เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Austerity Measure....... มาประหยัดอะไรกันตอนนี้???


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/gqkUfR-F4Ek?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=500 height=400 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>​


    ด้านบนคือคลิปเหตุการณ์การประท้วงในอังกฤษ ณ เวลานี้ครับ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิฤติการณ์ในยุโรปแล้วส่งผลข้ามมาที่เกาะอังกฤษ ยังจำได้ไม่ครับการประท้วงไล่เรียงมาตั้งแต่กรีก ฝรั่งเศษ เยอรมัน โปรตุเกส และอังกฤษในที่สุด


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/2Bexq8R5eKU?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    ผมจึงขอทำนายว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับสหรัฐเช่นเดียวกันในไม่ช้าครับ และเหตุผลสนับสนุนก็คือ ณ วันนี้คนอเมริกันที่อยู่ในสภาวะตกงานบ้าง ถูกยึดบ้านบ้าง ไร้ที่อยู่อาศัยบ้าง ทั้งหมดรวมๆ กันแล้วมากกว่า "42 ล้านคน " ซึ่งมากกว่าประชากรของบางประเทศในแถบยุโรปซะอีก ฝากชีวิตไว้กับ Food Stamps หรือสวัสดิการคูปองอาหารของรัฐครับ ซึ่งตัวเลขนี้ทำสถิติสูงสุดในรอบ 27 ปีไปแล้วอีกเช่นกัน


    ประกอบกับอีกมากว่า 10 รัฐของสหรัฐอยู่ในฐานะล้มละลายไปแล้วในทางตัวเลข และอีก 40 กว่ารัฐที่เหลือก็ตัดลดรายจ่ายกันอย่างรุนแรงด้วยทุกวิถีทางครับ ก็จะยิ่งส่งผลให้ปัญหาและอัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นผลักคนเหล่านั้นให้ไปเข้าโปรแกรม Food Stamps ในที่สุด

    ย้อนกลับไปดูผลการเรื่องตั้งกลางเทอมครั้งที่ผ่านมา เดโมแครตชนะและกวาดเสียงข้างมากในสภาล่างหรือ ส.ส. ในขณะที่ รีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากในสภาบนหรือ ส.ว. ไปอย่างเฉียดฉิว และในทันทีที่รัฐสภาชุดใหม่ของสหรัฐนี้เริ่มทำงาน พรรครีพับลิกันก็ได้เสนอร่างกฏหมายฉบับแรกของสภาชุดนี้ขึ้นมาครับ คือ "การตัดลด" งบประมาณในส่วนของ Food Stamps ลง ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐใช้จ่ายงบในส่วนนี้มากเกินไป ซึ่งแค่คิดก็เห็นลางของหายนะแล้วครับ แล้วการผลักดันกฏหมายก็น่าจะผ่านในที่สุดด้วยเสียงโหวตที่เค้ามีอยู่ในขณะนี้


    อีกไม่นานเราคงจะได้เห็น Riots หรือการลุกฮือของคนอเมริกันครับ จะเห็นได้ว่าสถานการณ์พัฒนาขึ้นโดยลำดับครับ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อก็ลองกลับไปดูที่ผมเขียนไว้เป็นช๊อตๆ ในรอบปีที่ผ่านมาครับ ทั้งเรื่อง Martial Law, Executive Order, ร่างกฏหมายที่จะมารองรับต่างๆ ความเคลื่อนไหวทางทหารในช่วงที่ผ่านมา การซ้อมรับมือภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ความชัดเจนและความแม่นยำคงมากขึ้นมาอีกระดับแล้วนะครับ...


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    Nov 26 2010, 11:13 AM
    JimmySiri: Update ความเคลื่อนไหวของศึก 2 เกาหลีครับ 1.<WBR>สหรัฐส่งเรือบรรทุก
    เครื่อง<WBR>บิน USS George Washington เข้าร่วมซ้อมรบร่วมกับเกาห<WBR>ลีใต้ โดยเรือบรรทุก
    เครื่องบินลำ<WBR>เดือนทางออกจากฐานทัพสหรัฐ<WBR>ในประเทศญี่ปุ่น

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 26 2010, 11:14 AM
    JimmySiri: 2.<WBR>การซ้อมรบร่วม เกาหลีใต้และสหรัฐจะเริ่มข<WBR>ึ้นปลายสัปดาห์นี้

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 26 2010, 11:16 AM
    JimmySiri: 3.<WBR>อินเดียส่งทหาร 36,<WBR>000 เป็นกรณีพิเศษ ไปประจำพรมแดนด้านที่ติดกั<WBR>บจีน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 26 2010, 11:17 AM
    JimmySiri: 4.<WBR>จีนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกั<WBR>บความรุนแรงในคาบสมุทรเกาห<WBR>ลี เสนอให้เอา
    กลับเข้าที่ประช<WBR>ุม 6 ฝ่าย

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 26 2010, 11:19 AM
    JimmySiri: 5.<WBR>สื่อในสหรัฐเริ่มตีข่าวเกา<WBR>หลีเหนืออีกระลอก เริ่มตั้งคำถามถึงที่มาของ<WBR>ขีด
    ความสามารถของเกาหลีเหน<WBR>ือในด้านนิวเคลียร์ว่ามาจา<WBR>กไหน

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 26 2010, 11:21 AM
    JimmySiri: 6.<WBR>หรือการพบปะหอมแก้มกันครั้<WBR>งล่าสุดระหว่าสหรัฐและอินเ<WBR>ดีย ทำให้อินเดียเปลี่ยนสถานะจ<WBR>ากประเทศที่เป็นกลาง เริ่มโน้มเอียงไปทางสหรัฐ

    ....."The Gold War phrase II" by Jimmy Siri
     
  3. Nu_Bombam

    Nu_Bombam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,030
    ค่าพลัง:
    +4,915
    ขอติดตามด้วยคน เนื้อหาแน่นมากทีเดียว...
     
  4. asimo_oak

    asimo_oak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +26
    ข้อเป็นกำลังใจให้กับผู้ลงเนื้อหา พร้อมที่จะติดตาม ขอบคุณมากๆครับ
     
  5. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    เราลองมาดูซิว่า เงินเฟ้อคืออะไร ตามผมมาครับ ยาวหน่อย แต่สนุกครับ

    จากข้อเขียนของคุณ Nexttonothing จากเวปไทยโกลด์ครับ

    [​IMG]



    เงินเฟ้อ คืออะไร? "What is Inflation?"


    เนื้อหาในวันนี้ค่อนข้างจะหนักและซีเรียสอีกแล้วครับ
    แต่ผมก็ยัง “อยาก” ที่จะเขียนถึงเพราะมันเป็นข้อมูลที่คุณและคนรอบข้างคุณ “ควร” และ “มีสิทธิ์” ที่จะรับรู้

    วันนี้เราจะมาคุยเรื่อง “เงินเฟ้อ”กันครับ
    มองแบบเผินๆ ก็คงจะมองไม่ออกว่ามัน ทำงานและส่งผล ต่อชีวิต ของพวกเรายังไง? มากน้อยแค่ไหน ?……

    ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศรวมทั้งพวกเรา ทำงานกันทุกวัน เพื่อหารายได้ กว่าจะได้ แต่ละร้อยแต่ละพัน ทำงานกันเข้าไป
    กลับมีคนอีกกลุ่มนึง ซึ่งถือว่าเป็นระดับผู้นำในแต่ละประเทศ ตวัด ปากกาเพียง แกร๊กเดียว
    เซนต์อนุมัติจัดพิมพ์ปริมาณเงินมหาศาล ออกสู่ระบบ (เช่น QE1-2)

    ...............................

    เงินในทุกประเทศ หากเรามองอย่างตรงไปตรงมาไม่หลอกตัวเอง มันคือ
    กระดาษ + หมึกพิมพ์สี ต้นทุนการผลิต

    ของ ธนบัตรใบละ 1000 กับใบละ 20 แทบจะไม่ต่างกันแต่ ราคากลับต่างกันถึง 50 เท่า..
    นั่นทำให้ธนบัตรนั้นไม่มี มูลค่าในตัวของมันเอง (Intrinsic Value)
    แต่มันอยู่ ได้ด้วย.....

    [​IMG] ความเชื่อถือ (Credibility)
    (เพราะทุกคนเชื่อถือและยอมรับเราก็เลยยอมรับและเชื่อถือด้วย)

    [​IMG] รัฐบาลเป็นประกัน (Legal tender)

    แบงค์กาโม่ แตกต่างจาก ธนบัตร ตรงที่ ไม่มีความน่าเชื่อถือ และ ไม่มีรัฐบาลเป็นประกันให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
    หากคุณเลือกที่จะเชื่อถือและ “เก็บ” ผลตอบแทนจากการทำงานของคุณในรูปแบบของ “ธนบัตร”


    คำถามคือ คุณเชื่อถือรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหน ??

    ..........................

    เงินเฟ้อ คือ อะไร ?

    ในทางเศรษศาสตร์ และตำราหลายๆเล่ม มักจะอธิบายว่า
    “เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่สินค้าอุปโภคบริโภครอบตัวเราขึ้นราคา”(Rising Price)

    คำแปลที่ถูกต้องคือ “เงินเฟ้อ คือ การเพิ่มของอุปทานเงินในระบบ” (Increasing Money Supply)

    แต่ที่ฟังง่ายและถูกต้องที่สุด “เงินเฟ้อ คือ พิมพ์เงิน (Money Printing)” ครับ

    การบอกว่า เงินเฟ้อ คือ สินค้าขึ้นราคา นั้นไม่ถูกต้อง เพราะสินค้าขึ้นราคาเป็น “ผล” ครับ ส่วน เงินเฟ้อนั้นเป็น “เหตุ”

    ฝนตก – น้ำท่วม

    สมมุติว่าคุณเป็นคนหาดใหญ่ นอนอยู่บนชั้นสอง ของบ้าน
    เช้าวันรุ่งขึ้นคุณตื่นมาพบว่า “น้ำท่วม” จนถึงระดับเอว คุณจึงตะโกนบอกคนในบ้านว่า แย่แล้ว “ฝนตกๆๆ!!”
    คนในบ้านคงจะ งง?? แล้วบอกว่า .... นี่มัน “น้ำท่วม” ชัดๆ
    แต่เพราะ “ฝนตก” (เหตุ)------> น้ำจึงท่วม (ผล)

    การเรียก "เงินเฟ้อว่าสินค้าขึ้นราคา จึงเหมือนกับการเรียก น้ำท่วมว่าฝนตก"

    คนละเรื่อง ไม่ถูกต้องครับ......

    สินค้าขึ้นราคานั้นเป็น “อาการ” ของ เงินเฟ้อ ส่วนตัวเงินเฟ้อเอง ความหมายมันคือ การพิมพ์เงินเพิ่ม (Money Printing)ครับ
    สั้นๆง่ายๆแค่นั้น

    เมื่อพิมพ์เพิ่มเข้ามาในระบบ ในขณะที่ ปริมาณสินค้า ยังมีอยู่เท่าเดิมไม่ได้เพิ่มตาม (หรือเพิ่มในอัตราที่ช้ากว่า)
    ราคาสินค้าจึงต้องแพงขึ้น หรือ หากมองอีกมุมหนึ่งคือ “ค่าของเงิน” นั้นลดลง

    หลักการทำงานของ “เงินเฟ้อ”

    หากคุณมี ชามะนาว อยู่ 1 แก้ว จู่ๆ เพื่อนคุณคว้าไป ดูด ลดฮวบลงไปครึ่งแก้ว เสร็จแล้ว
    เติมน้ำเปล่า แทนให้เต็มแก้วเหมือนเดิม จึงคืนให้คุณ

    คุณ จะยอม หรือไม่ ??? [​IMG] [​IMG]

    จริงอยู่ ….แม้ว่าคุณจะได้ ชามะนาว คืนเต็มแก้วเท่าเดิม แต่มันก็ “เจือจาง” ลง
    เหมือนกันครับ การพิมพ์เงิน เมื่อ ปริมาณเงินชุดใหม่ไหลเข้ามาในระบบ เงินปึกใหม่ๆ จากกระดาษเปล่าๆเอามาพิมพ์สี
    มีค่าขึ้นมาได้ ก็เพราะเข้าไปดึง มูลค่า ของเงินเก่าที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว (เช่น ในบัญชีเงินฝาก หรือ แม้แต่เงินที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของคุณ)
    ทำการ “เจือจาง” เงินทั้งระบบ ทำให้ อำนาจการซื้อ (Purchasing Power) ของคุณนั้นลดลง

    ระบบนี้ยัง หลอกตา พวกเราด้วยตัวเลขที่อยู่บน ธนบัตร ที่ไม่ว่าเรามองกี่ทีๆ ก็เห็นเป็น ตัวเลข 100 บาท, 500บาท, 1000 บาท
    คงที่เต็มใบเท่าเดิมตลอด (หารู้ไม่ว่ามันถูกเจือจางไปเรียบร้อยแล้ว)
    ยิ่งเมื่อเราหันไปมอง ราคาสินค้า กลับขยับขึ้นเปลี่ยนแปลงตลอดทุกปี ทำให้เราเข้าใจไปว่า

    “สินค้านั้นขึ้นราคา !”


    แท้จริงแล้วสินค้าไม่ได้ขึ้นราคา “1,000 ในกระเป๋าคุณตอนนี้ต่างหากที่ถูกเจือจางให้มูลค่าไม่เท่ากับ 1,000 ในอดีต”
    คุณถึงต้องจ่ายแพงขึ้น.....

    นี่เป็นสาเหตุที่ 10 ปีที่แล้วคุณมีรายได้เท่าไหร่ คุณจะมีรายได้เท่าเดิมในวันนี้ไม่ได้ เพราะเหมือนสินค้าขึ้นราคาหมดทุกอย่าง
    คุณจะต้องทำงานให้หนักขึ้นๆๆ เพื่อเพิ่มรายได้ของคุณ ให้เพียงพอต่อการเพิ่มของราคาสินค้า
    หากทำได้ “ระดับคุณภาพชีวิต (Standard of Living) จึงจะยังคงเดิม” แต่หากคุณไม่สามารถ
    เพิ่มรายได้ของคุณให้ชนะเงินเฟ้อได้ จำนวนเงินเท่าเดิมที่เคยซื้อ ข้าวผัดกระเพรากินได้ จะทำให้คุณสามารถซื้อได้แค่ ข้าวไข่เจียว
    แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่ ระดับคุณภาพชีวิต (Standard of Living) นั้นถือว่าลดลง

    ภาษีล่องหน (Invisible Tax)

    ผมขอเรียกระบบการทำงานของเงินเฟ้อ แบบนี้ว่าเป็น “ภาษีที่เรามองไม่เห็น”
    ภาษี ภงด ภพ รวมทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เราไปยื่นแบบ หรือ จ่ายรวมไปในสินค้า เหล่านี้คือภาษีที่ มองเห็นได้
    แต่แค่นี้ไม่เพียงพอ ที่จะให้ รัฐบาลของทุกประเทศ นั้นใช้จ่ายได้อย่างมือเติบตามอำเภอใจ
    การจัดสรรงบประมาณ แล้วสั่งให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ พิมพ์เงินเพิ่มมาแล้วเอาไปแบ่งเค้กกันนั้น
    จำเป็นต้องเก็บจากภาษีล่องหนนี้

    นี่ทำให้รัฐบาล ดูเหมือนมีเงินใช้ได้ไม่มีวันหมด จะพิมพ์เช็คจ่ายทุกคนคนละ 2,000 ก็ทำได้
    จะซื้อ GT200 เครื่องละ 2 ล้าน (ทั้งๆที่สุนัขตำรวจเจ๋งกว่า) หรือ เรือเหาะตรวจการ 350 ล้าน ก็ซื้อได้

    ผมขอโทษที่ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ทั้งหมดนี้ ประชาชนในประเทศโดนปล้น เอาไปจ่าย !!

    ภาษีล่องหนนี้ ร้ายกาจมาก เพราะ เก็บไม่เว้น แม้แต่ เด็กประถม หรือ คนตกงาน ขอเพียงคุณมี ธนบัตร อยู่ในกระเป๋า
    คุณจะโดนเรียกเก็บทุกครั้ง

    คุณจ่ายผ่านมัน เมื่อตอนที่ “คุณต้องจ่ายมากกว่าเดิมเพื่อให้ได้สินค้าเท่าเดิม” ใบเสร็จจากบิ๊กซีหรือโลตัส
    ยอมรวมครั้งล่าสุดแพงกว่าครั้งก่อนๆ

    (เงินเฟ้อบางครั้ง หลอกตาเราอีก ด้วยราคาสินค้าเท่าเดิม ให้ดูเหมือนไม่แพงขึ้นเพื่อคงยอดขายไว้
    แต่ ปริมาณสินค้าที่ได้ลดลง เช่น ขนมปาร์ตี้ 5 บาท เท่าเดิมตั้งแต่เล็กยันโต แต่สมัยก่อนขนมเต็มถุง
    เดี๋ยวนี้มีแต่ “ลม” หรือ ทิชชู่ราคาเท่าเดิม แต่ม้วนบางลง เป็นต้น)


    เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ขอนำเสนอด้วย กราฟ ครับ
    (แม้กราฟนี้จะเป็นตัวเลขของทาง สหรัฐ แต่กราฟอัตราเงินเฟ้อในหลายๆประเทศก็มีทิศทางไปในทางเดียวกัน)


    [​IMG]

    กราฟนี้ไม่ได้หาดูกันง่ายๆ เพราะคงไม่มีรัฐบาลไหนอยากให้คุณดู .........

    จะเห็นว่าตั้งแต่ปี 1665-1965 ประมาณ 300 ปี หรือ ประมาณ 4 ชั่วอายุคน กราฟเรี่ยติดดิน
    คุณทวดของคุณทวดจนถึงยุคคุณทวด ของพวกเรา เค้าใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ไม่มีเงินเฟ้อ นั่นหมายความว่า
    พวกเค้าเคยจ่ายเงินซื้อ ข้าวสารอาหารแห้งด้วยราคาเท่าไหร่ เค้าก็จ่ายเท่าเดิมทั้งแต่เด็กยันแก่ ใ
    นช่วงชีวิตพวกเค้า แทบไม่เคยเห็นสินค้าขึ้นราคา !!!

    (จุดเด้งเล็กๆ ในแต่ละจุดนั้น เหมือนจะเกิดเงินเฟ้อเล็กๆ แต่มันเด้งเพราะ เกิดสงครามทุกครั้งไปนะครับ
    ทุกครั้งที่มีสงครามรัฐบาลจะต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นทุกครั้งไป ทำให้เกิดเงินเฟ้อบ้าง แต่เมื่อสงครามจบก็จะลดลงมาที่ระดับเดิม)

    แล้วในยุค ของพวกเราล่ะ ???

    เส้นสีแดงที่แทงขึ้นไป สูงชัน นั้นคือ อัตราเงินเฟ้อ ที่เป็นทางการ (official) ธนาคารกลางแจ้งทุกปี

    (เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้นที่ ฟ้องว่า ธนาคาร กลาง โกหก !! จริงๆ อัตราเงินเฟ้อ ที่ธนาคารกลางแจ้ง อย่างเป็นทางการนั้น
    ต่ำกว่าความเป็นจริง จริงๆ ต้องเส้นสีน้ำเงิน ต่างหาก….เส้นสีน้ำเงินจัดทำโดย Shadowstat.com)

    แต่แค่เอาเส้นสีแดง(อย่างเป็นทางการ)ก็พอ
    หากคุณเคยคิดว่า สินค้าขึ้นราคาทุกปี เป็นเรื่องปกติ เพราะเห็นมันขึ้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว
    จากกราฟคุณจะพบว่า ในยุคสมัยของพวกเราต่างหาก ที่ผิดปกติอย่างมาก (อีกแล้ว)
    ที่จะต้องจ่ายแพงขึ้นๆ เพื่อสินค้าเท่าเดิม

    อะไรเป็นสาเหตุให้ ยุคคุณทวดของพวกเราไม่มีเงินเฟ้อ ในขณะที่พวกเราเป็นอย่างนี้ มีอะไรต่างกัน ??

    คำตอบก็คือ “ระบบมาตราฐานทองคำ” (Gold Standard) ครับ !!!!

    เมื่อยุคคุณทวด ระบบการเงินอ้างอิงอยู่กับ ปริมาณทองคำ ที่ไม่สามารถพิมพ์ออกมาได้ง่ายๆ การ “เฟ้อ” ของเงินจึงไม่เกิด
    ปริมาณที่จำกัดของทองคำนั่นเองที่ทำให้มันมีคุณค่า และ เหมาะสมที่จะใช้ เป็น สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
    (อ้างอิงจากกราฟราคาทอง 200 ปีในตอนที่แล้ว คุณก็จะเห้นว่า ราคาทองคำก็ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน)

    รัฐบาลในสมัยนั้น มี “ขนาดเล็ก” คนเป็นนักการเมืองอย่าหวังว่าจะขับเบนซ์ ไม่มีงบประมาณเมกะโปรเจค
    ให้ถลุงเล่น ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อ ริชาร์ด นิกสัน ยกเลิกระบบ เบรตตัน ปี 1971 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ในยุคสมัยของพวกเรา ….

    ระบบการเงินเปลี่ยนแต่ทองคำไม่เปลี่ยน

    แม้ว่าทองคำจะไม่ได้ถูกจัดว่าเป็น “เงิน” อีกต่อไป ในยุคสมัยของพวกเรา แต่คุณค่าของมันก็ยังคงอยู่
    มีภาพๆนึง ผมวาดไว้นานแล้วขอเอามานำเสนออีกครั้ง

    [​IMG]


    จะเห็นว่า หากเราใช้ทองคำแทนเงิน เราจะพบว่าก๋วยเตี๋ยวไม่เคยขึ้นราคาเลย
    เรายังใช้ทอง 1 บาทกินได้ 600 ชามเท่าเดิม ไม่เฉพาะก๋วยเตี๋ยว แต่สินค้าทุกอย่างไม่ว่า น้ำมัน ข้าวสาร บ้าน ที่ดิน อื่นๆ

    หากเราวัดราคาสินค้าด้วยทองคำแทนเงิน
    30 ปีก่อนเราเคยต้องใช้ทองหนักเท่าไหร่ไปซื้อ ทุกวันนี้ก็ยังใช้ทองคำ น้ำหนักเท่าเดิมไปซื้อได้
    คุณจะพบว่า แทบจะไม่มีสินค้าตัวไหนเลยที่ขึ้นราคาแถมบางอย่างยังถูกลงด้วยซ้ำ !!!

    นี่คือความเป็นมาตราฐานของเงินที่แท้จริง

    ที่ผมเขียนวันนี้ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะมา ปฏิวัติ หรือเรียกร้องอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงแค่บทความทางวิชาการที่ต้องการจะนำเสนอ
    และ อธิบายให้ได้รับรู้และเข้าใจในระบบการทำงานของ เงินเฟ้อ เท่านั้นเอง

    อาจจะดูเหมือนเชียร์ทองคำจนออกนอกหน้า
    แต่ถ้าให้ผมเลือกเชื่อถือ ระหว่าง เงินที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพันปี ธรรมชาตินี้คัดสรรมาแล้วว่าสมควรทำหน้าที่
    เงินที่แท้จริง อย่าง “ทองคำ” กับ เงินที่มีรัฐบาลเป็นประกัน ผมขอเลือกอย่างแรกดีกว่าครับ

    หากบทความในวันนี้ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ หรือ เหมือนไปลบหลู่สิ่งที่ท่านเชื่อถือและเข้าใจมาตลอดชีวิต
    ผมต้องขอบอกว่าผมไม่มีเจตนาและต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ขอบคุณและขอให้โชคดีในการลงทุนท่านครับ
     
  6. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    แล้ววันหลังจะนำตัวอย่างของประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อมาให้ดูครับ เอาใรรอบสี่ห้าปีเรานี่แหละ จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งไกลตัวเลยนะครับ
     
  7. NOOMDEE

    NOOMDEE สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    ความรู้ทั้งนั้นเลยครับผมขอเป็นกำลังใจให้พวกพี่ๆเขียนบทความดีๆแบบนี้อีกนะครับ
    ชอบอ่านครับ
     
  8. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VebOTc-7shU&feature=related]YouTube - Fall of the Republic HQ full length version[/ame]

    อันนี้สิ เขาบอกว่า เจ้าของพรรคการเมือง ตัวจริง ๆ ไม่ใช่ประชาชนหรอก จะเลือกตั้ง ไม่เลือกตั้ง หรือจะเลือกพรรคไหนมา ไม่ต่างกันเลย เจ้าของมีอยู่เจ้าเดียว ก็เปนบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ที่คอยกำหนด นโยบาย รัฐบาล บางครั้งก็ สั่งให้รัฐบาล ถึงขั้นทำสงคราม การจัดระเบียบโลกใหม่ จะมีรัฐบาลโลก ก็คือการครอบงำโลกทั้งใบโดยบริษัทยักษ์ข้ามชาติ ทำให้ประชาชนทั้งหลายกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ย ของพวกยิว เกิดมาก็เปนหนี้ซะแล้ว ทำงานไปทั้งชาติ ก็เพื่อใช้หนี้ น่าสงสาร

    การจัดระเบียบโลกใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมได้แก่ การทำลายค่าเงินบาท ของพ่อมดการเงิน จอรส โซรอส ทำให้ รบ.ชวลิต ต้องลาออก และ เมื่อรัฐบาล ชวน มารับหน้าที่ต่อ ก็ต้องจำยอม IMF ในหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำร้ายเศรษฐกิจไทยในระยะยาว และกว้างขวาง ได้แก่
    ๑.การยอมให้ต่างชาติมาค้าปลีกแข่งกับคนไทยได้ ผลก็คือ มูลค่าการค้าปลีก ๗๕% ของประเทศนี้ เปนรายได้ของชาวรากหญ้า กลายเป็นรายได้ของบริษัทยักษ์ ๒ - ๓ ราย
    ๒.การยอมให้บริษัทต่างชาติมาเปิด ธนาคาร แข่งกับคนไทยได้ ดอกเบี้ย คือตัวการทำลายอำนาจซื้อของประชาชนที่หายนะที่สุด เป็นต้นเหตุสำคัญของเงินเฟ้อ เพราะสถาบันการเงินเหล่านี้ไม่ได้ผลิตอะไรให้ระบบเสรษฐกิจเลย แต่กับดูดเอาความมั่งคั่งจากระบบเศรษฐกิจด้วยเล่ห์เพทุบาย ที่ดูผิวเผิน เหมือนจะไม่ผิดอะไร เช่น citi bank เปนต้น คนที่ทำงานเลี้ยงประเทศ คือ ประชาชนธรรมดา แต่ citi bank ก็เบียดเบียนเอาจาก ประชาชน ในรูปของค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ที่แพง และขูดรีด ที่สุด
    ๓.การเข้าครอบงำทรัพยากรชาติ ในสมัย รัฐบาลทักษิณ ได้แก่การแปรรูป ปตท. และเกือบจะลามไปถึงการแปรรูปการไฟฟ้า และการให้บริษัทต่างชาติมาทำการเกษตรแข่งกับคนไทย

    หายนะทางเศรษฐกิจ จากต้นเหตุ Global Corporate เหล่านี้ ก็ ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ความยากจน, คนฆ่าตัวตายบ้าง, เครียดบ้าง และแม้แต่ศพทารกที่เกิดจากการทำแท๊งในวัดไผ่เงิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  9. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    :cool:กำลังอยากอ่านพอดีครับ...เป็นความรู้ที่ดีมาก ๆ ครับ...


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 พฤศจิกายน 2010
  10. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ในขณะที่คนในประเทศไทยของเรากำลังดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รับทราบข่าวสารในอีกซีกโลกหนึ่งกันมากนัก

    แม้กระทั่งนักลงทุนจำนวนมากที่มีเงินทุนเพียงเพื่อเล่นหุ้นหรือกองทุนตามตลาดหรือเรียกว่าแมงเม่า น้อยคนที่จะติดตามรับรู้รับทราบข่าวเรื่องเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในอเมริกาและยุโรโซน

    ซึ่งตอนนี้ผมว่าถึงเวลาที่คนไทยควรจะตื่นขึ้นมาเพื่อรับทราบข้อมูลเค้าลางของความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้อีกในไม่ช้า

    มันไม่ใช่คำทำนายนะครับ มันเป็นเรื่องจริง กำลังดำเนินอยู่จริง และความรุนแรงของมันจะลุกลามออกไปเหมือนไฟไหม้โลกเลยที่เดียว

    ลองย้อนไปดูโพสที่ 83 ของคุณเคนะครับ เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นจริง ๆในอังกฤษ และไม่ใช่ผ่านมานานแล้ว มันเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

    ในเวปไซด์ของชาวอเมริกันเองเค้าก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้นะครับ มันเริ่มมีคนที่รู้มากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายถึงตอนนี้ ถึงคิวคนไทยที่ควรจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้สถานการณ์เงินเฟ้อของโลกแล้วครับ


    อเมริกามีหนี้สาธารณะที่สูงมากจนไม่มีวันที่อเมริกาจะชดใช้ได้หมด มาตรการภาษีของอเมริกาไม่ช่วยทำให้มีรายได้มากพอที่จะจ่ายหนี้คืน ไม่มีแม้แต่หนี้ระยะสั้นที่จะครบสัญญาฉบับแล้วฉบับเล่า

    ขณะนี้คนที่ทำธุรกิจในอเมริกาเองก็เผชิญกับปัญหาภาษีซึ่งนับว่าหนักหน่วง ถ้าไม่แข็งพอมีสิทธิล้มได้ง่าย ๆ แม้บริษัทแข็ง ๆ ก็อยู่ในคิวถัด ๆ มาทั้งนั้น
     
  11. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ภาวะเงินเฟ้อของอเมริกานั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าความวุ่นวายไม่อยู่เฉพาะในอเมริกาแน่นอน ประเทศใดบ้างที่มีเงินทุนสำรองเป็นUSD มุลค่าเงินสำรองเหล่านั้นจะเข้าใกล้ศูนย์ขึ้นมาทันทีที่เงินUSD ล้มลง

    ถ้าถามว่าประเทศใดที่มีเงินสำรองเป็นUSD ลองดูตารางข้างล่างครับ คัดมาเฉพาะลำดับต้น ๆ นะครับ จริง ๆ แล้วทุกชาติในโลกล้วนใช้ USD เป็นเงินสำรองทั้งนั้นครับ

    ไทยเราทำได้ไม่เลวเหมือนกันนะครับ เงินสำรองเป็นอันดับ 12 ของโลกเหมือนกัน


    [​IMG]
     
  12. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    [​IMG]

    มาดูข้อเขียนของคุณ Nexttonothing ครับ ว่าด้วยเรื่องของเงินเฟ้อที่ผมได้เกริ่นไว้ในโพสที่ 88 ครับ
    อภิมหา"เงินเฟ้อ" (Hyperinflation)

    ไม่มีที่ไหนในโลก เหมือน “ซิมบับเว” (Zimbabwe)
    ไม่ใช่เพราะมีน้ำตก วิคตอเรีย อันสวยงาม ไม่ใช่เพราะมีเหมืองขุดเพชร ขนาดใหญ่
    หรือเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ที่นี่ชาวซิมบับเว มาดูข้อเขียนของคุณ

    ทุกคนคือ “เศรษฐีพันล้าน” (Billionaire)


    ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน ประเทศนี้ก็ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วไป
    หากแต่การบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดความเข้าใจ ของผู้นำรัฐบาล กลับสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนทุกคน
    ชนิดที่ โลกต้องจารึกไว้เป็นอีกบทนึงของประวัติศาสตร์การเงินโลกกันเลยทีเดียว

    ประชากรชาว ซิมบับเว มีทั้ง “คนผิวขาวและคนผิวดำ” อาศัยอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพา
    คนผิวขาวที่ย้ายมาตั้งรกราก เป็นเจ้าของที่ดินและฟาร์มเกษตร ส่วนคนผิวดำ เป็นชนชั้นแรงงาน

    [​IMG] คนขาว รับหน้าที่ เป็นผู้บริหารชั้นดี

    [​IMG] ส่วนคนดำเป็นแรงงานมีฝีมือ

    ทุกอย่างลงตัว .......

    จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ต มูกาเบ้ (Robert Mugabe)
    รัฐบาลออกกฎหมาย ใหม่ปฎิวัติการจัดการที่ดินทำกิน (Land Reform)
    เนื้อหาสำคัญก็คือ ช่วยคนผิวดำซึ่งเป็นคนพื้นเมือง ให้มีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องตกเป็นลูกจ้างของคนผิวขาวอีกต่อไป
    เกิดการยึดคืนที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธ์ของคนผิวขาวแล้วเอาไปแจก ให้กับคนผิวดำ

    ......เท่านั้นเองปัญหาเกิด

    จากคนผิวดำ ซึ่งเคยเป็นกรรมกร บัดนี้ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าของที่ดิน จำเป็นต้องมาบริหาร
    จากคนผิวขาวที่เคยบริหารกลับสูญสิ้นทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเอง จำเป็นต้องรับสภาพ กรรมกร !
    เหมือนใช้คนไม่ถูกกับประเภทงาน ด้วยความที่ด้อยการศึกษาและขาดทักษะบริหารจัดการ
    ไม่นานระบบเศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรืองของ ซิมบับเว ก็ดิ่งลงเหว เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย
    สุดท้ายไม่วายเป็นหนี้ IMF

    ในปี 2006 ปัญหาหนี้สินของประเทศ เกินเยียวยา
    ผู้ว่าการธนาคารกลางในขณะนั้นเกิด ปิ๊งไอเดีย (ง่ายๆแต่ไม่ฉลาด) ในการใช้หนี้คืน นั่นก็คือ “การพิมพ์เงิน” (คุ้นๆมั๊ยครับ?)

    สกุลเงิน ซิมบับเวียนดอลล่าห์ (Zimbabwean Dollar : ZWD) มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ
    1.59 Zim-Dollar แลกได้ 1 US-Dollar

    ในเมื่อประเทศเราเป็นหนี้ IMF ในสกุลเงินดอลล่าห์ เราก็แค่ พิมพ์เงินประเทศเราเอาไปซื้อดอลล่าห์
    เสร็จแล้วก็ เอาไปใช้หนี้คืน ง่ายๆ ไม่น่าจะมีอะไรยาก

    16 กพ 2006 : ธนาคารกลางซิมบับเว จึงจัดพิมพ์เงินครั้งใหญ่
    มูลค่า 21 Trillion (21,000,000,000,000 ZWD) เพื่อสะสางปัญหา

    ได้ผล ! หนี้หายวับไปกับตา แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า “โหดร้ายมากกว่าเป็นหนี้หลายเท่าตัว”


    เงิน 21T ออกไปเที่ยว ตปท ได้ไม่นานก็หมุนเวียนกลับเข้ามาในระบบศก.ของซิมบับเวเอง
    สกุลเงิน ZWD เจือจางลงอย่างรวดเร็ว สินค้าทุกอย่างปรับขึ้นราคาตามในทันที
    เดือดร้อนถึง นายกโรเบิร์ต มูกาเบ้ ที่ต้องรีบสั่งการให้ ธนาคารกลางแก้ไข ปัญหาโดยด่วน
    ซึ่งแน่นอน อาวุธคู่กายธนาคารกลางทุกประเทศมีแค่ สองอย่าง แต่สำหรับ ซิมบับเว

    พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ และ ก็พิมพ์ คือ คำตอบสุดท้าย


    ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ปริมาณเงินอีก 60T ! ถูกอัดฉีดเข้าระบบ
    วัตถุประสงค์ก็เพื่อจ่ายเพิ่มเป็นเงินเดือนให้กับบรรดา ทหาร ตำรวจและข้าราชการ เพราะข้าวของแพงเหลือเกิน
    แต่กลับยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเข้าไปอีก
    เพื่อเป็นการยับยั้งและจัดระเบียบกันใหม่ ให้เงินสกุล ZWD ยังคงดูน่าเชื่อถือต่อไป
    สิงหาคมในปีนั้น ธนาคารกลางตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบ ธนบัตรใหม่ทั้งหมด
    โดยขอร้องให้ประชาชนนำ ธนบัตรรุ่นเดิมมาแลก

    แต่ภายใต้ข้อแม้ว่า 1000 ZWD เก่า แลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่ (ตัด 0 ออกสามตัว)

    หากคุณมีเงินฝากในธนาคาร 1 ล้าน วันรุ่งขึ้นยอดเงินฝากจะลดลงเหลือเพียง 1 พัน เท่านั้น !!
    ทำกันถึงขนาดนั้น แต่ปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา ......

    ปี 2007 อัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือสินค้าขึ้นราคาราวกับติดจรวด
    รัฐบาลของมูกาเบ้ ตัดสินใจใช้มุกใหม่ (แต่เป็นแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ)
    ออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้าทุกอย่าง (Price control) ร้านค้าใดหากไม่ทำตามถือว่ามีความผิด

    ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า ในเมื่อขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ก็ “ไม่ขาย”
    สินค้าใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต เริ่มถูกเก็บลงจากชั้นวาง เหลือแต่ความว่างเปล่า
    การกำหนดราคาขายสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค เริ่มกำหนดกันเองในตลาดมืด พร้อมๆกับการกักตุนสินค้า
    เงิน ZWD กลายเป็น “เงินร้อน” ประชาชนรีบใช้มันทันทีเมื่อได้มันมา
    ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราเงินเฟ้อ จึงยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

    มกราคม 2008
    - รัฐบาลออกธนบัตรใหม่ชนิดราคา 200,000 ใช้เป็นครั้งแรก !
    แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเดือน ธนบัตรชนิดราคา 10,000,000 ก็ถูกผลิตขึ้นมา
    ถือเป็นแบงค์ที่มูลค่าแพงที่สุดในขณะนั้น แต่หากคิดเทียบเป็นเงินบาทไทย คงใช้ซื้อข้าวผัดกระเพราได้เพียงแค่ 4 จาน (120 บาท)

    เมษายน 2008
    รัฐบาลออกธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000 ออกสู่สาธารณะ

    มิถุนายน 2008
    ธนบัตร ชนิดราคา 100,000,000 และ 250,000,000 ก็ถูกผลิตออกมา
    แต่แค่เพียง สิบวันหลังจากนั้น ชนิดราคา 500,000,000 ก็ออกตามมาติดๆ

    กรกฎาคม 2008
    ธนาคารกลางวางแผน จะออกธนบัตรชนิดราคา 100,000,000,000 ออกสู่ตลาด
    แต่พอถึงปลายเดือน ประธานธนาคารกลางเลือกที่จะขอปรับค่าเงินกันใหม่ (Redenominated)
    โดยคราวนี้ ตัด 0 ข้างหลังออก 10 ตัว !!!!!!
    (10,000,000,000 ZWD เก่าแลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่)

    อัตราเงินเฟ้อในขณะนั้นคือ 11,250,000 % !
    ราคาของเบียร์ 1 ขวดในขณะนั้น 100,000,000,000 แต่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
    ราคาก็ปรับขึ้นเป็น 150,000,000,000

    ความคิดของรัฐบาลและธนาคารกลางที่ จะแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบ ไม่สัมฤทธิ์ผล
    สาเหตุก็เพราะ

    ความเชื่อถือในระบบธนบัตรของประชาชนชาวซิมบับเว ลดลงเร็วกว่า ความสามารถในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์

    ไม่ว่าจะเร่งสปีดพิมพ์เพิ่มออกมามากขนาดไหน ไม่สำคัญว่าจะใส่ 0 ไปอีกซักกี่ตัว
    เมื่อ กระดาษก็คือกระดาษ ความน่าเชื่อถือหากหมดไปจากกระดาษ ก็คือ จบ...

    มูกาเบ้ ไม่เข้าใจความจริงในข้อนี้ เค้าเลือกที่จะสู้หลังพิงฝากับเงินเฟ้อ

    มกราคม ปี 2009
    ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ประชาชนชาวซิมบับเว จึงได้เห็น ธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000,000 ออกใช้

    16 มกราคม 2009
    วันที่โลกต้องจดจำ รัฐบาลของมูกาเบ้ ประกาศจะพิมพ์ ธนบัตร ชนิดราคา

    10,000,000,000,000 - อ่านว่า สิบ ล้านล้าน
    20,000,000,000,000 - อ่านว่า ยี่สิบ ล้านล้าน
    50,000,000,000,000 - อ่านว่า ห้าสิบ ล้านล้าน
    100,000,000,000,000 - อ่านว่า หนึ่งร้อย ล้านล้าน

    ออกใช้.....

    แต่ไม่มีความหมายอีกต่อไป ประชาชนเลิกพกเงินเป็นกระสอบๆ เพื่อไปจ่ายตลาด
    เงินสกุล ซิมบับเว ไม่มีใครเชื่อถือและอยากใช้ การซื้อขายทั่วไป
    ถูกกำหนดราคากันใหม่ด้วย เงินสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น US.Dollar
    หรือไม่เช่นนั้นก็ทำการซื้อขายกันด้วย

    “ทองคำ”

    ประชาชนชาว ซิมบับเว บางส่วน (ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ย้อนกลับไปสู่ยุคโบราญ
    เอากะทะไปร่อนหาเศษทองในแม่น้ำ เพื่อเอามาแลกกับ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หรือ ขนมปัง ประทังชีวิตไปวันๆ
    ใครที่ยังเก็บทองคำติดตัวเอาไว้ ยังสามารถซื้อของได้เท่าเดิม แต่ผู้ที่เก็บเงินออมไว้ในรูปแบบของ “ธนบัตร” ซิมบับเวเผื่อไว้ใช้ยามแก่
    กลับพบว่าเงินทั้งหมดแทบไม่พอที่จะจ่ายแม้แค่ “อาหารเช้าเพียง 1 มื้อ”


    เมษายน ปี 2009

    สกุลเงิน ZWD ตายสนิท รัฐบาล ปล่อยให้ตลาดเป็นคนกำหนด ราคาและสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกันเอง
    เงิน ZWD ประกาศหยุดพิมพ์เพิ่ม อย่างน้อย 1 ปีหลังจากนั้น
    เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาด้วยตัวของมันเอง

    ระบบเศรษฐกิจนั้นเมื่อเกิดปัญหา กลไกของตลาดจะมีวิธีจัดการแก้ไขได้ด้วยตัวของมัน
    ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” (Invisible Hand)
    หน้าที่ของรัฐบาล เพียงแค่สนับสนุนให้ มือที่มองไม่เห็นนี้ ทำงานไปอย่างเป็นธรรมชาติ
    ไม่มีอะไรมาขัดขวาง

    แต่รัฐบาลในหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วหรือกำลังพัฒนา
    กลับพยายามที่จะทำตัวเป็นมือที่มองไม่เห็นนี้ซะเอง ใช้อำนาจ เข้าจุ้นจ้าน-เข้าแก้ไข
    สุดท้ายก็พัง

    ..............................

    เปรียบเทียบง่ายๆ

    -เหมือนร่างกายคนเรา ต้องมี “วิญญาณ” หาก วิญญาณ ออกจากร่าง
    เมื่อไหร่ เราก็ตาย

    -เงินก็เช่นกัน อยู่ได้ด้วย “ความเชื่อถือ” เมื่อความเชื่อถือ หมดไป เงินก็ตายได้เช่นกัน

    ทั้งวิญญาณและความเชื่อถือ ถึงแม้เรามองมันไม่เห็น แต่เชื่อผมเถอะครับว่า “มันมีอยู่จริง!”


    เงินสกุลต่างๆ พยายามพัฒนาระบบ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง อยู่ตลอดก็เพื่อคงความเชื่อถือ
    ให้ยังคงอยู่ ผิดกับ “ทองคำ” ที่ ความเชื่อถือ คงอยู่ในตัวมัน
    ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานได้ หลายพันปี หากจะพูดว่าเป็น “อมตะ” ก็คงจะไม่ผิด

    มีบางช่วงเวลา ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เราอาจะหลงลืมมันไปบ้าง เพราะโดนหลอกตาและได้รับการสั่งสอนมาแบบผิดๆ
    แต่ ทุกครั้งมื่อทุกคนคิดได้ ทองคำก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ “เงินที่แท้จริง”ทุกครั้งไป.

    ปล. เหตุการณ์เงินเฟ้อรุนแรง เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ มีลักษณะไม่ต่างกัน ไม่ใช่หนังหรือละคร แต่ มันเป็นเหตุการณ์จริง
    เช่นที่ ยูโกสลาเวีย, เยอรมัน, อาเจนติน่า
    แต่ที่ผมเลือก ซิมบับเวเพราะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
    ถือว่าเป็น Modern Hyperinflation

    ที่สำคัญ มูกาเบ้ เคยทำยังไงเอาไว้ บุช, โอบาม่า, เบน เบอร์นันเก้ กำลังดำเนินรอยตาม!
    หากยังไม่หักดิบเปลี่ยน นโยบาย เส้นทางที่สหรัฐอเมริกากำลังเดินไป
    จุดหมายคือ Hyperinflation อย่างแน่นอน

    ไม่สำคัญว่า จะเป็น ซิมบับเวียน ดอลล่าห์ หรือ US ดอลล่าห์
    เมื่อกระทำ“เหตุ” อย่างเดียวกัน ก็ย่อม ให้ “ผล” ที่ไม่ต่างกัน.
     
  13. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ถ้าคุณนึกภาพไม่ออกว่าถ้าคุณจะกินขนมปังคุณจะซื้อมันไม่ได้ด้วยเงิน

    คุณต้องใช้ทองคำซื้อ แต่เอ๊ะ! เป็นไปได้หรือ ถึงกับต้องซื้อด้วยทองคำเลยหรือ

    มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ บนโลกครับ ซิมบับเว


    [VDO]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=s3LdNxV0yPM&feature=player_embedded"]YouTube - Zimbabwe - gold for bread[/ame][/VDO]
     
  14. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
  15. ChainQLel2

    ChainQLel2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +618
    ยุคตื่นทอง หาก "ตื่น" ด้วยสติ ข้าพเจ้ายินดียิ่งนัก
    อย่า "ตื่น" เพราะตระหนก คนละโมบตะกละตะกลาม

    ให้ศึกษาธรรมจากทอง ถึงเวลายุคทองแห่งธรรม
     
  16. KapiKanya

    KapiKanya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากจริงๆ ที่ทุกท่านมีข้อมูลอะไรก็ใส่กันมาเต็มที่ เพื่อเปิดหูเปิดตาคนที่ยังหลงทิศหลงทางกับเศรษฐกิจโลก ณ.ขณะนี้ จะได้วางแผนเตรียมเนื้อเตรียมตัวได้อย่างมีทิศทาง คุ้มค่ากับเวลาที่เข้ามาอ่านจริงๆตั้งแต่เที่ยงคืน ยัน ตี 2 วางไม่ลงจริงๆ ............. สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงท่าน ถ้าเราทุกคนทำได้(และหวงแหนผืนแผ่นดินของเราและไม่เห็นแก่เงินของคนต่างชาติ) คงจะทำให้ประเทศเราประคองตัวได้ในยามที่ถึงวิกฤตโลกที่ย่ำแย่
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    Korea Showdown and the Brink of War...

    <object height="390" width="640">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/a6fY6plEuF4&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="390" width="640"></object>

    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <a class="timestamp-link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/11/korea-showdown-and-brink-of-war.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2010-11-28T12:44:00+07:00">12:44 หลังเที่ยง</abbr> 0 comments [​IMG] [​IMG]




    Illuminati Bloodline.......สายเลือดอิลลูมินาติ

    วัน นี้วันอาทิตย์เรามาดูเรื่องเบาๆ กันดีกว่าครับ หลายวันก่อนผมเห็นมีเพื่อนของเราท่านหนึ่ง ให้เกียรติที่จะนำข้อมูลบางส่วนไปเผยแพร่ต่อครับ ในนามของกลุ่ม Anti Illuminati Thailand ใน Facebook ซึ่งผมก็ยังคงหาไม่เจออยู่ดีครับ...555 คงจะต้องรบกวนอีกครั้งว่าต้องทำตรงไหนอย่างไร เผื่ออาจจะมีเพื่อนๆ เราอีกหลายท่านจะเข้าไปดูข้อมูลอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง

    [​IMG]
    สัญญลักษณ์ของกลุ่มอิลลูมินาติ
    ซึ่งดวงตาด้านบนสื่อถึงเทพเจ้า Horus
    ซึ่งก็คือ "ลูซีเฟอร์" หรือ "ซาตาน" นั่นเอง


    "อิลลู มินาติ" (Illuminati)........ถูกกล่าวถึงในหนังสือหลายเล่มของแดน บราวน์ ครับ หนึ่งในนั้นก็คือ Angels and Demons จึงทำให้เรื่องของอิลลูมินาติ กลายเป็นเรื่องของจินตนาการในโลกภาพยนตร์ไปโดยส่วนใหญ่ สำหรับผมคิดว่ามันเป็นกลยุทธหนึ่งในการพลางตัวครับ และดูเหมือนจะได้ผลอีกต่างหาก
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/a6fY6plEuF4&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/a6fY6plEuF4&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>


    ยิ่ง เค้าสามารถทำให้คนทั่วไปคิดอย่างนั้นได้มากเท่าไหร่ เค้าก็จะยิ่งทำงานทุกอย่างได้สะดวกขึ้นในมุมมืดของพวกเค้าต่อไปครับ แต่เบื้องหลังของเสียงหัวเราะของคนที่ไปคิดว่า เป็นเรื่องแต่งหรือเป็นเพียง "หนัง" เรื่องหนึ่งเท่านั้น มันมีอะไรลึกลับซับซ้อนอยู่เบื้องหลังมากมายครับ สำหรับกลุ่มต่อต้านอิลลูมินาติที่ก่อตัวขึ้นทั่วทุกมุมโลก ณ ขณะนี้ ควรจะ "ต้อง" รู้ครับว่าศัตรูของเราเป็นใคร พวกเค้าเป็นใคร มีตระกูลไหนบ้าง มีโครงสร้างอย่างไร ทำงานผ่านองค์กรไหนบ้าง และสุดท้ายเพื่อให้เรารู้ว่าเราจะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่ในโลกใบนี้ อย่างมีความสุข

    [​IMG]
    ส่วน บนสุดของ "อิลลูมินาติ" ประกอบด้วย 13 ตระกูลหลักของโลก ซึ่งจะส่งตัวแทนขึ้นมา 10 คนจาก 13 ตระกูล หรือที่เรียกว่า "Supreme Council of the TEN Wise Man" หน้าที่ของคณะทำงานนี้ก็คือ "บริหารจัดการ" โลกของเรานี่แหละครับ จะให้ประเทศไหนรวยหรือจน จะดันประเทศไหน จะทุบประเทศไหน จะเอาใครมาเป็นประธานาธบดีหรือนายกของประเทศไหน "ทั่วโลก" ครับ ( เข้าใจหรือยังครับว่าทำไมทฤษฏี "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงเป็นทฤษฏีที่เหมาะสมกับเราในสถานการณ์โลก ณ ขณะนี้ ก็เพื่อให้เราพึ่งพาหรือยืนอยู่บนขาของเราเองได้ ยิ่งเราพึ่งพาต่างชาติมากเท่าไหร่ เราก็จะตกเป็นทาสมากเท่านั้น ดูตัวอย่างกรณีของ IMF )


    ผม จะไม่พูดถึงนะครับว่ามีตระกูลไหนบ้างเพราะมีอยู่ในภาพทั้งหมดแล้ว โดยสายเลือดอิลลูมินาติเกือบทั้งหมด เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ เจ้านายระดับสูง รวมทั้งชนชั้นสูงและชั้นปกครองจากทวีปยุโรปซะโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ "นักบวช" ชั้นผู้ใหญ่ของบางศาสนา ซึ่งทั้งหมดสืบทอดกันมาหลายร้อยปีครับ ซึ่งถ้าเราศึกษาจะลึกลงไปอีกเราจะสังเกตุเห็นครับ ว่าการเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นการ "สืบทอดกันโดยสายเลือด" ในลักษณะของ Dynasty หรือลักษณะของราชวงศ์ แล้วจากจุดนี้ก็กระจายโครงสร้างสู่ฐานล่างของปิระมิดด้วยบริษัทข้ามชาติ องค์กร องค์การระดับโลกต่างๆ องค์กรการกุศล รวมทั้ง "ศาสนา" ใหญ่ที่สุดของโลกครับศาสนาหนึ่ง "ที่จับเอาความเชื่อในเรื่องพระเจ้าขึ้นมาบังหน้า" มีการแทรกซึมลงไปทุกระดับชั้น แทบจะทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ถ้าไม่ยอมให้แทรกอย่าง "พม่า" ในวันนี้ ประเทศเหล่านั้นจะต้องกลายเป็น "ผู้ร้าย" ในเวทีโลกไปในที่สุด

    [​IMG]
    และ พวกเค้าทั้งหมดนี้กำลังเร่งผลักดัน Agenda วาระใหญ่หรือวาระสำคัญที่สุดของพวกเค้าและโลกใบนี้ครับ นั่นก็คือ New World Order หรือ New Age Movement หรือการจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งเป็น Master Plan หรือแผนแม่บทของเรื่องทั้งหมดที่กำลังดำเนินไปในโลกของเราใบนี้ และทั้งหมดนี้มีอยู่จริงครับ ไม่ว่าคุณจะเคยรับรู้หรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่า "สิ่งที่เราไม่เคยรู้มันต้องไม่เป็นจริง" เพราะความคิดเช่นนั้นมันเปรียบเสมือนการ "ฆ่าตัวตาย" ในทางความคิดครับ

    [​IMG]


    มี ความเชื่อและความพยายามพิสูจน์ว่า คนเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากพวก Reptilians หรือ Hybrid หรือเนฟริม หรือเนฟิริม ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ และพวกเค้าเหล่านี้ก็เป็นชนชั้นปกครองเกือบทั้งหมด ซึ่งโดยข้อมูล "ตรง" ครับและมีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่คงไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องไปพิสูจน์มากกว่าสิ่งที่พวกเค้ากำลัง ผลักดัน หรือจะพาให้โลกและชีวิตของพวกเราต้องเผชิญครับ

    [​IMG]


    พอ จะนึกภาพออกหรือยังครับว่า ภาพความมั่งคั่งร่ำรวยของคนในระดับโลกเหล่านี้มากจากไหน แล้วพวกเค้าเชื่อมโยงเครือข่ายและทำงานกันอย่างไร ตลาดทุน ตลาดเงิน ระบบการเงิน การธนาคาร ของโลกใบนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เศรษฐกิจตกต่ำ สงครามมาจากไหน ทำไมโลกไม่เคยมี "สันติภาพ" ที่แท้จริงซักที ตั้งแต่พวกเราเกิดมา ทั้งที่สร้างสงครามกันไปทั่วโลก ก็อ้างเหตุผลของการสร้าง "สันติภาพ" แต่นักร้องชื่อก้องโลกที่ออกมาเรียกร้อง "สันติภาพ" และหยุดยั้ง "สงคราม" กลับต้องตายอย่างปริศนา

    [​IMG]
    [​IMG]


    ทั้งหมด ทั้งสิ้นที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เป็น "เรื่องจริง" ที่มีพยานหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับอย่างแน่นหนามาตลอดนับร้อยปี แต่ด้วยเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ยังไม่ก้าวหน้าอย่างเช่นทุกวันนี้ และทั้งหมดถูกเขียนและถูกบันทึกไว้ในภาษาอังกฤษซึ่งถ้าไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ จริงๆ คงจะไม่มีโอกาสข้ามน้ำข้ามทะเลไปล่ำเรียนมาได้อย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะการกำเนิดของ "อินเตอร์เนต" ข้อมูลเหล่านี้จึงมีโอกาสที่จะมาถึงอีกฟากโลกหนึ่งอย่างที่เป็นอยู่ครับ แต่อย่างที่ผมเคยพูดไว้เสมอๆครับว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" จนกว่าคุณจะพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะเห็นหรือค้นพบด้วยตัวคุณเองจะดีกว่าครับ

    และทั้งหมดเป็นเนื้อหาคร่าวๆ เท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่า "ศัตรู" หรือ "ดวงตาที่มองไม่เห็น" ในระดับโลกเป็นใคร เค้าต้องการอะไรหรือจะพาโลกใบนี้ไปทางไหน เราคงพอจะมองเห็น "อนาคต" ได้ ในอีกระดับหนึ่งนะครับ

    โพสต์โดย What's going on in America

    Nov 27 2010, 8:26 AM
    Guest830 (guest): เรียนคุณจิมมี่ ผมสังเกตุเห็นความแปลกประห<wbr>ลาดทางสภาพอากาศบริเวณเกาห<wbr>ลีเหนือกับคาบสมุทรญี่ปุ่น เป็นมาได้กว่า2สัปดาห์แล้ว http://www.tmd.go.th/<wbr>programs/<wbr>uploads/<wbr>maps/<wbr>2010-11-27_TopChart_07.jpg<wbr> ช่วงนี้อากาศทางตอนเหนือน่<wbr>าจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของคว<wbr>ามกดอากาศสูงหรือที่เราเรี<wbr>ยกว่ามวลอากาศเย็น

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 27 2010, 8:30 AM
    Guest830 (guest): แต่จากภาพจะเห็นหย่อมความก<wbr>ดอากาศต่ำหรือมวลอากาศอบอุ<wbr>่น
    ค่อนข้างร้อน ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะจากปีก่อนเท่าที่จำได<wbr>้แผนที่อากาศจะเป็นไปใน
    ลัก<wbr>ษณะมวลอากาศเย็นแผ่จากไซบี<wbr>เรียครอบคลุมทั่วทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เรียกว่าหนาวถ้วนหน้า

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 27 2010, 8:31 AM
    Guest830 (guest): แต่ปีนี้แปลกที่มีจุดร้อนเ<wbr>ว้นไว้ตรงเกาหลีเหนือ ความรู้สึกของผมอาจ
    จะผิดก็<wbr>ได้ .<wbr>.<wbr>.<wbr>.<wbr>.<wbr>peabeo

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 27 2010, 8:40 AM
    JimmySiri: ใช่ครับ ทำไมมันร้อนผิดปรกติ ซึ่งมันควรจะเย็นลงได้แล้ว หรือก็ไม่ควรร้อน
    ขนาดนี้ ผมก็รอว่าเมือไหร่มันจะเย็<wbr>นซะทีนะ หรือลองดูเรื่อง HAARP ที่ผมโพสต์ไว้วันี้อาจจะมี<wbr>คำตอบครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 27 2010, 5:13 PM
    Guest6000 (guest): นิมิตที่ทางกลุ่มผมมีสำหรั<wbr>บประเทศไทยนะครับ.<wbr>.<wbr>.<wbr> เราต้องยอมรับ
    ว่าทุกประเทศ<wbr>จะประสบกับความยากลำบากทุก<wbr>ประเทศ จะทางด้านไหนเท่านั้น คนอื่นมี
    สงคราม แต่ไทยเจอภัยพิบัติธรรมชาต<wbr>ิ.<wbr>.<wbr>.<wbr>แน่นอน ให้ไว้เป็นข้อมูลครับ.<wbr>.<wbr>.<wbr>.<wbr>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 27 2010, 5:16 PM
    Guest6000 (guest): เพิ่มเติมอีกนิด.<wbr>.<wbr>.<wbr> ภูเขาไฟปะทุ กับระเบิดจะมีขึ้นเรื่อยๆ นะครับ
    แล้วก็จะมีของแถมให้จีนเป็<wbr>นแผ่นดินไหว เพราะกั้นน้ำแม่น้ำโขงเอาไ<wbr>ว้ ทำให้ด้านปลายน้ำตื้น
    เขิน แถบประเทศไทย-<wbr>ลาว ใต้ลำน้ำโขงเป็นที่อยู่ของ<wbr>สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะบันดาลให้เกิดแผ่นดิ<wbr>น
    ไหว ในไม่ช้านี้.<wbr>.<wbr>.<wbr>.<wbr>.<wbr>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 28 2010, 5:18 AM
    Guest6000 (guest): เกาหลีใต้ อพยพประชาชนลงบังเกอร์แล้ว หลังจากเกาหลีเหนือขน
    ขีปนา<wbr>วุธ(<wbr>พื้นสู่อากาศ)<wbr>ประชิดพรมแดน.<wbr>.<wbr>.<wbr> http://english.yonhapnews.<wbr>co.kr/<wbr>national/<wbr>2010/<wbr>11/<wbr>28/<wbr>73/<wbr>0301000000AEN2010112800210<wbr>0320F.HTML

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 28 2010, 5:20 AM
    JimmySiri: วันนี้เรื่องนี้คงเป็นประเ<wbr>ด็นร้อนมากๆ ครับ ทั้งสองฝ่ายข่มขู่กันไปมาต<wbr>ั้งแต่วัน
    ศุกร์ โดยมีพี่กันหนุนเต็มที่

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 28 2010, 5:21 AM
    JimmySiri: ข่าวในสหรัฐแทบทุกช่อง ทุกชั่วโมง ก็ปั่นกันสุดฤทธิ์ครับ บรรยากาศเหมือน
    ช่วงเริ่มต้<wbr>นของสงครามอิรัค

    [​IMG]
    [​IMG]

    Nov 28 2010, 5:22 AM
    JimmySiri: ขอบคุณสำหรับข้อมูลและอัพเ<wbr>ดตครับ ส่วนเรื่องภัยพิบัติ ถ้าได้ลิ๊งค์หรือข้อมูล
    ด้ว<wbr>ยละก็จะดีทีเดียวครับ จะได้ศึกษาไปพร้อมๆ กัน ขอบคุณล่วงหน้าครับ

    ....."The Gold War phrase II" by Jimmy Siri
     
  18. a-pin-ya

    a-pin-ya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +672
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=a2VDC8UQ3c8&feature=player_embedded#at=112]YouTube - Renaissance 2.0: Lesson 3 - Revisiting Civics 101 - Ownership[/ame]

    ฝรั่งบอกว่า .. สิ่งที่เราเห็นปรากฏอยู่บนจอทีวี ได้แก่ รัฐบาลจากพรรคนู้น พรรคนี้ และพยายามสร้างภาพให้ประชาชน เชื่อว่า รัฐบาลคือผู้ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แต่ทว่า รัฐบาลเหล่านี้ มีเจ้าของซะแล้ว ที่ไม่ใช่ประชาชนคนเลือกพวกเขามา แต่มีเครือข่าย ทุนสามานย์ ที่ low profile (แทบไม่มีใครเชื่อว่ามีจริง) แต่ทรงอิทธิพลมาก ๆ ประกอบไปด้วย
    นักการเมืองชั้นนำ จากทั้ง ๒ ขั้วการเมือง, นักวิชาการ, ทหาร-ตำรวจ-อัยการ,องค์กรความร่วมมือระดับโลก เช่น IMF, World bank, .. เหล่านี้อยู่ในระดับล่าง ที่ประชาชนมองเห็นว่ามีอยู่ บทบาทที่เขามีต่อสาธารณะชนจะพยายามแสดงว่าเป็นหน่วยงานมาช่วยเหลือดูแล พลโลก แต่งานในเบื้องหลัง พวกเขารับใช้ ชนชั้นบน อันประกอบไปด้วย

    ในชั้นที่สูงกว่าก็จะมี สื่อสารมวลชนระดับโลก ที่ป้อนข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชน เชื่อว่ามันเปนเช่นนั้น เช่นนี้ ซึ่งประชาชนไม่ได้ตระหนักว่า พวกเขาสัมพันธ์กัน อย่างแน่นแฟ้น

    ชั้นสูงสุด จะประกอบไปด้วยพวกสถาบันการเงินชั้นนำต่าง ๆ ที่เป็นตัวการใหญ่ทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วน ประชาชนยากจนลงทุกปี ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ในตลาดเงินตรา เช่น citi bank ขูดรีดลูกหนี้อย่างมหาโหด .. พวก ทุนสามานย์ เหล่านี้ทำงานขูกรีดประชาชนอย่างเงียบเชียบ ประสานความร่วมมือกับ Federal Reserve หรือกระทรวงการคลัง ในการออกนโยบายและกฏหมายต่าง ๆ ที่ไม่เปนประโยชน์ต่อประชาชนเลย เช่น privatization คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฝรั่งบอกว่า .. จะทำให้ประชาชนยากจนลง ยากจนลง ยากจนลง ไปเรื่อย ๆ

    Forget the politicians…The politicians are put there to give you the idea that you have freedom of choice … you don’t.

    You have no choice. You have owners. They own you. They own everything. They own all the important land. They own, and control the corporations.

    ประชาชน อย่างพวกท่าน ที่นึกว่ามีอิสระเสรีภาพ แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองมีเจ้าของ เมื่อไหร่ รากหญ้า จะเข้าใจซักที เลิกสนับสนุนอุ้มชูนายทุนใหญ่ ได้แล้ว ..

    ถ้ารักในหลวงจริง .. ก็อย่าให้ สมบัติชาติ กลายเป็น สมบัติเอกชน
    เพราะถ้าไม่เหลือชาติ ในหลวงก็ไม่รู้จะ เป็นในหลวงของใคร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2010
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มาคลายเครียดกันหน่อยเนาะ
    D-Cup 2010, Angels And Demons

    <object height="385" width="640">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/douTOrjkqK8?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" height="385" width="640"></object>

    ...

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/lYnvOsPM4rY?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/lYnvOsPM4rY?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2010
  20. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณ จขกท นะคะ ที่มาแชร์ข้อมูลที่ดีมีประโยชน์ แก่คนความรู้น้อย
    ขนาดจบปริญญาตรี พออ่านหนังสือรู้เรื่อง แต่ต้องบอกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ ยิ่งระดับโลกเนี่ย รู้น้อยเหลือเกิน ก็พยายามจะสนใจนะคะ แต่รู้สึกมันซับซ้อนเหลือเกิน ยอมรับว่า เป็นคนที่มองอะไรได้แคบ ภาพใหญ่ภาพรวมมองอะไรไม่ออกจริงๆ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน สมัยทำงานเป็นเลขาบริษัทส่งออก เจ้านายเคยให้โทรไปถามที่แบงก์ แล้วจดไว้ทุกวัน ยังไม่รู้เลยค่า ว่าจดไปทำไม รู้แค่ว่า จะได้รู้เรตเวลาตั้งราคาขายสินค้า (export) หรือนำเข้าเข้ามา พอดีไม่ได้เรียนเรื่องนี้ด้วยค่ะ จบวิทย์มา แต่ต้องมาทำด้าน business เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ตอนนี้เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูก พ่อแม่อยู่ที่บ้าน ยิ่งรู้แค่เศรษฐศาสตร์ในบ้านตัวเอง หาเงินมาจ่ายหนี้ แล้วก็รู้ราคาสินค้า (ตลาดสด) เพราะไปจ่ายกับข้าวเกือบทุกวัน เท่านั้นเองค่ะ
    ขอบคุณอีกครั้งค่ะ สำหรับผู้รู้ที่มาแชร์ข้อมูล จะคอยติดตามไปเรื่อยๆค่ะ เพื่อประดับสติปัญญาของตัวเอง ถึงจะรู้เรื่องมั่งไม่รู้มั่ง อาจจะมีคำถาม (ที่ไม่เข้าท่า) อย่าโกรธกันนะคะ บางเรื่องไม่รู้จริงๆเลยค่ะ ปั่นไปเรื่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...