ศรัทธาอรหันต์จี้กงพระพุทธรูปมหึมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 3 ตุลาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    ศรัทธา'อรหันต์จี้กง'พระพุทธรูปมหึมา

    ศรัทธา"อรหันต์จี้กง" พระพุทธรูปมหึมา

    คอลัมน์ เป็นไปได้

    โดย เกรียงไกร ปัญโญกาศ



    [​IMG]


    "ศรัทธา" เป็นสิ่งที่ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจ เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีและสืบทอดสิ่งดีงามนั้นๆ ไปชั่วลูกชั่วหลาน

    เช่นเดียวกันกับคนไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ที่จ.เชียงราย ที่ได้สืบทอดศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายหินยานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยการสร้างพระพุทธรูป "อรหันต์จี้กง" ทำจากสำริดขนาดมหึมาสูงกว่า 8.8 เมตร หน้าตักกว้าง 7 เมตร เอาไว้ภายในศาลเจ้าจี้กงหน่ำพิ้งเกาะ ปากทางเข้าน้ำตกปูแกง หมู่บ้านร่องบอน หมู่ 12 ต.ม่วงคำ อ.พาน

    เพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาเข้าไปกราบไหว้บูชา ชื่นชมบารมีและชมความอลังการที่แสดงออกผ่านองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ทรงไว้ซึ่งใบหน้าอันเมตตาอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์

    พระพุทธรูปอรหันต์จี้กงสร้างขึ้นเมื่อปี 2523 โดยคณะศิษย์และประชาชนที่ศรัทธารุ่นที่ 69 ในเครือสมาคมสหมิตรการกุศล "เต็กก่า" แห่งประเทศไทย เป็นการสร้างศาลเจ้าโดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการในเวลาเดียวกันว่าคุณธรรมสถานหน่ำพิ้งเกาะ

    จากนั้นได้ร่วมกันสร้างองค์พระอรหันต์จี้กงไว้แทนองค์เดิมที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาลเจ้าเล็กๆ ปัจจุบันคุณธรรม สถานหน่ำพิ้งเกาะ หรือที่เรียกกันติดปากว่าศาลเทพเจ้าจี้กงนอกจากจะมีผู้เลื่อมใสศรัทธาไปเยือน ยังกลายสภาพจากพุทธสถานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอ.พาน และของ จ.เชียงราย ไปเรียบร้อยแล้ว

    เนื่องจากการจัดสถานที่ที่อยู่สวยงามท่ามกลางชนบทอันเขียวขจี ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวอ.พานมากนัก รวมทั้งผู้ที่จะเดินทางไปเที่ยวน้ำตกปูแกงภายในอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ก็ต้องใช้เส้นทางเดียวกับการไปเยือนศาลเทพเจ้าจี้กงด้วย

    ดังนั้น เมื่อชื่อเสียงความใหญ่โตอลังการแผ่ขยายไปมากเพียงใด ผู้ที่ไปเยือนทั้งที่ตั้งใจโดยตรงและอาศัยเส้นทางผ่านต่างก็แวะเวียนไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ขาดสาย และต่างติดอกติดใจตื่นตะลึงในความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาโดยถ้วนหน้ากัน

    ว่ากันว่านอกจากความใหญ่โตอลังการ ธรรมชาติรอบข้างที่ร่มรื่นและการออกแบบตกแต่งศาลเจ้าเป็นศิลปะจีนอันวิจิตรสวยงามแล้ว ผู้ที่เข้าไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูปจี้กง ยังได้รับความชุ่มชื่นใจ

    อาจเป็นเพราะใบหน้าอันยิ้มแย้มและเมตตาของพระพุทธรูปก็เป็นได้ ขณะที่หลายคนก็เล่าขานถึงการได้พบความมหัศจรรย์ในชีวิตหลังการไปสักการะอยู่ บ่อยครั้งอ้างว่าขอสิ่งใดก็สมปรารถนา

    ผู้อยากไปเยือนแต่ไม่รู้ข้อมูลใดๆ ก็สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อบต.ม่วงคำ โทร.0-5363-5227

    เพราะปัจจุบันที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งใหม่ไปเสียแล้ว



    ที่มา: ข่าวสด
    http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03pro07031049&day=2006/10/03
     
  2. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ภาพวาด อรหันต์จี้กง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>รูปปั้นและภาพวาดจี้กง ที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>มุมหนึ่งจากถ้ำภายใน ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>รูปหินสลักพระพุทธรูป ส่วนหนึ่งของยอดเขาบิน โดยเพียงสังเกตจากสีของหินได้ว่าลักษณะโดยธรรมชาติโดยถ้ำหินสลักภาคใต้นี้จะสลักบนหินปูน ซึ่งจะแตกต่างจากถ้ำหินสลักภาคเหนือที่สลักบนหินแกรนิต อย่างเห็นได้ชัด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>






    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พูดถึงคำว่า 'พระบ้า' พุทธศาสนิกชนบ้านเรา อาจจะรู้สึกหงุดหงิดแกมกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า 'พระบ้า' แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง (济公)

    ตอนผมยังเด็ก ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง ในความทรงจำของผม คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น

    สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ (罗汉) แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน (疯和尚) สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง

    อย่างไรก็ตาม 'เปลือกนอก' กับ 'เนื้อใน' หรือ 'สิ่งที่เห็น' กับ 'สิ่งที่เป็น' นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น

    จี้กง (济公) หรือ จี้เตียน (济颠) มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน (李心远) นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น (湖隐) และ ฟังหยวนโส่ว (方圆叟) เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*

    อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ (道济) ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน

    หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!

    นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์

    สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก

    สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง

    วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) ผมแปลความหมายเป็นไทยแบบไม่ค่อยสละสลวยนักได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น**

    ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)***

    ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า

    เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย

    "เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว

    อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"

    ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน

    เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย

    จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน

    จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้

    ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน

    ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"

    ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้

    เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า

    "อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก"

    ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น

    ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของวัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化)

    โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี

    Tips สำหรับการเดินทาง:
    - วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) และ ยอดเขาบิน (飞来峰) ใช้ประตูใหญ่ร่วมกัน แต่ถ้าหากซื้อบัตร 25 หยวน แล้วจะสามารถเข้าไปชมได้เพียงบริเวณถ้ำหินสลักของยอดเขาบินและบริเวณรอบๆ เท่านั้น หากต้องการจะเข้าไปชมภายในวัดหลิงอิ่นด้วยก็ต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตูเพิ่มอีก 20 หยวน วัดหลิงอิ่นเป็นปลายทางของรถประจำทางสายท่องเที่ยว Y1, 2 และ 4

    อ้างอิงจาก :
    *หนังสือ พันปีหลิงอิ่น (千年灵隐) โดย เจ้าฝูเหลียน (赵福莲) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเหรินหมิน (浙江人民出版社) หน้า 138-142; ทั้งนี้นามเดิมของ จี้กง นั้นบางตำราก็ว่าเป็น หลี่ซิวหยวน (李修元) เกิดเมื่อ ค.ศ.1130 แต่ตามหนังสือพันปีหลิงอิ่นระบุว่า คือ หลี่ซินหย่วน (李心远) เกิดเมื่อ ค.ศ.1148 ผู้เขียนจึงขออ้างอิงตามหนังสือเล่มนี้
    **หนังสือ 大杭州旅游新指南 (Greater Hangzhou A New Travel Guide) โดย เฉินกัง (陈刚) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง (浙江摄影出版社) หน้า 124-132
    ***หนังสือท่องเที่ยวเจียงซู-เจ้อเจียง ฉบับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (臧羚羊自助游) สำนักพิมพ์ 中国大百科全书出版社 ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2004 หน้า 134
    ****หนังสือ 大杭州名胜古迹民间故事集 โดย เจี่ยงสุ่ยหรง (蒋水荣) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง (浙江摄影出版社) หน้า 31-32








    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.thaiday.com/China/ViewNews.aspx?NewsID=9470000085449
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2006
  3. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center bgColor=#dae6fa border=0><TBODY><TR><TD class=fronthead>อรหันต์จี้กง : ในมือข้าฯ มีพัด พัดเบาๆ ในกระติกมีน้ำอมฤตคอยเทเข้าไปในปาก ลักษณะย่างก้าวเหมือนอรหันต์ ชาวโลกจะเลียนแบบข้าฯ ในสมัยก่อนโน้น ข้าฯยังอยู่บนสวรรค์ เห็นคนที่ออกบวช ปากก็ฉันมังสวิรัติ แต่ในใจมีอุบายร้อยแปด มีพระน้อยองค์นักที่มีความรู้ในสัทธรรมเหมือนเส้นด้ายกำลังจะขาด ดังนั้น ข้าฯ จึงจุติจากสวรรค์ มาเกิดในโลกมนุษย์มีชื่อว่า ซิวอ๊วง(บำเพ็ญเพียร) เพื่อโปรดผู้คน แสร้งทำบ้าๆบอๆ เที่ยวเล่นไปในโลก จำเพาะเจาะจงคอยเล่นตลกกับพวกพระเหล่านั้น พวกเขาว่าฉันไม่ได้ ข้าฯก็จะฉัน เขาว่าไปไม่ได้ ข้าฯก็จะไป ช่วยเหลือผู้ที่ศรัทธาด้วยวิธีตรงกันข้าม ดังนั้นพวกที่มีปัญญาน้อย จึงเห็นข้าฯเป็นมารศาสนา หารู้ไม่ว่า กายข้าฯ บ้าๆบอๆ แต่ใจข้าฯไม่เป็น ข้าฯสวดพระอภิธรรมแท้ๆ ไม่เหมือนพวกเขาสวดแต่ของปลอม แกล้งทำเป็นเมตตา หลอกกินหลอกดื่มเพื่อยังชีวิต พอข้าฯไปถึงเมื่อไร ข้าฯทำให้สำรับข้าวเขาแตก หมดทางหากิน ดันนั้นพระสงฆ์สมัยนั้นจึงเกลียดข้าฯ เหตุการณ์เปลี่ยนไป ตอนนี้ ข้าฯจะไปตามบ้านไม่ได้ไปตามวัด อยากให้ชาวบ้านสร้างพระพุทธ ทุกบ้านมีพระพุทธ

    หยางเซิง : ท่านอาจารย์ครับ พูดเสียยืดยาว ชาวบ้านเขาจะหาว่าท่านโอ้อวดนา

    อรหันต์จี้กง : ไม่ต้องกลัว ข้าฯชินกับชาวบ้านแล้ว ข้าฯอยากอยู่วัดวาอารามใหญ่โต ถึงอย่างไรข้าฯก็ไม่เสแสร้งหลอกลวง จึงจะเป็นทางที่สะดวกที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน

    หยางเซิง : กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด.....วันนี้ทำไมมาที่นี่? ที่นี่มันทางสามแพร่งของแดนต่อระหว่างยมโลกกับมนุษยโลก

    อรหันต์จี้กง : เราจะไปเที่ยวสวรรค์ทักษิณ โดยผ่านที่นี่ก่อน

    หยางเซิง : แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์กับยมโลก กระผมเคยมาแต่วันนี้ทางนี้กว้างใหญ่ แถมยังมีรัศมีเจิดจ้าไปจรดเมฆบนเส้นทางมีผู้คนมากมาย บางคนก็นั่งคันหาม บางคนก็มีเมฆพาไป บางคนก็เดินทอดน่องตามสบาย ทุกคนก็มีเทวดาบ้าง เทวทูตบ้าง เป็นพระบ้าง นำไป มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

    อรหันต์จี้กง : พอคนตายลง บางคนที่ไม่ต้องตกนรก พอมาถึงแดนต่อระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก เมื่อถึงทางสามแพร่งก็จะต้องไปยังภูเขาหัวใจ คือเส้นทางที่เจ้าเห็นเมื่อสักครู่ คือบุคคลที่ได้ทำบุญสร้างมหากุศล เมื่อตายแล้ว ก็สุดแท้แต่เทวทูตแต่ละศาสนาจะพาไปบนสวรรค์ ไปรายงานตัว แต่สำหรับผู้บรรลุสัทธรรม ก็ไม่ต้องมาแบบนี้ เพราะบรรลุสัทธรรมแล้ว จะรู้ การเกิด การตาย รู้หนทางดี พอตายไปก็ไปได้สบายเพราะรู้จักหนทางดี สำหรับวันนี้เราจะไปนมัสการ พระบุ้งฮ้วง ราชาแห่งปราชญ์ เพื่อฟังธรรม

    หยางเซิง : ครับ มองดูผู้คนที่กลับจากสวรรค์ เหนือศีรษะต่างมีวงรัศมีแตกต่างกัน แต่ละคนต่างก็ดีใจ มีความสุขสบาย ต่างจากพวกที่ตกนรก แต่ละคนร้องไห้หวยหวน

    อรหันต์จี้กง : แน่นอน ขึ้นสวรรค์ สู่แดนบรมสุข ลงนรกรับโทษทัณฑ์ สภาพทั้งสองจะเหมือนกันได้อย่างไร


    </TD></TR><TR><TD class=fronthead>ดอกบัวทะยานไปลิ่วๆ ชั่วพริบตาก็มาถึงสวรรค์ทักษิณ เห็นท่านมหาปราชญ์ กำลังฝึกกระบองทองคำ ไม่หยุดนิ่ง อรหันต์จี้กงกับคุณหยางเซิง ไม่ได้หยุด เพียงแค่ทักทาย .....ถึงพระที่นั่งหยกสวรรค์ทักษิณ คุณหยางเซิงคารวะราชาแห่งปราชญ์ แล้วขอประทานโอวาท ราชาแห่งปราชญ์สั่งเทพยดานำน้ำชามาต้อนรับ </TD></TR><TR><TD class=fronthead>
    ราชาแห่งปราชญ์ : ท่านทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมากนะ เพราะท่านทั้งสองมีภาระอันยิ่งใหญ่ ต้องลำบากท่องแดนทั้งสามโลก เหตุที่เลือกสำนักของท่าน มิใช่ว่าฟ้าลำเอียง สัทธรรมไม่เข้าใครออกใคร ใครมีศีลธรรม ผู้นั้นย่อมได้รับการสนับสนุน ดังนั้นจึงหวังว่าศิษย์ทั้งหลายควรตระหนักถึงเกียรติที่ได้รับ และควรอุทิศทวีคูณช่วยสวรรค์ กอบกู้ผู้คนเป็นการตอบแทน

    หยางเซิง : ขอบพระคุณท่านราชาแห่งปราชญ์ พวกกระผมจะบำเพ็ญเพียรจนสุดความสามารถ

    ราชาแห่งปราชญ์ : แดนสวรรค์กว้างใหญ่ หากจะไปให้ทั่ว เกรงว่าจะไปไม่หมด ควรเลือกไปเฉพาะที่เข้ากับศีลธรรมปัจจุบัน

    อรหันต์จี้กง : สิ่งนี้คือหน้าที่อาตมา ขอแต่ท่านได้โปรดให้ความสะดวก

    ราชาแห่งปราชญ์ : เกรงใจไปไย ปัจจุบันนี้ประจวบเหมาะในการโปรดสัตว์ทั้งสามโลก เพื่อเน้นการถ่ายทอดความจริง กอบกู้ผู้คน กล่อมเกลาจิตมนุษย์ ขอสั่งเสียเพียงเท่านี้

    อรหันต์จี้กง : ขอบพระคุณมาก วันนี้จำเป็นต้องขอลาก่อน

    </TD></TR><TR><TD class=fronthead>
    อรหันต์จี้กงและคุณหยางเซิง ลากลับ ท่านราชาแห่งปราชญ์สั่งเทพยดาตั้งแถวส่งแขก
    </TD></TR><TR><TD class=fronthead height=101><HR>ที่มา เที่ยวเมืองสวรรค์ นำโดยพระอรหันต์จี้กง,ทพ.บัญชา ศิริไกร แปล</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. littleweb

    littleweb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,355
    wow สาธุ พระอาจารย์จี้กง ศักดิ์สิทธิ์จิงๆ ชอบช่วยเหลือคน ชอบช่วยเราบ่อยๆ ถ้ามีบุญอยากไปกราบท่านสักครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2006
  5. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,790
    ค่าพลัง:
    +7,482
    :cool:
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ท่านชอบพาลูกศิษย์ไปเที่ยวเมืองสวรรค์ชมแดนนิพพาน..
    ให้รู้ว่าน่าอยู่กว่าบนโลกขนาดไหน..
    กริยาท่าทางภายนอกของท่าน อาจเหมือนไม่เต็ม ดื่มเหล้าแต่ไม่เมา จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ตัดสินคนให้ดูที่ สภาวะธรรม วาจา และการกระทำ
    ปัจจุบันท่านกำลังฉุดช่วยเวไนย์ กลับแดนนิพพานครั้งใหญ่..ผมเคยพบท่านแล้วครับ..รู้สึกปิติสุดชีวิตครับ..
     
  7. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า "ถ้ำหินสลักหยุนกัง (Cloud Ridge Caves:云冈石窟)"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=579 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=579>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> การก่อสร้างถ้ำหินอันมีพระพุทธรูปสลักอยู่ภายในที่อยู่ในจีนนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดียแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (ก่อนคริสตกาล 206 ปี ถึง ค.ศ.220) และต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่สมัย เป่ยเว่ย สุย จนถึงถัง ที่มีการก่อสร้างกันมากที่สุด

    ทั้งนี้ปัจจุบันในประเทศจีนนั้นแม้จะมี ถ้ำหินสลัก (สือคู:石窟) อยู่นับเป็นพันๆ แห่ง แต่ก็มีถ้ำหินสลักที่ได้ชื่อว่า เป็นที่สุด 4 แห่ง** (หนังสือบางเล่มอาจระบุว่ามี 3 แห่งโดยตัด 'ไม่จีซาน' ออกไป) ประกอบด้วย

    1.ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง (敦煌) มณฑลกานซู่
    2.ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง (洛阳) มณฑลเหอหนาน
    3.ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี
    และ 4.ถ้ำหินสลักไม่จีซาน (麦积山石窟) แห่งเทียนสุ่ย (天水) มณฑลกานซู่

    นอก</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    กราบนมัสการ ท่านพระอาจารณ์ จี้กง
    กราบ.....
    กราบ.....
    กราบ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2006
  9. littleweb

    littleweb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,355
    อยากช่วยพระอาจารย์ฉุดช่วยคน เหมือนที่พระอาจารย์เคยบอกไว้
    แต่จะมีวิธีการยังไง ช่วยบอกหนทางให้หนูเข้าใจด้วยคะ
    ถ้าจิตเราสื่อถึงกันได้ ขอให้พระอาจารย์มาสอนหนูในฝันด้วยคะ
    ไม่รู้ว่าพระอาจารย์ลืมหนูไปหรือยัง :)
    จากลูกศิษย์
     
  10. kenjang

    kenjang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +45
    จี้กงที่ อ.พาน จ.เชียงราย ผมเคยไปมาแล้ว ใหญ่มาก ที่ตั้งของศาลจี้กงที่นั่นอยู่ทางไปน้ำตกปูแกง ศาลที่นั่นจึงมีบรรยากาศร่มรื่น อยู่ในดอย แต่ก็ไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก ปัจจุบันมีคนไปขอหวยท่านทุกวันเลย !!บางคนก็ถูก บางคนก็เจ๊งไปตามๆๆ กัน
     
  11. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    เคยไปร่วมงานธรรมของสำนักอนุตตรธรรมที่ จ. เชียงใหม่ ตอนนั้นท่านพระอาจารย์จี้กงมาประทับร่างเด็กสาวที่ทำหน้าที่เป็นร่างทรง ขณะนั้นทุกคนกำลังร้องเพลงทำนองว่าพายเรือฉุดช่วยเวไนยสัตว์ ดิฉันก็ทำท่าทางพายเรือตามไปกับพวกเค้าด้วย ท่านดูมีพระเมตตามากค่ะ เดินถือพัดพัดไปพัดมา ท่านเดินผ่านดิฉัน แล้วทักดิฉันว่าให้รีบ ๆ พายค่ะ ก็เป็นปลื้มมากค่ะ ทำให้มีกำลังใจทำสิ่งที่ตั้งปณิธานไว้ต่อไป...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2006
  12. ศิษยานุศิษย์

    ศิษยานุศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +303
    เรื่องของพระอรหันต์จี้กงกับภัยพิบัติของโลก

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ
    ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง สิ่งศักดิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่า ศุภนิมิต ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษชื่อ เทียนไฉ ที่ประเทศมาเลเซียโดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอดังนี้
    เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า : วันที่ฟ้าดินมืดมิด
    1.ก่อนหน้า
    เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวัน บรรยากาศของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัดก่อนพายุฝนจะกระหน่ำมักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉานและกลายเป็นสีเทาขาว จนกระทั่งมืดมิดลง ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา
    2. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความมืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใด ๆ ทั้งสิ้น พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่างใช้การไม่ได้ผล ต่อจากนั้นก็เกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน
    3. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้แสงสว่างได้ รอบนอกสถานธรรมได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว เมื่อนั้นคนที่บำเพ็ญโดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส (เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมอยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้นคนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้ คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลย เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติทันทีเลยทีเดียว ถึงแม้จะรอดพ้นไปได้แต่วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว
    4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลายสร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธ สมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึง
    วันสุดท้ายฯ พุทธสถานจะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน เมืองในม่านเมฆ สำหรับผู้ใฝ่ธรรม
    5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกันออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้องครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
    6. เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขา ในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิ์สัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง หรือพระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ เรียกลมเรียกฝนเสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพาผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้ สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ ปฎิบัติธรรมโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิมอย่าได้โลภหลงตามไปเป็นอันขาด พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป ดังคำที่ว่า “ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย
    จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ ที่แอบอ้างว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์ มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก ต่อเมี่อวันที่มหันตภัยเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งานช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิหาฏิหาริย์ล่อใจใครให้กราบไว้ได้เช่นนั้น พระพุทธะตรัสไว้ว่า แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฏิหาริย์แกร่งกล้ากว่า พระอาจารย์จริงเสียอีก หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะสงบใจพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม จะเห็นใบหน้าสีเขียวเข้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบเคียง
    7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วงคือช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26 ของช่วง
    เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน เพราะช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสีซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ คนที่กินเจจะมีกำลังอยู่ได้ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายเป็นสภาพเป็นตมไปแล้ว จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นคำเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว
    8. หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่ มนุษย์จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับจากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อ จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะเป็นปฏิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน
    9. พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้ จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทานอริยะฐานะตามลำดับมรรคผลบุญกุศล จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า
    เหย่าซุ่น หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้

    สภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย
    ในหนังสือ
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2531 เวลา 17.00 น. เด็กหญิง เทียนไฉ ถอดจิตออกจากร่างติดตามพระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้นมีดังนี้
    ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมดชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงอันดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรุปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด เหมือนกำลังจะขาดใจตาย บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้าเป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใดก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และดำมืด ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากันก็มองไม่เห็นกัน พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่านั่นคือ
    เจ็ดเจํดสี่สิบเก้าวัน อันยาวนานที่รัตติกาลมาสู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้
    ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ทำสมาธิและได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปนี้
    ขณะนั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วงได้พังครืนลงมาทั้งหมด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นพุทธสถาน บ้านเรืองที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไปแต่เป็นคนที่มีจิตใจดี ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนักเหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วงมันจะสลายตัวหายไปจนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง บนแท่นบูชาสาดส่องประภายไฟอยู่สว่างไสว ไม่นานต่อมาเธอก็ได้เห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็ฉุดกระชากตัวลงไปในร่องใต้ดินโดยทันทีโดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้ สยองขวัญยิ่งนัก พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี๋ว่า นั่นคือการหักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำและเหมือนบ้านเก่า ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้นมีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อง ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ ไม่นานนักเธอก็เห็นพระศรีอาริย์ปลอมลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้ อีกทั้งแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียนผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้ ใครก็ตามที่หลงเชื่อตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว
    วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ พระอาจารย์จี้กงพาหนุน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อ
    แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม แต่โลกก็ยังตออยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลย โลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน จนเหมือนแม่น้ำเลือดกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน พูดได้ว่ามันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง ๆ ไม่นานต่อมา แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ใต้มีเพียงประเภทเดียว คือสัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และม้าเท่านั้น จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจากวันเกิดมหันตภัย
    วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ คนที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้ ผู้ที่กิจเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้ ภายในร่างกายของเรายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว ความ หรือม้ากินดิบ ๆ ได้ แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ พระอาจารย์จี้กงได้โปรดเมตตาบอกว่า มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ
    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยงพระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อ
    ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงในดิน ทุกอย่างที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้แต่สักก้าวเดียว
    วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูน้อยเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคฉากสุดท้ายต่อ
    ขณะนั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปเสียส่วนใหญ่ แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งปลูกสร้างในวงรอบรัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราบพณาสูรไม่เหลืออะไรเลย ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้น และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย จากนั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปกติ ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัยหลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น เช้าก็ออกไปทำนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการวิวาท บาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้
    (แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดยรหัสยญาน สำนักพิมพ์ ลานอโศก เพรส กรุ๊ป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2006
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ณ พุทธสถานเฉิงเต๋อ ประเทศมาเลเซีย
    วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2548
    ชั้นเรียนส่งเสริมทบทวนพิเศษ 1 วัน



    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    พระพุทธะจี้กง ประทับทิพย์ญาณเมตตาว่า...


    กับสุดท้ายกาลจวนเจียน เจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ ต่างก็รอบุญกุศลและให้โอกาสแล้วมาร้อยกว่าปี แต่มาบัดนี้ไม่มีใครสร้างบุญกุศลชดใช้ ไม่ตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญ เจ้ากรรมนายเวรได้กราบทูลร้องขอความเป็นธรรมต่อพระแม่องค์ธรรม

    พระแม่องค์ธรรมได้ตรวจสอบดูก็เป็นเช่นนี้จริง จึงบัญชาอนุญาติให้เจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ประชิดตัวได้อย่างเต็มที่ได้ทุกเวลาทุกวินาที ไม่ต้องมีการต่อรองเวรกรรมกับพระวิสุทธิอาจารย์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ใครมีหนี้กับใครก้จัดการทวงหนี้เลยได้ทันที (เก็บคนชั่วไม่บำเพ็ญ)

    เนื่องจากคนก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ถึงแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างก็ลงมาโปรดกล่อมเกลาส่งเสริม หลายต่อหลายครั้ง แต่เวไนยก็ยังหลงไม่รู้ตื่น สร้างบาปมากมาย อีกที้งยังไม่สร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน ศิษย์อย่าได้ชะล่าใจจะไม่ทันกาล ตอนนี้ต้องเร่งรับส่งเสริมนำพาเวไนยปฏิบัติงานธรรม เน้นที่สุดส่งเสริมคนทั้งหลายเร่งปฏิบัติบำเพ็ญจริง ทุก ๆ ขณะเวลาให้เห็นงานอริยสำคัญกว่างานอื่นใด

    บัดนี้เป็นการร่อนตะแกรงฟ้าครั้งสุดท้าย ภัยพิบัติครั้งนี้มีเพียงแต่ผู้บำเพ็ญมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจริงจะมีชีวิตรอด (20%) และจะเป็นผู้เก็บศพเวไนย ภัยจะเกิดทุกวัน ให้ระวังทุกขณะ สิ่งใดที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งใดมาจากทะเลกลับคืนสู่ทะเล อาจจะมีบางประเทศหายไป ภัยรอบตัวหน้าหลังซ้ายขวา

    ศิษย์มั่นคงพร้อมไม่กลัว ต้องสำนึกด้วยใจจริงแม้ และจากนี้ไป การบำเพ็ญธรรมจะยากลำบากขึ้น ของตั้งใจให้ดี ศิษย์เอ๋ยบัดนี้พระอาจารย์ไม่สามารถแบกรับหนี้กรรมให้ลูกศิษย์ได้อีกแล้ว โอกาสสุดท้ายแล้วในครั้งนี้มุ่งมั่นทำงานธรรม เร่งรีบสร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน มุ่งมั่นทำงานฟ้า ฟ้าไม่ทอดทิ้ง ละทิ้งอัตตากิเลสวางส่งเสริมงานธรรม

    *** (ในระหว่างพระอาจารย์ให้โอวาท ก็ร้องไห้ตลอดสงสารเวไนยเป็นห่วงศษย์ทั้งหลายและได้ส่งเสริมนักเรียนในชั้นเป็นคน ๆ ไป ซึ่งนักเรียนในชั้นมีเพียง 10 คน )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2006
  14. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    เคยไปเที่ยวมาแล้วครับ วิวสวย อิอิ
     
  15. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    พระอรหันต์ จี้กง ท่านกล่าวไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้น ดีกว่าเกิดเป็นเทวาดาอีก แต่ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์นั้น จะปฏิบัติตัวได้แค่ไหนเอง ท่านทั้งหลายตีความหมาย ปริศนาธรรมข้อนี้ออกไหมครับ ? ผมเองไม่กล้าขยาย ความปริศนาธรร มข้อนี้มากนัก ผมเพียงแต่คิดว่า หากเรามองดูองค์สมเด็จ พระสัมมาพระพุทธเจ้าของเรา ๆ ให้ดี เราก็จะเห็นว่า เป็นเพราะพระองค์ท่าน ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ จึงได้มีโอกาสสะสมความดี มากกว่าเทวดาอีก แล้วท่านก็ได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ ทำให้เทวดา ยังต้องบูชาท่านเลยครับ ตอนนี้พวกเรา ก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว การเดินตามรอยพระบาท ของพระพุทธองค์นั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้วครับ แล้วบารมีที่ท่าน สะสมไว้ หรือความดีที่ท่าน สร้างสะสมไว้ ก็จะทำให้ท่านได้พบกับสิ่งที่ท่านต้องการครับ(i)
    อาถรรพ์ของพลอย ตอน 29 โดย คนหาพลอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2006
  16. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    สาธุ..สาธุ..สาธุ...นำโมกวนซีอิมผู่สัก...
    [​IMG]
     
  17. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    เซฟ
     
  18. eddy555

    eddy555 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +15
    สุดยอดครับ กระทู้นี้ ผมเองก็ลูกศิษย์พระอาจารย์จี้กง ครับ เคยเข้าชั้นอบรมบรรยายธรรม มาบ้าง ปาฏิหารย์เกี่ยวกับพระอาจารย์จี้กงมีมากมาย ตามที่ท่านผู้รู้หลายๆกระทู้ได้เล่ามา แต่ผมก็มี เหตุการณ์จริง ตอนชั้นอบรมธรรม 3 วัน มาเล่าให้ฟังครับ วันนั้น พระอาจารย์จี้กง ประทับญาณลงบนตัว ซันฉาย ซันฉายที่ว่า ในภาษาบ้านเราก็เรียกร่างทรงแหล่ะครับ แต่ซันฉายนี่จะน่านับถือหน่อย คือเป็นสาวพรหมจรรย์ แล้วก็เกิดมาไม่เคยกินเนื้อสัตว์ [คือแม่กินเจตั้งแต่ก่อนตั้งท้องพอคลอดลูกออกมาก็ให้มาฝึกเป็นซันฉาย]กิจวัตรของซันฉายคือต้องทำสมาธิตลอดเวลา เพราะไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาประทับญาณตอนไหน ต่เค้าจะต้องตื่นตี 3 ทุกวันเพื่อมานั่งสมาธิ ตอนนั้นเป็นตอนเที่ยง พอพวกเรานั่งกินข้าวกันอยู่ รวมท้งอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม และพุทธบริกรทั้งหลาย รวมทั้งซันฉาย พอเรากินข้าวเสร็จ อยู่ดีๆก็มีคนมาเรียก เป็นชั้นเรียนพิเศษ พี่ๆเค้าบอกว่าพระอาจารย์จี้กงประทับญาณ ผมก็ รีบไป ท่านก้พูดในหัวข้อเจ้ากรรม นายเวร พระอาจารย์บอกว่า ให้ทุกคนหมั่นเร่ง บำเพ็ญธรรม เพราะเค้าเร่งออกมาทวงคืนกันแล้ว แล้วท่านก็บรรยายต่อ บอกว่าจะพาเจ้ากรรม นายเวรของใครในที่นี้มาหา อีกซัก2นาทีก็มีซันฉายอีกคน มีอาการเหมือนผีเข้า แล้วก็แววตา ถลน เหมือนโกรธแค้นอะไรใครซักอย่างแล้วอาจารย์จี้กงก็บอกว่านี่เจ้ากรรม-นายเวรของ...พี่คนนั้นก็ทำท่าที เลิกลั่ก แล้วก็เหมือนจะร้องไห้ พระอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่าพี่คนนี้ตอนเป็นวัยรุ่นเกเรพาแฟนไปทำแท้งแต่พอดีเมียแกไม่มีเงินแล้วไปซื้อยาขับแต่เด็กโตเกินไปเลยตกเลือดตาย ผู้หญิงคนน้นก็เลยโกรธแค้น จะมาเอาชีวิตไปให้ได้ พระอาจารย์ก็เลยขอร้องให้พี่เขาช่วยบำเพ็ญธรรมเพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลให้พี่คนนั้นก็ร้องไห้ใหญ่ผมงี้ขนลุกเลย พอพระอาจารย์ให้โอวาทซ้อนโอวาทแล้วท่านก็จบการบรรยาย แต่แปลกมากครับ พอท่านออกจากร่างซันฉาย ซันฉายก็เป็นลมหมดสติ แต่กับซันฉายอีกคนนึงที่ถูกวิญญาณสิงร่าง กลับเป็นลมแล้วอ้วก ผมก็คิดว่าคงวิญญาณมาจากภพภูมิต่างกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพบเห็นเรื่องแปลกๆในพุทธสถานครับตอนอายุ 10ขวบ มีอีกหลายเรื่องครับเกี่ยวกับเรื่องแปลกในพุทธสถานที่อยากเล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...