เป็นมุสลิมแต่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามากทำไงดีค่ะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย naraluky, 30 กรกฎาคม 2010.

  1. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ชอบจัง น่ารักค่ะ

    และขอเป็นกำลังใจให้คุณ จขกท ด้วยนะคะ
     
  2. อารมณ์สุข

    อารมณ์สุข เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +185
    ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลงด้วยใจ พรึงรำลึกเสมอให้มีสติ
    กายเป็นฐานของใจ บาปไม่บาปมันอยู่ที่ใจเรา หายึดที่ตัวตนไม่
    _____________________________________________
    ยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตรเป็นอิสระ
     
  3. fight001

    fight001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +308
    คนทุกคนมีอิสระที่คิด มีอิสระที่จะเลือก ทั้งการนึกคิดและสติปัญญา ไม่อยากให้ต้องอึดอัด แต่มนุษย์หรือแม้แต่ทุกสิ่ง มีสิทธิ์เลือก สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ถ้าคิดว่ามันดีแล้วก็ทำ หรืออย่างไรก็พิจารณาดูเอา ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง จีน ญวน เมื่อ โดนน้ำร้อนลวกเขาเหล่านั้น ก็ร้อนเช่นเดียวกันหมด เมื่อเขากินข้าว เขาก็อิ่มเช่นเดียวกันหมด ...
    เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอให้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต
     
  4. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ธรรมมะ ของ พระพุทธองค์ ก็คือธรรมชาติที่มันเป็นอย่างนั้น การที่เราจะอยู่ที่ใด

    นับถือศาสนาไหน กฏของธรรมชาติก็จะยังดำเนินไปแบบนั้น เช่นกฏไตรลักษณ์

    อริยสัจ 4 หรืออื่นๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็สามารถทำตามธรรมะ

    ได้ เช่นมีหลายประเทศในยุโรปก็ฝึกนั่งสมาธิ หรืออย่างบางคนนับถือพุทธแต่

    มีเพื่อนนับถือคริสต์ ก็ไปเที่ยวที่โบสถ์ไปดูเขาฟังเพลงเคารพพระเจ้า เราก็ให้มี

    พระพุทธเจ้าอยู่ในใจ สรุปแล้วผมขอแนะนำ สติปัตฐาน 4 คือการเจริญสติ

    อยู่ตลอดเวลา รู้กายรู้ใจ ครับ นี่คือหลักธรรมชาติ ที่คนในครอบครัวหรือ

    คนรอบข้างคุณไม่สามารถขัดขวางได้ รู้ว่าหายใจเข้าพุทธ หายใจออกโท

    มีสติอยู่ที่ลมหายใจ รู้ว่านั่ง รู้ว่ายืน รู้ว่าเคี้ยวอาหาร รู้ว่าเจ็บ มีสติอยู่ที่กาย

    ที่กำลังเคลื่อนไหว แล้วก็ดูที่ใจดูที่อารมณ์ว่าคิดอะไรอยู่แล้วให้วางเฉย

    นี่ก็คือธรรมะ คือธรรมชาติที่ทุกคนทำได้ครับ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด

    ก็ฝึกได้ ร่างกายก็เหมือนโบสถ์ของเรา ถ้าเราไปวัดของพุทธไม่ได้ เราก็

    ดูกายดูใจ
     
  5. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    ขออนุโมทนาสาธุบุญ และเป็นกำลังใจให้ จขกท.นะค่ะ
     
  6. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    สวดบท พุทธคุณ สิครับ อิติปิโสฯ ถ้าได้บทมหาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ได้ยิ่งดีเลย แล้วแผ่เมตตาให้เขามากๆ "ขออำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จงทำให้... หูตาสว่าง เข้าใจในพระธรรมแห่งองค์พระพุทธเจ้า" ทำบ่อยๆ แล้วคุณจะเห็นความอัศจรรย์เอง ทำเอง เห็นเองครับ สาธุ
     
  7. monsy

    monsy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนาด้วยนะคะที่คุณเห็นความจริงในการปฏิบัติเราเองมีคุณพ่อเป็นคริสต์และแต่ก่อนทุกคนก้เข้าตามคุณพ่อต่อมาเมื่อท่านเสียไปทุกคนก็กลับมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทุกคนเลยแต่กรณีของคุณคงจะไม่ได้แน่นอนเพราะครอบครัวยังต้องการผู้นำอยู่มากแต่มีกรณีสึกษาจากผู้ป่วยที่เราได้ไปดูแลคนนึงนะให้ลองพิจารณาเอาไปปรับใช้ดู ผุ้หญิงคนนี้เป้นมุสลิมเหมือนกันป่วยด้วยโรคเอสแอลอีดูๆไปตามที่เราสัมผัสเขาไม่ได้ดูแย่อะไรเลยแต่ดูท้อแท้ เศร้าๆจนลุกเดินไปไหนไม่ได้ครอบครัวมีตัวเขาและลูกสองคน คนโตเรียนกรุงเทพ คนเล้กอยู่เฉพาะกลางคืนสามีตาย กลางวันจะอยู่คนเดียวไม่กิน ไม่ถ่ายรอจนเย็น เราได้คุยกับเขานะแล้วก็เล่าประสบการณ์ที่เราฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้ลูกคนเล็กอยู่รอดโดยใช้หลักพุทธศาสนาชีก็เกิดฮึดสู้นะ(เราทำงานร่วมกับพวกผู้นำชุมชน)แต่เชื่อไหมวิธีคิดของชีเอาหลักของศาสนาตัวเองบางข้อมามิกส์กับของเราแล้วคอยถามว่าอย่างนี้ได้ไหมถูกไหมเพราะชีรู้ของชีเป็นทุนเดิมเช่นการที่ชีวิตเกิดมาแล้วต้องตาย ตายแล้วไปไหนของชีไปอยู่กับพระเจ้าสูงสุด ของเราคือการไม่เวียนว่ายตายเกิดคำว่าสุดๆก่อให้เกิดอะไร คือการทำความดีที่สุดทุกศาสนาจะพูดเรื่องการทำสมาธิหรือฌาณคุณก้อาจจะใช้วิธีเก่าของชาวพุทธมาประกอบกันเพราะเราว่ามันต่างกันที่วิธีเรียกชื่อสมมุติมากกว่านะ แต่พุทธศาสนาที่ต่างไปก็คือการมีปัญญาตัดสินซึ่งเหนือกว่าการทรงฌาณปกติเพราะมีตัวรู้ รู้บ่อยๆก็จะเกิดปัญญา จริงๆเราคินะ(อันนี้คิดเอง)การสวดมนต์กับละหมาดคล้ายคลึงกันนะก่อให้เกิดขณิกะสมาธิ(สมาธิอย่างอ่อน)แต่ตอนที่เราแนะนำชีไปเธอนอนอย่างเดียวมือยังแทบไม่มีแรงขยับเธอบอกว่าใช้วิธีน้อมใจนึกถึงพระเจ้าของเธอกลับไปกลับมาให้ซ้อนๆกันถ้ามันไม่สงบเลยก้ปล่อยมันไปอะไรประมาณนี้ซึ่งตรงกับหลักของศาสนาเราคือการมีสติปัฐฐานคือการมีสติอยู่กับตัวบ่อยๆจนชินจะเกิดปัญญามาตัดสินทำให้ได้วิปัสสนาญาณนะแต่ชีไม่รู้จักคำศัพท์หรอกเราเอามาเทียบเคียงเอง อะไรประมาณนีค้นะคะ ลองดูตัวเราเองต้องเปิดใจลองหาความรู้ตามแหล่งต่างๆแล้วมามิกส์กันนะคะ สุดท้ายตอนนี้ชีก็ช่วยเหลือตัวเองได้ไปไหนมาไหนได้บ้างแล้วใช้เวลาประมาณปีกว่าค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะคุณได้เปรียบเพราะมีทุนเดิมอยู่แล้วทั้งสองศาสนา สำคัญที่ว่าคุณอาจจะเก็บเรื่องที่ได้สัมผัสทวารทั้งหกมากไป รู้แล้วปล่อยไปให้มันจบไปถือว่าเราเกิดมาใช้หนี้ให้สิ่งไม่ดีที่ได้เจอไม่ต้องหนีมันอีกต่อไป สู้ๆค่ะ
     
  8. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    เป็นเพราะเคยมีกรรมร่วมกับคนต่างศาสนามามั้งครับ จะว่าไปแล้วก็คือทำให้ลำบากเวลา ทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือที่เกี่ยวกับพุทธ แต่ว่าจริงๆแล้ว เราก็สามารถแอบทำได้ ถ้าคิดจะรักษาน้ำใจกันอยู่ ถือว่าเป็นกรรมของเราเอง ให้เป็นชาตินี้ชาติเดียวก็พอ ชาติต่อๆไปถ้าเกิดอีก ขออยู่ในพระพุทธศาสนาตลอดไป แ่ต่ถ้าหักดิบอันนี้ผมก็ไม่ทราบแล้วหละครับ

    ขึ้นชื่อว่ากรรม ไม่มีทางหนีไปไหนได้ครับ มันไม่มาชาตินี้ มันก็ต้องมาในซักชาติหนึ่ง
     
  9. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +1,019
  10. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ทำในใจ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบอกใคร
     
  11. passakorner

    passakorner เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +1,034
    ผมอนุโมทนาสาธุด้วยน่ะครับ การที่ได้เกิดในศาสนาพุทธนับว่าประเสริฐ ในตรงส่วนนี้คนมักไม่เห็นเพราะกิเลสบังตากันหมด สำหรับพี่น่าเห็นใจมาก แต่การที่จะพลีพลามออกมากระทัน และเขารู้นั้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาหนักตามมา ก็แล้วแต่พี่น่ะครับ อาจจะขอเลิก (เป็นไปได้ยาก) แอบทำต่อไป หรือ แสดงเจตนารมณ์ว่าเราอยากจะนับถือศาสนาพุทธบอกตรงๆกับสามี คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรน่ะครับ สู้ๆๆครับ

    " ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานับว่าดีมากแล้ว "
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เคยได้ยินมานะคะ ว่าในบางหมู่บ้านที่นับถือมุสลิมหากใครไม่นับถือด้วยจะถูกมาตรการทางสังคมต่อต้าน

    ดิฉันว่าความเป็นพุทธมันเป็นธรรมชาติในตัวคุณอยู่แล้ว จะทำละหมาดอยู่จิตคุณก็ถึงพระพุทธเจ้า พยายามประคับประคองครอบครัวไปค่ะ จิตคุณเป็นพุทธตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าท่าทางในการเคารพของคุณจะแตกต่างจากชาวพุทธทั่วไปก็ตาม แต่ใจคุณถึงคุณแห่งพระรัตนตรัยยิ่งกว่าคนที่นั่งพนมมือไหว้ต่อหน้าพระพุทธรูปก็ได้

    สมัยที่พระสงฆ์ต้องถูกฆ่าตายเพราะปฎิวัติวัฒนธรรมในจีนบ้าง หรือเพราะเข้าไปเผยแพร่พุทธศาสนาในดินแดนมุสลิมบ้าง ท่านยอมสละตายเพื่อแสดงออกถึงความเคารพต่อธรรม ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ท่านใจเด็ด แต่ว่าพวกเราๆจะสละตายซึ่งการสละตายเป็นปรมัติธรรมที่ยังทำได้ยากนะสำหรับเราๆท่านๆ ดังนั้นเรายังไม่สมควรที่จะสละตายแต่จะดำรงพระพุทธศาสนาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ใจจะไม่คลอนแคลนเลย ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจค่ะ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2010
  13. ohogamez

    ohogamez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +2,327
    OO จากอิสลาม ..เข้าถึงพุทธฯ ที่สุดละเอียดOO


    จากคำบอกเล่าของ
    คุณจีราภา เศวตนันท์

    วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
    ( ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี)​
    เดิมทีข้าพเจ้าไม่ได้นับถือศาสนา พุทธมาก่อน ไม่เคยศรัทธา ไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง โดยเฉพาะเรื่องการทำสมาธิ ก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรียกว่า ถ้าเอ่ยกันถึงคำว่า “พุทธ” จะมีความรู้สึกว่าไม่ชอบเอาเสียจริงๆ



    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเคยได้ รับคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ว่า พระพุทธเจ้าไม่มีตัวตน มีแต่เพียงคำสอนซึ่งเป็นพระคัมภีร์ แต่ถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ตายไปนานแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ฉะนั้นการกราบไหว้บูชารูปปั้นนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นเอง แล้วก็โมเมเอาว่านี่แหละคือพระพุทธเจ้า บูชากันไปบูชากันมา ดีไม่ดีกลายเป็นพวกผีไม่มีญาติเข้าไปสิง จะกลับให้โทษเสียอีก หรือถ้าบูชาไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป


    แล้วเรื่องการทำสมาธิอีกอย่าง อย่าให้นั่งเด็ดขาด จะทำให้เป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะเมื่อนั่งๆ ไป จะต้องเห็นผีสางต่างๆ นานา ที่ผู้ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะรู้ว่าเด็กๆ ทุกคนย่อมกลัวผีเป็นธรรมดา เรียกว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เขาจะต้องต่อต้านทุกเรื่องไป


    ที่ว่าไม่ได้นับถือพุทธ คือบิดาเป็นคริสตัง มารดาเป็นมุสลิม แต่บิดาเสียไปในขณะที่มารดาตั้งท้องข้าพเจ้าได้ ๒-๓ เดือน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนับถืออิสลามตามแม่ ซึ่งแน่นอนที่สุด ในครอบครัวชาวมุสลิมเขาจะเคร่งครัดในศาสนามาก การวางตัวในสังคมก็มีขีดจำกัดไปเสียทุกอย่าง แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้สามีเป็นชาวพุทธ แถมยังชอบและสนใจในเรื่องปฏิบัติธรรมเสียอีก


    วันหนึ่งสามีของข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสือที่กล่าวถึง “ธรรมกาย” ของหลวงพ่อสด ซึ่งมีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไปมาอ่าน อ่านแล้วก็คุยกันตามประสาสามี-ภรรยา เรามีความเห็นว่า เท่าที่ได้อ่านและถามๆ คนอื่นดู ก็รู้สึกว่า ธรรมกายนั้นถ้าจะปฏิบัติไม่ใช่ของง่ายๆ เคยมีคนเขาบอกว่า ที่ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ (วัดภูเขาทอง) เขามีสอนอยู่ จะชวนข้าพเจ้าไป ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบวิชานี้ เราไม่ไป เขาก็ [จึง] ไม่ไป เป็นอันจบ


    หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้ฝันว่า หลวงปู่ทวดท่านมาชวนว่า ให้จับมือท่านไว้ จะพาไปพบ“หลวงพ่อสด” ที่พระนิพพาน ในฝันว่าลอยไปอย่างสบายเลย คำแรกที่หลวงพ่อสดท่านพูดกับข้าพเจ้าก็คือ “เราชื่อสด จะมาฝึกธรรมกายไหม ?” ใน ฝันก็ตอบท่านไปว่า “ไม่ฝึก” เพราะเคยอ่านหนังสือเลยรู้สึกยาก ท่านก็ไม่พูดอะไร ทำหน้าเฉยๆ เมื่อตื่นขึ้นก็เล่าให้สามีฟัง เขารีบบอกทันทีว่าเป็นนิมิตที่ดี ในที่สุดก็ขัดคำชวนที่จะไปวัดสระเกศไม่ได้ เรื่องวัดเรื่องวาก็ไม่เคยจะรู้ธรรมเนียมเท่าไรนัก รับศีลก็ไม่เป็น ต้องเอาหนังสือของวัดมาดูเวลาที่เขารับศีล วุ่นวายอยู่เป็นเดือน แม้แต่ปัจจุบัน การสวดมนต์ทำวัตรก็ยังไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก อาศัยฟังบ่อยๆ ก็ชักชินหู


    การฝึกปฏิบัติธรรมในวันแรก ก็แยกกลุ่ม วิทยากรเขาแนะนำให้กำหนดดวงแก้วกลมใส ประมาณเท่าฟองไข่แดงของไก่ เริ่มจากช่องจมูกซ้าย ว่า “สัมมาอะระหังๆๆ” แล้วเลื่อนดวงแก้วไปตามฐานต่างๆ จนถึงฐานที่ ๗ เหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ ให้จรดใจนิ่งไว้ตรงกลางดวงแก้วกลมใสนั้น แล้วกำหนดจุดเล็กใสขึ้นที่ศูนย์กลางดวงแก้วกลมใส เขาให้ทำอะไรก็ทำตามไป ไม่ได้คิดอะไร ครั้นเมื่อนิ่งถูกส่วนเข้า วิชชาก็เริ่มเดิน* [คำว่า “เดิน” ในที่นี้ หมายถึง “เจริญ” กล่าวคือ เจริญภาวนาหรือเจริญวิชชา] จากดวงปฐมมรรคเข้าสู่กายธรรม กายในกาย ณ ภายใน เริ่มโตใหญ่ใสละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ตายแล้ว อะไรกันนี่ ! จิตใจเริ่มสับสน เมื่อใจไม่จรดศูนย์ วิชชาก็หยุดเดิน* เมื่อคลายจากสมาธิ วิทยากรถามว่า เห็นดวงแก้วแจ่มใสไหม ? เลยตอบว่า “แจ่มใสดีค่ะ"


    อาทิตย์ต่อมาก็ได้ ๑๘ กาย กับพระวิทยากร จึงรู้ว่า เป็นอย่างที่เราทำได้ถึงในคราวก่อน เลยเสียท่าไปแล้ว เมื่อพระท่านสอนเสร็จ ก็มีการซักถามกันพอสมควร ว่าทำไมกายพระคือเรานั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็ให้ความกระจ่างดี จึงเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ทีนี้ชักเริ่มสนุก แต่ยังคิดไม่ถึงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปอีก เพียงแต่พระวิทยากรท่านว่า ต่อไปนี้อย่าให้เสียท่าอีกนะ ให้ปล่อยใจหยุดนิ่งไปตามญาณวิถี ในที่สุดก็ได้ต่อวิชชาชั้นสูงกับหลวงพ่อเสริมชัย แต่ก่อนที่จะได้ฝึกกับท่าน ได้ทำสมาธิ เดิน ๑๘ กาย ซ้อนสับทับทวีที่บ้าน ก่อนจะคลายจากสมาธิ ก็หยุดตรึกนิ่งไปที่จุดสุดท้ายของการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็น ตามที่พระวิทยากรท่านสอน ก็มีเสียงก้องกังวานขึ้นว่า “วันข้างหน้าจะต้องพบกับอาจารย์ที่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต เขาผู้นี้จะรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง และจะเป็นผู้ให้วิชชาทั้งหมดแก่เรา"


    ต่อมาจึงได้รับการฝึกเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับ หลวงป๋า [หมายถึง พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ซึ่งผู้เขียนมีความเคารพเสมือนบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางธรรม] ในการฝึกวิชชาชั้นสูง นับตั้งแต่เริ่มพิสดารกาย เป็นเถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด ฯลฯ คำสอนต่างๆ ของหลวงป๋าในวิชชาชั้นสูงนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นเมื่อเจริญภาวนาเสร็จแต่ละครั้ง ต้องคอยถามว่าจุดนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นใช่ไหม ? ตามปกติเป็นคนไม่ค่อยกล้า แต่ก็กลัวจะทำผิดจากวิชชาของท่าน จึงจำเป็นต้องรายงานผลการปฏิบัติให้ท่านทราบตลอดเวลา ประกอบกับหลวงป๋าท่านมีเมตตา เอาใจใส่กับลูกศิษย์ ในที่สุดก็เข้าถึงต้นธาตุต้นธรรม ... เราทำผิดท่านก็ไม่เคยว่า ยิ่งทำให้เรามีกำลังใจและเกิดความอบอุ่น


    อยู่มาวันหนึ่ง หลวงป๋าท่านเรียกมานั่งข้างหน้าเพื่อแนะนำวิธีปฏิบัติ ... ก็พอดีศาลาข้างๆ มีงานศพเป็นคนจีน หูเราก็บังเอิญได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ ไปแวบคิดว่าสวดอย่างนี้เขาเรียกว่าสวดกงเต็กหรือเปล่า ? เสียงหลวงป๋าพูดทันที “ให้มานั่งสมาธิ ไม่ใช่มาคิดนอกเรื่อง” ไม่ใช่ครั้งนี้ที่ท่านคอยเตือน ตลอดเวลาที่เจริญภาวนากับท่าน จะได้ยินคำเตือนเสมอ เมื่อจิตไม่ตกศูนย์ นี่แสดงว่าตลอดเวลาท่านจะคอยประคับประคองจิตของเราให้หยุดให้นิ่งอยู่ตลอด เวลา ในเรื่องของวิชชา ท่านไม่เคยหวงใคร รับได้เท่าไร ตามสภาพภูมิธรรม ท่านก็เปิดให้หมด


    ในที่สุดเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานในพระนิพพาน เข้าถึงธาตุล้วนธรรมล้วนของต้นๆ ... ได้รู้ซึ้งถึงพลังและอานุภาพของธรรมกาย โดยการมุ่งเข้าสู่เขตธาตุเขตธรรมต่อๆ ไปเป็นทับทวี โดยไม่ถอยหลังกลับ ... หลวงพ่อสดก็ผุดขึ้นพร้อมกับเสียงก้องกังวานมาทันทีว่า “ตนนั้นต้องทำให้วิชชาธรรมกายให้เป็นวิชชาที่ไม่ตาย ความหมายก็คือ ให้ทำวิชชาเป็นอยู่ตลอดเวลา และต้องเผยแพร่ต่อๆ ไปด้วย ข้อสำคัญ ต้องรวมธาตุธรรมฯ มากลั่น และละลายธาตุธรรมดำนั้น ดับอธิษฐานถอนปาฏิหาริย์จนหมดธาตุธรรมภาคดำและกลางๆ และให้เป็นแต่ธรรมกายที่เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน แต่จงจำไว้ จำทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจะต้องใช้เมตตาพรหมวิหารเป็นที่ตั้ง อย่าทำด้วยความรุนแรง (ด้วยกิเลส) และขาดสติ แล้วจะประสบผลสำเร็จ"


    เมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อสด...“จงใช้เมตตาเป็นที่ตั้ง ทำเช่นนั้นไม่ถูก” จิตที่กล้าแข็งก็เริ่มอ่อนโยนลงทันที ใจก็คิดว่า การที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะหน้าที่ ไม่ใช่ด้วยความอาฆาต ก็น่าแปลก ฝ่ายอกุศลจะเริ่มถอยอวิชชาของเขาออกไปทีละน้อย แต่เราต้องคิดเสมอว่าต้องไม่ประมาท โดยเราต้องทำวิชชาให้นำหน้าเขาอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะถูกภาคอกุศลสอดเข้ามาในสุดละเอียดของเราได้


    ฝึกเดินวิชชาอยู่ประมาณเดือนเศษ ก็มีการอบรมพระกัมมัฏฐานที่สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ในเดือนธันวาคม หลวงป๋าก็ชวนให้ไปที่ดำเนินสะดวก เมื่อไปถึงที่นั่น ก็ไปยืนอยู่ข้างๆ ศาลาอเนกประสงค์ หันหน้าไปทางซ้ายมือ เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่รอบเกาะ รู้สึกว่าลมเย็นสบายดี จึงยืนทำวิชชาเข้าสุดละเอียดไปเรื่อยๆ เมื่อหยุดตรึกนิ่งก็เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมาจากกลางบ่อนั้น จึงสอบถามคนที่นั่นว่า ตรงนั้นเขาจะสร้างอะไรหรือ ? ต่อไปบริเวณเกาะนั้นจะเป็นวิหารธรรมกาย ต่อไปเมื่อเป็นวัด จะยกฐานะขึ้นไปอุโบสถ พอรู้เช่นนั้น ความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรเหมือนกัน


    ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ (รุ่นที่ ๑๑) คราวนั้นหลวงป๋าท่านเมตตาอนุญาตให้เป็นวิทยากรสอนโยมเป็นครั้งแรก พูดก็ไม่เป็น ยังเขินๆ อยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกกลัวไปเสียหมด ทีกลัวเพราะว่า กลัวจะพูดไม่เข้าใจ แล้วก็กลัวเขาจะว่า สอนเขาแล้วตัวเองรู้หรือเปล่าว่าเขาเห็นจริงหรือไม่ หันไปหันมา ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเข้าไปในธาตุธรรมของหลวงพ่อสด สวมความรู้สึกเข้าไปเป็นท่านเลย ก็น่าแปลก ความประหม่าหายไปหมด กลับมีพลังอะไรไม่รู้เกิดขึ้น คือมีความคิดว่าจะต้องทำตัวเราให้ใส สักครู่เป็นการตั้งสติไปในตัว พอเริ่มสอน ระหว่างที่พูดก็เอาธาตุธรรมของแต่ละคนมาซ้อนในที่สุดละเอียดของเรา ตอนนั้นมีลูกศิษย์อยู่ ๔-๕ คนเห็นจะได้ ก็เห็นทันทีว่าแต่ละคนเขาทำได้แค่ไหน สอนเสร็จคลายจากสมาธิ ก็ยังไม่เชื่อตัวเองอีก จึงทดสอบตัวเอง โดยการสอบถามทีละคนตามสภาพภูมิธรรมของแต่ละคน ปรากฏว่าถูกต้องหมด ก็เกรงว่า นี่เราทำอะไรโดยพลการหรือเปล่าหนอ ? จึงรีบกราบเรียนหลวงป๋า ท่านกลับไม่ว่าอะไร แถมยังแนะนำเคล็ดลับวิชชาครูเพิ่มให้อีก แล้วยังสอนให้เดินเครื่องธาตุเครื่องธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้ผู้ที่ทำวิชชาฝืดๆ เพื่อที่เขาจะได้เดินวิชชาอย่างแจ่มใสโดยตลอดอีกด้วย ความรู้ในเรื่องวิชชาเริ่มได้รับจากท่านเป็นระยะๆ อย่างไม่เคยหวงวิชชาเลย บุญคุณอันนี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะบรรยายออกมาด้วยคำพูดได้


    ทีนี้ ขอย้อนกล่าวถึงสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ।ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ทุกครั้งที่มีการอบรมเยาวชนก็ดี อบรมพระก็ดี จะเห็นเหล่าเทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม เต็มท้องฟ้าไปหมด เรียกว่า สว่างไสวไปทั่วทั้งสถาบันเลย เขาคงมาเป็นกำลังใจอนุโมทนากับเหล่าพุทธบริษัทที่มาอบรมกันตลอดเวลา สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นมีพญานาคองค์มหึมาคอยอำนวยความสะดวกให้ คือพอเริ่มนั่งสมาธิทีไร จะเป็นการสอนหรือทำวิชชาก็ดี เขาจะมาขดเป็นอาสนะเหมือนปางนาคปรกให้เราสบายดีอีกด้วย นี่ที่สถาบันฯ นะ ต่อพอกลับกรุงเทพฯ เขาไม่ยอมตามมาด้วยหรอก น่าเสียดาย เพราะเวลาเขาให้เรานั่ง รู้สึกสบายบอกไม่ถูก จึงกราบเรียนเล่าให้หลวงป๋าฟัง ท่านบอกว่าเป็นของประจำอยู่ที่สถาบัน ช่วยดูแลสถาบันฯ ของเรา ก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ เพราะตลอดเวลาที่ทำวิชชากับท่าน จะเห็นประจำอยู่แล้ว ว่าพลังและอำนาจของบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ของท่านมหาศาลขนาดไหน ใครอยากรู้ลองแอบดูเอาเอง ถ้าจิตเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดและเป็นสายธาตุธรรมเดียวกันคือสาย ขาว ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงได้ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเป็นเรื่องของวิชชา แต่อย่าลืมนะ ก่อนจะทำอะไรควรนึกขอขมาท่านเสียก่อนด้วย เพราะครูบาอาจารย์เป็นของสูง


    เมื่อตัวเองนี้ได้เข้าถึง รู้ เห็น และเป็น เช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่ามัวเสียเวลาอันมีค่าของชีวิตเลย เพราะทุกลมหายใจเข้าออกนั้นมีค่าเสียเหลือเกิน มาปฏิบัติธรรมกันเถอะ ไม่มีอะไรยากเกินกำลังของมนุษย์เราเลย ถ้าท่านตั้งใจจะปฏิบัติธรรม รักษาศีลอย่างน้อยศีล ๕ เราไม่บกพร่อง ก็พ้นจากอเวจีมหานรกได้แล้ว ส่วนการปฏิบัติธรรมในแนวของธรรมกายก็ไม่ยากเลย เพียงแต่ขอให้ “หยุด” ตัวเดียวเท่านั้น ที่ว่ายากนั่นก็เพราะเราไม่หยุดจริงนั่งเอง ถ้าจิตของเราหยุดนิ่งจริงแล้ว การเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายนั้นจะรู้ได้ทันทีว่า วิชชาไม่มีสิ้นสุด คือเราจะเข้าไปในที่สุดละเอียดขององค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุดละเอียดได้ เรื่อยๆ ถ้าท่านทำได้จะรู้สึกว่าการเจริญภาวนานั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเลย เพราะท่านสามารถค้นพบข้อมูลหรือสิ่งใหม่ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา เป็นการเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติทั้งฝ่ายพระและฝ่ายมารในตัว เรานี้แหละได้ดี อย่างที่ท่านไม่เคยได้รู้เห็นมาก่อนเลย เป็นธรรมวิจยะ ให้สามารถแยกธาตุธรรมภาคพระ (ธรรมขาว) ภาคมาร (ธรรมดำ) ภายในตัวเราเองได้ แล้วเก็บธาตุธรรมภาคมาร (ธรรมดำ) เสีย ให้เหลือแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของฝ่ายพระ (ธรรมขาว) เป็นเราได้ มีผลให้กาย วาจา ใจ ของเราสะอาดบริสุทธิ์ ตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ให้ละชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ประกอบแต่กรรมดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ และตรงกับพระพุทธวจนะที่ว่า กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต บัณฑิตพึงละธรรมดำเสีย พึงยังธรรมขาวให้เจริญ [สํ।มหา।19/28] เพราะว่าการเข้าถึง รู้ เห็น และเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนฝ่ายพระหรือธรรมขาวนั้น ให้เป็นสุขด้วยความสงบดีนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2010
  14. ohogamez

    ohogamez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +2,327
    <CENTER class=D>สรณะที่เกษมและไม่เกษม</CENTER><CENTER class=D></CENTER><CENTER class=D></CENTER><CENTER class=D></CENTER><CENTER class=D>พระศาสดาตรัสว่า</CENTER><CENTER class=D></CENTER><CENTER class=D>"อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้น นั่นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย, ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้" </CENTER><CENTER class=D></CENTER><CENTER class=D>
    ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
    </CENTER><CENTER class=D><TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD><TD>พหุ ํ เว สรณํ ยนฺติ <TD>ปพฺพตานิ วนานิ จ <TR vAlign=top><TD><TD>อารามรุกฺขเจตฺยานิ <TD>มนุสฺสา ภยตชฺชิตา <TR vAlign=top><TD><TD>เนตํ โข สรณํ เขมํ <TD>เนตํ สรณมุตฺตมํ <TR vAlign=top><TD><TD>เนตํ สรณมาคมฺม <TD>สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ. <TR vAlign=top><TD><TD>โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ <TD>สงฺฆญฺจ สรณํ คโต <TR vAlign=top><TD><TD>จตฺตาริ อริยสจฺจานิ <TD>สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ <TR vAlign=top><TD><TD>ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ <TD>ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ <TR vAlign=top><TD><TD>อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ <TD>ทุกฺขูปสมคามินํ <TR vAlign=top><TD><TD>เอตํ โข สรณํ เขมํ <TD>เอตํ สรณมุตฺตมํ <TR vAlign=top><TD><TD>เอตํ สรณมาคมฺม <TD>สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.


    <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง; สรณะนั่นแลไม่เกษม, <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้น <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>จากทุกข์ทั้งปวงได้. <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ; สรณะนั่นแลของ <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>บุคคลนั้นเกษม, สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น <TR vAlign=top><TD><TD colSpan=2>ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER class=D>
    แก้อรรถ </CENTER><CENTER class=D>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุ ํ ได้แก่ พหู แปลว่ามาก.
    บทว่า ปพฺพตานิ เป็นต้น ความว่า มนุษย์เหล่านั้นๆ อันภัยนั้นๆ คุกคามแล้ว อยากพ้นจากภัย หรือปรารถนาลาภทั้งหลาย มีการได้บุตรเป็นต้น ย่อมถึงภูเขา มีภูเขาชื่ออิสิคิลิ เวปุลละและเวภาระเป็นต้น ป่าทั้งหลาย มีป่ามหาวัน ป่าโคสิงคสาลวันเป็นต้น อารามทั้งหลาย มีเวฬุวันและชีวกัมพวันเป็นต้น และรุกขเจดีย์ทั้งหลาย มีอุเทนเจดีย์และโคตมเจดีย์เป็นต้นในที่นั้นๆ ว่าเป็นที่พึ่ง.
    สองบทว่า เนตํ สรณํ ความว่า ก็สรณะแม้ทั้งหมดนั่นไม่เกษม ไม่อุดม ด้วยว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นต้น เป็นธรรมดา แม้ผู้หนึ่ง อาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีชาติเป็นต้นได้.
    คำว่า โย จ เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสรณะอันไม่เกษม ไม่อุดมแล้ว ปรารภไว้เพื่อจะทรงแสดงสรณะอันเกษม อันอุดม.
    เนื้อความแห่งคำว่า โย จ เป็นต้นนั้น (ดังต่อไปนี้) :-
    ส่วนบุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม อาศัยกัมมัฏฐาน คือการตามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้นว่า
    "แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถแห่งความเป็นวัตถุอันประเสริฐ,
    การถึงสรณะนั้นของบุคคลแม้นั้น ยังกำเริบ ยังหวั่นไหว ด้วยกิจทั้งหลายมีการไหว้อัญเดียรถีย์เป็นต้น, แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงความที่การถึงสรณะนั้นไม่หวั่นไหว เมื่อจะทรงประกาศสรณะอันมาแล้วโดยมรรคนั่นแล จึงตรัสว่า ‘ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาชอบ.’ ด้วยว่าบุคคลใดถึงรัตนะทั้งหลาย มีพระพุทธรัตนะเป็นต้นนั่นว่า เป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถแห่งการเห็นสัจจะเหล่านั้น,
    สรณะนั้นของบุคคลนั้นเกษมและอุดม และบุคคลนั้นอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เอตํ โข สรณํ เขมํ" เป็นต้น.
    ในกาลจบเทศนา ฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมด บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ทูลขอบรรพชาแล้ว.
    พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ออกจากกลีบจีวร ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์." </CENTER><!-- google_ad_section_end -->__________________



    [MUSIC]http://www.aia.or.th/prayer32_32.mp3[/MUSIC]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  15. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    ไม่เห็นต้องกังวลเลยค่ะ..ก็ถือศาสนาพุทธไปเลย.เข้าวัด ฟังธรรม นั่งสมาธิ ทำบุญ..มีของดีอยู่กับตัวอยู่แล้ว..จะทิ้งทำไมล่ะคะ เป็นตัวของตัวเองเถอะค่ะ ถ้าสามีรักคุณจริงๆ ศาสนาคงไม่ใช่ข้อห้ามไม่ให้คนรักกัน คนเราถ้ารักกันจริงก็ต้องยอมรับกันได้ ยอมรับความคิดเห็น,ตัวตน และความเชื่อส่วนบุคคลของเราได้ ถ้าสามีรักคุณจริง คุณจะนับถือศาสนาอะไร เค้าก็ไม่ทิ้งคุณหรอกค่ะ..เข้มแข็งนะคะ คุณแม่ของบัวก็เคยนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน เวลาไปกะพวกญาติๆ บัวต้องทักทาย(สลามบริกุม)..ต้องไปทำละหมาด ต้องไม่กินหมู..แต่เวลาผ่านไปคุณแม่กับบัวก็กลายมาเป็นพุทธเต็มตัว..และญาติที่เคยนับถืออิสลามหลายๆคนก็กลายมาเป็นพุทธเหมือนกัน ตอนแรกๆพวกญาติที่เป็นอิสลามก็ไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปพวกเค้าก็ชินกันไปเอง..เห็นเป็นเรื่องปกติไม่ถือสา เพราะเรามีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลญาติๆอยู่ตลอด พูดจาดี รักษาน้ำใจพวกเค้า.ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะคะ ..อย่าคิดไปก่อนล่วงหน้าเลยค่ะ มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะคะ ลองเจรจากับสามีคุณดูนะคะ คนเรารักกัน..ต้องเข้าใจและยอมรับกันจนได้ล่ะค่ะ

    บัวคงไม่แนะนำให้คุณนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วไปทำละหมาดแทนการสวดมนต์ เพราะคนเราเวลาทำอะไรที่มันฝืนตัวเอง..มักจะทำได้ไม่นาน มันเหมือนกับหลอกตัวเอง หลอกใครก็หลอกได้ แต่อย่าหลอกตัวเองเลยค่ะ นอกซะจากว่าครอบครัวคุณเป็นครอบครัวเดี่ยวคุณกับสามีอยู่ด้วยกันสองคน แล้วนานๆก็ไปเยี่ยมญาติ อย่างนี้ก็ค่อยไปละหมาดกับญาตินานๆครั้งก็ได้..แต่ถ้าอยู่กับญาติอิสลามแล้วต้องละหมาดพร้อมกับนึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย ก็ทำได้นะคะ แต่จะเป็นการฝืนตัวเองมากไปหรือเปล่า คนเราเกิดมาคนเดียว เวลาตายก็ตายคนเดียว จะไปนิพพาน ไปนรกสวรรค์ ก็ไปคนเดียว คนอื่นไม่ได้ไปกับเราด้วย ญาติๆคุณ..เค้าก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า อีกไม่นานก็ต้องตายจากกันไป คุณจะไปแคร์อะไรมากมาย ถ้าคุณคิดว่าศาสนาพุทธดี และคุณศรัทธา ก็นับถือและปฏิบัติไปเถอะค่ะ

    ส่วนงานในบ้าน นอกบ้าน ก็ต้องไม่ให้บกพร่อง เกื้อกูลพ่อแม่ญาติๆของสามี พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือการงานทุกอย่าง ซื่อสัตย์ไม่นอกใจ ..ถ้าเราทำดีขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วค่ะ ยังงัยเค้าก็ไม่ทิ้งคุณเพียงเพราะนับถือศาสนาต่างกันหรอกค่ะ แต่ถ้าเค้ายอมรับไม่ได้จะไปจากคุณ..ก็ปล่อยให้เค้าไปเถอะค่ะ เพราะเค้าคงไม่ได้รักคุณจริงและผู้ชายดีๆที่นับถือศาสนาพุทธยังมีอีกเป็นหลายร้อยล้านคนบนโลกนี้ค่ะ

    สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าอะไรๆก็ยอมกันได้ แต่เรื่องนี้ไม่ควรจะยอมเพราะ คนที่ผิดกรรมบถ10 ก็ต้องลงนรก กรรมบถ10 ข้อสุดท้ายคือมีความเห็นถูก มีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่คัดค้าน เห็นว่าบุญบาปมีจริง คนทำดีย่อมได้ดี คนทำชั่วย่อมได้ชั่ว นรก,สวรรค์มี และนิพพานก็มี โลกนี้โลกอื่นมี ชาตินี้ชาติหน้ามี ระวังอย่าให้จิตเห็นผิดว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป เพราะความเห็นผิดเป็นโทษที่ร้ายแรงมาก ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความเห็นผิด เพราะผู้ที่มีความเห็นผิดสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง ทำบาปได้ทุกชนิด โดยไม่มีความละอาย ย่อมทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อนทั้งชาตินี้และชาติหน้าไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งผลของความเห็นผิดนั้นจะต้องลงนรก หากผู้นั้นไม่ได้ลงนรก เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับสิ่งเหล่านี้คือ
    มิจฉาทิฏฐิ ผลของความเห็นผิด มี ๔ ประการ คือ

    ๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม
    ๒. มีปัญญาทราม
    ๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร
    ๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน

    ที่มา:http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11330

    ยังงัยก็ขอให้คุณโชคดี ได้นับถือศาสนาพุทธและปฏิบัติในแนวทางที่คุณศรัทธานะคะ

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2010
  16. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    สวัสดีค่ะ คุณจขกท.
    ดิฉันเจอคล้ายๆกับคุณค่ะ คือแต่งงานกับมุสลิม(ต่างชาติ) แต่ไม่เปลี่ยนศาสนา สามีบอกเค้าไม่สามารถบังคับเราได้ แต่เค้าแต่งงานกับเราเพราะเค้ารักเรา ถ้าเราจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม เค้าจะดีใจมาก แต่ดิฉันไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ เพราะดิฉันเชื่อคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดิฉันทำไม่ได้ บางครั้งสามีก็บอกให้พูดบิสมินลาทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไร ดิฉันพูดค่ะ แต่ในใจนึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เคยไปมัสยิดกับแม่สามีค่ะ แม่สามีสอนละหมาด แต่ในใจเราว่าอิติปิโสฯ ตลอดเลย เราว่าในใจเค้าไม่รู้ ยังคิดว่าตัวเองโชคดี ที่เค้าไม่ได้บังคับเราค่ะ ดิฉันเคยหาคำตอบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี หากเราต้องทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกับเค้า ได้รับคำตอบจากกระทู้นึงของหลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ ว่าเราว่าในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าในใจ เค้าไม่รู้หรอก ดิฉันทำตามค่ะ หรือบางทีเค้าขอพรจากพระเจ้าให้เรา(เค้าเรียกว่าดุอา) แต่ในใจเราว่า ขออำนาจบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเคยทำมาสงเคราะห์ฯ เราว่าของเราในใจอย่างนี้ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ เวลาดิฉันสวดมนต์ดิฉันสามารถสวดได้ค่ะ แต่บอกสามีก่อนว่าจะสวดในห้องนะ เค้าจะไม่รบกวนเราเลยค่ะ หรือถ้าเค้าขอให้เราละหมาดกับเค้า ดิฉันทำค่ะ แต่ในใจนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียวค่ะ
     
  17. FIRAT

    FIRAT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +40
    เป็นอิสลามทั้งบ้าน<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 250px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: inline-table; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 250px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 250px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 250px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px"><IFRAME style="POSITION: absolute; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=google_ads_frame1 height=250 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1280577759&flash=10.1.53.64&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599-1227.html&dt=1280577759765&shv=r20100721&correlator=1280577759785&frm=0&adk=3048683077&ga_vid=621201095.1280244583&ga_sid=1280575399&ga_hid=424228927&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=180&u_his=2&u_java=1&u_h=768&u_w=1366&u_ah=728&u_aw=1366&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1345&bih=531&ref=http%3A%2F%2Fwww.google.co.th%2Fsearch%3Fsourceid%3Dnavclient%26ie%3DUTF-8%26rlz%3D1T4TSEH_enSA383SA384%26q%3D%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%259e%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25a4%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a9%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25b3%2B%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a1&fu=0&ifi=1&dtd=110&xpc=UZqNTw5qNS&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME></INS></INS>
    ผู้ถาม
    กระผมเป็นอิสลาม พ่ออิสลาม แม่อิสลาม อิสลามทั้งบ้าน แต่ผมมีความเลื่อมใสหลวงพ่อมาก และเคยมาฝึกมโนมยิทธิ ได้แว๊บ ๆ แวม ๆ ตอนนี้ก็ไหว้ทั้งพระพุทธและไหว้ทั้งพระอิสลามด้วย อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ท่านจะทะเลาะกันหรือเปล่าครับ?


    หลวงพ่อ
    พระเขาไม่ทะเลาะกันหรอก ไม่เป็นไร ความจริงไม่เสียหายอะไร...ทำได้ดี


    ผู้ถาม
    มีอีกคนถามว่า แม่เป็นอิสลาม ลูกทำบุ_ในศาสนาพุทธ แม่จะได้รับหรือไม่ครับ?


    หลวงพ่อ
    แม่พอใจด้วยหรือเปล่า?


    ผู้ถาม
    เอ...อันนี้แม่ตายหรือแม่เป็นก็ไม่รู้ครับ


    หลวงพ่อ
    ถ้าเป็นนะ...ทำบุ_แล้วมาบอกท่าน ท่านยินดีหรืออนุโมทนาด้วย...อันนี้ได้ ถ้าตายแล้วไม่เป็นไรเพราะผีเขาไม่เลือกศาสนา ให้เขาโมทนาด้วยก็ได้ ถ้าเขาไม่มาโมทนาด้วย...ไม่ได้


    ผู้ถาม
    อีกคนหนึ่งถามว่า ลูกเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่มีความจำเป็นต้องไปแต่งงานกับสามีที่เป็นอิสลาม เขาห้ามทุกอย่างแม้กระทั่งไม่ให้มองหน้าพระ ลูกก็เลยไม่รู้จะทำยังไง จึงอาศัยลูกแก้วของหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง เวลาเขาทำละหมาด แทนที่จะว่าละหมาดตามเขาลูกก็ว่า...ลูกแก้ว ๆ ทีนี้วิตกตอนที่ว่า ถ้าหากลูกตายไปจริง ๆ แล้ว เกรงว่าศาสนาทั้งสองจะเกี่ยงกัน ขอบารมีหลวงพ่อได้โปรดแนะนำวิธีแก้ไขด้วยเถิดเจ้าค่ะ?


    หลวงพ่อ
    แทนที่จะนึกถึงลูกแก้วอย่างเดียวก็นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยซิ นึกในใจใครจะรู้ใช่ไหม...เรื่องสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เขาไม่แบ่งศาสนาหรอก ทุกศาสนาเขาทำความดี เขาก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน นรกก็เช่นเดียวกัน ใครทำความชั่ว ไม่ว่าศาสนาใดก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน


    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปั__าธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 7

    พอดีหากระทู้นี้มาได้ ลองอ่านดู เผื่อช่วยได้ค่ะ
     
  18. ผู้มีธรรม

    ผู้มีธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +106
    ทุกสิ่ง ทุกอย่างล้วนลงอยู่ที่ใจ สิ่งที่พี่กำลังติดอยู่มันเป็น แค่นามธรรม ก็ตัดตัวนี้ออกซะจะได้ไม่เป็นการฟุ่งซ่าน ครับ พี่ทำแบบนี้ก็ไม่เป็นไรครับ อนุโมทนาสาธุ ด้วยครับ
     
  19. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    ผมขอให้กำลังใจ อยู่ที่จิตเราคิด สวดในใจก็ได้ครับ กำหนดในใจ ภาวนาบุญสูงสุด ทาน ศีล ภาวนา แต่จะขาดอันไหน ไม่ได้เลย ทำแบนั้นและต่อไปครับ ได้บุญมากครับ
     
  20. makotokub

    makotokub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +242
    คนมุสลิมเกิดแล้วตายมั๊ยครับ...ตาย
    คนคริสต์เกิดแล้วตายมั๊ยครับ...ตาย

    นั่นก็แสดงว่าเขาก็ยังอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) และกฏแห่งกรรมอยู่ หนีไม่รอดหรอกคับ เพราะกฏนี้เป็นความจริง พระพุทธองค์ไม่ได้กำหนดกฏเหล่านี้ขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติ เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเป็นไปอย่างนี้
    พระอาจารย์คึกฤทธิ์เคยถกเรื่องปฏิจจสมุปบาท กับบาทหลวง กับโต๊ะอิหม่าม ท่านๆ ก็พูดไม่ออกเหมือนกันครับ เพราะมันเป็นความจริงของจิต มีกันทุกคน

    ...ที่คุณnaraluky เจริญสมาธิเป็นประจำผมว่าดีแล้วครับ รักษาศีลห้าให้ครบด้วยยิ่งดี (รู้สึกว่ามุสลิมไม่ได้ห้ามฆ่าสัตว์) ผมขอเสนอความเห็นว่า ลองตั้งจิตอธิษฐานขอให้มีเหตุปัจจัยให้สามารถนับถือพุทธศาสนาได้อย่างเปิดเผยในเวลาอันใกล้ ไปเรื่อยๆ ครับ แล้วเราลองมาดูผลของกฏแห่งธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ และตรัสสอนพวกเราไว้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...