+++Premium พระเครื่องราคาพิเศษ(ปิดกระทู้ชั่วคราว)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 กันยายน 2009.

  1. ไวยวัฒน์

    ไวยวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +887
    บ่ายวันนี้รายการน่าอ่านเยอะครับผม อิอิ
     
  2. w.สุรพล

    w.สุรพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,216
    ค่าพลัง:
    +4,544
     
  3. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    มีให้ผมสักองค์มั้ยครับ
    ที่อยู่เดิมนะครับ
    ถ้าผมจะได้...อิอิ
     
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    สงสัยจะครบแล้วนะครับ ของแจกฟรี lot นี้หมดยากจัง 555

    ธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกหมวดพระอภิธรรม ธรรมใดขึ้นต้นด้วยศรัทธา จะลงท้ายด้วยปัญญาครับ บทเรียนเรื่อง พระปรอทหลวงปู่ละมัย คงทำให้รู้ซึ้งสัจธรรมกันนะครับ ยังมีนิยายกันมากกว่านี้อีกครับ ระวังด้วย
     
  5. kajit

    kajit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,656
    ค่าพลัง:
    +3,351
    รายการที่ 201 ปลัดขิกหลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน
    ขอใช้สิทธิครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. ไวยวัฒน์

    ไวยวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +887
    รออ่านและติดตามครับผม
     
  7. spartanmaya

    spartanmaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    598
    ค่าพลัง:
    +2,809
    กระทู้ไหนครับ PM บอกหน่อย จะได้ระวังๆไว้ครับ
     
  8. สักกะ

    สักกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    3,405
    ค่าพลัง:
    +12,014
    เอ้า ครบ ๖๐ หน้าแล้วจ้า
     
  9. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    60 หน้าหาเรื่องแจกของอีกดีมั๊ยครับ
    555
     
  10. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948

    ทุกกระทู้ของหลวงปู่ละมัยที่ผ่านมาเลยครับ
     
  11. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 199 ลงรูปครับ

    สมเด็จหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน

    เล่นให้ปลอดภัย เนื้อดินเผาต้องนุ่ม คล้ายพระสกุลกำแพง แต่แกร่งไม่เท่า

    พิมพ์สมเด็จถือเป็นพิมพ์รองๆ พระซุ้มกอ ขุนแผนหน้าค่าย ลีลาครับ แต่พุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ราคาต่างกันเยอะพอควรครับ

    ให้บูชา 1600 บาท
    พระที่เป็นทั้งรุ่นพี่และอาจารย์ของหลวงพ่อปาน โสนันโท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00780.JPG
      DSC00780.JPG
      ขนาดไฟล์:
      222 KB
      เปิดดู:
      102
    • DSC00778.JPG
      DSC00778.JPG
      ขนาดไฟล์:
      275.4 KB
      เปิดดู:
      81
    • DSC00779.JPG
      DSC00779.JPG
      ขนาดไฟล์:
      225.7 KB
      เปิดดู:
      72
  12. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,974
    ค่าพลัง:
    +5,388
    สมเด็จหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน

    เล่นให้ปลอดภัย เนื้อดินเผาต้องนุ่ม คล้ายพระสกุลกำแพง แต่แกร่งไม่เท่า

    พิมพ์สมเด็จถือเป็นพิมพ์รองๆ พระซุ้มกอ ขุนแผนหน้าค่าย ลีลาครับ แต่พุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ราคาต่างกันเยอะพอควรครับ

    ให้บูชา 1600 บาท
    พระที่เป็นทั้งรุ่นพี่และอาจารย์ของหลวงพ่อปาน โสนันโท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  13. buakaew2007

    buakaew2007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,410
    ค่าพลัง:
    +6,221
    มาเที่ยวจ้า....
     
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 202 งบน้ำอ้อยพิมพ์กลาง หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด

    <CENTER> </CENTER>


    <CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER>หลวงปู่ยิ้มบรรพชาเป็นสามเณรมาตั้งแต่อายุได้ ๑๒ ขวบ พ.ศ. ๒๔๓๐ อุปสมบท เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ณ พัทธสีมา วัดเจ้าเจ็ดนอก มีพระอาจารย์สิน วัดโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จาดเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สุ่มเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาพระธรรมวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา ศึกษาพระคัมภีร์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน เขียนอักขระเลขยันต์ ลบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ผู้สืบสานวิชาอาคมมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า…คือพระอาจารย์จาด และพระอาจารย์จีน สำนักวัดเจ้าเจ็ดใน ( พระอาจารย์จีน เป็นพระอาจารย์สอนอักขร สมัยให้กับ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ในครั้งนั้นด้วย ) พออายุ ๑๘ ปี ก็ย้ายไปศึกษาที่วัดกระโดงทอง ภายใต้การปกครองของหลวงพ่อบุญมี สำเร็จยันต์นะ ปัดตลอด และสามารถเขียนยันต์ผงทะลุแผ่นกระดานชนวนได้อย่างอัศจรรย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเจ็ดใน ต่อจากพระอุปฌาย์ ปั้น ในสมัยนั้นวัดเจ้าเจ็ดใน ได้แบ่งออกเป็น ๓ คณะ โดยมีหลวงปู่ยิ้ม เป็นเจ้าคณะเหนือ หลวงปู่โฉม เป็นเจ้าคณะใต้ และหลวงปู่คำ เป็นเจ้าคณะตะวันออก และหลวงปู่ยิ้มยังเป็นเจ้าคณะตำบลเจ้าเจ็ด เป็นพระครูกรรมการศึกษาและเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น พระครูพรหมวิหารคุณ พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเจ้าคณะอำเภอบางซ้าย มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ รวมอายุได้ ๘๒ ปี ครั้งเมือหลวงปู่ยิ้ม ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นพระที่อุดมด้วย ศีลลาจารวัตร ตลอดชีวิตของหลวงปู่ เป็นพระที่อารมณ์เย็น เคร่งครัด แต่มีเมตตาธรรมสูง พูดน้อย และมีผู้คนไปกราบนมัสการหาสู่ท่านมิได้ขาด พระเกจิอาจารย์ดังแห่งกรุงศรีอยุธยา, ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามอินโดจีน หลวงปู่ยิ้ม มีพระสหธรรมมิกที่ร่วม ครู-อุปัชฌาย์ อาจารย์องค์เดียวกันในยุคนั้นคือ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ยิ้ม ๓ ปี อีกรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเกิดปีเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม สมัยนั้นได้ตั้งสมญานามให้ว่า สามเสือแห่งกรุงเก่าหลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน จ. พระนครศรีอยุธยา เป็นอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านจึงเป็นพระอาจารย์อาวุโส มรณภาพเมื่อปี ๒๔๙๙ (อายุ ๘๑ ปี) หลังหลวงพ่อปาน ๑๘ ปี ( ๒๔๙๙ - ๒๔๘๑ ) แต่ก่อนหลวงพ่อจงราว ๘ ปี วัดของท่านเหล่านี้อยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านเป็นสหธรรมมิก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หลวงพ่อทั้ง ๓ มีความสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก ต่างคนต่างปู่ยิ้มบรรพชาเป็นสามเณรมาตั้งแต่อายุได้ ๑๒ ขวบ พ.ศ. ๒๔๓๐ อุปสมบท เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ณ พัทธสีมา วัดเจ้าเจ็ดนอก มีพระอาจารย์สิน วัดโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จาดเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สุ่มเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาพระธรรมวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา ศึกษาพระคัมภีร์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน เขียนอักขระเลขยันต์ ลบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ผู้สืบสานวิชาอาคมมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า…คือพระอาจารย์จาด และพระอาจารย์จีน สำนักวัดเจ้าเจ็ดใน ( พระอาจารย์จีน เป็นพระอาจารย์สอนอักขร สมัยให้กับ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ในครั้งนั้นด้วย ) พออายุ ๑๘ ปี ก็ย้ายไปศึกษาที่วัดกระโดงทอง ภายใต้การปกครองของหลวงพ่อบุญมี สำเร็จยันต์นะ ปัดตลอด และสามารถเขียนยันต์ผงทะลุแผ่นกระดานชนวนได้อย่างอัศจรรย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเจ็ดใน ต่อจากพระอุปฌาย์ ปั้น ในสมัยนั้นวัดเจ้าเจ็ดใน ได้แบ่งออกเป็น ๓ คณะ โดยมีหลวงปู่ยิ้ม เป็นเจ้าคณะเหนือ หลวงปู่โฉม เป็นเจ้าคณะใต้ และหลวงปู่คำ เป็นเจ้าคณะตะวันออก และหลวงปู่ยิ้มยังเป็นเจ้าคณะตำบลเจ้าเจ็ด เป็นพระครูกรรมการศึกษาและเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น พระครูพรหมวิหารคุณ พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเจ้าคณะอำเภอบางซ้าย มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ รวมอายุได้ ๘๒ ปี ครั้งเมือหลวงปู่ยิ้ม ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นพระที่อุดมด้วย ศีลลาจารวัตร ตลอดชีวิตของหลวงปู่ เป็นพระที่อารมณ์เย็น เคร่งครัด แต่มีเมตตาธรรมสูง พูดน้อย และมีผู้คนไปกราบนมัสการหาสู่ท่านมิได้ขาด พระเกจิอาจารย์ดังแห่งกรุงศรีอยุธยา, ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามอินโดจีน หลวงปู่ยิ้ม มีพระสหธรรมมิกที่ร่วม ครู-อุปัชฌาย์ อาจารย์องค์เดียวกันในยุคนั้นคือ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ยิ้ม ๓ ปี อีกรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเกิดปีเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม สมัยนั้นได้ตั้งสมญานามให้ว่า สามเสือแห่งกรุงเก่า หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน จ. พระนครศรีอยุธยา เป็นอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านจึงเป็นพระอาจารย์อาวุโส มรณภาพเมื่อปี ๒๔๙๙ (อายุ ๘๑ ปี) หลังหลวงพ่อปาน ๑๘ ปี ( ๒๔๙๙ - ๒๔๘๑ ) แต่ก่อนหลวงพ่อจงราว ๘ ปี วัดของท่านเหล่านี้อยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านเป็นสหธรรมมิก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
    .......................................................................

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>“ สามเสือแห่งกรุงเก่า ”
    หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน จ. พระนครศรีอยุธยา เป็นอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านจึงเป็นพระอาจารย์อาวุโส มรณภาพเมื่อปี ๒๔๙๙ (อายุ ๘๑ ปี) หลังหลวงพ่อปาน ๑๘ ปี ( ๒๔๙๙ - ๒๔๘๑ ) แต่ก่อนหลวงพ่อจงราว ๘ ปี ( ๒๔๙๙ – ๒๕๐๗ ) วัดของท่านเหล่านี้อยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านเป็นสหธรรมมิก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จนชาวอยุธยาเรียกกันติดปากว่า

    “ พระหมอหลวงพ่อปาน เกจิอาจารย์หลวงพ่อจง เมตตาไหลหลง หลวงพ่อยิ้ม”
    หลวงพ่อทั้ง ๓ มีความสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก ต่างคนต่างผลัดไปมาหาสู่ต่อวิชา ซึ่งกันและกันที่วัดของแต่ละองค์ ครั้งละหลายๆ วันชาวกรุงเก่าที่รู้ซึ้ง จึงกระซิบต่อๆ กันว่า พระเครื่องของทั้ง ๓ องค์นี้พุทธคุณขลังเหมือนกัน ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี เมื่อต่างองค์ต่างสร้างพระเครื่องฯ เพื่อสืบทอดพระศาสนาต่างก็มานั่งปรกพุทธาภิเษก แทบทุกๆครั้งไป….. เหตุการณ์สำคัญ อธิเช่นการปลุกเสกทราย และขึ้นเครื่องบินโปรยลงสถานที่สำคัญๆ ในประเทศไทย เมื่อครั้งสมัยสงครามอินโดจีนฯ ช่วง พ.ศ. ๒๔๘๕ ฝรั่งเศสที่ต้องการจะยึดดินแดนของไทยเป็นประเทศใน อานานิคม มีผลร้ายแรง พอๆ กับ สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นเรื่องของความสามัคคี เพื่อให้สถาบันชาติอยู่ได้ สถาบันศาสนาอยู่ได้ และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ได้ และสืบต่อพระศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป.

    หลวงปู่ยิ้มวาจาสิทธิ์
    จากการที่หมั่นสวดมนต์ภาวนา ให้ทาน รักษาศีล และเจริญพระกรรมฐานภาวนา ตลอดจนสั่งสอนให้คนทำความดีเป็นนิตย์ หล่อหลอมให้ภิกษุชราพุทธบุตรรูปหนึ่ง มีวาจาสิทธิ์ดุจเทพเจ้าฯ ทั้งให้พร… เสกน้ำพระพุทธมนต์ รักษาโรค เป็นที่ประจักษ์ตาแก่ชาวบ้านใกล้ และไกล หลวงปู่ไม่ชอบคนมุสา... คนดื่มน้ำเมา... คนกาเม… คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต… คนลักขโมย… (คนที่ชอบละเมิดศีลห้า) และคนที่ งอมืองอเท้า ขี้เกียจทำกิน… หลวงปู่ยิ้มท่านมีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้นไม่พูดมาก พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ เมื่อสั่งสอนครั้ง สองครั้งยังไม่เลิกละ หลวงปู่ก็จะเปรยๆ พอให้ศิษย์ใกล้ชิดได้ยินว่า

    “ พวกนี้มันบัวใต้น้ำ… ชี้ทางสวรรค์ให้เดินไม่ยอมเดิน ”
    ( เป็นการชี้ให้เห็นว่าประตูสู่สวรรค์ก็คือศีลห้านั่นเอง ) และในไม่ช้าบุคคลดังกล่าวข้างต้นนี้ก็มีอันเป็นไปในที่สุด …… ย่างเข้าสู่วัยชรา ทุกสรรพสิ่งที่เกิดมานานแล้วก็ร่วงโรยไปในที่สุด หลวงปู่ยิ้มละสังขารไปด้วยอาการอันงบ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ (วันจันทร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก จ.ศ. ๑๓๑๘ ) รวมสิริอายุได้ ๘๑ ปี ๖๑ พรรษา

    “ เหลือไว้แต่คุณความดี… รูปปั้น… ภาพถ่าย …วัตถุมงคล…ให้ได้ระลึกถึง….. ล่วงมา-กว่า ๕๐ ปี ”

    ทั้งศิษย์ใกล้ และไกล… ในประเทศ และต่างประเทศ ชาวอำเภอเสนา อำเภอบางซ้าย ลูกหลานเจ้าเจ็ดฯ จ.พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนชนรุ่นหลังที่ให้การเคารพนับถือ ขอรำลึกในคุณงามความดีของหลวงปู่ ท่านฯ ตราบนานเท่านาน….. หลวงปู่ยิ้มท่านได้สร้างพระเครื่องวัตถุมงคล ตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มีชื่อทางด้านพระงบน้ำอ้อยเนื้อดินเผา และพระพิมพ์เนื้อดินเผาพิมพ์ต่างๆ ซึ่งให้ผลทางด้านเมตตา แคล้วคลาด คงกระพันฯโดยวัตถุมงคลต่างๆ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึก แก่ผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชา บูรณปฏิสังขรณ์วัด ทำนุบำรุงศาสนา และสานต่อ หรือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้แก่ชนรุ่นหลังหรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็น พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ และสังฆานุสติ มิได้สร้างไว้เพื่อหลงงมงายในอิทธิปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากสัจจะธรรม, กรรม คือการกระทำ ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ……




    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER>หลวงปู่ยิ้มท่านได้สร้างวัตถุมงคล ตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มีชื่อทางด้านพระงบน้ำอ้อยเนื้อดินเผา และพระพิมพ์เนื้อดินเผาพิมพ์ต่างๆ ซึ่งให้ผลทางด้านโชคลาภ เมตตา แคล้วคลาด และคงกระพันฯโดยวัตถุมงคลต่างๆ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึก แก่ผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชา บูรณปฏิสังขรณ์วัด ทำนุบำรุงศาสนา และสานต่อ หรือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้แก่ชนรุ่นหลังหรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็น พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ และสังฆานุสติ มิได้สร้างไว้เพื่อหลงงมงายในอิทธิปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากสัจจะธรรม, กรรม คือการกระทำ ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ……
    พระเครื่องของหลวงปู่ยิ้มที่รู้จักกันดีก็คือ พระงบน้ำอ้อย ทั้งพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก เนื้อพระเป็นดินเผาสีหม้อใหม่ เนื้อดินแบบเดียวกับของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค ส่วนพระเครื่องที่ท่านสร้างนอกจากพระงบน้ำอ้อย แล้วยังมีพระสมเด็จฯ พิมพ์ปรกโพธิ์ พระสมเด็จฯ พิมพ์รัศมี พระร่วงทรงยืนประทานพร พระพุทธทรงเดินลีลา พระพุทธชินราช พระพิมพ์ขุนแผน พระโคนสมอ พระกลีบบัว พระนางพญาพิมพ์ฐานบัว พิมพ์แขนอ่อน พิมพ์หยดน้ำพระหลวงพ่อโต พระพุทธทรงหนุมาน (หันซ้าย-ขวา และเศียรโต) พระปิตตา และนางกวัก ซึ่งเป็นพระเนื้อดินเผาสีหม้อสีหม้อใหม่สีน้ำตาลอิฐ, สีขาวนวล, เนื้อสีเทาอมน้ำตาล, สีเทาอมเขียว, เนื้อเขียวมอยแบบเนื้อผ่านไฟ ซึ่งเป็นพระยุคแรกๆ บางองค์จะทาทับด้วยสีบรอนซ์ทอง หรือสีบรอนซ์เงิน (ให้ดูสวยงาม ) ด้านหลังองค์พระจะมีรอยเสี้ยนไม้กระดาน เนื้อพระจะมีดินทรายละเอียดปนอยู่ มีอายุการสร้างไม่ต่ำกว่า ๕๐ปี ซึ่งพระเครื่องส่วนใหญ่จะสร้างเป็นแบบลักษณะพระกรุเก่าสมัยสุโขทัย กำแพงเพชร หรือพระกรุสมัยต่างๆ ที่มีอายุมากกว่า ๒๐๐ปี หรือว่ามีลักษณะแบบพระโบราณจารย์ เช่นงบน้ำอ้อยของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย พระชินราช และพระพิมพ์ขุนแผนหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน พระสมเด็จพิมพ์รัศมีของหลวงปู่จีน พระสมเด็จพิมพ์รัศมีของหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือ พระสมเด็จวัดเกศไชโยของสมเด็จพระพุทธาจารย์โตฯ ที่มีอายุการสร้างประมาณไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ปี เมื่อเอ่ยถามถึงหลวงปู่ยิ้ม สมภารวัดเจ้าเจ็ด ด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้นในจริยาวัตรของหลวงปู่ยิ้ม แห่งวัดเจ้าเจ็ด ท่านสร้างพระพิมพ์เนื้อดินเผา ด้วยความตั้งใจที่จะสืบอายุพระศาสนา ความตั้งใจของท่านนั้นจะสร้างให้ครบพระธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ องค์ การแกะแม่พิมพ์ แกะจากหินลับมีด ( ลักษณะหินลับมีดโกนของพระ ) โดยมีลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นผู้แกะให้ และให้พระ, เณร, ลูกศิษย์ใกล้ชิด และเด็กวัดฯ ช่วยกันผสม กดพิมพ์- แกะพิมพ์ และเผาตามพิธีการของท่าน ซึ่งกล่าวกันว่าท่าน ได้แรงบัลดาลใจมาจาก การสร้างพระเครื่องเนื้อดินเผา พระกรุสมัยต่างๆ และจากพระโบราณจารย์ต่างๆ และพระเครื่องของท่านบางพิมพ์สร้างล้อพิมพ์ของวัดบางนมโค, มีบางท่านเล่าว่าพระพิมพ์ทรงสัตว์ของหลวงปู่ยิ้มนั้นช่างที่แกะแม่พิมพ์ของวัดเจ้าเจ็ดได้ขอต่อวิชา จากช่างที่แกะแม่พิมพ์ของวัดบางนมโค โดยค่าครูสำหรับการต่อวิชาแกะแม่พิมพ์เป็นเงิน ๑บาทในสมัยนั้นฯ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>หลวงพ่อยิ้ม

    เล่าโดย.. หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕


    .......วันนี้จะนำเอาเรื่องพระในเครือหลวงพ่อปานมาพูดให้ท่านฟัง คำว่า "พระในเครือนี่" ไม่ใช่ลูกศิษย์นะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่เป็นเพื่อนกันเพื่อนของหลวงพ่อปาน องค์นี้เป็นพระที่บวชพร้อมกัน มีอุปัชฌาย์เดียวกัน เข้าบวชร่วมกัน คือ นั่งเรียนขนานเรียงลำดับกัน มีนามว่า หลวงพ่อยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมือนกัน แต่เวลานี้มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อยิ้มองค์นี้ ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระครูพรหมวิหารคุณ"

    ........หลวงพ่อปานได้รับสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิหารกิจจานุการ" สองท่านนี้เป็นพระครูแล้ว พอเขาตั้งให้ท่านก็ลืมยศ ไม่มีความสนใจในยศถาบรรดาศักดิ์ พระที่บวชพร้อมกัน ก็เหมือนกับลูกที่เกิดในพ่อ-แม่เดียวกัน เป็นลูกแฝด แต่อาจจะมีอัธยาศัยกันคนละอย่าง

    ........สำหรับหลวงพ่อปานเป็นพระยุ่ยจริงๆ คือว่าเรื่องเงินเรื่องทองไม่มีการเก็บ สร้างหมด เลี้ยงหมด เรียกว่าสงเคราะห์กันหมด ตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็พอจะทราบประวัติมาบ้างแล้ว ว่าท่านสร้างวัดเต็มเต็มวัดจริงๆถึง ๔๐ วัด และก็สร้างให้เฉพาะโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญอีก ตั้งโรงครัวเลี้ยงคนไข้ รักษาคนไข้ ตั้งโรงครัวเลี้ยงพระ


    (หลวงพ่อยิ้ม ถ่ายเมื่อปี ๒๕๐๒)


    พอรู้ว่าใครเขาอดอยากที่ไหน ก็บอกบุญบรรดาลูกหลาน ลูกศิยษ์ลูกหา ญาติโยมพุทธบริษัท เอาข้าว เอาเสื้อ เอาผ้า เอาอาหาร เอาเงินไปแจกกัน นี่ท่านเป็นนักสังคมสงเคราะห์จริงๆ หลวงพ่อปานท่านเป็นนักจ่าย


    สำหรับหลวงพ่อยิ้มองค์นี้ ท่านยิ้มจริงๆ นะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องจ่ายไม่มี เงินทองที่ท่านได้มาทั้งหมดกี่สมัยๆ เป็นอันพวกเรารู้กันว่าหลวงพ่อยิ้มขี้เหนียว เงินทองได้มากี่สมัยก็ตามท่านเก็บหมด เป็นอันว่าไม่ทันได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันละ พอส่งถึงมือท่าน ท่านก็ส่งเข้าที่ ไอ้เข้าที่น่ะไม่ใช่ธนาคารนะ เป็นหีบเหล็ก ไม่ใช้ ถ้าจะใช้บ้างก็ตามความจำเป็น แต่จะเอาไปก่อสร้างอะไรนะหลวงพ่อยิ้มไม่ทำ


    จนกระทั่งถูกชาวบ้านก็ดี พระก็ดี ประณามว่าเป็นพระที่ไม่ดี เขาว่ากันอย่างนั้นนะ เขาว่าหลวงพ่อยิ้มนะเป็นพระไม่ดีขี้เหนียว สะสมเงินทอง เพราะเขามองเห็นหลวงพ่อปานในรูปหนึ่ง หลวงพ่อยิ้มท่านไปในรูปหนึ่ง นี่เป็นอุปัชฌาย์คนเดียวกันนะ นั่งสวดคู่กันเลย เวลาเข้าไปในโบสถ์น่ะเข้าไปคู่กัน


    หลวงพ่อปานไม่เคยตำหนิหลวงพ่อยิ้ม นี่ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน ไม่เคย เป็นเพื่อนรักกันจริงๆ ไปมาหาสู่กันเป็นปกติ เรียกว่าไม่เคยตำหนิเลย ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อปานตำหนิหลวงพ่อยิ้มว่าเป็นพระที่ไม่ดี กลับสอนอาตมาเสียด้วย ลูกศิษย์ลูกหาว่า ท่านยิ้มนะเป็นพระขี้เหนียวก็ช่างเถอะ แต่ว่าข้างในมันดี ท่านว่าอย่างนั้น


    แล้วว่าพวกคุณดูคนอย่าดูแต่เปลือกนะ ต้องดูถึงจิตใจด้วย ไปดูซิว่าท่านยิ้มเรี่ยไรใครบ้างไหม ไปบอกบุญใครบ้างไหม ท่านยิ้มไม่เคยรบกวนใคร และท่านยิ้มไม่มีประวัติในการให้กู้ให้ยืม จะไปซื้อไร่ซื้อนาหาดอกเบี้ยไม่มี แต่ใครไปขอยืมเงินของท่านไม่ได้ เงินทองที่ได้มานะท่านบอกว่าเขาให้ในฐานะทีฉันเป็นพระ แล้วพวกแกจะมากู้ไปใช้ก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านห้าม


    นี่ถ้ามองดูในด้านขี้เหนียวแล้วก็น่าตำหนิ ถ้ามองในรูปเคารพพระธรรมวินัยก็น่าสรรเสริญ แต่ว่าคนเรานี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมองกันในแง่ดียากเหลือเกิน เขาไม่ค่อยมองกัน ชอบมองกันในแง่ร้าย เพราะหลวงพ่อยิ้มนี่ท่านไม่ขี้เหนียวเฉพาะตัวท่าน ใครมาหยิบมายืมก็ไม่ได้ ลูกหลานมาขอใช้ก็ไม่ได้ ท่านบอกว่าเป็นเงินของพระไม่ใช่เงินที่ชาวบ้านจะนำไปใช้


    ก็มีบรรดาทายกและใครต่อใครหลายคน มีพระหลายท่านด้วยกับเป็นพระคณาธิการ ก็กล่าวโจมตีท่านว่า เงินทองที่ได้มาควรจะสร้างอะไรเสียบ้าง ท่านบอกท่านไม่สร้าง ข้าไม่ได้บวชมาเพื่อสร้างนี่ เวลาข้าตายแล้วจะเห็นผล นี่ท่านว่าอย่างนั้นนี่ว่ากันไปตอนนี้ก็ว่าอย่างนี้นะ หมายความว่าเป็นเรื่องตอนต้น

    ปฏิปทาของหลวงพ่อยิ้ม


    คราวนี้มาดูปฏิปทาของหลวงพ่อยิ้ม องค์นี้ไม่มีอะไรมากนัก ตอนนี้มีปฏิปทาตอนหนึ่ง ในตอนเช้าของวันพระทุกวันพระ ท่านก็จะบอกให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสำรวมจิตเคารพในศีล เรื่องศีลนี่เข้าใจพูดมาก พูดให้ชาวบ้านเข้าใจได้ดี แล้วต่อไปเวลาถวายทานก็ให้ตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน อย่าไปนึกเฉพาะเจาะจงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่นั่งอยู่ในศาลา ท่านบอกว่า


    "พระพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ถึงเวลาก็บวชแล้วถึงเวลาก็สึก บางทีบวชหลายๆ พรรษาก็ยังไม่ได้ฌานสมาบัติ เวลาถวายทานให้ตั้งใจถวายพระอริยสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วพระสงฆ์ท่านจะฉัน เป็นภาระของท่านในฐานะที่เป็นพระสาวก แต่ว้าพระองค์ไหนปฏิบัติตนไม่ดีนะ กินข้าวกินแกงเหล่านี้เข้าไปพระองค์นั้นท่านก็ตกนรก" นี่ท่านว่าอย่างนั้น


    ท่านทำอย่างนี้ทุกวันพระ แนะนำบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทด้วยดี นี่เป็นปฏิปทาอันหนึ่ง เมื่อเขาถวายสังฆทานเสร็จ พระฉันเสร็จก็เทศน์หนึ่งกัณฑ์ เวลาท่านรับกัณฑ์เทศน์ เงินที่ท่านรับมาก็เก็บเงียบ เรียกว่าเงินมีความสบายไม่วุ่นวายเหมือนเงินของอาตมา หรือว่าเงินของหลวงพ่อปาน เงินที่อาตมารับมาก็ดี หรือว่าเงินที่หลวงพ่อปานรับมาก็ดี วิ่งไม่หยุด


    พอมาถึงอาตมาแล้วก็ปรือไปหาเจ๊กเลย ไปหาเจ้าหนี้ทันที บางทีไม่ทันจะเห็นเงิน อย่างเขาทอดกฐิน ผ้าป่า ไม่ทันเห็นเงินรู้แต่ตัวเลข ว่าคราวนี้ได้เท่านั้น คราวนั้นได้เท่านี้ แล้วให้ท่านเจ้าของเงินชำระหนี้กับร้านค้าทันที นี่แบบนี้เป็นแบบฉบับเดียวกันอาตมาลอกมาจากหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านทำแบบนี้นี่อาตมาก็ทำแบบนี้


    การทอดกฐิน ผ้าป่า แต่ละปี ทุกปีรายรับที่ได้มาไม่เคยหักค่าใช้จ่าย เรื่องค่าใช้จ่ายนี่ไม่หัก ก็เขาเอาเงินมาให้นี่ เรื่องอะไรจะต้องให้เขามาซื้อข้าวกิน มันไม่ถูก ไอ้ทำอย่างนี้มันไม่ถูก คล้ายๆกับว่า ไอ้ที่เขาเอาเงินมามาให้นี่เขามาขอทาน มันทำกันไม่ถูก


    นี่เป็นเรื่องของอาตมากับเรื่องของหลวงพ่อปานนะ แต่ว่าวัดอื่นจะว่าถูกก็ตามใจเถอะ นี่เป็นความเห็นของอาตมาว่าไม่ควรหักค่าใช้จ่าย เจ้าถิ่นน่ะควรจะเป็นฝ่ายรับ เพราะเขาเอาเงินมาให้ แต่สำหรับหลวงพ่อยิ้มไม่อย่างงั้น ท่านยิ้มเสมอและเงินทองของท่านก็นอนยิ้มอยู่ในเซฟแบบสบายๆ


    ตานี้หลังจากหลวงพ่อปานตายแล้ว อาตมาเคารพหลวงพ่อปานเหมือนพ่อ เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้วอาตมาก็ไปนมัสการหลวงพ่อจงกับหลวงพ่อยิ้ม ก็คิดว่าท่านเป็นพ่อเหมือนกัน ไปหาท่านแต่ละองค์ท่านก็มีการสงเคราะห์ด้วยดี สั่งสอนด้วยดี ไปด้วยความเคารพนะ ก็เลยไปนมัสการท่านบอกว่า


    "หลวงพ่อครับ..เวลานี้หลวงพ่อปานตายแล้ว กระผมก็ไม่มีที่พึ่ง จะขอให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ในเรื่องธรรมปฏิบัติ.."


    ท่านก็บอกว่าได้ แต่ว่าแกจะเอากับฉันเหมือนกับท่านปานไม่ได้นะ นี่ท่านเป็นเพื่อนกันเกิดปีเดียวกัน ท่านปานเขาเป็นคนจ่าย แต่ฉันเป็นคนเก็บ แต่ว่าเงินของฉันนี้นะไม่เป็นโทษกับใครหรอก เพราะฉันเก็บไว้ ฉันตายแล้วเขาจะได้สร้างวัดสร้างวากัน


    เวลานี้ฉันจะสร้างอะไรก็ยังไม่มีเรื่องจะสร้าง เพราะวัดสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ตานี้เวลาไปคุยกับท่าน ท่านก็บอกว่า นี่คุณมีญาติมีโยมมีพี่มีน้องที่ตายไปแล้วมีไหม ก็บอกว่าเยอะขอรับ ท่านบอกว่าเขียนชื่อมาให้ฉันซิ ชื่อเขานะ นามสกุลด้วย เพราะเวลากลางคืนฉันจะเจริญพระกรรมฐาน ตอนเช้ามืดละก็ฉันแผ่ส่วนกุศลไปให้ ฉันจะได้ออกชื่อญาติโยมเธอไปด้วย ถ้าใครเขามีความทุกข์อยู่จะได้มีความสุขขึ้นมา และถ้ามีความสุขอยู่แล้วจะได้มีความสุขยิ่งขึ้นไป


    ก็กราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับ เวลาที่หลวงพ่ออุทิศส่วนกุศล เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับหลวงพ่อทราบไหม


    ท่านก็บอกว่า นี่ฉันพูดกับเธอนะ ฉันรู้ ฉันรู้ว่าเขาได้รับหรือไม่ได้รับ ถามว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ ท่านก็บอกว่า ฉันก็เรียกตัวเขามาซิ ถ้าฉันได้ชื่อได้นามสกุลแล้วนะ ฉันก็เรียกตัวเขามา ให้เขามารับโมทนาส่วนกุศล นี่ฉันถวายสังฆทานในส่วนของฉันทุกวันพระ


    ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า เห็นแต่หลวงพ่อให้ชาวบ้านถวายสังฆทานนี่ขอรับ หลวงพ่อไม่ได้ถวายสังฆทานเองนี่ขอรับ หลวงพ่อไม่ได้ถวายสังฆทานเอง


    ท่านก็บอกว่าเธอเข้าใจผิด เรื่องการถวายสังฆทานทุกวันพระ ฉันก็ลงทุนเองเหมือนกัน เงินที่ฉันได้มานี่ ฉันก็ให้เขาทำสำรับกับข้าวขึ้นมาชุดหนึ่ง ข้าวหม้อหนึ่ง แกงหม้อหนึ่ง ขนมที่ฉันชอบใจหม้อหนึ่งเอาไปตั้งรวมกับเขา แล้วฉันก็กล่าวคำถวายสังฆทานนำเขา ฉันก็ตั้งใจถวายพระรัตนตรัยด้วย คือถวายสังฆทานกับเขาด้วย


    นี่เป็นปฏิปทาลี้ลับของหลวงพ่อยิ้มที่ใครๆ มองไม่เห็น นี่เป็นส่วนหนึ่งนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ส่วนสำคัญก็มีอีกส่วนหนึ่ง เรื่องนี้สำคัญมาก



    ทดสอบหลวงพ่อยิ้ม



    วันหนึ่งอาตมานั่งคุยอยู่กับเพื่อนๆ กันที่วัดบางนมโค คุยถึงเรื่องราวของหลวงพ่อยิ้มว่า หลวงพ่อยิ้มนี่บวชพร้อมกันกับหลวงพ่อปาน อุปัชฌาย์องค์เดียวกัน เวลาบวชก็เข้าคู่กันด้วย หลวงพ่อปานเป็นพระจ่ายในส่วนสาธารณประโยชน์ แต่หลวงพ่อยิ้มท่านเป็นนักเก็บ คนเรานี่ไม่เหมือนกันนะแต่ว่าปฏิปทาภายในนี่เรามองไม่เห็น


    แต่ว่ามีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ หลวงพ่อปานไม่เคยตำหนิหลวงพ่อยิ้ม และเมื่อก่อนจะตายก็ยังบอกด้วยว่า หลวงพ่อยิ้มเขาดีนะไม่เหมือนฉันๆ เป็นคนจ่ายเขาเป็นคนเก็บ เพราะการเก็บของเขาไม่มีโทษกับใคร เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา และก็มีประโยชน์กับตัวเขา นี่พวกเราไม่ได้มองด้านจิตใจภายในของหลวงพ่อยิ้มเลยว่า หลวงพ่อยิ้มนี่ดีสักแค่ไหน


    ในขณะที่คุยกันก็เป็นอันตกลงกันว่า วันพรุ่งนี้เราจะไปหาหลวงพ่อยิ้มไปถวายนมัสการท่าน ท่านจะขี้เหนียวหรือเป็นอย่างไรก็ช่างท่านเถอะ แต่เป็นพระที่หลวงพ่อปานไม่ตำหนิ พวกเราก็ควรเคารพท่าน เพราะหลวงพ่อปานท่านเป็นพระตาดี ไม่ใช่พระตาเสียอย่างพวกเรา ท่านก็รู้ปฏิปทาของหลวงพ่อยิ้ม ไม่เช่นนั้นหลวงพ่อปานคงไม่คบ


    เมื่อปรึกษาหารือกันเสร็จ รุ่งเช้าฉันข้าวเช้าแล้วก็ไป กะไปฉันเพลกันที่วัดหลวงพ่อยิ้ม แล้วก็นำอาหารการบริโภคไปด้วย คิดว่าจะไปถวายท่าน แล้วก็จะนมัสการท่านขอศึกษากับท่านตามสมควร ตามที่ท่านจะพึงรู้


    ครั้นเมื่อเวลาไปถึงเข้าจริงๆ ตามปกติเวลาในเพลหลวงพ่อปานก็ตามหลวงพ่อยิ้มก็ตามไม่ยอมรับแขก ท่านจะพักผ่อน เพราะว่าเวลากลางคืนท่านเจริญพระกรรมฐานดึก นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า เวลาไปหาพระก็ดูเวลาเสียด้วย อย่าเอาใจตัวเองเป็นสำคัญจะบาป อาตมานี่ก็โดนชาวบ้านเขาว่าเหมือนกันว่าเข้าหายากเหลือเกิน อีตอนในเพลอาตมาไม่รับแขก และหลังจาก ๔ โมงเย็นไปแล้วก็ต้องพักผ่อน เพราะเวลากลางคืนมีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท แต่ว่าไม่มากท่านนักหรอก มีไม่กี่คนและมีพระไม่กี่องค์ต้องการให้สอนพระกรรมฐาน ก็ต้องนั่งสอนกรรมฐานเขา


    เมื่อเวลาเสร็จจากนั้นแล้วก็ต้องมานอนพักผ่อน ถึงเวลาตีสองก็ลุกขึ้นมาใหม่ ว่าเรื่องของตัวเองต่อไป นี่มันเรื่องของพระนะ เวลาเช้าก็ต้องหาเวลาพักผ่อนกัน วันไหนพอมีแรงบ้างก็ทำงานไป วันไหนไม่มีแรงก็นอนพักผ่อน อีแบบนี้นะโดนชาวบ้านเขาด่า เวลานี้ก็ยังถูกด่าอยู่นะ เขาบอกว่าเข้าหายากเหลือเกินต้องมีเวลา นี่เขาคงจะคิดว่าพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเป็นทาสรับใช้ชาวบ้านนะ เขาคิดอย่างนั้น ก็ช่างเขาเถอะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท


    อาตมาไปหาหลวงพ่อยิ้มก็เหมือนกัน ก็ทราบว่าเวลาในเพลท่านไม่รับแขก แต่ว่าพวกเราก็ไปในเพล เอาอาหารไปด้วยเพื่อไปคอยท่าน เวลาท่านตื่นขึ้นมาเพล ก็จะได้ถวายภัตตาหารท่าน แล้วเวลาฉันภัตตาหารเสร็จก็จะได้ปรึกษาหารือกับท่านกับท่านตามสมควร ก็หมายความว่าให้ท่านสอนกิจวัตรปฏิบัติตามที่ท่านรู้


    แต่ว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนั้นเป็นวันแปลก พระบอกว่าวันนี้หลวงพ่อยิ้มฉันเช้าแล้วไม่ยอมจำวัดในเพล พอขึ้นไปถึงหน้าวัดนะ มีพระองค์หนึ่งชื่อว่า "หยวก" คือท่านหยวกนี่เป็นเพื่อนกัน ท่านหยวกบอกว่าหลวงพ่อยิ้มไม่ยอมจำวัดในเพล แล้วก็สั่งท่านหยวกที่เป็นพระก้นกุฏิบอกว่า


    "..นี่เวลาประมาณ ๔ โมงเช้านะ แกไปอยู่ที่หน้าสะพาน วัดท่านสะพานยาวมาก ไอ้เจ้า ๓ คนนั้นมันมาจากวัดบางนมโคมันจะมาหาท่าน วันนี้ท่านจะนอนเล่นหน้ากุฏิสักพักหนึ่ง มันมามันเอาอาหารการบริโภคมาด้วยเอาปิ่นตงปิ่นโตมาเยอะ เอาเด็กไปด้วยสัก ๒-๓ คนไปช่วยมันหิ้วขึ้นมา มันมาเรือจ้างกัน สมัยนั้นเรือยนต์ไม่ค่อยมี นั่นเป็นฤดูหน้าน้ำเอาเรือจ้างไป


    พอเรือจอดเข้าไปก็พบท่านหยวกคอยอยู่กับเด็ก ๓ คน ท่านหยวกก็เลยบอกว่า ผมมานั่งคอยท่านอยู่สัก ๑๐ นาที ก็ถามท่านว่ารู้ได้อย่างไรล่ะ..พ่อคุณ..พ่อมหาจำเริญ นี่จะบรรลุพระโสดา สกิทาคาเป็นพระอภิญญากันแล้วรึ ฉันมานี่ฉันไม่ได้บอกคุณนะ แล้วคุณรู้ได้อย่างไร


    ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้บอก แต่หลวงพ่อยิ้มบอกน่ะซิ วันนี้หลวงพ่อยิ้มไม่ยอมจำวัดในเพลรู้ไหม บอกว่าพวกท่าน ๓ องค์จะมา ให้ผมมาคอยท่านมาช่วยหิ้วปิ่นโต แล้วจะมาถึงเวลา ๔ โมง ๔ โมงเช้านะ ๑๐ น. ก็เลยหยิบนาฬิกามาดู แหม เวลาตรงเป๊ะ เวลาตรงเป๋งพอดี เมื่อขึ้นไปแล้วก็ไปนมัสการท่าน ท่านหยวกกับเด็กก็ช่วยกันหิ้วปิ่นโตกับคนแจวเรือ เอาอาหารไปเยอะนะวันนั้น ตั้งใจจะไปถวายท่าน


    แต่ความจริงพระแก่ก็ฉันอะไรไม่ได้มาก ที่เตรียมไปหลายอย่างก็เผื่อว่าท่านจะได้เลือกฉันตามใจชอบ ของอย่างนี้ไม่ชอบ ชอบของอย่างนั้นก็จะได้ฉันตามอัธยาศัย พอไปถึงท่านก็ไปกราบ พอเงยหน้าขึ้นมาท่านก็ยิ้ม เวลากราบท่านก็ยกมือรับไหว้ พอเงยหน้าขึ้นมาเมื่อกราบครบ ๓ ครั้งแล้ว


    ท่านก็บอกว่า ไอ้เด็กนินทาผู้ใหญ่นี่มันเลวนะ ท่านพูดทิ้งไว้เฉยๆ ก็ถามท่านว่าก็ใครล่ะขอรับหลวงพ่อ..นินทาผู้ใหญ่ ท่านก็เลยบอกว่าไอ้พวกแก ๓ คนนะ เมื่อคืนนี้แกนั่งนินทาข้าใช่ไหม นั่งนินทากันแล้ววันนี้แกก็จะมาสอบสวนข้า แกจะมาขอศึกษาหาความรู้กับข้า ไอ้แกนี่มันด่าข้าใช่ไหม แล้วท่านก็พูดเรื่องราวที่อาตมาหารือกันทุกอย่าง ถูกต้องหมดทุกคำ ก็เลยกราบนมัสการท่านว่า


    เป็นความจริงขอรับ..หลวงพ่อ เรื่องที่พูดนั่นน่ะไม่ใช่นินทา แต่ว่าปรารภกันตามความเป็นจริง ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่าจริงว่ะ อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ เอ็งไม่ได้นินทาข้าหรอก ถ้าเอ็งนินทาข้า ข้าก็ไม่คอยรับเอ็ง นี่ในเพลนะข้าไม่เคยรับใคร มีพวกเองชุดเดียวข้าคอยรับ ก็เลยกราบถวายนมัสการท่านอีกครั้งหนึ่ง ว่าเป็นพระคุณขอรับที่หลวงพ่อกรุณา




    หลวงพ่อยิ้มเป็นพระอภิญญา


    ท่านก็เลยบอกว่า นี่พวกเอ็งนะข้ากรุณาเสมอ นี่ท่านปานเขาก็ฝากข้าไว้นะ เมื่อเวลาเขาตายละก็ข้ามีอะไรก็ให้สอนเองบ้าง ไอ้เรื่องขี้เหนียวข้าไม่สอนเอ็งนะ...สอน เอ็งก็ไม่เชื่อข้า เพราะเอ็งมันลูกพ่อเอ็ง มีเท่าไรก็ใช้หมด ไม่ทันจะมีก็ใช้เป็นหนี้เขาก่อน ไอ้ลูกกะพ่อนี่มันเหมือนกัน แต่ว่าข้าก็ไม่ตำหนินะ เพราะไอ้นั่นมันเป็นเรื่องสาธารณประโยชน์ แต่ว่าความรู้ที่ข้าจะบอกเอ็งได้ก็เรื่องพระกรรมฐานเท่านั้น ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า


    หลวงพ่อขอรับ..เกล้ากระผมขอถามจริงๆ เถอะว่า ที่พวกกระผมพูดกันหลวงพ่อรู้ด้วยอำนาจของญาณ คือว่า อตีตังสญาน หรือว่า ทิพยโสตญาณ ?


    ท่านก็บอกว่า พวกเอ็งไม่น่าจะรู้นี่นะ ข้าไม่บอกเอ็งละ เอ็งจะมาถามข้าอย่างนี้ไม่ได้ซิ เสียระเบียบ จะมาจ้วงจาบถามพระผู้หลักผู้ใหญ่ จะมาถามถึงในใจข้าไม่บอกนะ แต่ว่าข้าจะพูดให้ฟังว่าไอ้ที่ข้ารู้ว่าเอ็งพูดนะ ไม่ใช่อตีตังสญาณ ข้านอนฟังเอ็งพูดจนรำคาญเลยว่ะ นี่แสดงว่าท่านได้ยินเสียง


    ก็เลยกราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อได้ยินเสียงใช่ไหม บอกว่าใช่ การได้ยินเสียงนี่อาศัยอะไรเป็นสำคัญ ท่านก็เลยบอกว่าไอ้เด็กนี่ปากไม่ดี บอกแล้วไม่ให้ถามมันก็เสือกถามจนได้ เอ้าในเมื่อมันอยากเสือกถาม ข้าจะเสือกบอกมันบ้างล่ะ เอ็งมันไม่ดีนี่ข้าก็ไม่ดีด้วย เอ็งนี่มาทำให้ผู้ใหญ่เสีย ท่านก็เลยบอกว่า


    "ในขณะใดที่จิตข้าทรงอุปจาระสมาธิอยู่ ถ้าใครเขาปรารภถึงข้า หรือปรารภในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ ข้าจะได้ยินเสมอ" นี่หมายความว่าหลวงพ่อยิ้มเป็นพระอภิญญาสมาบัตินะ


    บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท การได้ยินเสียงของอาตมา วัดของอาตมากับวัดของหลวงพ่อยิ้มอยู่ไกลกันกว่า ๒๐ กิโลเมตร ไหนๆไม่ได้วัดหรอกว่ามันกี่กิโลนะ ก็คิดว่าจากอำเภอมโนรมย์ไปจังหวัดชัยนาทน่ะมัน ๑๒ กิโลเมตร วัดของอาตมาอยู่ไกลมาก อยู่ไกลกันในระหว่าง อ. มโนรมย์กับ จ. ชัยนาท ประมาณ ๓-๔ เท่า นี่เราคุยกันอยู่ในวัดท่านได้ยิน


    เป็นอันว่าหลวงพ่อยิ้มท่านทรงอภิญญาสมาบัติขั้น "ทิพยโสตญาณ" อภิญญาสมาบัตินี่ไม่ใช่ได้ทิพยโสตญาณอย่างเดียวนะ ไปศึกษาในตำราก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง เป็นอันว่าท่านสามารถที่จะได้ยินเสียงอาตมาพูดกันได้ นี่ก็เป็นที่น่าเลื่อมใส ต่อจากนั้นไปก็ได้ศึกษากรรมฐานจากท่าน ท่านก็บอกว่า พระกรรมฐานนี่นะพวกเธอน่ะ ท่านใช้คำว่า "เธอ" เวลาพูดกรรมฐานนี่ไม่ได้ยกมือเชียว ยกมือพนมหันไปไว้พระพุทธรูป นี่หลวงพ่อยิ้มน่ะ ว่า...


    "..พระกรรมฐานนี่ ว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ฉันไม่ทำอย่างอาจารย์ปาน อาจารย์ของเธอนะ ฉันไม่เรียกท่านปานนะ ฉันจะเรียกอาจารย์ปาน เพราะพูดถึงเรื่องตำรับตำราเป็นอาจารย์เขาชอบเป็นครูคน


    ปฏิปทาของเขากะของฉันเป็นคนละอย่าง เขาปรารถนาพระโพธิญาณ เขาก็ต้องแจกจ่ายความดีกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบำเพ็ญบารมีให้เต็ม แต่ฉันนี่ต้องการอย่างเดียวนะ ตายไปแล้วไม่เกิดอีก เพราะฉันไม่ต้องการเกิดฉันจึงตัดกังวล ถ้าจะไปสร้างอะไรต่ออะไรตามที่คนเขาเรียกร้อง ฉันก็มีกังวลในการก่อสร้าง เพราะฉันไม่มีหนี้นี่ ฉันไม่มีภาระกับใคร


    ภาระใดๆ ก็ตามฉันจะต้องชำระหนี้ ชาตินี้ไม่มีแล้วสำหรับฉัน ฉันหมดหนี้แล้วนี่ เมื่อฉันหมดหนี้ฉันก็ไม่สร้างให้ใครเป็นหนี้ฉันใหม่ สำหรับเงินทองที่ได้มา เวลาฉันตายเขาสร้างกันเอง เงินทุกบาทที่ได้มานอกจากว่าจะซื้อยารักษาโรคบ้าง ซื้อของตามความจำเป็นเล็กน้อยบ้าง ฉันเก็บไว้ฉันไม่ให้ใครใช้ของฉัน.."


    ก็เลยถามแนวปฏิบัติพระกรรมฐาน..ว่าหลวงพ่อทำอย่างไรขอรับ ? ก็บอกว่า..


    ฉันทำมาแบบเดียวกับอาจารย์ของเธอ อาจารย์ปานน่ะ มาแบบเดียวกัน แต่มาแยกกันอยู่นิดหนึ่ง ตอนที่ฉันได้สมาบัติ ๘ แล้ว ฉันก็กลับไปทำวิปัสสนาญาณให้เต็มที่ ในที่สุดเมื่อฉันจับมุมวิปัสสนาญาณรวมได้หมดแล้ว ฉันก็อยู่เป็นปกติ คือหมายความว่าฉันไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ว่าของสิ่งใดก็ตาม ถ้าใครเขาถวายเพื่อสงฆ์ ฉันจะเก็บไว้เพื่อสงฆ์ แต่ส่วนตัวฉัน ฉันเอาตัวของฉันรอด


    เวลานี้ชาวบ้านชาวเมืองเขาหาว่าฉันเป็นพระไม่ดี พระขี้เหนียว ก็ช่างเขา ฉันได้ยิน แม้พระเหมือนกันก็พูดว่าพระพวกเดียวกัน พวกพระเขาพากันตำหนิติเตียนฉันกันทั้งนั้นแหละ พวกพระเขาพากันตำหนิติเตียนฉันกันทั้งนั้นแหละ ฉันได้ยินเขาพูดกันที่วัด ฉันได้ยินเขาพูดกันในระหว่างต่อหน้าฉัน ฉันก็ได้ยิน ถามว่าหลวงพ่อได้ยินแล้วหลวงพ่อมีความรู้สึกอย่างไรขอรับ ท่านเลยบอกว่า


    ฉันเกิดความสงสารพระพวกนั้นนะสิ สงสารพระพวกนั้นว่าเอาตัวไม่รอด มั่วแต่ไปเพ็งเล็งความดีความชั่วของบุคคลอื่น แต่ไอ้ความดีความชั่วของตัวเองไม่มองดู พระแต่ละพระพากันบ้าในลาภ บ้าในยศ บ้าในสรรเสริญ บ้าในสุข อยากรวยสะสมเงินทอง แล้วก็ไปซื้อโน่นซื้อนี่เป็นสมบัติส่วนตัว อยากให้เขาตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ มีแค่นั้นอยากเลื่อนแค่โน่น อยากให้เขาสรรเสริญเยินยอ ถ้าใครเขาตำหนิติเตียนก็ไม่ชอบใจ แล้วก็อยากได้ในความสุข พระพวกนี้เป็นพระของอบายภูมิ ไม่ควรนะเธอ อย่าทำตามนะ


    เอาละ..บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ประวัติความเป็นมาของ หลวงพ่อยิ้ม เป็นพระดีที่ชาวบ้านมองไม่เห็น ก็จะขอเล่าให้ฟังเพียงแค่นี้..สวัสดี.


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์

    http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=610

    ให้บูชา 800 บาท พระสภาพสวยๆเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00744.JPG
      DSC00744.JPG
      ขนาดไฟล์:
      228.2 KB
      เปิดดู:
      77
    • DSC00745.JPG
      DSC00745.JPG
      ขนาดไฟล์:
      118.3 KB
      เปิดดู:
      50
  15. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 203 ล็อกเกตเข็มกลัดหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ให้บูชา 450 บาท

    แท้ๆสวยๆทันหลวงพ่อเสกครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00754.JPG
      DSC00754.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183.1 KB
      เปิดดู:
      57
    • DSC00755.JPG
      DSC00755.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169.9 KB
      เปิดดู:
      53
  16. spartanmaya

    spartanmaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    598
    ค่าพลัง:
    +2,809
    โห ไวมากเลยครับ
     
  17. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 204 รูปเหมือนสมเด็จโต หลวงปู่นาค วัดระฆัง

    พระอรหันต์ระดับปฏิสัมภิทาญาณ

    ....................................................................

    หลวงพ่อฤาษีเล่าเรื่องหลวงปู่นาค ปลุกเสกพระ

    [​IMG]




    เรื่องของหลวงพ่อนาค เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้

    ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน

    มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์

    แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์

    แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่
    ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ

    ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า

    หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์ นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง
    เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้

    คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า

    เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ

    มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก

    ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม

    ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน
    ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด
    เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ

    ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน

    เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก

    ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย

    ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์

    ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า

    ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ

    แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ
    ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง

    อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น

    เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไม่เลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว




    ขอขอบคุณที่มาจาก

    www.soonphra.com

    พระอรหันต์ระดับปฏิสัมภิทาญาณ
    เนื้อผงมีพลังกายสิทธิ์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี
    แถมมีจารหลังอีกด้วย
    เนื้อพระจัดจ้าน

    ให้บูชาเพียง 1100 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00756.JPG
      DSC00756.JPG
      ขนาดไฟล์:
      204.1 KB
      เปิดดู:
      67
    • DSC00757.JPG
      DSC00757.JPG
      ขนาดไฟล์:
      164.5 KB
      เปิดดู:
      75
    • DSC00758.JPG
      DSC00758.JPG
      ขนาดไฟล์:
      187.2 KB
      เปิดดู:
      70
  18. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,974
    ค่าพลัง:
    +5,388
    เอาละ..บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ประวัติความเป็นมาของ หลวงพ่อยิ้ม เป็นพระดีที่ชาวบ้านมองไม่เห็น ก็จะขอเล่าให้ฟังเพียงแค่นี้..สวัสดี.


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์

    http://www.tamroiphrabuddhabat.com/x...ad.php?tid=610

    ให้บูชา 800 บาท พระสภาพสวยๆเลย<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  19. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รับทราบการจองพระทั้ง 2 รายการของพี่ j999
    ครับ
    วันนี้คนอื่นหายไปไหนหมด
     
  20. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,607
    ค่าพลัง:
    +8,008
    รายการที่ 204 รูปเหมือนสมเด็จโต หลวงปู่นาค วัดระฆัง

    จองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...