ไสยศาสตร์ คนทำต้องมีครูใช่ไหมครับ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Acamannon, 9 ตุลาคม 2010.

  1. Acamannon

    Acamannon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +22
    ได้ยินมาว่า คนที่เล่นมนต์ดำ พวกนี้มีครูทุกคน บางครั้งจะทำพิธี

    ให้ ครูมาช่วย ทำของใส่คนอื่น คนที่เล่นพวกนี้ ตายไปไม่ตกนรกเหรอครับ

    แล้วทำไม ครูคนแรกๆ ระดับ เจ้าของวิชา ไม่ตกนรกล่ะครับ

    ทำไมยังมีพลังอยู่
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]

    กระทู้นี้น่าสนใจ แต่ติงตอบไม่ได้ค่ะ มารออ่านจากท่านผู้รู้^^
     
  3. phanit

    phanit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2006
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +984
    ไสยศาสตร์มนต์ดำ

    คุณไสย มนต์ดำ อาถรรพ์ ไสยศาสตร์เหล่านี้เริ่มต้นมาจากผู้เฒ่าผู้แก่คนโบราณได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ก่อนที่จะมาเป็นของขลังอาถรรพ์ ต้องฝึกปฏิบัติอย่างไรบ้าง คนที่กล้าที่จะทำคุณไสยหรือจะเสาะแสวงหาของขลังไว้ป้องกันตนเองนั้นจะต้องรู้จักนามของของอาถรรพ์ต่างๆเสียก่อน เพราะของอาถรรพ์เหล่านั้นถูกแบ่งแยกเป็น คงกะพัน แคล้วคลาด และสิ่งป้องกันอัปมงคลต่างๆ หรือใช้กันถูกกระทำ หรือใช้ในการกระทำคนอื่น และควรรู้เคล็ดลับวิธีการแก้ทางของสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง


    รายนามอาถรรพ์โบราณที่ลูกหลานควรรู้ หุ่นขี้ผึ้ง รักยม ลาริกา ควายธนู ตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง นางกวัก ปลักขิก เขี้ยวเสือ งาช้าง หน้าผากเสือ เขี้ยวหมูตัน หนุมาน ลิงลม สิงห์ ราหูอมจันทร์ มีดหมอ เบี้ยแก้ หมากทุย ตะกรุด ลูกสะกด ลูกอม แหวนพิรอด ตดต่างๆ ตัวหนังสือขอมที่มีอานุภาพในการทำ ไอ้งั่ง ผ่าจ้าน ตู้ พรายลูกกรอก บาตรแตกสาแหรกขาด ไข่ตายรัง ของเหล่านี้ล้วนเป็นอาถรรพ์ที่โบราณได้ผูกไว้เพื่อแก้กระทำและเพื่อกระทำผู้อื่น คนไทยโบราณตั้งแต่กษัตริย์นักรบสมัยโบราณมักมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเครื่องรางของขลังติดตัวเพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลและเพื่อเพิ่มมงคลให้แก่ตนเอง เครื่องรางของขลังเหล่านี้ถูกจัดสร้างขึ้นจากผู้มีพระเวท และเกจิอาจารย์สืบทอดตำรากันจนมาถึงปัจจุบัน เครื่องรางของขลังเมื่อนำมาลงพิธีการปลุกเสกหรือลงอาคมก็จะแบ่งแยกออกได้เป็นหลายประเภท อย่างเช่นดังนี้เป็นต้น


    1.ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือเทวดาสร้าง ก็คือ เหล็กไหล คด เขี้ยวงา เถาวัลย์ ฟันปลา สิ่งมีชีวิตเป็นหิน หรือเพชรนิลจินดา เป็นต้น
    2.สิ่งที่มนุษย์จัดสร้างขึ้นโดยการผสมผสานจากโลหะที่มีฤทธิ์หรือว่านที่เป็นมงคล หรือว่านที่เป็นเสน่ห์ จำพวกดินที่อยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ กระดูกสัตว์ ผงผีพราย หอยสังข์ ผ้าห่อศพ ไม่หามศพ ไม้เขี่ยศพ ของมงคลวัตถุต่างๆ


    เครื่องรางอาถรรพ์ต่างๆ มีการแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ ใช้สำหรับเบื้องสูง และเบื้องต่ำ
    เบื้องสูง คือมงคลวัตถุ
    เบื้องล่าง คือวัตถุอาถรรพ์
    มงคลวัตถุที่ใช้สำหรับเบื้องสูงคือ สวมศีรษะ สวมแขน สวมหัว สวมมือ ใช้อม ตะกรุดสำหรับแขวนคอ ฝังเหล็กไหล ฝังเข็ม ส่วนวัตถุอาถรรพ์ที่ใช้สำหรับเบื้องล่างนั้นจะเป็นพวกปลักขิก ไอ้งั่ง อีเป๋อ ลูกกรอก เป็นต้น
    เครื่องรางชั้นสูที่ใช้สำหรับเป็นมงคลกับตัวเองจะสูงจากเอวขึ้นมาถึงศีรษะ เครื่องใช้ชั้นต่ำจะใช้เกี่ยวกับทางเสน่ห์เล่ห์กลทางความรัก จุดประสงค์ในการสร้างเครื่องรางของขลังและของมงคลนั้น คนโบราณเชื่อในคติในด้านจิตใจ มีไว้เพื่อการพึ่งพิงให้จิตใจฮึกเหิมหรืออบอุ่นใจ และมั่นใจว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราปกป้องอันตรายหรืออาจช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ มนุษย์คนโบราณท่านนับถือภูตผีปีศาจ เพราะมนุษย์บางกลุ่มห่างไกลจากความเจริญจึงต้องพึ่งพาสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นคุณวิเศษ คำว่าเครื่องรางของขลังนั้น บังเกิดขึ้นในโลกโดยพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบธรรมอันวิเศษ ก็บังเกิดมหาลาวกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้สำเร็จญาณสมบัติแล้วทั้งสิ้น ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาผู้ไม่ได้ปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลิทธิฤทธิ์ที่คนธรรมดาอยากได้มงคลที่สิ่งผู้มีอิทธิฤทธิ์สร้างและประทานไว้ให้เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกและสัตว์โลก สัตว์โลกทั้งหลายย่อมมีความรัก ความแค้นปะปนกัน จึงทำให้เกิดเหล่าบรรดาคุณไสยมนต์ดำต่างๆ คุณไสยมนต์ดำนั้นก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามพิธีกรรมนั้นๆ อย่างเช่น เสกหนังวัวเข้าท้อง ฝังลูก ฝังลอย บิดไส้ บังฟัน ฝาบาตรแตก ตะปูโรงผี ฝังดวงตามทางสามแพ่ง ปั้นหุ่นขี้ผึ้งไปฝังตามป่าช้า สิ่งเหล่านี้ล้วนโดนเรียกว่า มนต์ดำเดรฉานวิชา แต่ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่สืบทอดกันมาได้ถูกร่ำเรียนและสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน คำว่าไสยศาสตร์มนต์ดำนั้นหมายถึง ของต่ำที่เป็นอัปมงคลใช้กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อน เป็นเคล็ดลับในการกระทำฝ่ายตรงข้ามให้มีอันเป็นไปตามที่ผู้กระทำต้องการ วิธีกรรมเหล่านี้ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักใคร่หรือแก้แค้นศัตรูทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการที่เราจะศึกษาหรือเรียนรู้หรือจะใช้มันควรเข้าใจในอาถรรพ์วัตถุหรือมงคลวัตถุนั้นๆเสียก่อน ว่าเราพร้อมหรือต้องการอะไร อาจารย์การเวกจะค่อยๆสอน และทำความเข้าใจในอาถรรพ์มงคล และมนต์ดำต่างๆที่อาจารย์ได้เรียนและศึกษามาค่อยๆถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจและลูกรุ่นใหม่ๆที่อยากจะศึกษาในมันให้เข้าใจในศาสตร์นั้นๆ เป็นเกร็ดคร่าวๆ เริ่มต้นเราต้องศึกษาอักขระขอมก่อนเพื่อเรียนรู้ในอาถรรพ์อย่างคร่าวๆ


    ก่อนอื่นทุกคนต้องทำจิตตามที่อาจารย์จะสอนต่อไปนี้เสียก่อน ขอศิษย์ผู้ศรัทธาในมหาเวททุกคนเจ้าเอยจงทำความเข้าใจในเรื่องของธรรมชาติอันสงบเย็นที่จะใช้เป็นสื่อในการทำคุณต่างๆเสียก่อน และไม่เป็นทุกข์กับการเป็นอะไร ของใคร หรือมนต์ขาว มนต์ดำ คนไทย คนฝรั่ง ผู้หญิงหรือผู้ชายกันเสียก่อน เพราะทุกอย่างเกิดอยู่ ดับไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าใครคิดได้ ก็เปรียบเหมือนผลไม้ที่มันเกิดมาตามธรรมชาติ ถ้าใครได้กิน ได้ชิม ก็จะรู้จักกับรสชาติของธรรมชาติ ว่ามันเป็นอย่างไร ส่วนที่ลูกคนไหนจะชอบหรือไม่ชอบในรสชาติ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเชื่อว่าเป็นความชอบของส่วนตัว


    คาถาอาคมนั้น คือการทำสมาธิตามธรรมชาติ สร้างความขลังบนความสงบเย็น ไม่เป็นทุกข์ในการจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ นั้นก็เหมือนกับผลไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่อยู่กลางโลกนี้ มันไม่ได้เป็นของใคร ผู้มีบุญ มีปัญญาเท่านั้นที่จะนำมันมาใช้ได้ และจะทำตัวให้เข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติในอำนาจแห่งพลังเวท ความสงบเย็น ความเป็นธรรมชาติ และความไม่ทุกข์ร้อนในการเรียนพระเวทนั้น จะสำเร็จได้ด้วยการดับจิต ดับทุกข์ด้วยปัญญาของผู้ที่ศรัทธาเท่านั้น เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายมักแบ่งแยกมนต์ดำ มนต์ขาว คนดี คนชั่ว ถ้าดำไม่มีจะมีขาวไหม ถ้าชั่วไม่มีจะมีดีไหม เรามามัวแต่คิดแบ่งแยกกันอยู่ มันคือความโง่ของคนที่ไม่รู้จริง คนที่รู้จริงในสัจธรรม ในเรื่องธรรมมะ และเข้าใจในธรรมชาติ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว องค์บรมครูเคยสั่งสอนไว้ว่า มนุษย์เกิดมาหรือไม่เกิดมา แต่ธรรมชาตินี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น


    สำเร็จคือ ผู้ปฏิบัติควรบรรลุถึงความบริสุทธิ์ทางจิตให้ได้ก่อน และหลุดพ้นความเป็นตัวตนเสียก่อน มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ปฏิบัติตัวให้เป็นธรรมชาติที่มันมีอยู่แล้ว ถ้าศิษย์ผู้ศรัทธายังมีความยึดมั่น ถือมั่น มีความเห็นแก่ตัว ไม่เคารพในครูบาอาจารย์ จิตของเจ้าก็จะไม่สามารถมีพลังได้ ฉะนั้นจิตที่ไม่มีการแบ่งแยกอย่างนั้น อย่างนี้ สายขาว สายดำ จิตที่จะบรรลุถึงพระเวท ติดต่อครูบาอาจารย์ได้นั้น คือจิตที่เป็นอิสระ คือจิตที่ไม่มีอุปทานยึดมั่น ถิอมั่น และจิตที่ว่างเปล่า จิตที่มีปัญญาที่ว่างเปล่า เหมือนกับพลังสายฟ้าที่เกิดได้โดยธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่จะไปผูกพันเกาะเกี่ยว หรือต้านอานุภาพมันได้ ผู้สำเร็จก็ทำทุกอย่างได้ จะไม่ตาย จะรู้ชัด จะอ่านจิต รู้เหตุการณ์ มองเห็นทั้งอดีตและอนาคต จะรู้เท่าทันในสมมุติบัญญัติทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่จิตนั้นต้องไม่เกาะติด ผูกพันอยู่ในมัน ไม่หลงทะเยอทะยานอยากอยู่ในมัน


    อริยมรรคคือ สิ่งสุดประเสริฐ


    สรุปหัวใจของการเรียนพระเวทคือ การเปลี่ยนคาถาอาคมความรู้สึกในจิตให้เปลี่ยนเป็นไปตามที่เราปรารถนา


    ข้อควรระวังในการปฏิบัติคือ ถ้าใครสงสัยในครู ลบหลู่ครูบาอาจารย์ คนผู้นั้นจะเป็นทุกข์ในทันที ศรัทธามี บารมีจะเกิด ศรัทธาแล้วค่อยเดินเข้ามาหาเรา
     
  4. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ไสยศาสย์มนต์ดำ มีทั้งมืดและขาวค่ะ ทุกอย่างย่อมมีครูบาอาจาย์ค่ะ และถ้าใช้ไปทางมืด เช่น ทำให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ทรมาน ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งแล้ว ตอนใกล้จะตาย คนที่เป็นอาจารย์ตลอดทั้งลูกศิษย์ที่สั่งงาน ของจะย้อนกลับอย่างแสนสาหัส และทุกข์ทรมานมาก จิตจะหลอน คล้ายคนบ้า แล้วตายอย่างทรมานที่สุด เกิดจากการกระทำมันย้อนกลับ ไม่มีใครหนีกรรมไปได้ หากทำกรรมชั่วและต้องไปสู่อบายภูมิ อย่างแน่แท้ ต่อให้เก่งกล้ามากแค่ไหน กรรมย่อม ยุติธรรมเสมอ แต่หากไปทางสายขาวเพื่อช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือช่วยให้เขาพ้นจากอันตรายแล้ว ย่อมถือเป็นกรรมดี ก็ย่อมไปสู่ภูมิภพที่ดี การกระทำใดๆเจตนาสำคัญยิ่งค่ะ คนที่ทำอยู่ขอให้ลด ละ เลิก หมั่นสร้างความดีไว้ค่ะ ชีวิตเราสั้นนัก คนทำดีอย่าท้อใจ สู้ สู้เข้าไว้ค่ะ สักวันโอกาสจะเป็นของเราเจ้าค่ะ:cool:
     
  5. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ได้ความรู้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. เทพสำราญ

    เทพสำราญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +888
    ไสยศาสตร์ (การใช้ฤทธิ์ในทางอกุศลกรรม)
    หากมองโดยลึกซึ้ง ก็เปรียบเสมือน การเล่นของสูงนั่นเอง ทั้งๆที่ ตนเอง มีบารมีไม่ถึงขั้นก็ ทดสอบหรือ เอาของสูงนั้น มาเล่น
    ไสยศาสตร์มักถูกอ้างอิงจาก ของ โบราณ คน โบราณ หรือแม้กระทั่ง คาถาโบราณต่างๆ
    หากคนที่ศึกษาจริงจะเข้าใจ ว่า ตราบใดที่จิตใจเขาเหล่านั้น ยังแปดเปื้อนด้วย
    โลภะ โทษะ โมหะ หรือความคิดประทุษร้ายคนอื่น ของที่เล่น มักย้อนกลับมาใส่ตัว
    หรือไม่ก็ เสื่อมจากคุณไสยนั้น
    วิชาความรู้ ในเรื่อง การเสก ยันต์ เป่ามนต์ ร่าย เวทย์ หากเข้าใจโดยลึกซึ้งแล้ว
    ก็เป็นเรื่องธรรมดา กล่าวคือ ปัจจุบัน ได้พัฒนา มาเป็น วิชาความรู้ในแขนงต่างๆ
    มนต์คาถา ก็กลายมาเป็น บทสวดมนต์ไหว้พระ และเจริญในทางที่ดีมากมาย
    เหลืออยู่ก็แค่ พวกที่หลุ่มหลง อยู่ ใน ศรัทธาเดิมๆ ยึดติด ไม่ยอมรับใน ความเจริญ
    สมัยใหม่ และ วัฒนธรรมที่ดีงามทั้งหลาย กลายเป็นเรื่องที่ดูขลัง อาถรรพ์ในสายตา
    ของ คนเล่นของ ไปโดยปริยาย ....
    (ทัศนคติส่วนบุคคล)
    (เทพสำราญ ศิษย์ มหาเทวเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  7. sarika

    sarika สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ผู้มีสติย่อมมีวิจารณญาณในการเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ แต่ทุกวันนี้บุคคลที่จะวิ่งเข้าหาสิ่งลี้ลับทั้งหลายล้วนขาดสติ เพราะถูกปัญหาหลายๆปัญหาครอบงำและการที่ทุกคนทำตัวเป็นผู้รู้โดยการคิดไปเองต่างๆนานา นำความถูกใจเหนือสิ่งถูกต้อง จึงปิดมุมมองหลายๆมุมมองที่ดีของตัวเองจนหมดสิ้น คำว่ามนต์ดำ หรือมนต์ขาว มันเกิดขึ้นมาพร้อมกันทั้งคู่ เพราะผู้ที่บอกตัวเองว่าเป็นมนต์ขาวนั้น มักบอกว่าตัวเองเป็นผู้ที่ดีและเจริญแล้ว แต่ท่านผู้ที่มีความเจริญทางจิตจงคิดเถอะว่า การที่ยกย่องตัวเองขึ้นสูงศักดิ์ แล้วมองผู้อื่นเป็นผู้ด้อยศักดิ์น้อยวาสนาควรค่ากับการที่จะใช้คำว่าผู้เจริญแล้วหรือไม่ มีท่านบางคนถามมาในเว็ปนี้ว่าครูบาอาจารย์ทางสายมนต์ดำจะไม่ตกนรกหรือ ข้าพเจ้าในนามของคนๆหนึ่งที่มิใช่ยกตนเสมอเทพ และยกเมฆมาบอกกล่าวกับพวกท่าน แต่อยากจะบอกกับพวกท่านว่า การที่พวกท่านหรือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้วิ่งเข้าไปหาความร่มเย็น และต้องการกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ท่านเดินเข้าไปด้วยความอ่อนล้า ต่อหน้าครูบาอาจารย์ คำว่าครูบาอาจารย์หรือจะไม่คิดช่วยท่าน ท่านบอกท่านอยากจะฝ่าฟันอุปสรรคชีวิต อาจารย์ก็คิดให้มีดเล่มหนึ่งท่านไป หวังว่าท่านจะนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อถากถางอุปสรรคต่างๆ จนสำเร็จดั่งท่านตั้งใจแล้ว แล้วท่านกลับมาว่าอาจารย์ของท่านว่าเป็นคนให้สิ่งที่ไม่ดีเป็นของแหลมคมกับท่านมาทำไม ใครกันแน่ที่เป็นผู้สมควรลงนรก และการที่ท่านบอกว่าขาวนั้น มันขาวแค่ไหน หรือเพียงแค่เอาผ้าขาวปกคลุมหัวตอดำๆ ก็บอกว่าขาว คนที่มีจิตใจขาวแล้วห่มดำ ดีกว่าคนที่มีจิตใจดำแล้วนำผ้าขาวมาห่ม ท่านจงคิดเถอะว่าท่านควรกราบไหว้สิ่งใด มีมากมายที่ห่มผ้าสามผืนแล้วยืนฝืนคำสอน ไม่นิวรณ์ในเวรกรรม ทำระยำกันในวัด เลวกว่าสัตว์เพราะมันกล้าหน้าทน บวชพระไม่ท่องมนต์ ทำชอบกลมาเล่นมนต์เสน่ห์ น่าสนเท่ห์พวกสังกะลี นี่หรือที่ท่านว่า ขาวดีกว่าดำ การที่ท่านจะตัดสินอะไรว่าขาวหรือดำ อย่าไปเอาคำที่เขาบอกเล่า แต่จงใช้สติและความนึกคิดที่เป็นกลางของตัวเอง เป็นผู้ตัดสิน มีดเล่มหนึ่งที่ขาวส่งให้คือหลักธรรม มีดเล่มหนึ่งที่มนต์ดำส่งให้คือการทำดีที่มิทำให้ใครเดือดร้อนก่อน มีดสองเล่มนี้ท่านลองใช้การตัดสินด้วยความมีสติและเป็นกลาง มันเป็นสิ่งไม่ดีตรงไหนถึงได้ไปแบ่งแยกมันว่าเป็นมีดไม่เหมือนกัน มีดเล่มหนึ่งเล่มเดียวกัน นำไปทำกับข้าวหรือนำไปทำในสิ่งที่มีประโยชน์ก็ได้ ในมุมกลับกัน มีดเล่มที่ท่านทำกับข้าวอยู่นั้นจะนำไปทำร้ายร่างกายผู้อื่นก็ได้ ท่านผู้คิดได้จะคิดได้ในทันทีว่าดีชั่วอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติ อย่าแบ่งแยกว่าดีหรือไม่ดี โดยใช้ความนึกคิดอย่างขาดสติหรือฟังผู้อื่นเขาเล่าบอกต่อๆกันมา มนต์ดำจะกระทำผู้ที่กระทำมันเท่านั้น ไม่มีเหตุผลใดๆที่มนต์ดำจะไปกระทำคนที่ไม่กระทำมันก่อน มนต์ดำไม่ใช่มนต์ที่หลอกตัวเองว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่มนต์ดำจะตอบความรู้สึกทุกอย่างที่ใครทำมัน หนามทิ่มต้องหนามบ่งเท่านั้นจึงจะหายเจ็บปวด ไม่เชื่อว่าหนามทิ่มแล้วจะมานั่งโทษเวรกรรมว่าเมื่อชาติก่อนเคยไปทิ่มหนามไว้ หรือเอาหนามไปทิ่มใครมา และสามารถรักษาหายได้โดยการนั่งสมาธิ มนต์ดำเจ็บมันจะบอกว่าเจ็บ ทุกข์มันจะสอนให้ต่อสู้ อุปสรรคมันจะสอนให้ฝ่าฟัน มันจะเติมเต็มลูกมันให้เป็นนักสู้ดั่งเช่น พยัคฆ์ที่จะสอนลูกให้อยู่ด้วยความทระนง อาจมีบางคนว่ามันดุร้าย ไม่เหมือนเช่นธรรมมะสายขาวที่สอนให้เป็นดั่งกระต่ายน้อย ที่ครองความน่ารักและเอ็นดูของหมู่คนทั่วไป วิ่งหนีภัยอันตรายโดยอย่าคิดเผชิญมัน <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ขอผู้ที่เจริญแล้วจงตั้งมั่นอยู่ในสติอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตาเสมอว่าเป็นขาว ไม่มีผู้ใดหรอกว่าจะยอมรับว่าตัวเองเป็นสายดำ แต่ถ้าวันหนึ่งปัญหาต่างๆรุมเร้าแล้วเจ้าจะรู้ว่าทำไมโลกนี้จึงต้องมียาสำหรับฆ่าผู้อื่น หรือสรรพสัตว์ในโลก ทำไมต้องมีอาวุธต่างๆนาๆไว้เพื่อฆ่าฟันกัน

    ผู้มีสติย่อมเจริญ ผู้ที่เพลิดเพลินหลงใหล อะไรก็ได้โดยขาดสติ จะพบกับหายนะสักวันหนึ่ง<o:p></o:p>
     
  8. มุจจลินท์

    มุจจลินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +98
    เพราะว่าพวกนี้มีการกำหนดรูปนามอันเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งที่ปิดบังรูปนาม มิให้ยมทูต สามารถล่วงรู้ได้ ทำให้รอดพ้นจากการลงนรก(เพียงชั่วคราว) เมื่อมีผู้มีบุญอันเป็นใหญ่ในพิภพได้บังเกิดขึ้น จึงจะทำลายคุณไสยฯอันเป็นต้นกำเนิดของพลังนั้นได้ จึงจะเป็นไปตามกฎของสวรรค์ และจะต้องตกนรกหมกไหม้นานนับกัปล์---สังเกตุนะพวกนี้จะต่อต้านพวกทำวิปัสสนาเพราะเป็นการนำทางเพื่อหลุดพ้น และขวางทางพระนิพพานเพราะวิชาเหล่านั้นเป็นเดรัจฉานวิชา คือ วิชาฝ่ายชั่วที่ขวางทางพระนิพพานไม่สามารถขึ้นสวรรค์ พรหม หรือนิพพานได้--และจะแพ้ทางอภิญญา(ต้อง ๖ ด้วยนะ) ยกตัวอย่าง คาถาอาคมส่วนใหญ่เป็นการเรียกรูปเรียกนามเพื่อดึงจิตของผู้ที่ถูกกระทำมาทำร้าย หรือเรียกรูปนามของวิญญาณผีต่างๆเพื่อไปใช้งาน--วิธีแก้ ก็ให้ท่านทั้งหลายยึดมั่นในพระรัตนตรัยสวดระลึกถึงพระพุทธมนต์อันมีพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ไว้เป็นประจำจะต้านทานได้ระดับหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2011
  9. ฮกหลงขงเบ้ง

    ฮกหลงขงเบ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,143
    ของแบบนี้ใครเล่นก็ได้ตกนรกกันหมดแหละครับ ที่ถามว่าทำไมครูรุ่นแรกๆไม่ตก นั่นคือยังไม่นรกเท่านั้นเอง เพราะจิตที่ใฝ่อธรรมะ และพลังแห่งมนต์ดำที่ตัวเองทำไว้จึงเป็นบ่วงพันธนาการตัวเองไว้ พอเสื่อมฤทธิ์หมดอำนาจก็ต้องรับกรรมในนรกอยู่ดี
     
  10. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    สอบ ถาม เฮีย ฮก หน่อย เจ้าค่ะ

    เฮีย ฮก ค่ะ ---เเล้ว กรรม บน โลก มนุษ ล่ะ ค่ะ ----จะต้อง ได่ รับ วิบาก กรรม อะไร บ้าง เจ้าค่ะ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...