ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pleased, 30 พฤษภาคม 2009.

  1. ศิลามณี

    ศิลามณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +1,321
    ได้รับข้อความแล้วนะคะ ขอบคุณคะ
     
  2. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ...ตามความเห็นส่วนตัวดวงจิตของเราถูกเรียกว่า "สัมภเวสี" คือยังต้องแสวงหาที่เกิดไม่ยอมหยุดตราบใดที่ยังมีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะอยู่
    ในช่วงตอนกลางคืนถ้านั่งกรรมฐานก็สามารถบังคับจิตให้อยู่กับที่ได้อาจทำไปเพื่อพิจารณากายหยาบของตนเองให้เกิดปัญญา พอยามหลับจิต (บางคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี ก็จะควบคุมไม่ได้ยามหลับ หรือสติตามจิตไม่ทัน) ก็ถูกปลดปล่อยเพื่อออกท่องเที่ยวหาภพอื่นๆๆ อาจย้อนดูอดีต ดูปัจจุบัน หรือไปดูผลงานที่ทำไว้ว่าอนาคตว่าจะไปไกลได้ถึงไหน?

    การจะฝึกการความแน่วแน่ของจิตโดยกักไว้ในตัวเองยากและบางคนอาจทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพราะดวงจิตของเราไม่ได้มีดวงเดียวและอาจจะไม่ใช่ของเราคนเดียว(ในกรณีที่ถูกจิตอื่นแฝง) ทั้งยังประกอบไปด้วยหลายส่วนจากดวงจิตที่มีความผูกพันกันหรือร่วมสร้างบารมีมาด้วยกันหลายภพหลายชาติ บางครั้งเราก็จำต้องปล่อยให้เป็นอิสระบ้าง ถ้ามัวแต่ไปต่อต้านกันเองนอกจากจะทั้ง 2 ฝ่าย การเป็นไข้ตัวร้อน หมดสติหรืออาจทำให้ 4 ธาตุไม่สมดุลกันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเท่านั้นเอง
    ธรรมชาติของมนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้แหละธาตุไฟแรงไปก็ร้อน ธาตุดินที่เป็นพื้นฐานอ่อนแอ ก็ทำให้ไม่สบาย คนเรียนกรรมฐานอาจารย์ท่านเลยต้องสอนให้ฝึกปรับธาตุแก้ไขตัวเองให้สมดุลกัน

    ดวงจิตของเรามี 121 ดวง ดวงจิตสามารถแตกสลายได้ (สังเกตคนที่นั่งสมาธิแบบผิดๆๆ ไม่มีอาจารย์แนะก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้ดวงจิตแตก ควบคุมตัวเองไม่ได้กลายเป็นคนบ้าไป) เพราะไม่มีอะไรคงทนถาวร แต่แตกได้ก็ประกอบใหม่ได้ (อาจารย์เคยบอกว่าการนั่งกรรมฐานรวมจิตก็เป็นอีกวิธีหนึ่งขอบารมีครูบาจารย์ช่วยเหลืออีกทาง)..อย่างที่คุณว่านั่นแหละเราสามารถซ่อมแซมจิตตัวเองได้
    ในกรณีซ่อมไม่ไหวเพราะโดนผู้ที่มีบารมีสูงกว่าทำร้ายเอาก็ต้องใช้อธิษฐานจิตขอบุญบารมีที่เคยสั่งสมมา+ดวงจิตอื่น (อาจเป็นเกจิอาจารย์ที่ท่านล่วงลับไปแล้ว หรือสายเทพที่ท่านดูแลอยู่อาจจะงานยุ่งช่วยไม่ทันก็มี) ที่มีความใกล้เคียงกันมาทดแทนหรือส่งพลังทำการช่วยเหลือต่อไป (สังเกตุว่าเวลาทะเลาะกันทีไร ข้าก็เก่ง ข้าก็ศิษย์มีครู จุดธูปกันเป็นกำอาจารย์ท่านไม่ยอมช่วยก็มีเพราะศิษย์ตัวเองทำผิด)
    ขออย่าได้ใช้วิธีการควบคุมหรือบังคับโดยคำสั่งเพราะเป็นบาป (บางคนมีพลังจิตสูงใช้จิตควบคุมคน เทพ มาร ได้ก็มี) ดังนั้นการเจรจาต่อรองให้มันรู้กันไปเลยใครเป็นใครจะได้ไม่ต้องสู้กันเองก็จะเป็นวิธีที่ดีกว่า สันติวิธีที่เขาเรียกกัน

    บางคนอ่านแล้วอาจเข้าใจยากหรือไม่เข้าใจเลย มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคนที่เข้าใจคือคนที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2010
  3. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    คุณสมรปราง ครับ
    เมื่อไร จะมาเยี่ยมเยียนกันบ้างจ๊ะ ณ เคหะสถานเรือนไทย
     
  4. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ขอถามแบบคนโง่ๆนะว่าดวงจิตมี121ดวงแล้วดวงไหนไปนิพพาน
    ดวงจิตที่111ระหว่างนอนหลับลอยไปพบพระอริยะเจ้าฟังธรรมแล้วเข้าสู่อรหัตตผล อีก120ดวงจะทำอย่างไร
    เกิดดวงที่47 ไปแย่งเมียคนธรรพ์แล้วดวงไหนต้องรับวิบากกรรม

    อย่าเอาเรื่องดวงจิตไปปนกับเจตสิกเลยครับ
    กลับตัวกลับใจเถอะครับ ยังไม่สายเกินไป
    การให้ความรู้ผิดๆทำให้คนอ่านเกิดมิจฉาทิษฐิเป็นบาปมหันต์ เพราะไปปิดกั้นทางนิพพานของคนที่หลงเชื่อ
     
  5. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ชอบมากครับ ผมก็เคยสงสัยเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่สงสัยแต่ปล่อยแล้วเพราะเกินภูมิตัวเองครับ

    จิเจรุนิ พระอภิธรรม7คัมภีร์ พระพุทธองค์ไม่ได้โปรดแสดงแก่พระสาวกและมนุษย์เพราะเกินกว่าจะเข้าใจ ต้องเทพกับเทพคุยกันอ่ะครับ(เค้าว่ากันตามนั้นอ่ะครับ)

    เหมือนกับถามหัวใจพระปาฏิโมกข์ แม้ว่าพระวินัย จะล่วงมาถึง2500 กว่าปี มีทั้งโลกะวัชะ เสขียวัตร เกิดขึ้นหลังสังคายนามากมาย พระจีนว่าฉันเหล้าได้แต่ไม่กินมังสะ พระไทยบอกว่าเหล้าเป็นเมรัยแต่เนื้อสัตว์ฉันได้ เลยไม่รู้ว่าพระฝ่ายไหนจะเคร่งครัดในพระวินัยกันแน่ แต่เมื่อดูปาฏิโมกข์มากมาย ท้ายที่สุดก็เหลือแค่ ทําดี เว้นชั่ว ทําจิตใจให้ผ่องใจ แค่นี้หล่ะก็คือมีศิลอันบริสุทธิ์แล้ว จะกินเหล้าหรือกินเนื้อก็ไม่ได้กระทบศิล

    เรื่องจิตก็เหมือนกันในที่สุดแล้วที่ว่ามี 120 กว่าดวงถ้าเช่นนั้นเวลาวิปัสนาเวลาสมาธิจะเพ่งจะจับจะกําหนดจิตดวงไหนหล่ะ เพราะมันก็มีแค่จิตเดียวที่เวลาทํางานมันทํางานจิตเดียว ดับ เกิด ดับ เกิด ไปพิจรณาตามอภิธรรมทํามัยให้มายมาย

    ผมไม่เคยเรียนพระอธิธรรมอ่ะครับแค่อ่านผ่านๆก็พอรู้ว่าเกินกว่าปัญญาจะรู้จริง
    แต่พอจับใจความได้ว่าจิตมันมี 100กว่าดวงก็จริง แต่เวลาทํางานมันทํางานทีละดวงนะครับ ไม่ใช่ ดวงนี่ไปกินข้าว ดวงนั้นไปเข้าห้องนํา มันจะต้องดับก่อนจิตอีกดวงมันถึงจะทํางาน เวลาพิจรณาก็พิจรณาแค่จิตเดียว

    ผมต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่พระ และก็ไม่ได้เปิดตํารามาพิม ความผิดพลาดจึงมีสูงมากเพียงแค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆนะครับ ขออภัยครับ
     
  6. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    เห็นด้วยกับ อาภากร คะ ขออนุโทนากับ คุณด้วยคะ
     
  7. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ขอบคุณทุกๆ ท่าน ต่อข้อคิดเห็นดีๆ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฎิเวธ ก็ขอแสดงความเห็นไว้ในโอกาสนี้บ้างนะครับ

    หากรู้ปริยัติเพียงอย่างเดียว ก็เหมือนดั่ง ลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย
    หากรู้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ก็เเหมือนดั่ง งมเข็มในมหาสมุทร
    แต่หากรู้ทั้งปริยัติและปฏิบัติ ก็เหมือนดั่งคนรู้แจ้ง

    ในอดีตมุนษย์พยายามค้นหาชีวิตอันเป็นอมตะ ในรูปแบบต่างๆ เพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้นจากพันธการ ทุกศาสนาก็มีวิถีมุ่งเน้นในรายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็คือ เป้าหมายเดียวกัน

    คติศาสนานิยม กลับเป็นม่านบังตาให้ความสันติและสัจจะจางหายไป แต่หากเราเข้าใจด้วยสัญชาตญาณจากจิตใต้สำนึก ก็จะพบว่าเป้าหมายนี้ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู่ที่จิตเรานี้แหละ เปรียบเหมือนดั่ง ปลาแซลมอลที่ต้องแหวกว่ายในมหานที เพื่อข้ามขอบจิตใจด้วยสัญชาติญาณไปให้ถึงฝั่งหมาย ทำไมปลาแซลมอลเหล่านี้ จึงรู้แหล่งกำเนิดอันเป็นที่มาของจิตและชีวิต แล้วสัญชาติญาณเหล่านี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

    ในทำนองเดียวกัน มนุษย์มีสัญชาติญาณในตัวตนทุกๆ รูปนาม แล้วเหตุอันใดสัญชาติญาณเหล่านี้กลับหายไปไหน? หรือเราถูกจิตสำนึกที่ต้องผ่านตรรกะเชิงเหตุและผลเป็นตัวกีดกั้น เรามักจะพูดเสมอเราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น แต่จิตใจกลับเสื่อมถอยลงมากยิ่งด้วยเช่นกัน

    เรามักจะเป็นนักปฏิบัติธรรมตามกระแสนิยม มากกว่าที่จะปฏิบัติด้วยสัญชาติญาณของตนจริงๆ จึงเป็นเหตุให้เราเป็นผู้ตามดั่งขอบกระดั้ง มากกว่าที่จะค้นหาตัวตนที่แท้จริง

    จากประสบการณ์ที่ค้นพบทั้งจากตัวตนและจากผู้แสวงหาจิตวิญญาณ มีรูปแบบที่แตกต่างกัน บ้างก็เพราะมีความทุกข์กายทุกข์ใจ บ้างก็เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำพา บ้างก็มาจิตใต้สำนึกนำพา สิ่งเหล่านี้มีทั้งที่เหนือสามัญวิสัย เล่าให้ใครก็ยากที่จะเชื่อ โดยเฉพาะคนที่มีญาณบารมีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำพา ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัตตังทั้งสิ้น

    แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาได้อย่างไร? ทุกศาสนาย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นองค์ประกอบหลักเสมอ ไม่มีศาสนาใดไม่มีสิ่งนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพหรือสัญญลักษณ์ก็ตาม บางคนมักจะเปรียบเทียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าของตนประเสริฐสุด ดีสุด ซึ่งเป็นความคิดที่ปราศจากการกลั่นกรองและขาดประสบการณ์การเข้าถึงสิ่งเหล่านี้จริงๆ และมักชอบดูถูกดูแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะต่างๆ ทั้งกายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม ย่อมนำพาความหายนะและบททดสอบที่แยบยลให้กับตนเองอย่างคาดไม่ถึง

    เมื่อสัญชาติญาณอันมีญาณเป็นจิตอันเป็นธาตุรู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า มีศีลเป็นตัวบ่มเพาะจิต มีธาตุเป็นตัวจุดประกาย มีปราณเป็นพลัง มีญาณเป็นบารมี มีบารมีเพื่อการบรรลุและหลุดพ้นจากพันธนาการ

    คุณคิดว่า คุณมี สัญชาติญาณ ที่ต้องการจะกลับไปยังแหล่งเดิมหรือเปล่า? (จิตใหญ่)


    คุณคิดว่า คุณพร้อมแล้วเพื่อสิ่งนี้?


    คุณคิดว่า หากคุณเป็นปลาแซลมอล ...(ให้เลือก)

    ก) คุณจะแหวกว่ายไปให้ถึงแหล่งกำเนิด คุณจำเป็นมีกำลังและปัญญาขนาดไหนจึงเหมาะสม? (หากกำลังและปัญญาไม่พอ คุณเจอวิบากกรรมเล่นงานตายก่อนถึงก็ได้ครับ)

    2) คุณจะนำพาญาติพร้องทั้งหลายไปให้ถึงฝั่งหมาย แล้วก็ว่ายกลับมาอีกครั้ง เพื่อนำพาเขาไปให้ถึงฝั่งอีก พาไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่?

    คุณจะเลือกแบบไหนดีครับ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2010
  8. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    กลัวโดนเจ้าที่รุมนะ พูดเล่นจ้า
    คราวหน้าจะหาโอกาสไปจ้า คิดถึงตัวเองนะ จุ๊บๆๆ
     
  9. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    คนส่วนมากก็มักจะยึดติดกับคำเป็นหลักดวงจิตเอยเจตสิกเอย พระอาจารย์เคยเล่าว่าคนสมัยก่อนไม่ได้เรียนกัน อ่านหนังสือก็ไม่ออกจะนับประสาอะไรกับพระป่าที่ธุดงค์ไปมานั่งอ่านพระไตรปิฏกกัน ทุกองค์ใช้วิธีนั่งกรรมฐานและปฏิบัติบูชากันหมด ท่านก็พูดเสมอว่าตัวเราไม่ใช่ของเราดวงจิตนั้นก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าจะให้กลับตัวกลับใจก็เป็นการทวนคำสอนของอาจารย์ข้าพเจ้าเอง

    การให้ความรู้ผิดๆ หรือถูกขึ้นอยู่กับคนอ่านนำไปพิจารณาและจะเกิดสัมมาทิฐิหรือเกิดมิจฉาทิฐินั้นเนื่องมาจากปัญญาที่ได้มาจจากบุญบารมีที่สั่งสมมา
    ไม่ได้ใครพูดอะไรก็เชื่อ...พระอาจารย์สอนช่วงแรกๆๆ อยู่ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อเลย มัวแต่ไป Oh God อยู่......สั่งให้ปฏิบัติเอาอย่าได้ยึดติดกับตำรามากนัก บางสิ่งบางอย่างก็รู้ได้เฉพาะตน
     
  10. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ..มนุษย์เพราะเกินกว่าจะเข้าใจ ต้องเทพกับเทพคุยกันอ่ะครับ(เค้าว่ากันตามนั้นอ่ะครับ)
    ก็ว่าไปตามนั้นแหละ

    ...ท้ายที่สุดก็เหลือแค่ ทําดี เว้นชั่ว ทําจิตใจให้ผ่องใจ แค่นี้หล่ะก็คือมีศิลอันบริสุทธิ์แล้ว จะกินเหล้าหรือกินเนื้อก็ไม่ได้กระทบศิล
    ..นั่นแหละเพราะท่านตรัสรู้ล่วงหน้าแล้วว่าหลังปรินิพพานต้องเกิดการแตกแยกไม่จะเป็นนิกายเอย อาจารย์ของใครก็อาจารย์ของคนนั้น สอนอะไรก็ทำตามกันมา คนโน้นถูก คนนี้ผิด เพราะพวกเรายึดติดกันเกินไปก็เท่านั้นเอง จริงๆๆ บางสิ่งบางอย่างวางบ้างก็ไม่หนักดีเหมือนกัลย์

    เรื่องจิตก็เหมือนกันในที่สุดแล้วที่ว่ามี 120 กว่าดวงถ้าเช่นนั้นเวลาวิปัสนาเวลาสมาธิจะเพ่งจะจับจะกําหนดจิตดวงไหนหล่ะ เพราะมันก็มีแค่จิตเดียวที่เวลาทํางานมันทํางานจิตเดียว ดับ เกิด ดับ เกิด ไปพิจรณาตามอภิธรรมทํามัยให้มายมาย
    ดังนั้นถึงท่านถึงสอนให้พิจารณากายตัวเองว่าธรรมความรู้อยู่ในร่างที่กว้างยาวเท่ากับ...ก็ต้องจับอยู่ที่อารมณ์เดียวคือนิพพาน จะไปพิจารณาอภิธรรมมากมายให้ปวดหัวทามไม?

    ผมไม่เคยเรียนพระอธิธรรมอ่ะครับแค่อ่านผ่านๆก็พอรู้ว่าเกินกว่าปัญญาจะรู้จริง
    แต่พอจับใจความได้ว่าจิตมันมี 100กว่าดวงก็จริง แต่เวลาทํางานมันทํางานทีละดวงนะครับ ไม่ใช่ ดวงนี่ไปกินข้าว ดวงนั้นไปเข้าห้องนํา มันจะต้องดับก่อนจิตอีกดวงมันถึงจะทํางาน เวลาพิจรณาก็พิจรณาแค่จิตเดียว

    ผมต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่พระ และก็ไม่ได้เปิดตํารามาพิม ความผิดพลาดจึงมีสูงมากเพียงแค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆนะครับ ขออภัยครับ

    ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อ่านอภิธรรมเหมือนท่านเช่นกัน ตู้ก็ตั้งอยู่แต่ก็ฝุ่นจับเขรอะเลยล่ะก็เพราะอ่านแล้วจิตก็หลับเลยไม่อ่าน แต่ก็รู้ว่าเจตสิกถูกใช้เรียกอยู่ในนั้นจริงๆๆ พวกเราเรียนสายพระธุงค์เลยเรียกกันว่าจิต (ดวงจิต)ที่รับรู้แยกกันไปเพื่อชดใช้กรรมแต่ละภพแต่ละชาติ เราทำผิดกันไปตั้งเท่าไรไม่รู้ต่เท่าไรสัญญาเดิมแรงก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง พอได้ร่างใหม่ (เกิดใหม่) กว่าจะนึกออกก็ต้องพยายามนั่งสมาธิเอาและเพราะต้องอาศัยร่าง (ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4) นั้นเป็นที่พักพิงและร่วมกันใช้กรรม
    อย่างที่เขาว่ารวมกันเราอยู่แยกกันก็ทนเอ๋อ (Error) นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องไปนิพพานแค่ดวงเดียวค่ะ <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2010
  11. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ผมได้พิจารณาแล้วว่าการที่ผมจะไปทุ่มเถียงกับท่านคงจะไม่เกิดประโยชน์อันใด
    ท่านเชื่อสิ่งใดก็จงเชื่อต่อไปเถอะครับ

    คำที่อยากฝากไว้ขบคิดก็คิอ
    เราสามารถเช็คผลจากการปฏิบัติของเราได้ด้วยตัวเองว่า
    เรานั้นทุกข์น้อยลงหรือไม่
    เราเริ่มเห็นโลกตามความเป็นจริงหรือยัง
    แนวทางปฏิบัติของเราทำให้เรา รู้ ตื่น เบิกบาน และอิสระจากเครื่องร้อยรัดหรือไม่

    ขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  12. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ดีแล้วล่ะที่ท่านไม่ทุ่มเถียงกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าค่อยชอบทะเลาะกับใคร
    แต่อยากให้ท่านกรุณากลับไปอ่านข้อความเดิมอีกครั้งในส่วนที่ข้าพเจ้ากลับไป Hilight เป็นสีแดงเอาไว้

    เราเริ่มเห็นโลกตามความเป็นจริงหรือยัง..
    เริ่มเห็นแบบแคบๆๆ เมื่อเทียบกับชีวิตของตนเองเนี่ยแหละ
    เราเฉียดตายแล้วถึง 3 ครา
    ครั้งแรกเด็กเกินไป จำไม่ค่อยได้ไปไปๆๆ มาๆๆ ก็ลืมมันเอาดื้อๆๆ พอนั่งสมาธิก็เลยย้อนได้เหมือนเราดูหนังสมัยเก่าเป็นภาพขาวดำ พอให้เห็นว่าใครช่วยไว้

    ครั้งที่ 2 โตแล้วขอชีวิตไว้บอกว่าจะขยันทำบุญให้ทานเป็นพื้นฐาน พอให้เห็นได้อีกว่าใครอีกคนช่วยไว้เหมือนกัน

    ส่วนครั้งที่สามนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย..ก็ใกล้เข้ามาแล้ว..ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย
    แนวทางปฏิบัติของข้าพเจ้าอาจไม่ได้ดีเด่อะไร ไม่ได้เรียนอภิธรรมมา นั่งสมาธิก็ไม่ค่อยเก่งและยังตัดกิเลสไม่ได้เพราะยังกลัวความตายอยู่

    ข้าพเจ้าก็ได้พยายามฝึกปฏิบัติเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะทำให้ตัวเองจะเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดให้ได้ตามที่ท่านกล่าวนั่นแหละ สาธุ...
     
  13. prapanuch

    prapanuch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +853
    ชมรมนักปฏิบัติ ละคนมีองค์

    เป็นสมาชิกใหม่ อ่านแล้วสนใจอยากเข้าร่วม แต่อยู่ไกลเกิน จึงขอเล่าประสบการณ์อันน้อยนิดนะค่ะ มันได้เกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่คาดคิด ตอนแรกก็รับไม่ได้ ตอนหลังจึงเกิดการท้าทายกันขึ้นระหว่างองค์ โดยการแข่งกันสวดมนต์ ใครจะชนะ เพราะไม่อยากเข้าทรง อยากเห็นเอง รู้เอง ว่างั้นเถอะ ปรากฎว่า ยิ่งสวดมนต์เจ้ากรรมนายเวรค่อยๆหายไปอโหสิให้ไปเรื่อยๆทุกๆปีทำบุญอุทิศให้ก็ทยอยหายไป ตอนนี้เหลือไม่มาก ก็จะทำให้ตลอดไป แต่ที่ยังอยู่คือองค์ ยิ่งสวดมนต์ยิ่งเข้มแข็งมีพลังสามารถช่วยเหลือร่างได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด โดยมีข้อแม้ว่า ท่านช่วยเรา เราช่วยท่านแลกเปลี่ยนกัน ขอบคุณที่มีองค์ เพราะไม่มีท่านเราคงไม่วันนี้ เพราะครั้งแรกที่มาท่านบอกว่าท่านบอกว่าจะทำให้ร่างมีในสิ่งที่มนุษย์อยากมี เป็นในสิ่งที่มนุษย์อยากเป็น ได้ในสิ่งที่มนุษย์อยากได้ และขณะนี้ ดิฉันก็สมปรารถนาทุกประการ ตามที่ใจคิดไว้ว่าจะไม่เป็นร่างทรงหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือให้คนมารับขันธ์เพื่อเป็นบริวาร หรือทุกอย่างที่ขัดกับศีลธรรม ทุจริต เป็นบาป ไม่เอาทั้งนั้น เพราะการปฎิบัติทำให้เห็นวิญญานมีจริง บาปบุญมีจริง ตายแล้วไม่สูญ เพราะฉะนั้นคนใหนที่รู้ตัวว่ามีองค์ ขอให้พยายามถือศีลห้า สวดมนต์ให้ได้ทุกวัน แล้วท่านจะเจริญค่ะ
     
  14. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ลูกศิษย์ผมก็เป็นคล้ายๆอย่างคุณนี่แหละ
    แต่ตอนนี้เขามีความสุขแล้ว
    เห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว
    ไม่กลัวตายแล้ว ไม่อาลัยในลูกผัวแล้ว
    ขอให้คุณเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
    เวลาเดินทาง เราควรจะรู้เสียก่อนว่าจะมุ่งหน้าไปไหน
    มีแผนที่ที่ถูกต้อง
    ถ้าเดินดุ่มๆอาศัยแค่ความมุ่งมั่นอย่างเดียว
    จะพาลเข้ารกเข้าพงไปเปล่าๆ
    ถ้าเราหลงทางไปคนเดียว เราเดือดร้อนเองไม่เป็นไรหรอกครับ
    ถ้าเราเกิดนำพาคนให้หลงทางไปด้วยกับเรา มันน่าเศร้านะครับ
    คุณภารดรภาพกรุณาอย่าเข้าใจผมผิดไปนะครับ
    สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่
    จะเป็นประโยชน์กับคนที่มีจริตมาทางนี้เหมือนคุณไม่มากก็น้อย
    คือได้ปฏิบัติธรรม และค้นหาตัวเองให้เจอ
    ที่เข้ามาสอดในกระทู้ของคุณ
    เพราะไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องจิต จะพาคนให้หลงทาง
    การที่จะฝึกเทวดานุสตินั้นเป็นหนึ่งในกรรมฐาน40
    คุณจะมั่นใจว่าเทพแบ่งกำลังลงมาช่วยนี้ทำได้
    แต่ถ้าหลงไปว่า จิตเรามีตั้ง122ดวงแล้วแตกออกไปทำโน่นทำนี้แล้ว
    มันจะพาลทุกข์ใจเปล่าๆ
    ยกตัวอย่างว่ามีคนมาทักเราว่าเมื่อคืนจิตดวงที่57ของเราไปเผาวิมานของจิตดวงที่68ของเขาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    เราจะไม่ทุกข์ใจไปเปล่าๆหรือว่า ตูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรด้วยเลย
    หรือเราไม่คอยวิตกจริตไปหรือว่า จิตทั้ง122ของตูจะเผลอไปทำอกุศกรรมอะไรไว้บ้าง
    ถ้าคุณภารดรภาพขัดเคืองใจในไมตรีจิตของผมที่ให้ความเห็นในเรื่องจิตนี้ ต้องกราบขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะครับ
     
  15. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    แค่คุณ nuchcha คิดสิ่งดีๆ นี้ ก็เกิดกุศลกรรมแล้วครับ ขออนุโมทนา

    ขออนุโมทนา อานิสงค์ของการแผ่เมตตา ย่อมนำความศิริมงคลมาให้ครับ

    ต้องขอขอบคุณและระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตนของท่าน ที่ได้มาปกปักรักษาตัวท่าน ย่อมเป็นเนื้อนาบุญ ย่อมแสดงว่าคุณเป็นคนมีคุณธรรม พระหรือเทพเทวัญจึงได้มาคุ้มครองคุณ

    ท่านอยู่เหนือสภาวะกาลเวลา ไร้รูป ไร้มิติ พระองค์ท่านคงไม่ต้องการแลกเปลี่ยนด้วยเงื่อนไขใดๆ จากคุณหรอกครับ ขอให้เราปฏิบัติบูชาและระลึกคุณงามความดีของพระองค์ท่านก็เพียงพอแล้ว พระองค์ท่านเปรียบเหมือนบิดามารดาที่คอยดูแลลูกน้อย จนกว่าเราจะแข็งแรงพอที่จะสามารถช่วยตัวเองได้ด้วยพลังแห่งชีวิตและจิตแห่งปัญญาญาณ

    การรับใช้ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นร่างทรงเสมอไป เราสามารถสร้างบารมีและเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ได้ในรูปแบบอื่นๆ อาทิ สอนธรรมะ สอนนั่งสมาธิ นำคนเข้าวัด นำคนไปแสวงบุญ หรือแม้แต่เจริญไตรสิกขา เป็นต้น

    สิ่งที่คุณกล่าวมาเป็นการสร้างบารมีพื้นฐาน ในรูปแบบการเจริญไตรสิกขา เท่านั้น ยังไม่ได้สร้างบารมีอย่างกลาง หรืออย่างแก่เลย หากพื้นฐานคุณมีพอแล้ว ทำไมไม่คิดที่จะสร้างบารมีให้มันสูงขึ้นไปอีกละ ทางหนึ่งน่าจะพอไปได้ ก็คือการเป็นผู้นำจิตวิญญาณในการสร้างกุศล ก็แล้วแต่จริตจะนำพาครับ

    ขออนุโมทนา
     
  16. mafai2506

    mafai2506 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +11
    เรียน อาจารย์ภราดรภาพ
    ผมขออนุญาตฝากตัวเป็นศิษย์ท่านผู้รู้ทุกท่านครับ เป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจแต่อาจจะช้าไปแล้วหรือเปล่าไม่ทราบ สนใจที่จะไปร่วมวันที่ 26 กันยายนนี้ ไม่ทราบจะได้หรือไม่ครับ ด้วยความเคารพทุกท่าน
     
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ยินดีต้อนรับครับ วันเวลาการร่วมกิจกรรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์ จะแจ้งผ่านกระทู้นี้ เร็วๆ นี้ครับ สำหรับคุณจะแจ้งผ่านทาง PM ให้อีกทราบอีกครั้งครับ
     
  18. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ตั้งใจจะไปตั้งแต่เดือนก่อน 26 นี้ก็ตั้งใจจะไปให้ได้ 3 อาทิตย์ก่อนตําหนักใหญ่แจ้งข่าวงานไหว้ครูประจําปี วันที่ 22 เดือนเดียวกัน งานทั้งหมดในวันนี้นเลยต้องถูกปรับไปเป็นวันที่ 26 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์และงาน อ.ภราดร ถ้าพลาดไปร่วมงานก็ขออภัยครับ
     
  19. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ของผม ฤาีษี108 และพระคเนศ
     
  20. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    รับทราบครับ อย่างไรก็ตาม ก็ขออนุโมทนาบุญกุศลที่จะได้สร้างในครั้งนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...