เรื่องราวอารยธรรมวัฒนธรรมตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกิณกะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มุ่งเต็มใจ, 28 กรกฎาคม 2010.

  1. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr> <td valign="middle"> ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดา (นะโม ตัสสะฯ)
    « เมื่อ: ๑๓ ก.ย. ๕๐, ๐๕:๕๐:๒๓ »
    </td> <td style="font-size: smaller;" valign="bottom" align="right" height="20">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" width="100%" size="1"> [​IMG]

    มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน
    เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์
    มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ
    พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า
    "นะโม" หมายถึง
    พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

    กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา
    ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดา
    ว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก
    จนทำให้อสุรินทราหูอดทนรออยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม
    แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา
    พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา
    แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า
    "ตัสสะ" แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

    เมื่อ ครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ
    พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร
    จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า
    "ภะคะวะโต" แปลว่า พระผู้มีพระภาค
    ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

    อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น
    ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค
    พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม
    บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า
    "อะระหะโต" แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

    สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม
    หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ
    "สัมมาสัมพุทธัสสะ"
    หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด
    รวมเป็นบทเดียวว่า
    "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"
    แปลโดยรวมว่า
    ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    ขอขอบพระคุณที่มาที่มาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    คราเคน

    [​IMG]

    คราเคน (Kraken)
    เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว
    มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ
    ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้
    หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว

    [​IMG]

    คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์
    เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway"
    ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า
    มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

    เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

    นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิด หนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด
    จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง
    แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่า
    วาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

    [​IMG]

    ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid)
    โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้ าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า
    หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน
    ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น

    คราเคนในโลกบันเทิง
    สเกลของคราเคน ในการ์ตูน เซนต์เซย่า

    * นิยายวิทยาศาสตร์ "ใต้ทะเล 20,000 โยชน์" ของ จูนส์ เวิร์น
    * ภาพยนตร์แฟนตาซี "โจรสลัดแห่งคาริบเบียน ภาค2(Pirates of the Caribbean)"
     
  3. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    <script type="text/javascript"> var fsi = $('fullSizedImage'); var onFsi = function(event) { pageTags.addTagListToImg('fullSizedImage', [ ]); Event.stopObserving(fsi, 'load', onFsi); } Event.observe(fsi, 'load', onFsi); </script><script type="text/javascript">(function($) { // attach $(document).ready(function() { var containerMain = $('#containerMain'); if(!photobucket.browser.isIE6){ var primaryMediaConfig = new Array(); primaryMediaConfig['codeURL'] = 'http://i965.photobucket.com/albums/ae138/kgrissam/IMG_9721.jpg'; primaryMediaConfig['codeBrowseURL'] = 'http://s965.photobucket.com/albums/ae138/kgrissam/?action=view&current=IMG_9721.jpg'; primaryMediaConfig['codeHTML'] = '[​IMG]'; primaryMediaConfig['codeIMG'] = '[​IMG]'; var tags = new Array(); var i = 0; var urls = {"start":90,"media":{"91":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9442.jpg&","offset":91,"filename":"IMG_9442.jpg","mediaTitle":"Megan relaxing on the verandah","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9442.jpg","type":"image","xid":"fb04c3de62241b8dbda9a73a6c913786cf0e7f218e15d7b18fd09848e09050ed","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9442.jpg"},"92":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9606.jpg&","offset":92,"filename":"IMG_9606.jpg","mediaTitle":"Rain at sea","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9606.jpg","type":"image","xid":"abaca94e86e04b3f01195870d69a759cf14f3f6aa49c1e4882c8fcd9b13ba740","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9606.jpg"},"93":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9680.jpg&","offset":93,"filename":"IMG_9680.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay (Disney's private island)","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9680.jpg","type":"image","xid":"5887acc03afb858f72e76dc2aed54ae5b0035309b173ef723efc5d3933a7e377","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9680.jpg"},"94":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9683.jpg&","offset":94,"filename":"IMG_9683.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9683.jpg","type":"image","xid":"245f4eefeda46aabefa0bcb4ff58bb3ce7b418912c9852e279b7687d24ed227a","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9683.jpg"},"95":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9685.jpg&","offset":95,"filename":"IMG_9685.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9685.jpg","type":"image","xid":"d1e8faf3e94a6ea4953d79946c3b069f1d01bed607be7ab228f5a62558e3dacc","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9685.jpg"},"96":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9702.jpg&","offset":96,"filename":"IMG_9702.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9702.jpg","type":"image","xid":"ef23f7e974017c040c5303a4373cd2321dabeb205a53e2ecc1f55cfc32fc13a6","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9702.jpg"},"97":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9705.jpg&","offset":97,"filename":"IMG_9705.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9705.jpg","type":"image","xid":"ecf5f215ddf4efdc2da526ccfc1b4f9e57b0881b987b4a0da982841520a66c32","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9705.jpg"},"98":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9708.jpg&","offset":98,"filename":"IMG_9708.jpg","mediaTitle":"Castaway Cay","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9708.jpg","type":"image","xid":"de535bb78a39192bc31f67cbf1858d976b4f50addc6ea4cd90c33874ea2cab4e","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9708.jpg"},"99":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9721.jpg&","offset":99,"filename":"IMG_9721.jpg","mediaTitle":"Flying Dutchmen from Pirates of the Caribbean Movie","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9721.jpg","type":"image","xid":"db14f3d5a225246ffc94bbfa81c070fffa9e5dea1e1249ee82c0322d83b49c08","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9721.jpg"},"100":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9720.jpg&","offset":100,"filename":"IMG_9720.jpg","mediaTitle":"Flying Dutchman","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9720.jpg","type":"image","xid":"22d2cc8e924c5da1e4b5deab3fd9d8d65350fc68aa68926cb9e85ce2e83a5fca","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9720.jpg"},"101":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9735.jpg&","offset":101,"filename":"IMG_9735.jpg","mediaTitle":"Daisy","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9735.jpg","type":"image","xid":"eba00ab5af64de1afa14978e27a646666ac5276571ced50eb21729cab4609890","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9735.jpg"},"102":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9770.jpg&","offset":102,"filename":"IMG_9770.jpg","mediaTitle":"towel critter","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9770.jpg","type":"image","xid":"64869eab9362fbca5be4e2edc6a05f458e29c47053a82e334883a4f11f72a6a2","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9770.jpg"},"103":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9766.jpg&","offset":103,"filename":"IMG_9766.jpg","mediaTitle":"Megan and Dillon in the stateroom","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9766.jpg","type":"image","xid":"878379ba0c30f7bbaa1efa6b2ce116b9da3f3cfb240f3cb3d6409e674558f3f4","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9766.jpg"},"104":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_9765.jpg&","offset":104,"filename":"IMG_9765.jpg","mediaTitle":"Construction at Castaway Cay (getting ready for new boats in 2011 and 2012)","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_9765.jpg","type":"image","xid":"35254946ceaabc9004498a6d220459738bb3e26028951283bae8dbe202b24e2d","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_9765.jpg"},"105":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_7325.jpg&","offset":105,"filename":"IMG_7325.jpg","mediaTitle":"Our Stateroom","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_7325.jpg","type":"image","xid":"164adaaf033757a78e954f84671b1a7f8f143b417e6bcadcb20be842b4416590","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_7325.jpg"},"106":{"url":"http:\/\/s965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/?action=view&current=IMG_7337.jpg&","offset":106,"filename":"IMG_7337.jpg","mediaTitle":"Our State Room","username":"kgrissam","directurl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/IMG_7337.jpg","type":"image","xid":"11116a76b795a79c3feacb6761ab2f8fcc1a3ab65aba1b961271e6868a4bea20","thumburl":"http:\/\/i965.photobucket.com\/albums\/ae138\/kgrissam\/th_IMG_7337.jpg"}},"end":106}; containerMain.pbPager({ offset: 99, total: 106, medias: urls.media, type: 'picture', baseURL: 'http://photobucket.com', maxHeight: 540, maxWidth: 600, start: urls.start, end: urls.end, timeout: 7000, clicks: 5, media: primaryMediaConfig, currentTags: new Array() , pageType: "fullview", isLoggedIn: false, staticServer: 'http://static.pbsrc.com', slideshowPlayer: 'http://w965.photobucket.com/pbwidget.swf', themeArray: {"themeId":"13","name":"Classic","displayName":null,"id":null,"userId":null,"creatorUsername":"photobucket_themes","linkCodeVisibility":null,"usageCount":"84,038,292","canSubmit":false,"palette":{"id":"24","name":"Classic","colors":{"bgColor":"#FFFFFF","txtClrDef":"#000000","linkClr":"#0202CC","modClrHdr":"#BDBDBD","modClrHi":"#E3E4E6","modClrBg":"#F7F7F7"},"usageCount":"238423"},"themeCategoryArray":["23"],"border":null,"background":{"outerClass":null,"innerClass":""},"hasThemeThumb":false,"thumbUrl":null,"isFeatured":false,"isSubnav":false,"isShared":true,"isSponsored":false,"isPublic":false,"adArea":null,"isClassicPalette":true,"previewUrl":"\/login?returnUrl=\/previewTheme%2F13"}, defaultHeaderAd: 'http://photobucket.adnxs.com/pt?member=86&inv_code=guest_albums_media-5&redir=http%3A%2F%2Fa.photobucket.com%2Fhserver%2Frandom%3D322779%2Fpageid%3D6215794577%2Farea%3DPB_AL_LO_FULL%2Faamsz%3DBANNER%2Flogin%3DN%2Fptype%3Dfv_image%2Fanprice%3D%7BPRICEBUCKET%7D&size=728x90', defaultMrecAd: 'http://photobucket.adnxs.com/pt?member=86&inv_code=guest_albums_media-5&redir=http%3A%2F%2Fa.photobucket.com%2Fhserver%2Frandom%3D771504%2Fpageid%3D6215794577%2Farea%3DPB_AL_LO_FULL%2Faamsz%3DRECTANGLE%2Flogin%3DN%2Fptype%3Dfv_image%2Fanprice%3D%7BPRICEBUCKET%7D&size=300x250', customHeaderAdUrl: false, customMrecAdUrl: false, requiredFlashVersion: 8, navTakeover: false }); // move focus to next button after ad refreshes $('iframe').load(function() { $('.nextAjax')[0].focus(); }); } containerMain.pbImageInfo({ url: "http://i965.photobucket.com/albums/ae138/kgrissam/IMG_9721.jpg", cached: true }); }); })(jQuery);</script>Flying Dutchmen from Pirates of the Caribbean Movie
     
  4. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    Flying Dutchman

    From Wikipedia, the free encyclopedia

    Jump to: navigation, search
    For other uses, see Flying Dutchman (disambiguation).
    <table class="metadata plainlinks ambox ambox-content"><tbody><tr><td class="mbox-image">[​IMG]
    </td><td class="mbox-text">This article needs additional citations for verification.
    <small>Please help improve this article by adding reliable references. Unsourced material may be challenged and removed. <small>(March 2009)</small></small></td></tr></tbody></table><table class="metadata plainlinks ambox ambox-style"><tbody><tr><td class="mbox-image">[​IMG]
    </td><td class="mbox-text">This article may require cleanup to meet Wikipedia's quality standards. Please improve this article if you can. <small>(March 2009)</small></td></tr></tbody></table>[​IMG] [​IMG]
    The Flying Dutchman by Albert Pinkham Ryder


    The Flying Dutchman, according to folklore, is a ghost ship that can never go home, doomed to sail the oceans forever. The Flying Dutchman is usually spotted from far away, sometimes glowing with ghostly light. It is said that if hailed by another ship, its crew will try to send messages to land or to people long dead. In ocean lore, the sight of this phantom ship is a portent of doom.
    <table class="toc" id="toc" sizset="0" sizcache="0"><tbody sizset="0" sizcache="0"><tr sizset="0" sizcache="0"><td sizset="0" sizcache="0">Contents

    [hide]
    </td></tr></tbody></table><script type="text/javascript">//<![CDATA[if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "show"; var tocHideText = "hide"; showTocToggle(); } //]]></script>[edit] Origins

    Versions of the story are numerous in nautical folklore and related to medieval legends such as Captain Falkenburg, who was cursed to ply the North Sea until Judgment Day, playing dice with the Devil for his own soul.
    The first reference in print to the ship itself appears in Chapter VI of George Barrington's Voyage to Botany Bay (1795):
    I had often heard of the superstition of sailors respecting apparitions, but had never given much credit to the report; it seems that some years since a Dutch man of war was lost off the Cape of Good Hope, and every soul on board perished; her consort weathered the gale, and arrived soon after at the Cape. Having refitted, and returning to Europe, they were assailed by a violent tempest nearly in the same latitude. In the night watch some of the people saw, or imagined they saw, a vessel standing for them under a press of sail, as though she would run them down: one in particular affirmed it was the ship that had foundered in the former gale, and that it must certainly be her, or the apparition of her; but on its clearing up, the object, a dark thick cloud, disappeared. Nothing could do away the idea of this phenomenon on the minds of the sailors; and, on their relating the circumstances when they arrived in port, the story spread like wild-fire, and the supposed phantom was called the Flying Dutchman. From the Dutch the English seamen got the infatuation, and there are very few Indiamen, but what has some one on board, who pretends to have seen the apparition.<sup class="reference" id="cite_ref-0">[1]</sup>
    According to some sources<sup class="Template-Fact" title="This claim needs references to reliable sources from April 2010" style="white-space: nowrap;">[citation needed]</sup>, the 17th century Dutch captain Bernard Fokke is the model for the captain of the ghost ship. Fokke was renowned for the speed of his trips from Holland to Java and suspected of being in league with the devil. However, the first version in print, in Blackwood's Magazine for May 1821, puts the scene as the Cape of Good Hope:
    She was an Amsterdam vessel and sailed from port seventy years ago. Her master’s name was Van der Decken. He was a staunch seaman, and would have his own way in spite of the devil. For all that, never a sailor under him had reason to complain; though how it is on board with them nobody knows. The story is this: that in doubling the Cape they were a long day trying to weather the Table Bay. However, the wind headed them, and went against them more and more, and Van der Decken walked the deck, swearing at the wind. Just after sunset a vessel spoke him, asking him if he did not mean to go into the bay that night. Van der Decken replied: ‘May I be eternally damned if I do, though I should beat about here till the day of judgment. And to be sure, he never did go into that bay, for it is believed that he continues to beat about in these seas still, and will do so long enough. This vessel is never seen but with foul weather along with her.<sup class="reference" id="cite_ref-Music_with_Ease_1-0">[2]</sup>
    There have been many reported sightings in the 19th and 20th centuries. One was by Prince George of Wales (later King George V of the United Kingdom). During his late adolescence, in 1880, with his elder brother Prince Albert Victor of Wales (sons of the future King Edward VII), he was on a three-year voyage with their tutor Dalton aboard the 4,000-tonne corvette Bacchante. Off Australia, between Melbourne and Sydney, Dalton records:"At 4 a.m. the Flying Dutchman crossed our bows. A strange red light as of a phantom ship all aglow, in the midst of which light the masts, spars, and sails of a brig 200 yards distant stood out in strong relief as she came up on the port bow, where also the officer of the watch from the bridge clearly saw her, as did the quarterdeck midshipman, who was sent forward at once to the forecastle; but on arriving there was no vestige nor any sign whatever of any material ship was to be seen either near or right away to the horizon, the night being clear and the sea calm. Thirteen persons altogether saw her...At 10.45 a.m. the ordinary seaman who had this morning reported the Flying Dutchman fell from the foretopmast crosstrees on to the topgallant forecastle and was smashed to atoms."<sup class="reference" id="cite_ref-2">[3]</sup>

    Flying Dutchman - Wikipedia, the free encyclopedia
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    ฟันธง“พอล”ฟลุ๊คทายผลบอลโลกถูก

    วันพฤหัสบดี ที่ 08 กรกฎาคม 2553 เวลา 18:09 น


    <table class="x-tabs-strip" id="ext-gen5" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr id="ext-gen4"><td class=" on" id="ext-gen10" style="width: 72px;">เนื้อหาข่าว</td></tr></tbody></table>

    [​IMG]

    “ดร.ธรณ์”เผยหมึกยักษ์”พอล” เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด ส่วนการทายผลฟุตบอลถูกฟันธงเพราะฟลุ๊ค
    เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดถึงสายพันธุ์ปลาหมึก หลัง “หมอพอล”ปลาหมึกวัย 2 ปี ทายผลฟุตบอลถูกหลายคู่ ว่า ปลาหมึกเป็นสัตว์ตระกูลหอย ที่มีการพัฒนาและมีความฉลาดสูงสุดในบรรดาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยปลาหมึกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด 500 สายพันธุ์ ได้แก่ ปลาหมึก 10 หนวด เช่น ปลาหมึกกล้วย และปลาหมึก 8 หนวด ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ “พอล” ที่กำลังโด่งดังจากการทายผลฟุตบอลโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปลาหมึกชนิดนี้มีชื่อเรียกทางการว่า Common Octopus หรือ ปลาหมึกยักษ์ หรือปลาหมึกสาย ซึ่งจะมีขนาดลำตัวยาวสูงสุดถึง 2 เมตรและมีความฉลาดที่สุดในบรรดาปลาหมึกทั้งหมด ส่วนประเทศไทยน่าจะมีมากกว่า 80 สายพันธุ์ ทั้งนี้ตามธรรมชาติของปลาหมึกจะกินสัตว์เป็นอาหารและกินตลอดเวลา แต่จะเลือกล่าเหยื่อในเวลากลางคืน ส่วนอาหารหลักคือ หอย 2 ฝา

    รองคณบดีคณะประมง กล่าวต่อว่า ปลาหมึกนั้นเป็นสัตว์ที่มีพิษแตกต่างไปตามสายพันธุ์ ในส่วนที่ทางภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.เกษตรศาสตร์ เลี้ยงไว้ 1 ตัวนั้น เป็นพันธุ์ Blue Ring Octopus มีพิษถึงชีวิต แต่สายพันธุ์ของ”พอล”นั้น เป็น Common Octopus หรือปลาหมึกยักษ์แบบธรรมดา มีพิษเพียงเล็กน้อย อายุของปลาหมึกยักษ์อยู่ระหว่าง 5- 10 ปี ทั้งนี้มันยังมีวิวัฒนาการด้านสายตาที่สูงมาก มันจึงใช้สายตาในการล่าเหยื่อ ซึ่งการทำงานของดวงตาปลาหมึกจะมีลักษณะคล้ายกับการทำงานของตาสัตว์ที่เลี้ยง ลูกด้วยนม เช่น มนุษย์ โดยในอดีตได้เคยมีการนำตาของปลาหมึกมาเป็นต้นแบบในการทดลองด้วย รวมถึงปลาหมึกยังเป็นสัตว์ที่มีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกทางสีผิว โดยผิวของมันจะเข้มขึ้นเมื่ออยู่ในอารมณ์รุนแรง เช่น การรบกวนเวลาที่มันกำลังจะจีบกัน นอกจากนี้ปลาหมึกสามารถพรางตัวด้วยการเปลี่ยนสีผิวไปตามพื้นที่ที่มันซ่อน ตัวได้ และมีวิธีป้องกันภัยโดยการพ่นหมึกใส่ศัตรูเพื่อพลางตัวหลบหนี การมุดหลบตามซอกหลืบ เป็นต้น

    “ปลาหมึกยักษ์สามารถแยกลวดลายที่แตกต่างออกจากกันได้ แต่ระบุไม่ได้ว่าแยกสีได้หรือไม่ สำหรับกรณีของ “พอล”ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันจำลายธงชาติของประเทศได้หรือเปล่า ซึ่งการที่ “พอล” ทายผลฟุตบอลถูกนั้น คิดว่า 99 % เป็นเพราะฟลุ๊ค เนื่องจากการทายผลฟุตบอลต้องเกิดก่อนการแข่งขัน ดังนั้นการใช้เทคนิคหรือการฝึกฝนด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้”พอล”เลือกกล่องธงชาติใด จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคนให้อาหารคงไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าทีมใดจะแพ้หรือชนะ ทั้งนี้อีก 1% คงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ที่ไม่สามาพิสูจน์ได้ ซึ่งกระบวนคิดของ “พอล” ในการทายผลฟุตบอลนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีการวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากมันหาสิ่งที่จะพิสูจน์ไม่ได้ และมีความเป็นไปในเชิงโหราศาสตร์มากกว่า ส่วนการที่ทีมชาติเยอรมันแพ้ทีมชาติสเปนนั้น.ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องของ จิตวิทยา ที่ทำให้นักฟุตบอลขาดกำลังใจเอง เนื่องจากที่ผ่านมา “พอล” สามารถทายถูก จึงเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับมัน” ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว.





    "+enc(b)+"");c.close();a.frameSaving=false}
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  6. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    เอาจินตนาการจากภาพยนตร์มาลงประกอบครับ^_^

    [​IMG]

    ปีนี้ฮอลแลนด์ได้ที่2บอลโลก ^_^ ข้างบนเป็นภาพปิศาจโจรสลัดปลาหมีกจากเรือFlying Dutchmen from Pirates of the Caribbean Movie
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end --> __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2010
  7. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    Dutchmenที่เกี่ยวกับไทยครับ

    12 Dutchmen Drunk On Chao Phya River Stories of Siam<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->Stories of Siam

    BANGKOK: -- Dutchman’s diaries give a fascinating glimpse into Ayutthaya’s golden age. On December 10, 1636, a party of about 12 Dutchmen went for a boat ride on the Chao Phya River. They became intoxicated and made a nuisance of themselves in one of Ayutthaya’s holiest Buddhist temples.

    They behaved wilfully and spitefully against all Siamese who crossed their path, calling some of them names, hitting others and even entering houses and taking food.

    When King Prasat Thong learned about the “picnic incident”, he was extremely angry. He had all the Dutchmen arrested and sentenced them to be trampled to death by elephants. King Prasat Thong also placed restrictions on all the trading activities of the Dutch East India Company in Ayutthaya.

    At that time, Jeremias van Vliet (1602-1663) was acting director of the Dutch East India Company. How would he deal with the grave situation to save the lives of his fellow Dutchmen and also to protect the lucrative trading operations of the Dutch East India Company?

    Van Vliet spent a full month trying to resolve the conflict. His immediate boss, Joost Schouten, was away in Batavia at the time so van Vliet had to take sole responsibility for dealing with the situation. He wrote a daily account in his diary, which later became known as the “Diary of the Picnic Incident”. It turned out to be a vivid account of one of Ayutthaya’s most spectacular periods under the reign of King Prasat Thong, who ruled between 1629 and 1656.

    Six weeks later van Vliet felt obliged to offer an apology to the king. He sought an audience with King Prasat Thong in the Palace. He crawled in on his knees carrying a pedestal bowl with rice and flowers, which he then poured over his head. Van Vliet shrugged off this humiliation and went on to have a prosperous career.

    In total, he wrote four books about Siam, where he lived for nine years between 1633 and 1642. Apart from the “Diary of the Picnic Incident” (1636-37), the other three books are, “Description of the Kingdom of Siam” (1638), “Short History of the Kings of Siam” (1640) and the “Historical Account of King Prasat Thong” (1640). They are now available in a handsome volume called “Van Vliet’s Siam”. Chris Baker, Dhiravat Na Pombejra, Alfons van der Kraan and David K Wyatt teamed up to compile and edit all of van Vliet’s writings, which have shed light on the modern-day understanding of the life and times of the middle period of Ayutthaya. The volume is published by Silkworm Books.

    Over the weekend, the History Society held a special seminar and invited Baker and Dhiravat to talk about the book. Baker, who speaks fluent Thai with his Cambridge accent, said he believed the picnic incident took place at Wat Worachet, which van Vliet called Boeretiet. This temple is located outside the moat surrounding the Ayutthaya capital and is about one kilometre to the west. Baker has visited Ayutthaya several times to survey the site.

    Baker viewed van Vliet as a very educated person, who not only excelled in commerce but also had a good knowledge of history and the classics.

    When van Vliet reported the picnic incident to Anthonio van Diemen, the governor-general of the Indies, van Diemen sought to punish him. He wrote: “I cannot comprehend what kind of blood flows through your veins when I read how you tolerated all these prejudicial and shameful affronts; how, on top of everything, you humbled yourself, and crawled along the floor like a delinquent, begging forgiveness for your crimes, which you then accepted gratefully as if it came from God Himself . . . A comedy they have played with you, and like they do with their buffaloes, they have taken you by the nose and have led you wherever they wanted you to go.”

    Van Vliet was summoned to Batavia to report directly to the governor-general. It was luck on his part that van Diemen was away at the time. Van Vliet then wrote the “Description of the Kingdom of Siam” to save his career. In this account, he wrote: “Siam is a country that has more than most other countries of everything that the human being needs.” He belittled the military prowess of Ayutthaya. “The Siamese are poor soldiers . . . the Siamese are poor sailors,” he said. He also went so far as to suggest political or military intervention to take over Ayutthaya. He described King Prasat Thong as a drunken king, who ruled with extravagance. “He is honoured and worshipped by his subjects more than a god,” he wrote.

    Van Vliet suggested that the capital “will not be able to withstand a European army” and could easily be taken over.

    “The friendship which always had been honoured and laudably maintained by the kings of Siam, has much decreased and has almost disappeared during the rule of this king usurper. And probably this friendship will not flourish again as before, unless this cowardly nation is brought to better sense, and unless the disgrace which we have suffered has been washed away by the sword, in which may God Almighty help,” he wrote.

    Van Vliet’s “Short History of the Kings of Siam” was also of very high historical value. He chronicled the reigns of Ayutthaya’s kings from King U-Thong to King Prasat Thong, the 25th king of Ayutthaya. It turned out to be the earliest continuous account of Ayutthaya, coming even before the “Luang Prasert Chronicle”.

    His historical account of King Prasat Thong was equally interesting. According to Dhiravat and Baker, van Vliet used the framework of Renaissance tragedy and described the king in Machiavellian terms.

    It is sometimes necessary for a king to ruthlessly destroy his opponents in order to save their kingdoms and to pursue other good deeds. King Prasat Thong seemed to fit this mould as he had purged all of his political opponents and created a reign of terror, yet he also led Ayutthaya to further prosperity and stability.

    Van Vliet had three daughters with a Mon woman called Osoet Pegua. He left Siam but could not take his daughters with him. He had a brilliant career with the Dutch East India Company and retired with a comfortable life. He returned to his hometown in Holland and died in 1663 at the age of 61.

    --The Nation 2005-08-29



    Quote
    Baker, who speaks fluent Thai with his Cambridge accent, said he believed the picnic incident took place at Wat Worachet, which van Vliet called Boeretiet.


    ^_^

    Refer to 12 Dutchmen Drunk On Chao Phya River - Thailand Forum

    http://palungjit.org/threads/ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ.146519/page-82
     
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    มหากฐินปีนี้ แถวศรีสะเกษ ที่ผมทอดมาทุกปีต่อเนื่องกัน ผมจะอัญเชิญธงชาติบอลโลก9ชาติยอดนิยมที่ร้านสะดวกซื้อ24ชม.ทำขาย
    ไปร่วมทอดกฐินกับธงไทย ธงธรรมจักร
    (แน่นอนตั้งใจจะมีมีธงจระเข้ งนางเงือก ธงตะขาบ ไปร่วมด้วยอยู่แล้วครับ)
    ขอเชิญอนุโมทนาบุญกุศลกัน แล้วจะมาบอกบุญนะครับ ^_^
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    โพไซดอน

    โพไซดอน
    [​IMG]
    ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนส กับ เร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่
    ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
    ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
    เฮรา ชายาแห่งเทพซูส
    เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง
    โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน (อังกฤษ: Poseidon; กรีก: Ποσειδών; ละติน: Neptūnus เนปจูน)
    ภาพลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่ นกัน
    โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า (บางตำราบอกว่า เมดูซ่า หลงไหลโพไซดอนก่อน และโพไซดอน แปลงเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่ม ีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว (เนื่องจากโพไซดอน แปลงกายเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
    โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ ้นมาจากทะเล

    โพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลเป็นเทพเจ้าที่หงุดหงิด โมโหง่าย และอารมณ์รุนแรง ดวงเนตรสีฟ้าดุดันมองผ่านทะลุม่านหมอกได้ และเกศาสีน้ำทะเลสยายลงมาเบื้องหลัง เธอได้รับสมญา ว่า “ผู้เขย่าโลก” เพราะเมื่อปักตรีศูลลงบนพื้นดิน โลกพลันสั่นสะเทือน และแยกออกจากกัน เมื่อฟาดตรีศูลลงบนทะเล บังเกิดคลื่นลูกใหญ่เท่าภูเขา และเกิดพายุมีเสียงครึกโครมน่ากลัว ทำเรือแตกและผู้คนที่อาศัยอยู่ชายทะเลจมน้ำตาย แต่เมื่อยามโพไซดอนอารมณ์ดี ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป ทำให้ทะเลสงบและทรงยกแผ่นดินใหม่ขึ้นจากน้ำ


    [​IMG]

    ในสมัยที่โครนัสและเทพไททันเป็นใหญ่อยู่นั้น เนรูส เป็นผู้ครอบครองทะเล เนรูสเป็นโอรสของแม่พระธรณีกับพอนทัส หรือทะเล ซึ่งเป็นสวามีองค์ที่สอง เนรูสเป็นเทพเจ้าผู้ชราแห่งทะเล มีหนวดสีเทายาว มีหางเป็นปลา และมีธิดาเป็นนางพรายน้ำห้าสิบนาง คือ เนรีด ผู้น่ารัก เมื่อโพไซดอน เทพเจ้าแห่งโอลิมปัสได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าแห่งท ะเลแทน เนรูส ผู้ชราที่มีน้ำพระทัยดีก็ทรงยกธิดานามว่า อัมฟิไทรต์ ให้เป็นมเหสีของโพไซดอน แล้วเธอ(เนรุส) เองก็ปลีกตัวไปประทับอย่างสงบในถ้ำใต้บาดาล เนรูสทรงยกปราสาทใต้ทะเลให้แก่พระราชาและพระราชินีอง ค์ใหม่ด้วย ปราสาทองค์นี้ทำด้วยทองคำตั้งอยู่ในสวนหินปะการังและ ไข่มุก อัมฟิไทรต์ประทับที่ปราสาทนี้อย่างมีความสุข ห้อมล้อมด้วยนางพรายน้ำพี่น้องอีกสี่สิบเก้านาง นางมีโอรสองค์เดียว นามว่า ไทรทัน ซึ่งมีหางเป็นหางปลาเหมือน เนรูสผู้เป็นอัยกา ทรงขี่หลังสัตว์ทะเลและทรงเป่าสังข์ท่องเที่ยวไปในทะ เล
    โพไซดอนไม่ค่อยประทับอยู่ที่ปราสาท ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ทรงโปรดขับรถเทียมม้าสีขาวเหมือนหิมะแข่งกับลูกคลื่น กล่าวกันว่าเธอเนรมิตม้าในรูปของคลื่นที่แตกกระจาย โพไซดอนทรงมีชายาและโอรสธิดามากมาย เหมือนซูสอนุชา แต่อัมฟิไทรต์ไม่ทรงหึงหวงเหมือนเฮรา
    มีเกาะหนึ่งที่โพไซดอนทรงยกขึ้นมาสูงกว่าระดับน้ำทะเ ลชื่อว่า เกาะดีลอส เกาะนี้เพิ่งสร้างขึ้นจึงยังคงลอยไปมาอยู่ในน้ำ เกาะเล็ก ๆ นี้พื้นดินยังไม่อุดมสมบูรณ์ ยังไม่มีพืชพรรณอื่นใดนอกจากต้นปาล์มต้นเดียวเท่านั้ น ในร่มเงาของต้นปาล์มนี้ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สององค์ คือ อะพอลโล กับ อาร์ทีมิส ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
    ซูสได้อภิเษกกับเทพธิดา ลีโท พอเฮราทรงทราบว่าลีโททรงครรภ์แฝด ก็ทรงกริ้วมาก และรับสั่งห้ามมิให้พื้นดินทุกแห่งในโลกให้ที่พำนักแ ก่นาง ลีโทจึงต้องซัดเซพเนจรไปเรื่อยไป ไม่สามารถหาที่พำนักเพื่อประทานกำเนิดแก่เทพเจ้าแฝดไ ด้
    ในที่สุดนางก็มาถึงเกาะดีลอส เกาะน้อยนี้ให้การต้อนรับนาง เนื่องด้วยเกาะนี้ยังลอยอยู่ ยังไม่ได้เป็นแผ่นดิน จึงมีลักษณะไม่ตรงกับที่เฮราทรงรับสั่งไว้ ลีโททรุดกายลงใต้ร่มต้นปาล์มอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ยังประสูติไม่ได้ เนื่องจากเฮรารับสั่งห้ามเทพธิดา อิลิเทียอา.. เทพีแห่งเด็กเกิดใหม่ไม่ให้ช่วยเหลือ ถ้านางไม่ช่วยเด็กจะคลอดไม่ได้ เทพธิดาอื่น ๆ ทรงสงสารลีโท จึงพยายามอ้อนวอนให้พระทัยของเฮราอ่อนลง โดยถวายสร้อยพระศอเส้นงามแก่นาง สร้อยเส้นนี้ยาวเก้าหลา ทำด้วยทองคำและอำพัน ในที่สุดเฮราก็ทรงยอมปล่อยอิลิเทียอาไป แล้วเทพธิดาไอริสทรงนำอิลิเทียอาลงมาหาลีโททางสายรุ้ ง
    ฝาแฝดพี่องค์แรกของลีโท คือ อาร์ทีมิส เป็นเทพธิดาแสนสวยดุจดวงจันทร์ เส้นเกศาสีดำเหมือนรัตติกาล นางได้เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่เกิด ใหม่ ฝาแฝดองค์รองคือ อะพอลโล ซึ่งเป็นเทพบุตรที่สง่างามราวดวงอาทิตย์ เธอได้เป็นเทพเจ้าแห่งดนตรี แสงสว่างและเหตุผล
    ซูสดีพระทัยที่เห็นคู่แฝดสวยงามทั้งคู่ ท่านได้ประทานธนูเงินและลูกธนูเต็มกระบอกให้คนละชุด ลูกธนูของอาร์ทีมิสอ่อนนุ่มเหมือนแสงจันทร์ และผู้ถูกลูกธนูนี้จะตายโดยไม่เจ็บปวดเลย ส่วนลูกธนูของอะพอลโลแข็งและแหลมคมเหมือนแสงอาทิตย์
    ซูสประทานพรแก่เกาะนี้และยังผูกติดไว้กับก้นทะเลด้วย หญ้าและไม้ดอกเจริญงอกงามขึ้นจากพื้นดินที่แห้งแล้ง แต่นั้นมา ดีลอสกลายเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเกาะขอ งประเทศกรีซ ผู้จาริกแสวงบุญต่างพากันมาที่เกาะนี้ และสร้างเทสาลัยและสมบัติไว้มากมายเพื่อเทิดทูนลีโอแ ละโอรสธิดาคู่แฝดของนาง ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่


    ตำนานแห่งน้ำ
    http://images.google.co.th/imgres?im...%3Dth%26um%3D1

    Asiasoft Official Webboard - View Single Post -
     
  10. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    เทวตานุสสติ

    หน้าที่ ๗ : หมวดสมถกรรมฐาน : กรรมฐาน ๔๐ : อนุสสติ ๑๐ : เทวตานุสสติกรรมฐาน
    <table width="98%" align="center" border="0"><tbody><tr> <td>เทวตานุสสติกรรมฐาน <hr size="1"></td> </tr> <tr> <td valign="top"> ทวตานุสสตแปลว่า ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ความประเสริฐของเทวดามีอย่างนี้ ถ้าพูดกันตามความนิยมแล้ว ท่านที่จะเป็นเทวดาก็ต้องเกิดเป็นคนก่อน เมื่อเป็นคนก็ต้องศึกษาหลักสูตรของเทวดาว่า จะเป็นเทวดานั้นต้องเรียนรู้แล้วปฏิบัติอะไรบ้าง หลักสูตรที่ทำคนให้เป็นเทวดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๒ แบบ คือ

    เทวดาแบบที่ ๑
    เป็น เทวดาชั้นกามาวจร คือ ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม ๖ ชั้นด้วยกัน ทั้ง ๖ ชั้นนี้ บวกภูมิเทวดาที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ และรุขเทวดา พวกเทวดาที่มีวิมานอยู่ตามสาขาของต้นไม้ ที่เรียกว่า นางไม้ เข้ากับเทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดา ๖ ชั้นนี้ ท่านว่าใครจะไปเกิดในที่นั้น ๆ เพื่อเป็นเทวดา ต้องศึกษาและปฏิบัติตามเทวตาหลักสูตรเสียก่อน คือท่านให้เรียนรู้เทวธรรมที่ทำตนให้เป็นเทวดา ได้แก่

    ๑. หิริ ความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
    ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

    ทั้งนี้ก็หมายความว่า ต้องเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และมีจิตเมตตาปรานี ตลอดกาลตลอดสมัย ถึงแม้ยังไม่ได้ฌานสมาบัติก็ไม่เป็นไร เอากันแค่ศีลบริสุทธิ์ มีจิตเมตตาปรานีใช้ได้ ท่านว่าใครศึกษาและปฏิบัติหลักสูตรนี้ได้ครบถ้วน เกิดเป็นเทวดาได้ หากปฏิบัติได้อย่างเลิศก็เป็นเทวดาอย่างเลิศ ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลางก็เป็นเทวดาปานกลาง ถ้าปฏิบัติอย่างหยาบ ก็เป็นเทวดาเล็กๆ เช่น ภูมิเทวดา หรือรุขเทวดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสหลักสูตรของเทวดาประเภทที่ ๑ ไว้อย่างนี้ ท่านผู้อ่านจงจำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สงสัยเรื่องเทวดา

    <table width="100%" align="center" border="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="290">[​IMG]
    * สรุปจากหนังสือไตรภูมิ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน </td> <td valign="top"> เทวดาประเภทที่ ๒นี้ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า พรหม ท่านจัดพรหมรวมทั้งหมด ๒๐ ชั้นด้วยกัน ท่านแยกประเภทไว้ดังนี้

    รูปพรหม มี ๑๖ ชั้น แยกเป็น ๒ ประเภทคือ พรหมที่ได้ฌานโลกีย์ ท่านจัดไว้ ๑๑ ชั้น กับพรหมที่เป็นพระอนาคามี และได้ฌาน ๔ ด้วย ๕ ชั้น รวมพรหมที่มีรูป ๑๖ ชั้น

    อรูปพรหม มี ๔ ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปนี้ เป็นโลกียพรหม ในหนังสือไตรภูมิท่านกล่าวว่า รูปพรหมนี้ไม่ได้ตั้งปนอยู่กับพรหม แล้วก็ไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูป อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างพรหมชั้นที่ ๘ กับพรหมชั้นที่ ๙

    หลักสูตร รูปพรหม

    ๑. ได้ฌานที่ ๑ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑, ๒, ๓
    ๒. ได้ฌานที่ ๒ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔, ๕, ๖
    ๓. ได้ฌานที่ ๓ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗, ๘, ๙
    ๔. ได้ฌานที่ ๔ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑

    ทั้งหมดนี้เป็นพรหมชั้นโลกีย์

    </td> </tr> </tbody></table> หลักสูตร รูปพรหม อนาคามี

    พรหมอีก ๕ ชั้น คือชั้นที่ ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๕ และ ๑๖ รวม ๕ ชั้นนี้ ต้องได้บรรลุมรรผลเป็น พระอนาคามี ได้ฌาน ๔ มาก่อน

    หลักสูตร อรูปพรหม ๔ ชั้น

    ท่านทั้ง ๔ ชั้นนี้ ท่านต้องเจริญฌานในกสิณแล้วเจริญอรูปฌาน ๔ ได้อีกจึงจะมาเกิดเป็นอรูปพรหมได้ แต่ท่านก็ได้เพียงฌานโลกีย์ ไม่ใช่พระอริยเจ้า


    <table width="100%" border="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="200">[​IMG]</td> <td valign="top"> หลักสูตรเทวดาและพรหมมีอย่างนี้ ท่านสอนให้ระลึกนึกถึงความดี คือคุณธรรมที่เทวดาและพรหมปฏิบัติมาแล้ว จนเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมได้ ก็ชื่อว่าท่านได้รับผลความดีที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว ถ้าเราปฏิบัติอย่างท่าน เราก็อาจจะมีผลความสุขเช่นท่าน เพราะเทวดาขนาดเลวนั้น ดีกว่ามนุษย์ชั้นดีอย่างเปรียบกันไม่ได้เลย เพราะเทวดามีกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่เป็นทิพย์ ไปไหนก็เหาะไปได้ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนเรา

    ฉะนั้นความดีของเทวดานี้ ถึงจะยังไม่ถึงความดีในนิพพาน แต่ก็เป็นสะพานสำหรับปฏิบัติเพื่อผลในพระนิพพานได้เป็นอย่างดี ดีกว่ามาคิดว่าเทวดาไม่เป็นเรื่อง เทวดาไม่มี เราเป็นพุทธสาวก เมื่อพระพุทธเจ้าท่านว่ามีเราก็ควรเชื่อไว้ก่อน แล้วสร้างสมาธิทำทิพยจักษุญาณให้เกิด ตรวจสอบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จะพบว่าที่ท่านสอนว่า เทวดา พรหม นรก สวรรค์ มีจริงนั้น ท่านสอนตรง ไม่ใช่สอนแบบยกเมฆ ท่านบูชาเทวดา ท่านอาจดีตามเทวดา แต่ถ้าท่านด่าเทวดา ท่านอาจไม่ได้พบเทวดาเลย

    เทวตานุสสตินี้ ถ้าฝึกจนเกิดอุปจารฌานแล้วท่านเจริญวิปัสสนาญาณต่อ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลได้ไม่ยาก เพราะเป็นภูมิธรรมที่ละเอียด และมีแนวโน้มเข้าไปใกล้พระนิพพานมาก

    จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> ๏ คำว่าเทวดาอีกหมวดหนึ่ง ศัพท์เขาเรียกว่าเทพคือพระหรือเทวดานี่ เขาแปลว่าประเสริฐ แบ่งเป็น ๓ ชั้นด้วยกัน

    ๑. สมมุติเทพ คนที่ทรงจิตมีคุณธรรมอยู่ในด้านของเทวธรรม คือมีหิริความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์ และก็ไม่พยายามคิดชั่ว ไม่พยายามพูดชั่ว ไม่พยายามทำชั่ว อย่างนี้ท่านเรียกว่า สมมุติเทพ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนก็มีสภาพเหมือนเทวดา สมมุติว่าท่านผู้นั้นเป็นเทวดาได

    ๒.อุปปัติเทพ หมายความว่าเกิดขึ้นไปก็เป็น เทวดาเลย เป็นเทวดาหรือพรหมเราก็เรียกว่าเทวดา นั่นก็หมายความว่า ท่านที่ทรงคุณธรรม ๒ ประการประจำใจ ปฏิบัติจิตใจให้หมดจด ปราศจากความชั่วอันดับต้น ที่เรียกกันว่าชั้นกามาวจรสวรรค์หรือว่าจะสามารถทรงฌานสมาบัติ ทั้ง ๒ ประการนี้ เวลาตายจากคนก็ไปเป็นเทวดาชั้นพรหม

    ๓. วิสุทธิเทพ หมายความว่าเป็นเทวดาด้วยความบริสุทธิ์ คือพระอรหันต์ที่เข้าถึงพระนิพพาน

    <table width="100%" border="0"> <tbody><tr> <td valign="top" width="233">[​IMG]</td> <td valign="top"> พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เราจะยึดอะไรเป็นสำคัญ มันจึงจะไม่ลงอบายภูมิ มองไปในอันดับหยาบ เราก็จะทราบว่า ศีล ๕ มีความสำุคัญเป็นที่สุด สำหรับเณรก็คือศีล ๑๐ สำหรับพระก็คือศีล ๒๒๗ นั่นเป็นศีลประจำตัว

    ในเมื่อมีความมั่นใจว่า ศีลนี่จะสามารถให้เราทรงความดีเป็นสุขได้เมื่อตายไปแล้ว ชาตินี้เมื่อเรามีศีลบริสุทธิ์ อารมณ์เราก็เป็นสุข ชาติหน้าเมื่อเราตายไปแล้ว ศีลก็พาไปในส่วนแห่งความสุขที่สุด

    ก็เป็นอันว่าเราก็ยึดศีลเป็นอารมณ์เกาะไว้ก่อน กันอบายภูมิ มีอารมณ์ตัดสินใจว่า เราจะไม่ยอมเป็นคนหน้าด้านเข้าไปทำลายศีล ถ้าเราทำลายศีลข้อใดข้อหนึ่งนั่นก็แสดงว่า เราหน้าด้าน และก็ใจด้านเต็มที เราเป็นคนไม่มียางอาย

    อย่าลืมนะว่า เทวตานุสสตินี่เขามีอารมณ์อาย มีอารมณ์กลัว อายชั่ว กลัวชั่ว ฉะนั้นเมื่ออายชั่ว กลัวชั่ว ก็ต้องมองดูชั่วหยาบเสียก่อน ที่เราจะจับมันได้ง่าย นั่นก็คือจับศีลเข้าไว้ ถ้าเราละเมิดศีลแสดงว่าเราชั่วหยาบ เราทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าเราทรงความดีหยาบ ยังไม่ละเอียดพอ จิตใจยึดถือเป็นอารมณ์เป็นจิตตั้งมั่นเรียกว่า เป็นฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน

    </td> </tr> </tbody></table> ตามที่กล่าวมาแล้วว่าจะหลับก็ดี จะตื่นอยู่ก็ดี จะทำกิจการงานใดๆ อยู่ก็ดี ภาระใดมันจะยุ่งสักเท่าใดก็ตามที ในขณะนั้นจิตของเราจะไม่ยอมวางศีลเป็นอันขาด การที่จะทำลายศีลด้วยตนเองก็ดี ยุให้ชาวบ้านทำลายศีลก็ดี หรือยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลก็ดี ไม่มีสำหรับเรา เพราะเรารู้สึกว่านั่นมันเป็นความชั่วที่เราละอายที่สุด และก็เป็นความชั่วที่เราเกรงกลัวที่สุด

    นี่เทวตานุสสติกรรมฐานเริ่มต้น เขาจับจุดนี้ พอจับจุดนี้ได้แล้ว เราเป็นอะไร เราก็เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ไม่ยากต่อไป จิตเราก็ก้าวต่อไปว่า ความเป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่ยังดีไม่พอ ถ้าเราทรงคุณธรรมเพียงเท่านี้ เราก็เป็นคนที่น่าอายที่สุด เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงยกย่องอะไรเป็น สำคัญ ส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ก็คือพระนิพพาน

    สมเด็จพระพิชิตมารไม่เคยยกย่องอย่างอื่นมีความดีเหนือพระนิพพานเลย เราจะต้องทำกำลังใจของเราก้าวเ้ข้าสู่พระนิพพานให้ได้ในชาตินี้ และก็ในเวลารวดเร็วไม่ใช่ช้านัก เพราะเราไม่แน่ใจว่าชีวิตของเรานี้ มันจะอยู่ไปได้สักกี่วัน วันนี้เห็นดวงอาทิตย์ แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่เห็นดวงอาทิตย์ก็ได้ วันนี้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แต่ว่าในตอนบ่ายเราอาจจะไม่เห็นดวงอาทิตย์ก็ได้ เพราะอะไร เพราะเราอาจจะตายก่อน

    ฉะนั้นจึงรวบรวมกำลังใจประพฤติทรงธรรม ตามที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัส คือว่าทำจิตให้มีความมั่นคง มีความประสงค์ที่จะตัดสังโยชน์อีก ๗ ประการ ก้าวเข้าไป สังโยชน์ ๑๐ ถ้าเราทรงได้ ๓ ข้อ ก็เป็นคนที่น่าอายที่สุด เพราะว่ายังบูชาความชั่วอยู่ ความชั่วที่เราจะต้องตัดนั่นก็ได้แก่อะไร

    อันดับแรก กามฉันทะ มีความพอใจในรูปสวย แต่รูปที่มันไม่มีการทรงตัวอยู่ในความสวย มีความพอใจเสียงเพราะ มีความพอใจในกลิ่นหอม มีความพอใจในรสอร่อย มีความพอใจในการสัมผัสระหว่างเพศ จิตมั่วสุมในกามารมณ์ นี่มันเป็นความเลวทรามที่่น่าละอายที่สุด เพราะว่ารูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทั้งหมด มันไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีความจริงจัง ความสวยไม่ได้สวยจริง ร่างกายของคนและสัตว์เต็มไปด้วยความสกปรก วัตถุธาตุที่เราเห็นมีความสวยงาม มันก็ไม่มีการทรงตัว มีความสกปรกด้วย และก็หาการทรงตัวไม่ได้

    สำหรับกิเลสข้อที่สอง ที่เราจะต้องเหวี่ยงมันไปให้ไกลที่สุดที่จะไกลได้ คือทั้งสองอย่างนี้ ทั้งกามฉันทะก็ดี ปฏิฆะก็ดี ปฏิฆะหรือว่าข้อที่ ๕ ของสังโยชน์ การที่มีอารมณ์รับการกระทบและเกิดความไม่พอใจ ไอ้คำ่ว่าไม่พอใจนี่ มันเป็นปัจจัยของความเร่าร้อน หรือความทุกข์มันเป็นความเลวที่น่าละอายที่สุด ถ้าจิตใจของเรายังมีสภาพอยู่อย่างนั้น เราก็เลวเต็มที เพราะเราคบกับความชั่ว เราไม่มีความอายในความชั่ว อารมณ์ของตัวเรา ถ้ามีความเร่าร้อนในการกระทบกระทั่งอารมณ์จากบุคคลอื่น ที่กล่าวมาเป็นเครื่องสัมผัส และก็มีความไม่พอใจอันนี้เป็นความเลวใหญ่ เราจะต้องโยนทิ้งไปให้ได้

    ถ้าจิตใจก้าวมาถึงตอนนี้ อาศัยความเมตตาปรานี คือจิตทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ได้แก่มีความรัก มีความสงสาร ไม่อิจฉาริษยาเขา ยินดีในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ดี และก็เฉยในเมื่อถูกต้องกับอารมณ์ที่มาขวางกับความตั้งใจ อารมณ์ใดก็ตาม ที่เราตั้งใจมาแล้ว ถ้ามีอารมณ์อย่างอื่นขวางเข้ามาแทรกซ้อนเข้ามา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว ถือว่าในเมื่อขันธ์ ๕ ยังปรากฏในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตถือว่า เราจะต้องกระทบกับอารมณ์ทั้ง ๒ ประการ คือ อิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง แล้วก็ อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง เป็นอันว่าอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ใจของเราก็มีการวางเฉย ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะด่าจะว่าก็รู้สึกว่า นั่นมันเป็นเรื่องของความเลวของคน เรากลัวความชั่ว อายความชั่ว เราจะไ่ม่ยอมด่าตอบ เราจะไม่ยอมว่าตอบ เราจะไม่ยอมชั่วตอบ หรือว่าเราจะไม่ยอมร่วมความชั่วกับเขา

    เราต้องยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าร่างกายสกปรก ร่างกายมีอารมณ์แทรกแซง และอัฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้วอดวายไปเสียได้ก็ดี เราจะได้พ้นทุกข์ อารมณ์เราจะมีความสุขเพราะไม่มีกายนี้ เป็นอันว่าสำหรับปฏิฆะนี้ถือเรื่องอารมณ์เป็นสำคัญ อารมณ์สรรเสริญไม่สนใจ อารมณ์ที่เขานินทาว่าร้ายเราก็ไม่สนใจ ตัวที่มีความสำคัญที่สุดตัวนี้ คืออุเบกขา แต่ขณะใดเราทรงอุเบกขาได้ ขณะนั้นชื่อว่าเราเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งหิริ และโอตตัปปะขั้นอนาคามี

    ต่อไปก็ก้าวถึงความดีของความเป็นพระอรหันต์ หิริ และโอตตัปปะ อายอะไรสำหรับพระอรหันต์ การจะเป็นพระอรหันต์เราก็ต้องอายจิตที่มันชั่ว แต่ความจริงตอนนี้ง่าย เราจะลำบากอยู่แค่พระโสดาบัน สกิทาคามี เพราะตัดกิเลสหยาบ ตอนนี้เรามาอายกิเลสละเอียด กิเลสละเอียดก็คือ รูปราคะ อรูปราคะ ถ้าหากจิตของเรายังคิดอยู่ว่ารูปฌาน และอรูปฌานนี่เป็นของดีชั้นเลิศประเสริฐ สามารถทำให้คนพ้นทุกข์ได้ก็แสดงว่า อารมณ์ของเรายังชั่ว เพราะว่าแค่รูปฌาน อรูปฌานไม่สามารถจะบันดาลให้คนพ้นทุกข์ได้จริงจัง แต่ทว่าเราก็ต้องเกาะรูปฌาน และอรูปฌานเป็นกำลังใหญ่ สำหรับห้ำหั่นบรรดากิเลสทั้งหลาย

    มองดูคนได้ฌาน คนผู้หลงอยู่ในฌาน นั่นท่านทรงอยู่ในฐานะ อนาคามี ก็ยังไม่มีความดีจริงๆ ยังไม่มีความสุขจริงๆ เพราะว่ายังมีความวุ่นวายอยู่ในมานะ คือการถือตัวถือตน ยังมีความวุ่นวายใน อุทธัจจะ คืออารมณ์ยังแทรกซ้อน มีอารมณ์ซ่านไม่เข้าจุดหมายปลายทาง ยังไม่มีอารมณ์สงบ ยังมีอวิชชา ความโง่ยังหลงเหลืออยู่ ที่ยังติดอยู่ในรูปฌาน และอรูปฌาน มานะ และอุทธัจจะ ฉะนั้นในฐานะที่จิตของเราเป็นจิตชั้นเลิศ ที่ทรงเทวตานุสสติเป็นอารมณ์ เทวตานุสสตินี่เขาเรียกว่านึกถึงอารมณ์ประเสริฐ เขานึกถึงคุณธรรมซึ่งทำบุคคลให้มีความประเสริฐ เป็นอันว่าท่านผู้ใดใช้กรรมฐานกองนี้ อารมณ์ของท่านไม่มีชั่ว มีแต่ดีเป็นที่สุด แล้วก็เป็นอรหันต์ง่าย

    แล้วก็มานั่งมอง ว่าการถือตัวถือตนนะมันดีหรือว่ามันเลว ถ้ามองไปจริงๆ ว่าการถือตัวถือตนนี่เลวจริงๆ เพราะอะไร เราไปนั่งถือกันทำไม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี คนแก่ก็ดี หรือว่าสัตว์เดรัจฉานก็ดี ฐานะสูงก็ดี ฐานต่ำก็ดี ความรู้มากก็ดี ความรู้น้อยก็ดี หรือว่ามีตระกูลสูงก็ดี มีตระกูลต่ำก็ดี ก็ไอ้สภาพของ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีสภาพของร่างกายสกปรก มีความเกิดในเบื้องต้น ร่างกายเสื่อมไปในท่ามกลาง และก็สลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน และก็มานั่งรังเกียจอะไรร่างกาย แร้งต่อแร้งมาเหม็นสาบกันเองนี่ ก็รู้สึกว่ามันจะเลวเกินไป เป็นอันว่าร่างกายของใครต่อของใครก็ตาม มันมีสภาวะเช่นเดียวกัน คนรวยก็ตาย คนมีศักดิ์ศรีใหญ่ก็ตาย คนตระกูลสูงก็ตาย ตระกูลต่ำก็ตาย มีความรู้น้อยก็ตาย มีความรู้มากก็ตาย และก็สกปรกโสมมเหมือนกัน อารมณ์ไม่ทรงตัวเหมือนกัน ทำไมจึงต้องรังเกียจกัน ตัดสินใจง่ายๆ แบบนี้

    แล้วก็มาอุทธัจจะอารมณ์ที่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ยับยั้งไว้ตอนหนึ่งว่า เวลานี้เราทรงความเป็นพระอนาคามีก็มีสุขที่เรา ๑. เรามีศีลบริสุทธิ์ เราไม่ไปอบายภูมิ ๒. เราไม่มีกามฉันทะ ความวุ่นวายมากระทบไม่มี ๓. เราไม่มีปฏิฆะอารมณ์ที่สร้างความเศร้าหมอง อารมณ์อื่นเข้ามากระทบไม่มี ตอนนี้ก็รู้สึกมีความสุขสงัด และถ้าเราตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นเทวดา หรือพรหม หรือเราก็ไปนิพพาน ถ้าอารมณ์จิตมันซ่านมันซ่านนิดเดียวเท่านี้ แ่ต่ก็ยังไม่ดีมันยังไม่ถึงที่สุด

    ในเมื่อชีวิตของเรายังทรงตัวอยู่ต้องทำความดีให้ถึงที่สุด นั่นก็คือทรงอารมณ์เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าลมปราณของเรายังมีอยู่ เราจะไม่ละธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครูที่สอนไว้ว่า ความสุขที่สุดนั้นไซร้ นั่นก็คือมีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน นั่นก็เป็นอรหันต์ ถ้าว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านเท่านี้ ระงับง่ายๆ ถ้าตัดสินกำลังใจว่า แค่นี้จะเก็บไว้ทำไม โยนทิ้งไปเสียดีกว่า กิเลสหยาบที่กล่าวมามันใหญ่โตมากกว่านี้ เราก็สามารถจะตัดได้ ไหนๆ เราจะต้องตายแล้ว เมื่อตายแล้วให้มันมีความสุขจริงๆ จะไปพักอยู่ที่เทวดาก็ไม่ได้มีประโยชน์ พักอยู่ที่พรหมมันก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อไปแล้ว เราก็ไปให้มันถึงที่สุด ไม่ต้องมีการงานอะไรต่อไป ตั้งใจเท่านี้มันก็หมด

    ต่อไปองค์สมเด็จพระบรมสุคต ว่าตัดอวิชชา แต่ความจริงตัดอวิชชาตัวเดียวก็พอ เข้าไปตัดแต่เพียงว่า ร่างกายมันเป็นทุกข์ เกิดเป็นคนเป็นทุกข์ เกิดเป็นพรหม เทวดา พักทุกข์ชั่วคราวไม่ได้มีประโยชน์ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีโทษเข้าถึงอบายภูมิก็ยังไม่เสร็จกิจ กิจที่ดีที่สุดนั่นก็คือ เข้าถึงพระนิพพาน

    คนที่จะเข้าถึงพระนิพพานเขาทำอย่างไร นั่นก็คืออารมณ์ใจของเขา ละความพอใจในการเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหม มีความนิยมเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว และจิตมีความประกอบไปด้วย ความเมตตาปรานี มีความเยือกเย็น ไม่สนใจกับอารมณ์ทั้งหลาย ที่เป็นปัจจัยของความสุขและความทุกข์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยิ้มให้แก่อาการที่เข้ามาสนองที่เป็นปัจจัยให้หวั่นไหวทางกาย คือโรคภัยไข้เจ็บก็ดี ความป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ความแก่ก็ดี ความตายก็ดี จะมาถึงเรานี้เมื่อไหร่ ยิ้มได้เป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    จนกระทั่งจิตใจของเราไม่มีอารมณ์ติดอยู่ในกามฉันทะ มีความสุขใจ อารมณ์ไม่ติดอยู่ในความโลภ มีความสุขอย่างยิ่ง อารมณ์ไม่ติดอยู่ในความโกรธ มีความชื่นบานหรรษา อารมณ์ไม่มีสันดานเกาะอะไรทั้งหมดแม้แต่ขันธ์ ๕ ของเรา จิตใจเรามีความต้องการอย่างเดียว คือนิพพาน มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันมีแต่ความแหลกลาญเป็นปกติ ไม่ช้ามันก็เป็นผุยผงไปเป็นความตาย แค่นี้ใจสบาย

    เทวตานุสสติกรรมฐานถือว่าเป็นอารมณ์ที่สูงสุดในอนุสสติอันหนึ่ง ซึ่งบุคคลใดมีความนิยมในเทวตานุสสติกรรมฐานนี้ไซร้ เราจะพยากรณ์ว่าท่านผู้นั้นควรจะเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ในชาติปัจจุบันนี้ก็รู้สึกว่าจะต่ำเกินไป เพราะว่ากำลังใจของท่านมีความพอใจในอนุสสติกรรมฐาน มันเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

    <table width="100%" border="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#99ccff"> การทรงเทวตานุสสติกรรมฐาน ไม่ใช่ไปนั่งท่องจำให้จิตมันทรงตัว คิดว่าอะไรมันชั่วเราไม่ยอมทำเราอาย เรียกว่าเราเป็นคนหน้าบางไม่ใช่คนหน้าด้าน เป็นคนใจบาง ไม่ใช่เป็นคนใจด้าน และก็กลัว เป็นคนขี้ขลาดในความชั่วทั้งหมดที่จะปรากฏกับใจ</td> </tr> </tbody></table>
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี [​IMG]

    ที่มา
     
  11. ไม่เที่ยง

    ไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +500
    The difference between you and your boss

    When you take a long time, you are slow.When you boss takes a long time, he's thourough
    When you don't get something done , you are lazy.When your boss doesn't get something done.he's too busy
    When you make a mistake,you are an idiot.When your boss makes a mistake,he's only human.
    When you do it your own way,you are not doing what you are told.When your boss does it his way ,he's showing creativity.
    When you do it on your own,you are overstepping your bounds.When your boss does it,he's demonstrating initiative.
    When you take a stand ,you are being bull-headed.When your boss takes a stand,he's being firm.
    When you violate a rule,you 've self-centered.When your boss skip a few rules, he's being original.
    When you please your boss ,you are brown-nosing.When your boss pleases his boss,he's being cooperative.
    When you help a peer.you are not busy enough.When your boss does it,he's a team player.
    When someone eles does your work,you are passing the buck.When someone eles does his work, he's assigning responsibility.
    When you call in sick ,you are playing hooky
    When your boss calls in sick,he must be very ill.
    When you ask for the morning off.you must be going for an interview.When your boss asks for morning off,it's because he's overworked
    When you get a raise,you are lucky.When he gets one,he really earned it.
    When you do a good job,you get a pat on the back.
    When he does a good job ,he gets a Bonus.
     
  12. kosondesign

    kosondesign Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +66
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    ตำนานซานตาคลอส และวันคริสต์มาส
    posted on 07 Jan 2007 18:29 by cutieparade


    ประวัติความเป็นมาของซานตา คลอส

    ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 3 หนูน้อยนามว่า นิโคลาส (Nicholas) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองปาตารา ซึ่งอยู่ทางฝั่งทะเลตอนใต้ของตุรกี (ปัจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง) นิโคลาสได้รับการเลี้ยงดูอบรมให้นับถือศาสนาคริสต์ หากทว่าอาณาจักรโรมันซึ่งครอบครองแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ในสมัยนั้น ยังนับถือเทพเจ้าและกดขี่ชนคริสเตียน ทำให้ นิโคลาสและชาวคริสต์ทั้งปวงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดหวั่น

    ต่อมาบิดามารดาของนิโคลาสต้องเสียชีวิตลงด้วยกาฬโรค แต่ยังดีที่ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้ให้กับบุตรชาย นิโคลาสในวัยหนุ่มจึงสุขสบาย และโดยที่เขาเป็นผู้มีน้ำใจ การมีทรัพย์สินจึงช่วยให้เขาสามารถสงเคราะห์ผู้ยากไร้กว่าได้อย่างง่ายดาย และสร้างตำนานที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้

    นั่นคือ เมื่อหนุ่มนิโคลาส ได้ทราบข่าวครอบครัวหนึ่งซึ่งยากจน จนถึงขั้นบิดา หัวหน้าครอบครัวตัดสินใจที่จะขายลูกสาวสามคนไปเป็นโสเภณี ทั้งนี้ เพราะใน ดินแดนแถบนั้นมีประเพณีว่า หญิงสาวจะต้องนำเงินทองไปขอหมั้นฝ่ายชาย แต่ผู้เป็นบิดาไม่มีเงินเพียงพอที่ใช้เป็นสินสอดหมั้นให้แก่ลูกสาวได้

    นิโคลาส สงสารครอบครัวนี้ ในยามราตรี เขาจึงลอบแฝงความมืด เอาถุงใส่เหรียญทองคำโยนเข้าไปทางหน้าต่างบ้านเพื่อให้ใช้เป็นค่าสินสอด เขากระทำดังนี้ติดต่อกันสองวัน ผู้เป็นบิดาของสามสาวน้อยดีใจและฉงนใจมากว่า ใครหนอที่มาช่วยเหลือ ในคืนที่สาม เขาจึงเฝ้าแอบดูแล้วก็พบว่าบุคคลผู้นั้นคือหนุ่มน้อยนิโคลาสนั่นเอง



    การแบ่งปันความสุขในรูปแบบของนิโคลาส จึงถือเป็นประเพณีที่นิยมปฏิบัติกันตามตำนานนี้ด้วยความที่เป็นผู้ยึดมั่นในศาสนา นิโคลาสจึงเข้าเป็นนักบวชคริสเตียนและต่อมาก็ได้เป็นบิชอป แล้วย้ายไปประจำอยู่ที่เมือง มายรา (Myra) ซึ่งท่านสามารถปฏิบัติ ศาสนกิจในตอนนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะคอนสแตนติน จักรพรรดิองค์ใหม่ของโรมเลิกเป็นปรปักษ์กับศาสนาคริสต์และยังให้ความสนับสนุนด้วย

    ท่านสาธุคุณนิโคลาสได้ทุ่มเทชีวิตอุทิศให้ศาสนาจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ กอปรกับตำนานเดิมที่ท่านได้ทำไว้ ทำให้เมื่อท่านมรณภาพ ในราวปี ค.ศ. 340 จึงได้มีการสร้างโบสถ์เก็บรักษาศพของท่านไว้ ณ เมืองมายรา และเมื่อผู้จาริกแสวงบุญได้มาคารวะศพของท่าน ก็ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์บังเกิดขึ้น นั่นคือกระดูกของท่าน มีน้ำไหลซึมออกมา เรียกกันว่า มานนา (manna) ชาวบ้านได้ใช้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาโรคต่างๆได้อย่างชะงัด

    ผู้มีศรัทธาจึงได้ยกท่านขึ้นเป็นนักบุญเซนต์นิโคลาส

    เสียงร่ำลือเกี่ยวกับ เซนต์นิโคลาส ดังไปไกลถึงเมืองเล็กๆชื่อ บาริ (Bari) ซึ่งเป็นเมืองท่า ของอิตาลี โดยเหตุที่บาริไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจคนต่างแดน เทียบไม่ได้กับเวนิซ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานศพของเซนต์มาร์ค และมีผู้คนเดินทางไปเคารพกันมาก เหล่าพ่อค้าวาณิชแห่งบาริจึงคิดอ่านหาทางให้เมืองของตนมีความสำคัญขึ้นบ้าง โดยว่าจ้างนักโจรกรรมกลุ่มหนึ่งให้ไปลักขโมยกระดูกของนักบุญนิโคลาสจากโบสถ์เมืองมายรา



    ในปี ค.ศ.1089 แม็ทธิว หัวหน้ากลุ่มโจรกรรม นำเรือเดินทางไปถึงมายราแล้วบุกไปถึงโบสถ์ จากนั้นก็บังคับนักบวชประจำโบสถ์ให้พาไปยังโลงศพของเซนต์นิโคลาส เขาใช้ค้อนทุบฝาโลง มีกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมาน่าอัศจรรย์ แม็ทธิวแลเห็นกระดูกมีแสงเรืองรองดุจถ่านหินติดไฟ เขากระทำคารวะแล้วยกกระดูกขึ้นจุมพิต รวบรวมห่อหุ้มอย่างระมัดระวังนำลงเรือกลับไปยังอิตาลี

    บรรดาพ่อค้าแห่งเมืองต่างเฉลิมฉลองอย่างยินดี และร่วมกันสร้างโบสถ์เพื่อบรรจุกระดูกเซนต์นิโคลาส โบสถ์นี้ได้จารึกชื่อแม็ทธิวพร้อมทั้งชื่อลูกเรือ รวมทั้งสิ้น 62 คนไว้ แม้เป็นวีรกรรมที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับชาวเมืองบาริแล้ว นับเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้แก่เมืองของเขาอย่างมหาศาล นอกจากจะมีผู้คนหลั่งไหลมาบูชากระดูกของท่านนักบุญแล้ว ในภายหลังก็ยังเป็นสถานที่กำเนิดของซานตา คลอส แห่งเทศกาลคริสต์มาส ที่ขจรขจายไปทั่วโลกอีกด้วย

    แม้จะนำมาไว้ที่บาริ แต่ก็สร้างความมหัศจรรย์ได้เช่นกัน นั่นคือมีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มานนา ซึมออกมาอย่างสม่ำเสมอ นักจาริกแสวงบุญต่างก็พากันมาเอาน้ำมนต์ไปรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่นักรบครูเสดก็ยังเอาขวดมารองรับมานนา เพื่อนำติดตัวไปในการทำศึก มิช้ามินานทั่วยุโรปก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี อัน เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของเซนต์ นิโคลาส

    แต่จนล่วงมาถึงคริสต์ศตวรรษ ที่ 12 ซึ่งประเพณีมอบของขวัญแบบในปัจจุบันได้เริ่มขึ้น โดยเหล่านางชีแห่งฝรั่งเศสผู้ประทับใจในตำนานของนักบุญนิโคลาสได้กระทำตามท่าน นั่นคือเอาผลไม้ ถั่ว ขนมหวาน ใส่ลงถุงเท้า แล้วไปแขวนยังหน้าบ้านคนยากคนจน ในวัน เซนต์นิโคลาส มิช้าประเพณีนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว หากทว่าในกาลต่อมา ได้มีเหล่ามิจฉาชีพถือโอกาสหากินโดยนำเอา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนักบุญไปหลอกลวงขายเป็นเครื่องรางของขลังต่างๆ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่องมงายเสียทรัพย์สิน ทางการจึงสั่งระงับการเฉลิมฉลองในวันนี้



    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ศรัทธาในเซนต์นิโคลาส ก็ยังมีอยู่มาก พวกเขาจึงขยับเลื่อนการฉลองไปผนวกกับเทศกาลคริสต์มาสอันเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระเยซู สัญลักษณ์ของเซนต์ นิโคลาสจึงเกิดขึ้นในวันคริสต์มาสตั้งแต่นั้นมา

    และก็เป็นอเมริกา ที่สร้างภาพท่านนักบุญขึ้นมาในนาม ซานตา คลอส (Santa Claus) โดยจิตรกรนาม โธมัส นาสต์ (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตา คลอส ในแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้แหละครับ





    ประวัติวันคริสต์มาส

    คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณีสำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาล นี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส



    ต้นคริสต์มาส

    ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัดถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้



    นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้
    เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

    วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)

    ในประเทศอเมริกา ทุกวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน จะเป็นวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งชาวอเมริกันจะฉลองขอบคุณ สรรเสริญพระเจ้าที่อวยพระพรพวกเขาทั้งหลายให้มีความสุขทั้งกายและ ใจตลอดปีที่ผ่านมา และนับเป็นวันสำคัญสำหรับ ครอบครัวที่จะอยู่พร้อมหน้ากันทุกคนเพื่อรับประทานอาหารเย็น รวมทั้งพูดคุยถึงสิ่งที่ ต้องการขอบคุณพระเจ้า

    ตามความเป็นจริงแล้ว วันขอบคุณพระเจ้านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์เลย แต่เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของ การอพยพตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในอเมริกา ในปี ค.ศ. 1620

    เริ่มจากชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า พิวริแทน (Puritans) นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ศาสนาในประเทศอังกฤษซึ่งในยุคนั้นเป็น นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ (Church of England) ให้เป็นไปตามความเชื่อ เน้นความเรียบง่ายไม่หรูหรา ผลปรากฏว่าพวกพิวริแทน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนในที่สุดได้ตัดสินใจ ตั้งศาสนจักรเป็นของตนเอง เป็นเหตุให้เหล่าขุนนางอังกฤษไม่พอใจและเริ่มทำร้าย ประหัตประหารพวกพิวริแทน จนพวกเขาต้องหนีไปอยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ซึ่งยังได้รับปัญหาอีกจากการถูกข่มเหงรังแก สืบเนื่องมาจากศาสนา นอกจากนี้พวกเขา ยังรู้สึกเสียใจที่ลูกหลานไม่พูดภาษาอังกฤษ แต่ไปพูดภาษาดัทช์แทน ทำให้พวกเขาคิด ย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้พวกเขานึกถึงการย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนที่ไม่มีผู้ใดสามารถมายับยั้งหรือขัดขวางการนับถือศาสนา ตามความเชื่อแะความศรัทธาของพวกเขา จึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศอังกฤษ จากนั้นกลุ่มพิวริแทน พร้อมกับผู้โดยสาร อื่น ๆ ทั้งชายหญิงและเด็กจำนวน 102 คน บนเรือ เมย์ลาวเวอร์ (Mayflower) ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่โลกใหม่และพวกพิวริแทน เริ่มเรียกตัวเองว่าพิลกริม (Pilgrims) เนื่องมาจากการท่องหาดินแดนแห่งเสรีภาพทางศาสนานี้



    ระหว่างการเดินทางโดยเรือในเดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดสำหรับการแล่นเรือข้ามมหาสมุทร อย่างไรก็ตามระหว่าง การเดินทางมีผู้เสียชีวิตเพียง 1 คนเท่านั้น และมีทารกแรกเกิด 1 คน ฉะนั้นจำนวนผู้โดยสารบนเรือยังคงมีจำนวนเท่าเดิม หลังจาก ใช้เวลาแล่นเรือประมาณ 65 วัน เรือเมย์ฟลาวเวอร์ มาจอดเทียบท่าที่ พรอวินซ์ทาวน์ฮาร์เบอร์ (Provincetown Harbor) ซึ่งอยู่ในปลายแหลมเคพคอด (Cape Cod) มลรัฐแมซซาชูเสท

    ผู้นำกลุ่มพิวรีแทนทั้งหลายทราบดีว่า เพื่อการอยู่รอดในสังคมทุกๆ สังคมจำเป็นต้องมีกฎระเบียบสำหรับความประพฤติ อันเหมาะสม ดังนั้นผู้ชายประมาณ 41 คนที่อยู่บนเรือเมย์ฟลาวเวอร์ประชุมเลือก ผู้ว่าการรัฐคนแรก (The first governor) และเซ็นสัญญาเมย์ฟลาวเวอร์ (The Mayflower Compact) ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการข้อแรกสำหรับการปกครอง ตนเองในประเทศอเมริกา หลังจากกลุ่มพิลกริมได้ใช้ชีวิตบนเรือประมาณ 1 เดือน และส่งผู้ชายกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งออกไปสำรวจชายฝั่งอ่าวเคพคอด และเมืองพลีมัธ (Plymouth)

    พวกผู้ช่วยได้พบท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีทรัพยากรสมบูรณ์มาก เหมาะต่อการเพาะปลูกและการประมงจึงกลับไปที่เรือรายงานสิ่งที่ พวกเขาได้ค้นพบ อีก 2-3 วัน ต่อมาพวกพิลกริมแล่นเรือเมย์ฟลาวเวอร์ข้ามอ่าวเคพคอดไปยังท่าเรือพลีมัธ และลงเรือเล็กมาเทียบที่ชายฝั่ง บนหินก้อนใหญ่ ก้อนหนึ่ง ในภายหลังหินก้อนนี้ได้รับการเรียกขานว่า หินพลีมัธ (Plymouth Rock) ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการตั้งถิ่นฐานถาวรครั้งที่สองของชาวอังกฤษในอเมริกา

    เมื่อเวลาผ่านไปเข้าสู่ฤดูหนาว (Winter) พวกพิลกริมต้องเผชิญกับการต่อสู้ภัยธรรมชาติ ซึ่งยากที่จะรับมือได้เนื่องจาก ไม่คุ้นเคยและไม่ได้รับการฝึกฝนทนกับความหนาวเย็น การใช้ชีวิตในป่าดงพงไพรอันเต็มไปด้วยโรคต่าง ๆ การทำงานหนัก ตลอดจนอาหารมีไม่เพียงพอ พวกเขาจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากจนถูกคร่าชีวิตไปกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว จำนวนผู้รอดชีวิตเหลืออยู่แค่ 50 คนเท่านั้น

    ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ อันเป็นฤดูกาลถัดจากฤดูหนาว ชายชาวอินเดียนแดงคน หนึ่งเดินเข้ามาในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของพลีมัธ และแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้นำหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ชื่อแมสซาซอยท์ (Massasoit) นำของกำนัลต่างๆ มามอบให้พวกพิลกริม และยังเสนอความช่วยเหลืออีกด้วย โดยสมาชิกในเผ่าของแมสซาซอยท์ได้สอนวิธีการล่าสัตว์ จับปลาและปลูกพืชให้กับพวกพิลกริม นอกจากนี้ยังสอนวิธีการใช้ปลา เป็นปุ๋ยสำหรับปลูกข้าวโพด (Corn) ฟักทอง (Pumpkins) และถั่ว (Beans)มีผลให้พวกพิลกริมสามารถเก็บเกี่ยว พืชผลได้อย่างดีมาก

    ผู้ว่าการวิลเลี่ยม แบรดฟอร์ด (William Bradford) เจริญรอยตามแบบแผนประเพณีเก่าแก่ที่เคยปฏิบัติกันมา ได้กำหนดวันเพื่อขอบคุณพระเจ้าในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1621 และยังได้ใช้โอกาสทางศาสนานี้สร้างสายสัมพันธ์ อันดีงามระหว่างพวกพิลกริม และเพื่อนบ้านชาวอินเดียนแดงเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ว่าการวิลเลี่ยมจึงเชื้อเชิญหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง นายแมสซาซอยท์ และผู้กล้าของเขาให้มาร่วมงานสังสรรการเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้านี้ ซึ่งพวกอินเดียนแดงรับคำเชิญ ด้วยความยินดี และส่งเนื้อกวางมาร่วมงานเลี้ยง ชายฉกรรจ์พิลกริมทั้งหลายจึงออกไปล่าสัตว์ และกลับมายังที่พักพร้อมกับไก่งวง (Turkey) และสัตว์ป่าอื่นๆ ส่วนผู้หญิงเตรียมอาหารอร่อยๆ ซึ่งทำมาจากข้าวโพด ลูกเเครนเบอรี่ (Cranberry) ผลสควอช (Squash) และฟักทอง



    อาหารมื้อเย็นสำหรับขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกเสร็จเรียบร้อยและถูกนำมาเสริฟนอกบ้าน รวมทั้งกองไฟกองใหญ่ที่ก่อขึ้น เพื่อให้ผู้จัด (Hosts) และแขกผู้มาเยือน (Guests) รู้สึกอบอุ่นถึงแม้ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงก็ตามรวมจำนวน ของผู้มาร่วมงานเลี้ยงขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกประมาณ 90 คน และการฉลองนี้ใช้เวลานานถึง 3 วัน ในวันแรกของงานเลี้ยง พวกอินเดียนแดงใช้เวลาหมดไปกับการกิน ส่วนวันที่สองและสามพวกเขาใช้เวลาต่อสู้แบบมวยปล้ำ วิ่งแข่ง ร้องเพลงและเต้นรำกับ คนหนุ่มสาวในอาณานิคมพลีมัธนับเป็นงานเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

    ประเพณีการฉลองวันขอบคุณพระเจ้าของคนอเมริกันในยุคปัจจุบัน มีที่มาจากการฉลองวันขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกดังกล่าว ดังนั้นอาหารหลักบนโต๊ะอาหารในวันนี้ซึ่งถือเป็นอาหารประจำเทศกาลขอบคุณพระเจ้าจะมีไก่งวงอบยัดไส้ (Roast turkey with stuffing) ผลสควอชขนมปังข้าวโพด (Corn bread) และซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) พายฟักทอง (Pumpkin pie) เช่นเดียวกับอาหารที่หาและเก็บเกี่ยวได้ ในยุคสมัยนั้น

    ทุก ๆ ปีชาวอเมริกันประมาณห้าแสนคน จะเดินทางไปเยี่ยมชมเมืองพลีมัธซึ่งกลายเป็นเมืองนำสมัยที่ยกย่องเทิดทูนอดีตกาล ยุคแรกเริ่มของชาวอเมริกันที่นี่ นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมเรือเมย์ฟลาวเวอร์สองได้ซึ่งเป็นเรือที่สร้างเลียนแบบ แรือเมย์ฟลาวเวอร์จริง เยี่ยมชมหินพลีมัธ และใช้เวลาเดินชมหมู่บ้านจำลองของพวกพิลกริมในสมัยแรกเริ่ม ซึ่งจะได้เห็นการดำเนินชีวิตจริง ในยุคนั้น ชาวอเมริกันรุ่นใหม่รู้สึกภาคภูมิใจ และทนงในบรรพบุรุษที่มี ความกล้าหาญของพวกเขาเหล่านี้ซึ่งมีสิ่ง อำนวยความสะดวกน้อยมากถ้าเทียบกับมาตรฐานการ ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน แต่พวกเขายังรู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่ได้รับอันมีคุณค่าอย่างยิ่งหาใดมาเปรียบได้นั่นก็คือ การเก็บเกี่ยวพืชผลที่ดีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและสักการะบูชาตามความเชื่อและปราถนาของพวกเขาเอง

    ที่มา
    ตำนานซานตาคลอส และวันคริสต์มาส | .:: w i k i p e d i a ::.
     
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  16. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้
    พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง
    รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง
     
  17. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  18. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  19. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  20. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467

แชร์หน้านี้

Loading...