ข้อคิดในวันขึ้นปีใหม่...หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 31 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    [​IMG]


    ประเทศไทยกำหนดเอาวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่
    มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๒ และมาเปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ มกราคม
    เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบสากล ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ จนถึงปัจจุบันนี้
    เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี

    ทุกคนต่างก็มีความหวัง
    โดยหวังว่าชีวิตในปีใหม่คงจะดีกว่าปีเก่า
    จึงนิยมทำบุญเนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่
    เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
    ซึ่งการทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น
    มีวัตถุประสงค์ดังนี้ :-


    ๑. เพื่อเป็นการฉลองชีวิตของตน
    ที่รอดพ้นความตายในปีเก่ามาได้
    และเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่ในปีใหม่

    ๒. เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จแห่งกิจการงานต่าง ๆ
    ที่ดำเนินมาได้โดยเรียบร้อยราบรื่นผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาได้
    และเป็นการสร้างบุญใหม่สำหรับชีวิตและกิจการในปีใหม่

    ๓. เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล
    เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของตน
    ตามหน้าที่ของคนดี

    ๔. เพื่อเป็นการรักษาประเพณีอันดีงาม
    ให้คงอยู่และเจริญยั่งยืนสืบไป

    ๕. เพื่อเป็นการร่วมสังสรรค์ระหว่างญาติสนิทมิตรสหาย
    เพื่อนบ้าน ได้ทำบุญร่วมกัน สนุกสนานร่วมกัน
    เป็นการสร้างความสามัคคี

    ความจริงคำว่า "ปีเก่าและปีใหม่" เป็นพียงการสมมุติ
    เพื่อให้มีสติจะได้ไม่ประมาทในวัยและชีวิต

    ครั้งหนึ่งเราเคยสมมุติว่าเป็นปีใหม่
    เราเคยมีความดีใจและมีความหวัง
    และหลายคนคงจะไม่สมหวังในสิ่งที่หวังในปีเก่าที่จะผ่านไป
    เมื่อไม่สมหวังในปีเก่าก็เลยฝากความหวังไว้กับปีใหม่ที่จะมาถึง
    คิดและทำอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า จัดว่าเป็นคนที่ประมาท
    มีคำอยู่คำหนึ่งคือ คำว่า "เจริญวัย"
    ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปหมายถึง วัยเจริญขึ้น
    โดยมุ่งถึงความเจริญงอกงาม
    หรือพัฒนาการทางด้านร่างกาย

    แต่ความจริง คำว่า "วัย" เป็นภาษาบาลี
    แปลว่า "เสื่อมไป" เจริญวัยจึงหมายถึง ความเสื่อมเจริญ
    หรือความเสื่อมเพิ่มขึ้น เช่น เจริญวัยได้ ๓๙ ปี
    ก็หมายถึงสภาพร่างกายมีความเสื่อมไปเพิ่มขึ้น ๓๙ ปี
    หรือมีวัย ๖๘ ปี ก็หมายถึงมีความเสื่อมไป ๖๘ ปี เป็นต้น
    ซึ่งปีใหม่นั้นมันก็เกี่ยวข้องกับอายุหรือวัยของคนเรา
    เพราะทำให้คนเรามีอายุหรือวัยเพิ่มขึ้นตามปีที่ผ่านไป
    ชีวิตของคนแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ
    คือ ระยะต้น ระยะกลาง และระยะสุดท้าย

    *ระยะต้นของชีวิต เรียกว่า "ปฐมวัย"
    กำหนดตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ ๒๕ ปี

    *ระยะกลางของชีวิต เรียกว่า "มัชฌิมวัย"
    นับตั้งแต่อายุ ๒๖ - ๕๐ ปี

    *ระยะสุดท้ายของชีวิต เรียกว่า "ปัจฉิมวัย"
    นับตั้งแต่อายุ ๕๑ ปีขึ้นไป

    นักปราชญ์ท่านสอนคนเราให้พยายาม
    สร้างประโยชน์แก่ตัวเองตามวัยทั้ง ๓ ดังนี้
    ๑. ปฐมวัย ให้รีบเร่งศึกษาหาความรู้ใส่ตัว
    ๒. มัชฌิมวัย ให้เร่งก่อสร้างตัวและสร้างฐานะเป็นหลักฐาน
    ๓. ปัจฉิมวัย ให้เร่งสร้างคุณงามความดี
    คือทำบุญไว้ เพื่อเป็นเสบียงเครื่องเดินทางต่อไปของตน
    และเป็นตัวอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง

    ผู้ที่ไม่สร้างประโยชน์ตามวัย ย่อมเสียใจ
    และเสียดายเมื่อผ่านพ้นจากวัยนั้น ๆ แล้ว
    เช่น เป็นเด็กไม่สนใจในการศึกษา
    เมื่อเติบโตขึ้นไม่มีวิชาความรู้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต
    ยามที่มีกำลังไม่รีบเร่งสร้างฐานะ
    เมื่อหมดกำลังแล้วย่อมกลายเป็นคนอนาถา คือ ไม่มีที่พึ่ง
    ถึงวัยใกล้ตายควรรีบเร่งทำบุญ
    แต่กลับประมาทมัวเมาในเรื่องอื่น ๆ เสีย
    จะต้องโศกเศร้าสงสารตัวเองเมื่อจวนจะสิ้นใจ

    เรียกว่า "ปีเก่า" ก็กำลังจะผ่านพ้นไป ก่อน
    ที่เราจะเรียกว่า "ปีใหม่" นั้น
    ขอให้มาพิจารณาถึงปีที่ผ่านมาว่า
    ตนเองได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
    มีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง
    โดยเฉพาะให้พิจารณาตัวเองว่าเป็นมนุษย์จำพวกไหน
    ในมนุษย์ ๔ จำพวก คือ

    ๑. มนุสฺสเปโต ได้แก่ มนุษย์เปรต
    หมายถึง คนที่มีร่างกายพิกลพิการมีอาการไม่ครบ ๓๒
    ต้องขอทานเลี้ยงชีวิต เป็นอยู่ลำบากและอด ๆ อยาก ๆ
    ซึ่งคล้ายกับลักษณะและความเป็นอยู่ของเปรต

    ๒. มนุสฺสติรจฺฉาโน ได้แก่ มนุษย์ดิรัจฉาน หมายถึง
    คนที่มีร่างกายสมประกอบ มีอาการครบ ๓๒ มีกำลังเรี่ยวแรง
    สติปัญญา แต่ไม่ทำการงานเลี้ยงชีพเอง
    คอยแต่อาศัยผู้อื่นกินไปวัน ๆ มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์เลี้ยง

    ๓. มนุสฺสเนรยิโก ได้แก่ มนุษย์สัตว์นรก
    หมายถึง คนที่มีความประพฤติหยาบช้า
    กระทำการทารุณเบียดเบียนฆ่าฟันผู้อื่น
    หากินโดยโจรกรรม ฉ้อสงฆ์ บังศาสน์ ฉ้อราษฎร์ บังหลวง
    ประกอบอาชีพไม่สุจริต
    จนในที่สุดต้องติดคุกติดตะรางเหมือนสัตว์นรก

    ๔. มนุสฺสภูโต ได้แก่ มนุษย์แท้
    หมายถึง คนที่มีความประพฤติดีงาม รักษาศีล ๕ โดยเคร่งครัด
    ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและคนอื่น

    ๕. มนุสฺสเทโว ได้แก่ มนุษย์เทวดา
    หมายถึง คนที่มีความประพฤติดีเยี่ยม มีหิริ คือความละอายต่อบาป
    โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป
    ทั้งมีนิสัยบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
    ประพฤติตนดีเลิศคล้ายเทวดา

    เมื่อได้พิจารณาดูตัวเองในรอบปีที่ผ่านมา
    ว่าตนเองเป็นมนุษย์จำพวกไหน
    ถ้าเป็นจำพวกที่ไม่ดีก็พยายามเร่งสร้างคุณงามความดี
    ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งแปลว่าผู้มีใจสูง
    คือ สูงด้วยคุณธรรม

    แต่หลายคนอาจจะนึกน้อยใจว่าในรอบปีที่ผ่านมา
    ตนเองได้พยายามทำแต่ความดี
    แต่ทำไม่จึงไม่ได้รับผลแห่งความดี
    ที่จนก็ยังจนอยู่เหมือนเดิม
    ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นถึงกับบางคนต้องพูดว่า
    "ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป"

    การทำดีที่จะให้ได้รับผลของความดีตอบแทนนั้น
    ต้องประกอบด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
    ๑. ทำดีให้ถูกเวลา
    ๒. ทำดีให้ถูกสถานที่
    ๓. ทำดีให้ถูกบุคคล
    ๔. ทำดีให้ติดต่อกัน
    คนที่ทำดีแล้วไม่ได้ดีนั้น ส่วนมากทำกันผิดหลัก
    เพราะทำดีไม่ถูกเวลาบ้าง ทำดีไม่ถูกสถานที่บ้าง
    ทำดีไม่ถูกบุคคลบ้าง และทำดีไม่ติดต่อกัน

    เมื่อไม่ได้รับผลของความดีสมความมุ่งหมาย
    จึงเสียใจน้อยใจ ถึงกับบ่นตาม ๆ กันว่า "ทำดีแล้วไม่ได้ดี"
    ก็ขอให้พิจารณาถึงการกระทำของตนเองก่อนว่า
    ที่ตนทำดีแล้วนั้น ถูกต้องตามหลักการทำความดี ๔ ประการหรือไม่
    ไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัยไหน เป็นมนุษย์จำพวกไหน
    ได้ทำดีแล้วหรือยังก็ตาม

    ข้อคิดที่อยากจะฝากไว้เนื่องในวันขึ้นปีใหม่นี้
    เป็นข้อคิดอันดับสุดท้ายก็คือ
    ข้อที่บุคคลควรพิจารณาอยู่เสมอ
    พิจารณาอยู่บ่อย ๆ เพื่อทำใจให้ยอมรับความจริง
    ที่มีอยู่ตามธรรมชาติที่ภาษาพระท่านเรียกว่า
    อภิณหปัจจเวกขณะ มี ๕ คือ

    ๑.ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

    ๒. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า
    เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้

    ๓. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า
    เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

    ๔. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า
    เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น

    ๕. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า
    เรามีกรรมเป็นของตัวเอง เราทำดีก็จะได้ดี ทำชั่วก็จะได้ชั่ว

    คนเรานั้นโดยมากอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี
    เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้
    ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ต้องมีกรรม คือ การกระทำ
    และมีวิบาก คือผลของการกระทำ
    ตราบนั้นคนเราก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้
    และเมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือ
    ความแก่ ความเจ็บ และความตาย
    โดยเฉพาะเรื่องของความแก่ เปลี่ยน พ.ศ.ใหม่ที
    เราก็แก่ไปอีกปี นึก ๆ ดู ๑ ปี มี ๓๖๕ วัน นั้น
    ช่างรวดเร็วเหมือนกับกาลเวลามันติดปีกจรวดบิน
    บางทียังไม่ได้ทันทำอะไรเลย ก็หมดไปแล้วอีก ๑ ปี
    เราก็แก่หรืออายุมากขึ้นอีก ๑ ปี
    ผู้ที่อยู่ในปัจฉิมวัย คืออายุเลยเลข ๕ ไปแล้ว
    จะรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
    จึงมีคำถามที่ถามกันเล่น ๆ ว่า
    "อะไรเอ่ย? เรายิ่งหนี มันยิ่งตาม" คำตอบ ก็คือ ความแก่
    เพราะความแก่นั้นไม่มีใครต้องการหลายคนจึงพยายามวิ่งหนี
    แต่จะหนีอย่างไร ก็ไม่มีทางหนีพ้นแต่อาจชะลอได้
    คือ ชะลอไม่ให้แก่เร็วหรือแก่เกินวัย
    เช่น เมื่อมีรอยตีนกาเกิดขึ้นบนใบหน้า
    เมื่อเวลายิ้มก็หาเครื่องสำอาง
    หรือเครื่องประเทืองผิวมาทา
    ตรงบริเวณที่เกิดรอยตีนกาก็จะไม่ปรากฏชัด
    คนสมัยก่อนท่านสอนไว้ดีมากในเรื่องของการชะลอความแก่
    โดยการเป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มอยู่เสมอ
    ถึงกับมีคำพูดว่า "ยิ้มวันละนิดจิตแจ่มใส"
    คนที่ร่าเริง ยิ้มแย้มอยู่เสมอนั้น จะดูเป็นคนที่อ่อนกว่าวัย
    หน้าไม่ทรยศเจ้าของ
    ตรงกันข้ามกับคนที่เคร่งเครียด หน้าบึ้ง
    จะดูเป็นคนที่แก่เกินวัย หน้าทรยศเจ้าของ

    และมีคำถามที่ถามกันว่า "อะไรเอ่ย ? เรายิ่งตามมันยิ่งหนี"
    คำตอบก็คือ ความหนุ่ม ความสาว
    เพราะความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น
    ใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่ความหนุ่ม ความสาวนั้น
    เรายิ่งตาม มันก็ยิ่งหนี เราไปตามกาลเวลา

    เพราะฉะนั้นจึงฝากไว้เป็นข้อคิดคือ
    ควรพิจารณาถึงความเป็นจริงว่า
    คนเรานั้นมีความแก่ ความเจ็บ และความตายเป็นธรรมดา
    ไม่มีใครสามารถพ้นไปได้
    คนเราจะต้องพลัดพรากจากของที่เรารัก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
    และคนเรานั้นมีกรรมเป็นของตนเอง
    ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว


     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  3. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    สาธุ ขอให้ประเทศไทย มีแต่มนุษย์แท้ กับมนุษย์เทวดาเถิด
     
  4. suvicht

    suvicht เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +312
    อนุโมทนาสาธุครับ หลวงพ่อ และ ขอให้ พรอันประเสริฐเกิดแก่ สมาชิก เรา ทุกคนครับ
     
  5. nang1111

    nang1111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2006
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +95
    [​IMG] กราบเท้าหลวงพ่อค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
     
  6. phanit

    phanit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2006
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +984
    กราบนมัสการหลวงตาคะ
     
  7. cpari

    cpari เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +184
    อนุโมทนาสาธุด้วยครับหลวงตา ลูกจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงตาให้ดีที่สุด
     
  8. sendurworks

    sendurworks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +317
    กราบแทบเท้า พระครูอุปฌาชย์อาจารย์ครับผม
     
  9. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     

แชร์หน้านี้

Loading...