ว่างที่เกิดจากชาญ กับว่างจากนิพพาน เหมือนกันไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pichak, 22 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    บางที การที่เรารู้มากหรือรู้น้อยนั้นมันไม่สำคัญหลอกครับ ขอแค่ว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เรารู้
    แล้วหรือยัง ตรงนี้สิ สำคัญ แล้วอีกอย่าง รู้แล้วไช่ว่า....จะแบกไปด้วยทำไมละครับท่าน
    รู้ไม่พอหลอก เข้าใจมันสิ แล้วจะวางเองโดยอัตโนมัตโดยมิกำหนดเช่นนั้น
    แล้วสิ่งเหล่านี้->ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเพราะอยากมีอยากเป็นเกิดตัณหาเกิดวิภวตัณหา<
    จะไม่เกิดขึ้น .....
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็ว่ากันไป เพราะสิ่งที่รู้นั่นจริงหรือไม่อย่างไร ตนเองเป็นผู้พิจารณา จะเข้าใจด้วยความคิดก็ดี ด้วยปัญญาก็ดี ด้วยความหลงก็ดีตนเองนั่นแหละเป็นผู้เลือก
     
  3. dnawa2516

    dnawa2516 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +39
    :cool:


    สาธุการกับคำตอบของคุณจริงนะด้วยครับ ชัดเจนมากแสดงว่าคุณสามารถเข้าถึงสภาวะนี้โดยธรรมธาตุธรรมชาติของตัวคุณในระดับนึง เพราะว่างแบบนิพพานเป็นธรรมที่เป็นสุญญตาสภาวะที่สูงกว่าปรมัตถ์เป็นที่สุดแห่งปรมัตถ์ มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี ว่างเหมือนไม่ว่าง ไม่ว่างเหมือนว่าง เป็นธรรมที่ไม่ยึดติดเพราะรู้แจ้งรู้เท่าทันสภาวะแห่งสิ่งทั้งมวลโดยเฉพาะคำว่าจิต

    และเป็นธรรมที่จะรู้ได้เฉพาะตนจริงๆจากการปฏิบัติ..เพราะมีมหาสติปัฏฐานสี่คือสติตัวรู้เท่าทันจิตแห่งตัวที่เป็นต้นเหตุเป็นบ่าวเป็นทาสพญามารที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิด และสามารถปราบจิต โปรดจิต ดักจิตนี้ของตัวเองให้เข้าถึงกระแสพระธรรม เข้าถึงกระแสแห่งปรมัตถนิพพานธรรม เช่นในพระสูตรซิมเกง ปรมิตาหฤทัยสูตรหรือพระสูตรสุญญตาสภาวะหรือความว่าง ของพระอวโลกิเตศวรพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม....เพราะเรื่องนี้เป็นปัจจัตตัง เห็นด้วยที่ไม่ควรถกเถียงกันทำให้พญามารแทรกก่อให้เกิดวิบากกรรมด้วยเหตุมิจฉาทิฐฐิของบางคน

    ทางที่ดีลงมือปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะที่ไม่ยึดติดจิตเป็นอิสระผ่องใสว่างจากสิ่งทั้งปวงมีเพียงสติตัวรู้กับกรรมฐานทศบารมีธรรมสามสิบทัศสี่สิบกองที่นำมาประยุกต์ปฏิบัติให้เข้ากับจริตและวิบากแห่งตนฝ่าด่านทั้งพระทดสอบและมารทดลองรักษาดวงแก้วบารมีสามสิบทัศ เปลี่ยนกรรมที่เผชิญอยู่ให้เป็นกรรมฐาน แปรเปลี่ยนมารให้เป็นพุทธะ เปลี่ยนโลกียะวิสัยให้เป็นโลกุตระวิสัย เปลี่ยนบาปให้เป็นบุญ สร้างกุศลเอาดวงบุญมาเปลี่ยนดวงชะตา ธรรมเหล่านี้ล้วนเข้าถึงด้วยการลงมือปฏิบัติเพราะเป็นปัจจัตตังเป็นเครื่องรู้ได้เฉพาะตน ต้องปฏิบัติจริงเท่านั้นจึงจะเข้าถึง.... สาธุการอีกครั้งกับคุณจริงนะครับ...และขอชื่นชมกับคำตอบของคุณมาณที่นี้ด้วย.........โดนใจเราจริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2011
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ฌาน..ตัวนี้ ?

    ว่างที่เกิดจากณาน ยังมีรส ที่น่าลิ้มลอง
    ว่างที่เกิดจากพระนิพพาน ก็ยังมีรส แต่ไม่แม้จะลิ้มรส

    ปล.ความคิดเห็นส่วนตัว
     
  5. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    -จิตญานใดกำเนิดอยู่บนโลกแล้วรู้สึกดี มิได้เกิดมาทุกข์ สุขสบาย ก็ขอวนเวียนต่อไป
    -จิตญานใดกำเนิดอยู่บนโลกแล้วทุกข์ เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาตามกรรม ก็จะหาทางจบเส้นทางการเวียนว่าย
    -มิมีผู้ใดผิดทั้งสองทาง
    -แต่การชี้ให้จิตญานใดให้เข้าไปหลง ไปติด ไปยึด จนสืบผลต่อไปในภายภาคหน้าอย่างหาที่สิ้นสุด ที่ประมาณมิไ้ด้ จิตญานผู้ชี้นั้นก็รับไปด้วยโดยมิรู้เท่าทันเต็มที่
     
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เห็นด้วยนะ แต่ใครล่ะจะคิดว่าเป็นตัวเอง คิดเตือนคนอื่นทั้งนั้น


    ส่วน ว่างจากนิพพาน ก็ทำลายตัวรู้(เพราะยังเป็นตัวตน)ไปด้วยไง
    อย่างที่คุณเข้าใจล่ะ

    คือคนพูดโลกุตตระได้นี่ไม่ใช่วิเศษนะ
    คนวิเศษน่ะ คือคนที่ทำได้จริงๆ เพราะรู้วิธีการจริง
    คนรู้วิธีการ แต่ไม่ทำจริง ก็ไม่วิเศษนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2011
  7. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    -ผู้พูดโลกุตตระก็ศึกษาในทางจบการเดินทาง ว่ามีแบบนี้ เป็นแบบนี้ เช่นนั้นเอง มิได้วิเศษกว่าสิ่งใด ใครๆ ซึ่งธาตุธรรมเดิมของทุกจิตญาณ มีอนุภาพ อยู่แล้ว นิพพานเป็นกันอยู่แล้วเช่นนั้นอยู่แล้ว
    เพียงแค่มีสิ่งที่มาบังเอาไว้คือ จากโลภ โกรธ หลง แค่นี้เองที่บังนิพพาน
    -ถ้าจะว่ามีแค่นี้ที่ไหน มีศีลตั้ง 227ข้อ มีอะไร ๆอีกเยอะ ลองย่อๆ ลงมาเป็นเพียง โลภ โกรธ หลง ถ้าพยามจะทำลาย แรงกระแทกกลับก็มีไม่น้อย ถ้าปล่อย ตัดผัสสะ ตัดตัวรู้ วางอะไรในจิตที่ยึด วางให้หมด แค่วาง แล้วสิ่งเหล่านั้นจะสลายไปเองตามวิธีธรรมชาิติแห่งนิพพาน ก็จบเอง มิได้ทำไม่รู้ไม่ชี้นะ แล้วจะจบ หรือจะพยามให้ถึงที่สุดความสามารถแล้วจะจบ ความพยายามก็คือตัญหา ตัญหายังอยู่ในจิต ก็วางตัญหาลง แค่วางลง ผ่อนลง คลายออก (จะเห็นว่าภายนอกเรามิได้ให้ความสำคัญกับการนั่งสมาธิ หรือปฎิบัติใด ให้เห็นเป็นไปในสายตาคนอื่นว่า แต่การจบ จบจากภายใน)
    ความมานะ ศักยะ ฐิถิ ก็จะลดลง นิพพานไม่หนัก แต่นิพพานเบา ว่าง วาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มีนาคม 2011
  8. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    ปุณฑ์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4431386", true); </SCRIPT> เห็นด้วยนะ แต่ใครล่ะจะคิดว่าเป็นตัวเอง คิดเตือนคนอื่นทั้งนั้น
    ส่วน ว่างจากนิพพาน ก็ทำลายตัวรู้(เพราะยังเป็นตัวตน)ไปด้วยไง
    อย่างที่คุณเข้าใจล่ะ
    คือคนพูดโลกุตตระได้นี่ไม่ใช่วิเศษนะ
    คนวิเศษน่ะ คือคนที่ทำได้จริงๆ เพราะรู้วิธีการจริง
    คนรู้วิธีการ แต่ไม่ทำจริง ก็ไม่วิเศษนะ<!-- google_ad_section_end -->

    -หากมีเวลาก็เสาะหาพระอรหันต์ดูนะคับ แล้วขอเมตตาจากท่าน อย่าพกมีดติดไปด้วย ท่านกลัว จะไม่กล้าชี้แนะ
    -การทำจริง รู้จริงมีเวลามากๆ ก็ทำไป แต่ถ้าใช้ปัญญาด้วย ลัดเวลาเลยครับ แต่นี่ภัยพิบัติใกล้แค่เอื้อม คิดว่าจะมีเวลาทำได้ซักเท่าไหร่ พุทธอรหันต์ท่านจึงลงมาในกาลบัดนี้มากมาย เพื่อนำพาเหล่าคนดีให้รอดปลอดภัยก่อน
    -การได้กราบขอเมตตาจากพระอรหันต์ ท่านจะแก้สภาวเราได้ ไม่เหมือนอ่านอย่างเดียวแล้วเออ ออ ไปเอง และไปเพื่อขอเมตตา อย่าไปเพื่อตรวจสอบท่าน เดี๋ยวเสียเวลาจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...