NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลักตนพึ่งตน ****

    โลกจักรวาล อยู่ด้วย...สัจจะธรรม หลักเดียวที่ปักไว้มั่นคง
    รอดพ้นกรรม รอดพ้นภัย...เป็นเรื่องบุคคล
    อยู่ทำได้....เรื่องของสัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    *** หลักตนพึ่งตน ****

    ไม่มีโลก ไม่มีจักรวาล นั่นคือ...สัจจะธรรม หลักเดียวที่ปักไว้มั่นคง
    ใช้สติ ยืดอกรับกรรม เพื่อเข้าถึงกรรม จึงดับกรรม...เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล
    อยู่ทำได้....เรื่องของอิทัจปัจยธรรม

    - " หลง ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    [​IMG]
    แผ่นดินไหวรุนแรงในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งญี่ปุ่น 7.4 ริคเตอร์ ทางการประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ…
    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. อ้างจากสำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ แจ้งว่า ทางการญี่ปุ่นประกาศเตือนภัยสึนามิ ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง วัดระดับได้ 7.4 ริคเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น

    เกิดแผ่นดินไหวในจังหวัดเคอร์มานทางตะวันออกของอิหร่าน เมื่อคืนวันที่ 20 ธ.ค. วัดแรงส่ันสะเทือนได้ 6.3 ริคเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ใกล้เมืองฮอสเซนนาบัด ลึกลงไปใต้ดินราว 5 ก.ม. มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ราย บาดเจ็บหลายร้อยคน คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งขึ้นอีก เพราะมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกมาก

    จากที่เคยบอกไปเมื่อวันที่ 19/12/10
    มันกำลังเกิดแล้ว


     
  4. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    ในที่สุด ก็มีเหตุให้ต้องไปวัดอัมพวันเสียแล้ว

    ศุกร์นี้น่าไปวัดอัมพวันเป็นอย่างมาก
    โอกาสเหมาะที่สุดแล้ว
    24-25-26

    ใครไปแล้วเจอกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2010
  5. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    ความหมายพระจันทร์สีเลือด

    พระจันทร์แดงสีเลือด เป็นลางร้ายคะ
    เคยเจอมากลับตัว
    ก่อนจะเกิดไฟไหม้ซานติก้า
    สังเกตุเห็น ดวงจันทร์แดงฉาน น่ากลัวมากๆ

    พระจันทร์แดงสีเลือดจะมีคนตายนับพัน นี้เป็นเรื่องจริงทาง สถิติที่มีมาแต่โบราณของโลก สึนามิผมก็เห็นพระจันทร์แดง

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD>
    ใครอ่านรหัสธรรมชาติออก คนนั้นก็อยู่รอดปลอดภัย มดดำขนไข่ ฝนใหญ่จะมาอีก 1-3 วันข้างหน้า ฟ้าเหลือง พายุใหญ่ใกล้จะมาถึง พระจันทร์สีเลือดเหล่าหญ้าแพรกสัตว์เล็กสัตว์น้อยจะทุกข์ระทม พวกเราชาวประชาก็คือหญ้าแพรก ทำตัวเป็นกบจำศิลสักพัก จะปลอดภัย


    ความประมาท เป็นปัจจัยแรกหรือปัจจัยพื้นฐาน ที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ชีวิตก็จะพบทุกข์น้อย เสียหายน้อย ชาวบ้านเขาบาดเจ็บ ล้มตาย เราก็ไม่เป็นอย่างเขา อย่าตกเป็นเครื่องมือใคร โดยเฉพาะคนพาล ที่จะทำสิงผิดให้เป็นถูก พวกเขากำลังฝืนหลักธรรม หรือฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติย่อมทำลายเขาแน่ๆในที่สุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2010
  6. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    สนทนาเรื่องใจ

    มีคำกล่าวว่า "กายคืออุปกรณ์ของใจ ใจคือ ประธานของกาย"

    หรือ "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
    พวกเจ้าอยากที่จะให้ใจเป็นประธานของกายควบคุมการกระทำหรือไม่?

    1. เรื่องโดยรวมของใจ ใจต้องว่าง สงบไม่เป็นทุกข์ต่อวัตถุภายนอก ไม่หวั่นไหวต่อสายใยสัมพันธ์
    อันว่า
    … ใจว่าง เมื่อว่างมโนธรรมสำนึกจะเป็นประธาน
    … ใจหนักแน่น เมื่อหนักแน่นตัณหาความอยากก็มิอาจเข้ามากล้ำกราย
    … การที่ใจไม่หวั่นไหว สามารถบรรลุถึงสภาวะของิส่งศักดิ์สิทธิ์
    … การที่อารมณ์ไม่สั่นคอลน สามารถบรรลุถึงสภาวะของอริยะเมธี
    … หากใจไม่เป็นหนึ่ง จะมีแต่ความวุ่นวายใจ ใจที่ลังเลสงสัยจะนำมาซึ่งความวิตกกังวล
    … เมื่อบังเกิดความคิดภายในใจ ตัณหาความอยากมากมายก็จะบังเกิดขึ้น
    … เมื่ออุดมการณ์สั่นคลอน เรื่องทุกอย่างก็จบลง (ไม่ก้าวหน้า)

    2. ศิษย์ทั้งหลายควรหมั่น "ปิดใจ" ของตนถึงจะสามารถ "เปิดใจ"
    ปิดใจ … คือ การปิดซึ่งใจมิจฉาอวิชชาทั้งหลาย
    เปิดใจ … คือ การปิดให้เห็นถึงสัมมาดำริของใจ
    ปิดสิ่งใดบ้าง?
    คือปิดใจโลภ ใจเพ้อฝัน ใจโสะ ใจลุ่มหลง ใจมิจฉา ใจเอนเอียง ใจโอหัง ใจลังเลสงสัย

    เปิดสิ่งใดบ้าง?
    คือเปิดใจกุศล ใจศรัทธา ใจเที่ยงตรง ใจจริง ใจบริสุทธิ์ ใจอ่อนน้อม ใจเคารพ ใจแห่งความเชื่อมั่น

    3. การแสวงธรรมของอริยะ คือการแสวงหาใจ ปุถุชนแสวงธรรมเพียงเพื่อแสวงขอพรจากเทพเทวา

    … หากไม่รู้ใจเดิม ไม่รู้แจ้งใจ ไม่รู้จิตเดิม ไม่อาจเจอธรรมญาณ
    … หากว่าเจ้าไม่อาจรู้ใจเดิมแท้ การศึกษาพระธรรมก็เสียเปล่า
    … หากว่าเจ้าไม่อาจรู้จิตเดิมแท้ การศึกษาธรรมวิถีก็ไม่เป็นผล
    4. ใจมีทั้งใจกุศล ใจอกุศล

    … ใจรู้ตื่น ใจลุ่มหลง
    … ใจกระจ่าง ใจตัณหา
    … ใจเที่ยงตรง ใจมิจฉา
    อริยะสามารถดำเนินตามใจกุศล ขจัดซึ่งใจอกุศล คือ การรู้แจ้งใจ
    5. จิต คือตัวตนที่แท้จริง เพราะฉะนั้น อาจพูดได้ว่า "เรามีสองหน้า"

    หน้าหนึ่ง คือ กายปลอม ตัวปลอม และก็คือตัวตนที่มีความรู้สึก ตัวตนที่มีเจตนา
    อีกหน้าหนึ่ง คือ จิตเดิมแท้ ตัวตนที่แท้จริง คนจริง การรู้แจ้งที่สว่างไสว เต็มไปด้วยกุศลความดี
    ด้วยเหตุเวไนยมีความโลภ ความฟุ้งซ่าน จึงตกอยู่ในกงเวียนกงกรรม ยึดมั่นถือมั่น

    ผู้บำเพ็ญธรรม จะต้องรับได้ทุกสภาวะการณ์ ปลงได้ คิดอย่างรอบคอบ
    ทำจนสำเร็จลุล่วง และปล่อยได้ วางได้ (เสียสละได้) ถึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์อันหนักอึ้ง
    ปุถุชน… ไม่อาจสลัดจากความรักระหว่างสามี ภรรยา และบุตร
    ปุถุชน… ไม่อาจแก้ไขจากอุปนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ
    ปุถุชน… ไม่อาจปล่อยวางจากชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง
    ปุถุชน… ไม่อาจเสียซึ่งเงินทอง
    การไม่อาจปล่อยวาง… คือ ภาระอันหนักอึ้ง
    มีคำกล่าวว่า… "ไร้ภาระจักเบากาย"


    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า… "การรู้จักปล่อยวางจักสามารถยุติการเพ่งมอง รู้แจ้งว่าเป็นมายา รู้ตื่นแล้วสามารถหลุดพ้น"
    ยุติ… จักสงบ เป็นภราดร เป็นสมาธิ
    การเพ่งมอง… ใช้สมาธิในการเข้าใจ รู้แจ้ง จิตอันโลดโผนก็จะสงบ เมื่อสงบคือโพธิ เมื่อสงบคือการยุติ ก็คือการปล่อยวาง
    … การยุดใจ คือ ฟากฝั่ง การพักใจ คือ นิพพาน
    … ขงจื้อกล่าวว่า "หยุดตรงที่สุดแห่งความดี" พระธรรมจารย์กล่วว่า "ใจจะต้องหยุดพัก"
    … การหยุดพัก คือ การยุติ
    … การหยุดพัก คือ การหยุดคิด เพ่งอย่างเป็นสมาธิ
    6. การบำเพ็ญธรรม ก็คือ การบำเพ็ญศีลสมาธิ กำหราบซึ่งใจตัณหา

    การบำเพ็ญธรรม ก็คือ การบำเพ็ญปัญญา ตัดซึ่งใจริษยา
    การรู้แจ้งถึงหลักการนี้ คือ การรู้แจ้งใจ ควรถือหลักการนี้เป็นการเก็บใจ

    … ขจัดซึ่งความอยากความเห็นแก่ตัว … เพื่อหล่อเลี้ยงใจ
    … ละซึ่งสุราเมรัย … เพื่อทำใจให้บริสุทธิ์
    เมื่อปฏิบัติได้จึงจะสามารถรู้จักเพียงพอและเป็นอิสระ
    มนุษย์นั้นหากไร้ซึ่งการแสวงหาจักสูงส่ง และนี่ก็คือการบำเพ็ญจิตของผู้บำเพ็ญธรรม

    แต่ความเป็นจริงมนุษย์กลับดิ้นรนแสวงหา หากขาดซึ่งชื่อเสียงลาภยศ ก็ไม่สามารถดำรงชีวิตได้
    (แต่ผู้บำเพ็ญธรรมแตกต่างกับคนธรรมดาตรงที่ถือความสันโดษ ไม่เน้นชื่อเสียงลาภยศ) (จุดมุ่งหมายในภายภาคหน้า)


    การรู้แจ้งถึงหลักการแห่งธรรม ก็จะสามารถเข้าใจถึงชีวิต แยกแยะเรื่องถูกผิด
    จึงจะสามารถมองข้ามผ่านเรื่องได้เรื่องเสีย
    … การปฏิบัติโดยไม่รู้ เรียกว่า "เขลา"
    … แต่การที่รู้แล้วไม่ปฏิบัติ เรียกว่า "ยโส"
    … การไม่พูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ คือ คุณธรรมภายในใจ
    … การที่พูดได้ทำได้ คือ คุณธรรมของการปฏิบัติ


    ******************************
     
  7. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    การเข้าใจชีวิตที่แท้จริง

    เราจะพบว่าเราเติบโตขึ้นมาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ครอบ งำเหนือชีวิตของเรา เราสั่งสมประสบการณ์ของชีวิตที่เรารับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า แล้วเราก็บอกกับตัวเราเองว่า เราเก่งขึ้น เราฉลาดขึ้น เรารู้แล้ว เรามีแบบในอุดมคติที่เราพยายามจะทำตัวเราให้ถึงแบบอันนั้น

    เราสลัดความเป็นตัวเราออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเราก็แสวงหาความเป็นผู้อื่นหรือแบบอื่นอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเหมือนกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน เราไม่เห็นอยู่ในทุกขณะจิต


    เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผู้ถูกกักขังหรือถูกพันธนาการ เราก็ดิ้นรนหาความเป็นอิสระ มันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น หรือทุกข์ไปกว่าเก่า ทั้งหมดก็คือ Concept หรือ มโนทัศน์ มโนคติที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องแหวกกระแสของมโนทัศน์ หรือแหวกกรอบที่จะมาเป็นส่วนสนับสนุนในขบวนการของความคิดที่เรียกว่า Paradigm เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอิสระภาพของจิตใจอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าให้คำตอบอะไรแก่เราที่จะออกไปจาก Paradigm หรือกรอบของโลกนี้ได้


    ทุกคนมีศักยภาพในการรู้แจ้งความจริงหรือสัจธรรมในตัวของ เราทุกคน การตื่นขึ้นจากความไม่รู้ที่เรียกว่าอวิชชา ไปสู่การเห็นความจริงที่เรียกว่า สัจจะ ไม่ต้องไปรอชาติไหน ๆ เราสามารถที่จะรู้ได้ในชีวิตนี้ในชีวิตประจำวันของเรา


    ถ้าเรามีความเข้าใจและก็รู้ทางที่จะเข้าถึงมัน ความสำคัญจึงอยู่ที่เมื่อมีอวิชชาคือไม่มีปัญญาเราก็เป็นปุถุชน
    ถ้าเรามีปัญญาหรือมีวิชชาเราก็จะได้สัมผัสกับพุทธะหรือได้สัมผัสกับพระพุทธองค์


    การปฏิบัติ การฝึกฝน เราก็จะต้องหันเข้ามามอง จิตใจของเราเองจนพบธรรมชาติพื้นฐาน หรือธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงจิตที่บริสุทธิ์ ปภสฺสร มิทํ จิตตํ ( จิตประภัสสร ) หรือที่เรียกว่าเข้าถึงพุทธภาวะ เราจะต้องมีความเข้าใจหัวใจของพุทธศาสนารวมทั้งการเข้าใจจุดมุ่งหมายของการ ปฏิบัติด้วย


    การตระหนักรู้ถึงจิตที่บริสุทธิ์ที่เรียกว่า จิตปภสฺสร มิทํ จิตตํ จิตที่ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่งหรือจิตพุทธะนี่ เราก็จะรู้ท่ามกลางมายาก็คือปรากฏการณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง นี่คือการปฏิบัติ การถ่ายทอดของครูบาอาจารย์ก็ เพื่อที่จะบอกถึงความซาบซึ้งในทุกขณะ คือในอิริยาบทต่าง ๆ ไม่ว่า เดิน ยืน นั่ง นอน หรือในกิจการงานในวิถีจิตที่ไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก


    เราจะพบกับความมหัศจรรย์ที่แท้จริง ในการนั่งสมาธิก็ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อะไรแต่เพื่อจะแสดงธรรมชาติที่แท้จริง ของเราออกมา ธรรมชาติที่แท้จริงก็คือตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ไม่ใช่ตัวตนที่เกิดจากความคิด แต่เป็นตัวตนหรือสัจจะสูงสุดที่เราไม่สามารถสัมผัสได้ หรือรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า นั่นคือการปฏิบัติวิถีพุทธธรรมในแต่ละขณะจิต นั่นคือการแสดงธรรมชาติของความจริงออกมา หรือเราอาจจะเรียกว่าวิถีจิตหนึ่งเดียว


    การปฏิบัติที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่ทัศนคติที่ถูกต้องเพื่อ ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง การฝึกสมาธิคือการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริงให้ออกมาอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่นั่งหรือฝึกเพื่อที่จะได้บางสิ่งบางอย่าง แต่มันป็นการแสดงออกของธรรมชาติหรือของสัจจะที่แท้จริงซึ่งทุกคนมีศักยภาพ นั้นอยู่แล้ว จงหาธรรมชาติแท้จริงของเราให้พบ


    เราก็จะพบกับความเป็นอิสระอันล้ำลึกและการมีอยู่เป็นอยู่ ในแต่ละขณะอย่างเบิกบาน อิ่มเอิบ ที่แผ่ขยายในพุทธจิตของเราหรือในจิตที่ประภัสสรของเราและเราก็รักษาสภาวะนี้ ไว้


    การปฏิบัติบางอาจารย์เขาบอกให้รักษาจิตของผู้เริ่มต้น จิตของผู้เริ่มต้นเริ่มปฏิบัติมันพร้อม คือไม่มีสิ่งใดมาเป็นสิ่งกีดขวางหรือขัดขวาง แต่ผู้รู้มากแล้วละก้อ มันมีความรู้ จะเป็นสิ่งขัดขวาง การถ่ายทอดของผู้รู้ การถ่ายทอดของกัลยาณมิตร นั่นก็คือจิตเดิมแท้หรือจิตที่ประภัสสร


    จิตที่ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่งที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง ศีลของเราก็จะไม่ด่างพร้อย และการรักษาตัวของมันเองเมื่อการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเราก็จะมีประสบการณ์ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ปรีชาญาณก็จะครอบคุมทุกสิ่งที่กระทำในชีวิตประจำวัน นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา


    เขาบอกว่า จ้องมองไม่อาจจะเห็นได้ สดับฟังก็ไม่อาจจะได้ยิน ยิ่งไขว่คว้าก็ไม่อาจจะจับต้องทั้งสามสิ่งนี้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน


    เราต้องเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อธรรมชาติที่แท้จริงของ เราหรือสัจจะที่แท้จริงของเรา ในการปฏิบัติก็คือการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของเราออกมา มันเป็นการแสดงธรรมชาติ

    มันจะแสดงธรรมชาติของมันอย่างเหมาะสม และเป็นธรรมชาติ หรือเป็นไปเองในทุกสถานการณ์โดยไม่มีการเตรียมตัวเพื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นการปฏิบัติหรือเป็นการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เราอาจจะเรียกว่า วิถีจิตหนึ่งเดียวหรือวิถีพุทธธรรม

    มันมีแนวทางเดียวคือ ในแต่ละขณะจิต มันเป็นการแสดงธรรมชาติและความจริงใจของเราออกมาโดยไม่มีจุดเริ่มต้นและก็ ไม่มีจุดจบ นั่นคือเราจะต้องหา ทางสายกลางให้พบ


    เมื่อเราพบทางสายกลาง เราก็เดินไปบนทางสายกลาง พระพุทธเจ้าไม่ได้สนใจในองค์ประกอบที่ก่อรูปขึ้นมาเป็นตัวตนหรือเป็นมนุษย์ หรือทฤษฎีทางอภิปรัชญาเกี่ยวกับความมีอยู่ เป็นอยู่ แต่พระองค์ทรงสนใจอยู่กับการเป็นอยู่ในขณะนี้ว่าเราเป็นอยู่ในขณะนี้เป็น อย่างไร เราจะรู้แจ้งความจริงได้อย่างไรในแต่ละขณะ


    คนเราก็ต้องพัฒนาบุคลิกลักษณะ บุคลิกภาพในเชิงอุดมคติหรือในเชิงที่เรามีจิตสำนึกในจิตใจไว้ หรือความมุ่งมั่น ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าเราจะบรรลุผลสำเร็จ ถ้าเราขาดจิตวิญญาณของการฝึกฝนหรือขาดความจริงจังแล้วเราก็จะไม่ประสบความ สำเร็จอย่างแน่นอน นี่คือวิถีทางของพุทธะที่จะสัมผัสกับสภาวะดับเย็นหรือที่เรียกว่า นิพพาน และก็ดื่มด่ำในความล้ำลึกของสภาวะพุทธะ


    ถ้าจิตของเราสงบและมั่นคงเราก็จะเป็นอิสระจากโลกอันสับสน วุ่นวาย แม้เราจะอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม เรื่องการปฏิบัติที่เราเปรียบ หรือเราจะต้องทำให้ต่อเนื่องในทุกขณะ หรือในทุกอิริยาบทของเรา โดยการคอยเฝ้าสังเกตการแสดงออกของธรรมชาติที่แท้จริง หรือวิถีหนึ่งเดียวหรือวิถีของการรับรู้ในความเป็นองค์รวม รู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในทุกขณะจิต นี่ก็จะสร้างนิสัยขึ้นมาใหม่


    เราจะทราบหรือรู้ถึงแนวทางและสภาวะจิตของเราเพิ่มขึ้น มากขึ้น เข้าใจจิตของเรา เข้าใจตัวเรามากขึ้น ก็ในชีวิตประจำวันนั่นแหละคือการฝึกฝน คือการภาวนา หรือที่เรียกว่าการปฏิบัติ เรามีทุกอย่างพร้อมแล้วในคุณภาพอันบริสุทธิ์ของเราเอง


    ในธรรมชาติของความจริงทั้งสองนั่นก็คือ สังขตะ ความจริงที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง ก็คือกายกับใจของเราและความจริงที่ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นก็คือสัจจะที่แท้จริงของเรา เมื่อเรากระทำสิ่งใดเราก็ไม่ควรทิ้งร่องรอยของความคิดเอาไว้ ร่องรอยของความคิดก็คือการยึดมั่นถือมั่นหรือการยึดถือนั่นเอง มันก็จะไม่เหลือร่องรอย


    เราก็ต้องทำด้วยใจและกายทั้งหมด ด้วยกายและใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เถ้าถ่านก็ไม่อาจหวนคืนไปเป็นฟืนเป็นไฟอีก เพียงการปฏิบัติด้วยใจและกายทั้งหมด หรือด้วยกายและใจที่รวมลงเป็นหนึ่งในทุกขณะจิต ดังนั้นทุกขณะจิตก็คือการปฏิบัติเพื่อสู่พุทธะ เมื่อกราบ ก็จะไม่มีตัวเราเป็นผู้กราบ


    นี่คือสภาวะของการที่เราได้รับรู้สภาวะของความเป็นหนึ่ง หรือในความเป็นองค์รวม นั่นก็คือนิพพานนั่นเอง และนี่ก็คือสัจจะสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและก็ถ่ายทอดมาให้เรา จนเราสามารถที่จะพบกับความจริงนั้นได้ เราก็จะต้องทำให้ต่อเนื่องในวิถีทางของการปฏิบัติที่เรียบง่าย


    ทำโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องยากหรือมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราอย่าบอกว่าเรารู้แล้ว แค่นั้นไม่พอ เราจะต้องทำไปจนตลอดชีวิตของเรา นี่ก็คือการปฏิบัติ

    การปฏิบัติเราจะต้องมุ่งมั่นและก็เข้าใจชีวิตพื้น ฐานที่แท้จริงหรือสัจจะที่แท้จริง และก็ปฏิบัติอย่างเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน ของเรา ขณะการปฏิบัติหรือขณะการฝึกฝนหรือการภาวนานี้ อย่าไปพยายามหยุดความคิด หรืออย่าไปบังคับความคิด แต่เราจะต้องปล่อยให้มันหยุดของมันเองโดยธรรมชาติของมันเอง เห็นมัน เข้ามา แล้วมันก็ผ่านไป ถ้าเราพยายามที่จะหยุดมันแสดงว่าความคิดนั้นมันจะรบกวนเรา


    แท้จริงมันมีเพียงกระแสคลื่น ในดวงจิตของเราเท่านั้น กระแสนั้นสงบขึ้น จิตของเราก็จะผ่องแผ้วที่เรียกว่า จิตประภัสสร นั่นเอง ถ้าจิตไปมีความสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกจนเกิดคลื่นหรือเกิดกระบวนการของความ คิดขึ้นมา หรือเกิดขบวนการของขันธ์ 5 ขึ้นมานี่เราเรียกว่าจิต ที่มีขอบเขตจำกัด ก็จะนำไปสู่การปรุงแต่งไปสู่ความขัดแย้งที่เรียกว่า ทวิลักษณะ


    เราต้องเข้าใจความแตกต่างของจิตทั้งสองก็คือจิตที่ บริสุทธิ์หรือจิตที่ประภัสสร ในตัวจิตประภัสสรนี่มันจะมีธรรมชาติรู้ ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และจิตเล็กหรือที่เรียกว่าขันธ์ 5 หรือจิตสำนึก จิตสำนึกนี่มันมีตัวรู้ที่มีขอบเขตจำกัด แต่ทั้งสองจิตนี้มันเป็นสิ่งเดียวกัน


    ที่เขาเปรียบไว้ว่า น้ำเหมือนกับจิตที่บริสุทธิ์ และคลื่นก็คือขบวนการของขันธ์ 5 คลื่นก็คือน้ำ ขันธ์ 5 หรือปรากฏการณ์ก็คือสัจจะสูงสุด หรือสุญญตาหรืออมตธรรมนั่นเอง เราจะต้องเข้าใจธรรมชาติทั้งสอง ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน มันไม่ได้แยกจากกัน ทุกสิ่งจะรวมไว้ในจิตของเรานั่นก็คือแก่นสารของจิต. นี่คือความรู้สึกทางศาสนา หรือที่เรียกว่า Religious Mind จิตศาสนา นั่นเอง

    แม้ จะเกิดคลื่นในจิตหรือขบวนการของอาการของจิตแท้ ของจิตประภัสสร แต่แก่นสารของจิตก็ยังบริสุทธิ์อยู่นั่นเอง. เหมือนกับโทรทัศน์ ก่อนที่เราจะฉายหนังไปบนจอ จอมันจะมีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนกับจิตใจของเราที่ยังไม่ได้มีขบวนการของความคิดเข้าไปปรุงแต่ง จิตของเราจะบริสุทธิ์, ประภัสสร จอมันจะเป็นสีขาว แล้วเราก็คิดเรื่องราวต่างๆ มีบวกมีลบ มีสุขมีทุกข์ นั่นก็คือภาพต่างๆที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอ แต่ทั้งสองนี้ภาพมันจะมีได้มันจะต้องมีจอสีขาว เพราะฉะนั้นเราจะต้องฝึกฝนจอสีขาวนี้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา


    ถ้าเราเห็นสิ่งนี้ได้ นี่เขาเรียก จิตศาสนา นี่แหละตัวศาสนาที่แท้จริง นี่แหละสภาวะของพุทธะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้และเข้าถึง และก็ได้กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของเรา


    แม้ร่างกายของพระองค์ จะสลายเปลี่ยนแปลง แต่สภาวจิตที่พระองค์เข้าถึงก็ยังอยู่. ถ้าเราสามารถจะสัมผัสสภาวจิตที่บริสุทธิ์ของเรา เราก็จะสัมผัสกับสิ่งนี้ได้ที่พระองค์ ตรัสว่า โยธัมมัง ปัสสติ โสมัง ปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต. เห็นธรรมก็คือเห็นจิตที่บริสุทธิ์ของเราสัมผัสกับสัจจะสูงสุดหรือ อมตธรรม.


    นี่คือจิตศาสนา นี่เป็นแก่นสารของจิตที่บริสุทธิ์. อย่างที่อาตมาเปรียบไว้เหมือนน้ำกับคลื่น คลื่นมันเป็นกิจของน้ำ คลื่น ก็คือน้ำ มันไม่ได้แยกจากกัน

    ปรากฏการณ์ต่างๆที่เรียกว่า สังขตะ คือตัวเราและสิ่งต่างๆที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสนี้ธรรมชาติที่แท้ จริงของทุกสิ่งก็คืออมตธรรม หรือสุญญตา นั่นเอง มันเป็นสิ่งเดียวกัน มันเป็นกิจกรรมของจิตพุทธะหรือมันเป็นกิจกรรมของสัจจะสูงสุดนั่นเอง นี่คือการขยายตัวของมันเอง


    ท่ามกลางประสบการณ์อันหลากหลาย ชีวิตของเราก็จะสดใหม่อยู่ทุกขณะ ถ้าเราสามารถที่จะเข้าถึงมันได้ เราก็จะมีความสุข ในทุกแง่ทุกมุม หรือในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในแต่ละขณะเราก็จะพ้นไปจากความกลัวตาย, ความวิตกกังวล หรือความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ มีแต่ความสงบ, ความนิ่ง, ความสันติของจิตที่ก้นบึ้งของจิตใจเรา.รับรู้อะไรก็ไม่หวั่นไหว


    เราควรจะขอบคุณขันธ์ 5 หรือขอบคุณวัชชพืช เขาเรียกว่าวัชชพืช หรือคลื่นของจิต หรือคลื่นของน้ำ หรืออาการของจิตนี่แหละเราควรขอบคุณ เช่นความวิตกกังวล, ความกลัว, ความอิจฉาริษยา, ความโลภ อะไรต่างๆนี่ เปรียบเสมือนวัชชพืช. ก็คือคลื่นของจิตนั่นเองที่มีในจิตใจของเรา ถ้าเราสังเกตมัน.


    มันก็จะเป็นการช่วยในการปฏิบัติให้เราเกิดความก้าวหน้า. ก็คือมันเป็นครูเรา. มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้. นั่นแหละมันจะช่วยจิตของเราให้พัฒนายิ่งขึ้น. แล้วเราจะพบว่า วัชชพืชนี่มันก็ จะเปลี่ยนไปเป็นอาหารบำรุงจิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเราเจริญขึ้น. นั่นแสดงว่าการปฏิบัติของเราได้ก้าวหน้าขึ้น, ได้พัฒนาขึ้น.


    แต่ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในจิตใจเรา แล้วเราก็สรุปหรือ ลงความเห็นว่า มันไม่ดี, แย่, ปฏิบัติมานานแล้ว ยังมีสิ่งเหล่านี้อีก. นี่มันเป็นการสรุป ซึ่งมันก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจของเรา.แต่ถ้าเราเห็นว่านั่นคือ วัชชพืช หรือนั่นจะเป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ มันก็จะทำให้ใจของเราก้าวหน้าขึ้น แนวทางของการปฏิบัติก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ภายในจิตใจของเรา และก็จะทำให้ตัวเราและสิ่งแวดล้อมพบกับความบริสุทธิ์.


    หรือทำให้บริสุทธิ์ มันก็จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสมเพื่อที่จะพัฒนาจิตใจของเรา. ม้าที่เลวหรือม้าที่ไม่ดีมันจะมีค่าที่สุด ค่าของมันก็อยู่ที่ความไม่สมบูรณ์. แล้วเราก็จะค้นพบพื้นฐานของจิตของเราที่กำลังแสวงหาทางอันมั่นคง.


    เขาบอกว่าม้าที่ไม่ดี เราจะต้องฝึกฝนมัน มันเป็นม้าที่น่าสงสาร เหมือนกับจิตใจที่ไม่ดีของเรานี่ เราจะเห็นคุณค่าของมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ มันเป็นโจทย์ให้เราเรียนรู้ ให้เราแก้ เมื่อเราเรียนรู้ และเข้าใจ นั่นแหละเราก็จะพัฒนาจิตใจของเราสูงยิ่งขึ้น สูงยิ่งขึ้น


    ในอิริยาบทของพุทธะนั้น หรือในอิริยาบทของวิถีธรรมนั้น กายและจิตของเรามันจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมันสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มันก็จะมีพลัง, แล้วเราก็จะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น


    หรือไปพ้นจากความรู้สึกที่มีตัวเราหรือมีตัวเราเข้าไป เกี่ยวข้อง. ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราเข้าไปเป็นเจ้าภาพ. เมื่อมาถึงจุดนี้หรือมาถึงความเข้าใจได้อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันก็ล้วนแต่เป็นการแสดงออกของพุทธะหรือเป็นพุทธกิจ ให้เราพยายามสังเกตหรือเรียนรู้มันอย่างต่อเนื่อง ด้วยกายและจิต ที่รวมเป็นหนึ่งของเรา หรือในวิถีขององค์รวม


    เมื่อเราได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง. เราก็ย่อมจะค้นพบความหมายที่แท้จริงของ การมีอยู่เป็นอยู่ของตัวเรา นั่นแหละคือสาระของการที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือนั่นแหละคือทาง นั่นแหละคือครูของเรา. เมื่อสรรพสิ่งรวมลงในจิตของพุทธะหรือจิตที่บริสุทธิ์ ความสัมพันธ์หรือการให้ค่าตัดสิน เชิงทวิ, เชิงของคู่ก็ย่อมจะหายไปความแตกต่างของสรรพสิ่งก็จะหายไปด้วย


    ทุกสิ่งก็คือพุทธะ สรรพสิ่งก็คือพุทธะ เราก็ย่อมเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงหรือตามที่มันเป็น แต่ถ้าเราไม่มีศรัทธาต่อจิตพุทธะ ทุกการกระทำก็จะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก


    หรือตกเป็นทาสของทวิภาวะ การกระทำด้วยจิตวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นปกติเช่นนี้ เราก็จะพยายามดำรงทุกสิ่งไว้ในจิตของพุทธะ ในจิตที่บริสุทธิ์ของเรา. การกระทำทุกอย่างควรเป็นการแสดงออกของความตั้งมั่นของจิตใจเรา. ความสงบของจิตก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดการทำงานทุกสิ่ง เข้าป่า หาที่สงบ


    เพื่อที่จะได้ปฏิบัติ ความสงบที่แท้จริงนี้ เราควรหาพบในกิจการงานต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา แต่เราก็จะต้องใช้เวลา เหมือนกับเดินเข้า


    ไปในหมอก กว่าจะเปียก กว่าเราจะรู้สึกว่าเราเปียกมันก็จะต้องใช้ เวลา ไม่ เหมือนกับเราออกไปยืนตากฝน เราไปยืนตากฝนนี่มันจะเปียกทันทีเลย.

    เราก็ จะต้องมีความจริงใจ และพยายามในแต่ละขณะจิต. ความสงบของจิตหรือสภาวะที่ไปพ้นปัญหาต่างๆ มันอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็คือการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเราออกมา.


    พูดมาหลายครั้งว่าธรรมชาติที่แท้จริงของเรานี่ญาติโยม อาจจะฟังไม่ออก ธรรมชาติที่แท้จริงของเราก็คือสัจจะสูงสุด อมตธรรมหรืออสังขตธรรมหรือความว่างนั่นเอง


    ที่เราสามารถจะสัมผัสได้ด้วยใจที่บริสุทธิ์. มันไม่มีการปฏิบัติอื่นใดที่ดีไปกว่าการกระทำอย่างนี้อีกแล้ว การกระทำอย่างนี้ก็คือ สังเกต ศึกษา ดูมัน หรือที่เรียกว่าสิกขา


    เพื่อให้เกิดความเข้าใจด้วยการปฏิบัติที่เรียบง่าย การปฏิบัติที่เรียบง่ายก็คือ การปฏิบัติที่ไม่ได้มุ่งหวัง ปล่อยให้มันเป็นไปเอง ให้มันพัฒนาของมันเป็นไปเองและก็ทำอย่างต่อเนื่อง.

    เราก็จะพบกับพลังบางอย่างที่มันมีความมหัศจรรย์ จนกระทั่งไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม.
    มันล้วนแต่เป็นการแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของเราออกมาทั้งสิ้น

    ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติเช่นนี้ หรือการกระทำอย่างนี้ ด้วยการเริ่มจากการสัมผัสกับทางสายกลาง มันก็ยากที่จะเกิดการตระหนักรู้ในธรรมชาติที่แท้จริง. ถ้าการปฏิบัตินั้นยังไปไม่พ้นระดับของจิตสำนึก,

    ยังไปไม่พ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก มันก็ยากที่เราจะตระหนักรู้ถึงสัจจะที่แท้จริงหรือธรรมชาติที่แท้จริง หรือสุญญตา หรืออมตธรรม หรือธรรมชาติสากล หรือพุทธภาวะ หรือการประจักษ์แจ้งในความจริงแท้ เราก็จะพบว่าถ้าเราเข้าถึงสิ่งนั้น ทุกสิ่งของปรากฏการณ์ก็คือ พุทธะ มันกำลังแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของมันออกมา

    ทางสายกลางที่เราดำเนินอยู่ ปฏิบัติอยู่เป็นฐานและแสดงออกมาทางน้ำเสียง ออกมาทางท่าทีหรือออกมาทางบุคลิกลักษณะในรูปแบบ หรือแนว ทางที่เรียบง่าย เหมาะสมตามสถานการณ์ ตามสภาพการณ์. และถ้าเรายิ่งปฏิบัติให้ต่อเนื่อง เราก็จะพบหรือสัมผัสกับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ


    ประสบการณ์นี้จะครอบคลุมทุกสิ่งในการกระทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา ตัวเรานั่นแหละคือกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ ตัวเรานั่นแหละคือกิจกรรมอันนี้ กิจกรรมของความมีอยู่เป็นอยู่ในแต่ละขณะ มันเป็นสัจธรรมในตัวของมันเอง.


    การปฏิบัติก็คือการตระหนักรู้ในข้อเท็จจริงอันนี้ เมื่อเรามีความยุ่งยากเพราะมันมีตัวเรา เรามีความยุ่งยากได้หรือ มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะมันเกิดมีเรา ก่อนที่จะเกิดมีเรา เรามันไม่มี เรานี่เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลหรือเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง


    นั่นก็คือการทำงานของจิตที่ประภัสสรของเรานั่นเอง. แต่เพราะเราไม่รู้ เราดำเนินชีวิตด้วยอวิชชา เราจึงแยกออกมาเสียจากสรรพสิ่ง, เป็นเอกเทศ, เป็นปัจเจก มันจึงเกิดมีความรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมา หรือเรา จึงมี เกิดขึ้น และเราก็ยึดติดหรือมีอุปาทานในประสบการณ์ที่เราสัมผัสได้จากประสาทสัมผัส.


    โดยที่เราไม่รู้ว่าขันธ์ 5 หรืออาการของจิตพุทธะหรืออาการของจิตที่บริสุทธิ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร.
    เมื่อ เราไม่ได้ตระหนักรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง, แต่เรามีความรู้สึกว่าเรานี่แยกออกมาจากสรรพสิ่ง เราก็จะมีความรู้สึกกลัวเป็นพื้นฐานของจิตใจ


    ชีวิตและความตาย เราก็จะแยกจากกัน แต่จริงๆแล้วนี่ ตัวชีวิตหรืออาการหรือจิตของพุทธะนี่ มันก็คือสัจจะสูงสุด หรือเราอาจเรียกว่าความตายนั่นเอง. สภาวจิตที่เราเข้าถึงสัจจะสูงสุดนี้มันเป็นสภาวะที่ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัว เราหรือความตายนั่นเอง


    ชีวิตและความตายมันก็เป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อเราตระหนักรู้ในความจริงนี้ เราก็ย่อมจะพ้นไปจากความกลัวทุกสิ่ง. ทุกสิ่งเกิดจากความว่าง ทุกสิ่งเกิดมาจากสุญญตา หรือสรรพสิ่งนี่คือ สุญญตา หรือความว่าง หรืออนัตตา

    ปรากฏการณ์ต่างๆที่เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัส นี่เราไม่อาจจะให้ค่าหรือลงความเห็นว่า มันมีหรือมันไม่มี นี่คือสภาวะจิตที่บริสุทธิ์ของเราเข้าถึงสัจจะสูงสุด หรือเข้าถึงสถานภาพ หรือเข้าถึงมิติของความจริงแท้


    เราจะรับรู้ทุกสิ่ง ว่างจากความมีและไม่มี เราจะเห็นสิ่งต่างๆมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง. นี่คือตถตาหรือจิตที่เราสามารถจะรับรู้ในความเป็นทั้งหมด หรือที่เรียกว่า องค์รวมนั่นเอง. นั่นก็คือความว่าง นั่นก็คือ สุญญตา

    เมื่อเราเข้าถึงประสบการณ์อันนี้ เราก็จะพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิต.

    เราย่อมเห็นความงามของชีวิต เราย่อมเห็นศิลปะของการกระทำ ไม่ว่าจะเป็น ความคิด ไม่ว่าจะเป็นการพูด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออก ไม่ว่าเราจะมองดูต้นไม้ มองดูสรรพสัตว์

    เราก็จะเห็นความงามของธรรมชาติ ความงามของชีวิต ความงามของทุกสิ่งที่เรารับรู้ ล้วนเป็นเพียงการเคลื่อนไหว หรือเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงของมายา. แต่เราจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า เราจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงต่อจิตที่บริสุทธิ์หรือจิตประภัสสรของ เรา หรือเราอาจจะเรียกว่าจิตพุทธะของเรา


    การปฏิบัติจึงมีพื้นฐานมาจากความศรัทธาอันนี้หรือที่ เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธา คือศรัทธาในการเข้าถึงสัจจะสูงสุดของ พระพุทธเจ้า ศรัทธาด้วยความจริงใจ, จริงจัง และก็มีความพากเพียร. มันเป็นการได้รับการถ่ายทอดมาจากจิตวิญญาณของพระพุทธองค์ที่ผสมผสานกับจิต วิญญาณ อิริยาบทและกิจกรรมในความเป็นหนึ่งเดียวของความเข้าใจที่ถูกต้องของเรา

    บนพื้นฐานของจิตที่บริสุทธิ์ หรือจิตที่ประภัสสรหรือจิตที่ว่างนี่แหละ นั่นก็คือการประจักษ์แจ้งกับความจริง


    เมื่อเรามีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับ สัจธรรมหรือตามที่ มันเป็น. เราก็จะเข้าถึงการประจักษ์แจ้งกับความจริง ด้วยการตระหนักรู้ในความหมายที่แท้จริงของแต่ละขณะจิต. นั่นก็คือสัมมาทิฐิหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง


    มันเป็นการแสดงตัวของธรรมชาติที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวเรา ออกมาให้เราสัมผัส.
    ที่พูดว่าเราสัมผัสนี่ จริงๆแล้วมันไม่มีเรา นี่มันเป็นภาษาโลก มันเป็นการปฏิบัติหรือเป็นการเคลื่อนไหวของตัวมันเอง เราก็จะเข้าใจธรรมชาติเดิมแท้หรือจิตพุทธะว่าคืออะไร แล้วเราก็ยิ่งจะเกิดความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ในธรรมชาติที่แท้จริงของเรายิ่งขึ้น

    เราต้องหาความมีอยู่หรือความเป็นอยู่ในความเป็นทั้งหมด หรือความมีอยู่ เป็นอยู่ที่สมบูรณ์ของเรา, จากสิ่งที่มันกำลังเป็นอยู่. สมบูรณ์อยู่ในทุกขณะ

    คำสอนพื้นฐานของพระพุทธองค์ที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงหรือสรรพสิ่งไม่เที่ยง สรรพสิ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้,


    เป็นอนัตตา พ้นไปจากความมีและความไม่มีตัวตนที่เรียกว่า ไตรลักษณ์. เ ราก็จะเห็นสิ่งนี้ เมื่อจิตของเราเข้าถึงสุญญตา หรือเข้าถึงสัจจะสูงสุด. ถ้าเราไม่เห็น เราก็ไม่อาจจะยอมรับในความเป็นพุทธะในจิตที่บริสุทธิ์ของเราได้


    ความสมบูรณ์ก็คือความไม่สมบูรณ์ ถ้าจิตของเราเข้าถึงสิ่งนี้แล้ว ของคู่ต่างๆก็จะไม่แตกต่างกัน หรือเราอาจจะพูดว่า ความไม่สมบูรณ์ก็คือความสมบูรณ์ ถูกก็คือผิด นี่ก็คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจหรือเรียนรู้


    จุดประสงค์การปฏิบัตินี่ก็คือการเข้าถึงความเป็นอิสรภาพ หรือเสรีภาพที่จิตของเรามีอุปาทานหรือจิตของเราเคยยึดถือสิ่งต่างๆ ยึดถือบัญญัติ, ยึดถือสมมติ ยึดถือประสบการณ์ของชีวิต


    อันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ เมื่อเราสามารถจะเข้าถึงความเป็นอิสระของจิตของการมีอยู่ เป็นอยู่ ทั้งทางร่างกายและจิตใจในแต่ละขณะได้ มันก็เป็นการแสดงออกถึงคุณภาพในตัวของมันเอง.

    ในกิจกรรม เราก็จะมีความสงบ,แท้จริงแล้วมันก็คือสิ่งเดียวกัน. ที่ต่างกันเพียงการตีความหมายหรือให้ความหมายเท่านั้นเอง ในกิจกรรม,มันจะมีความผสมกลมกลืน นี่คือคุณภาพของการมีอยู่และความมีอยู่

    การปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็คือการเข้าใจความเร้นลับของความเป็นอิสระ


    ในขณะเดียวกันเราก็มีสัมพันธ์กับสรรพสิ่งเป็นองค์รวม หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือสัจจะทั้งสองทำงานร่วมกันเป็นสัจจะหนึ่งเดียวคือ สังขตะกับอสังขตะ ปรากฏการณ์กับความว่างทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว. เพียงแต่เราหยุดขบวนการของความคิดที่ไร้สาระ


    สัจจะสูงสุดคืออมตธรรมหรือความว่างก็จะกลายเป็นข้อเท็จ จริง ข้อเท็จจริงก็คือปรากฏการณ์ ทั้งสองทำงานร่วมกันในวิถีของความเป็นหนึ่งที่เรียกว่า วิถีของพุทธธรรม


    นี่คือสิ่งที่เราจะต้อง ฝึกฝน หรือภาวนาในทุกอิริยาบทของเรา เพื่อจะเข้าถึงความเป็นธรรมชาติหรือความเป็นเองของสัจจะ ความเป็นเองของธรรมชาติก็คือความเป็นอิสระจากการยึดถือสรรพสิ่งที่เราเคยมี ประสบการณ์ทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย


    ในขณะเดียวกัน เราก็มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง,เป็นองค์รวม เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือสิ่งที่ออกมาจากความว่าง หรือนี่คือการแสดงออกของ ปรีชาญาณที่เกิดจากจิตของเราที่เข้าถึงสัจจะสูงสุดก็คือ ธรรมชาติแท้.


    แสดงออกในกิจกรรมที่อยู่บนพื้นฐานของจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ก็คือการแสดงออกของธรรมชาติ นั่นคือกิจกรรมที่แท้ มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์. มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่อย่างมหัศจรรย์ นั่นคือธรรมชาติ ถ้าเราเข้าถึงสิ่งนี้ได้ เราจะพบกับ ความสุขแท้ที่จริงของชีวิต



    **************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2010
  8. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4179216" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] เมื่อวานนี้, 09:09 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1792 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Crystal DNA
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 133
    พลังการให้คะแนน: 24 [​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4179216" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>พระจันทร์สีเลือด เราเห็นมาสามคืนแล้ว

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> พระจันทร์สีเลือดเราเห็นมา 3 คืนแล้ว
    ลางไม่ดีเอาเสียเลย ภัยใหญ่กำลังมา
    สุดหนทางที่จะเยียวยาแล้ว
    พลังบวกของพวกเราน้อยเกินไป

    [​IMG]

    ออกไปดูนอกบ้านสิแล้วจะเห็นท่านทั้งหลาย

    ประชาชนจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน?
    ขอให้ได้รวย ทำได้ทุกอย่างแม้การละเมิดศีล
    หรือขอรักษาศีลธรรม แม้ว่าจะไม่ทำให้รวย
    (คนประเภทนี้แหละที่จะเหลือรอดสู่ยุคศิวิไล)
    </td></tr></tbody></table>

    Crystal DNA = 3+18+25+19+20+1+12+4+14+1 = 117 = KG =KEY GRAND
    117 = 9 = I = INFINITY


    MOON BLOOD =13+15+15+14+2+12+15+15+4 = 105 = JE = JUSTIFY EVERYTHING

    105 = 15 = O= OMEN บอกเหตุ ลางดี ลางร้าย
    MOON = 13+15+15+14 = 57 = 12 = L = LOVE
    BLOOD = 2+12+15+15+4 = 48 = 12 = DHL ด่วนพิเศษ

    22/12/2553 = 49 = 13 = MAGIC & MIRACLE

    22= VICTORY
    12 = DECEMBER = 55
    2553 = 15 = O = OMEN

    09:09 = II =II = INFINITY INTELLEGENCE อัจฉริยอันไร้ขอบเขต เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือมนุษย์
    #1792 = 1+7+9+2 = 19 = S = SUN

    จะเห็นได้ว่า คุณ Crystal DNA ผู้ซึ่งเป็นถือกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่ง ได้มาย้ำเตือนให้ทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจ DHL คือด่วนพิเศษ หรือ ส่งให้ตรงเวลาในการรวมพลังเป็นหนึ่งเหมือน THE SUN ในการส่งพลังบวก คือความรักโดยปราศจากเงื่อนไขขึ้นอยู่ชั้นบรรยากาศโลก เพื่อปรับความสมดุลย์แก่จักรวาล เพราะเมื่ือไหร่ที่MAGIC & MIRACLE เท่ากัน นั่นหมายถึง ความสมดุลย์ เพราะ อัจฉริยะไร้ขอบเขต จะเกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่รวมกันเป็นหนึ่งโดยไม่แบ่งแยก เพื่อการผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ..

    LOVE YOU..
     
  9. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    เอ่อคุณหันนุมารครับ สัจจะนี่ใช้ความคิดแทนได้เปล่าครับ หรือการพูดกับความคิดแล้วที่จริงคืออันเดียวกัน พอดีเป็นคนไม่ชอบพูดอะครับ เลยหาสัจจะยาก
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ซื่อสัตย์เด็ดขาดต่อตนเอง ****

    ผู้ทำได้...
    การกระทำของเขา.... คือ ตัวศาสนา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โจรเป็นใบ้ ****

    ให้สัจจะ ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า....
    ไม่ฆ่ามนุษย์ทั้งในครรภ์และนอกครรภ์ ตลอดชีวิต
    เขาพูดไม่ได้ แต่ในใจเขาพูด
    แล้วการกระทำของเขา ทำได้จริง
    ผลคือ เขารักษาสัจจะสัญญาใจตนเองได้
    จึงเกิดเป็นตัวกระทำ เป็นบารมีผลตนทำได้ ติดตัวไป
    จึงสามารถ ก้าวข้ามกรรมที่กำลังปรากฏได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    สัจจะ...คือ สัญญาใจ
    เป็นสัญญาที่ทำขึ้นไว้กับใจตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    หลักโลกุตตระธรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ขออภัย ****

    คือ เราความรู้น้อย เรียนมาน้อย
    เราพูดง่ายๆ แต่บางคนคิดมาก จนไม่เข้าใจไปเอง
    คือความคิดคนเรา ยิ่งเรียนมากก็มั่นใจตนเองมาก
    จนจิตใจมันเริ่มแคบลง แคบลงจนเรื่องง่ายๆก็ยังไม่เข้าใจ
    ทำให้นึกถึงเรื่องบัวสี่เหล่า นึกถึงสองเหล่าท้ายสุด
    ฉลาดจน ก่อกำแพงขึ้นมาล้อมกรอบขังตนเอง
    ถ้าเขามีบารมีพอ วันหนึ่งเขาจะรู้เอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** คนหลงความเห็น จะวิ่งหาความจริง ****

    เราพูดความจริง
    วันหนึ่งเขาต้องวิ่งไปหาความจริง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    [​IMG]

    นับตั้งแต่วันที่ 11/7/2009 ซึ่งเป็นวันที่เกิดสุริยุปราคา เราก็ทำนายได้ว่าพยานสองปากของพระเจ้าจะปรากฏตัวเมื่อไหร่
    ( พยานสองปากมีฤทธิ์เรียกภัยพิบัติมากี่ครั้งก็ได้เพราะพระเจ้าให้อำนาจแก่พวกเขาพยานสองปากที่ได้ถูกส่งลงมาเกิดบนโลกเพื่อเป็นพยานถึงการมาเป็นครั้งที่สองของบุตรของพระเจ้า พยานสองปากนี้ได้แก่เทพ มิคาเอล และเทพ กาเบรียล )
    แผนภาพด้านบนอธิบายถึงวันและเวลาที่พยานสองปากจะปรากฏตัวนั่นเอง
    รหัส 11:11 คือการ countdown to the two witness ซึ่งตรงกันวันที่ 10/10/10
    และหลังจากนั้นอีก 33 วัน เทพมิคาเอลก็ปรากฏด้วยรหัส 1133 จะตรงกับวันที่ 11/11/10
    หลังจากนั้นอีก 44 วัน เทพกาเบรียลก็ปรากฏดัวยรหัส 1177 จะตรวกับวันที่ 25/12/10(alien nephilim ปรากฏ)

    ตัวเลขรหัสประจำตัวก็บอกกันไปแล้ว วันที่ 24-31 ไปปฏิบัติธรรมครับหนีไปจำศีล ไม่รู้จะช่วยได้มากหรือน้อยน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  17. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ยินดีต้อนรับ คุณ Little Mermaid.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ เมื่อวานนี้ เวลา 03:44 PM .. :VO
     
  18. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    สิ่งดีดีมีให้อ่าน ..

    ความ น้อยอกน้อยใจ เป็นปัญหาทางอารมณ์ ที่สามารถเกิดได้กับทุกคน เป็นความรู้สึกในทำนองไม่พอใจที่ผู้อื่นมองไม่เห็นคุณค่า หรือ เห็นความสำคัญของตนเอง ทำให้ผู้ที่มีอาการเกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจระคนกับความโกรธ อยากจะทำอะไรที่มันเป็นการประชดประชันผู้อื่น เช่น ไม่ยอมทำการงาน คิดอยากจะทำร้ายตัวเอง หรือ บางคนที่มีความน้อยใจรุนแรงก็อาจจะถึงกับฆ่าตัวตายได้
    ดัง นั้น คนเราจึงไม่ควรประมาท ไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เพราะความน้อยใจเป็นอารมณ์ร้ายที่สามารถทำลายอนาคตของเรา ทั้งในด้านหน้าที่การงาน และ ครอบครัว หรือ แม้กระทั่งชีวิตทั้งชีวิตเลยทีเดียว
    เครือ ข่ายชาวพุทธฯ จึงขอเสนอวิธีคิดป้องกันและแก้ไขไม่ให้ความรู้สึกน้อยใจเกิดขึ้นภายในจิตใจ ของเรา ด้วยเทคนิคคิด ๔ วิธี ขอเชิญเลือกใช้ตามความถนัด..
    ๑.ละอายใจ
    ให้ บอกกับตัวเองว่า การที่เราชอบน้อยอกน้อยใจ นี่แสดงว่าจิตใจของเรายังเป็น เด็กอยู่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง คือ คนเรานั้นถึงแม้จะมีอายุแก่เฒ่าสักปานใด แต่หากว่ายังเป็นคนที่ชอบน้อยอกน้อยใจ ก็ถือว่าคน ๆ นั้นยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่นั่นเอง
    การใช้วิธีล้อตัวเองให้เกิดความละอาย จนไม่กล้าน้อยใจ เป็นวิธีที่ได้ผลวิธีหนึ่งที่ช่วยเราได้ เช่น เราอาจจะล้อตัวเองให้อายว่า
    ” น่าไม่อาย.. ตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ใจยังเด็ก “อะไรทำนองนี้ ล้อตัวเองให้จิตใจเกิดความละอาย มันจะได้ไม่กล้าน้อยใจ จากนั้นนิสัยนี้ก็จะค่อย ๆเลิกไปเอง
    (ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ “หิริ” หรือความละอายใจต่อบาป ในพระไตรปิฎก)

    ๒.ภูมิใจ
    สร้างความภูมิใจในตนเองเข้าไว้ บอกกับตัวเองว่าเรานี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราจะไม่ยอมไปน้อยอกน้อยใจอะไรให้ไร้มันสาระ ผู้ใหญ่ไม่ถือสาหาความเด็ก ๆ ฉันใด เราย่อมไม่ถือสาคนที่ทำให้เราน้อยใจแม้ฉันนั้น ความเป็นคนมีใจหนักแน่น และ เป็นมิตรกับทุก ๆ คน เช่นนี้ ถือว่าเป็นคุณธรรมของผู้ใหญ่ที่น่าเคารพที่สุด ใครคิดได้เช่นนี้ ให้ยกมือไหว้ตัวเองได้เลยครับ
    ( ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ” คุรุ” ความมีใจที่หนักแน่น น่าเคารพ)

    ๓.เห็นใจ
    เห็นอกเห็นใจคนที่ทำให้เราน้อยใจ ด้วยจิตใจที่เมตตากรุณา ดูตัวอย่างพระพุทธองค์ที่ทรงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมาตลอดพระชนม์ ชีพ แต่บางครั้งพระพุทธองค์ก็ถูกโจมตีว่าร้าย บางทีก็ถึงกับปองร้ายหมายชีวิต แต่ทว่าแทนที่พระพุทธองค์จะเกิดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ทรงกลับมีความกรุณาเมตตาสงสารบุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกับบิดารักบุตร

    ให้เราเอาแบบอย่างพระพุทธองค์ คือมีความเมตตาต่อผู้ที่ทำให้น้อยใจเหมือนบิดามารดารักบุตร
    (ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ “เมตตาและกรุณา” ในพระไตรปิฎก)

    ๔.เข้าใจ
    ให้คิดเสมอว่าการที่เรามามัวน้อยอกน้อยใจ แล้วเราจะเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างไร ให้รวบรวมจิตใจให้หนักแน่นโดยอาศัยวิธีการจากข้อ ๑- ๓ เมื่อจิตใจมั่นคงดีแล้ว ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองหาเหตุผลจนเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยไม่เอาอารมณ์ หรือความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปปะปน คือ ทำใจให้ว่าง วิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยใจที่เป็นกลาง (อุเบกขา) มองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนเห็นเหตุปัจจัยความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ

    (ประยุกต์วิธีคิดมาจากหลักธรรมข้อ “อนัตตา” ในพระไตรปิฎก)
    *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・✿.。.:*​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทำให้ถึงที่สุด ธรรมถึงที่สุด ****

    ความสำเร็จของทุกคน...อยู่ที่ "สัจจะ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คนหัวใจสิงห์

    ไม่เคยมีใครคนใดที่แพ้ไม่เป็น
    แต่สิ่งเดียวที่ยากเย็น คือรับได้อย่างดี
    จากเกิดจนตายมีเกมส์ให้สู้มากมาย
    มีบางเกมส์ที่ง่ายดาย แต่ที่ยากก็มี

    * เกิดเป็นคนด้วยกาย หัวใจต้องเป็นดั่งสิงห์
    สู้ทุกเกมส์ ทุกสิ่งไม่มีได้ฟรี

    ** จะหยัดจะยืนตะโกนให้ถึงขอบฟ้า
    ว่าไม่กลัวอะไร จะสู้ด้วยใจที่มี
    บวกกับเรี่ยวแรงในมือ ตั้งใจจะทำให้ดี
    สู้อย่างนี้ จะแพ้ให้มันรู้ไป

    สิ่งหนึ่งที่คอยเวลา ให้ผู้ท้าทาย
    ที่ไม่กลัวต้องแพ้พ่าย เดินเข้าไปสู้มัน
    ปลายทางมันคือรางวัลที่ค่ายิ่งใหญ่
    ที่ประธานให้หัวใจ แด่ผู้กล้าใฝ่ฝัน

    * เกิดเป็นคนด้วยกาย หัวใจต้องเป็นดั่งสิงห์
    สู้ทุกเกมส์ ทุกสิ่งไม่มีได้ฟรี

    ** จะหยัดจะยืนตะโกนให้ถึงขอบฟ้า
    ว่าไม่กลัวอะไร จะสู้ด้วยใจที่มี
    บวกกับเรี่ยวแรงในมือ ตั้งใจจะทำให้ดี
    สู้อย่างนี้ จะแพ้ให้มันรู้ไป


    <EMBED src="<a href=" type="text/html; charset=UTF-8" target="_blank" d2355f1e? 53650053 embed www.4shared.com http:>http://www.4shared.com/embed/53650053/d2355f1e" width="420" height="250" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>



    ด้วยรักและนับถือยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...