วรรณะ ทั้งๆที่มีจุดกำเนิดเหมือนกัน...ในด้านความเป็นมนุษย์...ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่เก่าแก่กว่าศาสนาพุทธ
    แต่ศาสนาพุทธมุ่งพระนิพพาน สอนให้รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองด้วยสติปัญญา...ก่อนที่จะเชื่ออะไรทั้งสิ้น...ให้ลองหาเหตุหาผลมาพิจารณาก่อนแล้วค่อยเชื่อ...เป็นศาสนาที่ปล่อยวาง ไม่ยึดติด แต่สำหรับศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่ยึดติดอยู่กับตัวตน เน้นสวดภาวนาอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า แล้วจะเจริญ...
    ลองใช้สติของท่านพิจารณาดูเอาเถิดว่าต่างกันเยี่ยงไร...
     
  10. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    สุดยอดครับ:cool:
     
  11. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    คิดว่าคุณยังเข้าใจผิด เพราะไม่เกี่ยวว่า มีพรหมกี่หน้าเลยนั้นคือสมมุติหยาบๆ

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย บอกว่า การเดินทางในแบบสาย พราหมณ์ อย่างดีได้แค่

    พรหม หรือ อรูปพรหม

    ดูอย่าง อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส หรือ อสิตะมหาดาบส

    ก็จบลงที่ อรูปพรหม ดังคำตรัสแห่ง พระพุทธเจ้า
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวนะ และไม่ได้ยืนยันว่าเราคิดถูกหรือคิดผิดนะ

    วิชาพราหมณ์ เป็นวิชาที่ใช้สำหรับหากินบนโลก เป็นวิชาสำหรับเอาตัวรอดบนโลก

    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นบนโลก ก็นับว่าเป็นวิชาที่บัณฑิตผู้รู้แสวงหาฝึกฝนเอาไว้ช่วยตัวเองและคนอื่น

    แต่พอมีพระพุทธอุบัติขึ้นบนโลก บัณฑิตผู้รู้ก็ใฝ่ศีกษาแต่วิชาพุทธะ เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง

    วิชาพราหมณ์ นั้นมีเสื่อมมีเจริญ ผู้ที่แสวงหาความจริงความถูกต้องและเป็นทางเจริญ เขาไม่สนใจกันแล้ว

    และวิชาพราหมณ์ บางอย่างมีหลงทางผิดอีกด้วย มีการบูชายัณสัตว์มีชีวิต มีเรื่องเวทย์มนต์

    ซึ่งวิชาบางอย่างมันเหมือนดาบสองคม ใช้ดีก็ดีไป ใช้ผิดทางก็พาล่มจมได้เหมือนกัน

    ลองไปฟังนิทานชาดกเรื่องเล่าในอรรถคาถา เป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธเจ้าหรือของบุคคลอื่นๆ

    มีเรื่องพราหมณ์ให้ศึกษาเยอะ เป็นอุทาหรณ์สอนใจเราได้ อย่างเรื่องนี้

    นิทานชาดก : แพะรับบาป
    [​IMG]
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมตกภัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี สมัยพระเจ้าพรหมทัต มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง คิดจะทำมตกภัต (อุทิศคนตาย) จึงให้ลูกศิษย์จับแพะตัวหนึ่งไปอาบน้ำและประดับดอกไม้ แพะพอถูกลูกศิษย์จูงไปที่ท่าน้ำ ก็ทราบถึงวาระสุดท้ายชีวิตของตนมาถึงแล้วอันเนื่องจากกรรมเก่า จึงเกิดความโสมนัส ได้หัวเราะออกมาเสียงดัง และคิดเวทนาสงสารพราหมณ์ที่จะได้รับความทุกข์โศก จึงร้องไห้ออกมา แพะแสดงอาการเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ออกมา ทำให้พวกลูกศิษย์แปลกใจ เมื่อนำแพะกลับมาถึงสำนักแล้ว จึงบอกเรื่องนี้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงถามแพะถึงอาการนั้น
    แพะจึงบอกพราหมณ์ว่า ” อดีตชาติเคยเป็นพราหมณ์เหมือนกัน เพราะได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งทำมตกภัต จึงเป็นเหตุให้ถูกฆ่าตัดศีรษะถึง ๔๙๙ ชาติ นี่เป็นชาติที่ ๕๐๐ พอดี จึงหัวเราะดีใจที่จะสิ้นกรรมในวันนี้ และร้องไห้ เพราะสงสารท่านที่จะเป็นเช่นกับเรา ”
    พราหมณ์ ได้ฟังแล้วเกิดความสลดใจ จึงยกเลิกไม่ฆ่าแพะ และสั่งให้ลูกศิษย์ทำการอารักขาแพะเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้แพะเกิดอันตราย แพะจึงบอกพราหมณ์ว่า ” การอารักขาของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปกรรมของเรามีกำลังมาก อะไรก็ห้ามไม่ได้ ”
    แพะพอเขาปล่อย ก็ชะเง้อคอจะกินใบไม้ใกล้แผ่นหินแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ฟ้าได้ผ่าลงที่แผ่นหิน สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งได้ปลิวไปตัดคอแพะที่กำลังชะเง้อคออยู่พอดี แพะล้มลงสิ้นใจตายทันที
    รุกขเทวดาที่อยู่ในที่นั้น ได้กล่าวสอนว่า ” มนุษย์ผู้กลัวตกนรก พึงพากันงดจากปาณาติบาต ตั้งอยู่ในเบญจศีลเถิด ” และกล่าวเป็นคาถาว่า
    ” ถ้าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติภพนี้เป็นทุกข์
    สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศก ”

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    เกิดเป็นคนไม่พึงทำกรรมชั่วด้วยการฆ่าสัตว์ด้วยกัน มิเช่นนั้นจะได้รับความทุกข์เช่นแพะรับบาปนี้
    http://นิทานชาดก.whitemedia.org/page/12/

    นิทานชาดก : อาจารย์ขมังเวทย์
    [​IMG]
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสีมีพราหมณ์ผู้รู้มนต์คนหนึ่งชื่อเวทัพพะ สามารถร่ายมนต์เรียกฝนเงินฝนทองให้ตกลงมาได้ พราหมณ์มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง วันหนึ่งอาจารย์และลูกศิษย์ได้เดินทางไปทำธุระที่แคว้นเจตี พอไปถึงป่าในระหว่างทางถูกโจรจับเรียกค่าไถ่ ทำเนียมของโจรพวกนี้คือเมื่อจับผู้คนได้แล้ว ถ้าเป็นแม่กับลูกสาวจะปล่อยแม่ไป ถ้าเป็นพี่กับน้องจะปล่อยพี่ไป ถ้าเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ จะปล่อยลูกศิษย์ไป
    ลูกศิษย์ก่อนแต่จะออกเดินทางไป ได้กระซิบเตือนอาจารย์ว่า ” อาจารย์ครับ ผมจะไปสักสองสามวันเท่านั้น อาจารย์อย่าได้หวั่นไปเลย และวันนี้จะมีฤกษ์ดี ท่านอย่าได้ไร้ความอดทน ร่ายมนต์ให้ฝนเงินฝนทองตกลงมาเป็นอันขาด เพราะพวกโจรจักฆ่าท่านเสีย ”
    ฝ่ายพวกโจร พออาทิตย์ตกดินก็จับมัดพราหมณ์ให้นอนอยู่ ขณะนั้น พระจันทร์เต็มดวงก็โผล่ขึ้น พราหมณ์ เห็นเช่นนั้นก็คิดได้ว่า ” ฤกษ์ที่จะทำให้ฝนเงินฝนทองตกลงมามีแล้ว เราจะมานอนทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ทำไม ร่ายมนต์เรียกฝนเงินฝนทองตกลงมามอบทรัพย์ให้โจรแล้ว ให้พวกมันปล่อยเราไปจะดีกว่า ” จึงเรียกโจรมาบอกให้ปล่อยตนแล้ว นั่งประกอบพิธีร่ายมนต์แหงนดูดาวเรียกฝนเงินฝนทองให้ตกลงมา
    พวกโจรพากันเก็บรวบรวมทรัพย์ใส่ห่อผ้าแบกหนีไป ฝ่ายพราหมณ์ก็เดินตามไปข้างหลัง ขณะนั้น ได้มีโจรอีกกลุ่มหนึ่งพากันจับโจรพวกที่หนึ่งไว้ โจรกลุ่มที่หนึ่งจึงบอกให้จับพราหมณ์ที่เดินตามหลังมา เพราะทรัพย์นี้พราหมณ์เป็นผู้เรียกมาให้ จะเอามากเท่าใดก็ได้
    พวกโจรกลุ่มนั้นจึงปล่อยโจรกลุ่มที่หนึ่งไป จับพราหมณ์แล้วบังคับให้เรียกฝนเงินฝนทองตกลงมาให้ พอได้ยินพราหมณ์ตอบว่าไม่สามารถเรียกฝนเงินฝนทองได้อีก ปีหนึ่งสามารถเรียกได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องรอจนถึงปีหน้า ด้วยความโกรธหัวหน้าโจรจึงฟันพราหมณ์ตายคาที่ แล้วรีบติดตามโจรกลุ่มที่หนึ่งไป ทำการชิงทรัพย์และฆ่าโจรกลุ่มที่หนึ่งตายหมดสิ้น ในระหว่างที่เก็บรวบรวมทรัพย์อยู่นั้นพวกโจรเกิดแตกคอกันเรื่องการแบ่งทรัพย์ จึงเกิดการต่อสู่กันเองจนในที่สุดเหลือโจรเพียง ๒ คนเท่านั้น
    โจรทั้ง ๒ คน ได้นำเอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ในป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ด้วยความหิวจึงให้โจรคนหนึ่งนั่งเฝ้าทรัพย์ไว้ อีกคนเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้าน
    ” ธรรมดาความโลภเป็นต้นเหตุแห่งความพินาศ ”
    โจรที่นั่งเฝ้าทรัพย์ก็คิดด้วยความโลภว่า ” ถ้ามีมัน ก็ต้องแบ่งทรัพย์เป็นสองส่วน พอมันมาถึง เราจะฆ่ามันด้วยการฟันครั้งเดียว ”
    ฝ่ายโจรอีกคนก็คิดเช่นเดียวกัน พอได้อาหารแล้วก็รีบกินเสียก่อน ส่วนที่เหลือก็ใส่ยาพิษไว้ ถือเดินไปหาโจรที่เฝ้าทรัพย์ พอก้มลงวางอาหารเท่านั้นก็ถูกฟันตายคาที่ โจรนั้นได้นำศพเพื่อนไปทิ้งแล้วกลับมากินอาหาร ตนเองก็เสียชีวิตในที่นั้นนั่นเอง คนทั้งหมดได้ถึงความพินาศเพราะอาศัยทรัพย์นั้นด้วยประการฉะนี้
    สองสามวันต่อมา ลูกศิษย์ได้ถือเอาทรัพย์กลับมาแล้วไม่พบอาจารย์ในที่นั้น เห็นแต่ทรัพย์กระจัดกระจายอยู่ จึงทราบเหตุการณ์ เดินผ่านไปเห็นอาจารย์นอนตายอยู่ และซากศพโจรอีกจำนวนหนึ่ง จึงกล่าวเป็นคาถาว่า
    ” ผู้ใด ปรารถนาประโยชน์ โดยอุบายอันไม่แยบยล ผู้นั้น ย่อมเดือดร้อน
    เหมือนโจรชาวแคว้นเจตะ ฆ่าพราหมณ์เวทัพพะเสียแล้ว ก็พลอยถึงความ
    พินาศทั้งหมด ”

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    ความโลภเป็นหนทางแห่งความฉิบหาย

    http://นิทานชาดก.whitemedia.org/page/13/

    วิชาทางโลกมีแล้วได้แล้วเป็นแล้ว ถ้าขาดสติมีแต่พาหลงยึด หลงตัวเองก็มี ทำให้เกยตื้นได้ง่าย ถ้าสติปัญญาไม่มีก็ช่วยตัวเองไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2011
  13. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    อ่า จากที่ทราบมา ผู้ที่แต่งชุดขาว ที่ทำพิธีในวัง เช่น พิธีแรกนาขวัญ
    ใช่พราหมณ์ใช่มั้ยครับ

    แล้วทำไม พิธีสำคัญอย่างนี้ เค้าจึงไม่ใช้พระสงค์ละครับ
     
  14. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    เมื่อก่อนเป็นพิธีกรรมความเชื่อทางสังคมครับ โดยความเชื่อดั้งเดิมของประวัติศาสตร์ไทยนั้นนับถือผี จนกระทั่งได้มีศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงค์เข้ามาเผยแผ่
    ในประเทศไทย ต่อมาพิธีแลกนาขวัญก็ได้มีส่วนของสงฆ์เข้ามามีบทบาทเช่นกันครับ

    ฉนั้นประเทศไทยตามประวัติศาสตร์แล้วมีความเป็นมาอย่างละเอียดครับ
    หากได้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์จะได้อ่านรายละเอียดตลอดจนการแยกแยะระหว่าง พิธีกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ครับ
    ถึงตรงนั้นเราจะสามารถแยกแยะได้ว่า นี่ นั่น โน่น จัดอยู่ในหมวดใด
    เมื่อเราจัดหมวดหมู่และแยกแยะได้แล้ว เราก็จะเข้าใจว่า แท้จริงแล้วศาสนาพุทธสอนอะไร พระพุทธองค์จะบอกอะไรกับมวลมนุษย์ เราก็จะแล้วใจว่าอันไหนคือวิถีพุทธอันไหนคือวิถีอื่นๆ..ครับ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บางอย่างไม่ใช่กิจของพระสงฆ์ เรื่องของคนทางโลก ประเพณีทางโลก

    แล้วก็ต้องดูที่เจตนาด้วย พราหมณ์ก็พราหมณ์ พุทธก็พุทธ

    มีเป้าหมายการดำเนินคนละทางอยู่แล้ว อยากจะศึกษาทั้งสองทางก็ทำได้

    แต่ควรรู้ให้จริงให้ถูกต้องทั้งสองทาง ถ้ามีปัญญาก็รู้จริงรู้ถูกได้เอง

    ถ้าขาดปัญญา จะพราหม์จะพุทธ ก็หลงเข้าป่าได้หมดแหละนะ

    เรื่องกิเลสตัณหาไม่เข้าใครออกใคร คำสอนที่สอนให้รู้จักกิเลสคือพุทธ

    คำสอนที่สอนให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้จักทำทานรักษาศีลคือพุทธ ส่วนคำสอนที่สอนให้

    นับถืออัตตาพระพุทธเจ้า เทพเจ้าต่างๆ อันนี้เราไม่แน่ใจว่าเป็นคำสอนพุทธหรือเปล่า

    เพราะเราได้ยินแต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้นับถือเอาพระธรรมเป็นตัวแทนของท่าน

    ยังไงก็ดูคำสอน ดูพระธรรมคำสอนในตำราที่ยึดถือก็แล้วกัน ว่าสอนไปทางไหน

    คำสอนพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีลิขสิทธิ์อยู่แล้ว อยู่ที่ใครได้ไปแล้วจะเข้าใจคำสอนที่เป็นแก่นได้ถูกไหม

    แต่ส่วนใหญ่ก็ตีความเข้าข้างตัวเองหมด อะนะ ใครเข้าใจถูกก็ไปถูก

    ใครยึดผิด ก็เดินทางผิดๆ ไป อะ

    เรื่องของพราหมณ์ เราเห็นเป็นเพียงวิชาเลี้ยงชีพในโลก เท่านั้น

    ไม่เหมือนพระสงฆ์ หรือแม้แต่ฤาษี ซึ่งถือเป็นเพศนักบวช ต้องสละเรือน สละโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2011
  16. ไร้คตินิยม

    ไร้คตินิยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +8
    หากยังไม่เข้าใจทั้งสองคติโดยแท้จริง
    ก็อย่าได้เปรียบเทียบให้คติอื่นดูด้อยค่าเลย
    สู้รู้ตนเองจะดีกว่า คงเพราะอย่างนี้กระมั่ง
    ที่ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียต้องค่อยๆ เลื่อนหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2011
  17. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่โพส ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้โพสกระทู้ ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  18. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +130
    สาธุ คุณk.kwan วิชาทางโลกดาบ2คมจริงๆ
     
  19. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนเหมือนกันก็คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ผู้ใดทำได้ก็เดินตามรอยพระพุทธองค์ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจกฏใหญ่ สนใจแต่กฏเล็ก จึงหลงทางกันครับ
     
  20. kountee

    kountee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +166
    สุดท้ายโดยสรุป "หลุดพ้น" <<เหมือนกันโป๋เช๋
     

แชร์หน้านี้

Loading...