แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    เดี๋ยว มาใหม่ ไปลง ประชาสัมพันธ์ เพิ่มเติม ที่เวปวัด ก่อน นะครับ
     
  2. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    เพิ่มเติม มีพระผง ที่กำลังจะปั๊มเอง ที่วัด

    พิมพ์ สมเด็จหลังรูป ย้อนยุค

    พิมพ์ แหวกม่านอกใหญ่ หลังรูปเหมือน

    แล้วไว้จะไปถ่ายรูปพระที่ปั๊มเสร็จแล้วมาลงให้ชมเป็นตัวอย่าง ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010065.jpg
      P1010065.jpg
      ขนาดไฟล์:
      695.8 KB
      เปิดดู:
      68
    • P1010066.jpg
      P1010066.jpg
      ขนาดไฟล์:
      839.4 KB
      เปิดดู:
      70
    • P1010070.jpg
      P1010070.jpg
      ขนาดไฟล์:
      858.6 KB
      เปิดดู:
      77
  3. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
  4. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรม ชมรมคนรักพี่หนุ่มเมืองแกลง ทุกๆท่าน ราตรีสวัสดิ์ ครับ
     
  5. Jirang

    Jirang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,252
    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นครับ

    เริ่มอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่วันที่ 21 จนมาถึงหน้าสุดท้าย ใช้เวลา 6 วัน แต่ก็คุ้มค่าคุ้มเวลาจริงๆครับ
     
  6. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,519
    ค่าพลัง:
    +30,858
    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่หมุนหลังหนุมานออกวัดบ้านจานเป็นรุ่นแรก หลวงปู่ปลุกเสกด้วยมนต์พระกาฬสะท้อนกลับ น้าต๋อย เซมเบ้ลองค้นหาข้อมูลดูครับนำรูปมาให้ชม เหรียญนี้เค้าเอาไปทำนะครับ ความจริงก็คือเหรียญทองแดง

    IMG_1893.jpg IMG_1894.jpg
     
  7. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน
    วันนี้ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาฝากครับ

    หลวงพ่อเล่าเรื่อง...คุณสมบัติของพระโสดาบัน<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]


    พระโสดาบัน

    บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปก็เป็นวาระที่ บรรดาท่านพุทธจะศึกษาในขั้นอริยผล แต่ความจริงเรื่องของพระโสดาบันเราก็แนะนำกันมาแล้วทั้งระดับเข้มข้น และทั้งระดับอ่อนที่สุด คำว่าเข้มข้นก็ได้แก่เอกพีชี คำว่า เอกพีชี ก็หมายความว่า ถ้าชาตินี้เป็นพระโสดาบัน ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวเป็นอรหันต์ผล ก็จงอย่าลืมว่าคนเป็นพระโสดาบันแล้ว บางทีก็ไม่ต้องรอเวลามากนัก ขณะที่นั่งทรงจิตอยู่ในขั้นโสดาบันนั้นเอง ท่านกล่าวว่า ถ้ามีอารมณ์ไม่ท้อถอย ก็ทำให้จิตให้เข้าถึงอรหัตผลในขณะเดียวกัน เรียกว่าในที่นั่งเดียวกัน คำว่าที่นั่งเดียวกันก็หมายถึงว่าในขณะที่นั่งนั่นแหละ ยังไม่ลุกจากที่ ทำจิตให้เข้าถึงความเป็นอรหัตผลเลยทีเดียว แต่เรื่องเรื่องนี้ยังไม่ขอพูด เพราะเป็นกำลังใจของบุคคล คือ ไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเรื่องกำลังใจ แนะนำกันไม่ได้ เว้นไว้แต่คนที่มีกำลังใจเข้มแข็งหรือไม่<O:p</O:p
    วันนี้ก็ขอย้อนต้นอีกนิดหนึ่งเพื่อนทวนผลแห่งการปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัท อันดับแรก พรโสดาบันพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในหลายสถาน พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั้นเอง<O:p</O:p
    แต่ที่เรียนว่าพระโสดาบันก็ถือว่าเป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลังเดินก้าวไปตามลำดับ จากพระโสดาบันไปเป็นพระสกิทาคามี ไปอนาคามี และอรหันต์ นี่พูดถึงเดินช้าๆ ถ้าคนที่เดินเร็วๆ จากพระโสดาบันแล้วก็ถึงพระอรหันต์เลย เรื่องจะถอยหลังลงมากลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกไม่มีสำหรับพระอริยเจ้า<O:p</O:p
    พระโสดาบันที่แท้จริง อารมณ์ที่ทรงได้ก็คือ<O:p</O:p
    ๑. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีเคารพในพระธรรม มีเคารพในพระสงฆ์<O:p</O:p
    ๒. มีศีล ๕ บริสุทธิ์<O:p</O:p
    ๓. มีจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์<O:p</O:p
    สำหรับอารมณ์จิตท่านทีเข้าถึงเอกพิชี มีความเข้มแข็ง แนะนำเพียงเท่านี้ก็ได้ เป็นของไม่ยาก เว้นไว้แต่ว่าท่านที่มีอารมณ์จิตอ่อน หรือพวก ปทปรมะ พวกปทปรมะนี่พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะว่าถ้าขืนสอนก็เหนื่อยเปล่า ซึ่งไม่มีประโยชน์<O:p</O:p
    ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อ่านอยู่ที่นี้<O:p</O:p
    อันดับแรก ให้วัดกำลังจิตของท่านว่า ความดีขั้นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ถ้าเวลานี้ทำไม่ได้ เมื่อไรเราจะทำไม่ได้ กำหนดเวลาไว้ให้สั้นที่สุด เพราะว่ามันของปกติธรรมดา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นของยาก ไม่มีอะไรเป็นของหนัก<O:p</O:p


    ไม่ถือมงคลตื่นข่าว<O:p</O:p

    ถ้าอยากทราบว่าเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็ดูกำลังใจของเรา เพราะว่าพระโสดาบันไม่ใช่เป็นบุคคลผู้ถือมงคลตื่นข่าว เขาว่าดีไหนก็ไปนั้น เขาเฮไหนไปนั้น วิเศษที่ไหนก็ไปที่นั้น แต่ความจริงต้องการให้ท่านมีกำลังใจแน่วแน่<O:p</O:p
    แม้แต่ท่านจะอยู่บ้านของท่านเอง ไม่จำเป็นต้องมาที่วัด คำว่าไปหมายว่าความว่าฮือตามข่าวลือกัน เขาลือว่าดีที่ไหนก็ไปที่นั้น ไปแล้วก็ยังไม่พอใจ เขาลือต่อว่าที่โน่นดีกว่าไปที่โน่นอีก ก็เป็นอันว่าเป็นคนที่มีกำลังไม่แน่นอน<O:p</O:p
    อย่างนี้ยังถือว่าไม่ได้มีความเคารพในองค์พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ถ้ามีความเคารพพระพุทธเจ้า ถ้ามีความเคารพในพระธรรมการเคารพในพระสงฆ์ เราต้องไปศึกษาที่ไหนกัน<O:p</O:p
    แล้วการที่จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มันยากนักรึ ศีล ๕ ที่เราพึงทำมันก็เป็นของที่เราจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีอารมณ์เราปฏิบัติอย่างนี้เพื่อพระนิพพาน<O:p</O:p
    นี่เนื้อแท้จริงๆ พระโสดาบันมีเท่านี้ ใม่ใช่ของยากถ้าท่านสดับบอกว่ายาก ทำยาก ก็รู้สึกสลดใจ<O:p</O:p
    เพราะท่านเกิดมาได้เพราะท่านมีศีล<O:p</O:p
    ท่านมีทรัพย์สินได้เพราะอาศัยบริจาคทาน<O:p</O:p
    ท่านมีสติปัญญามาได้เพราะอาศัยการเคารพในพระรัตนตรัย<O:p</O:p
    แต่มาชาตินี้กลับว่าสิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยาก ทำไม่ได้ ท่านต้องกลับไปอบายภูมิใหม่ เป็นอันว่าคุณธรรมของพระโสดาบันเพียงเท่านี้ เรียกว่าย้อนกัน<O:p</O:p
    ต่อไปก็จะพูดถึงเครื่องประดับใจของพระโสดาบัน เครื่องประดับใจของพระโสดาบัน นั้นก็คือ<O:p</O:p


    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง<O:p</O:p

    ๑. ไม่ลืมความตาย คิดถึงความตายเป็นปกติ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่มีความเป็นของเที่ยง อย่างไรเราตายแน่<O:p</O:p
    และความตายนี่ไม่ได้บอกว่าจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายกลางคือ ท่านกำหนดไว้เพียงแค่นี้ ไม่ใช่คิดว่าอีก ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี จะพึงตาย<O:p</O:p
    ถ้าคิดอย่างนั้นจัดว่าเป็นไกลจากความเจริญของจิตเป็นอันว่าอารมณ์ที่เข้าเขตอบายภูมิเสียแล้ว เพราะประมาณในชีวิต<O:p</O:p
    พระโสดาบันท่านคิดแต่เพียงว่าวันนี้น่ะอาจจะตายแต่ว่าตายเวลาไหนยังไม่รู้ นี่เราคุยกันเวลานี้พูดไม่ทันจบตายเสียก็ตายไปก็ได้ ถ้าเวลาอ้าปากจะพูด ไม่ทันจะพูดตายเสียก็ได้<O:p</O:p
    เขาคิดเฉพาะวันนั้นว่า วันนี้จะต้องตาย ในเมื่อเราจะต้องตายแล้ว เราจะยอมรึ ตายไปลำบากเราจะเอารึ<O:p</O:p
    เพราะเวลานี้เราได้แสงสว่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์จิตจับมั่นว่าบุคคลใดเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุคคลนั้น จะไม่ลงอบายภูมิ<O:p</O:pนี่อันดับแรกยึดเข้าไว้ก่อนเป็นทุนประจำใจ


    มั่นคงในคุณรัตนตรัย

    ประการที่ ๒ ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ก็คือเคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕ ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้ ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อ นั้นไม่เชื่อกัน<O:p</O:p
    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ไม่ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ<O:p</O:p
    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแรกของพระโสดาบันนอกจากคุณธรรมที่ทรงไว้ คุณธรรมที่ทรงไว้จริงๆ ก็คือการเคารพพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพให้พระสงฆ์ และก็มีศีลบริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ<O:p</O:p
    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแรกของพระโสดาบันนอกจากคุณธรรมที่ทรงไว้ คุณธรรมที่สงฆ์และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของพระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นตัวเสา หรือเป็นตัวอาคาร<O:p</O:p
    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริงๆ ก็คือการเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระสงฆ์ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของพระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร <O:p</O:p
    ทีนี้เครื่องประดับของพระโสดาบันต้องมี ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าไม่มีเครื่องประดับมันก็ไม่สวย คนเราถ้ารูปร่างหน้าตาจะสวย ทรวดทรงจะดีอย่างก็ตาม ถ้าเดินแก้ผ้าโทงๆ มันก็แลดู ไม่น่ารัก มันต้องมีเครื่องประดับ อย่างน้อย ก็ต้องมีผ้าหุ้มกาย จะสีสดหรือสีไม่สดก็ตาม นี่ประการหนึ่ง <O:p</O:p
    ก็มีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาพอกเข้ามาด้วย เพิ่มเติมเข้ามาอย่างนี้ก็จะแลดูงามสง่า น่ารัก น่าชม น่านิยม น่าทัศนา<O:p</O:p
    ข้อนี้อุปมาฉันใด แม้อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนกันถ้ามีความรู้สึกแต่เพียงว่า เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ มีศีล๕บริสุทธิ์ รู้สึกว่าอารมณ์จิตมันแห้งแล้งเต็มที แต่ถ้าเป็นคนประเภทแก้ผ้าเดิน อันนี้เราก็มีอารมณ์ประดับอีกอันหนึ่งก็คือมรณานุสสติกรรมฐานนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่ประมาณในชีวิต<O:p</O:p
    จงอย่าคิดว่าเราจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่า เรามีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ ก็รู้สึกว่าประมาณมากเกินไปจงคิดว่าวันนี้แหละเราอาจจะตาย แต่ว่าเวลาไหนยังไม่แน่ จิตจะได้ยึดอารมณ์ความดีเข้าไว้ อันนี้เป็นมรณานุสสติกรรมฐานเครื่องประดับ<O:p></O:p>


    จาคานุสสติกรรฐาน<O:p</O:p

    เครื่องประดับอันดับที่ ๒ ที่มีความสำคัญ พระโสดาบันท่านกล่าวว่า มีสมาธิพอสมควรเล็กน้อย และมีปัญญาไม่มากนัก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเครื่องประดับอันดับต่อไปก็คือจาคานุสสติกรรมฐาน<O:p</O:pคำว่าจาคานุสสติกรรมฐานก็ดี มรณานุสสติกรรมฐานก็ดี สีลานุสสติกรรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐานคือระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ก็ดี พุทธทานุสสตินึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็ดี ธัมมานุสสตินึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี จงอย่าลืมว่าเป็นอารมณ์คิดทั้งหมด ไม่ใช่อารมณ์ทรงตัว คือไม่ใช่ปักหลักหลับตากันอย่างเดียว<O:p</O:p
    ต้องใช้ทั้งเวลาหลับตา ทั้งเวลาลืมตา เวลาอยู่สงัดเวลาอยู่ในฝูงชน เวลายามว่าง เวลาการงานเข้ามาถึง ต้องใช้อารมณ์นี้ทั้งหมด เรียกว่า ไม่ยอมลืมพระพุทธเจ้า ไม่ยอมลืมพระธรรม ไม่ยอมลืมพระสงฆ์ ไม่ยอมลืมศีล ไม่ยอมลืมความตาย<O:p</O:p


    ฉลาดให้<O:p</O:p

    ต่อให้ก็เป็นอารมณ์ใหม่ เครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่ง นั้นก็คือจาคานุสสติ เราจะเห็นตามประวัติว่า ท่านที่เป็นพระโสดาบัน ท่านพวกนั้นไม่มีความหวงแหน คำว่า ไม่หวง หมายความว่า มีกำลังใจดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรให้หมด แต่ว่าให้ในเขตที่ควรแก่การเคารพ ถ้าหากว่าเขตใดก็ตามเป็นเขตอุดมเขต หรือบุคคลใดก็ตามเป็นปูชนียบุคคล<O:p</O:p
    อุดทเขต หมายถึง เขตที่ทรงความสุขสูงสุด ได้แก่เขตของพระรัตนตรัยก็ดี ปูชนียบุคคล บุคคลที่ควรแก่การบูชาก็ดี หรือว่าเป็นบุคคลผู้ควรแก่การสงเคราะห์ เช่นคนที่ได้รับความยากลำบาก อันนี้พระโสดาบันไม่หวงทรัพย์สินของตน แต่ว่าจะไม่ใช่ทุ่มเทจนหมดตัว ท่านเป็นคนที่ปัญญา<O:p</O:pไม่ใช่มีบาทให้บาท มี ๑๐ บาทให้ ๑๐ บาท มี ๑๐๐บาทให้ ๑๐๐ บาท อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าให้อย่างนั้นแล้วไม่เดือดร้อยภายหลังด้วย อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระโสดาบัน เป็นอารมณ์ของคนโง่ เพราะว่าพระโสดาบันท่านไม่โง่ เพราะว่าพระโสดาไม่โง่ เป็นคนฉลาด <O:p</O:p


    จิตจดจ่อ<O:p</O:p

    ทีนี้จาคานุสสติกรรมฐาน มีการนึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงทานการบริจาคอยู่เป็นปกติ นึกถึงการให้ทาน มีกำลังใจเสมอว่า เราจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุขตามกำลังที่เราจะพึงทำได้ <O:p</O:p
    ถ้าเราทรัพย์<O:p</O:p
    เราจะให้ทรัพย์ เราไม่มีทรัพย์เราสามารถให้กำลังได้ เราจะให้กำลังช่วยงาน ถ้ากำลังไม่มี ทรัพย์ไม่มี เราก็จะแนะนำให้ท่านผู้นั้นมีความสุข ตามที่เราสามารถจะพึงแนะนำได้ กำลังของพระโสดาบันจดจ่ออยู่ในเรื่องของจาคานุสติกรรมฐานอย่างนี้<O:p</O:p
    และอย่าคิดว่าจาคานุสสติกรรมฐานนี่จะต้องไปทำเวลาสงัด มานั่งนึกว่าเราจะให้คนนั้น เราจะให้คนนี้ เราจะให้คนโน้น อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเปลือกของจาคานุสสติกรรมฐาน เนื้อแท้จริงๆ ของจาคานุสสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องนั่งหลับตาก็ได้ ให้อารมณ์จิตมั่นทรงตัวว่า เราพร้อมในการที่จะสงเคราะห์บุคคลและสัตว์ให้มีความสุข ขณะใดได้มีการสงเคราะห์ ขณะนั้นมีการชื่นบานของจิตปรากฏ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบันแน่<O:p</O:p


    เลือกเนื้อนาบุญ<O:p</O:p

    ถ้าเราจะพูดกันไปว่าการนั่งนึกมันจะมีผลหรือ ถ้าว่านั่งนึกมันมีผลเพราะว่าตั้งใจจะทำ ตัวอย่างนางวิสาขา มหาอุบาสิกกาเป็นพระโสดาบัน ท่านให้ทานไม่อั่น แต่ว่าทานของท่านต้องอยู่ในเขตดี คือในเขตของพระรัตนตรัย ถ้าพระสงฆ์มีความลำบากเพียงใด นางวิสาขาไม่ยอม เรียกว่าอดใจไม่ได้ต้องให้ ต้องสงเคราะห์<O:p</O:pเช่น ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนออกพรรษามันเปียกจัด ผู้จีวรเปียกหมดสมัยนั้นเขาให้กัน ๓ ตัว คือจีวร สบง สังฆาฏิ ไม่มีผ้าผลัดนางวิสาขาก็ขอพระพุทธเจ้าถวายผ้า วัสสิกสาฎก พระพทุธเจ้าก็ทรงอนุญาตอย่างนี้ เป็นต้น<O:p</O:pเป็นอันว่าทนไม่ไหว เห็นคนดีมีทุกข์ท่านทนไม่ได้ แต่ต้องระวัง พระก็พระเถิด ถ้าเป็นพระชั่วท่านก็ไม่สงเคราะห์ เหมือนกัน ตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า สำนักของนางวิสาขาก็ดีของอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ไม่สงเคราะห์พระชั่ว ตัวอย่างใน สมัยหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวตะ น้องชายพระสารีบุตร<O:p</O:p
    พระเรวตะ อยู่ในป่า เป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ ได้ อรหัตผลเป็นปฏิสัมภิทาณาญ ก่อนที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเสด็จไปถึง พระเรวตะก็ เนรมิตป่าให้เป็นเมือง เป็นเมืองแก้ว แพรวพราวด้วยเครื่องประดับ อาคารทั้งหมดเป็นแก้วทั้งหมด เป็นสถานที่มีความสุขสบายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลายประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป เทวดาทั้งหลายก็แปลงกายเป็นคนมาบำเพ็ญกุศลเป็นเหตุให้พระแก่ ๒ องค์นินทาพระพุทธเจ้า เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ พระก็กลับหมด จะขอลัดตัดเฉพาะตอนปลาย<O:p


    พระแก่นินทาพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งงหลายก็นั่งสั่งสนทนา พรรณนาความดีของพระเรวตะ ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ เข้าไปอยู่ในป่าก็สามารถมีเมืองแก้วเป็นที่อยู่ แต่ภิกษุแก่ ๒ องค์กลับนินทาสมเด็จพระบรมครู คือนินทาพระพุทธเจ้าหาว่าท่านพระพุทธเจ้าเห็นแก่หน้าบุคคล เพราะว่า<O:p</O:p
    ๑. พระเรวตะเป็นน้องชายพระสารีบุตร จึงได้ไปเยี่ยม<O:p</O:p
    ๒. พระเรวตะอยู่ในเมืองแก้วแพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ มีความงามในตัวเมือง มีคนก็สวย มีอาหารก็ดี มีคนบำเพ็ญกุศลทำบุญทำทานมาก สงเคราะห์มาก จึงได้ไป ไม่ได้รู้ว่าที่นั้นความจริงเป็นป่าชัฏ พระเรวตะเนรมิตขึ้นด้วยอำนาจของฤทธิ์<O:p</O:p
    บรรดาพระทั้งหลายมีความเห็นไม่ตรงกัน เวลาที่ไปบ้านของนางวิสาขา พระพวกเพื่อนก็พรรณความดีของพระเรวตะให้นางวิสาขาฟัง นางวิสาขาก็ทำบุญด้วยทำกุศลสงเคราะห์ด้วยประการทั้งปวง พระพวกหลังไปนั่งนินทาพระพุทธเจ้าให้นางวิสาขาฟัง ในที่สุดวันนั้นนางวิสาขาเขาไม่ใส่บาตรให้กิน อารมณ์ของพระโสดาบันไม่บูชาชั่ว บูชาดี<O:p</O:p


    มาวัดทำไม<O:p</O:p

    บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาวัดวันนี้มากันทำไม จิตของท่านเคยคิดไหมว่าที่มาคราวนี้จะมารับจ้างวัด ทำงานทุกอย่างต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัลเท่านั้นเท่านี้ มีหรือเปล่า <O:p</O:p
    ทุกคนที่มาไม่เคยมีใครบอกว่า มาคราวนี้ต้องการค่าจ้าง ต้องการรางวัด เป็นอันว่าทุกท่านมาด้วยจาคานุสสติกรรมฐานด้วยกันทั้งหมด<O:p</O:p
    อันดับแรก กำหนดจิตว่าเราจะช่วยงานวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นไปด้วยดี การมาคราวนี้ ทุนวัดให้เป็นค่ารถค่าเรือก็ไม่มี ค่าจ้างแรงงานก็ไม่มี และยังไม่เคยกำหนดรางวัลอะไรให้สักนิดหนึ่งว่าทำงานเสร็จจะให้รางวัลอะไร อย่างนี้ก็ไม่เคยปรารภ แล้วท่านมาทำไม นึกถึงกำลังจิตของเราว่า เรามาทำไมกัน ที่มาจริงๆ คือเครื่องประดับใจ<O:p</O:p
    จาคานุสสติกรรมฐานอันนี้เป็นตัวแท้ ไอ้ตัวนั่งนึกน่ะมันไม่แท้ ตัวทำนี่แหละเป็นตัวจริงๆ ไอ้ตัวนั่งนึก ฝึกให้จิตมันทรงอารมณ์ ให้อยากทำ และเต็มใจทำ ถึงเวลาจะทำก็ทำจริงๆ แต่ว่าเวลานี้ท่านทำจริงใจในด้านจาคานุสติกรรมฐาน จาคะ เขาแปลว่า สละ หรือว่า ละ <O:p</O:p
    ประการที่สอง ท่านต้องละทรัพย์สินในบ้านของท่านบุคคลในบ้านของท่าน อันเป็นที่รัก ที่ห่วงใย ที่หวงแหน ตัวออกจากบ้านมา ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งมันมาไม่ได้ บ้านที่รัก ทรัพย์สินที่หาได้ยาก ข้างหลังมันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เสียแล้วเมื่อก้าวออกจากบ้าน ก่อนจะออกจากบ้านน่ะ จ่ายก่อนไปวัด คราวนี้ควรจะมีอะไรไปบ้าง นี่ควรจะมีอะไรบ้าง นี่ละอีกแล้ว สละอีกแล้วทรัพย์สินเป็นที่รัก จ่ายโน่น จ่ายนี่ จ่ายนั้น ถึงแม้ว่าจะมาเพื่อตัวเรา แต่ว่ามาเพื่อกิจอื่น ไม่ใช่กิจของส่วนตัว ต้องถือนั้นเป็นจาคะ<O:p</O:p
    ประการที่สาม เมื่อจะมาเสียค่าพาหนะ นี่มันเสียเงินอีกแล้ว ละอีก เงินตัวนั้นเราไม่ได้เสียดายเลย เป็นตัวละเด็ดขาด เมื่อมาถึงวัด ทั้งเงินก็ดี ทั้งของก็ดี แรงกายก็ดี แรงปัญญาก็ได้ดี ทุกคนทำงานไม่ย่อท้อ หวังจะสนับสนุนพระพุทธศาสนา<O:p</O:p
    จิตไปจับอะไร จับพระพุทธเจ้า จับพระธรรม จับพระสงฆ์ จับศีล จับทาน เพราะเราไม่ประมาณในชีวิต คิดว่าเราจะตายเมื่อไรก็ได้ อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐานแท้ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติ<O:p</O:p
    เป็นอันว่าเครื่องประดับของพระโสดาบันในด้านมรณานุสสติกรรมฐานที่เราทำนี่ กลัวจะตายไปจน ต้องการตายแล้วเป็นคนรวย การให้ทาน ตายแล้วรวย ถ้าไม่รวยทรัพย์เรารวยวาสนาบารมี ดีไม่ดีก็รวยพระนิพพาน อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา อย่างกลางเราก็ไปพรหม อย่างสูงสุดก็ไปนิพพาน<O:p</O:p
    ถ้าละตัวเดียวแท้ๆ ปรากฏในใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อตัดกิเลส คือ โลภะ ที่มีอยู่ในจิตใจ ไม่ให้มันสถิตอยู่ในใจ ตัวนี้หวังได้ พระนิพพาน เป็นอันว่าอารมณ์ของท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนนี้ ขณะที่เรามาทำรวมกัน ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดงาน เป็นตัวละในจาคะตัวสูงสุดในเขตพระพุทธศานาในเขตพุทธศาสนา จัดว่าเป็นปรมัตถบารมี. <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่มา...ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑๖ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<O:p</O:p



    เรื่องที่ ๑ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน<!-- google_ad_section_end --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->เรื่องที่ ๑ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน

    ....ความจริง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

    ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    ๒) เกิดเป็นมนุษย์

    ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

    ๔) เกิดเป็นพรหม

    ๕) ไปพระนิพพาน

    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

    ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

    ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒

    ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

    ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔

    ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

    กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

    ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

    ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

    ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

    ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

    ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

    ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

    ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง


    เรื่องของ การตายแล้วไม่สูญ และตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”

    http://www.thaisquare.com/Dhamma<!-- google_ad_section_end -->

    <O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. โอ ท่าซุง

    โอ ท่าซุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,291
    ค่าพลัง:
    +8,435
    สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ ติดตามอ่านสิ่งดีๆจากพี่ๆเพื่อนๆทุกคนนะครับ:cool:
     
  9. ลูกวัด

    ลูกวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,071
    ค่าพลัง:
    +5,194
    สวัสดียามเช้าญาติธรรมทุกท่านครับ พอดีหาข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญเมตตาของหลวงปู่สิมไปเจอบทความที่ลงเกี่ยวกับพระของหลวงพ่อรุ่นนี้มีปลอมออกมานานแล้ว มีจุดสังกตุตำหนิเหรียญที่พอจะนำมาเป็นแนวทางให้ทุกท่านได้ศึกษา อาจจะมีท่านอื่นที่ลงไว้แล้วก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ผมสมาชิกใหม่ยังติดตามอ่านยังไม่หมดทุกหน้า ข้อมูลจาก web-pra.com มาชมภาพกันเลยครับ


    ภาพแรกทั้ง 3 เหรียญ นับจากบนลงมาล่างเหรียญที่ 3 ที่มีวงสีแดงไว้ เป็นเหรียญเก๊ ที่ถอดพิมพ์มา..........
    นับจากเหรียญที่1-2 เป็นเหรียญแท้ จะมีความแตกต่างกันที่พื้นเหรียญใต้ตัวหนังสือ เมตตา ของแท้ผิวจะเรียบตึง ส่วนเหรียญที่ 3 ของเก๊พื้นผิวของเหรียญจะผุดขึ้น บวมๆเป็นเผื่อนเหมือนกับคนเป็นลมพิษ
    ภาพที่ 2 ด้านหลังเหรียญ ภาพบนเป็นเหรียญแท้ ไม่มีเนื้อเกินให้เห็น.....ภาพล่างเป็นเหรียญเก๊ จะมีเนื้อเกินหรือขี้กลากตามที่วงเอาไว้ 4 จุด และเหรียญเก๊จะรมดำหรือไม่ก็รมน้ำตาลเท่าที่เห็น..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 582-1.jpg
      582-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      175
    • 582-2.jpg
      582-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.6 KB
      เปิดดู:
      137
  10. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    สวัสดียามสายๆครับ ญาติธรรม ชมรมคนรักพี่หนุ่มเมืองแกลง ทุกๆท่าน
     
  11. big09

    big09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +771
    สวัสดี ยามเช้า สายๆๆครับพี่ ๆๆ ทุกคน
     
  12. sutketb

    sutketb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,592
    ใช่แล้วครับ ยินดีที่ได้เจอศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน ถ้าเป็นไปได้เจอกันที่งานลงนะหลวงปู่ที่บ้านพี่สามเหลี่ยม จริงๆผมเป็นคนจ.ตากครับ
    เขต
     
  13. MooDam

    MooDam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,604
    ค่าพลัง:
    +4,845
    เอาลิงค์น่าสนใจเกี่ยวกับเหรียญของหลวงปู่สิมมาฝากครับ จาก blog พระแท้

    พระแท้: 27.หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ทำเนียบรุ่นวัตถุมงคล
     
  14. โอสถ

    โอสถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,545
    ค่าพลัง:
    +12,113
    ที่พี่อุดมเดชเขียนประโยคสุดท้ายตรงใจผมมากครับ

    เมื่ออ่านกระทู้ สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือ หลายๆคนเกิดศรัทธาใฝ่ฝันอยากได้พระเครื่อง มงคลมหาลาภ พระหลวงปู่ทิม พระหลวงปู่ดู่ หลวงพ่อกวย หลวงปู่หมุน แต่ก็ไม่ง่ายดั่งใจฝันด้วยสาเหตุหลายๆประการแตกต่างกันไป

    บางคนที่ได้มาก็ยังจิตตกพอสมควรว่า พระที่ได้มาของจริงหรือของปลอม

    ทำไมถึงมองข้ามพระเครื่องในบ้าน ????

    เหตุผลก็มีหลากหลาย เช่น

    • ไม่รู้ประวัติของพระรุ่นนั้น ไม่รู้เกจิที่เสกจะเก่งจริงหรือไม่
    • ไม่อยู่ในกระแสนิยม
    • ไม่อยากทดลอง เอาตามที่เขาทดลองกันง่ายกว่า
    • ฯลฯ
    บางเหตุผลก็น่าเห็นใจ แต่หลายๆเหตุผลก็สรุปลงมาที่ว่า ไม่ศรัทธา

    เหมือนเด็กๆที่อยู่บ้านไม่เชื่อฟังพ่อแม่ แต่กลับศรัทธาเชื่อฟังครูที่โรงเรียน

    เหมือนวัยรุ่นที่อยู่บ้านไม่เชื่อฟังพ่อแม่ แต่กลับศรัทธาเชื่อฟังเพื่อนมากกว่า

    ลองหาเวลาศึกษาประวัติพระเครื่องที่บ้านดู หรือ ลองถามจากพ่อแม่ปู่ย่าของเราดู ไม่แน่ว่าพระเครื่องในบ้านเราอาจจะสุดยอดเกินกว่าที่เราคิด

    คนเราเมื่อมีศรัทธา เชื่อมั่น +ผสานอำนาจพระพุทธคุณที่ส่งเสริม จิตใจจะดีขึ้น ความคิดความอ่านดีขึ้น ส่งผลให้การกระทำงานต่างๆค่อยๆดีขึ้น ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตก็ตามมา

    อาจจะมองต่างมุมกับหลายๆท่านบ้าง แต่ในชีวิตเรามองหลายๆมุมหลายๆด้านบ้าง ก็อาจเป็นกำไรชีวิตที่คิดไม่ถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  15. APIRAT

    APIRAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +3,220
    วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกแล้วครับ ผมเป็นคนอีสาน...อยู่โคราช เรื่องราวต่างๆก็มักเป็นเรื่องที่พบเจอกับพระสายอีสานครับ ....วันหนึ่งนั่งกินข้าวเที่ยงที่เขื่อนจุฬาภรณ์ อ.คอนสาร ชัยภูมิ เล่าเรื่องหลวงพ่อสายทอง วัดป่าห้วยกุ่มให้เพื่อนๆ ฟัง(ผมเคยอ่านมาจากประวัติแม่จ้นทา) ทำให้ทุกคนเกิดศรัทธาอยากไปกราบท่าน ผมเลยบอกว่า ผมก็ยังไม่เคยไปวัดท่าน เอางี้แล้วกัน อธิษฐานถึงท่านว่าเย็นนี้พวกเราจะแวะไปกราบท่าน แต่ไม่รู้ว่าจะเลิกอบรมค่ำไม๊ แค่เราคุยกันท่านก็รับทราบแล้วหละเพราะท่านเป็นพระอริยะ เสร็จแล้วเลิกอบรมตอนเย็นประมาณ 5 โมงเย็นต้องพากันกลับชัยภูมิและผมต้องต่อมาถึงโคราช เมื่อตั้งใจแล้วไหนๆก็ไหนๆ ค่ำมืดไม่เป็นไร เกรงแต่ว่าท่านจะปิดประตูวัดแล้วเท่านั้นแหละ..วัดอยู่ในป่าเขา แต่ก็อ่านป้ายและถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ...เมื่อไปถึงหน้าวัดประตูปิดแล้วจริงๆ ผมเลยบอกว่าบุญเราไม่ถึงท่านซะแล้ว....แต่เอ๊ะ มีเด็กวิ่งมาเปิดประตู ดีใจมากจอดรถ เด็กบอกให้เอารถเข้ามาในวัด พวกผมก็ลงรถก่อน หน้าวัดเป็นคลองน้ำมีสะพานข้ามเข้าวัด...เดินเข้าไปพบหลวงพระองค์หนึ่ง และมีสุนัขกำลังน่ารักกำลังซน นั่งอยู่คันขอบสะพาน ผมนั่งลงยกมือไหว้ บอกท่านว่า ผมมากราบหลวงพ่อสายทองครับ (ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าท่านคือหลวงพ่อสายทอง) ท่านชี้มือพูดว่า..ไปพู้นเด๊อะ ศาลาพู่น..พวกผมก็เดินไปถึงศาลา..ไม่มีใครอยู่เลย เงียบ แปบเดียว ท่านเดินตามมา นั่งบนเก้าอี้ ยิ้มอย่างเมตตา ...พวกผมกราบ...ผมถามท่านว่า หลวงพ่อสายทองอยู่ตรงไหนครับ ...ท่านยิ้ม..เฮานี่แหละ...พวกผมหน้าจ๋อย ..ผมบอกขอขมาหลวงพ่อด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นท่าน..ท่านบอกไม่เป็นไร...วันนั้นท่านอารมณ์ดีมากคุยหัวเราะแบบกันเองจนผิดปกติจากพระสายวัดป่าทั่วไปที่เคยเจอ..ผมก็ลองดีอีก..ผมนึกในใจว่า...หลวงพ่อจะมีพระแจกบ้างไม๊น๊อ..ทันใดนั้นหลวงพ่อเรียกเด็กวัดคนที่เปิดประตูว่า ...บักน้อย ไปเอาพานที่ใส่พระมา..เอาพระมาแจกโยม..ผมงี้ปิติมากเลย ท่านเล่าว่าเมื่อเจอหลวงตาบัว หลวงตาบัวชอบแซวท่านอยู่เรื่อยว่า "นั่นพระอรหันต์ ๆ" ผมเลยพูดกับท่านว่าเป็นบุญของพวกผมจริงๆที่ได้กราบหลวงพ่อ ซึ่งหลวงตาบัวรับรองแล้ว... ต่อไปเป็นตอนสำคัญ ....ท่านเล่าว่า ท่านถอดจิตไปหาในหลวงประจำ...ท่านบอกว่าในหลวงปู่ผ้าขาว นั่งสมาธิและบรรทมบนผ้าขาว ไม่ได้บรรทมบนที่นอนอย่างดีอะไร..ในหลวงทุกข์ใจมาก เรื่องลูกๆไม่ถูกกัน..ท่านห่วงคนไทยห่วงประเทศไทย..หลวงพ่อบอกกับในหลวงว่า ไม่เป็นไรจะช่วย...หลวงพ่อใช้จิตตรวจสอบอนาคตังสญาณตลอดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรและแผ่เมตตาช่วยตลอดเวลา ...คุยกะท่านถึงตอนนึง ผมบอกว่าผมก็ไปปฏิบัติที่วัดแม่จันทาเรื่อยๆ (อตึตชาติท่านกับแม่จันทาเคยเกิดเป็นแม่ลูกกัน หาอ่านได้ในหนังสือ อ่านก่อนตาย)ทำที่บ้านด้วยแต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน...ท่านบอกว่าดี ...ให้ช่วยแผ่เมตตาให้บ้านเมืองและในหลวงด้วย ช่วยกันหลายๆทางหลายๆคน...นี่หละครับที่เล่ามาไม่ได้มาอวดว่าตนเองมีดีอะไรหรอกครับ..แต่อยากแบ่งปัน..ครูบาอาจารย์ท่านคงสงเคราะห์ให้เรารู้ว่า..ของจริงมีอยู่ พระอริยะ มีอยู่ ..ก่อนกลับก็ได้ถวายปัจจัยสร้างตึกสงฆ์ ที่ท่านรับเป็นเจ้าภาพที่โรงพยาบาลคอนสารจังหวัดชัยภูมิ...สุดท้ายหากสิ่งที่เล่ามานี้มีส่วนใดมิสมควร ลูกกราบขอขมาทั้งหลวงพ่อและพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยด้วย ขออย่าได้เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปเลย..เจตนาเพียงเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์และสืบอายุพระพุทธศาสนาไปจนครบ 5000ปี...ใครอยู่ใกล้หรือได้ผ่านไปก็แวะกราบท่านและร่วมสร้างโรงพยาบาลกันนะครับ
     
  16. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,355
    ค่าพลัง:
    +19,459
    สวัสดียามสายค่ะ วันหยุดพักผ่อนคงนอนหลับกันสบายเลยนะคะ
     
  17. นำทาง

    นำทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,181
    ค่าพลัง:
    +7,865
    ...................
    ถ้าจองพระตอนนี้อีกนานไหมถึงจะได้พระครับ อยากได้พระสิวลีขนาดบูชา รมดำหรือน้ำตาล
     
  18. นำทาง

    นำทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,181
    ค่าพลัง:
    +7,865
    ..........................
    หลวงพ่อ ท่านสามารถรับรู้วาระจิตของคนอื่นได้ครับ ส่วนโรงพยาบาลคอนสารท่านสร้างเสร็จแล้วครับ 50 กว่าล้านใช้เวลาสร้างประมาณ 2ปี ต่อจากนั้นท่านก็สร้างโรงพักบ้านเป้า ใช้เวลาไม่ถึงปีก้เสร็จงบประมารก้หลายล้านเหมือนกัน.....
     
  19. น้าต๋อย เซมเบ้

    น้าต๋อย เซมเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7,815
    ค่าพลัง:
    +58,748
    เมื่อเช้าไปเดินตลาดมา เห็นหนังสือพระเล่มหนึ่ง
    เริ่มเอาพระของคุณแม่ชีบุญเรือนและวัตถุมงคลวัดสัมพันธวงศ์มาลงหนังสือแล้ว
    ต่อไปก็คงจะเป็นกรรมวิธีปลุกปั่นกระแส...จะได้ผลดีไม่ดีอย่างไร
    ก็ขึ้นอยู่กับเราๆ ทั้งหลายนี่ล่ะครับ
    อุปสงค์และอุปทาน ความต้องการมาก ราคาก็ยิ่งสูง
    ถ้าคนไม่ต้องการ ตั้งราคาถูกขนาดไหนก็ไม่มีคนเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  20. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกแล้วครับ ผมเป็นคนอีสาน...อยู่โคราช เรื่องราวต่างๆก็มักเป็นเรื่องที่พบเจอกับพระสายอีสานครับ ....วันหนึ่งนั่งกินข้าวเที่ยงที่เขื่อนจุฬาภรณ์ อ.คอนสาร ชัยภูมิ เล่าเรื่องหลวงพ่อสายทอง วัดป่าห้วยกุ่มให้เพื่อนๆ ฟัง(ผมเคยอ่านมาจากประวัติแม่จ้นทา) ทำให้ทุกคนเกิดศรัทธาอยากไปกราบท่าน ผมเลยบอกว่า ผมก็ยังไม่เคยไปวัดท่าน เอางี้แล้วกัน อธิษฐานถึงท่านว่าเย็นนี้พวกเราจะแวะไปกราบท่าน แต่ไม่รู้ว่าจะเลิกอบรมค่ำไม๊ แค่เราคุยกันท่านก็รับทราบแล้วหละเพราะท่านเป็นพระอริยะ เสร็จแล้วเลิกอบรมตอนเย็นประมาณ 5 โมงเย็นต้องพากันกลับชัยภูมิและผมต้องต่อมาถึงโคราช เมื่อตั้งใจแล้วไหนๆก็ไหนๆ ค่ำมืดไม่เป็นไร เกรงแต่ว่าท่านจะปิดประตูวัดแล้วเท่านั้นแหละ..วัดอยู่ในป่าเขา แต่ก็อ่านป้ายและถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ...เมื่อไปถึงหน้าวัดประตูปิดแล้วจริงๆ ผมเลยบอกว่าบุญเราไม่ถึงท่านซะแล้ว....แต่เอ๊ะ มีเด็กวิ่งมาเปิดประตู ดีใจมากจอดรถ เด็กบอกให้เอารถเข้ามาในวัด พวกผมก็ลงรถก่อน หน้าวัดเป็นคลองน้ำมีสะพานข้ามเข้าวัด...เดินเข้าไปพบหลวงพระองค์หนึ่ง และมีสุนัขกำลังน่ารักกำลังซน นั่งอยู่คันขอบสะพาน ผมนั่งลงยกมือไหว้ บอกท่านว่า ผมมากราบหลวงพ่อสายทองครับ (ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าท่านคือหลวงพ่อสายทอง) ท่านชี้มือพูดว่า..ไปพู้นเด๊อะ ศาลาพู่น..พวกผมก็เดินไปถึงศาลา..ไม่มีใครอยู่เลย เงียบ แปบเดียว ท่านเดินตามมา นั่งบนเก้าอี้ ยิ้มอย่างเมตตา ...พวกผมกราบ...ผมถามท่านว่า หลวงพ่อสายทองอยู่ตรงไหนครับ ...ท่านยิ้ม..เฮานี่แหละ...พวกผมหน้าจ๋อย ..ผมบอกขอขมาหลวงพ่อด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นท่าน..ท่านบอกไม่เป็นไร...วันนั้นท่านอารมณ์ดีมากคุยหัวเราะแบบกันเองจนผิดปกติจากพระสายวัดป่าทั่วไปที่เคยเจอ..ผมก็ลองดีอีก..ผมนึกในใจว่า...หลวงพ่อจะมีพระแจกบ้างไม๊น๊อ..ทันใดนั้นหลวงพ่อเรียกเด็กวัดคนที่เปิดประตูว่า ...บักน้อย ไปเอาพานที่ใส่พระมา..เอาพระมาแจกโยม..ผมงี้ปิติมากเลย ท่านเล่าว่าเมื่อเจอหลวงตาบัว หลวงตาบัวชอบแซวท่านอยู่เรื่อยว่า "นั่นพระอรหันต์ ๆ" ผมเลยพูดกับท่านว่าเป็นบุญของพวกผมจริงๆที่ได้กราบหลวงพ่อ ซึ่งหลวงตาบัวรับรองแล้ว... ต่อไปเป็นตอนสำคัญ ....ท่านเล่าว่า ท่านถอดจิตไปหาในหลวงประจำ...ท่านบอกว่าในหลวงปู่ผ้าขาว นั่งสมาธิและบรรทมบนผ้าขาว ไม่ได้บรรทมบนที่นอนอย่างดีอะไร..ในหลวงทุกข์ใจมาก เรื่องลูกๆไม่ถูกกัน..ท่านห่วงคนไทยห่วงประเทศไทย..หลวงพ่อบอกกับในหลวงว่า ไม่เป็นไรจะช่วย...หลวงพ่อใช้จิตตรวจสอบอนาคตังสญาณตลอดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรและแผ่เมตตาช่วยตลอดเวลา ...คุยกะท่านถึงตอนนึง ผมบอกว่าผมก็ไปปฏิบัติที่วัดแม่จันทาเรื่อยๆ (อตึตชาติท่านกับแม่จันทาเคยเกิดเป็นแม่ลูกกัน หาอ่านได้ในหนังสือ อ่านก่อนตาย)ทำที่บ้านด้วยแต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน...ท่านบอกว่าดี ...ให้ช่วยแผ่เมตตาให้บ้านเมืองและในหลวงด้วย ช่วยกันหลายๆทางหลายๆคน...นี่หละครับที่เล่ามาไม่ได้มาอวดว่าตนเองมีดีอะไรหรอกครับ..แต่อยากแบ่งปัน..ครูบาอาจารย์ท่านคงสงเคราะห์ให้เรารู้ว่า..ของจริงมีอยู่ พระอริยะ มีอยู่ ..ก่อนกลับก็ได้ถวายปัจจัยสร้างตึกสงฆ์ ที่ท่านรับเป็นเจ้าภาพที่โรงพยาบาลคอนสารจังหวัดชัยภูมิ...สุดท้ายหากสิ่งที่เล่ามานี้มีส่วนใดมิสมควร ลูกกราบขอขมาทั้งหลวงพ่อและพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยด้วย ขออย่าได้เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปเลย..เจตนาเพียงเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์และสืบอายุพระพุทธศาสนาไปจนครบ 5000ปี...ใครอยู่ใกล้หรือได้ผ่านไปก็แวะกราบท่านและร่วมสร้างโรงพยาบาลกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้าต้องการเส้นเกศาพระอาจารย์สายทองก็ PM มาละกันค่ะ พอดีวัดท่านอยู่ไม่ไกลจากที่พักของน้ำเท่าไร ปกติจะไปทุกสองหรือสามวัน ท่านเมตตามอบให้มาผอบหนึ่งเต็ม ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...