เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วงในเผย ซาอุฯเตรียมปั๊มน้ำมันเพิ่มโดยไม่ต้องรอมติโอเปก


    รูปภาพ : วิกฤตลิเบียส่งผลราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือและน้ำมันดิบล่วงหน้าในตลาดนิวยอรค์พุ่งต่อเนื่อง ส่งผลราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแพงที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยราคาในตลาดเบรนท์ทะลุ 100 ดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ที่มา : Bloomberg

    ซาอุดิอาระเบียและประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆพร้อมผลิตน้ำมันป้อนตลาดเพิ่มเติมหากมีความต้องการจากผู้ซื้อหากว่าไม่มีการประชุมฉุกเฉินของกลุ่มโอเปก จากการระบุของแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดนโยบายน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย

    บรรดาผู้ส่งออกน้ำมันตกอยุ่ภายใต้แรงกดดันเพื่อให้เกิดความแน่นอนว่าจะมีน้ำมันในตลาดเพียงพอหลังจากเหตุรุนแรงในประเทศลิเบียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของทวีปแอฟริกา เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์คแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับแต่เดือนตุลาคม 2008

    แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า ปริมาณน้ำมันที่จะผลิตออกมาเพิ่มเติมนั้นจะปั๊มออกมาบนเงื่อนไขของการร้องขอน้ำมันดิบเพิ่มเติมจากบรรดาบริษัทน้ำมัน

    โอเปกมีกำหนดการประชุมเป็นทางการครั้งต่อไปในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้และการจัดประชุมก่อนกำหนดการนี้จะถือว่าเป็นการประชุม "นัดพิเศษ" หรือการประชุมฉุกเฉิน

    แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ประเทศ UAE, คูเวต, แองโกล่า และไนจีเรียก็ประสงค์ที่จะผลิตน้ำมันป้อนตลาดเพิ่มด้วย

    ขณะที่บรรดาชาติสมาชิกกลุ่มโอเปกละเมิดระบบโควตามาเป็นเวลาหลายเดือนโดยเร่งผลิตน้ำมันเพิ่มเติมเนื่องจากราคาสูงขึ้น ทางกลุ่มมักจะทำการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆในด้านนโยบายการผลิตในช่วงการประชุมที่เป็นทางการซึ่งชาติสมาชิกทั้ง 12 ประเทศจะมากันพร้อมหน้า การประชุมทางการครั้งต่อไปของโอเปกจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนและการประชุมใดๆก่อนหน้านั้นจะถือว่าเป็น "การประชุมนัดพิเศษ"

    ตามกฎของโอเปก เลขาธิการกลุ่มโอเปกมีสิทธิ์เรียกประชุมฉุกเฉินได้ภายใต้การปรึกษาหารือกับประธานกลุ่ม อิหร่านซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มในปัจจุบันมองว่าตอนนี้ไม่มีความจำเป็นในการเพิ่มปริมาณการผลิตเพราะขณะนี้มีน้ำมันใตลาดเหลือเฟือ นายโมฮัมเหม็ด อาลี คาตีบี ผู้ว่าการโอเปกของอิหร่านให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กวานนี้ (พุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011) ที่นครริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย

    ตัดลดการผลิตในลิเบีย

    บริษัทอีเอ็นไอ เอสพีเอ และบริษัทน้ำมันต่างชาติรายอื่นๆกล่าวว่า พวกเขากำลังลดการผลิตน้ำมันในลิเบียหลังจากการปะทะการอย่างหนักระหว่างทหารและกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล

    บรรดาชาวลิเบียต่างอ้างถึงการขับไล่กำลังทหารของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ออกจากเขตเมืองในภาคตะวันออกของประเทศ พวกเขาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อทำการบริหารและรักษาพื้นที่ของตัวเอง เนื่องจากกองกำลังที่ภักดีต่อกัดดาฟี่ยังคงควบคุมเมืองหลวงทริโปลีอยู่

    กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันรวมกัน 29.4 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากการประมาณของบลูมเบิร์ก และมีกำลังการผลิตที่ยังไม่ได้ใช้เหลืออยู่อีก 5 ล้านบาร์เรลต่อวันจากการคาดการณ์ของทบวงพลังงานระหว่างประเทศหรือ IEA (International Energy Agency) กำลังการผลิตที่ยังไม่ได้ใช้ส่วนมากอยู่ในซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มโอเปก

    สมาชิกกลุ่มโอเปก 12 ประเทศประกอบไปด้วยแอลจีเรีย แองโกล่า เอกัวดอร์ อิหร่าน อิรัก คูเวต ลิเบีย ไนจีเรีย กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย UAE และ เวเนซูเอล่า โดยประเทศอิรักได้รับการยกเว้นจากระบบการกำหนดโควต้าการผลิต

    ที่มา Bloomberg

    Saudis Said to Be Willing to Pump More Oil Without OPEC Meet - Bloomberg

    แปลและเรียบเรียงโดย เบ๊นซ์ สุดตา ฝ่ายข่าวเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศ Mtoday

    Muslim Today - วงในเผย ซาอุฯเตรียมปั๊มน้ำมันเพิ่มโดยไม่ต้องรอมติโอเปก
     
  2. Eroda

    Eroda สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +5
    หรือว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในตะวันออกกลางครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=5UrWqhz2gGA]YouTube - THE 12TH CRUSADE - ROMANISM VS ISLAM - WORLD WAR III[/ame]
     
  3. Eroda

    Eroda สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +5
    ต่ออีกนิดครับ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=DaxTePJg74Y]YouTube - THE COVERT AGENDA OF THE EGYPTIAN REVOLUTION (1/2)[/ame]

    Eric Phelps and Vittorio Vivaldi III discuss the real agenda behind the CIA directed Coup d-etat on Hosni Mubarak and Egypt. You'll learn the real movers behind this scene played out to the World recently. You'll also learn the further agenda both in the Middle East and in the West to be played out soon. This broadcast occurred on February the 11th of 2011.

    -- MY COMMENTS;

    The Dame of Malta Elizabeth Mary (The name 'Mary; should ring alarm bells) the treasonous false Queen of England is controlled by the Sovereign Military Order of Malta via The Alliance of the Orders of St John. The Grand Prior of the Sovereign Military Order of Malta in the U.K. (known as the Grand Priory of England) is Frederick Crichton-Stuart. The cousin to the Queen was the last Grandmaster of the Sovereign Military Order of Malta known as Andrew Willoughby Ninian Bertie.

    I'd also like to point out that this operation will have been planned in Lebanon, London, Washington D.C./New York and Borgo Santo Spirito. The U.S. being the military arm of the Roman Empire (via 14th Amendment) utilising its Knight of Malta created Central Intelligence Agency conducted the Coup D-etat lead by Knight of Malta, Leon Panetta (who's devious daughter is best friends with Hugo Chavez who deals CIA Cocaine to Europe with the help of Knight of Malta, Thabo Mbeki). Of course Leon's head is Roman Catholic, James Clapper the current Director of National Intelligence.

    Remember that British Intelligence took over The Muslim Brotherhood which was originally created in 1928. It was then passed over the Dulles brothers who were Knights of Malta whilst Allen Dulles was actually a Knights of the Virgin Mary IHS (Templar) Soldier (Jesuit) and a Cardinal. The State & Justice Departments of the U.S. recruited The Muslim Brotherhood to go after the anti-British group called the WAFD Party.

    Remember that the Middle East is to be one big Mesh Bloc and its head will be The Latin Kingdom of Jerusalem which to this day is overtly controlled by the Vatican since 1993 via the 'Oslo Accord' created by then Cardinal Ratzinger who later in 2005 was promoted to Pope for bringing the Latin Kingdom home. He used both Edgar Bronfman and Jesuit trained Shimon Peres in doing so.

    You may also see this video:
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=iTDuonTCRrA]YouTube - MIDDLE EAST TURMOIL SPREADING TO CREATE GLOBAL HOLY WAR (1/2)[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=DdoixJzYrPA]YouTube - MIDDLE EAST TURMOIL SPREADING TO CREATE GLOBAL HOLY WAR (2/2)[/ame]
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Jimmy Siri
    เอาแล้วไง !! เมื่อ Max Kaiser ตั้งคำถามกับคนอเมริกันว่า รออะไรอยู่?? ทำไมไม่ลุกขึ้นต่อต่านรัฐบาลและกลุ่มอิลิตแบ๊งเกอร์

    Max Keiser: Start A Revolution Against The Banks
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/7lAHOcmmIpg&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/7lAHOcmmIpg&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    Max Keiser: Max Keiser — Markets Finance Scandal. Full Keiser interview: [ame=http://www.youtube.com/watch?v=9XqjPMv3hcQ]YouTube - Max Keiser In Egypt - The Egyptian Revolution Is Genuine PT1[/ame] Resistance Radio: Resistance Radio
    4 ชั่วโมงที่แล้ว

    Norimaki Arale
    ไปเจออันนี้มาครับ

    Know Your Enemy (Jesuits and the Vatican)
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/uiGMe1KI0gI&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/uiGMe1KI0gI&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    ‎"The Jesuits are a MILITARY organization, not a religious order. Their chief is a general of an army, not the mere father abbot of a monastery. And the aim of this organization is power, power in its most despotic exercise, absolute power, universal power, power to control the world by the volition
    2 ชั่วโมงที่แล้ว

    Jimmy Siri ‎4)การตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นต้องค้นคว้าประวัติศาสตร์ย้อนหลังกลับไปไม่ต่ำกว่า 2 พันปี เพื่อไม่ให้เกิด BS (bias) หรืออคติจากการได้รับข้อมูลสมัยใหม่เพียงด้านเดียว คือก่อนยุคพระคริสต์ เพื่อให้รู้ถึงที่มา อิทธิพลของวัฒนธรรมของอริยะธรรมต่างๆ ที่มีมาบนโลกในรอบ 7,000 ปี จนมาถึงยุคเราก็พอแล้ว คือรู้กรอบเวลา หรือ Time Line คร่าวๆ เหตุการณ์ บุคคลสำคัญ สงครามและการปฏิวัติใหญ่ๆ ของโลก ไม่ต้องไปถึงยุคไดโนเสาร์ครับ 5)ต้องอ่านและเข้าใจบริบทของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะะพวกเค้า...ซ่อนตัว...อยู่ใน "เสื้อคลุม" ของศาสนาคริสต์ โดยการอ้างความเชื่อในเรื่องพระเจ้า ที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องต่างๆ เกือบทั้งหมดจนมาถึงบทสุดท้ายคือหนังสือวิวรณ์ ก็คือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่และดำเนินไปของโลก ณ ปัจจุบัน
    54 นาทีที่แล้ว

    Jimmy Siri เมื่อรัฐยูท่า เสนอกฏหมายให้ใช้ทองคำและเงิน เป็นอีกทางเลือกในการชำระราคาต่างๆ เทียบเท่าเงินสกุลดอลล่า หลังจากที่ "ปฏิเสธ" ทองคำและเงินมากว่า 80 ปี และอีก 40 ปีที่ "กีดกัน" ทองคำและเงินไม่ให้เป็นสกุลเงินจริง หรือ Currency http://www.foxnews.com/politics/2011/03/03/utah-considers-return-gold-silver-coins/ ซึ่งไม่ใช่เพียงยูท่าเท่านั้นครับ ยังมีอีก 12 รัฐที่กำลังพยายามผ่านกฏหมายในลักษณะเดียวกัน นั่นก็คือ Georgia, Montana, Missouri, Colorado, Indiana, Iowa, New Hampshire, South Carolina, Tennessee, Washington, Vermont and Oklahoma
    4 ชั่วโมงที่แล้ว
    เข้าสู่ระบบ | Facebook
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2011
  5. prasong_ch

    prasong_ch สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +24
    "กัดดาฟี"เป็นผู้นำเลวจริงหรือ? เปลว สีเงิน ขออนุญาติลงครับน่าสนใจ

    กัดดาฟี "อยู่หรือไป" ถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องสงสัย เพราะการทำสงครามฆ่าประชาชนดังที่ปรากฏ เรื่องผิด-เรื่องถูก ไม่ต้องพูดถึง พูดได้คำเดียวคือ ต่อให้ชนะประชาชน ได้เมือง-ได้อำนาจคืน ก็ไม่มีทางชนะ "ประชาคมโลก" ที่จะต้องมาจับตัวไปแขวนคอในฐานะอาชญากรมนุษยชาติแหงๆ!
    เข้าแผน-เข้าล็อก ตามกลไกที่เดินไปสู่เป้าหมาย "จัดระเบียบโลกใหม่" หรือที่ได้ยินกันในคำว่า New World Order ภายใต้สมาคมหรือองค์กรลับ "ฟรีเมซั่น" ซึ่งขับเคลื่อนกลไกโดย "องค์การมนตรีความสัมพันธ์ต่างประเทศ" ดังที่เห็นบทบาทอยู่บ่อยๆ ในวงการเศรษฐกิจและการโลกด้วยคำย่อ CFR
    เปัาหมาย โลกทั้งโลก สั่งการโดย "อำนาจเดียว" ในนามรัฐบาลโลก รวมเศรษฐกิจ อเมริกาเหนือ-ยุโรป-ญี่ปุ่น เข้าด้วยกัน ใช้เงินสกุลเดียวกันทั้งโลก เรียกว่าเศรษฐกิจ-การเงิน-การเมือง-การศาสนา รวมศูนย์ขึ้นอยู่กับ "อำนาจเดียว" เป็นจักรวรรดิโลก เป็นระบบเศรษฐกิจใหม่เรียก Corporatocracy ภายใต้เป้าหมาย New World Order
    เดี๋ยวนี้ยี่ห้อ UN-สหประชาชาติ หรือยี่ห้อ WTO-องค์การการค้าโลก ซึ่งเป็นองค์การในเครือข่ายชักใยของสมาคมฟรีเมซั่นเพื่อการ "จัดระเบียบโลกใหม่" เช่นกัน ท่านจะสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยถูกใช้แล้ว โดยเฉพาะ WTO แทบจะหายไปเลย องค์การใหม่ที่กำลังขึ้นมาเดินบทบาทแทนก็คือ
    CFR "องค์การมนตรีความสัมพันธ์ต่างประเทศ" นี่แหละ!
    อิรัก ที่ป่านนี้ก็ยังอิหลัก-อิเหลื่อไม่รู้จบ ก็ฝีมือเขาล่ะ ด้วยเป้าหมาย "จัดระเบียบโลกใหม่" ใครจะปฏิเสธได้ล่ะว่า ที่กระแส "ประชาชนปฏิวัติ" กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วทั้งแอฟริกาเหนือ และอาหรับตะวันออกกลางขณะนี้นั้น คนอยู่ข้างหลังไม่ใช่...ฟรีเมซั่น!?
    โดยเฉพาะลิเบียที่ "นายกัดดาฟี" ปฏิเสธอำนาจตะวันตกมาตลอด เป็นเหมือน "กรวดในรองเท้า" ของฟรีเมซั่น เพราะไม่สามารถใช้ CFR สยายกรงเล็บเข้าครอบครองและควบคุมกลไกเศรษฐกิจและการเมืองได้เหมือนประเทศอื่น
    ดังนั้น การที่ประชาชนลุกฮือขึ้นปฏิวัติ ขับไล่นายกัดดาฟีซึ่งเป็นผู้นำที่ "ไม่ใช่กษัตริย์" คนเดียวในโลกเวลานี้ที่ครองอำนาจต่อเนื่องยาวนานที่สุดถึง ๔๑-๔๒ ปี จะบอกว่า "ฟรีเมซั่นไม่เกี่ยว" ต่อให้อมเทพีสันติภาพกับหอไอเฟลมาพูด ก็ไม่มีใครเชื่อ!?
    และการที่นายกัดดาฟีระห่ำโหด "ฆ่าประชาชน" จะจะอย่างนี้ มัน "เข้าล็อก-เข้าทาง" ยุโรป-สหรัฐ แกนนำสำคัญขององค์กรลับฟรีเมซั่น ที่จะอ้างความชอบธรรมในการอภิบาลสันติภาพโลกและมนุษยชาติ ใช้องค์การในกลไกของเขาคือ ทั้งสหประชาชาติ ทั้งนาโต เข้าจัดการเจี๋ยนนายกัดดาฟีซะ!
    ท่านสังเกตมั้ย ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๙๐ ที่นายจอร์จ บุช ผู้พ่อ ประกาศ "จัดระเบียบโลกใหม่" เป็นต้นมา ประเทศที่เป็น "แหล่งพลังงาน" จะเจอกระแส" อำนาจเปลี่ยนโลก" กันถ้วนหน้า
    อิรัก-ก็แหล่งน้ำมัน อาหรับตะวันออกกลาง-ก็แหล่งน้ำมัน อเมริกาใต้-ก็แหล่งน้ำมัน แอฟริกาเหนือ-ก็แหล่งน้ำมัน และทุกแหล่งตามที่บอกไปนี้ ไม่มีประเทศไหนอยู่สงบสุข โดยปราศจากการลุกฮือเพื่อโค่นล้มอำนาจบริหารและปกครองเลย ซึ่งไม่ใช่เพิ่งตอนนี้ เป็นต่อเนื่องมานานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้ฮิต-ฮอตเป็นพิเศษเท่านั้น
    และนี่คือหนังตัวอย่างที่เราจะได้ตามดูกันต่อว่า แล้ว "กัดดาฟี" ผู้ปฏิเสธอำนาจครองโลกจากยุโรป-สหรัฐ จะตายแบบไหน?
    ก็มาทำความรู้จักองค์การเดินเกม "จัดระเบียบโลกใหม่" กันให้ชัดอีกนิด CFR ย่อมาจาก Council on Foreign Relations ตอน "จอร์จ โซรอส" ทุบค่าเงินบาทจนเกิดวิกฤติ "ต้มยำกุ้ง" ต้องนำประเทศไปจำนำ IMF ในยุคพลเอกชวลิต และนายชวนมารับภาระเป็นรัฐบาลต่อ
    ตอนที่นายกฯ ชวนอยู่นิวยอร์กก็ CRF นี่แหละเป็นเจ้าภาพ และนายจอร์จ โซรอส พ่อตัวดีก็ปรากฏตัวอยู่ในขบวนการ แถมยังเขย่ามือกับนายกฯ ชวนซะอีก
    มารู้จักตัวตน "กัดดาฟี" กันหน่อยดีมั้ย "สื่อมอมโลก" ให้ภาพกัดดาฟีเป็นคนเลวด้านเดียว ลองมารู้จักกันอีกด้าน ผมขออนุญาตเว็บ "บ้านจอมยุทธ" คัดลอกเพื่อการศึกษาร่วมกันนะครับ
    กัดดาฟีเกิดเมื่อ ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจมในทะเลทรายใกล้เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มๆ ว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี พ่อเป็นชาวอาหรับ เบดูอิน ซึ่งพเนจรเร่รอนไปในทะเลทราย เป็นชนเผ่าเบอร์เบอร์ อาชีพเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของเขานับตั้งแต่ปู่ล้วนเคยต่อสู้กับทหารอิตาเลียน ที่เข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาสืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาเลยทีเดียว
    ในวัยเยาว์กัดดาฟีเรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่ออายุได้ 14 ปี ใน ค.ศ. 1956 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลกอาหรับ ก็ได้ก่อให้เกิดความสำนึกทางการเมืองแก่กัดดาฟีอย่างแรงกล้า เนื่องจากในปีนั้น นัสเซอร์ ผู้นำแห่งอียิปต์ได้โอนคลองสุเอซเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ยกทัพบุกอียิปต์
    กัดดาฟีได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้นเพื่อสนับสนุนนัสเซอร์ ผู้เป็นวีรบุรุษของเขา กัดดาฟีเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งเดินขบวนและสไตรค์จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต้องจ้างคูรมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปี ก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่แบงกาซี ตามแบบนัสเซอร์
    เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อย กัดดาฟีก็ค่อยๆ ปลูกฝังความคิดในเรื่องชาตินิยมอาหรับแก่เพื่อนๆ ชั้นเดียวกัน ทำนองเดียวกับที่นัสเซอร์ จัดตั้งขบวนการนายทหารเสรีในวัยหนุ่ม เพื่อปฏิวัติโค่นราชบัลลังก์ฟารุคนั่นเอง
    เมื่อจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้ว กัดดาฟีได้เป็นนายทหารในกองทัพบก และทำงานใต้ดินติดต่อกับเพื่อนๆ นายทหารของตน บรรดานายทหารที่ร่วมวางแผนปฏิวัติกับกัดดาฟีล้วนใช้ชีวิตมัธยัสถ์อดออม เคร่งศาสนาเยี่ยงมุสลิมที่ดี ซึ่งกัดดาฟีได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างมาตลอด
    ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารกลุ่มกัดดาฟีจึงเป็นนายทหารที่หาได้ยากในลิเบีย เพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิง
    กัดดาฟีอายุได้ 24 ปี เขาถูกส่งไปศึกษาต่อวิชาสื่อสารที่ประเทศอังกฤษ 6 เดือน ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 ก็ได้เป็นร้อยเอก ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารสื่อสาร และในปีเดียวกันนั้นเอง กัดดาฟีกับคณะนายทหารของเขาจึงได้ตกลงใจกันที่จะยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลระบบกษัตริย์ของลิเบีย
    ซึ่งลิเบียในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลายเป็นแหล่งดึงดูดมหาอำนาจตะวันตก เพราะได้มีการค้นพบบ่อน้ำมัน ในปี ค.ศ. 1959 ชนชั้นปกครองร่ำรวยล้นฟ้า บริษัทต่างประเทศเข้ามาขอสัมปทานน้ำมัน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลิเบียถัดจากกษัตริย์ไอดริส ได้แก่ตระกูลเชลฮี ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดทางการเมือง
    และจากความมั่งคั่งของชนชั้นปกครอง และความอดอยากยากจนของพลเมือง กัดดาฟีและคณะนายทหารของเขาจึงไม่อาจจะอดทนรอได้ต่อไป วันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ. 1969 ขณะนั้นกษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ และในคืนนั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้เชิญนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากินเลี้ยงกันเป็นการใหญ่
    พอตกค่ำ กัดดาฟีก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหาร และนายตำรวจเหล่านั้นได้ทั้งหมด จากนั้นนายทหารชั้นนายร้อยทั้งหลายก็แยกย้ายกันเข้ายึดเมืองตริโปลีและเบงกาซี โดยใช้รถถังและรถเกาะเข้ายึดสถานีวิทยุ ที่ทำการไปรษณีย์ และสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ตลอดจนค่ายทหารที่อาเซียและพระราชวังด้วย
    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพบกและตำรวจแห่งชาติก็อยู่ภายใต้การบังคับการของกัดดาฟี เพื่อสะดวกแก่การบังคับบัญชาเขาได้เลื่อนยศตนเองเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของสาธารณรัฐลิเบีย และผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาปฏิวัติ ซึ่งสถานะนี้มีอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 12 คน ได้แก่นายทหารที่ร่วมคบคิดกันมากับกัดดาฟีนั่นเอง
    หลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลได้แล้ว กัดดาฟีได้แก้ปัญหาเรื่องเอกราชก่อน โดยการไม่ยินยอมให้สหรัฐและอังกฤษตั้งฐานทัพในลิเบียอีกต่อไป มหาอำนาจทั้งสองจึงต้องถอนกำลังออกทั้งหมด แล้วจึงขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันขึ้นมาอีก 120 เปอร์เซ็นต์ และภายหลังได้โอนมาเป็นของรัฐ ยังผลให้ลิเบียเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางสมัยนั้น
    จากนั้นกัดดาฟีได้ใช้เงินที่ได้จากน้ำมันพัฒนาโครงการเศรษฐกิจ และก่อสร้างบ้านเรือนที่ทันสมัย ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ปรากฏว่ารายได้เฉลี่ยของชาวลิเบียสูงถึง 7,000 เหรียญฯ ต่อปี กัดดาฟียึดรถยนต์เมอร์เซเดส ที่เจ้านายและนักการเมืองในอดีตใช้กันอย่างหรูหรา ได้ถึง 600 คัน ส่วนตนเองใช้รถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ และยังได้ลดเงินเดือนรัฐมนตรีลงครึ่งหนึ่ง ลดค่าเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยของคนจนลง 1 ใน 3
    หลักการปฏิวัติของกัดดาฟีนั้นมีอยู่ในหนังสือที่เขาเขียนเอง ที่เรียกกันว่า Green Book ซึ่งเป็นการนำเอาหลักการต่างๆ ในพระคัมภีร์กุรอานมาปรับใช้ในโลกสมัยใหม่ เขาถือว่าลัทธิทุนนิยมล้าสมัยไปหมดแล้ว ส่วนลัทธิมาร์กซ์ก็คือสังคมยูโทเปีย ที่ปกครองด้วยระบบราชการ
    จากความจำเป็นอันเนื่องมาจากมหาอำนาจตะวันตก ล้วนเป็นปรปักษ์ต่อลิเบีย กัดดาฟีจึงต้องซื้ออาวุธจากโซเวียตเป็นจำนวนมาก ทั้งรถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และยุทโธปกรณ์อย่างอื่นอีก จึงไม่แปลกเลยที่ในสายตาของชาวลิเบียและชาวอาหรับมากมาย กัดดาฟีคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอาหรับ ผู้สืบทอดอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับจากนัสเซอร์ ทั้งที่ในสายตาของรัฐบาลอเมริกา เขาคือปีศาจร้ายที่ต้องต้องทำลายให้สิ้น เพราะอยู่เบื้องหลังพวกก่อการร้ายชาวอาหรับจำนวนมาก
    จบเท่านี้ครับ ขอขอบคุณเว็บไซต์ "บ้านจอมยุทธ" ด้วย และท่านที่สนใจมากกว่านี้ เปิดดูได้นะครับ.
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กัดดาฟี กำลังจะพบจุดจบจริงหรือ?


    [​IMG]

    กัดดาฟี ในคำทำนายของนอสตราดามุส

    .“A colonel will plot through ambition He will scize the greatest part of the army Against his Prince through a false inveention... He will be discovered under his fiag.”

    ความหมาย “นายพันเอกจะวางแผนด้วยความทะเยอทะยาน เขาจะยึดกองทัพใหญ่ เป็นการปฏิปักษ์ต่อเจ้านายของเขาด้วยกลลวง เขาจะถูกคนพบโดยซ่อนอยู่ภายใต้ธงของเขา

    (C10;Q96) “The Religion named after the occean will overcome against the seet of the son Adaluncatif The obstin ate, deplored will be afraid of the two wounded Aleph and Aleph (Alif).”

    ความหมาย “ศาสนามีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอดาลูกาทิ๊ฟผู้บุตร พวกหัวดื้อพวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง “อาลิฟ” กับ “อาลิฟ” ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง” มีผู้ตีความจากปริศนาของโคลงบทนี้โดยนำเอาตัวอักษร Adaluneatif ถ้ามาจับสลับเรียงกัน ใหม่จะได้ความว่า Cadafi Luna หรือ Khaddafi Moom หมายถึงกัดดาฟี่แห่งพระจันทร์เสี้ยว (พระจันทร์เสี้ยวคือเครื่องหมายของศาสนาอิสลามนั่นเอง)

    หากจะวิเคราะห์จากโครงทั้งสองบทของนอสตาดามูสข้างต้น ทำให้เราต้องให้ความสำคัญต่อคนผู้นี้ ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะเป็นแอนตี้ไคร้สต์คนที่ 3 เราลองมาดูถึงความเป็นมาของชายผู้ที่นอสตาดามูสต้องกล่าวถึงผู้นี้ กัดดาฟี่ เกิดจากครอบครัวคนเลี้ยงแกะชาวบูอินที่ยากจน ซึ่งเป็นชนเผ่าอาหรับอยู่ในดินแดนลิเบีย ชีวิตของเขาคล้ายกับซัดดัม ฮุสเซน เพราะเมื่อเขาโตขึ้นกัดดาฟี่ได้เข้าสังกัดอยู่ในกองทหารกษัตริย์อิดริส

    โดยในปี ค.ศ. 1969 กัดดาฟี่ได้ทำการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์อัดริสได้สำเร็จ ซึ่งตรงกับคำทำนายที่ว่า “เขาจะวางแผนด้วยความทะเยอทะยาน เขาจะยึดกองทัพใหญ่ เป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้านายของเขาด้วยการลวง และได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดในเวลาต่อมา กัดดาฟี่ได้ปฏิรูปการปกครองของประเทศอย่างแข็งกร้าว ไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจการครอบงำของชาติตะวันตกอีกต่อไป (เพราะเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส) เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีของชาวลิเบียกลับมา

    แนวความคิดของเขาได้รับการตอบรับและร่วมมือจากประชาชนอย่างล้นหลาม ถึงกับเปรียบกัดดาฟี่ให้เป็นคล้ายผู้นำทางศาสนา เช่นอีหม่าม ความที่กัดดาฟี่เติบโตขึ้นมากับความแร้นแค้นยากจน พบกับความอยุติธรรมมามากมาย ทำให้จิตใจของเขาดูแข็งแกร่งเด็ดขาดและเหี้ยมโหด สามารถกระทำการได้ทุกอย่างเพื่อให้เพียงบรรลุตามประสงค์ กัดดาฟี่ในฐานะผู้นำของลิเบีย จึงมีอุดมการณ์แข็งกร้าวต่อสหรัฐอเมริกากับอิสราเอลมาโดยตลอด เหมือนไม้เบื่อไม้เมา ด้วยความที่เป็นคนหัวรุนแรงของประเทศจึงเป็นศัตรูต่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐอย่างเปิดเผย

    เมื่อปี ค.ศ. 1986 กัดดาฟี่สั่งยิงกองทัพเรือของสหรัฐที่ช่องแคบซีดรา ทำให้สหรัฐในขณะนั้นมีประธานาธิบดีโรแนลด์ เรแกน ออกคำสั่งตอบโต้ในทันที โดยส่งฝูงบินโจมตีเมืองหลวงของลิเบียยังผลให้มีคนล้มตายเป็นอันมาก ซึ่งนั่นรวมถึงลูกสาวของกัดดาฟี่รวมอยู่ด้วย ทำให้กัดดาฟี่สงบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในความสงบของกัดดาฟี่นั้นแฝงอยู่ด้วยความแค้น ที่รอวันจะระเบิดเมื่อถึงเวลาและเมื่อเขาพร้อมจริงๆ แม้ว่าแสนยานุภาพของกองกำลังกัดดาฟี่ไม่อาจเทียบสหรัฐได้

    ทว่ากัดดาฟี่ก็ยังใช้ยุทธวิธีก่อการร้ายอย่างได้ผล ซึ่งจะต้องรัดกุมกว่าเดิม ใครจะทราบได้ว่าคนผู้นี้อาจลักลอบวางระเบิดนิวเคลียร์สหรัฐ โดยการลอบประกอบชิ้นส่วนทีละชิ้นตามเมืองต่าง ๆ แล้วจึงจะระเบิด เพราะในปัจจุบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ มิใช่สิ่งปกปิดอีกต่อไป กลับหาซื้อได้ไม่ยากหากมีเงินมากพอ ซึ่งลิเบียก็มีศักยภาพทางการเงินอยู่มากพอ หรือเขาอาจใช้วิธีชักนำประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางโดยใช้กลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น อีหร่าน, ซาอุดิอาระเบีย, ปากีสถาน, ซีเรีย, อีรัก ฯลฯ โดยอาศัยอุดมการณ์ทางศาสนาเป็นแกนนำความขัดแย้งซึ่งมักได้ผลเสมอ

    บทสรุปของชายที่ชื่อ “มาบูซ” Mabus ซึ่งได้กล่าวถึงมาแล้วคือ 1. ประธานาธิบดี “ซัดดัม ฮุสเซน” ผู้นำประเทศอีรัก 2. ประธานาธิบดี “โมฮัมมัด กัดดาฟี่” ผู้นำประเทศลิเบีย 3. นาย “อาบู นิคาล” หรือ “อาบู มูซา” หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายฟาตาห์ 4. นาย “อาบู แอบบาซ” หัวหน้าหน่วยขบวนการปลดปล่อยชาติปาเลสไตน์ เป็นต้น ลักษณะต่าง ๆ ที่บุคคลที่ซึ่งมีอยู่โดยรวมจะคล้ายกัน 7 ข้อ

    1) ความเครียดแค้นที่มีต่อจักรวรรดิ์ตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา
    2) ความโหดเหี้ยมอย่างไร้มนุษยธรรม ฆ่าได้ทุกคนแม้ผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมาย
    3) ความป่าเถื่อนที่ต้องการแต่ใช้กำลังเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม
    4) เป็นคนที่มีถิ่นฐาน กำเนิดอยู่ตะวันออกกลาง และนับถือศาสนาอิสลาม
    5) มีชื่อคล้าย หรือคล้องจองกับคำว่า “Mabus” ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    6) เป็นคนที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความแร้นแค้นยากจน ลอบล้อมด้วยความอยุติธรรมในสังคม
    7) เป็นผู้ที่ก้าวสู่ตำแหน่งสูงด้วยการฆ่า, หักหลัง, ทรยศ

    ซึ่งเป็นคุณสมบัติของมาบูซ ซึ่งนอสตาดามุสได้ทำนายไว้ว่า เขาเหล่านี้หรือผู้ที่มีคุณสมบัติครบใน 7 ข้อนี้ จะเป็นแอนตี้ไคร้สต์ ผู้ต่อต้านศาสนาคริสต์หรือผู้ที่จะนำโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งเราเองมิอาจรู้ได้ว่าจะมีความรุนแรง มากน้อยเพียงใด อันเนื่องมาจากความทันสมัยของอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่มีความทันสมัย และมีอำนาจการทำลายล้างสูงมาก ประเทศในแถบตะวันออกกลางนี้ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความร่ำรวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีการทำสงครามระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา

    ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันทุกประเทศที่อยู่ในแถบนี้ ต่างไม่ไว้ใจกันระแวงซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะสิ้นชาติได้หากไม่ได้ระวังตัวพอ เราพบว่าภูมิภาคในแถบนี้เองได้มีการสั่งสมอาวุธยุทธโธปกรณ์ ที่จะเอาไว้เพื่อเหตุผลต่าง ๆ เช่นเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกราน, เพื่อรักษาความสงบภายในประเทศ เพราะมักเกิดจราจลและปฏิวัติได้ง่าย,เพื่อรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน, เพื่อการแก้แค้น, เพื่อการก่อการร้ายในรูปแบบต่าง ๆ, เพื่อเป็นผู้นำในกลุ่มตะวันออกกลาง

    ด้วยเหตุผลที่มีมากมายขนาดนี้ ด้วยความร่ำรวยที่สามารถสั่งซื้อได้ จึงทำให้ภูมิภาคนี้มีอาวุธมากที่สุดในโลก อย่างชนิดที่คนทั้งโลกอาจคิดไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเชื่อได้ว่าเมื่อกลุ่มประเทศเหล่านี้เกิดลุกฮือต่อต้านสหรัฐและกลุ่มจักรวรรดิ์นิยมตะวันตกเมื่อไร โลกจะได้เห็นว่าเรื่องจริงความสูญเสียของการทำสงครามแต่ละครั้ง คิดค่าเป็นเงินมีมากมายกว่าแปดพันล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ

    ที่มา http://members.fortunecity.com/somsak_luang/mabus2-3-4.htm<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต คุณเกษม http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1181
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปท.เอเชียห่วง'ลุกฮือ'ทุ่มเงินอุดหนุน ช่วยประชาชนสู้ราคา'อาหาร-น้ำมัน'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 มีนาคม 2554 21:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอเอฟพี - ราคาอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิงในเวลานี้ กำลังทะยานขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า และบรรดาชาติในเอเชียซึ่งต่างจับตามองสถานการณ์การลุกฮือในตะวันออกกลางด้วยความกังวลใจ จึงยังพากันใช้มาตรการอุดหนุนชดเชยรูปแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้ประชาชนถึงกับต้องแบกรับผลกระทบอย่างเต็มเหนี่ยว แม้ว่าพวกนักวิเคราะห์จะเตือนว่าการกระทำเช่นนี้จะให้ผลลบในระยะยาวก็ตามที

    บรรดาเศรษฐกิจในเอเชียส่วนใหญ่แล้วสามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยที่สหรัฐฯ, ยุโรป, และญี่ปุ่น กำลังเผชิญอยู่ โดยที่ในเวลานี้ พวกเขากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเติบโตรวดเร็วร้อนแรงเกินไปด้วยซ้ำ สืบเนื่องจากปัจจัยทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำ, ประชากรที่มั่งคั่งมากขึ้นมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยกันสูงขึ้น, รวมทั้งการที่มีเงินทุนหลั่งไหลทะลักเข้ามาจากโลกตะวันตก

    ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากอากาศเลวร้ายในหลายๆ ภูมิภาคของโลก จึงทำให้ซัปพลายของสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐาน โดยเฉพาะธัญญาหารหลายๆ ประเภทเกิดการขาดแคลน ซึ่งทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

    เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) รายงานว่า ดัชนีราคาอาหารโลก ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาหลายเดือนแล้ว ได้ขยับขึ้นไปทำลายสถิตินี้อีกคำรบหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มิหนำซ้ำเอฟเอโอยังเตือนด้วยว่า ราคาอาหารโลกยังอาจจะกระโจนพรวดขึ้นไปอีก จากการที่ราคาน้ำมันก็กำลังพุ่งโด่งอย่างน่ากลัว จากกระแสการลุกฮือของประชาชนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ

    รัฐบาลของชาติต่างๆ ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย หรือชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม เวลานี้จึงต่างกำลังพยายามลดทอนผ่อนเบาความรู้สึกลำบากเดือดร้อนของประชาชนในประเทศ ด้วยการประกาศใช้มาตรการประชานิยมอย่างเช่น การอุดหนุนชดเชยราคาสินค้า, การแจกจ่ายเงินสด, และการควบคุมราคาสินค้า

    ปัจจัยต่างๆ ที่กลายเป็นเชื้อเพลิงให้แก่ “การปฏิวัติดอกมะลิ” ซึ่งทำให้ผู้นำของตูนิเซียและอียิปต์ถูกโค่นล้ม และคุกคามที่จะทำให้ลิเบียตกลงสู่ภาวะสงครามกลางเมืองนั้น อันที่จริงแล้วไม่ได้ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในแถบเอเชีย โดยที่ชาติต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ส่วนใหญ่มีระบอบการเมืองที่มีการเลือกตั้งตามแบบตะวันตกแม้จะยังไม่ค่อยแข็งแรงมั่นคงนัก ส่วนเศรษฐกิจก็สามารถเติบโตขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

    ทว่ารัฐบาลในเอเชียก็ยังกระวนกระวายใจกับความโกลาหลในกรุงตริโปลีและไคโร และปรารถนาที่จะหลีกหนีจากกระแสการต่อต้านรัฐบาล ซึ่งอาจจะไม่ถึงกับกลายเป็นการลุกฮือโค่นล้มพวกเขา แต่ก็อาจบีบคั้นให้ต้องจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด

    ในอินเดีย ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ราคาหัวหอมใหญ่ ที่เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของอาหารแดนภารตะส่วนใหญ่ ขยับขึ้นไปเท่าตัวในชั่วไม่กี่วัน ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงเดินขบวนครั้งใหญ่เป็นระลอก จนรัฐบาลต้องรีบเข้าแก้ไขปัญหา

    สำหรับในร่างงบประมาณแผ่นดินที่เสนอออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว ปรากฏว่ารัฐบาลนายกรัฐมนตรีมานโมหัน ซิงห์ ยังคงมาตรการอุดหนุนราคาอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ต่อไป ขณะที่เพิ่มการใช้จ่ายด้านสังคมขึ้นอีก 17% ตลอดจนเก็บมาตรการช่วยเหลือคนยากจนที่เป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาลไว้ดังเดิม

    ที่จีนแม้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงมาหลายเดือน โดยที่ความพยายามในการผ่อนคลายของทางการยังไม่ประสบผล แต่ในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลได้ออกมาตรการอุดหนุนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และสัปดาห์ที่แล้วก็มีการประกาศแผนการให้เงินอุดหนุนกันเป็นกิจลักษณะในเวลาที่อัตราเงินเฟ้อขึ้นสูง

    ในสิงคโปร์ที่กำลังเตรียมจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ปรากฏว่างบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลเสนอออกมามีมาตรการอย่างเช่น เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ซึ่งมุ่งไปที่ผู้มีรายได้น้อย ขณะที่จะลดภาษีและคืนภาษีให้ชนชั้นกลาง

    อย่างไรก็ตาม พวกนักวิเคราะห์และนักวิชาการ เป็นต้นว่า อีเลียน มิฮอฟ ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์แห่งสถาบัน INSEAD วิทยาเขตสิงคโปร์ ชี้ว่า แม้เวลานี้รัฐบาลเอเชียยังมีฐานะเกินดุลงบประมาณอยู่มาก จึงมีเงินที่จะใช้จ่ายดำเนินมาตรการเหล่านี้ ทว่ามันย่อมจะทำให้วิกฤตเงินเฟ้อยิ่งเลวร้ายลงอีกในระยะยาว

    Around the World - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัฟกันลุกฮือต่อต้านมะกัน กรณี ฮ.นาโต “ยิงเด็กดับ” 9 ศพ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>6 มีนาคม 2554 16:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ผู้ประท้วงชาวอัฟกานิสถานเดินขบวน ในกรุงคาบูล วันนี้ (6) หลังเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังนานาชาติสังหารเด็กชาวบ้านไป 9 ราย เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มตอลิบาน

    เอเอฟพี - ชาวอัฟกานิสถานหลายร้อยคน รวมตัวชุมนุมกลางถนนกรุงคาบูล วันนี้ (6) เพื่อประท้วงต่อการเสียชีวิตของเด็ก 9 ราย ผลพวงจากปฏิบัติการไล่ล่าทางอากาศของกองกำลังนาโต ในพื้นที่ห่างไกลทางทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มตอลิบาน

    กลุ่มผู้ประท้วงร่วมกันตะโกนก้องว่า “อเมริกาไปตายซะ ... ผู้รุกรานไปตายซะ” ขณะเดินขบวนไปตามท้องถนนในกรุงคาบูล โดยการชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นในทำนองเดียวกับการรวมตัวประท้วงในจังหวัดคูนาร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันอังคาร (1) หลังการโจมตีทางอากาศของนาโตทำให้เด็กอัฟกานิสถาน 9 รายเสียชีวิต ขณะพวกเขากำลังหาไม้ฟืน

    ประธานาธิบดี ฮามิด คาร์ไซ แห่งอัฟกานิสถาน ได้ออกมาขอโทษขอโพยประชาชน และประณามการสังหารเด็กทั้ง 9 ราย รวมทั้งกล่าวพาดพิงถึงประธานาธิบดี บารัค โอบามา และ พล.อ.เดวิด เพทราอุส ผู้บัญชาการกองกำลังนานาชาติในอัฟกานิสถาน อย่างโกรธแค้น

    “เราไม่ต้องการทหารผู้รุกราน” ผู้ประท้วงรายหนึ่งป่าวร้อง พร้อมกับถือรูปของเด็กผู้เสียชีวิตในมือ ส่วนผู้ประท้วงอีกรายหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “รัฐบาลประธานาธิบดีฮาร์มิด คาร์ไซ ไปตายซะ” ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมล้วนถือป้ายคำบริภาษต่อต้านสหรัฐฯ โดยมีหญิงมุสลิมรายหนึ่งถือป้ายข้อความว่า “การยึดครอง = การสังหาร + การทำลาย”

    การเสียชีวิตของพลเรือนเป็นประเด็นอันแสนเปราะบางในอัฟกานิสถาน ซึ่งกำลังทหารนานาชาติกว่า 140,000 คน ที่นำโดยสหรัฐฯ เข้าประจำการ หวังกวาดล้างกลุ่มตอลิบาน

    อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี คาร์ไซ เผยว่า การเสียชีวิตของพลเรือนจากปฏิบัติการทางทหาร ทำให้ประชาชนเริ่มลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ซึ่งสนับสนุนสหรัฐฯ มาโดยตลอด การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนเป็นสาเหตุสำคัญของความตึงเครียดระหว่าง รัฐบาลกรุงคาบูลกับชาติตะวันตก สหรัฐฯ และ นาโต

    การเสียชีวิตของเด็ก 9 รายจากการไล่ล่าทางอากาศของเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นชนวนการประท้วงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มตอลิบานยิงจรวดโจมตีด่านชั้นนอกในพื้นที่หุบเขาของทหาร ด้านกองกำลังสนับสนุนความมั่นคงระหว่างประเทศ (ไอเอสเอเอฟ) ของนาโต รายงานว่า มีการเข้าใจผิดว่า เด็กๆ ทั้ง 9 คนเป็นกลุ่มกบฏที่ต่อเหตุโจมตีฐานดังกล่าว ทำให้มีปฏิบัติการไล่ล่า อันนำมาซึ่งจุดจบของผู้ไร้เดียงสาทั้งเก้า

    สัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี ฮาร์มิด คาร์ไซ เปิดเผยว่า กองกำลังนาโตได้สังหารประชาชนผู้ไม่มีอาวุธไปอีก 65 ราย ระหว่างปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดคูนาร์ หลังจากนั้นยังเกิดเหตุสังหารชาวบ้านขึ้นอีกครั้ง ซึ่งรัฐบาลอัฟกานิสถานเผยว่า มีพลเรือน 6 คนเสียชีวิตในจังหวัดนันการ์ฮาร์ จากปฏิบัติการไล่ล่าทางอากาศเช่นกัน

    กองกำลังนาโตที่มีสหรัฐฯ เป็นแกนนำแถลงเพียงว่า กำลังดำเนินการสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    [​IMG]

    สหรัฐฯ คือเป้าหมายหลัก ที่ชาวอัฟกานิสถานต่อต้าน

    [​IMG]

    หญิงมุสลิมถือป้ายรูปเด็กที่เสียชีวิต พร้อมข้อความว่า “การยึดครอง = การสังหาร + การทำลาย”

    Around the World - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กบฏลิเบียจับตัว “ทหาร-ทูตอังกฤษ” หลังบุกเข้าไป “ขอคุย” ถึงถิ่น

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 มีนาคม 2554 13:59 น.


    [​IMG]

    คลังแสงของฝ่ายกบฏในเมืองเบนกาซี ซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยาน

    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ (เอสเอเอส) และนักการทูตชั้นผู้น้อยรายหนึ่งของอังกฤษ ถูกกลุ่มกบฏในเมืองทางตะวันออกของลิเบียจับตัว หลังภารกิจสานความเข้าใจกับฝ่ายต่อต้านล้มเหลว หนังสือพิมพ์เดอะซันเดย์ไทม์สรายงาน

    สื่อเมืองผู้ดีฉบับดังกล่าวรายงานอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวหลายแห่งว่า กำลังทหารของหน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษ (เอสเอเอส) ซึ่งคาดว่ามีทั้งหมด 8 คน ถูกจับพร้อมกับนักการทูตอังกฤษ 1 คน โดยหน่วยรบพิเศษเอสเอเอสกลุ่มนี้รับภารกิจคุ้มครองนักการทูตคนดังกล่าว ระหว่างเดินทางเข้าไปยังเมืองทางตะวันออกของลิเบีย ซึ่งถูกกลุ่มกบฏยึดครอง อย่างไรก็ตามโฆษกกระทรวงต่างประเทศอังกฤษให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี ว่า “ไม่สามารถให้การยืนยัน หรือ ปฏิเสธรายงานชิ้นดังกล่าว”

    การปรากฏตัวโดยไม่ได้รับเชิญของหน่วยรบพิเศษเอสเอเอส เคียงข้างกับนักการทูตอังกฤษ “ทำให้แกนนำฝ่ายต่อต้านไม่พอใจ จึงมีคำสั่งให้ควบคุมตัวทหารกลุ่มดังกล่าวไว้” หนังสือพิมพ์เดอะซันเดย์ไทม์สรายงาน

    ข้อมูลจากสื่อผู้ดีฉบับนี้ชี้ว่า ฝ่ายต่อต้านผู้นำลิเบีย “เกรงว่า มูอัมมาร์ กัดดาฟี จะใช้การแทรกแซงของทหารชาติตะวันตก เข้าไปยังเมืองที่กบฏยึดครอง เป็นเหตุผลปลุกระดมผู้รักชาติให้สนับสนุนระบอบการปกครองของเขาต่อไป”

    เดอะซันเดย์ไทม์สอ้างแหล่งข่าวชาวอังกฤษอีกรายหนึ่ง ซึ่งยืนยันว่ามีการจับตัวเจ้าหน้าที่อังกฤษจริง โดยนักการทูตชั้นผู้น้อยคนดังกล่าวมีทหารหน่วยรบพิเศษเอสเอเอสคอยติดตาม และเข้าไปยังเมืองของฝ่ายกบฏ เนื่องจากต้องการติดต่อหารือกับกลุ่มกบฏ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวใกล้ชิดแกนนำกลุ่มกบฏกลับระบุว่า ฝ่ายต่อต้านกังวลว่าประชาชนชาวลิเบียอาจเข้าใจผิด คิดว่า “กองกำลังนานาชาติเริ่มแทรกแซงดินแดนลิเบีย”

    นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (1) ว่า ชาติตะวันตกควรเริ่มติดต่อกับฝ่ายกบฏลิเบีย เพื่อสานความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ ฝ่ายกระทรวงกลาโหมอังกฤษก็ออกมายืนยันว่า มีกำลังทหาร 200 คน เตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง หากจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้อพยพ หรือปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรมในลิเบีย

    ผลสำรวจความคิดเห็นของบริษัทวิจัยยูโกฟ (YouGov) จากผู้ใหญ่ชาวอังกฤษ 2,413 คน เมื่อวันพฤหัสบดี (3) และวันศุกร์ (4) พบว่า มีเสียงส่วนน้อยที่คล้อยตามการใช้กำลังทหารแทรกแซงลิเบีย ทั้งนี้ พบว่า 69 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อ มูอัมมาร์ กัดดาฟี อีก 56 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับการกำหนดเขตห้ามบินในลิเบีย ทว่า มีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนการส่งกำลังทหารอังกฤษเข้ากอบกู้ลิเบีย และ 11 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ยอมรับการใช้กำลังทหารนานาชาติ

    [​IMG]

    ชาวลิเบียหลายพันคนร่วมกันละหมาดเมื่อวันศุกร์ (4) ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายในเมืองเบนกาซี ซึ่งตกอยู่ในการควบคุมของฝ่ายกบฏ

    [​IMG]

    ฝ่ายต่อต้านในเมืองเบนกาซีนำหนังสือของ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ออกมาเผา

    Around the World - Manager Online -
    __________________
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปักกิ่งใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่ง “แค่ใช้มือถือ ก็รู้ที่อยู่ได้”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 มีนาคม 2554 17:51 น.


    [​IMG]



    ตี๋น้อยกำลังง่วนอยู่กับการกินไปโทรไป หน้าจัตุรัสเทียนอันเหมิน แต่ตอนนี้รัฐบาลปักกิ่งกำลังจะใช้เทคโนโลยีติดตามการเคลื่อนไหวประชาชนจากการใช้มือถือระบุพิกัดแล้ว (ภาพเอเยนซี)


    เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - รัฐบาลปักกิ่งประกาศเมื่อวันอังคาร (1 มี.ค.) “ด้วยเทคโนโลยีระบุตำแหน่งบนผิวโลกล่าสุดจะทำให้รัฐบาลสามารถทราบได้ว่า ขณะนี้คุณใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ใด”

    สื่อท้องถิ่นรายงาน (2 มี.ค.) โครงการนี้เรียกว่า “แนวทางติดตามความเคลื่อนไหวพลเมือง” โดยมีเป้าประสงค์เพื่อติดตามดูประชาชนในปักกิ่งกว่า 20 ล้านคน ตลอด 24 ชั่วโมง “ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน ในห้องน้ำ รถไฟใต้ดิน หรือไปเที่ยวชมจัตุรัสเทียนอันเหมิน.. รัฐบาลก็จะรู้ได้”

    ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดต่อแบบเทคโนโลยีไร้สาย กล่าวว่า ระบบติดตามฯ จะมีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่จะสามารถตามรู้ตำแหน่งปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารรถตรวจจับการรวมตัวของฝูงชนแบบผิดปรกติได้อีกด้วย

    ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ารัฐบาลออกโครงการนี้มาเพื่อป้องกัน “ชุมนุมดอกมะลิ” หรือป้องกันเหตุไม่สงบอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยี “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” นี้ ทางการจะรู้ได้ว่า จุดต่อไปที่ฝูงชนนัดรวมตัวเป็นที่ไหนกันแน่

    หลี่ กั๋วกวง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปักกิ่ง ผู้ทำโครงการฯ ร่วมกับไชน่า โมไบล์ และอีกสองบริษัทมือถือของรัฐบาลจีน ไชน่า ยูนิคอม และ ไชน่า เทเลคอม หลี่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเป่ยจิง เดลี่ ว่า “โครงการนี้ใช้เพียงเพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดเท่านั้น”

    “บริษัทมือถือทั้งหลายประเคนข้อมูลการใช้บริการของประชาชนให้กับรัฐบาล ก็ทำให้รัฐบาลรู้การกระจายตัวและการเคลื่อนไหวของประชาชน ซึ่งก็จะได้ข้อมูลที่แม่นยำอย่างไม่เคยมีมาก่อน” หลี่กล่าว

    “เพื่อให้รู้การกระจุกตัวของฝูงชน โครงการนี้ฯ จะทำให้การสัญจรของประชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดปัญหาจราจรติดขัด โดยข้อมูลที่รัฐบาลได้รับก็จะทำให้รู้ว่า รถไฟใต้ดินขบวนไหนคนแน่น รถโดยสารสายไหนคนเต็ม ถนนเส้นไหนคนมาก” หลี่เสริม

    ประชาชนที่ต้องการได้รับข้อมูลเหล่านี้เพื่อความสะดวกในการสัญจร จะต้องเสียค่าบริการด้วย

    หลี่กล่าวต่อว่า “ประเด็นนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวอยู่ไม่น้อย เช่นว่าใครอยู่ที่ไหน และจะไปไหน ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็จะเก็บอยู่ที่หน่วยงานของรัฐเท่านั้น”

    สถานีวิทยุแห่งชาติจีนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ในกรุงปักกิ่งหวังที่จะเริ่มโครงการในแถบที่มีประชากรหนาแน่น เช่น บริเวณเทียนทงย่วน และหุยหลงกวน ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้

    เฉิน เต๋อหรง ศาสตราจารย์ด้านการติดต่อแบบไร้สาย ประจำมหาวิทยาลัยไปรษณีย์และโทรคมนาคมปักกิ่ง กล่าวว่า “เทคโนโลยีการระบุพิกัดจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ก็อยู่บนหลักการพื้นฐานง่าย ๆ ตามทฤษฎีการใช้วิทยุสื่อสารนี่เอง”

    โทรศัพท์มือถือจะส่งสัญญาณต่อเนื่องมายังเครื่องรับคลื่นที่สร้างโดยผู้ให้บริการ (บริษัทมือถือ) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจานดาวเทียมติดตั้งอยู่บนตึกสูง แต่ละคลื่นความถี่จะส่งมาถึงในเวลาที่ต่างกันไป และหากคำนวณช่วงความแตกต่างเหล่านี้ บริษัทฯ ก็จะสามารถปักหมุดตำแหน่งที่มีการใช้โทรศัพท์นั้นได้

    เฉินกล่าวว่า “แผนของปักกิ่งนี้ก็เพื่อต้องการผนวก 3 บริษัทมือถือให้เข้าร่องเข้ารอยเดียวกัน เพื่อให้สามารถติดตามทุกคนที่ใช้โทรศัพท์ได้”

    “โครงการนี้รัฐบาลจะไม่ใช้เพียงเพื่อดูข้อมูลจราจรเท่านั้น แต่จะใช้เพื่อการรักษาความสงบของสังคมด้วย เช่น เพื่อป้องกันการก่อการร้าย เป็นต้น” เฉิน ปิดท้าย

    China - Manager Online -
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 7 มีนาคม 2554 09:35

    ทองทำนิวไฮ!รูปพรรณขายออก21,100บาท

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    ทองทำนิวไฮรอบใหม่! วันนี้ขึ้นอีก 100 บาท รูปพรรณขายออกบาทละ 21,100 บาท ทองแท่งขายออก 20,700 บาท

    สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทอง 96.5% ประจำนวันที่ 7 มีนาคม 2554 ทองคำแท่งรับซื้อคืนบาทละ 20,600 บาท ขายออก 20,700 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 20,299.24 บาท ขายออก 21,100 บาท

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 7 มีนาคม 2554 01:00

    กาแฟดำ

    อุ้มราคาน้ำมันรังแต่ จะสั่งสมปัญหาต่อเนื่อง

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    ถ้าการแก้ปัญหาราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ อยู่ที่การเอาภาษีประชาชนมา “อุ้ม” ราคาเอาไว้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง

    ผมว่าใครก็เป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีพลังงาน หรือรัฐมนตรีตำแหน่งไหนก็ได้
    ประชาชนเขาให้นักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรีก็เพื่อจะ “บริหาร” บ้านเมือง ไม่ใช่มาทำในสิ่งที่เสมียนคนไหนๆ เขาก็ทำได้ เช่น พอข้าวของแพง ชาวบ้านร้องเรียน แทนที่จะอธิบายความจริงที่เกิดขึ้น กลับบอกว่าจะเอาเงินของชาวบ้านเองมาอุ้มให้ราคาอยู่ที่ชาวบ้านอยากจะเห็น...ทั้งๆ ที่ก็คือการเอาเงินเขามาอุ้มเขาเองนั่นแหละ

    มิใช่ฝีมือการบริหารของคนระดับนายกฯ หรือรัฐมนตรีเลยแม้แต่น้อย
    ถึงวันนี้ รัฐบาลตรึงราคาดีเซลไม่ให้เห็น 30 บาทต่อลิตรมาแล้วประมาณสองเดือน ใช้เงินไปแล้วกว่า 8,000 ล้านบาทแล้ว

    ประเมินกันว่าถ้าจะตรึงราคาดีเซลให้อยู่ในระดับนี้ไปถึงเดือนเมษายนอย่างที่นายกฯ เกริ่นเอาไว้ ก็จะต้องใช้เงินอีกไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท

    เงินก้อนนี้ไม่ได้เอาจากงบประมาณโดยตรงก็จริง แต่ก็มาจากประชาชนผู้ใช้น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์
    เท่ากับเป็นการเก็บเงินจากประชาชนกลุ่มหนึ่งมาอุดหนุนประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยที่ประชาชนกลุ่มที่ต้องเสียสละนั้นไม่มีทางเลือก ต้องทำตามที่ผู้มีอำนาจกำหนดให้เป็นไป… ด้วยเหตุผลทางการเมืองนี่แหละ

    และยิ่งเมื่อรัฐบาลไปตรึงราคาดีเซลเอาไว้ให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในโลกของความเป็นจริง ก็เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนหันไปใช้น้ำมันดีเซลกันมากขึ้น เพราะเมื่อมันถูก ผู้บริโภคก็ถูกชักจูงให้มาใช้โดยอัตโนมัติ เหมือนรัฐบาลส่งสัญญาณให้คนในประเทศมาใช้ ดีเซลกันเป็นการใหญ่

    อย่างนี้ไม่แปลว่าสวนทางกับที่รัฐบาลมีนโยบายให้ประหยัดการใช้พลังงานหรือ?
    ต้องถามว่ามือซ้ายรู้ไหมว่ามือขวาทำอะไรอยู่?
    ด้านหนึ่งบอกให้ประหยัด อีกด้านหนึ่งเชียร์ให้ใช้น้ำมันกันเป็นว่าเล่น
    มีใครบอกประชาชนไหมว่าทุกวันนี้การที่ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 30 บาทได้นี่เพราะกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยอุ้มไว้ลิตรละ 5 บาทแล้ว
    แปลว่าราคาจริงๆ ที่คนใช้ดีเซลจะต้องจ่ายนั้นอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตร แต่ทุกคนก็ยังหลงเข้าใจผิดคิดว่ามันคือ 30 บาทเพราะนโยบายอุดหนุนของรัฐบาลนี่แหละ
    ขณะที่ทั้งโลกโวยวายว่าราคาน้ำมันดิบแพงขึ้น แต่คนไทยที่ใช้ดีเซล ยังรู้สึกทุกอย่างเหมือนเดิม...เรียกว่ายังหลอกตัวเองต่อไปจนกว่าความจริงจะปรากฏ นั่นคือเมื่อกองทุนน้ำมันหมดเกลี้ยงต่อหน้าต่อตา
    และเมื่อต้องขึ้นราคากันจริงๆ ก็จะกระโดดพุ่งพรวดพราดขึ้นไปหลายเท่าตัว...เมื่อนั้นแหละ ความจริงที่ผู้คนรับไม่ได้ก็จะเกิดขึ้น และปัญหาสังคมกับการเมืองก็จะระเบิดออกมา
    อีกทั้งนโยบายประหยัดพลังงานที่ลงทุนลงแรงกันมหาศาลมาตลอดหลายปีก็จะไม่มีทางสำเร็จได้
    นายกฯ บอกกับนักข่าวคล้ายๆ กับว่ากองทุนน้ำมันยังมีเงินเหลือ 8,000 ล้านบาท จึงสามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ถึงสิ้นเมษาฯ
    แต่นั่นแปลว่านายกฯ ไม่เห็นว่าวิกฤติการเมืองในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือที่กำลังวุ่นวายหนักอยู่วันนี้จะลามปาม จนกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบและจะดันราคาน้ำมันขึ้นไปเกิน 100 หรือ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างที่กลัวกัน
    หากน้ำมันดิบพุ่งพรวดพราดอย่างนั้น กองทุนน้ำมันก็ไม่มีเพียงพอที่จะอุ้มราคาดีเซลไปถึงปลายเดือนเมษาฯ อย่างที่กล่าวอ้างกันได้เลย
    กรุณาอย่าลืมว่ากองทุนน้ำมันนั้นมีภาระที่ต้องแบกรับอย่างอื่นอีกมากมาย ไม่ใช่แค่เพียงอุ้มราคาดีเซลเพื่อเอาใจคนที่รัฐบาลต้องการจะเอาใจเท่านั้น
    พรุ่งนี้ว่าต่อครับว่านโยบายอุ้มราคาน้ำมันดีเซลนั้น ทำไมจึงจะก่อปัญหา เพราะนักการเมืองผู้ปกครองประเทศ ขาดความกล้าหาญ และการอธิบายความจริงของโลกให้ประชาชนคนไทยได้ฟัง

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 6 มีนาคม 2554 01:00
    <DD class=columnist-name>คิดใหม่ วันอาทิตย์ <DD class=by-line>อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ </DD>ช่วงนี้ผมมักเจอคำถามยอดฮิตจากผู้คนในสังคม เมื่อเจอหน้ามักจะถามอยู่ 3-4 คำถาม ที่มีความเกี่ยวพันกัน ลองมาหาคำตอบ ว่าควรจะตอบยังไง

    เพื่อทำให้คนถามสบายใจ-พอใจในคำตอบ ที่บางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องการคำตอบจริงจังสักเท่าไหร่ ออกจะถามในอาการเบื่อๆ เซ็งๆ เสียมากกว่า
    คำถามแรก "นายกรัฐมนตรีของเรา" จะยุบสภาเมื่อไหร่
    คำถามที่สอง พวก "เสื้อเหลือง" จะเลิกชุมนุมเมื่อไหร่
    คำถามที่สาม พวก "เสื้อแดง" จะมาชุมนุมใหญ่กันอีกเมื่อไหร่และเมื่อไหร่จะไม่มาชุมนุมอีก
    คำถามที่สี่ ไทยกับเขมรจะเลิกทะเลาะเลิกยิงกันเมื่อไหร่




    สังเกตว่าทุกคำถามมักจะลงท้ายด้วยคำว่า "เมื่อไหร่" คำถามลงท้ายทำนอง "เมื่อไหร่" มักจะสะท้อนอาการ "เบื่อโว้ย" เสียมากกว่าอยากจะได้คำตอบ หรือ "เมื่อไหร่" มันจะจบกันเสียทีรำคาญเต็มทนแล้ว



    อารมณ์คนไทยในปี 2554 ผ่านมา 2 เดือนน่าจะอยู่ประมาณนี้ แล้วยิ่ง "เซ็งหนัก" กับข้าวของราคาแพงแบบเรียงหน้ากระดานกันที่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" มักจะอยู่ในสภาวะเงอะงะไม่รู้จะทำยังไงดี

    ใครจะไปคาดคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ปลูกปาล์มกันแพร่หลายในภาคใต้ แต่ทำไมคนไทยจะต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันพืช ที่ผลิตจากปาล์มแล้วได้โควตากันไปคนละขวด

    กะอีแค่แก้ปัญหาผลผลิตปาล์มขาดแคลนไม่พอมาทำน้ำมันพืชน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ มาก เช่น เปิดนำเข้าเข้ามาก็หมดปัญหา ฯลฯ แต่ดูเหมือนว่าพอปัญหาไปเกี่ยวพันเรื่องอาหารการกินของชาวบ้านเมื่อไหร่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" มักจะหันรีหันขวางทำอะไรไม่ค่อยถูก แล้วสักพักจะมีพลพรรคสาวกประชาธิปัตย์ "ผีเจาะปากมาพูด" เถลไถลอ้างไปว่าปัญหาอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ดูแล ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

    เรื่องส่งเสริมเป็นนโยบาย "ชั่งกิโลขายไข่ไก่" เพื่อแก้ปัญหาไข่ไก่แพงก็ทำเอา "นายกรัฐมนตรีของเรา" เสียรังวัดไปหลายขีด เพราะอุตส่าห์บรรยาย "เป็นวรรคเป็นเวร" ว่าสำรวจมาแล้วทดสอบมาแล้วน่าจะช่วยทำให้ "ผู้บริโภค" ซื้อไข่ไก่ได้ราคาถูกลง

    แต่เอาเข้าจริงนโยบายนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าทีมงานนายกรัฐมนตรีของเราทำงานอย่างไม่ "ติดดิน" อยู่ในห้องแอร์บนหอคอยงาช้าง ไม่น่าจะเคยเดินตลาดจริงๆ น่าจะทดสอบชั่งกิโลไข่ไก่ในห้องแอร์เสียมากกว่า จึงไปป้อนข้อมูลข้อดีชั่งกิโลไข่ไก่ให้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ที่มีพื้นฐานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ มองในแง่ทฤษฎีวิชาการก็น่าจะโอเคนะ

    ลองเป็น "อดีตนายกรัฐมนตรี" ที่ล่วงลับไปแล้วอย่าง คุณสมัคร สุนทรเวช ก็แทบจะพูดได้เลยว่าควรหรือไม่ควรออกนโยบายนี้ แล้วยังสามารถอธิบาย "เป็นคุ้งเป็นแคว" น้ำไหลไฟดับได้ว่าข้อดีข้อเสียเป็นยังไงแล้วสรุปออกมาได้ชัดๆ อย่างยากจะเถียงแกได้ เพราะคุณสมัครเป็นนักการเมืองที่ชอบเดินตลาดสดมากที่สุดในแวดวงนักการเมืองไทย เข้าถึงจิตถึงใจพ่อบ้านแม่บ้านและแม่ค้าพ่อค้าว่าไข่ไก่ควรจะขายยังไงจึงจะอยู่กันได้ทั้งสองฝ่าย

    ผมไม่เคยเห็น "นายกรัฐมนตรีของเรา" คุณอภิสิทธิ์ออก "จ่ายตลาด" จริงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงออกจะเห็นใจเมื่อต้องมาแก้ปัญหา "ข้าวของราคาแพง" ที่ตัวเองไม่ค่อยได้สัมผัสด้วยตัวเองสักเท่าไหร่

    ปัญหาสินค้าราคาแพงทุกวันนี้จึงกลายเป็นเรื่องของ "วัวพันหลัก" อาจจะทำให้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" เสียรังวัดสางไม่ออกสักเรื่องจนทำให้คะแนนนิยมวูบลงได้

    แค่เรื่องราคาน้ำมันดีเซลที่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" พูดสำทับหลายครั้งว่าจะต้องตรึงราคาขายปลีกไว้ไม่ให้สูงกว่า 30 บาทต่อลิตร เรื่องนี้น่าจะกลายเป็นปัญหา "ระเบิดเวลา" ที่แก้ได้ยากยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้กองทุนน้ำมันเหลือเงินไว้ชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกดีเซลไว้อีกประมาณ 20 วันเท่านั้น

    คณะกรรมการนโยบายบริหารนโยบายพลังงานเพิ่งอนุมัติให้กองทุนน้ำมันเพิ่มเงินชดเชยการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจากลิตรละ 4.5 บาทเป็น 5 บาทต่อลิตรเมื่อวันที่ 5 มี.ค. เพราะต้นทุนราคาน้ำมันดิบได้ทะยานขึ้นมากจากปัญหาลิเบีย

    เมื่อ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ได้ใช้อำนาจไปบิดเบือนราคาน้ำมันดีเซล สำทับหลายครั้งไม่ให้สูงกว่า 30 บาทต่อลิตรแม้ต้นทุนจะสูงขึ้นก็ไม่ต่างจากยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันจนกองทุนน้ำมันติดลบไปหลายหมื่นล้านบาท

    ยิ่ง "นายกรัฐมนตรีของเรา" ไปพูดในทำนองเห็นด้วยกับนโยบาย "สองสูง" ตามแนวคิดของเจ้าสัวซีพี "ธนินท์ เจียรวนนท์" ที่พยายามล็อบบี้นโยบาย "สองสูง" คือปรับค่าแรงขั้นต่ำเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้นโดยไม่ต้องกลัวว่าราคาสินค้าค่าครองชีพจะสูงขึ้น

    เหตุผลของเจ้าสัวคือเมื่อคนไทยมีกำลังซื้อมากขึ้นทันทีสัก 25-30% ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นตามก็ไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด แต่จะช่วยทำให้ประเทศของเราโดยรวมมีกำลังซื้อทำให้เศรษฐกิจหมุนในวงใหญ่ขึ้น ภาคการผลิตก็จะดีขึ้นเอง

    "นายกรัฐมนตรีของเรา" จึงมักจะทดสอบเจ้าของกิจการทำนองอยากจะให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ขึ้นไปถึง 300 บาทต่อวันเลยจะไหวกันหรือเปล่า แต่หากลองถามคนงานกรรมกรว่าฟังอย่างนี้จะเทคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

    คำตอบมักจะออกมาในทำนอง "เอาแค่ค่าแรงขั้นต่ำที่ใช้อยู่ก็ไม่ได้แล้ว อย่าไปพูดถึงวันละ 300 บาท" ออกน้ำเสียงไม่เชื่อมั่นสักเท่าไร แล้วอย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์จะได้คะแนนในเรื่องนี้ได้อย่างไร เป็นเรื่องของระบบความคิดไม่ครบวงจรทำไม่ครบสูตรทำให้คนทั่วไป เชื่อว่านโยบายสองสูงจะประสบความสำเร็จด้วยฝีมือนายกฯ อภิสิทธิ์

    แต่ในทางกลับกันกลับยิ่งทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคกระดี๊กระด๊าพาเหรดขึ้นราคากันไม่เกรงใจ "นายกรัฐมนตรีของเรา" กันเลย เพราะพ่อค้าแม่ค้าน่าจะรู้ว่า "นายกรัฐมนตรีของเรา" ไม่ค่อยมีน้ำยา (ความสามารถ) ในการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง

    ยิ่งตอนนี้เห็นสปอตทีวี-วิทยุทุกช่องทุกสถานี ยิงกระหน่ำทุกชั่วโมงอยู่เรื่องเดียว "การศึกษา" ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาประเทศของเราอย่างยั่งยืน ด้วยเสียง "นายกรัฐมนตรีของเรา" พูดสโลแกนทำนอง "เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน"

    ผมคิดว่าสปอตชิ้นนี้ปล่อยออกมาในห้วงเวลาที่ "ไม่ค่อยถูกกาลเทศะ" สักเท่าไหร่ เพราะเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องเร่งปฏิรูปการศึกษา แต่ก็นั่นแหละมันเป็นปัญหาระยะยาวที่ไม่ต้องมาป่าวประกาศกันตอนนี้ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ อยู่แล้วจะไปเร่งรัดให้เป็นผลก็คงไม่ได้สักเท่าไหร่

    จึงออกจะเสียดาย "เงินของพรรคประชาธิปัตย์" ที่มาละเลงในการโหมโรงในห้วงเวลาที่ชาวบ้านร้องระงมเรื่องปัญหาปากท้องสินค้าราคาแพง แล้วยังไม่ได้คำตอบชัดๆ สักทีว่า "นายกรัฐมนตรีของเรา" จะยุบสภาเมื่อไหร่

    เพราะในหมู่แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังถกเถียงกันไม่จบระหว่าง "คนหนุ่ม" กับ "คนแก่" ในพรรคที่มีแนวคิดต่างกัน

    คนหนุ่มอย่างคุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ออกตัวชัดๆ หลายเรื่องที่มีแนวโน้มว่าอยากจะให้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ยุบสภาเร็วๆ เพื่อจะได้ขายนโยบายประชาวิวัฒน์อย่างเต็มรูปแบบ แล้วยังเดินตามรอย "นายกรัฐมนตรีของเรา" ออกหนังสือ Mission Impossible ที่ว่าด้วยการทำงานของตัวเอง 2 ปีเต็ม เลือกตั้งเมื่อไหร่หนังสือเล่มนี้น่าจะถูกพิมพ์ออกมาเป็นหลักหลายๆ แสนเล่มเพื่อแจกจ่ายหาเสียงแน่นอน

    คนแก่อย่างคุณชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคกับอีกหลายๆ คนก็ไม่ค่อยได้กระตือรือร้นออกหน้าออกตาเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง เดาๆ เอาว่าสไตล์คุณชวนก็คืออยู่ให้นานที่สุด ตามสิทธิจนกว่าจะครบวาระของสภาผู้แทนราษฎรในปลายปี

    คนหนุ่มประชาธิปัตย์ "ร้อนวิชา" อยากจะให้ยุบสภาเร็วๆ เพื่อจะกลับมาด้วยคะแนนเสียงมากขึ้นแล้วจัดทำงบประมาณปี 2555 ได้สะดวกขึ้น แต่คนแก่หัวอนุรักษนิยมของประชาธิปัตย์อยากให้ว่าไปตามครรลองไม่ต้องไปเร่งรีบยุบสภา

    คำถามเรื่องยุบสภาเมื่อไหร่คงไม่มีใครเดาใจ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ได้ แต่หากปัญหา "วัวพันหลัก" เรื่องราคาสินค้าแพงยังแก้ไม่ตก แล้วยังค้างคาจากปัญหากลุ่มคนเสื้อเหลืองชุมนุมขับไล่รัฐบาลอย่างไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ที่ทำไปทำมาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเขาพระวิหารแล้ว เพราะกลุ่มคนเสื้อเหลืองได้ "ยกระดับ" ขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ด้วยตรรกะเหตุผลทำให้สาวกเชื่อว่า "อภิสิทธิ์เลวกว่าทักษิณ" ด้วยข้อหาโกงกิน-ขายชาติ-เลวทรามมากกว่าก็ยากจะทำให้เลิกชุมนุมได้

    ถ้า "นายกรัฐมนตรีของเรา" ยุบสภาก็ไม่น่าจะเป็นเหตุเป็นผลให้ผู้นำ พธม.ประกาศเลิกชุมนุม "กลับบ้านมือเปล่า" แต่อาจจะกลับตาลปัตรทำให้แกนนำกลุ่มคนเสื้อเหลือหรือในทางแนวร่วม "พรรคการเมืองใหม่" เสนอยุทธศาสตร์จับขั้วกับพรรคเพื่อไทยไปเลยหรือเปล่า เพราะในเมื่อ พธม., กลุ่มเครือข่ายคนไทยรักชาติ และแกนนำพรรคการเมืองใหม่เสียงข้างมากเห็นตรงกันว่า "อภิสิทธิ์เป็นภัยต่อประเทศมากกว่าทักษิณ" ก็น่าจะสร้างความ "ชอบธรรม" พอในการผนึกกำลังโค่น "ทรราชอภิสิทธิ์" ไม่ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองได้

    ต่อไปอาจจะได้ยินอาการประสานเสียงแคมเปญ "สนั่นดีกว่าอภิสิทธิ์" ระหว่างคนที่เกลียดคุณอภิสิทธิ์เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของประเทศของเรา

    คำถามที่สอง พวก "เสื้อเหลือง" จะเลิกชุมนุมเมื่อไหร่ก็คงยากได้คำตอบที่ถูกต้องเป๊ะได้คร้าบๆๆ
    ส่วนคำถามที่สาม พวก "เสื้อแดง" จะกลับมาชุมนุมใหญ่อีกเมื่อไหร่ก็ยังพอจะคาดเดาได้ง่ายกว่าพวก "เสื้อเหลือง" จะเลิกชุมนุมเมื่อไหร่

    ยุทธวิธีของกลุ่มคนเสื้อแดงน่าจะดัดแปลงมาจาก "นวด" ให้ "น่วม" แล้วค่อย "ทุบ
    " ทำนองมึงแหย่กูหยุด-มึงหยุดกูแหย่แรงๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" หมดแรงไปเองจากปัญหารุมเร้าวัวพันหลักลิงแก้แหพังไปเอง

    สถานการณ์บ้านเมืองของเราตอนนี้เลยอยู่ในสภาพ "เสื้อเหลือง" กับ "เสื้อแดง" เป็น "แนวร่วมมุมกลับ" ที่มีศัตรูร่วมคือ "นายกรัฐมนตรีของเรา" อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดนี้ ยิ่ง "นายกรัฐมนตรีของเรา" เริ่มออกอาการ "เมาหมัด" จากปัญหาข้าวของแพงยืนพิงเชือกอันเป็นผลจากไม่ค่อยได้เคยเดินจ่ายตลาดทำให้ออกหมัดแก้ปัญหาชกไม่ค่อยถูกเป้า แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาว่าจะแพ้ชนะกันเมื่อไหร่ บอกคำเดียวอาการอย่างนี้พวกเราคนไทย...เบื่อโว้ย!!

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 6 มีนาคม 2554 08:59
    ธ.กลางผู้ดีเตือนอังกฤษเสี่ยงวิกฤติการเงิน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    ลอนดอน - ผู้ว่าการธนาคารกลางผู้ดี เตือนอังกฤษเสี่ยงเกิดวิกฤติการเงินอีกครั้ง หากไม่ผลักดันการปฏิรูปภาคธนาคาร

    นายเมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ วานนี้ (5 มี.ค.) ว่าระบบธนาคารในอังกฤษยังมีความไม่สมดุล อันเริ่มขยายตัวขึ้น และอังกฤษเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติการเงินขึ้นอีกครั้ง หากไม่ผลักดันการปฏิรูปภาคธนาคาร
    คำพูดของนายคิงมีขึ้น ในช่วงที่คณะกรรมการภาครัฐกำลังพิจารณาว่าสถาบันการเงิน ควรถูกบังคับให้แยกธุรกิจด้านการลงทุนและค้าปลีกออกจากกันหรือไม่

    "เราปล่อยให้ระบบธนาคารขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการบ่มเพาะความผุพังของตัวเอง เรายังไม่ได้แก้ปัญหาธนาคารที่ใหญ่เกินจะปล่อยให้ล้ม หรือสำคัญเกินจะปล่อยให้ล้ม ซึ่งแนวคิดที่ว่า สำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้ล้มนั้น ไม่ควรมีในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี" นายคิงระบุ
    เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลประกาศว่าได้ทำข้อตกลงกับธนาคารรายใหญ่ๆ เรื่องการจ่ายโบนัสและการปล่อยกู้โดยรวม ในความพยายามสกัดการให้ผลตอบแทนมากเกินแก่ผู้บริหาร และเพิ่มความแข็งแกร่งแก่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
    นายจอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลัง กล่าวว่า โบนัสโดยรวมที่ธนาคาร 4 รายใหญ่ที่สุดในประเทศ จ่ายให้แก่พนักงานนั้น จะลดลงจากปีที่แล้ว อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง
    ทั้งนี้ ธนาคารกลางตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ 0.50% เมื่อเดือนก.พ. ในช่วงที่อังกฤษกำลังเผชิญการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอันไม่แน่นอนและเงินเฟ้อ นายคิงกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ของการขึ้นดอกเบี้ยแต่เสริมว่าหากขึ้นดอกเบี้ยเร็วไปจะไม่มีประโยชน์ เพราะแม้ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะเพิ่มแรงกดดันให้มีการขึ้นดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางก็วิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวอันเปราะบาง

     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 6 มีนาคม 2554 10:07
    กัดดาฟีร้องยูเอ็น-เอยูเข้าสอบเหตุรุนแรงในปท.

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    ผู้นำลิเบีย ระบุต้องการให้ยูเอ็น หรือเอยู เข้าสอบสวนเหตุรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ

    พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้สัมภาษณ์นิตยสารเลอ เจอร์นัล ดู ดิมองเช ของฝรั่งเศส ว่า ต้องการให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) หรือสหภาพแอฟริกัน (เอยู) เข้ามาสอบสวนเหตุความไม่สงบในลิเบีย
    "อย่างแรกเลย ผมอยากให้คณะกรรมการสอบสวนจากยูเอ็น หรือเอยู เดินทางมาที่ลิเบีย เราจะเปิดทางให้คณะกรรมการเหล่านี้ทำงานอย่างเสรี"
    ผู้นำลิเบีย กล่าวด้วยว่า รู้สึกยินที่ที่ฝรั่งเศส จะให้ความร่วมมือ และเป็นแกนนำในคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว และว่า นาวิกโยธินเนเธอร์แลนด์ 3 นาย ที่โดนจับกุมไว้ ขณะเข้าปฏิบัติการอพยพโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นนักโทษ และว่า การจับกุมนี้ เป็นเรื่องปกติ

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 7 มีนาคม 2554 06:00

    คน ฝนฟ้า และปริศนา 'สวาปาล์ม'

    โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

    ออกมาทั้งจุกฟ้า,ชมพู น้ำมันก็ยังขาด แถมล่าสุดมี "ปาล์มกะเทย" เข้ามาก่อเรื่องยุ่งอีก สถานการณ์อีรุงตุงนังนี้ หักปากกาเซียนปาล์มกันเป็นแถว

    "มันพูดยาก" ... ตลอด 1 ชั่วโมงเศษๆ ที่สนทนา สุระ ตั๊นวิเศษ ฝ่ายส่งเสริมการวิชาการ บริษัทสุขสมบูรณ์ น้ำมันปาล์ม จำกัด จ.ชลบุรี หล่นคำนี้มาไม่ต่ำกว่าๆ 7 ครั้ง หลังจากถามไถ่ถึงสถานการณ์น้ำมันปาล์มขาดแคลนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

    ตำแหน่งในนามบัตรคือ ฝ่ายส่งเสริมวิชาการ แต่ภาษาชาวบ้านๆ สุระจัดว่าเป็น "เซียนปาล์ม" คนหนึ่ง ด้วยความที่คลุกคลีกับปาล์มมาหลายสิบปี เริ่มจากทำสวนปาล์มเอง ขายเอง ไล่เรื่อยมาจนถึงหน้าที่ใน บ.สุขสมบูรณ์ 5-6 ปีแล้ว ซึ่งยาวนานพอๆ กับอายุของน้ำมันปาล์มตรา "ไชยโย" และ "ทับทิม" ยี่ห้อที่เราไม่ค่อยคุ้น จนถึงวันที่น้ำมันขาดหาย เราจึงได้เห็น 2 ขวดนี้ยึดพื้นที่บนเชลฟ์ตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ

    "วิกฤติคราวนี้มันก็เป็นโอกาสให้คนได้รู้จักน้ำมันเรา" สุระ แจกแจงว่าที่ผ่านมา การเข้าไปแข่งขันกับรายใหญ่ๆ ยากเหลือเกิน

    มีเรื่องติดตลกที่เข้ามาถึงหูสุระหลายครั้ง จนเจ้าตัวต้องเล่าสู่กันฟังว่า ด้วยความที่ยังใหม่ในตลาด ผู้บริโภคหลายคนพาลนึกไปว่า ยี่ห้อทับทิมเป็นน้ำมันที่ผลิตมาจากผลทับทิม อีกทางเลือกหนึ่งของตลาดในช่วงขาดน้ำมันปาล์ม

    "ที่เราตั้งชื่อว่าทับทิม เพราะมันเป็นอัญมณี ให้ความรู้สึกใสๆ สะอาด คนไทยชอบ อย่าง แวว มรกต หรือหยก แต่รู้ไหมว่า น้ำมันเหลืองๆ เข้มๆ มีประโยชน์มากกว่า" อย่างเช่นน้ำมันในมาเลเซีย ที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเพิ่งมีมติอนุมัติให้องค์การคลังสินค้านำเข้ามาเป็นลอตที่ 2 จำนวน 120,000 ตัน
    จึงมีคำถามไล่หลังที่ยังคาใจผู้บริโภคที่ต้องใช้น้ำมันอย่างจำกัดจำเขี่ย ว่า
    "น้ำมันปาล์มเราไม่มีถึงขนาดต้องนำเข้ากันจริงๆ หรือ"
    ขณะเดียวกับเกษตรกรและต้นน้ำของสายพานอย่าง สุระ ก็ยังเก็บความสงสัย ว่าน้ำมันปาล์มที่พวกเขาผลิตไป มันหายไปไหนกลางทาง
    "เรายอมรับว่าผลผลิตน้อย แต่ในวงการก็ไม่คิดกันว่าจะขาดแคลนกันมากขนาดนี้"
    หากจะให้สรุปสภาวะที่เกิดขึ้น สุระเปรียบเทียบว่า คือ การหักปากกาเซียนปาล์มของแท้


    น้ำน้อย ปาล์มหด?
    หักปากกาเซียนอย่างไร สุระให้ข้อมูลว่า ผลผลิตน้ำมันช่วงนี้ ต้องมองกลับไปช่วง 40 เดือนก่อน เพราะเป็นช่วงต้นปาล์มกำลังสร้างช่อดอก และ ช่อดอกจะค่อยะเติบโตเป็นทะลายปาล์มให้เราได้สกัดน้ำมันในวันนี้

    "การกระจายและปริมาณน้ำฝนในปี 2551 ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ฝนน้อยกระจายไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลผลิตค่อนข้างต่ำ"
    ศักดิ์ศิลป์ โชติสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน กรมส่งเสริมการเกษตร ช่วยอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นว่า ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อปาล์ม มีอยู่ 4 ข้อ คือ สภาพพื้นที่ปลูก ตัวต้น สภาพแวดล้อม และแมลง

    ข้อแรก ปาล์มชอบที่ลุ่มต่ำ โดยเฉพาะที่ดินแถบชายเลที่ความชื้นสูงจะดีมาก ข้อต่อมา ตัวต้น ถ้าปาล์มอายุน้อย ผลจะออกมากแต่น้ำหนักน้อย ส่วนปาล์มอายุมาก 15 ปีขึ้นไป น้ำมันมาก ทะลายจะน้อย
    ปัจจัยที่สาม ปาล์มชอบอากาศร้อนชื้น พื้นที่ในระยะ เหนือ-ใต้ ของเส้นศูนย์สูตร 10-15 องศา คือพื้นที่ที่ปลูกปาล์มได้ เราจึงได้เห็น ชลบุรี ปทุมธานี ปลูกไม้เศรษฐกิจชนิดนี้นอกเหนือไปจากพื้นที่ภาคใต้ ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ แมลง ไม่ค่อยมีผลมากเมื่อเทียบกับสามปัจจัยแรก

    "ธันวาคม 2550-มกราคม 2551 กระบี่,ชุมพร ฝนตกน้อยมาก มีผลต่อการสร้างช่อ ถ้าน้ำดี ดินดี ปุ๋ยดี ช่อที่ได้จะเป็นตัวเมีย มีน้ำมัน แต่ถ้าไม่ดี ก็จะกลายเป็นตัวผู้ พอมาถึงปี 52 น้ำก็แล้ง ตัวผู้ก็เยอะ จนมาปลายปี 53 ฝนตกชุก (น้ำท่วม) เมื่อตอนปลายปี แมลงก็เข้าไปผสมเกสรไม่ได้ ช่อดอกก็ฝ่อ อีกส่วนก็โดนเชื้อราเข้าไปทำลาย"
    อธิบายเพิ่มเติมจากฟากชลบุรีได้อีกว่า ที่นี่เองในช่วงเวลานั้น วัดน้ำฝนได้ราวๆ 1,200-1,600 มม.ซึ่งปริมาณที่ปาล์มต้องการจริองๆ อยู่ที่ 1,800 มม.ต่อปี
    เช่นนั้นในตลาดปาล์มล่วงหน้า ศักดิ์ศิลป์และสุระ จึงเห็นตรงกันว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปาล์มจึงน้อยลง...แต่ก็ไม่มาก เกือบๆ 10 เปอร์เซ็นต์จากที่เคยได้ปกติ
    "แต่พอถึงฤดูจริงๆ มันกลับกลายว่าต่ำกว่ามาตรฐานลงไปอีก 10-20 เปอร์เซ็นต์ เพราะตามหลัก มันจะน่าจะเยอะในช่วงมีนาคมแล้ว แต่กลับเป็นว่ายังขาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงปลายปี-ต้นปี ราคาปาล์มสูง ไปถึงผลละ 11 บาท ปกติ 7 บาทก็หรูแล้ว เกษตรกรเลยแอบตัดทั้งที่ยังโตไม่เต็มที่ เพราะกลัวว่าราคาจะลง น้ำมันที่ควรจะได้เยอะ เลยหลุดหายไปเพราะตรงนั้น ปกติปาล์มเข้ามา 100 กก.จะได้น้ำมันราวๆ 20 กก.แต่ถ้าปาล์มไม่ได้มาตรฐาน เปอร์เซ็นต์น้ำมันก็ต่ำลงมาอีก" สุระอธิบาย
    สมัยที่เรายังซื้อน้ำมันได้ในขวดละ 38 บาท ช่วงนั้นเกษตรกรขายปาล์มได้ในราคาผลละ 3-4 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แบกกันหลังแอ่นมากเมื่อบวกลบคูณหารต้นทุนทั้งหมดแล้ว
    จึงไม่แปลกที่เกษตรกรจะชิงตัดขายเมื่อได้ราคาสูง เพราะโดยธรรมชาติของราคาผลผลิต เมื่อใดที่ราคาพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็จะร่วงรูดในอัตราที่เร็วไม่แพ้กัน
    "จนตอนนี้มาอยู่ที่ผลละ 7 บาท ก็ยังไม่ค่อยพอใจกัน เป็นธรรมดาครับ คนเคยได้เยอะกว่านี้" ราคาต่อขวดจึงมาอยู่ที่ 47 บาท


    ปาล์มเพศที่สาม
    ในวงเสวนาเรื่อง "วิกฤติน้ำมัน : ปัญหาและทางออก" ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สุดารัตน์ เตชะศรีประเสริฐ รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยถึงสาเหตุส่วนหนึ่งว่า เป็นเพราะปาล์มบางส่วน กลายเพศเป็นปาล์มกะเทย ทำให้น้ำมันที่ควรจะได้ น้อยลงกว่าเดิม

    "จากการลงพื้นที่สำรวจสวนปาล์มในภาคใต้ เราพบว่าปาล์มที่ควรจะเป็นตัวเมีย กลับกลายเป็นกะเทยไปบางส่วน" สุดารัตน์ อธิบาย

    ปาล์มกระเทยคืออะไร ?
    คนในสวนอย่างสุระ ขยายความว่า คือลักษณะที่เกิดขึ้นในปาล์มทะลายเล็กหรือปาล์มเกิดใหม่ เป็นการพัฒนาช่อดอกที่ไม่สมบูรณ์
    "คือมีทั้งทะลาย(ผล)และช่อดอกติดมาด้วย" เขาเลคเชอร์วิชาปาล์มต่อไปว่า ปาล์มเป็นต้นไม้ที่ไม่มีต้นพ่อต้นแม่ หรือเป็นพืชสมบูรณ์เพศ แต่เพราะสภาพอากาศแปรปรวน เลยทำให้ปาล์มไม่เป็นทั้งตัวผู้และตัวเมีย
    แต่ถามว่าได้น้ำมันไหม สุระตอบว่าได้ แต่น้อย
    กับอีกสภาวะหนึ่งคือ ช่อดอกพัฒนาไปเป็นตัวผู้ แทนที่จะเป็นตัวเมีย ผลก็คือ ไม่มีน้ำมันเลย
    "ถ้าช่อดอกเกิดมาในหน้าฝน น้ำดี ปุ๋ยดี ช่อดอกตัวนี้จะเป็นตัวเมียและพัฒนามาเป็นทะลายให้เราตัด แต่ถ้าช่อดอกตัวนี้ออกมาในหน้าแล้ง น้ำน้อย ปุ๋ยไม่มี ช่อดอกจะเปลี่ยนเป็นตัวผู้โดยอัตโนมัติ เราเรียกมันว่าเป็นความแปรปรวนทางสายพันธุ์ ลักษณะรูปทรงที่ได้เลยผิดแปลกออกไป"
    ศักดิ์ศิลป์จากกรมส่งเสริมการเกษตรสำทับร่วมอีกว่า แม้ช่อดอกจะพัฒนาเป็นตัวเมีย (มองย้อนกลับไป 30 เดือน) แล้ว แต่ถ้าไปเจอฝนชุกมากๆ แมลงไม่สามารถเข้าไปผสมเกสรได้ ทะลายปาล์มก็จะฝ่อและเหี่ยว

    "เดิมที่คาดการณ์กันว่าปีนี้น่าจะได้ น้ำมันปาล์มที่ 1,300,000 ตัน ผลผลิตกลับออกมาจริงๆ แต่ 900,000 ตัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการขาดแคลน แต่ถามว่ามีสาเหตุอื่นๆ อีกไหม ตอบได้เลยว่า มี"

    หนึ่งในนั้นคือ การกักตุน
    "ถ้าผมมีน้ำมันปาล์มอยู่ 100 ตัน (2 ล้านขวด) น้ำมันขวดละ 38 กระโดดไปเป็น 47 บาท ส่วนต่าง 9 บาท กักตุนแค่ไม่กี่วันก็ได้กำไร 18 ล้านบาทแล้ว" ศักดิ์ศิลป์ยกตัวอย่าง

    บางส่วนคือครัวเรือนซื้อตุนไว้ที่บ้าน อีกส่วนส่งออกขายประเทศเพื่อนบ้าน
    "ส่งในอัตราส่วนปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ารัฐบาลไหวตัวทันก็น่าจะสกัดไว้ก่อนได้"
    และอีกส่วนที่เป็น "ปริศนา" ซึ่งเป็นสัดวส่วนที่ศักดิ์ศิลป์เชื่อว่าน่าจะมี..เยอะ
    เช่นเดียวกับสุระ ที่ให้คำตอบในกรณีนี้ว่า "มันพูดยาก" อยู่หลายครั้ง แต่ยอมรับว่าในหมู่นักเลงปาล์ม นี่คือ เหตุการณ์ไม่ปกติ
    "ถ้าดูจากจำนวนที่มันหายไปในตลาด ระหว่างผลผลิตลดลงกับหายไปโดยไม่มีสาเหตุ ผมว่าอย่างหลังมีปริมาณมากกว่า"
    คลุกคลีกับปาล์มน้ำมันมาเป็นสิบๆ ปี ผ่านช่วงฟ้าฝนไม่เป็นใจมาก็หลายครั้ง แต่กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ สุระตอบอย่างเต็มไปเต็มคำเลยว่า "เกิดมาไม่เคยเจอ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ปาล์มลูกละ 11 บาท (ยิ้ม) ขนาดหลายปีก่อน เจอเอลนินโญ ยังไม่ขนาดนี้เลย แต่อย่างว่าล่ะครับ เรื่องนี้มันคุยยาก ของมันขาดจริง แต่ก็ไม่น่าจะมากขนาดนี้"
    ข่าวที่ว่ากันว่า นักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังวิกฤติน้ำมันปาล์มคราวนี้ ต้องมีเส้นสายพอสมควร ถึงขนาดมีอำนาจกำหนดทิศทางและนโยบายพลังงานแห่งชาติได้ และนักการเมืองรายนี้ ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อรับซื้อ-ค้าน้ำมัน โดยสั่งตรงจากมาเลเซียเพื่อเอาไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาว ในการนำไปใช้เป็นไบโอดีเซล
    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ "ยอดลม" ที่ทำทีว่าสั่งมาจากมาเลเซีย แต่กลับไปลักเอาผลผลิตในประเทศไปส่งขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้านแทน เพื่อโก่งราคาให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้น เนื่องจากวัตุดิบขาดแคลน - เหตุผลที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด


    47 บาทขาดตัว
    ขณะนี้มีน้ำมันจุกสีฟ้าและจุกสีชมพู ออกมาขัดตาทัพไปพลางๆ แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การกักตุน(สำหรับรายย่อย)ยังมีอยู่ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ของจะขาดอีก

    แต่สำหรับต้นน้ำ สุระยืนยันว่าเขาและแวดวงน้ำมันปาล์มเท่าที่รู้จักไม่มีการกักตุนแน่นอน
    "มันตรวจสอบได้ เท่าที่คุยกัน สตอกแต่ละโรงงานก็ไม่มีเหลือเท่าไหร่ ในโรงงานเองมันตรวจสอบได้ แต่เราไม่รู้ว่าเวลามันออกไป ไปอยู่ที่ใคร หรือตรงไหน"
    และมีการคาดการณ์กันอีกว่า ในปีนี้จะเผชิญกับสภาวะน้ำมันขาดแคลนอีกทีราวๆ เดือน มิถุนายน
    "น้อยลงจริงๆ แต่ไม่รุนแรง ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 2555 จากฝนขาดช่วงในปี 2552" ศักดิ์ศิลป์ว่าไปตามแผน ในวงเล็บด้วยว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติหรือมือดีเข้ามาแทรกแซง
    แม่บ้าน แม่ค้า และบรรดาผู้บริโภคหน่วยย่อย ต่างก็สงสัยกันว่า ยังจะได้ใช้น้ำมันขวดละ 47 บาทไปได้อีกนานแค่ไหน
    ศักดิ์ศิลป์ยืนยันว่าน่าจะยังไปได้อีกพักใหญ่ เพราะราคา(ขาย)ปาล์มลูกละ 6-7 บาท ที่ทำให้น้ำมันขวดได้ที่ 47 บาท เกษตรกรอยู่ได้สบายๆ เมื่อเปรียบเทียบจากต้นทุนแท้จริงที่ลูกละ 2.79 บาท
    ต่างจากสุระที่บอกว่า ถ้าจะให้ดีต่อทุกฝ่าย ขวดละ 50 ต้นๆ น่าจะประนีประนอมมากกว่า
    "ต้องคำนึงว่า ต้นน้ำ ปลายน้ำอยู่ได้หรือเปล่า ต้องเอาราคาที่ทุกฝ่ายพบกันได้ แต่เกษตรกรส่วนหนึ่งเขาต้องการลอยตัวนะ ซึ่งก็จะไปกระทบกับพวกที่ไม่ได้ปลูกปาล์มอีก"
    ................................................................
    ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทั้งศักดิ์ศิลป์และสุระ ต้องตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "น้ำมันหายไปไหน"
    "เพราะผลผลิตมันน้อย" ผอ.กลุ่มส่งเสริมการผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมัน กรมส่งเสริมการเกษตร เลือกที่จะตอบอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีคำตอบในใจให้ตัวเองอยู่แล้ว
    ส่วนเจ้าของประโยค "มันพูดยาก" อย่างสุระ ก็ไขข้อข้องใจให้ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาสอบถามว่า
    "รู้กันๆ อยู่ แต่พูดไม่ได้ครับ" เป็นคำตอบสุดท้ายหลังเลคเชอร์วิชาปาล์มน้ำมันมายาวเหยียด

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 7 มีนาคม 2554 09:00
    ‘คลั่งชาติ’ หรือ ‘รักชาติ’ บทเรียนจากปราสาทพระวิหาร

    โดย : ชาธิป สุวรรณทอง
    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>
    [​IMG]

    [​IMG]

    อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม กประวัติศาสตร์อิสระ หนึ่งในจำเลยข้อหา ‘คลั่งชาติ’ อธิบายถึงความแตกต่างของคำว่า ‘คลั่งชาติ’ และ ‘รักชาติ’

    จากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ละการเสียดินแดนพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร วาทกรรมอย่างคำว่า ‘คลั่งชาติ’ ‘ชาตินิยม’ ไปจนถึง ‘ราชาชาตินิยม’ และ ‘เสนาอำมาตย์ชาตินิยม’ ถูกนำมาใช้โดยนักวิชาการ ‘ไทย’ บางคนบางกลุ่มเพื่อ ‘พะยี่ห้อ’ ให้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
    อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมนักประวัติศาสตร์อิสระ หนึ่งในจำเลยข้อหา ‘คลั่งชาติ’ อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งไทย-เขมร รวมไปถึงความแตกต่างในความหมายของคำว่า ‘คลั่งชาติ’ และ ‘รักชาติ’
    ทำไมปราสาทพระวิหารถึงกลายเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียว
    อาจารย์ศรีศักร : ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการฮั้วกันนะ ฝ่ายไทยไม่น่าโง่ขนาดนั้นนะ เพราะเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้ว ผมคิดว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน สมัยรัฐบาลก่อนมันมีการพัฒนาตะเข็บชายแดนตั้งแต่สามเหลี่ยมมรกตไปจนถึงทะเล เขาพระวิหารก็เป็นส่วนหนึ่งของตะเข็บชายแดน แต่เผอิญรัฐบาลก่อนมีอันเป็นไป เขมรเลยร่วมกับยูเนสโก เอาองค์กรมรดกโลกเข้ามา แล้วพอเริ่มทำมาสเตอร์แพลนก็ไม่เคยเปิดเผย ทำกันแบบงุบงิบ
    ผมตั้งคำถามว่า ทำไมมรดกโลกถึงขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ มันต้องขึ้นทั้งไซท์ (Site)
    อย่างกรณีปราสาทพระวิหารก็ต้องมีพื้นที่รอบๆ ที่เรียกว่าพื้นที่ 4.6 กิโลเมตร แต่ทางเราขอสงวนสิทธิ์ในพื้นที่ตรงนี้ ศาลโลกก็ไม่ชัดเจน แล้วเขมรก็ยอมรับมาตลอด เพราะฉะนั้นมันจะเป็นมรกดโลกของเขมรฝ่ายเดียวไม่ได้
    ในความเห็นของผมมันต้องร่วมกัน เพราะหลักฐานของพฤติกรรมของคนตรงนั้น พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งสองฝ่ายมาทำพิธีกรรมร่วมกัน เป็นแหล่งชุมชนแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ก็ควรจะเป็นของทั้งสองฝ่าย แล้วทำไมมรดกโลกไปขึ้นให้เขมรฝ่ายเดียว และกำลังพยายามจะให้มีการบริหารจัดการด้วย
    สิ่งที่ผมสนใจ คือความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในเขตชายแดนทั้งหมด เขาเดือดร้อน ต้องอพยพตั้ง 2-3 หมื่นคน แล้วพื้นที่ทำกินก็ถูกรังแก ถูกรุกโดยเขมร ทุนข้ามชาติเข้ามาเชื่อมโยงกับทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลเขมร คบคิดกัน ไม่ใช่เขมรรุกอย่างเดียว ไทยยอมทั้งสิ้น เพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน
    ผมไม่อยากจะไปทะเลาะกับเขมรหรอก ไม่มีประโยชน์ เพราะประชาชนเขมรเป็นประชาชนที่น่าสงสาร ถูกปกครองด้วยอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ สีหนุ เคยพยายามปลุกผีเรื่องปราสาทพระวิหารเรื่องความยิ่งใหญ่ของเขมรในอดีตเพราะเขมรถูกกดมาตลอด ตอนนี้ฮุนเซ็นเอาอีก มันก็เป็นการหาคะแนนเสียง แล้วมามีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอีกมันก็ไปกันใหญ่
    ทีนี้เขามาใช้เรื่องปราสาทพระวิหารมาด่าทอเมืองไทยก็เลยมีปฏิกริยาจากผู้ที่รักชาติรักแผ่นดินขึ้นมา แต่ถ้าเราจี้ให้เห็นว่าสาเหตุคืออะไร สาเหตุใหญ่คือการคอรัปชั่นที่นำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อนในส่วนประเทศไทยนี่เอง แล้วก็ทำกันครบวงจร ใช้สื่อ ใช้นักวิชาการเข้ามาเกี่ยวข้อง
    ถ้ามองข้ามเรื่องเส้นแบ่งพรมแดนไป คนในพื้นที่ตรงนั้นไม่ว่าไทยหรือเขมรเขาอยู่ร่วมกันอย่างไร
    อาจารย์ศรีศักร : เขาใช้พื้นที่โดยไม่เกี่ยวกับรัฐ เขารู้ว่าตรงไหนพื้นที่ใคร แต่เขาเอื้ออาทรต่อกัน คุณดูตรงช่องตาเมือนที่มีปราสาทเก่า ปราสาทนั้นทำไว้เป็นฮินดู แต่พอฮินดูหมดไปแล้วเขาก็เอาไว้ไหว้ผี ทำพิธีกรรมกันตรงนั้น ทั้งสองฝั่งทำร่วมกัน เพราะมันเป็นพี่น้องกัน แล้วก็มาค้าขายกัน ตรงไหนที่มันเป็นช่องเป็นด่านคนมันสัมพันธ์กัน มาไหว้ผีกัน มาค้าขายกัน ก็ไม่มีความรู้สึกไม่ดีต่อกัน ส่วนใหญ่ถ้าจะมีเหตุกระทบกระทั่งมีเหตุการเมืองหรือผลประโยชน์เข้ามาก็เป็นเพราะคนจากข้างนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง
    เหตการณ์ปราสาทพระวิหารที่เกิดขึ้นคนทั้งสองฝ่ายเดือนร้อนนะ แต่คนที่เข้ามาทำให้เกิดปัญหานั้นมาจากที่อื่น

    คนเขมรได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากกรณีปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
    อาจารย์ศรีศักร : คุณคิดว่าคนเขมรจะได้อะไรล่ะถ้าพื้นที่ตรงนั้นพัฒนาแล้ว เดี๋ยวนี้คนเขมรขึ้นไปหากินยังขึ้นไม่ได้เลย ถูกไล่ลง เมื่อมีการพัฒนาแบบนี้คนกลุ่มอื่นเข้ามาแทนที่ทั้งนั้น ถามว่าเมื่อปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นแหล่งการค้า มีโรงแรม มีคาสิโน พื้นที่เหล่านี้คนเขมรเข้าไปได้ไหม...ไม่ได้ เราก็เข้าไม่ได้...แล้วใครได้
    หรืออย่างสุดๆ มรดกโลกหลวงพระบาง ตอนนี้คนหลวงพระบางถอยออกมาหมดแล้ว เหลือแต่วัฒนธรรมจอมปลอมเป็นสินค้า คนหลวงพระบางให้เช่าที่ ขายที่ คนต่างชาติเข้ามาแต่งงานปะปนกันก็เป็นตลาดนานาชาติ เมืองมรดกโลกฮอยอันในเวียดนามก็เหมือนกัน นั่นคือความชั่วร้ายของมรดกโลกซึ่งทำผิดอุดมคติ แล้วคนท้องถิ่นได้อะไร แล้วคุณก็ชื่นชมกับศิลปวัฒนธรรม...มันปลอมทั้งนั้นเพราะมันไม่สัมพันธ์กับชีวิตคนอีกต่อไปแล้ว ภาพที่เราเห็นมันไม่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแต่มันถูกแช่แข็งไว้เพื่อเป็นสินค้าเท่านั้นเอง
    กรณีที่เกิดขึ้นเราต้องเปลี่ยนวิธีมองการได้เป็นมรดกโลกใหม่หรือไม่
    อาจารย์ศรีศักร : ผมเห็นด้วยในการอนุรักษ์ให้เป็น ‘มรดกของโลก’ ให้เรียนรู้ ให้เข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ไม่ใช่แหล่งค้าขาย มรดกโลกที่เข้ามาในเอเชียอาคเนย์ทั้งหมดมันทำลายเขา ไม่เหมือนมรดกโลกในยุโรป นั่นคนท้องถิ่นเขาช่วยจัดการ และเขาภูมิใจว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เป็นมรดกโลก แล้วก็มีการดูแลรักษาอย่างดี
    แต่นี่แทบจะไม่มีส่วนร่วมเลย อย่างมรดกโลกสุโขทัยหรืออยุธยา คนพื้นที่ไม่ได้มีส่วนร่วมเลย มีแต่นักวิชาการกับไกด์ แล้วก็พูดแต่สิ่งที่ห่างตัว ไม่เห็นวิถีชีวิตของคนเลย เป็นมรดกโลกเพื่อจะหาเงินเท่านั้นเอง แล้วถามว่าเงินได้กับใคร คนท้องถิ่นไม่ได้หรอก อย่างมากก็เป็นลูกจ้าง เป็นทาสติดที่ดิน
    มีการใช้คำว่า ‘คลั่งชาติ’ มาเรียกคนไทยที่คัดค้านการที่ปราสาทพระวิหารถูกตัดสินให้เป็นของเขมรฝ่ายเดียว อาจารย์มองอย่างไร
    อาจารย์ศรีศักร : นั่นคือการกล่าวหา ผมอยากจะถามว่าความคลั่งชาติในเมืองไทยมีไหม...ไม่มี...มันเป็นเรื่องที่ make up ขึ้นมาเท่านั้นเอง คนไทยนี่มันมีความรักแผ่นดินเกิด เขายอมเสียดินแดนไม่ได้ นั่นไม่ใช่ความคลั่งชาติ มันคือ ‘Patriotism’ ซึ่งเป็นสำนึกของมนุษย์ทุกคน

    แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งคือพวก ‘ไร้พรมแดน’ ซึ่งเป็นเรื่องของการครอบงำโดยตะวันตกในกระแสโลกาภิวัฒน์ แล้วทีอเมริกาโดนบอมพ์ตึกเวิร์ลเทรดคุณตามไปอัดเขาถึงอิรัคนั่นไม่ใช่ชาตินิยมหรือ พวกนี้ถูกครอบงำโดยชาติตะวันตก นี่น่าเสียใจมากนะครับเพราะไม่เคยมองแบบว่าตะวันออกเขาอยู่กันอย่างไร ผมคิดว่านี่อันตราย
    และที่อันตรายที่สุดที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีปราสาทพระวิหารคือประชาชนเดือดร้อน ถูกแย่งที่ทำกิน แย่งทรัพยากร ซึ่งเป็นเหมือนกับแทบทุกภาคในประเทศไทย เพราะฉะนั้นมันตอบคำถามว่าคนที่เดือดร้อนที่เข้ามาในกรุงเทพฯ สมัชชาคนจนที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เวลานี้ไม่ได้มีแต่ภาคอีสาน มาจากทั่วประเทศ ทุกคนพูดถึงเรื่องการถูกแย่งที่ทำกิน แย่งที่อยู่อาศัย และแย่งทรัพยากร นี่คือเรื่องใหญ่ในเมืองไทย สาเหตุอันเดียวกันคือคอรัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการที่เป็นกันแทบทุกรัฐบาล
    อาจารย์เองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก ‘คลั่งชาติ’ ด้วย
    อาจารย์ศรีศักร : ผมว่านักวิชาการที่ออกมาต่อว่าผมก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายนะ เพราะเขาเอาคำพูดของผมไปตัดต่อ ผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งคือ ‘เขาพระวิหาร : ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม’ เขียนไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่องนี้ขึ้นมา ผมเขียนว่ามันควรจะเป็นมรดกโลกร่วมกันด้วยเหตุผลอะไร ไม่ใช่เพราะเขมรเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่เปลี่ยนผ่านของคนทั้งสองฝ่าย ถ้าเราพัฒนาร่วมกันโดยเสมอภาคกันมันจะเป็นประโยชน์กับคนทั้งสองฝ่ายที่เขาเป็นญาติพี่น้องกัน
    พวกนักวิชาการพวกนี้ตัดต่อมาแต่พูดไม่หมด แล้วมันจะไปโยงกับเรื่องรัฐบาลไทยกำลังจะไปขึ้นศาลโลก ศาลโลกก็อ้างสิว่านักวิชาการไทยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่ามันเป็นของเขมรน่ะ...ก็จบ
    อยากให้อาจารย์อธิบายเรื่อง ‘สำนึกรักแผ่นดินเกิด’ หรือ ‘สำนึกชาติภูมิ’ ว่าต่างจากคำว่า ‘คลั่งชาติ’ อย่างไร
    อาจารย์ศรีศักร : คนละเรื่องครับ...คือความเป็นชาตินิยมอย่าไปมองว่ามันอยู่โดดๆ มันเป็นปฏิกริยาตอบสนองจากการถูกรุกราน คือมันเริ่มตั้งแต่การล่าอาณานิคมโดยฝรั่งมาเอาเราเป็นดินแดน พอเรามีโอกาสเราก็ต้านด้วยการเป็นอิสระ แต่การเป็นอิสระต้องแสดงอาการชาตินิยม ก็สร้างอัตลักษณ์ขึ้นมา ทุกประเทศทำแบบนี้หมด
    มาถึงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นี่ต้านในลักษณะที่ผิดเพราะไปเอาคอนเซ็ปต์ของพวกนาซีเข้ามา มีการเขียนประวัติศาสตร์ ‘เชื้อชาตินิยม’ แล้วผมเป็นคนแรกที่พูดว่ามันไม่ใช่ เชื้อชาตินิยมมันเป็นคอนเซ็ปต์ที่ผิดเพราะไม่มีมนุษย์คนไหนที่มันสืบสายเลือดบริสุทธิ์หรอก มันก็ปะปนกันหมดน่ะ

    เราสร้างประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยมตั้งแต่หลวงวิจิตรวาทการเรื่อยมา แล้วมันก็กระทบคนในประเทศ เพราะคนของเรามันหลายชาติพันธุ์ผสมปนเปกัน แต่มันมีสำนึกมาตุภูมิ สำนึกท้องถิ่นร่วมกัน คุณเกิดเมืองนี้ คุณจะตายเมืองนี้ แต่มันมีความหลากหลายได้ใช่ไหม
    คุณเกิดในประเทศไทยต้องสำนึกตรงนี้ นี่คือเรื่องธรรมดา มีความหลากหลายในเผ่าพันธุ์แต่มีสำนึกในแผ่นดินเกิดร่วมกัน คุณเกิดบ้านไหนต้องรักบ้านเกิด นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
    แต่ที่มีนักประวัติศาสตร์บางประเภทที่บอกว่าเราไปดูถูกเขมร เพราะเอาพฤติกรรมสมัยจอมพลป.มาพูด เวลานี้มันหมดไปแล้วก็ยังไปขุดขึ้นมา
    “คนไทยมันไม่มีพวก ‘ชาตินิยม’ หรือพวก ‘คลั่งชาติ’ หรอก มันมีแต่พวก ‘รักชาติ’ กับพวก ‘ขายชาติ’ เท่านั้นเอง และผมประกาศตัวเต็มที่ว่าผมเป็นคนรักชาติ รักแผ่นดินเกิด”

     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Jimmysiri: วันที่ 11 จะมีการประท้วงใหญ่ในซาอุ ซึ่งวันนี้ก็เริ่มก่อม๊อบกันแล้ว ตลาดคงกำลังจับตาไปที่จุดนั้นครับ

    Jimmysiri: น้ำมันแตะ $105 เงินเฟ้อกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาทันที ตัวเลขว่างงานวันศุกร์ไม่ดีพอ เนื่องจากกังวลปัญหาเงินเฟ้อมากกว่า ซึ่งตีความได้ว่า QE2 ล้มเหลวกับเงินที่ลงไปขนาดนั้น

    Jimmysiri: น้ำมันแตะ $105 เงินเฟ้อกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาทันที ตัวเลขว่างงานวันศุกร์ไม่ดีพอ เนื่องจากกังวลปัญหาเงินเฟ้อมากกว่า ซึ่งตีความได้ว่า QE2 ล้มเหลวกับเงินที่ลงไปขนาดนั้น

    Jimmysiri: การทุบราคาลงในวันพฤหัสปรกติจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะได้คืนครับ แต่นี่ 24 ชม. เป็นสัญญานบอกอะไรเราบางอย่างครับ ดอลล่ากำลังพลาดพลั้ง กำลังจะแตะระดับต่ำสุดของวงรอบ 3 ปี อยู่ในจุดที่อันตรายมากถ้าหลุด 75 การขึ้นรอบใหญ่มากกำลังมา เพราะฉะนั้นเน้นซื้อตัวยาวครับ

    Jimmysiri: นั่นแหละครับ ผมก็เลือกเสี่ยงครับ......พอเริ่มซาอุแล้วน้ำมันจะแรงขึ้นทันที เห็นราคาวิ่งขึ้นมากๆ อย่าไปรวนตามราคาครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้นคือกลัวตกรถ ยังคงต้องยืนบนปัจจัย เหตุผลและตัวเลขเทคนิคประกอบ ปลอดภัยกว่าครับ

    Jimmysiri: 8,9,10 มีนาคม มีขายพันธบัตรต่อเนื่อง 3 วันคือ 3 ปี 10 ปี และ 30 ปี น่าจะมีการปั๊มดอลล่าขึ้นอีกซักหน่อยในช่วง 3 วันนี้ ทองอาจจะมีแรงต้านเข้ามาบ้างครับ

    Jimmysiri: การประท้วงในซาอุ เริ่มก่อตัวแล้ว

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/HIPQX9KBOdM&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/HIPQX9KBOdM&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>


    Jimmysiri: มีความพยายามก่อการประท้วงในฮ่องกงด้วยเช่นกัน
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KiANMmbB3qA&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/KiANMmbB3qA&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    Jimmysiri: @Vince คำอธิบายจากผู้ที่ติดตามเรื่องนี้คือ อาจจะเป็นสะเก็ดดาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 เมตรที่โคจรเฉียดโลกเข้ามามากๆ และ "มีความเป็นไปได้" ที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเข้ามาในชั้นบรรยากาศ ซึ่งขนาดของมันใหญ่พอที่จะทำลายเมืองเล็กๆ ได้ซักเมืองครับ ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับการเตรียมความพร้อมพร้อมของทหารและหน่วยงาน FEMA ของสหรัฐ อย่างน่าสนใจ ถ้าเกิดขึ้นจริงคำถามคือใครจะเป็นผู้โชคดี??

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/cCWCQaGHcAU&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/cCWCQaGHcAU&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    Jimmysiri: ประเด็นใหญ่ครับ !! เมื่อสื่อโทรทัศน์ช่องหลักของสหรัฐ เสนอข่าวยืนยันการเสนอร่างกฏหมายของรัฐยูทาห์ เพื่อให้ยอมรับทองคำและเงินเป็นสื่อในการชำระราคาและจ่าย ภาษีให้กับรัฐ หรือ Legal Tender ( หลังจากที่กีดกันประเด็นนี้มากว่า 80 ปี ) และยังคงมีอีกอย่างน้อย 12 รัฐ ที่มีความพยายามจะออกกฏหมายในลักษณะเดียวกันนี้ ดูเหมือนการกลับเข้าไปอยู่ใน Gold Standard หรือมาตรฐานทองคำของประเทศสหรัฐ คงอยู่ไม่ไกลแล้ว !!

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/FY8VIExEsRQ&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/FY8VIExEsRQ&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    Jimmysiri: คงจะเป็นการเปิดช่องให้ประชาชนที่กำลังอยู่ในภาวะลำบากจากเศรษฐกิจ สามารถนำเหรียญทองคำและเงินมาจ่ายภาษีให้รัฐได้ไงครับ คงถึงเวลารีดเลือดปูแล้ว

    Jimmysiri: นั่นคือความเป็นไปได้ในอนาคตครับ ถ้าเทียบขนาดของปัญหากับครั้งที่แล้วที่ต้องประกาศเวนคืนทองแล้วล่ะก็ ครั้งนี้แทบต้องยึดเลยครับ กระแสข่าวที่ออกมาอาจจะเวนคืนช่วงที่ราคาทองชน $2000 แล้ว แต่เป็นเพียงการพูดคุยกันของผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นครับ

    Jimmysiri: สิ้นปี $1,850-$2,000 แต่ถ้ามีเหตุพลิกผัน ไปไกลกว่านั้นครับ เดือน 6-7 นี้ คงแตะ $1,650-$1,700 จาก QE3 ครับ

    Jimmysiri: คงไม่มีใครยอมหรอกครับ แต่ไม่มีทางเลือกต่างหาก อยู่ที่ใครจะอืดแล้วค่อยๆทนถ่ายดอลล่าออกมาได้มากและเร็วกว่ากัน แต่เมื่อถึงจุดนึงแล้ว โดยเฉพาะจีนทนไม่ไหวก็จบ แต่ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้าอาจจะมีการประกาศนำเงินสกุลใหม่ออกมาใช้ก่อนครับ

    Jimmysiri: เรื่องนี้จะออกมาจาก G20 โดยการนำของฝรั่งเศษ น่าจะก่อนปลายปี แต่คงเร็วกว่านั้นครับ แล้วก็ให้สหรัฐและเงินดอลล่ากลับไปแก้ปัญหาของตัวเอง

    Jimmysiri: โดยตำแหน่งฝรั่งเศษเป็นประธาน G20 วาระนี้ครับ และวาระหน้าที่หลักของการดำรงตำแหน่งในครั้งนี้ก็คือเรื่องนี้ การจัดระเบียบระบบการเงินของโลกใหม่ มีความเคลื่อนไหวออกมาเป็นช่วงๆ ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนดีลทุกอย่างจะจบแล้วครับ รอเค่เวลาประกาศอย่างเป็นทางการ จะใช้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่ ประมาณ 1 ปี หรือ 12 เดือน เจ็บที่สุดก็คงเป็นสหรํฐเพราะเป็นต้นเหตุของปัญหา


    Jimmysiri: จีนจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกในช่วงปี 2012 และหลังจากนั้น และจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ จากวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันที่กำลังจะมาในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2012 เป้าหมายราคาน้ำมันอยู่ที่ $175-$225 เตรียมรับมือไว้ได้เลยครับ

    Jimmysiri: คงต้องเกิดขึ้นครับ แต่จะแบบไหนและยังไงเท่านั้นเอง รัฐบาลกำลังหลงทางมุ่งแก้แต่การเมืองหวังผลการเลือกตั้ง ใครที่เป็นรัฐบาลต่อไปจะหนักหนาสาหัสมาก วันนี้ปัญหาหลายๆอย่างก็กำลังฟอร์มตัวแล้ว

    Jimmysiri: ม๊อบอีกสารพัดสีก็รอพร้อมประท้วงอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นฟากไหนขึ้นมาก็โดนไม่ต่างกันครับ การเมืองไทยกำลังติดล๊อคอยูอย่างที่เห็น ณ ขณะนี้ ....แต่คิดอีกมุมนึงแล้วสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็จะทำให้คนไทยคิดกันได้มากขึ้นครับ

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทีมดีวีไอพบศพ 6 คนไทยเหยื่อแผ่นดินไหวกีวีครบแล้ว!

    ทีมดีวีไอของไทย พบศพคนไทยครบทั้ง 6 ราย ในเหยื่อแผ่นดินไหวในนิวซีแลนด์แล้ว ขณะที่ไอดีบอร์ดอนุมัติให้ปล่อยศพแล้ว ส่วนศพของ “หฤทยา” ที่ค้นพบก่อนหน้านี้ได้ณาปนกิจศพ และจะนำอัฐิกลับไทยในวันที่ 8 มี.ค.เพื่อส่งให้ญาติต่อไป

    วันนี้ (7 มี.ค.) เมื่อเวลา 16.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้บัญชาการสำนักพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร) ในฐานะหัวหน้าชุดพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล หรือ ดีวีไอ ของประเทศไทยที่เดินทางไปปฏิบัติงานที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ได้รายงานผลการปฏิบัติงานผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ10) รับฟังการรายงาน

    โดย พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติของชุดพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการตรวจสอบ และเทียบเคียงลายนิ้วมือศพ ทำให้สามารถค้นพบศพคนไทยที่สูญหายอีก 4 ราย ประกอบด้วย ศพของ น.ส.ธนิดา อินทรางกูล น.ส.จิตรา ไวทยาธาดาพงศ์ น.ส.วันเพ็ญ ปรีกลาง และ น.ส.พิมพร เลี้ยงเชื้อ จากนั้นในวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการนำข้อมูลศพที่ค้นพบเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของประเทศนิวซีแลนด์ หรือไอดีบอร์ด เพื่อขอปล่อยศพ โดยการชี้แจงครั้งนี้ได้นำหลักฐาน เช่น ข้อมูลการตรวจลายนิ้วมือ เสื้อผ้าที่ผู้ตายสวมใส่ และกำไลข้อมือของ น.ส.วันเพ็ญ มาประกอบการชี้แจง ก่อนที่คณะกรรมการไอดีบอร์ดจะมีมติอนุมัติให้ปล่อยศพทั้ง 4 ราย

    พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวอีกว่า ต่อมาในช่วงเช้าของวันนี้เวลา 07.00 น.เจ้าหน้าที่ได้นำลายนิ้วมือไปเทียบเคียงกับศพต้องสงสัยและพบว่ามีลายนิ้วมือตรงกับ น.ส.สิริพรรณ วงศ์บุญงาม ทำให้การตรวจสอบและค้นหาคนไทยทั้ง 6 รายที่สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหวได้ดำเนินการค้นหาจนครบแล้ว จากนั้นในเวลา 11.30 น.ของวันนี้ ทางผู้แทนของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมศูนย์ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทย และได้ขอบคุณคนไทยทุกคน และ พล.ต.อ.วิเชียร ที่ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบพิสูจน์ศพ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการค้นพบศพของคนไทยทั้ง 6 รายแล้ว แต่การปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของประเทศไทยในครั้งนี้ ยังไม่เสร็จสิ้น โดยจะมีการจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบอยู่

    พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวต่อว่า ส่วนยอดการตรวจสอบและค้นหาบุคคลที่สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหว พบว่า สามารถค้นหาศพที่ร่างกายสมบูรณ์ได้ 164 ราย และศพที่พบเป็นชิ้นส่วนอีก 76 ราย โดยในจำนวนที่ค้นพบสามารถส่งคืนศพได้แล้ว 70 ราย ซึ่งเป็นชาวนิวซีแลนด์ 42 ราย และเป็นชาวไทย 6 ราย ในส่วนของ 6 คนไทยที่ค้นพบนั้น เจ้าหน้าที่ได้ใช้วีธีการตรวจสอบและพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลด้วยการตรวจสอบลายนิ้วมือถึง 5 ราย ยกเว้นศพของ น.ส.วันเพ็ญ ที่ถูกไฟไหม้บริเวณลำตัวและมือ ทำให้ต้องใช้การตรวจสอบทางดีเอ็นเอเพียงรายเดียว ซึ่งผลการตรวจสอบก็สำเร็จผลไปด้วยดี

    พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวอีกว่า สำหรับศพของ น.ส.หฤทยา เหลืองสุรภีสกุล ที่ค้นพบก่อนหน้านี้นั้น เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพให้กับผู้เสียหายที่เมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งศพของ น.ส.หฤทยา ถูกบรรจุไว้ในโลงศพไม้ที่มีการสลักชื่อไว้ โดยมีคนไทยในประเทศนิวซีแลนด์ เข้ามาร่วมงานกว่า 80 คน จากนั้นได้มีการนำศพของ น.ส.หฤทยา ส่งให้บริษัทเอกชน เพื่อทำการฌาปนกิจศพและเก็บอัฐิไว้ส่งกับคืนให้กับญาติในประเทศไทย ซึ่งตนจะเป็นผู้นำอัฐิของ น.ส.หฤทยา กลับประเทศไทยในวันที่ 8 มี.ค.นี้ เวลา 21.30 น.ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ ทีจี 492 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์อีก 3 คน ที่เดินทางกลับ

    พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวต่อกว่า การทำงานในครั้งนี้ต้องพบกับปัญหาในเรื่องของการตรวจสอบ เนื่องจากประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น จะไม่มีการเก็บลายนิ้วมือของประชาชนไว้เป็นหลักฐาน ทำให้ยากแก่การตรวจสอบ ไม่เหมือนกับประเทศไทยที่มีการเก็บลายนิ้วมือของประชาชนไว้ ดังนั้น ในอนาคตทางประเทศนิวซีแลนด์ จึงอาจจะมีการเก็บลายนิ้วมือของประชาชนไว้เป็นหลักฐาน แต่อาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายบางส่วนเพียงเป็นการรองรับ

    เมื่อถามว่า ได้มีการประสานญาติผู้เสียชีวิตในเรื่องของการนำศพคนไทยกลับประเทศแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวตนได้ปรึกษากับทางเอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศนิวซีแลนด์ และได้ข้อสรุปว่า ทางสถานทูตจะเป็นผู้ประสานกับญาติ เพื่อสอบถามว่า จะให้ดำเนินพิธีฌาปนกิจศพที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรือจะให้ส่งศพกลับมาที่ประเทศไทย

    ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่าย เบื้องต้นทราบว่า ทางการของประเทศนิวซีแลนด์จะให้การสนับสนุนส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก แต่ส่วนตัวคิดว่าการที่ฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตที่ประเทศนิวซีแลนด์จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการส่งศพกลับประเทศที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายต่อรายสูงถึง 2 แสนบาท สำหรับทรัพย์ของญาติผู้เสียชีวิตนั้น ทางญาติต้องประสานและติดต่อกับทางสถานทูตอีกครั้ง

    ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตนได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของไทยอยู่ปฏิบัติงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ต่อ โดยเราต้องดำเนินการช่วยเหลือต่อไปถึงแม้จะได้ศพคนไทยทั้ง 6 รายกลับคืนมาแล้วก็ตาม ซึ่งจะมีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพิมพ์ลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอและการบริหารจัดการข้อมูล จำนวน 3 นาย ไปปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ที่เดินทางกลับมา ส่วนการรับอัฐิของ น.ส.หฤทยา ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ และ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.เป็นผู้ไปดำเนินการ

    RIP
    Crime - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สหรัฐฯไม่ตัดทางใช้ทหารภาคพื้นลุย-มอบอาวุธหนุนกบฏโค่น'กัดดาฟี'

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มีนาคม 2554 04:32 น.


    [​IMG]



    เครื่องบินรบของฝ่ายสนับสนุนกัดดาฟี โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏในเมืองลาส ลานุฟ


    เอเจนซี/เอเอฟพี - ทำเนียบขาวเผยเมื่อวันจันทร์(7) สหรัฐฯ ไม่ปิดทางสำหรับใช้กำลังทหารภาคพื้นที่ดินเข้าหยุดยั้งเหตุนองเลือดในลิเบีย แต่รับแนวทางนี้ไม่ไช่ตัวเลือกลำดับต้นๆ หลังจากเวลานี้รัฐบาลของโอบามา ถูกครหาว่าพลาดโอกาสหลายต่อหลายครั้งในการขับไล่ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ลงจากอำนาจ

    นอกจากนี้แล้ว เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว ยังบอกด้วยว่าการส่งอาวุธเข้าช่วยเหลือกลุ่มกบฏก็เป็นอีกหนึ่งในหลายทางเลือกเช่นกัน และสหรัฐฯพยายามประเมินทางเลือกต่างๆด้วยความรวดเร็ว ทว่าก็ยอมรับว่ายังเร็วเกินไปที่จะทำแบบนั้น

    "ทางเลือกของการให้ความช่วยเหลือทางทหารยังอยู่บนโต๊ะเพราะจนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้ถอนทางเลือกใดออกไป" คาร์นีย์กล่าว

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทำเนียบขาวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์(7) มีหลายฝ่ายรบเร้าให้รัฐบาลสหรัฐฯใช้กำลังทางทหารตอบโต้ระบอบลิเบีย ตามหลังที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาถูกครหาอย่างหนักว่า ไม่รีบดำเนินการหยุดยั้งเหตุการณ์นองเลือดตั้งแต่เนิ่นๆ

    “ผมทึกทักเอาว่าอาวุธจำนวนมากน่าจะกำลังถูกลำเลียงไปที่นั่น (มือของฝ่ายกบฏในลิเบีย)” จอห์น เคอร์รี ประธานคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวในรายการเฟซ เดอะ เนชั่น ของโทรทัศน์ซีบีเอส

    ส่วนบิล ริชาร์ดสัน อดีตทูตใหญ่สหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ก็ระบุว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะแอบลักลอบส่งอาวุธเข้าไปเสริมกำลังให้แก่ฝ่ายกบฏ และรีบประกาศบังคับให้น่านฟ้าลิเบียเป็นเขตห้ามบินเพื่อป้องกันไม่ให้กัดดาฟีทำการโจมตีทางอากาศใส่พลเรือนได้อีก

    ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์ (6) หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า บรรดานักวางแผนด้านกลาโหมของสหรัฐฯ กำลังตระเตรียมทางเลือกต่างๆ สำหรับตอบโต้ลิเบีย ซึ่งครอบคลุมทั้งการโจมตีทางบก, เรือและอากาศ ขณะที่ชาติพันธมิตรของวอชิงตันก็กำลังตัดสินใจที่จะแทรกแซงลิเบียเช่นกัน

    อย่างไรก็ตามแนวคิดของสหรัฐฯและชาติพันธมิตรอาจถูกขัดขวางจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะรัสเซีย หนึ่งในสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เมื่อวันจันทร์(7) ออกมาคัดค้านการเข้าแทรกแซงทางทหารในลิเบียทุกรูปแบบ

    เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า "เราไม่เคยมองว่าการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยเฉพาะการใช้กำลังทหารจะเป็นวิถีทางคลี่คลายวิกฤตในลิเบีย ชาวลิเบียควรแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยตัวของพวกเขาเอง"

    รายงานข่าวนี้มีออกมาขณะที่กองกำลังของกองกำลังผู้ภักดีต่อผู้นำมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบียเริ่มพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างหลังบุกโจมตีเมืองหลายแห่งซึ่งยึดครองโดยพวกกบฏจนได้เมืองสำคัญอย่างบิน จาวัดและซีระเตะห์กลับคืน พร้อมกับทำให้ฝ่ายกบฏต้องถอยร่นออกไปปักหลักแนวป้องกันใหม่ในดินแดนที่ลึกเข้าไปทางตะวันออก อย่างไรก็ตามสงครามกลางเมืองคราวนี้ยังคงยืดเยื้อและไม่อาจคาดการณ์ฝ่ายชนะที่เด็ดขาดได้ในเร็ววัน

    Around the World - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...