วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    วันนี้อาจารย์ให้การบ้านด้วย..
    ใครที่เคยระลึกชาติได้แล้ว..มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ..
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สวัสดีครับทุกๆท่าน ขอโทษที่หายไปนานเลยทีเดียว เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองและปัญหาเวบล่มครับ ขอขอบคุณสำหรับหลายท่านที่ได้ทั้งโทรมา และเมลล์มาถามไถ่ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็ขอตอบรวมให้เลยว่า ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาท ในทุกสิ่ง อย่าประมาทในชีวิตและเร่งความพากเพียรในการปฏิบัติให้มากขึ้นทุกๆท่านครับ

    ---พระท่านให้ผมนอกเหนือจากการแนะนำการการปฏิบัติในกระทู้นี้แล้ว ท่านให้พวกเราทุกคนเริ่มลงมือสร้างบารมี ที่เป็นรูปธรรม ทั้งความเจริญต่อประเทศชาติ และเพื่อการเตรียมความเจริญรุ่งเรืองในพระบวรพุทธศาสนาด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2006
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะความแปรปรวน เปลี่ยนแปร แม้ชีวิตของเราเองนั้นก็ยิ่งไม่มีอะไรแน่นอนครับ ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจ บางครั้งการมีญาณทัศนะ การมีอนาคตังสญาณ การรู้อะไรมากเกินไป หรือรู้ล่วงหน้าก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ครับ การปล่อยวางจาก โลกธรรมแปด อันได้แก่ การมีลาภ การเสื่อมลาภ การมียศ การเสื่อมยศ การได้รับการสรรเสริญ การได้รับคำนินทา การมีคนรัก การมีคนเกลียด ได้ มองได้ว่า ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นธรรมดาของโลก เป็นอนิจจัง ความไม่เที่ยง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงได้สั่งสอนให้เราออกจากทุกข์ ออกจากสังสารวัฏ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่พระนิพพาน อันเป็นบรมสุขจากความทุกข์ทั้งปวง

    ---เมื่อคืนนี้ผมมีนิมิตรสองประการครับ ประการแรก ตอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ มีพระยามาราธิราช(คนละท่านกับสมัยพุทธกาล) มาหาในสมาธิ บอกว่า สิ่งที่เราชาวธรรม ได้พยายามทำพยายามช่วยกันเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น ในตอนนี้นั้น แต่กลับถูกกดดัน ขัดขวางมีอุปสรรคหลายอย่างหลายประการ ในหลายๆคนหลายท่านนั้น เป็นเพราะ เป็นหน้าที่ของท่านเช่นกันที่ต้องล้างผู้มีกรรมชั่วและสิ่งสกปรกให้หมดจด เพื่อรองรับ การเติบโตและความรุ่งเรืองครั้งใหม่ของพระพุทธศาสนา ต่างคน ต่างทำหน้าที่ของตนเอง เรื่องนี้ เมื่อผมได้รับรู้ ก็ทำให้เข้าใจความรู้สึกของท่านผู้ตั้งใจทำความดี คุณงามความดีแก่ ชาติ แก่แผ่นดิน อีกหลายๆท่าน ที่ต้องประสบกับอุปสรรคในชีวิต หลายอย่างหลายประการ แต่ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย จงได้มีกำลังใจในการทำความดี ในการบำเพ็ญบารมีทั้ง สามสิบทัศน์ต่อไป จงอย่าได้ท้อแท้ หรืออ่อนกำลังใจลง เพราะการที่ท่านพระยามาราธิราชมาปรากฏเองนั้น ย่อมแสดงว่า เรากำลังจะได้สร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่ต่อไป เพื่อชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อไปครับ อย่าได้ลืม ภาษิตที่ว่า " มารไม่มีบารมีไม่ปรากฏ" ครับ ขอให้ทุกท่านตั้งใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติเพื่อความดีทั้งของตนเอง และเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมครับ

    ---นิมิตรที่สอง เป็นความฝันครับ ผมฝันไปว่า ได้ไปในเขตป่าลึกในลุ่มน้ำอะเมซอนครับ เพื่อขัดขวางคนที่เข้าไปทำลายป่าไม้เขตร้อนที่นั่น ในฝันๆว่า มีชาวป่าพื้นเมืองที่ใช้ลูกดอกอาบยาพิษเป็นอาวุธ คอยฆ่าคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้าไปในเขตพื้นที่ของพวกเขา ในฝันผม โดนลูกดอกเข้าไปลูกหนึ่ง และ ค่อยๆตายครับ แต่จุดสำคัญอยู่ที่ผมจำรายละเอียด ของนาทีและวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะตายได้ละเอียดครับ เลยขออนุญาตเล่าให้ฟังกันว่า เป็นอย่างไรครับ

    "เริ่มต้นมันจะเกิดตัวรู้ขึ้นมาในจิตของเราว่า เรากำลังจะตายแล้ว กำลังในร่างกายของเราจะอ่อนแรงลง แต่จิตของเราจะรีบหาที่ยึดที่เกาะทันทีครับ สำหรับผมนั้น ใจก่อนตาย เมื่อรู้ว่าตัวเราจะตาย เราคิดถึง"พระนิพพาน"จุดเดียวครับ ซึ่งเป็นการยืนยันคำสอนของหลวงพ่อว่า ท่านที่ได้ปฏิบัติธรรมมา เมื่อเวลาจะตาย จิตจะรวมตัวของมันเองโดยอัตโนมัติครับ จากนั้นลมหายใจ ก็จะเริ่มเป็นลมหายใจสุดท้ายก่อนตายเป็นไอ ที่มีลักษณะเฉพาะ จำได้แต่อธิบายไม่ได้ครับ พอลมหายใจนี้สุดปั๊ป จิตก็จะดับ ของผมตายแล้วตกใจตื่นครับ แต่ถ้าตายจริงก็คงไปยังที่ที่เราตั้งจิตไว้ก่อนดับจิตครับ

    เมื่อตื่นแล้วก็ใช้ญาณทัศนะ เป็นตัวรู้อธิบายนิมิตรทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในฝัน ก็สรุปจากตัวรู้ได้ว่า ที่ฝันถึงป่าอะเมซอนนั้น เป็น แมสเสจ จากธรรมชาติ ที่กำลังบอกกับเราว่า ที่ป่านั้นธรรมชาติได้สร้างสิ่งที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น โรคภัยไข้ป่า สัตว์อันตราย เช่น อะนาคอนดา ปลาปิรันย่า จระเข้ และมนุษย์พันธุ์ดุร้าย เพราะ ธรรมชาติไม่ต้องการให้มนุษย์เข้าไปบุกรุกทำลายธรรมชาติแหล่งสุดท้ายบนผืนโลกที่จะช่วยเป็นปอดของโลก และสร้างออกซิเจน ให้กับทุกคนบนโลกใบนี้ครับ คำเตือนนี้คงเป็นคำเตือน สุดท้ายจากธรรมชาติแล้วครับ
    ส่วนที่ผมฝันว่าตายนั้น เป็นเพราะเรายังประมาทในชีวิตและความตายอยู่มาก ยังเจริญมรณานุสติได้ไม่พอ ยังมีธรรมที่เจริญยิ่งๆขึ้นไปอีกให้ปฏิบัติ ยังมีบารมีอีกมากให้บำเพ็ญ ดังนั้นเลยต้องโดนการฝึกซ้อมตายและเตรียมจิตก่อนตาย แต่ผมยังดีใจนะครับ ที่ก่อนตายเรายังคิดถึง พระนิพพานเป็นที่สุด ถ้านึกถึงกรรมชั่วในอดีตละก็ตัวใครตัวมันครับ เอาเป็นว่าก็ขอให้ทุกท่านก็จงได้อย่าประมาทในชีวิต และมีการเจริญมรณานุสติ เป็นปรกติของจิต ส่วนผม ถือว่าเราได้สะเดาะห์เคราะห์กรรมเก่า ตายแล้ว เกิดใหม่ เพื่อการสร้างบารมีและบำเพ็ญความดีให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กลับมาสู่การปฏิบัติเพื่อความดีและความบริสุทธิของจิตกันต่อครับ

    เริ่มการทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้และฝึกฝนกันมาครับว่าเราได้ฝึกอะไรมาแล้วบ้างครับ

    เริ่มกันที่ด้านสมถะ เราได้เริ่มกันที่ อาณาปานสติเบื้องต้น จนถึงฌานสี่ หยาบ ฌานสี่ละเอียด กสิณสิบ จนถึง อรูปฌาน

    ด้านวิปัสสนา เราได้ ฝึก การพิจารณากาย ร่างกาย ขันธ์ห้า มรณานุสติ พรหมวิหารสี่ ตลอดจนสังโยชน์สิบ และอารมณ์ นิพพาน หรือ อุปมานุสติ กันแล้วนะครับ

    สิ่งที่เราจะฝึกกันต่อไปก็จะเป็นไปตามวิสัยของแต่ละท่านที่ได้อธิฐานกันมาในอดีตกาลของแต่ละท่าน เพื่อให้เป็นไปตามการอธิฐานมาไม่ว่าท่านที่ปรารถนาเพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี ท่านที่ได้ปรารถนาพุทธภูมิแต่ได้ลาพุทธภูมิแล้ว แต่ต้องมาสร้างบารมีเพื่อใช้หนี้พุทธภูมิก็ดี ท่านที่ปรารถนานิพพานในชาตินี้ก็ดี ท่านที่ปรารถนาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็ดี อารมณ์ใจและความเข้มข้นในการปฏิบัติย่อมมีความแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา ดังนั้นเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติและความเจริญในธรรมของแต่ละท่าน ผมจึงได้พยายามให้ทุกท่าน ได้รู้ได้ทราบในสิ่งที่ท่านได้อธิฐานและปรารถนาในอดีตชาติกันก่อน เพื่อให้มีความเข้าใจและง่ายในการปฏิบัติอีกทั้งยังทำให้ง่ายต่อตัวท่านเองในการดึงและฟื้นวิชชาต่างๆที่ท่านได้เคยได้บำเพ็ญได้ปฏิบัติมาแล้วในอดีตชาติอีกด้วย

    ดังนั้นวันนี้ผมขอให้ท่านได้ฝึก การอธิฐานดึงบารมีเก่าในอดีตชาติให้มาปรากฏผลในปัจจุบันครับ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ------เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
    ------- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
    --- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว เป็นฌานสี่จากนั้นเข้าอรูปฌานที่ หนึ่ง สอง สาม จนถึงอรูปฌานที่สี่ เต็มกำลังสมาบัติแปด แล้วถอยจิตเข้ามาในวิปัสนาญาณตัดสังโยชน์สิบ (แล้วจึงขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพานอรูปฌานที่หนึ่ง ชื่อ อากาสานัญจายตนะ โดยการเพิก ถอนภาพพระพุทธรูปออกจากจิต แต่ให้จิตตั้งมั่นในสภาวะที่เป็นอากาศที่เว้งว้าง ว่างเปล่า เห็นเมือน จิตเราลอยอยู่ในที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด กำหนดในจิตว่าอากาสเหล่านี้ว่างมากไม่มีนิมิตรเครื่องหมายอะไร มีแต่ความว่างไร้แก่นสารใดๆ จนอารมณ์ทรงตัว หยุดนิ่งอยู่กับอากาศที่เว้งว้างนี้ เมื่อจิตทรงตัวดีจัดว่าเป็น อรูปฌานที่ 1.

    ----กลับมาจับภาพพระพุทธรูปที่ใสเป็นแก้วประกายพรึกจากนั้น เพิกภาพนิมิตรออกไป จากนั้นเคลื่อนจิตเข้าสู่ วิญญานัญจายตนะ พิจารณาว่า วิญญานก็คือจิต ที่ไม่เที่ยงมีอาการคิด ไปๆมาๆหาที่สุดที่หยุดไม่ได้ ไปยึดติดกับวัตถุ บ้าง คนบ้าง ไม่มีความแน่นอนเดี๋ยวก็ชอบ เดี๋ยวก็เกลียด ไม่มีความเที่ยงแท้ เราไม่สนใจในจิต ที่กวัดแกว่งไปมา เราต้องการคืออากาศที่เว้งว้างว่างเปล่าหาขอบเขตไม่ได้ ให้จิตทรงตัวกับอารมณ์ที่ว่างจากความคิดมีเพียงสภาวะแห่งความว่างเว้งว้างว่างเปล่า เมื่อจิตทรงตัว ก็ถือว่า ได้อรูปฌานที่ 2

    -----จับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก จากนั้นเคลื่อนจิตสู่อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาเห็นว่า วัตถุ สิ่งของทุกอย่างในโลกล้วนแตกสลาย ผุพังไปหมด บ้านเรือน ภูเขา กำแพง รวมทั้งร่างกายเรา ล้วนผุพังแตกสลายจนหมด วัตถุและดลกนี้ล้วนไร้แก่นสาร สุดท้ายย่อมกลายเป็นอากาศที่เว้งว้างว่างเปล่า เมื่ออารมณ์ ทรงตัว จิตก็เข้าสู่อรูปฌานที่ 3

    ----จิตจับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก และเพิกนิมิตรออกจากจิต พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ว่า อันสัญญา ความรู้สึก ความจำได้หมายรู้นั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์เพราะเราไปปรุงแต่ง ดังนั้น ร้อนก็ช่าง หิวก็ช่าง หนาวก็ช่าง คนด่าก็ช่างคนชมก็ช่าง ไม่ใส่ใจปรุงแต่งในผัสสะทั้งห้า มีสัญญาก็เหมือนไม่มีสัญญา เฉยๆไปในทุกสิ่ง มีเพียงความว่างเว้งว้างจิตไม่รับรู้ในอายตนะ และไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น จิตทรงตัวอยู่กับความเว้งว้างว่างเปล่า ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน ไม่มีขอบเขตใดๆ เมื่อจิตทรงตัว ก็ได้ชื่อว่าได้อรูปฌานที่ 4 จบสมาบัติแปด

    ---จากนั้น ใช้กำลังของสมาบัติแปด ยกอารมณ์จิตในวิปัสนาฌานมาพิจารณา สังโยชน์สิบ
    ไล่ตั้งแต่พิจารณาร่างกายเราว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของสกปรก เป็นรังของโรค
    จากนั้นพิจารณาว่าเรามีความมั่นคงในพระรัตนไตย และตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    พิจารณาว่า ศีลของเราบริสุทธ์ และจิตเราเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารสี่
    พิจารณาว่า จิตใจเราเห็นโทษในกามคุณห้า จากสิ่งล่อคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ว่าเป็นเครื่องล่อหรือกับดักให้เราหลงพอใจในชาติภพ ติดอยู่ในสังสารวัฏนี้ เราจะเพิกทิ้งเสีย
    พิจารณาต่อไปว่าเมื่อกามฉันทะเรายังละได้ พยาบาท ความโกรธ ปฏิฆะ ความหงุดหงิด จึ๊กจั๊ก รำคาญใจเราย่อมตัดทิ้งไม่ยึดถือ ให้จิตดองอยู่กับยาพิษแห่งจิตแบบนั้นอีกต่อไป
    พิจารณาต่อไปว่า พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดียังไม่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ ที่เดียวที่เราต้องการคือพระนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงเมตตาสั่งสอนเรามานั่นเอง
    ใช้กำลังฌานแปดตัดความมานะถือตัวว่าเราดีกว่าเราเก่งกว่าเราโง่กว่า เราฉลาดกว่าออกไปจากจิต
    จิตไม่มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ จิตมั่นคงอยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จากนั้นใช้กำลังฌานทำลายอวิชชา อันคือความโง่ความไม่รู้ ความหลง ความยึดติด ทั้งมวล ล้างออกไปจากจิต จิตรู้เท่าทันภาวะความเป็นไปในร่างกายขันธ์ห้าทั้งของเราและของบุคคลอื่น ปล่อยวางจากการยึดติดในชาติภพ เบื่อหน่าบในร่างกาย เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดจิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน เมื่อจิตรู้เท่าทันความเป็นจริงของอริยสัจสี่ จิตก็เข้าถึงความเป็นธรรมดาในทุกสิ่ง ยอมรับกฏแห่งกรรมโดยไม่มีความทุกข์ใดเกาะใจเราได้อีก เป็นปรกติ และธรรมชาติสูงสุดในธรรม)จากนั้นใช้กำลังของทั้งสมถะสมาบัติแปดและวิปัสนาญาณยกจิตอันเป็นอาทิสมานกาย ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
    ----จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
    ----กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ "ขอให้ ดวงจิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงวิชชาและบารมีที่เราได้เคยได้ เคยบำเพ็ญ ตลอดรวมไปถึงสายสมบัติสายบุญที่เราเคยสร้างเคยสะสมไว้ได้โปรดกลับมารวมตัวส่งผลดีในชาตินี้ให้ปรากฏขึ้นเพื่อการสร้างบารมีในชาติปัจจุบันนี้ของข้าพเจ้า เพื่อคุณประโยชน์ ต่อ ชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์แห่งแผ่นดินไทยนี้ด้วยเทอญ"

    ----จากนั้นกราบลาทุกๆพระองค์และแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน ด้วยกำลังของสมาบัติแปด บนพระนิพพาน แล้วจึงทิ้งอาทิสมานกายไว้ ที่วิมานของตนบนพระนิพพานครับ

    ----ขอกราบโมทนาท่านที่ทำได้ทุกท่านครับ ขอให้ทุกๆท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาและของชาติไทยครับ
     
  6. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    คืนก่อนผมก็ฝันก็ระเบิดนิวเคลียร์ลงแต่ไม่ทราบว่าที่ไหน ในฝันผมหนีไม่ทันโดนฝุ่นนิวเคลียร์ ก็ได้บอกกล่าวกับพี่คณานันท์แล้ว
    คิดว่าฝันนี้คงเป็นเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์เอง
    ก็ขอให้ทุกท่านเจริญมรณานุสติให้มากครับ พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงก็จะได้ไม่วิตกจนเกินไป
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ***************
    ประกาศ...สู่ชาวพุทธ
    ***************

    โลกุตตระ ซึ่งคือ พระไตรปิฎก
    ได้กล่าวว่า "หยุด...ไป...หยุด...ไป"
    อยู่หลายครั้ง !!!

    หมายความว่า
    บัดนี้...
    หมดเวลาเล่นแล้ว
    ถึงเวลาที่จะต้องทำจริง
    สมาธิ วิชชา ความวิเศษต่างๆ ให้หยุดวางไว้
    ถึงเวลาที่จะต้องมาเดินบนทางตรง
    ด้วยธรรมเที่ยง ด้วยหลักสัจจะธรรม
    คือ "สัจจะ"

    หากผู้ใดไม่เชื่อใน "สัจจะ"
    โลกเขาจะไม่ให้อยู่
    เขาจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน

    ขอให้เชื่อ "สัจจะ...มีผลตอบแทน"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อืมม ที่เราทุกๆท่านฝึกกันนี่เราฝึกกันจริงๆครับไม่ใช่การเล่าให้ฟังครับ และ"สัจจะ"การอธิฐานบารมีที่หลายๆท่านได้ตั้งจิตไว้ตรงกันคือการจะช่วยทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ ห้าพันปีครับ ต้องขอขอบพระคุณ ท่านที่หวังดี คอยเตือนครับ
    ส่วนการลงมือทำจริงนั้น เราได้ช่วยกันจัดกิจกรรม นอกสถานที่ และหลายๆคนได้ช่วยกันมีส่วนร่วมในโครงการ"ซ่อมแซมบูรณะพระพุทธรูปทั่วพุทธอาณาจักร"กันอยู่ครับ
    สำหรับส่วนของบ้านเมืองและของโลกของเราใบนี้ตัวผมกำลังทำงานก่อตั้ง "สมาพันธ์ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงาน"อยู่ครับ ท่านที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมหรืออยากช่วยทำงานเชิญมาคุยกันได้ครับ
    ต้องขอบคุณที่ช่วยเตือนครับว่าให้ลงมือทำ ในสิ่งที่เป็นรูปธรรมครับ และผมเองก็อยากให้ทุกๆท่านจงอย่าได้ลืมการปฏิบัติทางจิตเพื่อความดีความบริสุทธ์ของจิตใจเรากันด้วย ครับ เพราะสัจจะ คือการบูชาธรรมครับ
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อำนาจของสมาธิและฌาน อภิญญา สมาบัตินั้น ผู้ปฏิบัติเองได้รู้ได้เห็นได้ทราบเองครับ เหมือนเรากินข้าว ได้รู้รสอาหารเองอิ่มเอง กินแทนกันไม่ได้ครับ เป้าหมายในการฝึกในการปฏิบัติวิชชาทั้งหมดนี้ เพื่อพระพุทธศาสนาและประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งอันได้แก่ ชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ต้น ที่เราได้อธิฐานขอใช้วิชชากันแต่แรกแล้วครับ ดังนั้นท่านผู้ที่ตั้งใจจะทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยมีวิชชา คุณธรรมและญาณเครื่องรู้กำกับนั้นย่อมมีความถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในงานที่จะทำสูงกว่า บุคคลทั่วไปเยอะครับ
    ในอดีตนั้นบรรพบุรุษของไทยเราเองหลายๆท่านก็ได้ใช้วิชชาความรู้ในพระบวรพุทธศาสนามาใช้รักษาชาติรักษาแผ่นดินไทย สุวรรณภูมิ มามากมายนับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ ทองย่อมเป็นทอง เพชรย่อมเป็นเพชร ฉันใด พระสัจจะธรรมอันแท้จริงในพระพุทธศาสนาก็ย่อมต้องคงอยู่และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองฉันนั้นครับ
    ขอให้ทุกๆท่านได้ตั้งกำลังใจไว้เสมอในทุกๆวันว่า "เรานั้น จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในจิตใจที่ดีงาม ความมั่นคงในธรรม ความศรัทธาเป็นอจละศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังมั่นคง ชั่วนิรันดรตราบเข้าสู่พระนิพพาน"ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2006
  10. REdSHirt

    REdSHirt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +382
    58 58 58 เทสๆๆ 123 วัน ทู ทรี

    เมื่อคืนก่อน ผมฝันเห็นบ้านเมืองสวยงามมากเลยครับ ในฝันมีความสุขมาก ตื่นมายังจำได้ บ้านเมือง ตึกราม แปลกตาออกไป สว่างสดใส ในฝันเป็นโทนสีทอง สวยจิงๆ ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อน อาจเป็นเมืองหลัง ภัยพิบัติ ก็ว่าไปนั้น

    ขอให้ทุกท่านมีสติ สัมมาทิฐิ น่ะครับ อะไรก้อไม่แน่นอน บ้านผมอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา จ.ปทุมธานี น้ำท่วนเข่าแล้วครับ ขนของหลบน้ำตามระเบียบ
    ปล. มาโพสแบบนี้ไม่มีสาระอะไรครับ อยาก ดูรูปตัวเองที่อัพขึ้นมาใหม่ด้วย
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับแนวทางในการปฏิบัตินั้นเราได้เรียนรู้และฝึกฝนกันมา ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนถึงขั้นสูงแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และเป็นการปฏิบัติแบบตลอดชีวิตในการทำความดี รวมทั้งความตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ เพื่อความไม่ไขว้เขว้ ไปจากเส้นทางแห่งความดี ความงามของจิตใจครับ

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมและสมความปรารถนาในสิ่งที่ได้อธิฐานไว้ในความถูกต้องดีงามทุกอย่างทุกประการครับ
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมื่อทุกท่านมีธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ เครื่องปฏิบัติ อันเป็นวิหารธรรมแล้ว ต่อไป ผมจะขอนำเสนอการสร้างบารมี การบำเพ็ญบารมี ทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ครับ ท่านใดที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ปฏิบัติได้ ก็ขอเชิญท่านได้อธิฐานจิตและลงมือ ร่วมมือ ทำได้เลยครับ แม้จะเพียงแค่การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลให้กว้างขวางขึ้น หรือเพียงการโมทนาก็ถือว่าได้ร่วมทำแล้วครับ

    ส่วนวิชชาที่จะทำให้รอดพ้นจากภัยพิบัตินั้น ผมจะลงลึกเป็นเรื่อง "พุทธประเพณี จากพุทธภูมิสู่พระโพธิสัตว์ " เป็นเรื่องราวและประสบการณ์ ทั้งที่จาก พระ ครูบาอาจารย์เบื้องบน ได้สั่งสอนมา รวมทั้งที่พระโพธิสัตว์ และพุทธภูมิรุ่นพี่ท่านได้ แนะนำ อบรม รวมทั้งได้เมตตาเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ครับ ผมก็จะค่อยๆถ่ายทอดต่อๆไป ตามที่ข้างบนท่านจะเห็นว่าเหมาะสมครับ

    ช่วงนี้ผมอาจจะเข้ามาลงกระทู้ไม่ค่อยสะม่ำเสมอบ้างขออภัยอย่างยิ่งครับ สำหรับหลายๆท่านที่ได้คอยติดตามอยู่ และได้ให้กำลังใจอยู่เสมอ ส่วนท่านที่มีข้อสงสัยหรือมีการติดขัดในการปฏิบัติเพื่อความดีในประการใด ถ้าไม่เกินภูมิรู้หรือความเหมาะสม ผมยินดีช่วยอธิบายให้เสมอครับ ได้โปรดได้คิดว่าตัวผมนั้นเป็นเหมือนสหายธรรมของท่านคนหนึ่งครับ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ผมเชื่อว่าหลายๆท่านในเวบนี้ แต่ก่อนนั้นก็ล้วนแต่เดินมาในทางโลก ผ่านความโลภ ความโกรธ ความหลงมาก็ไม่น้อยกว่าที่จะ ผุดตื่นขึ้นเข้าสู่ทางธรรม เส้นทางแห่งความดีและความบริสุทธ์ของจิตใจ ส่วนตัวผมเองนั้นก็เคยโง่เคยหลง มาไม่น้อยกว่าที่จะมีครูบาอาจารย์ท่านมาสอน มาโปรด มาช่วยคุมจิตคุมใจให้อยู่ในแนวทางปฏิบัตินี้ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังมีความเลวของจิตอยู่อีกมากนัก มีความดีที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ มีบารมีที่ตัวเองเกี่ยงว่าต้องอย่างนั้น อย่างนี้ก่อน เราจึงจะทำเราจึงจะบำเพ็ญ แต่เมื่อเราได้ลงมือทำลงมือปฏิบัติให้มากขึ้น เราก็กลับรู้สึกว่าเราได้ตื่นขึ้นจากความโง่เขลาและอวิชชา รวมทั้งได้ทราบมากยิ่งขึ้นว่ายังมีศาสตร์ อีกมากมายที่ตัวเรายังไม่รู้อีกจนการเรียนรู้ชั่วชีวิตหรือหลายสิบชาติก็ยังไม่พอ
    การตื่นขึ้นสู่ทางธรรมนั้นแต่ละคนก็จะมีวาระเวลาแตกต่างกันไป โดยมีปัจจัยขึ้นอยู่กับ
    --วาระกรรมฝ่ายบุญและฝ่ายบาปที่ให้ผล
    --การอธิฐานก่อนการลงมาเกิดในชาตินี้
    --การอธิฐานในชาติต้นๆในการบำเพ็ญบารมี
    --การสงเคราะห์ของสิ่งศักด์สิทธิ์เบื้องบนที่ท่านได้ปกปักรักษาเรา

    การตื่นขึ้นสู่ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนเอง โดยอาจเป็นการฉุกคิดขึ้นมา ว่าเรานี้เกิดมาทำไม เพื่ออะไร จากนั้นจิตก็จะเริ่มเสาะหาสัจธรรมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อาจเดินผิดทางบ้าง หาครูบาอาจารย์ผิดไม่ตรงกับจริตบ้าง ทำให้การปฏิบัติอาจดูช้า แต่ในขณะเดียวกัน การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ก็นับว่าเป็นการเรียนรู้เช่นกัน หรือในขณะที่บางท่านที่บารมีเต็มแล้ว และอธิฐานมาดี อาจตื่นขึ้นทางธรรมและก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างรวดเร็วก็ได้ แล้วแต่บุคคล และก็มีอีกหลายคนมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นพุทธภูมิ ที่ท่านได้มีพุทธภูมิรุ่นพี่รุ่นพ่อ มาสะกิดให้ตื่นเพื่อให้รู้หน้าที่ หรือเริ่มบำเพ็ญบารมี และจึงได้ค่อยๆตื่นขึ้นในทางธรรมช้าๆ เหมือนประหนึ่งดอกบัวแย้มกลีบรับแสงแห่งตะวัน

    สำหรับเหล่าพุทธภูมิทั้งหลาย ผู้ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าทั้งหลาย สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผู้เป็นองค์ต้นพุทธวงศ์นั้น ท่านได้ เปรียบเทียบไว้ว่าเป็น"หน่อเนื้อพุทธางกูร" คือเป็นเชื้อไขแห่งพุทธวงศ์ เพื่อดำรงสัทธาธรรมสืบต่อๆไป กัปป์แล้วกัปป์เล่าตราบเท่าที่สรรพสัตว์ จะเข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพานจนหมดสิ้น ดังนั้นการสืบทอดสกุลแห่งพุทธวงศ์นั้นจึงมีความสำคัญไม่อาจทำให้ขาดตอน ขาดผู้สืบทอดได้ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิจึงต้องมีบารมี ความเสียสละ และกำลังใจสูงยิ่งกว่าบุคคลทั่วไปอย่างยิ่งยวด ใช้ระยะเวลาบำเพ็ญบารมียาวนานเป็นพิเศษ

    แต่ในขณะเดียวกัน ท่านที่ปรารถนาเพื่อพุทธภูมินั้น กลับมีเป้าหมายหรือจุดประสงค์เริ่มต้นแตกต่างกัน และด้วยความแตกต่างกันนี้ ทำให้พุทธภูมิหลายท่านยังไม่อาจยกจิตของตนขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์

    ความแตกต่างในจุดประสงค์นั้นคือ การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพราะพระพุทธเจ้านั้นเก่งที่สุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด การปรารถนานี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็กลับแฝง มานะ ทิษฐิ การถือตัวถือตน ซ่อนอยู่ด้วย อีกทั้งเป็น จุดอ่อนให้กิเลส แห่งความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นผู้อื่นดีกว่าเก่งกว่า มีบารมีสูงกว่า เข้ามาสิงจิตจนกลายเป็นมิจฉาทิษฐิได้โดยง่าย การปรารถนนี้ยังมีการตั้งประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง จึงยังไม่บริสุทธ์เต็มที่ แม้ในความเจตนาดีนั้น ที่พูดได้เพราะผมเองเคยเลวมาก่อน เคยอยากเก่ง อยากได้อภิญญา อยากเป็นฮีโร่ มาวันหนึ่งไปหาหลวงพี่สมปอง ท่านกระตุกเข้าให้ว่า พวกที่อยากเก่ง อยากเป็นฮีโร่นี่ยังไม่เก่งจริงนะ เท่านี้แหละ อภิญญาหายเกลี้ยงเลย แถมยังไม่เข้าใจซะอีกว่า ทำไม การอยากเป็นฮีโร่มันผิดตรงไหน การอยากดีมันผิดตรงไหน ตอนนั้นมันคิดไม่ได้เลยว่าเพราะอะไร เราก็ตั้งใจดี อยากช่วยคน นี่นา และกว่าที่ผมจะแก้ไขจิตให้ตั้งอยู่ในความเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติได้ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ในขณะเดียวกัน การผ่านจุดนั้นมาได้ก็ทำให้จิตได้ยกระดับสูงขึ้น มานะทิษฐิลดลง ความเคารพในพระรัตนไตร มั่นคงแนบแน่นขึ้น และม่านบังใจที่เคยทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ครูบาอาจารย์หายไป แต่ก่อนที่เคยบ่นว่า ทำไมไม่มีครูบาอาจารย์มาโปรดมาสอนเลย มาตอนนี้ ลองใช้ญาณย้อนกลับไปดู กลับพบว่า ครูบาอาจารย์ท่านคอยดูแลเราอยู่เสมอตลอดเวลา และสอนเราโดยที่บางครั้งเราไม่รู้ตัว รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนมโนหายไปด้วย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบทเรียนจากเบื้องบนทั้งสิ้นที่ต้องการให้เราได้เรียนได้รู้ ทั้งจากความสำเร็จและความผิดพลาด การวางกำลังใจผิดเพียงเล็กน้อยแต่มีผลอย่างมาก ถ้าไม่เชื่อท่านลองนึกภาพพระเทวทัตโกรธพระพุทธเจ้าแล้วจึงตั้งจิตกำเม็ดทรายในกำมืออธิฐานว่าจะจองเวรพระพุทธเจ้าทุกชาติเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในมือนั้น ท่านทั้งหลายก็ทราบผลที่ปรากฏต่อพระเทวทัตอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านที่เป็นพุทธภูมิจึงต้องมีความละเอียด ในเรื่องเหล่านี้ การวางกำลังใจก็ดี การอธิฐานก็ดี ต้องตั้งไว้ในกุศลธรรมเท่านั้น และหมั่นที่จะถอนคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิออกไปจากจิตใจให้หมด รวมถึงการผูกใจอาฆาตต่อผู้หนึ่งผู้ใด เพราะไม่แน่ว่าผู้ที่เราอาฆาต อาจเป็นพระอริยเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ก็ได้ ดังนั้นการตั้งจิตไว้ด้วยพรหมวิหารสี่ รักและเป็นมิตรต่อสรรพสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สิ้นอยู่แล้ว

    ส่วนท่านผู้ปรารถนา พุทธภูมิด้วยจิตเมตตา พรหมวิหารสี่ ต้องการช่วยสรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์ทั้งในชาติปัจจุบัน และทุกข์ภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนั้น ท่านมีกำลังใจเป็นพระโพธิสัตว์โดยแท้ไม่ว่าท่านจะประสบกับอุปสรรคประการใดท่านก็ยังอดทน เพื่อประโยชน์ของมวลสรรพสัตว์ส่วนรวม เสมอ น้ำใจของท่านมีแต่การให้ การสงเคราะห์ คิดแต่จะช่วย ช่วย และก็ช่วย ในชีวิตผมได้พบเจอพระโพธิสัตว์ที่มีน้ำใจประเสริฐแบบนี้จำนวนไม่น้อย ที่พอกล่าวอ้างได้ ก็ได้แก่ หลวงพ่อคูณ หลวงพ่อเปิ่น เป็นต้นครับ และยังมีอีกหลายท่านที่ได้สร้างบารมีโดยคนไม่รู้ไม่เห็น อย่างบางท่านที่ได้อภิญญา ท่านก็ได้ช่วยโมทนาบุญ ปลดปล่อยดวงวิญญาน สัมภเวสีตามที่ต่างๆอย่างสม่ำเสมอครับ ในเวบนี้มีอยู่หลายท่านครับ ผมก็ขอกราบโมทนาบุญด้วยครับ และขออนุญาตจดจำเรียนรู้ปฏิปทาที่ดีๆไว้เป็นแบบอย่างครับ


    สรุปรวมแล้วที่ผมเน้นเรื่องนี้อีกครั้งเพราะพระท่าน ให้เน้น ให้ย้ำเรื่องนี้ครับ คือท่านอยากให้ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิวางกำลังใจให้ถูกเพื่อการยกสภาวะจิตของตนขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ครับ เพราะในยุคสมัยของเรานี้เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงและมิคสัญญียุค มีพุทธภูมิผู้ต้องการสร้างบารมี ลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นจำนวนมากครับ

    ผมขอโมทนาและเป็นกำลังใจในการยกจิตของพุทธภูมิทั้งหลายขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยทุกๆอย่าง ทุกๆประการ ทุกๆท่านด้วยครับ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การสร้างบารมีที่สำคัญประการหนึ่งคือการสร้างค่านิยมคุณธรรมในสังคม อันเปรียบเสมือนการต่อเทียนธรรมให้มีแสงสว่างไสวในดวงจิตดวงใจของทุกๆคนครับ ส่วนกระบวนการในการสร้างสังคมคุณธรรมนั้นนอกจากจะเป้นการช่วยบรรเทาความรุนแรงจากภัยพิบัติแล้วยังเป็นการทำให้สังคมสุขสงบร่มเย็น และยังเป็นการเตรียมพื้นฐานจิตใจไว้รองรับ ความรุ่งเรืองแห่งพุทธศาสนาในเวลาไม่นานนี้ด้วยครับ

    พวกเราจะช่วยกันได้อย่างไรบ้างติดตามพรุ่งนี้ครับ
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สิ่งที่พวกเราชาวธรรมและชาวไทย จะช่วยกันทำให้เกิดสังคมคุณธรรมได้นั้น ประการหนึ่งก็คือการน้อมนำพระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาขบคิดพิจารณาและน้อมนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะข้อที่ว่า "ควรส่งเสริมคนดีสนับสนุนคนดีให้มาปกครองบ้านเมือง "พระราชดำรัสนี้ไม่เพียงแต่ จะหมายถึงในระดับประเทศ แต่ยังหมายรวมไปถึง ผู้นำในระดับครอบครัว ระดับชุมชน ระดับท้องถิ่น ผู้นำองค์กร ผู้นำบริษัท ผู้นำส่วนราชการ และรวมถึงการให้คุณธรรมนำจิตใจของปัจเจกชนทุกๆท่าน หลายท่านที่ได้มีความเข้าใจว่าพระราชดำรัสนี้มีความหมายเพียงเฉพาะ ผู้นำรัฐบาล เท่านั้น จึงเหมือนแต่ได้เฝ้ารอให้มีผู้นำรัฐที่เป็นคนดีมีคุณธรรมเข้ามาปกครองประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้ว การที่จะทำให้ปรากฏ ผู้นำรัฐบาลที่เป็นคนดีมีคุณธรรมปรากฏขึ้นสู่สังคมไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระแส ค่านิยมสังคมและแรงสนับสนุนจากประชาชนที่เห็นความสำคัญของจริยธรรม คุณธรรมเป็นที่ตั้งเป็นฐานก่อน ดังนั้น จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ชาวธรรม ชาวไทยจะรวมตัวรวมใจกันในการส่งเสริมและสร้างค่านิยมในการส่งเสริมความดี ความสร้างสรรค์และคุณธรรมในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำความดีสร้างคุณธรรมด้วยตนเอง ส่งเสริมชักชวนให้บุคคลอื่นได้ทำความดีสร้างคุณธรรมในจิตใจของพวกเขา และประการสุดท้ายคือการโมทนาการให้กำลังใจการประกาศเกียรติคุณแด่ท่านผู้ทำความดีทำประโยชน์ต่อสังคม

    หากมองรากฐานของสังคมไทยให้ลึกซึ้งแล้ว หากว่าเราไม่ได้ทำลายค่านิยมดีๆในอดีตของบรรพบุรุษไทยเราอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี เจตนาดีแต่ประสงค์ร้ายก็ดี สังคมไทยเราจะเป็นสังคมที่มีความสุขที่สุดในโลก

    ค่านิยมดีๆที่เปลี่ยนแปลงไปได้แก่
    ค่านิยมที่เศรษฐีและคหบดี ผู้มีเงินในอดีต นิยมสร้างวัด เป็นผู้อุปถัมม์ค้ำจุนวัดและพระพุทธศาสนา ซึ่งทางด้านเศรษฐศาสตร์นับเป็นการคืนกำไรและการแบ่งปันความมั่งคั่งกลับคืนสู่สังคมทางอ้อม รวมทั้งเป็นการทำให้วัดในอดีตเป็นศูนย์กลางทางสังคม เมื่อวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคมจึงเป็นเรื่องง่ายในการเผยแพร่คุณธรรมความดีออกสู่สังคม ส่วนค่านิยมของเศรษฐีไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นเช่นไร ผมขอไม่กล่าวถึง

    การย้ายศูนย์กลางของชุมชนออกไปจากวัด จากบทบาทของวัดแต่เดิม เป็นทั้งวัด ที่ประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โรงเรียน แหล่งสรรพวิชาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม แหล่งศิลปะวัฒนธรรม แหล่งถ่ายทอดคุณธรรมจริยธรรม ที่ประชุมและที่จัดกิจกรรมของชุมชนตั้งแต่เกิดยันตาย สถานที่ที่เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและพืชพันธุ์สัตว์ จากการกำหนดเขตอภัยทาน และประเพณีขนทรายเข้าวัด โดยการนำทรายจากท้องแม่น้ำลำคลองนั้นเป็นการช่วยขุดลอกคูคลองให้มีความลึกเก็บน้ำได้มากยามน้ำหลากก็ไม่ท่อมสูง
    การที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นท่านผู้ให้คำปรึกษาต่อเรื่องราวต่างๆของชุมชน ทำให้พระภิกษุมีการวางตนให้สมกับที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้ ดังนั้น พระท่านจึงดำรงความบริสุทธ์ของศีลวัตรปฏิบัติ
    ส่วนในปัจจุบันข้อนี้ผมไม่วิจารณ์อีกเช่นกัน

    การทำลายคุณค่าของสถาบันการศึกษาที่เรียกว่า โรงเรียนวัด โรงเรียนประชาบาล โดยด้อยค่ากว่าโรงเรียนประเภทอื่นๆ ทำให้แหล่งเผยแพร่คุณธรรมจริยธรรมออกสู่สังคมหยุดชะงักลง ทั้งที่โรงเรียนวัดแต่เดิมได้สร้างข้าราชการผุ้ใหญ่ผู้มีคุณความดีคุณธรรมออกสู่สังคมไทยในอดีตมาโดยตลอด
    ปัจจุบันนี้ กลับเป็นที่น่ายินดี ที่ ได้มีโรงเรียนเชิงพุทธมุ่งเน้นคุณธรรมจริยธรรมออกสู่สังคมและมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะให้ดีกว่านี้ ผมเห็นว่าควรมีการจัดตั้งครอบคลุมทั้งในภาคอาชีวะและสูงให้ถึง ระดับบัณฑิต มหาบัณฑิต โดยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชิงพุทธ ซึ่งในอเมริกา มีอยู่แห่งหนึ่งชื่อวิทยาลัย Naropa ผมแปลกใจว่าทำไมประเทศไทยอันเป็นเมืองพุทธจึงไม่มี มหาวิทยาลัยเชิงพุทธที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศทั้งทางด้านวิชาการและคุณธรรม มีเพียงเฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์เท่านั้น
    ส่วนอีกโครงการหนึ่งคือ โครงการโรงเรียน พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ นั้น ปัจจุบันเป็นที่น่ายินดีที่โครงการนี้ก้าวหน้าขึ้น มีผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจัดเรียนฟรี มีทุนการศึกษาให้ด้วยรวมทั้งมีการอบรมคุณธรรม จริยธรรมร่วมไปด้วย จึงทำให้โครงการนี้ก้าวหน้าขึ้น

    เหล่านี้เป็นค่านิยมดีๆแต่เดิมในสังคมไทย ที่เราควรฟื้นฟูขึ้นเพื่อความเจริญทางด้านจิตใจของสังคมไทยครับ


    ส่วนค่านิยมใหม่ที่เราควรสร้างขึ้นในสังคมไทย ในการสร้างสังคมคุณธรรมนั้น ผมจะกล่าวในตอนต่อไปครับ
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เรามาคุยกันต่อในเรื่องของพุทธภูมิครับ เมื่อวานนี้เราได้ เห็นภาพรวมใหญ่ของพุทธภูมิแล้ว วันนี้มาฟังเรื่องเล่าของท่านผู้บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ที่ท่านได้เมตตาเล่าให้ผมฟังครับ ผมก็ขออนุญาตเล่าต่อเพื่อเป็นประสบการณ์แด่หลายๆท่านครับ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ในบางชาติท่านลงมาสร้างบารมีเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่นลงมาเกิดเพื่อการกู้ชาติกู้แผ่นดิน และในบางชาติท่านก็มาเกิดและสร้างบารมีหลายอย่างหลายด้าน พร้อมๆกัน ในขณะเดียวกัน ในยุคสมัยหนึ่ง ๆ อาจมีพระโพธิสัตว์มาเกิดพร้อมกันเพื่อสร้างบารมี หลายๆท่านในบารมีเรื่องเดียวกัน งานเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในงานที่จะช่วยรักษาค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ครบ ห้าพันปี พระโพธิสัตว์หลายๆท่านได้ร่วมแรงร่วมใจ กันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ เนื่องจากอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งยุคสมัยที่กำลังจะเกิดภัยพิบัติขึ้นบนโลกใบนี้ ยุคที่ผุ้คนเสื่อมจากศีลธรรมความดี ยุคที่ผู้คนบูชาวัตถุมากกว่าบูชาธรรม พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงได้อาสาลงมาเกิดเพื่อ ช่วยฟื้นฟูความบริสุทธ์แห่งพระพุทธศาสนาและสร้างคุณธรรมความดีงามขึ้นในจิตใจของผู้คน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือภาระกิจที่เราได้รับมอบหมายมา ไม่ใช่ว่าบารมีของตนเอง เพื่อนพุทธภูมิคนหนึ่งของผมเคยกล่าวไว้ว่า "ภาระกิจสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ความสุขสบายของชีวิตส่วนตัวทางโลกผมไม่สนใจ ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไรผมก็จะทำงานช่วยคนจากภัยพิบัติให้ได้ " นี่เป็นกำลังใจของพุทธภูมิท่านหนึ่งซึ่งคอยเตือนใจผมเสมอ ให้เชื่อมั่นในความดีที่เราตั้งใจทำต่อส่วนรวม และมุ่งมั่นทำความดีต่อไป จะมากจะน้อย ก็จงทำให้สม่ำเสมอ และมั่นคง

    พุทธภูมิทุกท่านนั้น เป็นเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพี่น้องกัน เสมอไม่ว่าจะยามยากยามลำบากยามขาดกำลังใจ ก็จะมีพุทธภูมิท่านอื่นมาช่วย มาสงเคราะห์ มาให้กำลังใจเสมอ เคยมีเรื่องราวของพระสงฆ์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิท่านหนึ่งท่านได้เมตตาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวที่ท่านได้ออกเดินธุดงค์ ไปยังป่าลึก และมีอยู่คราวหนึ่งท่านได้หลงป่า เดินวนเวียนหาทางออกอยู่เป็นเวลานาน จนอ่อนเพลียก็ยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ ในขณะที่ท่านได้เริ่มถอดใจคิดว่าตายแน่แล้วเรา ถ้าจะต้องปลงสังขารในป่าแห่งนี้แล้ว ทันใดนั้น ก็ได้ปรากฏพระรูปหนึ่งเดินมาจากที่ใดไม่รู้ มาถึงก็ได้ถามท่านว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิใช่ไม๊ ท่านก็ได้ตอบว่าใช่ พระองค์นั้นจึงได้บอกว่า นี่เพราะท่านปรารถนาพุทธภูมิเช่นกันนะจึงได้มาช่วย หลงป่าใช่ไม๊ ว่าแล้วพระองค์นั้นก็ได้พาท่านเดินออกจากป่าจนปลอดภัย แล้วก็หายไป โดยไม่ได้บอกว่าท่านชื่ออะไร อยู่วัดไหน เรื่องนี้เป็นข้อยืนยันว่าเหล่าพุทธภูมิทั้งหลายท่านช่วยเหลือกันไม่ทอดทิ้งกัน และส่งเสริมการสร้างบารมีของกันและกันอยู่เสมอ แม้ในยามที่คับขันที่สุด

    มีเรื่องเล่าในการสงเราะห์กันของพุทธภูมิในช่วงวิกฤตอีกเรื่องที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้เมตตาเล่าเอาไว้ ว่า บางครั้งพระยายมราชก็ได้ส่งเทวดามาตามท่านให้ไปโปรดคนที่ได้รับโทษในนรก ท่านก็ได้ถามว่า ทำไมท่านต้องไปช่วย เทวดาท่านก็ได้ตอบว่า เพราะท่านเป็นพุทธภูมิด้วยกัน ท่านจึงต้องไปช่วย รวมแล้วมีพุทธภูมิที่ท่านพลาดพลั้งตกนรกหลายๆองค์ที่หลวงพ่อท่านได้ช่วยเอาไว้ ที่สำคัญๆได้แก่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โลกสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อบอกแบบนี้หลายๆท่านคงได้ทราบแล้ว ว่าเป็นผู้ใด

    อีกสิ่งหนึ่งซึ่งพุทธภูมิพึงปฏิบัติต่อกันก็คือ การช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดที่บุคคลอื่นมีต่อพุทธภูมิบางท่าน เพราะบางท่านก็เป็นพุทธภูมิโดยที่บุคคลทั่วไปไม่รู้ว่าท่านเป็นพุทธภูมิ แต่ประวัติศาสตร์เขียนให้ท่านผิดไปจากความจริงและจิตเจตนาที่ท่านได้ตั้งใจไว้ เพราะพุทธภูมิย่อมรู้และเข้าใจในความเป็นพุทธภูมิของพุทธภูมิท่านอื่น แค่เห็น ความตั้งใจ และปฏิปทาของท่านก็รู้แล้วเข้าใจแล้วว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ตั้งจิตอธิฐานบำเพ็ญบารมีอะไร และเมื่อทราบแล้วท่านก็ได้กราบโมทนาในกุศลบารมีของกันและกัน ยกย่องกันทั้งในใจทั้งด้วยวาจา ดังที่องค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้แสดงตัวอย่างให้ปรากฏไว้ยามเมื่อท่านได้พบปะกับหลวงปู่หลวงพ่อหลายๆท่าน และต่างฝ่ายก็ได้กราบคุณธรรมความดีของอีกท่านหนึ่งให้เห็น เป็นความงดงามที่จับใจศิษยานุศิษย์ของทั้งสองท่าน
    แบบอย่างของพระโพธิสัตว์ที่ดีท่านยังมีอยู่อีกมากมายครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ

    ขอกราบโมทนาในคุณความดี บุญบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาทั้งในอดีต ปัจจุบัน และที่ท่านทั้งหลายจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตด้วยเทอญ
     
  17. Good_oom

    Good_oom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +562
    ภัยภิบัติ ถ้าเกิดขึ้น ผมจะคิดว่ามันเป็นเกมส์ ที่ต้องพจญภัยไปเรื่อยๆ
    เก็บไอเท็ม แลนกับเพื่อน หาบทสรุป แต่ถ้า พลาดขึ้นมา คงไม่มี นิวเกมส์นะครับ แต่ถ้ามันเป็นเกมส์ แล้วคนสร้างคือใครหนอ
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับแต่คะแนนของเกมส์นี้คือ การช่วยชีวิตคนให้มากที่สุดครับ โดยไม่ให้เราตายซะก่อน จากนั้นก็เข้าสู่ภาคของเกมส์ซิมซิตี้ ทุกคนต้องช่วยกันใช้ทรัพยากรที่มีและความรู้ สร้างอารยะธรรมใหม่ที่สงบสุขสันติต่อไปจนถึงอีก สองพันกว่าปีครับ
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มาต่อในเรื่องพุทธภูมิวิสัยกันต่อครับ

    สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยของพุทธภูมิทั้งหลายคือการตั้งกำลังใจเต็มไว้ในบารมี สามสิบทัศน์ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะทำการสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องถามพระท่านก่อนเสมอ อย่าได้ใช้จิตเราอย่างเดียวครับ เพราะจิตใจเรายังอาจมีกิเลสแฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มานะทิษฐิการถือตัวถือตนครับ ครูบาอาจารย์ของเราอันได้แก่หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเก่งแค่ไหน ดีแค่ไหน ท่านยังทำให้เราได้ดูเป็นแบบอย่างว่าท่านเองก็ต้องถามพระก่อนเสมอในการทำการสิ่งใดก็ตามครับ เรายังมีความดีห่างไกลจากท่านมากก็เดินตามแบบอย่างท่านเถอะครับ
    1.ถามพระท่านก่อน ในการทำการสิ่งใด ในการสร้างการบำเพ็ญบารมี
    2.ให้จิตเจตนาที่เราจะทำนั้นออกมาจากหัวใจที่บริสุทธ์ โดยมี พรหมวิหารสี่เป็นที่ตั้ง
    3.ก่อนตัดสินใจลงมือทำลงมือปฏิบัติ ให้อธิฐานก่อน เพราะการที่ท่านมีความฉลาดในการอธิฐาน (ปรมัตถอธิฐานบารมี) จะช่วยให้กิจที่ทำอย่างเดียวกันมีอานิสงค์สูงขึ้นมากขึ้นกว่าปรกติอย่างมากๆ เช่น
    -การถวายสังฆทานซักหนึ่งถัง คนปรกติ ทั่วไป อาจจะถวายโดยการอาการถวายแด่พระสงฆ์ ก็ได้อานิสงค์ของการถวายสังฆทาน ชั้นหนึ่ง
    -ท่านที่มีความเข้าใจธรรมะสูงอีกระดับท่านก็อาจขอศีลและตั้งใจรักษาศีลด้วยก็ได้อานิสงค์เพิ่มทั้งจากการรักษาศีล และจากความบริสุทธ์ของผู้ให้
    -อีกระดับหนึ่งท่านอาจเข้าฌานสมาบัติเท่าที่ทำได้ตลอดจนไปถึงอารมณ์พระนิพพาน อานิสงค์ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามระดับอารมณ์ใจ ตามความบริสุทธ์ของจิต
    -อีกระดับหนึ่ง ท่านอาจรับศีลเข้าสมาบัติ แถมยกอาทิสมานกายพร้อมความเป็นทิพย์ของสังฆทานนั้นขึ้นไปบนนิพพาน และอธิฐานว่า"ข้าพเจ้าขอน้อมถวายสังฆทานทิพย์นี้ต่อพระอริยเจ้าทั้งหลายบนพระนิพพานอันมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์สมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน ขอให้มวลเหล่าเทพเทวาทั้งหลายได้โมทนามหากุศลนี้ด้วยเทอญ " อานิสงค์ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกมหาศาล
    -ส่วนในระดับสูงสุดนั้น ผมชอบทำเวลาถวายสังฆทานชุดใหญ่ เนื่องจากผมไม่มีโอกาสได้ทำบ่อยๆและท่านผู้อื่นก็เช่นกัน เวลาทำ ผมก็จะประกาศให้ผู้คนท่านอื่นมาร่วมกุศลด้วย ว่าขอเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมทำมหาสังฆทานนี้ด้วยกันเถิด จากนั้นเราก็ยกอาทิสมานกายของเรา ดึงอาทิสมานกายของทุกท่าน และส่วนทิพย์ของมหาสังฆทานทิพย์นั้น ขึ้นไปถวายพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานบนพระนิพพาน นั้นและอธิฐานขอให้อานิสงค์ใดที่จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้านั้นขอให้ท่านผู้ร่วมมหากุศล และเหล่าเทพพรหมเทวาทั้งหลายพึงได้รับเช่นเดียวกับข้าพเจ้าทุกประการ ส่วนตัวสังฆทานนั้นขอจงเป็นปัจจัยส่งเสริมสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ครบ ห้าพันปีด้วยเทอญ "ทำดังนี้อานิสงค์ก็จะยิ่งมากทบทวียิ่งๆขึ้นไปครับ

    ดังจะเห็นได้ว่าการทำบุญอย่างเดียวกัน คนภายนอกก็มองเห็นว่าเป็นการถวายสังฆทานเหมือนกัน แต่มีอานิสงค์ทวีคูณแตกต่างกัน เนื่องจากการอธิฐานครับ

    ส่วนการสร้างบารมีอย่างอื่นเช่นการแนะนำธรรมมะแก่ผู้อื่นนั้นก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งอีกที่จะต้อง
    1.อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านมาประสิทธฺประสาทเหนือเศียรเกล้าของเราก่อนเสมอ
    2.ตั้งจิต ตั้งกำลังใจ ในผลสัมฤทธ์ในการปฏิบัติของผู้ฟัง ผู้อ่านให้มีผลในการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อให้ผู้ฟังผู้อ่านรู้สึกว่าเรานี้เก่ง อันนี้เป็นไปเพื่อกิเลสของเราเองไม่ใช่วิสัยของพระโพธิสัตว์
    3.เข้าฌานสมาบัติกำลังใจสูงสุด จากนั้นให้ธรรมมะลื่นไหลออกมาจากภายในดวงจิตของเราโดยเชื่อมกับญาณทัศนะของพระพุทธเจ้าท่านประหนึ่งว่าท่านได้โปรดคนๆนั้น ไม่ใช่ด้วยกำลังใจของเราเอง และก็อย่าได้ทนงตนว่าเรานี้เก่ง เพราะเป็นมานะ
    4.รู้จักวางใจเป็นอุเบกขาต่อโลกธรรมทั้งแปด ปล่อยวางต่อการปฏิบัติของท่านผู้อื่น เราเป็นผู้บอกผู้แนะนำ การปฏิบัติเป็นเรื่องต้องทำด้วยตนเอง รู้เองเห็นเอง ท่านทำได้เราก็โมทนา ท่านทำไม่ได้เราก็วางใจเป็นอุเบกขาครับ

    วันนี้แค่นี้ก่อนครับ สำหรับท่านเหล่าพุทธภูมิทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นท่านผู้มีปัญญาบารมี ทั้งที่ลาและยังไม่ลาพุทธภูมิ บางท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ก็ขอได้นำไปประยุกต์ใช้กันนะครับ บารมีท่านทั้งหลายจะได้เต็มเร็วเข้าครับ ยิ่งท่านก้าวหน้าในการปฏิบัติ ก้าวหน้าในการสร้างบารมีมากขึ้นเท่าใด ผมก็ยิ่งพลอยยินดีและกราบโมทนาบุญไปกับท่านด้วยครับ พรุ่งนี้เรามาต่อเรื่องการสร้างบารมีของพุทธภูมิที่คนไม่รู้กันครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนงานทางด้านการสร้างสังคมคุณธรรมนั้นผมอยากเน้นทางด้าน องค์กรทางด้านธุรกิจขนาดใหญ่ก่อน เนื่องจากมีทรัพยากรมาก ถ้าผู้นำองค์กรเหล่านี้ เห็นประโยชน์ของการที่มีบุคลากรที่มีคุณธรรม จริยธรรม จนผลักดันให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรได้จะเป็นแบบอย่าง ให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามไปด้วย
    แต่การผลักดัน ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของระบบทุนนิยมนั้น จำเป็นต้องหยิบยกประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจขององค์กรเพื่อเป็นเครื่องล่อให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติ ให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรคุณธรรม (Moral Enterprise Tradition)
    การเริ่มต้น การสร้างค่านิยมคุณธรรมนั้น ในระยะแรก จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่ ฝ่ายทรัพยากรบุคล โดยชี้ให้เห็นประโยชน์และคุณค่าของการมีพนักงาน เจ้าหน้าที่ที่มีจริยธรรมก่อนโดยการใช้เกณฑ์ชี้วัดความฉลาดหลากมิติ(Multi Equity)* นอกเหนือจากการใช้วุฒิทางการศึกษา ในการรับสมัครงาน แล้ว การวัด IQ EQ ยังควรใช้เกณฑ์ของ MQ ความฉลาดด้านคุณธรรม จริยธรรม ร่วมในการรับสมัครงานใหม่และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลขององค์กรอีกด้วย เนื่องจากการเปรียบเทียบคุณภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากัน ประสบการณ์ในการทำงานเท่ากัน ผู้ที่มีจริยธรรมสูงกว่าจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า
    ขอยกตัวอย่างพนักงานสองคน ทำงานธนาคาร คนหนึ่งถือศีลห้า ชอบทำบุญ กับอีกคนหนึ่งชอบดื่มเหล้าทุกศุกร์ เสาร์ บางครั้งก็วันทำงานก็ดื่ม แถมยังชอบเล่นพนันฟุตบอล
    คนแรก มาทำงานแต่เช้าตรงเวลาทุกวัน ทำงานก็ทำด้วยความสดชื่น ยิ้มแย้มเพราะใจสบาย มีความสุจริตรับผิดชอบต่อเงินทั้งของลูกค้าและธนาคารอย่างดี ไม่มีความผิดพลาด
    ส่วนอีกคนหนึ่ง บางวันก็มาตรงเวลา บางวันก็สาย ส่วนใหญ่ในวันที่สายมักจะอิดโรย ดูแฮงค์ๆ แถมยังเครียดใช้วาจาไม่สุภาพตะคอกลูกค้า ผู้จัดการเรียกไปคุยก็พบว่า เครียดเนื่องจากเสียพนันบอล ผู้จัดการก็ได้กล่าวตักเตือน เหตุการณ์ก็ดีขึ้นจนอยู่มาวันหนึ่ง มีลูกค้ามา แจ้งว่าเงินในบัญชีหายไปจำนวนหลายล้าน ธนาคารก็ดำเนินการตรวจสอบ และแล้ว พนักงานคนที่สองนี้ก็หายตัวไปไม่มาทำงานอีกเลย ทำความเสียหายทางด้านการเงินและชื่อเสียงให้กับองค์กรอย่างมาก

    จะเห็นได้ว่าการได้บุคคลากรที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในองค์กรนั้น มีสร้างคุณค่าให้กับองค์กรอย่างมาก แต่องค์กรธุรกิจต่างๆเห็นคุณค่าของบุคคลากรเหล่านี้แค่ไหน และหากมีการคำนวนการทำงานโดยละเอียดแล้ว บุคคลากรประเภทนี้จะให้เวลาสุทธิในการทำงานสูงกว่าพนักงานทั่วไป เนื่องจากไม่ต้องไปเสียเวลากับการใช้ความคิดสูญเปล่าในเรื่องในปัญหาส่วนตัวของตนเอง ในหลายๆด้าน และยังทำให้การตัดสินใจและการแก้ปัญหาในองค์กรมีความถูกต้องแม่นยำสูงกว่าพนักงานทั่วไปอีกด้วย

    ดังนั้นองค์กรธุรกิจเห็นสมควรหรือยังในการผลักดันวัฒนธรรมองค์กรคุณธรรมเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสู่สังคม

    สิ่งนี้เป็นการส่งเสริมให้คนดีได้มีโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสังคม ตามพระราชดำรัสของในหลวงครับ

    *Multi Equity นั้นยังมีเกณฑ์ชี้วัดความฉลาดด้านมิติอื่นอีกหลากหลายมิติเช่น DQ ความฉลาดในการพัฒนาตนเอง
    LQ ความฉลาดในการเรียนรู้
    HQ ความฉลาดในการรักษาสุขภาพ
    เป็นตัวอย่างครับ

    พรุ่งนี้เราจะมาเชื่อมโยงการพัฒนาองค์กรคุณธรรมกับสังคมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...