ข้อความจากต่างมิติ - ทำไมช่วงนี้จึงเกิดแผ่นดินไหวบ่อยๆ ข้อความจากมหาเทพ Metatron

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 3 เมษายน 2011.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ประเด็นต่อมา..
    เดี๋ยวผมจะเจาะลงตรงที่คำถามในใจของหลายคนเลยนะครับ

    ที่ว่า..ถ้าข้อความจากต่างมิติเหล่านี้ มันไม่จริงหละ?

    ถ้าพวกเขามาหลอกใหเราหลงเชื่อ หลงมีความหวังหละ?

    ถ้าพวกเขาคือมารร้าย ที่มาหลอกล่อให้เราพลัดหลง
    ไปไกลจากทางพระนิพพนานของเราหละ?

    อะไรจะเกิดขึ้น?



    ประเด็นนี้ผมเคยแชร์ไอเดียเอาไว้แล้วในกระทู้ก่อนๆบางกระทู้
    เดี๋ยวให้ผมค้นหาเจอก่อนเดี๋ยวผมจะนำมาโพสต์อีกครั้งหนึ่ง
    ในโพสต์ถัดไปนะครับ

    .............................................................
     
  2. SUEDE

    SUEDE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +59
    ...ผมว่าได้อ่านที่คุณ Chayutt เขียนนี่ตรงประเด็นและชัดเจนที่สุดเลยครับในตอนนี้ เป็นข้อความที่ผมตรงใจผมที่สุดเหมือนว่าผมได้คำตอบแล้ว จากสิ่งที่ติดค้างคาใจผมอยู่ในตอนนี้ ขอบคุณมากครับ
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เจอแล้วครับ..อยู่นี่เอง..

    ..................................................................
    http://palungjit.org/threads/2012-%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99-ascension-%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-5-a.217055/page-7
    .......................................................


    ...ที่ผมบอกว่า "อ่านแล้ว อยากให้คนอื่นๆได้อ่านด้วยมากๆเลย"
    ก็เพราะว่า มันจะก่อให้เกิดกระแสความคิด และความหวัง ในด้านบวกขึ้น
    มันจะก่อให้เกิดกำลังใจ และมุมมองชีวิตที่เข้าใจอะไรๆกว้างขึ้น
    ไม่โทษฟ้าโทษดิน ไม่โทษชะตากรรม ไม่พึ่งพาหมอดู
    ไม่ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัว และวิตกกังวล

    และด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีความคิดดังกล่าวนี้ "กฎแห่งการดึงดูด"
    ก็จะทำงานของมันไปอย่างซื่อสัตย์ คือนำแต่สิ่งดีๆมาให้เรา

    ซึ่งตรงข้ามกับการไปจดจ่อหรือหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องร้ายๆ
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กลัววันโลกแตกเอย กลัวมนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลกเอย
    กลัวมารมาหลอกล่อเอย ฯลฯ

    นั่นมันจะได้ประโยชน์อะไรจากการไปนั่งกลัวสิ่งเหล่านั้น ผมยังนึกไม่ออกเลย
    กลัวแล้วคุณป้องกันหรือแก้ไขอะไรได้ไหม๊ ถ้าทำได้ ใยจะต้องมานั่งกลัวอยู่หละ
    แต่ถ้าทำไม่ได้ เช่น กลัวมนุษย์ต่างดาวมายึดครองโลก หรือกลัวโลกแตก
    ซึ่งถ้าเขาจะมายึดโลกจริง หรือถ้าโลกจะแตกจริง คุณจะทำอะไรได้??

    คุณจะเอาอะไรไปสู้รบปรบมือกับเขา?

    เพราะเมื่อเขาเดินทางข้ามมิติ ข้ามกาลเวลา ข้ามจักรวาลมาได้ขนาดนี้
    คุณจะเอาสติปัญญาอะไรไปขัดขวางพวกเขา?
    และถ้าเขาจะมายึดครองโลกจริงๆ ทำไมเขาไม่ทำซะเลยหละ? เขารออะไรอยู่?

    ผมเคยอ่านในบางกระทู้ในห้องนี้แหละ เห็นมีคนบอกว่า ที่มนุษย์ต่างดาว
    ยังไม่มายึดครองโลกนั้น เพราะอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง

    ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับว่า เหตุผลที่ว่านั้นมันคืออะไร
    เพราะเท่าที่ผมอ่าน ผมแปล ข้อความเหล่านี้มาร่วม 2 ปีแล้วนี่
    จนบัดนี้เรียกได้ว่า กระจ่างชัดในเจตนารมณ์ของ
    รูปธรรมชีวิตต่างมิติพอสมควรแล้ว
    ว่าเขา (ฝ่ายดีนะ ไม่รวมฝ่ายร้าย) ไม่ได้มาร้ายแน่นอน
    เพราะถ้ามาร้าย เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องรอให้ถึงวันไหน หรือถึงปีไหนก่อน

    อันนี้มีข้อความมากมายที่อธิบายตรงนี้ไว้เหมือนกัน แต่ผมแค่อ่านคนเดียวหนะนะครับ
    ไม่ได้แปลและโพสต์ให้อ่านด้วย เพราะทำไม่ทันจริงๆครับ

    ส่วนกรณีกลัวโลกแตกก็เช่นเดียวกันครับ
    คุณจะเอาสติปัญญาอะไรไปขัดขวางไม่ให้โลกแตก
    หรือว่าคุณจะไปฝากความหวังไว้กับนาซ่าของ USA
    ว่าพวกเขาอาจจะพอมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขได้บ้าง เหมือนอย่างที่เราเห็นกันในหนัง
    (อันนี้ผมเคยอ่านผ่านๆเจอที่ไหนซักแห่ง ว่าเขาขอฝากความหวังไว้กับ NASA หนะนะครับ)

    แต่บางคนอาจจะคิดว่า กลัวไว้ก่อนแหละดี จะได้ไม่ประมาท
    จะได้รีบทำบุญไว้เยอะๆ ทำความดีไว้เยอะๆ

    ผมก็เห็นด้วย และก็เคยคิดแบบนั้นแหละครับ เมื่อประมาณหลายปีก่อน
    ก็เลยทำบุญใหญ่เลย หวังว่าผลบุญจะช่วยให้ไม่ตกนรก เมื่อตายไปแล้ว
    ทำบุญเสร็จแล้วก็อธิษฐานใหญ่เลย ขอให้ได้นั่นได้นี่ เป็นนั่นเป็นนี่

    แล้วก็ เวลาจะทำบุญอะไร กับใคร ที่ไหน ด้วยความที่มีทรัพย์จำกัด
    ก็เลยต้องเลือก และคำนวณตามหลักวิชาการเกี่ยวกับการทำบุญมาเป็นอย่างดีก่อนว่า
    บุญไหนจะได้บุญมากที่สุด เช่น ทำบุญกับพระอริยเจ้าจะได้บุญมากกว่าทำกับคนธรรมดา
    ทำบุญวิหารทาน จะได้มากกว่าการทำทานด้วยวัตถุทาน
    และการภาวนา ก็จะได้บุญมากกว่าถือศีล และมากกว่าทำทาน ตามลำดับ เป็นต้น

    ก็ดีครับ ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ลึกๆในใจแล้ว ทุกกิจกรรมดีๆที่ผมทำเหล่านี้
    มันก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกหวาดกลัว และความอยากได้บุญอยู่
    ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความอยากทำ เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นจริงๆ

    อันนี้เฉพาะส่วนตัวผมนะครับ ไม่ได้หมายถึงคนอื่นๆด้วย ว่าต้องเป็นแบบนี้เหมือนกัน



    ..........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอต่ออีกนิดเถอะนะครับ ไหนๆก็ได้สาธยายมาเยอะแล้ว

    ประเด็นเรื่องการคิดและจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ดีๆนั้น
    ศาสนาพุทธเราเองก็สอนนะครับ ไม่ใช่ไม่สอน
    หรือไม่ใช่มีแต่หนังสือ The Secrete เท่านั้นที่กล่าวไว้

    รูปธรรมชีวิตต่างมิติกล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยมาก และบอกให้เราจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ดีเสมอ
    รวมถึงบอกให้เราเชื่อมั่น และศรัทธาในตนเองและผู้อื่น
    บอกให้เรามั่นใจว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
    เพราะทุกอย่าง เน้นนะครับว่า ทุกอย่าง เกิดจากพลังงานความคิดทั้งหมด

    และ
    รูปธรรมชีวิตต่างมิติก็สอนให้เรามองเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง
    มองเห็นความไม่แบ่งแยกว่าเป็นเรา ว่าเป็นเขา ซึ่งอันนี้ก็ตรงกับพุทธเราเหมือนกัน

    โดยลึกๆส่วนตัวผมแล้ว ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอด นานหลายปีแล้วก่อนหน้านี้
    ว่า "อะไรคือความจริงกันแน่"

    ความจริงที่ผมเฝ้าถามหาอยู่นี้ ก็เกี่ยวกับ คำสอนในศาสนาต่าง ทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ
    คำสอนหรือคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ในสายปฏิบัติหรือในสำนักต่างๆ หลักปรัชญาต่างๆ และ ฯลฯ

    เพราะว่าทุกๆประเด็นที่กล่าวมานี้ แทบจะไม่มีประเด็นไหนเลยที่ทุกๆคนบนโลกนี้
    กล่าวตรงกันหมดทั้ง 100% แม้แต่เรื่องทางการแพทย์เองก็ตาม
    ทั้งๆที่มันเกี่ยวกับของสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ไหงถึงมีคนพูดถึงมันต่างกันได้หละ

    ตอนนั้นผมมักคิดว่า เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ใครก็ใครหละ ต้องเป็นคนพูดผิดซักคนแน่ๆหละ
    เช่น ถ้าพุทธสอนถูก ก็แสดงว่าคริสต์สอนผิด เป็นต้น
    มันจะออกมาในแนวๆที่ว่า ทุกอย่างมันจะต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง แบบขาวกับดำแบบนั้น

    แต่ทุกวันนี้ ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้วครับ เพราะผมจะมองว่า ทุกคนมีส่วนถูกหมด
    แต่ทุกคนก็มีส่วนผิดหมดด้วยในขณะเดียวกัน

    มันคล้ายๆกับ concept ที่ว่ามันไม่มี absolute zero
    หรือความเป็นศูนย์ที่จริงแท้ในทางคณิตศาสตร์หรอก
    เพราะว่าถ้าขยายทศนิยมออกไปเรื่อยๆ มันก็อาจจะมีค่าอะไรอยู่ในนั้นก็ได้
    และในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มี absolute perfection ในโลกแห่งมิติที่ 3
    หรือโลกแห่งมายาการนี้ด้วย

    ตราบใดที่ใครก็ตาม ศาสนาไหนก็ตาม สำนักไหนก็ตาม กระทรวง ทบวง กรมไหนก็ตาม
    ที่ยังพูดหรือสอนอยู่บนพื้นฐานของความรู้ในมิติที่ 3 อยู่
    ความจริงที่ได้มา ก็จะเป็นเพียงความจริงเสมือน หรือความจริงสัมพัทธ์เท่านั้น
    มันจะยังไม่เป็นความจริงที่จริงแท้ หรือ Absolute truth อยู่ดี

    เพราะว่า อย่างที่เราท่านทั้งหลายทราบกันดีแล้วว่า โลกทั้งโลกที่เรากำลังอยู่กันเนี่ย
    มันเป็นเพียงภาพฉายของโลกทางมิติของพลังงานเท่านั้น
    มันเป็นมายาการของมิติทางพลังงาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า
    หรือว่ามันเป็นแค่สภาวะจิตหนึ่งของเราเท่านั้นเอง

    เพราะทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้
    มันก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ซะเมื่อไหร่หละ อย่างเช่นที่นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกยุคใหม่
    ซึ่งพวกเขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวกับควอนตัม
    และเป็นผู้ปฏิบัติจิตด้วยนี่ พวกเขาต่างงงงวยกับพฤติกรรมของควอนตัม
    และพากันหาคำตอบกันใหญ่เลย และยิ่งได้คำตอบมากขึ้นเท่าไหร่
    พวกเขาก็มีแนวโน้มปล่อยวาง และไม่เชื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 มากขึ้นเท่านั้น

    จนพวกเขาหลายๆคน หันมาปฏิบัติจิต หันมาเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
    หันมาศึกษาเรื่องปรจิตวิทยา จนหลายๆคนกลายเป็นนักปรจิตวิทยาไปด้วยในตัว

    เพราะว่าในโลกของควอนตัม มันไม่มีพฤติกรรมอะไรที่จะสามารถคาดเดาได้
    อย่างเที่ยงตรง แม่นยำ เหมือนกับสิ่งที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวันเลย

    พวเขาเคยทดลองตรวจจับคลื่นความถี่และคุณลักษณะบางอย่างของคลื่นสมองของ มนุษย์
    โดยการให้ผู้ถูกทดสอบ มองไปที่วัตถุชิ้นหนึ่ง แล้วก็ตรวจวัดคลื่นสมอง
    จากนั้น ก็ให้ผู้ทดลองหลับตา แต่จินตนาการถึงวัตถุชิ้นนั้น ว่ามันยังอยู่ที่เดิม และเหมือนเดิม
    ก็ปรากฎว่า คลื่นสมองที่วัดออกมาได้ทั้ง 2 เงื่อนไขนี้ ไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย

    จนพวกเขาพากันสงสัยว่า แล้วไอ้เจ้าสิ่งต่างๆที่พวกเราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่
    มันมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นภาพจากสมองของเราเอง
    เพราะสมองไม่อาจแยกแยะได้ว่า อันไหนภาพจริงหรือภาพจากจินตนาการ

    ตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์คำกล่าวนี้ก็คือ การทดลองนำนักโทษประหารมาปิดตา
    แล้วสะกดจิตไปว่า ตอนนี้คุณกำลังถูกเชือดให้เลือดไหลออกมาเรื่อยๆ
    โดยขณะสะกดจิตก็เปิดก็อกน้ำให้นักโทษคนนั้นได้ยินเสียงน้ำไหลด้วย
    จนในที่สุดนักโทษคนนั้นก็ตายลงไปจริงๆ เพียงเพราะสมองของเขาสั่งการให้เชื่อว่า
    เลือดของเขาไหลออกมาจนหมดตัวแล้ว

    นี่ไงครับ แล้วอะไรหละที่มันจริง หรือไม่จริง ในมิติที่ 3 แห่งนี้

    แต่อย่างไรก็ตาม ศาสดาทั้งหลายของหลายศาสนา
    ผมเชื่อว่าพวกท่านรู้แจ้งความเป็นจริงทั้งในมิติแห่งมายาแห่งนี้
    และรู้แจ้งความเป็นจริงในระดับปรมัตถ์ด้วยนะ

    แต่เพราะความที่ พวกท่านต้องมาสั่งสอนมนุษย์ปุถุชนที่อยู่ในมิตินี้
    และกำลังหลงอยู่กับมายาการแห่งนี้ พวกท่านก็อาจจะสอนได้ พูดได้
    แต่เฉพาะสิ่งที่ หรือในแบบที่ จะสามารถสื่อสารให้มนุษย์เหล่านั้นเข้าใจได้เท่านั้น

    เพราะต่อให้พูดถึงอะไรที่มันเป็นปรมัตถ์ หรือความจริงแท้ ให้ฟังยังไง
    มันก็คงจะไม่สามารถที่จะทำให้มนุษย์ปุถุชนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างถ่องแท้เป็นแน่
    เพราะว่าสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเหล่านั้น มันไม่มีอยู่ในมิติที่ 3 นี้
    หรือไม่ก็ มันไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยคำพูด หรือการยกตัวอย่างของสิ่งที่อยู่ในมิตินี้ให้ฟังได้

    เอาตัวอย่างง่ายๆเลยนะครับ เช่น เรื่องกาลเวลา ถ้าในระดับปรมัตถ์แล้ว
    กาลเวลามันไม่มีอยู่จริง กาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรง อย่างที่พวกเรารู้จักกันนี้
    มันมีผลเฉพาะแต่กับโลกของเราในมิตินี้เท่านั้น ในมิติที่สูงๆกว่า มันไม่มี
    เพราะว่าอดีต - ปัจจุบัน - อนาคต มันมีอยู่ และเป็นอยู่พร้อมกันหมด ที่นี่ และเดี๋ยวนี้
    มันไม่ได้มีลำดับเป็นก่อน-หลังอย่างที่เราเข้าใจกัน

    แค่นี้ พวกเราหลายคนก็จะงงแล้วว่า เอ๊า! คุณชยุต งั้นตอบผมทีว่า
    ทำไมมันถึงมีตอนที่ผมเป็นเด็ก โตขึ้น และเป็นผู้ใหญ่หละ ?
    ทำไมมันถึงมีเมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้หละ ?

    ผมก็จะขอตอบคำถามนี้ โดยยกเอาคำอธิบายเทียบเคียงของคุณ Zipper
    มาให้อ่านนะครับ เดี๋ยวตามลิงค์ข้างล่างนี้ไปนะครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8...193101.50/


    เพราะฉะนั้น ในความคิดผมคนเดียวนะครับ ผมว่า ใครก็ตาม ที่ศึกษาคำสอนในศาสนา
    โดยยึดเอาตามตัวอักษร หรือ นำคำศัพท์ในตำรายกขึ้นมาอ้าง ยกขึ้นมาเถียงกันนั้น
    มันก็อาจจะดูเท่ห์อยู่หรอกนะ เพราะดูเหมือนว่าเรารู้มาก

    แต่ประทานโทษเถอะครับ ท่านลืมไปแล้วว่านั่นหนะ
    เขาเขียนและอธิบายในแบบที่จะให้มนุษย์ที่อยู่ในมิติ 3 นี้อ่าน และเข้าใจได้เท่านั้น
    ไม่ได้แปลว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้นทุกตัวอักษร
    เพราะว่าบางอย่างมันอธิบายให้เข้าใจไม่ได้
    จึงได้แค่เทียบเคียงให้พอนึกภาพออกเลาๆเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น อะไรที่มันไม่ได้ถูกระบุไว้ในตำรา หรือ ไม่ตรงตามที่ตำราเขียนไว้
    ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องไม่มีอยู่จริง

    เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะบรรจุข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่ในจักรวาลนี้
    ลงไปในหนังสือเพียงเล่มเดียว หรือหลายเล่ม หรือ 48 เล่มได้ครบถ้วนทั้งหมด

    หรือใครคิดว่าได้ครับ ??


    ....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ZmarTAlkeR [​IMG]
    นั่นหมาย ความว่า การเตือน ถึงภัยพิบัติ ในวันที่ 8 ก.ค.ตอนตี 5

    แท้จริงคือแผนการใช้ HAARP จากประเทศบ้าอำนาจ ??
    </td> </tr> </tbody></table>
    ก็เป็นไปได้ครับ เพราะในกรณีของเฮติ หรือชิลี ผมไม่แน่ใจนัก แต่น่าจะเป็นเฮตินะ
    ก็มีคนที่รู้แผนการนี้ ออกมาเตือนก่อนแบบนี้หละครับ ล่วงหน้าตั้งหลายเดือน

    เพราะฉะนั้น พึงระวัง "คำพยากรณ์โคมลอยให้ดี" ที่มันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้นั้น
    อาจจะไม่ใช่เพราะมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ได้

    แล้วทีนี้..นึกออกไหมครับ..ว่ามันจะมีผลอย่างไร

    คือบางคำพยากรณ์ ของใครบางคน ที่เป็นต้นตอของคำพยากรณ์จริงๆ
    ที่เกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้างหรอกนะครับ
    ก็จะเฝ้าแต่พยากรณ์ หรือเฝ้าแต่กรอกหูผู้คนด้วยเรื่องร้ายๆอยู่ตลอดเวลา
    และก็เฝ้าแต่บอกว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ในช่วงเวลาไหน ที่ไหน อย่างไร อะไรแบบนั้น

    บางทีคนผู้นั้น อาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรอิลลูมินาติ หรือเผลอๆก็เป็นสมาชิกอิลลูมินาติก็ได้

    เช่น พยากรณ์ว่าอันนั้นจะเกิดตอนนั้น ตอนนี้ และสอดแทรกอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการ
    ไปในคำพยากรณ์นั้นด้วย เช่น บอกว่าประธานาธิปดีคนโน้น คนนี้ เป็นเอเลี่ยน อะไรแบบนั้น

    ซึ่งพอถึงเวลาที่พวกเขาได้วางแผนทำนายเอาไว้จริงๆ พวกเขาก็จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงอย่างง่ายดาย
    ด้วยเครืองมือที่พวกเขามีอยู่ เช่น HAARP เป็นต้น

    เมื่อคำทำนายเหล่านี้ ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก และมันกลายมาเป็นความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
    อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปอีกหละครับ ก็คือ กระแสความเชื่อ ความศรัทธา ก็จะมีต่อคำพยากรณ์นี้อย่างล้นหลาม

    เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆที่ถูกสอดแทรกไว้ในคำทำนาย ด้วยวัตถุประสงค์แห่งความชั่วร้าย
    ก็จะถูกเชื่อถือไปด้วยโดยปริยาย

    เพราะฉะนั้น ชาวโลกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ก็จะคิดและเชื่อตามที่พวกเขาวางแผนไว้จริงๆ..ว่า

    "มนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลก เมื่อถึงปี 2012" เป็นต้น อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่แถวๆนี้ไงครับ

    การเผยแพร่คำพยากรณ์ร้ายๆเหล่านี้ออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้ ของกลุ่มอิลลูมินาติ
    ก็ด้วยจุดประสงค์ที่จะสร้างความหวาดกลัว และความวิตกกังวลให้กับชาวโลกทั้งหลาย
    และก็เพื่อที่จะครอบงำชาวโลก ให้ตกอยู่แต่ในโลกแห่งวัตถุธาตุอยู่ต่อไป

    เพราะว่า ถ้าชาวโลกคนไหน ตกอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัวแล้ว
    คนผู้นั้น ก็จะปิดกั้นทางเดิน หรือทางผ่านของแสงสว่าง ที่จะเข้ามาสู่ตัวเขาไปเลย
    เพราะระดับความสั่นสะเทือนของ "ความรัก" หรือ "แสงสว่าง" มันมีระดับความสั่นสะเทือนที่สูงสุด
    ซึ่งตรงข้ามกับ "ความกลัว" ซึ่งมีระดับความสั่นสะเทือนที่ต่ำสุด มันจึงเข้ากันไม่ได้

    เมื่อชาวโลกเหล่านั้น จมอยู่แต่ในระดับความสั่นสะเทือนที่ต่ำสุดเช่นนั้นแล้ว
    สิ่งที่มีระดับความสั่นสะเทือนที่ต่ำๆเหมือนๆกันนั้น ก็จะมาสู่พวกเขาอย่างไม่ลดละ
    เช่น ความยากจน ความซวย เคราะห์ร้าย ความทุกข์ เป็นต้น

    ดังนั้น ยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระแสจิตร่วมของคนทั้งโลก ที่เอาแต่จดจ่อ
    และเชื่อถืออย่างเป็นจริงเป็นจังอยู่ว่า "ปี 2012 จะเป็นปีแห่งวันสิ้นโลก"
    พลังจิตร่วมนี้ ก็จะไปดึงดูดเอาเหตุการณ์นี้ ให้กลายมาเป็นความจริงขึ้นมา ไม่มากก็น้อย
    เพราะมันเป็นกฎแห่งการดึงดูดของจักรวาลด้วยเช่นเดียวกัน


    มันจึงเป็นไปได้ยาก ที่ผู้คนเหล่านั้นจะสามารถมองเห็นแสงสว่าง
    หรือเรียกว่า ค้นพบสัจธรรมในชีวิต หรือ หูตาสว่างจากโลกแห่งมายาการแห่งนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ผู้คนเหล่านั้นก็จะจมปรัก หรือ หมกมุ่นอยู่แต่กับการทำมาหากิน หรือดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ
    ด้วยทุกวิถีทางที่พอจะทำได้ ไม่เกี่ยงวิธีการและไม่เกี่ยงว่าจะผิด หรือ จะถูก จะดี หรือ จะชั่ว
    ไม่โงหัวขึ้นมาสนใจด้านจิตวิญญาณของตนเองเลย ปล่อยให้ความโลภ โกรธ และหลง
    ฉุดกระชากลากถูไปวันๆ โดยไม่มีสติรู้เท่าทัน หรือยับยั้งชั่งใจอะไรได้เลย

    พวกเขาเหล่านี้ก็จะสูญเสียพลังแห่งจิต พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ พลังแห่งแสงสว่างในตัวเองไป
    เพราะฉะนั้น ก็อาจจะเรียกได้ว่า พวกเขา "ยังหลับไหลอยู่" หรือ อะไรก็ตามแต่

    ซึ่งผู้คนที่หลับไหลอยู่นี่แหละ คือหุ่นกระบอก ที่สามารถชักใย หรือบงการ หรือ ครอบงำได้ง่าย
    เพียงใช้ "ทรัพย์สินเงินทอง" หรือ วัตถุธาตุทางกายภาพใดๆก็แล้วแต่มาหลอกล่อก็ได้

    เป็นอันว่าเสร็จอิลลูมินาติครับ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อใหญ่คุมทุกๆวงการของโลกอยู่ในขณะนี้
    ไม่ว่าจะเป็น ศาสนา วิทยาศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร ตลาดหุ้น การทหาร ฯลฯ


    เกมแห่งปี 2012 นี้ มันเป็นเกมๆหนึ่ง ที่มีผู้เล่นหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายธรรมะ และ ฝ่ายอธรรม
    ซึ่งทั้งสองฝ่ายนี้ ใช้ตัวละครแสดงหลัก กลุ่มเดียวกัน และแสดงอยู่บนเวทีเดียวกันด้วย
    นั่นก็คือ "มนุษย์โลก" และ "โลกมนุษย์" ตามลำดับ

    เกมมันจะดำเนินไปในทิศทางใดนั้น กระแสจิตร่วมของเหล่ามนุษย์โลกทั้งหลาย
    มีส่วนสำคัญและเกี่ยวข้องอยู่อย่างมาก และเกี่ยวข้องโดยตรง อย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น จงถามตัวเองว่า อยากจะให้เกมมันจบยังไงหละครับ จะสุข หรือ จะโศก
    พวกเราก็ต้องเป็นผู้เลือกเอง


    เหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในเกมๆนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน
    เช่น แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว เพราะโลกต้องปรับตัวเอง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
    และสึนามิตามมาบ้าง และอาจมีคนตายบ้าง เป็นต้น

    แต่ผู้เล่นเกมทั้งสองฝ่าย ก็จะออกมากล่าวในด้านตรงข้ามกัน...

    เช่น ฝ่ายธรรมะ ก็อาจจะมาบอกว่า มันจำเป็นต้องเกิดบ้าง เพื่อให้โลกสามารถ Ascension ได้สำเร็จ
    แต่พวกเขาเอง ก็คอยคุมเกมอยู่ ไม่ให้มันรุนแรงจนเกินไป เพราะไม่งั้น มันจะหนักกว่านี้
    และผลจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็จะนำไปสู่โลกที่สะอาด หมดจด ไร้มลภาวะ ในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นต้น

    ส่วนอีกฝ่ายก็จะออกมาบอกว่า นี่ไง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริงๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย ตามคำพยากรณ์
    เพราะฉะนั้น จากการคำนวณทางวิทยาศาสตร์
    ไม่ ต้องสงสัยเลยว่า อีก 5 ปี กรุงเทพจะจมอยู่ใต้ทะเลแน่นอน
    หรือ วันนั้น วันนี้สึนามิจะมาแน่นอน ความหายนะรออยู่ สิ่งร้ายๆรออยู่ จะหนียังไงก็หนีไม่พ้น อะไรทำนองนั้น


    และในมิติที่สูงกว่า "กาลเวลา" มันไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างที่ปรากฏอยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้
    และไม่ได้เป็นอย่างที่เราเชื่อและเข้าใจ

    ซึ่งตัวอย่างที่พอจะยกขึ้นมาให้พอมองเห็นภาพ และเข้าใจได้ง่ายๆ ใกล้ตัวเราก็คือ เรื่องของวิญญาณ และผี

    ไม่รู้ว่าใครเคยมีประสบการณ์ หรือ เคยรู้ เคยอ่าน เคยฟังคำบอกเล่าที่ว่า ญาติที่ตายไปแล้ว มาบอกหวย
    หรือมาบอกเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ทราบล่วงหน้า บ้างหรือเปล่านะครับ
    ท่านเคยสงสัยกันบ้างไหม๊ ว่าทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงรู้อนาคตได้ ถึงบอกหวยได้ถูก
    ในขณะที่ ทำไมพวกเราถึงไม่รู้ ทั้งๆที่วิญญาณเหล่านั้น ตอนที่ยังเป็นคนอยู่ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรวิเศษตรงไหนเลย
    ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ที่จะมีญาณหยั่งรู้อะไรมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำไป

    คำตอบคือ เพราะพวกเขาดำรงอยู่ในรูปแบบของพลังงาน ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับช่องว่าง และกาลเวลา
    แบบที่เป็นเส้นตรงเหมือนกับพวกเรา พวกเขาจึงท่องไปได้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ซึ่งอันที่จริงแล้ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันมีอยู่ และเป็นอยู่ พร้อมกันอยู่แล้ว ที่นี่ และเดี๋ยวนี้

    แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีสิ่งใดๆในอนาคต ที่ถูกกำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า
    แบบตายตัว และแน่นอนทั้ง 100% หรอกนะครับ
    เพราะทุกๆอย่าง มันสามารถเป็นไปได้หมด ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
    ขึ้นอยู่กับการจดจ่อของจิตวิญญาณของเรา
    ว่าจะจดจ่อให้มันเป็นไปในทางไหน ทุกๆสิ่งที่เรียกว่าเหตุการณ์ในอนาคต
    มันเป็นเพียงแค่ภาพร่างของความเป็นไปได้ทั้งมวล
    บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์ เท่านั้นเอง

    ที่พวกเหล่าวิญญาณ
    บอกหวยถูก ก็เพราะว่าพวกเขาใช้เหตุปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นตัวทำนาย
    (รูปธรรมชีวิตต่างมิติชั้นสูง ที่ชื่อโนวา อนาลัย, ครายออน หรือ Kryon และรูปธรรมอื่นๆ ก็บอกเช่นนี้ด้วยเช่นกัน)

    เพราะถ้าเงื่อนไขมันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เป็นแนวโน้ม ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น
    ก็จะมีโอกาสที่จะเป็นไปตามนั้น ใน % ของความน่าจะเป็นที่สูงกว่า แต่ถ้าเหตุปัจจัยในปัจจุบันเปลี่ยนไป
    ทุกอย่างก็เปลี่ยนด้วย ซึ่งคำกล่าวนี้ หรือทำนองนี้ มีอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยนะครับ

    เพราะฉะนั้น รูปธรรมชีวิตต่างมิติชั้นสูงทั้งหลาย จึงพร่ำบอกให้เราจดจ่ออยู่กับแต่ปัจจุบันขณะ
    ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด อย่าไปห่วงหาอาลัยหรือคร่ำครวญถึงแต่สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    เพราะปัจจุบัน เป็นจุดตัดของอดีตและอนาคต

    และเพราะด้วยนัยยะนี้ ในโลกของอนาคต
    จึงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
    ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่เราเป็นผู้กำหนด เป็นผู้จดจ่อ ด้วยจิต
    หรือด้วยสติสัมปชัญญะของเราเองทั้งสิ้น

    ตอนนี้..พวกเราก็น่าจะพอเดาออกกันแล้วนะครับว่า


    "อนาคตของโลก...อยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว"


    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอต่ออีกนิดนะครับ เพราะลืมประเด็นสำคัญไปอีกประเด็นหนึ่ง

    สาเหตุที่กลุ่มอิลลูมินาติ พยายามจะสร้างคำทำนายเทียมขึ้นมา
    และทำให้พวกมันเป็นจริง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า นั้น สาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    เพื่อให้ชาวโลกเชื่อว่า

    "ไม่มีรูปธรรมชีวิต อื่นๆอยู่ในจักรวาลอีก นอกจากบนดาวเคราะห์โลกของเรา"

    และถ้ามี ก็จะเป็นพวกที่คิดจะมายึดครองโลก จะมาข่มเหงรังแกชาวโลก
    หรือแม้แต่จะมากินชาวโลกเป็นอาหาร

    เพื่อว่า ชาวโลกจะได้มีทัศนคติที่เลวร้าย และหวาดกลัวต่อผู้ที่อยู่ต่างดาว
    และ ต่างมิติเหล่านี้
    และก็จะได้ลุกฮือกันขึ้นมาต่อต้าน ขับไล่ หรือ เข่นฆ่าเสียให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

    ด้วยความที่ชาวโลกถูกฝังหัวโดยกลุ่มอิลลูมินาติมาตลอด ผ่านทางคำทำนายปลอม
    ผ่านทางวงการสื่อสารมวลชน ผ่านทางภาพยนต์ และสื่อเพื่อความบันเทิงต่างๆ

    ว่า...รูปธรรมชีวิตจากต่างดาวและต่างมิติเหล่านี้ มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว
    เหมือนอย่างที่เราเห็นอยู่ในหนัง

    ว่า...พวกเขาเป็นพวกสัตว์ประหลาดที่ชั่วร้าย ที่หวังจะมายึดครองโลก
    และหวังจะมาทำอะไรร้ายๆต่อมนุษย์โลก

    ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ก็มีเบื้องหลังอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นเองครับ...

    นั่นก็คือ..เพราะพวกอิลลูมินาติรู้ว่า วันใดที่ชาวโลกได้รู้ความจริง
    เกี่ยวกับโลกและจักรวาลแล้ว มุมมองชีวิตของชาวโลกก็จะเปลี่ยนไป
    ความเชื่อที่มาจากคำสอนของศาสนา บางศาสนาที่บิดเบือน ก็จะเปลี่ยนไปด้วย

    เช่น ที่บางศาสนาสอนว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายไม่มีอยู่จริง
    อะไรแบบนั้นหนะครับ ซึ่งความเชื่อนี้แหละ ที่วงการวิทยาศาสตร์ยุคเก่าของเราให้การรับรอง
    และยอมรับนับถือกันเป็นนักเป็นหนา

    ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่สามารถควบคุมชาวโลกให้ตกอยู่แต่ในโลกของวัตถุธาตุได้อีกต่อไป
    เพราะความจริงทั้งหลาย จะถูกเปิดเผย ความชั่วและคนชั่วทั้งหลายจะถูกเปิดโปง
    ประวัติศาสตร์โลกที่ถูกบิดเบือนทั้งหลายจะถูกเขียนใหม่

    และอำนาจทั้งหลายของกลุ่มอิลลูมินาติ ก็จะเสื่อมสลายและหมดสิ้นไปในที่สุด

    ถ้าถามต่อว่าทำไมกลุ่มอิลลุมินาติถึงต้องพยายามทำแบบนั้นด้วย
    ทำไมถึงพยายามครอบงำชาวโลกด้วย

    คำตอบสั้นๆก็คือเพราะกิเลส ตัณหา ความโลภ และอำนาจ

    คือ..ผมคิดว่าไม่น่าจะต้องอธิบายตรงนี้มากนัก ใช่ไหมหละครับ

    เพราะฉะนั้น ด้วยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ กลุ่มอิลลูมินาติ ก็จะนำออกมาใช้ทั้งหมด
    เพื่อให้แผนการของตัวเองสำเร็จให้จงได้

    ...เพราะเกมนี้เดิมพันด้วยชีวิตของพวกเขาเอง...

    ..........................................
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตสรุปอีกครั้งนะครับว่า..
    ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ

    ก็ในเมื่อ..เราไม่สามารถจะทราบได้ว่า

    ข้อความไหนของฝ่ายไหน..มันจะจริงหรือไม่จริง

    เพราะว่า "ตัวเรา" ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้

    หรือว่า "คนอื่น" เขาหาข้อพิสูจน์ได้แล้ว
    แต่ว่า "ตัวเรา" ยังไม่รู้
    เพราะยังไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆมาก่อน

    หรือว่า “ตัวเรา” เคยได้ยิน ได้ฟัง และได้อ่าน เพราะกระทู้นี้กรอกหูอยู่เนืองๆ
    แต่ก็ยังไม่เชื่อ เพราะว่ายังไม่มั่นใจ

    เพราะฉะนั้น เราลองมาบวกลบคูณหารกันดูดีไหม๊ครับ

    ว่าเราควรจะเลือก "ลงทุน" ไปกับบริษัทไหนดี

    ..
    .ระหว่าง...

    A).
    ข่าวร้ายเป็นจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องร้ายๆ

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่เศร้าหมองก่อนตาย => ทุกข์คติภูมิ


    B).
    ข่าวร้ายเป็นจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องดีๆ

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่ผ่องใสก่อนตาย => สุขคติภูมิ


    C).
    ข่าวร้ายเป็นจริง ==> ปล่อยวาง หรือ วางใจให้เป็นอุเบกขา

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่ผ่องแผ้ว และบริสุทธิ์ => ยิ่งกว่าสุขคติภูมิซะอีก


    D).
    ข่าวร้ายไม่เป็นจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องร้ายๆ

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่เศร้าหมองก่อนตาย => ทุกข์คติภูมิ

    แต่ถ้ายังไม่ตาย เพราะข่าวร้ายมันไม่เกิดขึ้นจริง ==
    > กฏแห่งการดึงดูด
    ก็จะดูดเอาแต่เรื่องร้ายๆเข้ามาในชีวิต

    และ เพราะระดับจิตที่จมอยู่กับแต่พลังงานที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำๆ

    นั่นคือ ความหวาดกลัว ความวิตกกังวล และอื่นๆ

    ร่างกายก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย จิตใจก็หดหู่เศร้าหมอง

    จึงยากจะเจริญได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม


    E).
    ข่าวร้ายไม่เป็นจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องดีๆ

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่เบิกบานผ่องใสก่อนตาย => สุขคติภูมิ

    แต่ถ้ายังไม่ตาย เพราะข่าวร้ายมันไม่เกิดขึ้นจริง ==
    > กฏแห่งการดึงดูด
    ก็จะดูดเอาแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต

    และ เพราะระดับจิตที่อยู่กับแต่พลังงานที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงๆ

    นั่นคือ ความรัก ความเมตตา ความกรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น และอื่นๆ

    ร่างกายก็จะสมบูรณ์แข็งแรง สุขภาพจิตก็ดี กำลังใจก็เข้มแข็ง

    จึงมีโอกาสมากกว่า ที่จะเจริญได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม


    F).
    ข่าวร้ายไม่เป็นจริง ==> วางใจเป็นอุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายอะไรกับมัน

    คำตอบเหมือนข้อ C นั่นแหละนะครับ ผมขอข้ามไป
    ไม่อธิบายให้มากความนะครับ


    G).
    ข่าวดีเป็นความจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องร้ายๆ เพราะเชื่อแต่ข่าวร้าย

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่เศร้าหมองก่อนตาย => ทุกข์คติภูมิ

    แต่ถ้ายังไม่ตาย เพราะข่าวดีบอกว่า มันไม่ใช่วันสิ้นโลก

    แต่มันเป็นยุคพลังงานใหม่ ยุคที่มนุษย์โลกจะได้ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งใหญ่
    อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้

    =>
    คนผู้นั้น ก็จะไม่สามารถก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการ
    ไปพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลกได้ เพราะตัวแปลสำคัญมันอยู่ที่ "ระดับพลังงาน"
    ของทั้งกายและจิต

    ซึ่งผู้ที่จะมีระดับพลังงาน หรือ ระดับความสั่นสะเทือนที่สูงๆได้

    ต้องเป็นผู้ที่ "คิดบวก" มีความรัก ความเมตตา กรุณา เป็นพื้นฐาน
    และเป็นปกติของจิตใจ

    และก็จะสรุปลงมาตรงที่ อย่างดีที่สุด
    "ถูกทิ้งวิญญาณไว้ให้อยู่ในมิติเดิมนี้ต่อไปอีก"
    ส่วนอย่างไม่ดีที่สุดหละ ก็..

    "
    ย้อนกลับลงไปสู่มิติ ที่มีระดับพลังงานที่เหมาะสม
    และเป็นระดับเดียวกับพลังงานของจิตวิญาณของคนผู้นั้นก่อนตาย"

    เช่น ลงนรกไปเลยอะไรแบบนั้น เป็นต้น

    อย่าประมาทคำว่า "จิตเศร้าหมอง" และคำว่า "จิตสุดท้ายก่อนตาย" ไปเชียวนะครับ


    H).
    ข่าวดีเป็นความจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องดี เพราะเชื่อแต่ข่าวดี

    ในทางพุทธเรา =
    > จิตสุดท้ายที่เบิกบาน ผ่องใสก่อนตาย => สุขคติภูมิ

    แต่ถ้ายังไม่ตาย เพราะข่าวดีบอกว่า มันไม่ใช่วันสิ้นโลก

    แต่มันเป็นยุคพลังงานใหม่ ยุคที่มนุษย์โลกจะได้ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งใหญ่
    อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้

    =>
    คนผู้นั้น ก็จะได้ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการ ไปพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลก
    ไปสู่โลกแห่งยุคพลังงานใหม่ ในมิติที่ 5

    ในที่ๆไม่มีการเข่นฆ่ากัน ไม่มีการโกหกหลอกลวงกัน ไม่มีความเห็นแก่ตัว

    มีแต่คุณงามความดีแผ่ปกคลุมไปทุกหนทุกแห่ง


    I).
    ข่าวดีเป็นความจริง ==> วางใจเป็นอุเบกขา

    คำตอบ ก็ไม่ต่างจากข้อ
    G หรอกนะครับ
    เพราะว่าความว่าง ชนะทุกอย่างอยู่แล้วครับ


    J).
    ข่าวดีไม่เป็นความจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องร้ายๆ เพราะเชื่อแต่ข่าวร้าย

    คำตอบเหมือนข้อ
    D ครับ


    K).
    ข่าวดีไม่เป็นความจริง ==> คิดและจดจ่อแต่กับเรื่องดีๆ เพราะเชื่อแต่ข่าวดีๆ

    คำตอบเหมือนข้อ
    E ครับ


    L).
    ข่าวดีไม่เป็นความจริง ==> วางใจเป็นอุเบกขา

    คำตอบเหมือนข้อ
    I ครับ

    ...............................................

    เอาหละนะครับ..เรามาประมวณผลกันซิว่า


    ..ระหว่าง
    ..

    1).
    การจดจ่ออยู่กับแต่เรื่องร้ายๆ กับ
    2). การจดจ่ออยู่กับแต่เรื่องดีๆ นั้น

    3). การวางใจเป็นอุเบกขา

    ข้อไหนจะได้คะแนนมากกว่ากัน


    สมมุติว่าผมให้คะแนนข้อไหนก็ตาม ที่ให้ผลในทางที่ดีว่า = +
    1 ทุกข้อไป
    ส่วนข้อไหนที่ให้ผลในทางร้าย ผมจะให้เป็น -1 ทุกข้อไปนะครับ

    เราก็จะได้ว่า..


    A = -1

    B = +1
    C = +1
    D = -1
    E = +1
    F = +1
    G = -1
    H = +1
    I = +1
    J = -1
    K = +1

    L = +1

    แต่ว่า เราลืมตั้งสมการขึ้นมาก่อนว่า

    1). คิดและจดจ่อแต่เรื่องร้ายๆ มี subset คือ A, D, G และ J
    2). คิดและจดจ่อแต่เรื่องดีๆ มี subset คือ B, E, H และ K
    3). วางใจเป็นอุเบกขา มี subset คือ C, F, I และ L

    รวมคะแนนของแต่ละข้อ จะได้ดังนี้

    1). คิดและจดจ่อแต่เรื่องร้ายๆ

    (-1) + (-1) + (-1) + (-1) = (-4)


    2). คิดและจดจ่อแต่เรื่องดีๆ

    (+) + (+1) + (+1) + (+1) = (+4)


    3).วางใจเป็นอุเบกขา

    (+) + (+1) + (+1) + (+1) = (+4)


    ท่านเห็นหรือยังหละครับ ว่าท่านจะได้อะไร
    จากการคิดและจดจ่ออยู่กับแต่เรื่องที่ร้ายๆบ้าง ???

    ...ผมยังนึกไม่ออกเลย !!!..

    แต่ก็อย่างว่านั่นแหละนะครับ..
    มนุษย์เรา..ชอบข่าวร้าย มากกว่าข่าวดี

    ชอบเชื่อเรื่องร้าย..มากกว่าเรื่องดี..
    แม้ว่าจะไม่รู้เลยก็ตาม..ว่าทั้ง 2 เรื่องนั้น
    อันไหนจริง..อันไหนเท็จ
    หรือว่า..อาจจะไม่จริงทั้งคู่เลยก็ได้นะครับ..

    .............................................
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อันที่จริงแล้ว..ผลรวมของสมการเหล่านี้
    ผมยังแจกแจงไม่จบซะทีเดียว

    เพราะว่า..ถ้ายกเอาเฉพาะเรื่องของ "ข่าวลวง"
    ขึ้นมากล่าวเพียงอย่างเดียว ท่านก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น

    นั่นก็คือ..

    สมมุติว่าทั้ง 2 ข่าวนี้ มันเป็นข่าวโคมลอยลวงโลกทั้งเพเลย
    ท่านก็จะได้ว่า

    1). คิดแต่เรื่องร้ายๆ = (-2)
    2). คิดแต่เรื่องดีๅ = (+2)
    3). วางอุเบกขา = (+2)

    แต่ถ้าข่าวร้ายเป็นความจริงขึ้นมาหละคุณ Chayutt !!!

    ผมก็จะตอบว่า...

    1). คิดแต่เรื่องร้ายๆ = (-1)
    2). คิดแต่เรื่องดีๆ = (+1)
    3). วางอุเบกขา = (+1)


    จะเห็นว่า..ตามความคิดที่ผมสาธยายมานี่นะครับ
    ถ้าท่านเอาแต่คิดและจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องร้ายๆ
    ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ก็ตาม..

    ...ไม่มีประโยชน์อันใดเลย..ที่ท่านจะได้จากมัน...

    เว้นแต่ว่า..ท่านจะรู้จักนำมันมาใช้
    ทำให้ท่าน "ตื่น" เป็นเท่านั้น



    ...อันนี้สำคัญมากนะครับ...

    ....................................
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Chayutt [​IMG]


    อันที่จริงแล้ว..ผลรวมของสมการเหล่านี้
    ผมยังแจกแจงไม่จบเลยนะครับ

    เพราะว่า..ถ้ายกเอาเฉพาะเรื่องของ "ข่าวลวง"
    ขึ้นมากล่าวเพียงอย่างเดียว ท่านก้จะยิ่งเห็นได่ชัดเจนมากขึ้น

    นั่นก็คือ..

    สมมุติว่าทั้ง 2 ข่าวนี้ มันเป็นข่าวโคมลอยลวงโลกทั้งเพเลย
    ท่านก้จะได้ว่า

    1). คิดแต่เรื่องร้ายๆ = (-2)
    2). คิดแต่เรื่องดีๅ = (+2)
    3). วางอุเบกขา = (+2)

    แต่ถ้าข่าวร้ายเป็นความจริงขึ้นมาหละคุณ Chayutt !!!

    ผมก็จะตอบว่า...

    1). คิดแต่เรื่องร้ายๆ = (-1)
    2). คิดแต่เรื่องดีๆ = (+1)
    3). วางอุเบกขา = (+1)


    จะเห็นว่า..ตามความคิดที่ผมสาธยายมานี่นะครับ
    ถ้าท่านเอาแต่คิดและจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องร้ายๆ
    ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ก็ตาม..

    ...ไม่มีประโยชน์อันใดเลย..ที่ท่านจะได้จากมัน...

    เว้นแต่ว่า..ท่านจะรู้จักนำมันมาใช้
    ทำให้ท่าน "ตื่น" เป็นเท่านั้น



    ...อันนี้สำคัญมากนะครับ...

    ....................................

    </td> </tr> </tbody></table>

    ปล. คำว่า "วางใจเป็นอุเบกขา" ของผมนี่
    หมายถึงผู้ที่ "ตื่นแล้ว" แล้ววางใจเป็นอุเบกขาหนะนะครับ
    เพราะคนเหล่านี้ มักจะมีคุณงามความดีของตัวเอง
    อยู่ในระดับที่มากกว่า หรือ สูงกว่ามาตรฐานอยู่แล้ว

    ไม่ได้หมายถึง "ผู้ที่ยังหลับไหลอยู่" ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย
    แล้วก็ไม่ยอมรับรู้ รับฟังใครเลย อะไรแบบนั้นหรอกนะครับ

    ซึ่งคนจำพวกหลังนี่..ก็ต้องถูกกระทุ้ง ถูกกระแทก ถูกปลุกให้ตื่นเสียก่อน
    ด้วยการนำข่าวสารข้อเท็จจริง เบื้องหลัง เบื้องลึกต่างๆ
    มาบอกเล่าเก้าสิบให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน และได้รับรู้กันบ้าง

    อย่างที่หลายๆท่าน เช่น น้องเมย์ พี่เกษม คุณ 9 ตาล 9
    คุณสันโดษ และท่านอื่นๆ ที่กำลังทำกันอยู่นี้ไงครับ

    อย่าได้ไปดูถูกดูแคลนเจตนาของท่านเหล่านี้เชียวนะครับ
    เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานกันเป็นทีม เป็นระบบ โดยมิได้นัดหมาย

    อย่างของท่านที่ผมกล่าวมานั้น ก็จะมา "ปลุก" ให้ตื่นก่อน
    ส่วนของผมก็จะมา "ชี้ให้วางใจไปในทางบวก"
    เพื่อไม่ให้ท่านที่ตื่นแล้ว เกิดความ "ตระหนก" ตามมา

    ก็เลยจะให้หันมา "สร้างระดับความสั่นสะเทือนในด้านบวก"
    ให้กับตัวเองต่อไป นับจากวันที่ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ เป็นต้นไป

    งานทั้ง 2 อย่างนี้ มันเป็นความจำเป็นทั้งคู่
    เพราะมีชาวโลกเกิน 90 % ที่ยังคงหลับไหลอยู่

    "พวกเรา" แค่อยากสะกิดให้ท่านลองตรองดูหนะนะครับ
    ไม่ถึงขนาดว่า จะต้องให้ท่านเป็นไปอย่างที่พวกเราหวังหรอกครับ

    เพราะแค่ท่านเริ่มสงสัยว่า..

    "เอ๊ะ !! มันยังไงกันนะ !!
    ทำไมถึงพากันพูดเรื่องพวกนี้กันบ่อยๆ และหนาหูขึ้นทุกวันๆ กันจังเลย

    ไหนลองฟังพวกมันดูซิ..ลองค้นหาความจริงดูซิ
    ว่าพวกมันจะมาหลอกลวง หรือมาไม้ไหนกันอีก"


    ..อะไรแบบนั้น..

    แค่นี้ผมก็คิดว่า..นั่นแหละ..คือก้าวแรกของท่านแล้วหละครับ

    ........................................................
     
  10. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    :cool: เห็นด้วยครับ ตื่นกันเถอะอย่ามัวมาหมกมุ่น งมงายกับจินตนาการที่เราเองยังไม่รู้ อย่าตื่นตระหนดในสิ่งที่ยังไม่เกิด มี สติ อะไรจริงมันก็มาให้ได้เห็นเรื่อยๆ จริงๆเท็จๆ เท็จๆจริงๆ ไม่ลองทำก่อนก็ไม่รู้ ได้แต่นั่งจิตหลอน วิตก กังวล คนจริงเขากล้าพูดกล้าทำ ทำแล้วจงอย่ากลัว
     
  11. vorn

    vorn สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบพระคุณท่านผู้รู้ครับที่ได้มีสารที่ดีๆๆออกมา กระจ่างเลยครับ:cool:
    ขอบคุณ
     
  12. โบ๊ต

    โบ๊ต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +847
    หลังๆนี่ผมก้ปลงครับเขาบอกประเทศไทยปลอดภัยแต่ผมมาได้งานที่ฮ่องกงซะนี่ทะเลล้อมรอบ ปมก็เฉยๆนะสวดมนต์ทุกวันเพื่อเป็นสิริมงคลเเต่ตั้งใจขอไว้เเน่ๆคือหากมีภัยอัตรายขอให้สื่งศักสิทธิ์ดลใจให้ไปอยู่ที่ปลอดภัย อะไรมันจะเกืดก็ต้องเกิด ผมยอมรัมรับได้ทุกอย่างเเล้วตอนนี้คิดอย่างนี้สบายใจขึ้นเยอะ ทำงานก็ดพื่อหาเงินมาดำรงชีพ สนองความตองการการเป็นเเบบแผนมนุษย์เงืนเดือนในปัจจุบัน สนุกไปตามประสา เเต่ก็พอประมาณ ตอบเเทนคุณพ่อเเม่ดูเเลคนที่เรารัก แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ไม่ถึงกับไปหาที่หลบภัยอะไรหรอก อย่างว่าอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดอะนะคุณชัยยุต
     
  13. ระยับแดด

    ระยับแดด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +117
    สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พั้ง
    แล้วจะเอาไรเล่ากับคน2เท้า
    การทำใจ นิ่งเฉย อุเบกขา นั่นละสิ่งที่คุณยึดถือ
     
  14. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ให้กำลังใจคุณ ชยุต ค่ะ :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  15. marbies

    marbies สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนา สาธุๆ

    เป็นบุญจริงๆที่ได้เข้ามาอ่าน ^^ ขอให้ท่าน ท่านมหาเทพมีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไปไม่จบสิ้น

    ท่านได้บอกสิ่งที่ดีให้กับเรา อนุโมทนา สาธุๆ
     
  16. walkmann

    walkmann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +115
    ชัดเจนจริงๆ เลยครับผม ใช้ภาษา โช๊ะ โช๊ะ โช๊ะ แบบไม่ต้องมีการอ้อมค้อมอันใดเลย


    นั่นสิน่ะครับ! ถ้ามนุษย์โลกที่ยังหลับไหลอีกซัก 50% ได้เรียนรู้และเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตด้วยการยกระดับขึ้นแล้วนั้น...เมื่อผมลองหลับตาแล้วจินตนาการดู ก็ยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงใด?

    บางที "สวรรค์" ที่มนุษย์เราทุกคนได้ซึบซับภาพแห่งความสุขและความสวยงามมมาตลอดชีวิต...ถึงวันนั้นเราอาจได้สัมผัสของจริงซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงจินตนาการหรือคำบอกเล่าอีกต่อไปก็ได้น่ะครับ

    เพราะ "ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความคิด และถูกถ่ายทอดออกมาเป็นการกระทำทั้งหมดทั้งมวล!!
     
  17. famesod4

    famesod4 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +1
    เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพระเราเชื่อแต่จิตของตัวเอง มนุษย์ทุกคนมีสภาวะเป็นการเป็นพระเจ้าโดยสมบรูณ์การทำลายมนุษย์ ที่เขามีสิทธิที่จะมีชีวิตบนโลกถึงแม้เขาจะเลวมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ไร้ค่าถึงขนาดที่ จะตายในวันชำระโลก ท่านลองยกระดับจิตของพวกท่านได้ให้ก่อนไม่มีว่าใครก้คุยกับพระผู้สร้างได้ ... เพราะพระผู้สร้างไม่เคยเปิดโอกาสให้แก่คนคนเดียวหรอก
    ถ้าอยากให้การเปลี่ยนยุค ในคนที่เชื่อในการเปลี่ยนยุคไปอย่างราบรื่น จงคิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดี

    แต่ถ้าคนที่เชื่อเรื่องภัยพิบัติจงคิดว่ามันจะไม่เกิดและไม่มีอะไร

    ถ้าคนไม่เชื่ออะไรทั่งนั่นจงวางเฉยและกำหนดจิตไปหาสิ่งที่ดีดี เรื่องบนโลกจะเริ่มเบาบางลงและดีขึ้นเอง

    ขอเน้นย้ำอีกคำนึง

    สรรพสิ่งไร้ความผิด
    เพศภัยอยู่ในใจคน
     
  18. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ตามอ่านข้อความคุณชยุตค่ะ ถูกใจๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tk2.jpg
      tk2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.6 KB
      เปิดดู:
      57
  19. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    อย่างไรแล้วก็ต้องขอขอบคุณคุณ Chayutt อีกครั้งนะคะ
    ที่อุตสาห์เสียสละเวลามาแปลให้พวกเราได้อ่านกันอยู่เรื่อยๆ
    สิ่งที่คุณ Chayutt ทำไม่สูญเปล่าหรอกค่ะ
    ดิฉันเชื่อว่ายังเป็นประโยชน์ต่ออีกหลายท่านที่สนใจในเรื่องนี้
    ขอให้กำลังใจ และขอให้แปลต่อไปเถิดนะคะ
    ยังมีอีกหลายคนที่คอยติดตามข่าวสารเหล่านี้อยู่ทุกระยะค่ะ
     
  20. chevalai

    chevalai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    ดิฉันก็ขอขอบคุณ คุณ chayutt เช่นกัน ที่เสียสละเวลาอันมีค่าของคุณ มาแปลข้อความให้ได้อ่านกัน
    ติดตามอ่านอยู่ค่ะ ข้อความมีประโยชน์มาก
    ข้อคิดเห็นของคุณก็มีประโยชน์มากๆๆ เหมือนกับเป็นบทสรุปความจากหลายๆข้อมูลที่คุณย่อยมาให้พวกเราได้ทราบกัน
    เป็นหนี้บุญคุณคุณ chayutt มากๆเลย
    ขอให้คุณประสบความสุขความเจริญ ในทุกสิ่งที่คุณหวังไว้
    ทุกวัน คืน ;41
     

แชร์หน้านี้

Loading...