ทำอย่างไรให้ได้โสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เจริญจิต, 5 ตุลาคม 2010.

  1. เจริญจิต

    เจริญจิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +72
    ปุถุชนมีวิธีทำอย่างไรให้ได้เป็นพระโสดาบันขอรับ
    การละสังโยชน์ 10 นั้นทราบแล้ว
    แต่อยากทราบวิธีทำ
     
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
  3. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    โดยสรุป นอกเหนือจากข้างต้น คือ

    1.รักษาศีล5 โดยเคร่งครัด
    2.เชื่อมั่นใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคงแบบยอมถวายชีวิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ลองเดา ๆ อนุมานมาตอบนะครับ อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจัง ความเห็นส่วนตัวผมมองว่า ผู้นั้นต้องมีหิริโอตัปปะเป็นพื้นฐาน

    โสดาบัน ผู้แรกถึงกระแสนิพพาน
    โสดาบัน โสตธรรม ก็กระแสนิพพาน

    ก็ทวนกระแสของกิเลสขึ้นไป ไล่ตามพิจารณากระบวนการเกิดดับแห่งทุกข์ (ปฎิจจสมุปบาท) ไล่ทวนกระแสขึ้นไป ไล่ดับกิเลสไปเรื่อย จนกระทั้งเห็นอวิชชา จนกระทั้งปัญญาเกิด สามารถหักสงสารวัฎ แหวกอวิชชาออกได้ เข้าไปสัมผัสนิพพานเป็นอารมณ์ จากนั้นอวิชชาก็ปกคลุมตามเดิม

    สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ข้ามโลกีย์ไปแล้ว เป็นโลกุตตรภูมิ โลกุตตรคุณ มีสัมมาทิฐิ มีนิพพานเป็นหลักใหญ่ มีนิพพานเป็นอารมณ์ มีความรู้ในเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ ผิด ชอบ ชั่ว ดี มีความรู้ในอริยสัจจ์สี่ ทุกข์ก็รู้ สมุทัยก็รู้ นิโรธก็ประจักษ์แล้ว มรรคหรือทางที่ทำให้ทุกข์ดับก็รู้แล้ว เหลือเพียงทำความเพียรให้เหตุแห่งการเกิดค่อย ๆ ลดไปอีกตามกำลัง

    กิเลสที่หายไปประมาณหนึ่งในสี่นั้น เนื่องจากตกกระแสนิพพานแล้ว ชาติภพ ชาติที่จะเกิดอีกย่อมอยู่ไม่เกินเจ็ดชาติ หรือน้อยกว่านั้นตามกำลัง ถ้าจะเทียบสิ่งร้อยรัดก็ จากสิบ หายไปสาม แต่สามตัวแรกนี่แหล่ะที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด สักกายตัวเราของเรา สงสัยในพระรัตนไตย และทางปฎิับัติวิธีปฎิบัติที่ไม่ถึงมรรคผล

    มันหลายปัจจัยนะ บางคนอยากได้แทบตายก็ไม่ได้ บางคนไม่อยากได้แค่ต้องการดับทุกข์มันก็กลับได้ แต่ปัจจัยหลักเลยคงอยู่ที่การอบรมอินทรีย์พละมา มากน้อยต่างกัน
     
  5. เจตบุตร

    เจตบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +175
    ความอยากได้โสดาบัน ยังเป็นกิเลสอยู่ ถ้ายังหยุดความอยากนี่ไมได้ ไม่มีทางได้เป็นหรอกครับ

    โสดาบัน คือผู้เห็นกระแสพระนิพพาน มีดวงตา คือจิต เห็นแจ้งใน อนิจจัง ทุกขังอนัตตา
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ทำสมาธิ ให้ได้ฌาณ แล้วค่อยมาถาม

    ถามไกลเกิน

    อุปมาว่า เด็กป 1 ถามพ่อแม่ว่า ทำอย่างไรจะได้ ดอกเตอร์

    พ่อแม่ คงจะปวดหัว เพราะพ่อแม่เองก็ยังเรียนไม่ถึงดอกเตอ และเด็กเองก็ยังอีกไกล

    ทีนี้ หากว่า เราผู้ถามนั้น มีปัญญามาก่อน เจริญสมาธิมาดี มีศีลดี

    หากบอกแผนที่ไป ก็ไม่ต้องบอกรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น ถามว่าไปอเมริกา ทำอย่างไร

    หากคนเคยทำวีซ่า เคยไปสนามบิน ก็ไม่ต้องพูดมาก เพียงบอกว่า ให้ไปขึ้นเครื่องบิน ที่สุวรรณภูมิ

    แต่หากคนไม่รู้เรื่อง มันก็ต้องบอกทุกรายละเอียด เอาแค่ นั่งแท๊กซี่ยังไม่เป็น จะไปบอกถึงไปอเมริกาอย่างไร

    ทีนี้ แผนที่ที่จะไปถึงมีอยู่ ทุกขั้นตอน แต่ถามว่า เรารู้เรื่องอยู่ในระดับใด

    เราต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่า เราปฏิบัติธรรม มีสติ มีสมาธิ มีศีล แค่ไหน เมื่อเรารู้จักสถานภาพของเรา เมื่อเราเดินต่อไป เราก็ทราบว่า เราควรถามในจุดเฉพาะเจาะจง ได้อย่างไร จนนำไปถึง ปมแห่ง ข้ามโคตรปุถุชน ในที่สุด

    แล้วอาศัยตรงจุดนั้นแหละ ข้ามสังสารวัฎนี้
     
  7. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    การละเว้นความชั่วทั้งปวง การสร้างความดีทั้งปวง การทำจิตใจใ้ห้บริสุทธิ์
    จะถึงที่สุดได้ยิ่งกว่าที่ใจต้องการครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  8. วรรณนรี05

    วรรณนรี05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +903
    โสดาบันจริงๆใช้กำลังไม่มาก แต่กำลังใจของท่านจะต้องหนักแน่นในศีลโดยเฉพาะ มีความสำคัญอย่างเดียวคือศีล5 พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี มีความสำคัญตรงศีล5เท่านั้น ถ้าหากจะปฎิบัติจริงๆไม่ต้องฝึกสมาธิอย่างอื่น เพียงแค่กำลังใจทรงศีล5ให้บริสุทธิ์ และหนักแน่น
    จริงๆ หมายถึง ศีลปกติไม่มีโอกาส ผิดพลาดเลย ไม่ใช่ต้องนั่งถือ ต้องนั่งระวัง ถ้าเข้าใจ และหนักแน่น ท่านเหล่านั้น ท่านรู้ว่าอะไรควรลด อะไรควรละ
    และไม่ต้องถามใครด้วยว่าฉันเข้าขั้นโสดาบัน แล้วยัง อันดับ แรกลองช้อม

    ลดสิ่งที่เป็น ข้าศึกก่อน เอาเพียงลดลงเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเลิก

    1 ราคะความรักระหว่างเพศ *

    2 โลภะ ความโลภ

    3 โทสะ ความโกรธ

    4 โมหะ ความหลง

    ทุกคนมีสิทธิเป็นได้ ไม่ได้ยุ่งยาก ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ สมัยพุทธเจ้า ยังอยู่ ชาวไร่

    ชาวนาเป็นโสดาบันกันมาก เพราะศีลมั่นคง
     
  9. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    379
    ค่าพลัง:
    +892
    ละสังโยชน์ ๑๐ ได้ คือพระอรหันต์

    โสดาฯ ละ ๓ ข้อแรก ก็พอ

    อย่ายึดมั่นในตัวตนและสิ่งของ ว่า ตัวกูของกู เพราะทุกอย่าง ล้วนเป็นของไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง และไม่ใช่ตัวตน

    ดูภาพอสุภะบ่อยๆ และพิจารณากับตัวเราด้วย

    เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าท่านไห้ คุณวิเศษ จริง ( แล้วเคยได้บ้างหรือยัง )

    ถือศีลให้ครบบริบูรณ์ พื้นฐานคือศีล ๕ วันดีคืนดีก็ ศีล ๘ หรือจะลอง กรรมบถ ๑๐ ดูบ้างก็ได้

    จขกท. คุณก็รู้ว่าจะเป็น โสดาฯ ต้องละสังโยชน์เท่านั้น แล้วมาถามทำไม
     
  10. เทพบุตร

    เทพบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +114
    คำตอบอาจไม่ถูกใจ
    เท่าที่ผมเข้าใจนะ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว
    จะต้องเข้ากรรมฐานทุกวันครับอาจจะ1-2ชม.
    หรือ1/4 ของวันหนึ่งวันครับ
    ของดีไม่ได้ง่ายครับ
     
  11. beverzone

    beverzone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    589
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +2,174
    ผมจะสรุปให้เป็นข้อๆเลยนะครับ อ่านง่ายๆเข้าใจง่ายๆเลย ให้รู้ว่าการเป็นพระโสดาบันนั้นง่ายเหมือนเปลี่ยนเก้าอี้นั่ง

    1. มีศีล 5 บริสุทธิ์ รวมถึงไม่ยุยงให้ผู้อื่นละเมิดศีล 5 และ ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำลายศีลแล้ว (สังโยชน์ข้อที่ 3)
    2. ไม่มีความลังเลสงสัยในพระพุทธศาสนาเลย จะมีแต่ความศรัทธาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม (สังโยชน์ข้อที่ 2)
    3. มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่ใช่ของเรา (สังโยชน์ข้อที่ 1)
    4. มีพรหมวิหาร 4
    5. จิตต้องมีการน้อมไปสู่พระนิพพาน เพราะรู้แล้วว่า " นิพพานัง ปรมัง สุขัง " นิพพานเป็นบรมสุข หรือ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    *** ข้อ 3 และ 5 นี้หากว่าดำรงความรู้สึกนี้ได้ไม่ตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
    เพราะถ้าหากดำรงอยู่ได้มากขึ้นกว่าเดิมหรือทั้งวันแล้วนั้นจิตจะอยู่ระดับสูงกว่านั้น คือ สกิทาคามี, อนาคามี และ อรหันต์

    ที่มาจากหนังสือของ หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เห็นด้วยกับหลายๆท่าน

    วิธีการมี ศีล สมาธิ ปัญญา
    หมั่นบ่มเพาะอมรมให้มากๆ

    เราตั้งปรารถนาได้ มีความอยากดี ได้
    แต่ในขณะฝึกกรรมฐาน อย่ามัวแต่อยาก เพราะมันจะไม่ได้
    พิจารณาธรรมที่อยู่ตรงหน้า ปัญญาจึงจะเป็นไปได้
     
  13. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ใช้ตัณหาปราบตัณหา

    ปัญหา มีบางท่านกล่าวว่า ความอยากถึงนิพพานก็จัดเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง และเป็นแรงผลักดันให้คนปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงนิพพาน เข้าทำนอง ใช้ตัณหาดับตัณหา คำกล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกยืนยันหรือไม่ ?

    พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่ากายนี้เกิดด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
    “ดูก่อนน้องหญิง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้ข่าวว่า ภิกษุชื่ออย่างนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่ง ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ เธอเกิดความปรารถนา (ตัณหา) อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุต ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ในปัจจุบันชาตินี้ ดังนี้ ในเวลาต่อมา เธออาศัยตัณหานั้นแล้วละตัณหาเสียได้
    “ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหาอาศัยตัณหาแล้วพึงละเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยความจริงข้อนี้......”
    อินทริยวรรค จ. อํ. (๑๕๙)
    ตบ. ๒๑ : ๑๙๕-๑๙๖ ตท. ๒๑ : ๑๗๑
    ตอ. G.S. II : ๑๔๙
     
  14. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ไม่ได้เป็นก็เลยตอบไม่ได้ คอยดูคำตอบไปเรื่อย ๆ นะ เผื่อมีคำตอบที่ถูกใจ.....ชอบใจคำถามคุณ?????
     
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    พระทั้งหลายก็ถามพระสารีบุตรว่า พวกข้าพเจ้า ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถ้าต้องการอยากจะเป็นพระโสดาบันจะต้องทำอย่างไร
    พระสารีบุตรตอบว่า ให้พิจารณา ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมแล้วเรียกว่าร่างกาย เรียกว่าร่างกายง่ายกว่า
    ว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าจิตละเอียดขึ้น ท่านจะเป็นพระโสดาบัน
    และพระก็ถาม การที่จะเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ท่านก็ตอบว่าให้พิจารณาอันเดิมนั่นแหละ
    คือ พิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าจิตท่านละเอียดขึ้น
    ท่านก็จะเป็นพระ สกิทาคา อนาคา และพระอรหันต์ ตามลำดับ พระก็ถามต่อว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็หยุดเลยใช่ไหม ไม่ต้องทำอะไร
    พระสารีบุตรตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระอรหันต์ก็จะขยันทำมากขึ้นไปอีก เพื่อความเป็นอยู่เป็นสุขของจิต
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เก่งนี่ ที่รู้สังโยชน์ 10 หมดแล้ว

    และที่เก่งมากๆ คือ แม้นว่าทราบสังโยชน์ 10 หมดแล้ว ก็รู้อยู่ว่า ต้องละความรู้
    ที่ทราบหมดแล้วนั้นลง เพื่อที่จะ หาวิธีการทำ ที่ทำให้ ความรู้ที่ทราบนั้นมันละออก
    ไปจากเราจนหมด ไม่ยึดในรู้ทีที่ทราบมา ไม่ยึดในรู้ใดๆ ซึ่ง มีเพียงการปฏิบัติให้
    มันซึ้งแก่ใจ กระเทือนถึงใจ แล้วละความกระเทือนใจนั้น จนมั่นใจ แจ้ง รู้ชัดว่า
    เราละรู้ได้หมด เหลือเพียงความมั่นคงของใจ

    วิธีการหลัก ก็อย่างที่ได้ยกข้างบนนั้นแหละ กล่าวคือ

    1. ทราบให้ทั่วถึง ให้ครบหลักเกณฑ์ในอริยวินัยนี้ เรียกสั้นว่า ปริยัติ ซึ่งไม่ต้อง
    ไปอ่านทั้งหมดที่มี แต่ให้เลือกสดับมาสักหัวข้อ สักหมวด ให้ทราบทั่วถึงไว้

    2. ละความรู้ที่ศึกษา ปริยัติ มานั้น ให้เสมือนวางลงชั่วคราว จะเอามาใช้ก็เพื่อ
    ประโยชน์ต่อการสอบทาน ไม่ใช่เพื่อนำการเกิดผลปฏิบัติ แต่ให้ ปฏิบัติจนเกิด
    ผลแล้วค่อยเอาผลนั้นมาสอบทาน

    3. สิ่งที่เราปฏิบัติได้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อบรมแล้ว จะค่อยๆพบว่า เราสามารถ
    ทิ้งรู้ ไม่ยึดในรู้ ในปริยัติตามที่ได้ศึกษาในกาลก่อนๆ ได้ทีละข้อ ทีละข้อ ค่อยๆทำ
    ค่อยๆเทมันออกไปจากแก้ว ที่ทำเช่นนั้นได้ เพราะมันมีของจริง ผลการปฏิบัติจริง มัน
    เป็นพยานในการรู้ตรงตามพยัญชนะเข้ามาที่ละน้อย ทีละน้อย เมื่อเรามีข้อเท็จจริง ที่
    ไม่ได้หลอกตัวเอง ไม่ได้เอามาเพื่อสร้างตัวเองให้มีหน้ามีตา เราเพียงแต่มีข้อเท็จจริง ที่
    ได้จากการปฏิบัติจริงเพียงแค่อาศัยระลึกว่า มีอยู่ ไม่มีอยู่

    สรุปแล้วคือ จขกท เริ่มต้นข้อ 1 แล้ว และมาโพสเพื่อถามซึ่งเป็นการใช้วิธีในข้อ 2
    เหลือเพียง ข้อ 3 ที่จะต้องสดับให้ละเอียดลงไป

    * * * * *

    วิธีการละเอียด ( สำหรับการเป็นโสดาบัน --- อันนี้ ยกกล่าวก็เพื่อให้สอดคล้อง
    กับคำถามของ จขกท เท่านั้น ไม่ใช่การชี้วิธีให้เป็นโสดาบัน หรือรับรองว่า
    เป็นโสดาบัน --- อย่า งง นะ พูดตรงๆ คือ เอาวลีของ จขกท มาสอดแทรก
    ในคำอธิบายเพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการพูดเท่านั้นเอง )

    อ้อ ขอแทรกก่อนว่า การเป็นโสดาบันนั้น สังโยชน์ที่ละได้ เป็นส่วนของทิฏฐิ
    ความคิด ความเห็น ดังนั้น เวลาเราเสวนากันเรื่องภูมิโสดาบัน มันเลยดูเหมือน
    เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะความที่มันเป็น ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดความเห็น บาง
    คนเลยโดนหลอกโดยตัวเอง คือ ไปสร้างความคิด ความเห็น ขึ้นมา พอสร้าง
    ขึ้นมาก็ไปเชื่อความคิด ความเห็นนั้นเข้า เลยเกิดการยึด ความคิดความเห็นที่
    สร้างขึ้นมาเสีย แทนที่จะเป็น การละ การปล่อยรู้ ความคิดความเห็น โดยอาศัย
    ข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติ มะนุดขี้ฉ้อเลยมักจะสำเร็จโสดาบันเอาอย่างมักง่าย อัน
    นี้ขอให้ดู ธรรมชาติความร้ายกาจของการยึดรู้ยึดความเห็นไว้ และสังวรณ์ระวัง

    1. การจะเป็นโสดาบัน ก็ต้อง ละสังโยชน์ 3 ได้ ซึ่งก็มี สักกายทิฏฐิ 1
    วิจิกิจฉา 1 และ ศีลลัพพตปรามาส 1 พูดง่ายๆ ตามที่กล่าวข้างบน คือ
    คือไม่ยึดในรู้ ละความทราบด้วยการสดับธรรมภายนอก เพราะมีธรรมภายใน
    เป็นประจักษ์พยานแทนความรู้ที่ลำพังแค่สดับมานั้นได้

    1.1 ละรู้ ปล่อยรู้ ในเรื่อง สักกายทิฏฐิ หรือ การยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตน
    คือ การยึดทิฏฐิว่าในโลกนี้มี สัตว์ มีคน มีบุคคล เราเขา สังเกตนะว่า ความ
    คิดความเห็นแค่นี้ แค่ทำความคิดกระเดิดไปข้างหน้า นำสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง เราแค่
    คิดล่วงหน้าเอาไว้ มันก็เหมือนว่าเข้าใจ ยิ่งไปหยิบอาการโลกแตก โลกสูญสลายยิ่ง
    ทำความเข้าใจว่า โลกนี้ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ได้ไม่ยาก -- อันนี้พึงระวัง อย่าให้ความ
    คิดมันแล่นไปข้างหน้า นำการปฏิบัติของเรา

    ดังนั้น จขกท ควรพึงทำความสงบของใจ แลเห็นทิฏฐิที่กระเดิดไปข้างหน้า รวม
    ทั้งทิฏฐิที่ไปติดความเฉยเมยแสร้งไม่คิด ดูสองทิฏฐินี้ที่มันจะลากเราไปยึดในรู้ ดูไป
    เรื่อยๆ จนมันไม่กระเดิดไปข้างหน้า และไม่ไปติดเฉย ไม่ส่งนอก ไม่ส่งใน เมื่อนั้น
    สติของคุณจะตั้งมั่นอยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่จิต มีธรรมเอกผุดขึ้น พิจารณาถึงความยึดในรู้
    แล้วจะค่อยๆปล่อยรู้ จนกระทั่งประจักษ์เข้ามาว่า โลกนี้มันไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคล
    เราเขา ตามความเป็นจริง การที่มีทิฏฐิเห็นไปว่าโลกนี้มีสัตว์ ตัวตน บุคคลเรา
    เข้าเป็นเพราะปุถุชนที่ไม่เคยสดับจะมีธรรมชาติรู้อย่างนั้น เพราะไม่เคยสดับ ไม่เคยอบรม
    ปฏิบัติธรรม


    1.2 ละรู้ ปล่อยรู้ ในเรื่อง วิจิกิจฉา หรือ การลังเลเต็มประดาว่าพระพุทธเจ้า
    ไม่มีตัวตนอยู่จริง อีกทั้งคำสอนของพระพุทธองค์ก็ไม่อาจนำไปสู่นิพพานได้จริง คือ
    เรามีความคิด อาศัยความคิด ความเห็น เชื่อไปตามโลกธรรมที่เต็มไปด้วยการตลาด
    ลัทธิการบริโภค ลัทธิการปกครองที่เขากำชับวิถีการเชื่อ ทำให้เรามัวแต่อยากใช้ชีวิต
    อย่างเอร็ดอร่อยในโลกบริโภคเสรี หรือ ยอมจำนนต่อการกดขี่ชี้ให้เชื่อเพื่อยอมให้เขา
    เป็นผู้ปกครองสิทธิและหน้าที่

    ดังนั้น จขกท ควรพึงทำความสงบของใจ แลเห็นทิฏฐิที่กระเดิดไปข้างหน้าว่าพระพุทธ
    แล พระธรรมไม่มีอยู่ รวมทั้งทิฏฐิที่ไปติดความเฉยเมยแสร้งไม่คิด ดูสองทิฏฐินี้ที่มันจะ
    ลากเราไปยึดในรู้ ดูไปเรื่อยๆ จนมันไม่กระเดิดไปข้างหน้า และไม่ไปติดเฉย ไม่ส่งนอก
    ไม่ส่งใน เมื่อนั้นสติของคุณจะตั้งมั่นอยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่จิต มีธรรมเอกผุดขึ้น พิจารณาถึงความ
    ยึดในรู้ แล้วจะค่อยๆปล่อยรู้ จนกระทั่งประจักษ์เข้ามาว่า โลกนี้มีพระพุทธองค์เกิดขึ้นอยุ่
    จริง และพระพุทธองค์ก็ยังไม่ทิ้งเราไปไหน เนื่องจากคำสอนของพระพุทธองค์ยังใช้สั่งสอน
    เวนไนยสัตว์ให้เข้าถึงนิพพานได้จริง ยังมีอยู่

    1.3 ละรู้ ปล่อยรู้ ในเรื่อง ศีลลัพพตปรามาส หรือ การยึดมั่นในวิถีการปฏิบัติ ทั้งที่
    เป็นการย่อหย่อนต่อศีล และเคร่งครัดต่อศีล อีกทั้งความที่ไม่รู้จะยังไงกันแน่ว่าผิดหรือถูกในศีล
    คือ เราไปมีความคิดสาระตะ สร้าง วิถีชุมชน วิถีปัจเจกบุคคล วิถีสังคม อันไม่เป็นประโยชน์
    ที่แท้จริงต่อ สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทั้งโลก อย่างทั่วถึง เราไปยึดทิฏฐิเอาลำพังแค่คุณค่า ราคา
    วาทะ มาดที่ดูดี เท่าที่คิดว่าเหมาะสม เท่าที่คิดว่าคนอื่นต้องทำตาม เท่าที่คิดว่าคนอื่นต้องเชื่อตาม


    ดังนั้น จขกท ควรพึงทำความสงบของใจ แลเห็นทิฏฐิที่กระเดิดไปข้างหน้าว่าศีลควรเป็นอย่างนั้น
    ศีลไม่ควรเป็นอย่างนี้ รวมทั้งทิฏฐิที่ไปติดความเฉยเมยแสร้งไม่คิดว่าศีลจะต้องเป็นอย่างไร ดูสอง
    ทิฏฐินี้ที่มันจะลากเราไปยึดในรู้ ดูไปเรื่อยๆ จนมันไม่กระเดิดไปข้างหน้า และไม่ไปติดเฉย ไม่ส่งนอก
    ไม่ส่งใน เมื่อนั้นสติของคุณจะตั้งมั่นอยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่จิต มีธรรมเอกผุดขึ้น พิจารณาถึงความ
    ยึดในรู้ แล้วจะค่อยๆปล่อยรู้ จนกระทั่งประจักษ์เข้ามาว่า ศีลนั้นมันหากมีอยู่
    ประจำจิตประจำใจแล้ว เวรกรรมใหม่ย่อมไม่สร้าง(ไม่ผิดศีล) เวรกรรมเก่า
    หากตามมาทันก็รับๆกันไปอย่างขันติ อททน(ไม่ผิดธรรม - ไม่ผิดหลักกฏแห่ง
    กรรม) สิ่งใดทีทำแล้วส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งมวลเพียรสร้าง นี่คือเป็นคนที่มีศีล
    บริบูรณ์อยู่ด้วยตนเอง ไม่ต้องยึดตามใคร และก็ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยเสียเลย แต่เรามั่นใจว่าเรา
    ทำดี(มีศีล)อยู่แน่นอน ถ้าจะให้ผิดไปจากนี้ก็ยอมตายไปเองเสียดีกว่าที่จะต้องไปเบียดเบียน
    ใครให้เป็นกรรมเวรใหม่

    * * * * * *

    ยาวสักหน่อย ค่อยๆพิจารณาเนาะ ถ้าโชคดีก็มองออกหละว่า จะต้องทำอย่างไร ดีไม่ดีก็มอง
    ออกอีกว่า ที่เหลืออีก 7 สังโยชน์ จะค่อยๆ ปล่อยรู้ ปล่อยความที่ทราบหมดแล้ว ออกไป
    อย่างไร

    สรุปคือ

    การเป็นโสดาบันนั้น คือ การเป็นบุคคลที่มีทิฏฐิที่ถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)
    แต่จงระวัง อย่าให้วิธีการยึดทิฏฐิ มาหลอกต้มเอาว่า เราเป็น โสดาบัน แล้ว

    เช่น ยึดความเห็นไปล่วงหน้าว่าโลกแตก เลยเล็งเห็นว่าโลกนี้ไม่มีสัตว์ บุคคลเรา
    เขา เลยเหมาเอาสุ่มสี่สุ่มห้า ยึดทิฏฐินี้ว่าเป็นเรื่องของ ละสักกายทิฏฐิ ก็จะวิบัติ
    วิปลาสกันไป ไม่ใช่โสดาบันตามความเป็นจริง เป็นแต่เพียงคิด คะเนเอาว่าเป็น

    หรือ เช่น มองดูพระพุทธรูปแล้วเกิดปิติน้ำตาท่วมท้นเป็นอันมาก ซึ้งใจมาก แต่
    พอไม่ได้นึกถึงก็ลืมไปเลย แต่ไป สำคัญเอาว่า วันนั้น เวลานั้น กาลก่อนนั้นเรา
    น้ำหูน้ำตาล่วง เลยเหมาเอาว่า เป็นกาลละความลังเลสงสัยในพระพุทธองค์
    แบบนี้ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการ ยึดรู้(โดนมันหลอก) ไม่ใช่ปล่อยรู้(แต่ทราบ
    ซึ้งมีอยู่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  17. สงกะสัย

    สงกะสัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +126

    อนุโมทนาในจิตอันเป็นมหากุศลของผู้ตั้งกระทู้

    ที่คิดจะไปถึงพระโสดาบัน ขอมหากุศลจิตนั้นจงเป็นเมล็ดธรรม

    ที่จะงอกเงยเจริญเติบโตแข็งแรงต่อไปจนสำเร็จมรรคผล...


    พระโสดาบันเปรียบเหมือนดั่งวิมานสวรรค์ ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมร


    สังโยชน์ 10 เป็นเพียงแผนที่ นำทางให้เราไปถึงซึ่งวิมารสวรรค์นั้น

    หากกำแผนที่นอนอยู่บ้าน แล้วจะไปถึงยอดเขาได้อย่างไร


    ลองทดลองถือศีล5ดูก่อนสักปี ทำแล้วสุขต่อด้วยศีล 8 ปฏิบัติสมาธิ

    ถ้าร่างกายปกติไม่พิการก็เข้าอุปสมบท แล้วรักษาศีล227ข้อให้บริสุทธิ

    คุณก็จะมีฤิทธิเหาะข้ามสังโยชน์10 ข้ามโสดาบัน ข้ามพระอรหันต์ เข้าสู่แดนนิพพานต่อไป

    ส่วนคนพิการบวชไม่ได้ก็สามารถรักษาศีลได้ทำที่บ้านยิ่งได้บุญแรง

    เพราะกิเลสยั่วยุมากกว่าอยู่วัด ทำได้ปฎิบัติได้ จะลอยขึ้นไปบนยอดพระสุ

    เมรได้เลย(ที่สายปฎิบัติเขาเรียกเหาะเหินเดินอากาศ) อย่าไปเชื่อใครจะ

    พาเราเหาะไปได้ อย่าไปเสียเงินจ้างใคร นอกจากตัวเราเอง
    ..เริ่มเลยไหม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  18. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    ฆ่าความขัดใจ และ ความริษยาให้ได้ แล้วจะสงบ สาธุ ขออนุโมทนาด้วยนะ
     
  19. รัก_D

    รัก_D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2008
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,096
    1 เลยคือ ถือศีล ให้เป็นปรกติ ถ้าจะเริ่มโสดาบันเลยก็ ถือศีลให้เคร่งกว่าปรกติ คือ
    อธิศีลสิกขาคำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<br>


    ๑. จะรักษาศีลไว้ด้วยดี มิให้ขาดมิให้ทำลาย แม้แต่ศีลจะมัวหมองก็มิยอมให้เป็น ด้วยมีวิธี รักษาดังนี้
    จะ ไม่ทำลายศีลให้ขาดเอง ไม่แนะนำให้คนอื่นทำลายศีล และไม่ยินดีต่อเมื่อเห็นผู้อื่น ทำลายศีล การปฏิบัติพระกรรมฐานก่อนที่จะหวังให้ฌานสมาบัติอุบัติปรากฏแก่จิตใจนั้น ต้องมีศีล บริสุทธิ์เสียก่อน ถ้าศีลของท่านยังขาดตกบกพร่อง รักษาบ้าง ไม่รักษาบ้าง ยังเกรงใจความชั่ว คือ สังคมที่มอมแมมด้วยความชั่วช้า ที่ต้องมีการดื่มของมึนเมาอวยพร ต้องกินเนื้อสัตว์ที่ยังมีชีวิต เพราะถ้าสัตว์ตายก่อนแล้ว เนื้อมีรสไม่อร่อย ต้องพูดตลบตะแลงให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เกรงใจสังคมที่นิยมมีเมียเก็บ เมียอะไหล่ นิยมสะสมสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบธรรม เฉพาะอย่างยิ่ง การดื่ม ถึงแม้ว่าท่านจะละมาในวันอื่น ๆ ทุกวัน แต่ถ้าวันใดมีการเลี้ยง ก็ต้องดื่มเพื่อสังคม แม้ อย่างนี้ก็ชื่อว่าท่านไม่มีความบริสุทธิ์ ไม่มีศีล เป็นอธิศีล แม้แต่ปกติศีลก็ยังไม่จัดว่าท่านเป็นผู้มีศีล ทั้งนี้เพราะการบกพร่องในศีลเป็นความชั่ว จะด้วยกรณีใดก็ตาม ถ้าท่านล่วงศีลด้วยเจตนาแล้ว ท่านก็เป็นคนเลวสำหรับนักปฏิบัติในศีล ท่านจะอ้างว่าท่านล่วงเพื่อสังคม ก็ไม่มีทางจะเอาตัวรอดได้ เพราะการที่ท่านต้องเกรงใจสังคมที่ชั่วช้าเลวทราม เพราะมุ่งที่จะทำลายความดี สิ่งที่ท่านทำไปนั้น มันเป็นเหตุของความชั่ว ขึ้นชื่อว่าความชั่ว แม้แต่นิดหนึ่งก็เป็นความชั่ว ของเหม็นที่มนุษย์รังเกียจ ร่างกายเราทั้งใหญ่ทั้งโต แต่พอสิ่งโสโครกที่มีกลิ่นเหม็นเพียงนิดเดียวมาติดกาย เราก็ต้องรีบล้าง รีบชำระ เพราะรังเกียจในกลิ่นเหม็นที่เราไม่ยอมปล่อย ด้วยคิดว่ามันมีจำนวนนิดเดียว ร่างกายเรา ยังว่างจากสิ่งโสโครกนั้นมากมาย เราไม่ปล่อยไว้ก็เพราะคิดว่า สิ่งโสโครกแม้แต่นิดเดียวก็สร้างความ เดือดร้อนแก่จิตใจ ข้อนี้ฉันใด แม้ศีลที่ท่านรักษาเพื่อเป็นภาคพื้นของสมาธิสมาบัติก็เช่นเดียวกัน ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะ เพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบๆท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปีที่ไม่ได้สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ เมื่อท่านรักษาศีลตามนัยที่กล่าวมาแล้วโดยมั่นคง จนถึงขั้นไม่ต้องระวัง หมายความว่า ละเสียได้จนชินไม่มีการพลั้งเผลอแล้ว ต่อไปท่านให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
     
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ท่านองคุลีมาลไม่เห็นจะอยากได้เลย พอรู้ปรับ
    อยู่ๆ ปัญญาก็ไหล มาดับกิเลสได้ ทั้ง 3แน่ะ
    ไม่ได้เตรียมตัวเลยนะ
    อบรมมาเรื่อยๆ พอถึงเวลาก็ แจ้งเองแระ
    เอาฉันทะ มาใส่ใจเรื่อยๆ แต่อย่าเร่งแล้วกัน
    เดี่ยวจะเครียด อย่าหย่อนแล้วกัน เดี่ยวจะเสียเวลา



     

แชร์หน้านี้

Loading...