ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ทุกคำที่พระอริยะอรหันต์พูด
    ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านจะพูดตามทั้งหมดได้..!!??

    เพราะพระอรหันต์ท่านมีแต่"กิริยา" แต่ไม่มี"กรรม"
    และท่านเหล่านั้น"ไม่มีแผลในฝ่ามือ"แล้ว จะจับต้องยาพิษอย่างไร ก็หาได้เป็นอันตรายไม่
    ตรงข้ามชาวบ้านมีทั้ง
    "กิริยา"มีทั้ง"กรรม"ครบถ้วน
    แถมฝ่ามือ ก็ยัง
    "เหวอะหวะ"ไปหมดอีกต่างหาก
    ลำพัง แค่มดตกใส่ แมลงสาบเดินผ่าน ก็อาจจะติดเชื้อตายได้แล้ว
    นี้จึงมิใช่ฐานะที่
    "ชาวบ้าน"จะไปพูดตามคำพูดคำจาหรือกริยาของพระอริยอรหันต์ทุกอย่างไปได้เลยแม้แต่น้อยเดียว
    โดยเฉพาะคำพูดที่
    "พระวิจารณ์พระ"ด้วยกันเอง ยิ่งต้องสังวรไว้ให้มาก
    ดีไม่ดี อาจจะก่อให้เกิดโทษลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็น
    "สังฆเภท"ก็ได้
    ยิ่งระดับ
    "พระอริยะวิพากษ์พระอริยะ"ด้วยกันด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังให้จงหนักกว่าปกติเป็นหลายเท่า
    พระอริยะท่านอาจจะพูดวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยจริตนิสสัยเก่า ก็อาจทำได้อย่างไร้โทษ เพราะท่านเลยบุญเลยบาปไปแล้วนั่นแล
    แต่เราพูดตาม ด้วยคำพูดเดียวกับท่านนั่นแหละ กลับ
    "ลงอเวจี" รับกรรมไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนชาติ ก็อย่านึกว่าเป็นไปไม่ได้..!!??!!



    จากการที่"พุทธวงศ์"ได้เคยกราบไหว้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น"พระอริยะอรหันต์"รุ่นอาวุโสมาก็เป็นหลายท่านหลายองค์
    วันดีคืนดี ท่านก็จะ"วิพากษ์"ซึ่งกันและกันทั้งแบบเบาๆธรรมดาๆและหนักๆให้ได้ยินบ้าง ก็เคยได้รู้ได้ยินมาอย่างเต็มๆสองหู
    อย่าให้บอกเลยว่า เป็นหลวงพ่อองค์ใด หรือหลวงปู่องค์ไหน..???
    ถึงมาสอบถาม"หลังไมค์" จ้างให้ก็ไม่บอกไม่เล่าให้ฟังดอก
    คงแย้มพรายได้แต่เพียงว่า บางองค์ก็เหาะได้ บางท่านก็หายตัวได้หรือแสดงปาฏิหาริย์อันน่ามหัศจรรย์พันลึกได้ 108
    และอัฐิของแต่ละองค์ที่ว่านี้ ท้ายสุด ก็แปรเปลี่ยนเป็น"พระธาตุ"ก็แล้วกัน
    ในชั้นแรก เมื่อ"พุทธวงศ์"ได้ยินพระอริยะท่านวิพากษ์กัน แม้ออกจะ"คันปากยิบๆ"อยากจะ"ขยายต่อ"แบบ"ซ้อ 7"ผู้โด่งดังจนใจแดงเจียนจะขาดอยู่รอนๆ
    แต่เมื่อนึกถึงว่า"บาป"ว่า"อบาย"ว่า"นรก" อิส คัมมิ่งซูน หากเกิด"ปากเปราะ" เลยใส่เกียร์ถอยหลังเต็มสูบพร้อมกับ"รูดซิปปาก"ตัวเองอย่างสนิทตลอดชั่วกัลปาวสานตราบชั่วจิรัฏฐิติกาลนานเลยนั่นเทียว
    ในใจเตือนตนเองขึ้นมาอย่างไม่ต้องมีใครสอนในทันทีทีเดียวว่า
    "คำพูดบางคำ พระอรหันต์พูดได้ แต่ชาวบ้านพูดตามตกนรกเน้อ..!!!!!!"


    "วจีกรรม" กรรมที่ทำได้ง่ายและมีผลหนักหนายิ่ง
    "ในชาติหนึ่ง เราเกิดเป็นนักเลงชื่อ"ปุนาลิ"ได้กล่าวตู่พระปัจเจกะพุทธชื่อ"สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีด้วยผลแห่งกรรมที่เหลือ ในภพหลังสุดนี้เราจึงได้คำกล่าวตู่จากนางสุนทริกา....

    ในชาติหนึ่ง
    เราได้กล่าวตู่พระเถระนามว่า "นันทะ" สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกนานหมื่นปี ต่อมาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ต้องถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง....

    เมื่อก่อน
    เราเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ "สุตะวา" ชนทั้งหลายสักการบูชาสอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก(แต่ยังมิได้บรรลุอริยผลแม้เพียงขั้นโสดาบัน) มาในสำนักของเรา เราได้กล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกับพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีนี้มักบริโภคกาม เมื่อเราบอกพวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งหมดนั้นไปบิณฑบาตพากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากกรรมนั้น มาณพเหล่านั้นได้มาเป็นภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมดถูกกล่าวตู่จากนางสุนทริกา....


    ในกาลก่อน
    เราได้ด่าพระสาวกทั้งหลายของพระผุสสะพุทธเจ้าว่า
    พวกท่านจงกินแต่ข้าวแดงเถิดอย่าได้กินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เมื่อเราได้รับนิมนต์จากพราหมณ์ให้อยู่ในเมืองเวรัญชาต้องเสวยข้าวแดงตลอด ๓ เดือน....

    ในกาลก่อน
    เราชื่อโชติปาละได้กล่าวจ้วงจาบพระกัสสปพุทธเจ้าว่า พระองค์จะตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ที่ไหนได้อย่างไร เพราะการตรัสรู้ทำได้ยาก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราต้องบำเพ็ญทุกกรกิริยาที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่เราก็มิได้ตรัสรู้ด้วยการทรมานตนอันนั้น เราอันกรรมเก่าตักเตือนแล้วได้ละทางผิดนั้นเสียจึงได้ตรัสรู้...."


    พูด,ทำอาการล้อเลียน ก็มีโทษหนัก

    สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระบรมศาสดาถึงกรรมเก่าของ นางขุชชุตตรา (อุบาสิกาโสดาบันผู้เป็นเอตทัคคะฝ่ายแสดงธรรม)ว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะกรรมอะไร นางขุชชุตตรา จึงเป็นหญิงหลังค่อม พระเจ้าข้า ?
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตชาติ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นเป็นผู้มีสภาพร่างกายค่อมนิดหน่อย มาฉันภัตตาหารในราชสำนักเป็นประจำ นางกุมาริกาคนหนึ่งแสดงอาการเป็นคนค่อมแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าพร้อมพูดล้อเลียนด้วยความคึกคะนองต่อหน้าเพื่อนกุมาริกาทั้งหลาย เพราะกรรมนั้นจึงส่งผลให้เธอเป็นคนค่อมในอัตภาพนี้ ”




    พลั้งว่าแล้วขอขมา ก็ยังไม่พ้นโทษ

    ในยุคหลังพุทธปรินิพพานของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธได้พร้อมใจกันสร้าง มหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มหาชนต่างก็ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้น พระเจดีย์ทองก็ยังไม่เสร็จ พระอรหันต์องค์หนึ่งเห็นว่า "บุญที่เกิดจากการสร้างพระเจดีย์นี้ เป็นบุญใหญ่ มีอานิสงส์มาก จะส่งผลให้ผู้สร้างได้สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ" ท่านจึงเดินเข้าไปบ้านโยมอุปัฏฐาก ให้มาช่วยกันสร้างหน้ามุขด้านทิศเหนือ ของพระเจดีย์ที่ยังไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองอยู่เป็นจำนวนมาก โยมอุปัฏฐากที่มีทองก็บริจาคทอง ที่มีเงินก็ถวายเงิน ไปแลกซื้อทองอีกทีหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงบ้านนายช่างทอง ซึ่งบังเอิญว่า กำลังทะเลาะกับภรรยาพอดี ช่างทองจึงระบายโทสะพลั้งปากโดยไม่ยั้งคิดว่า
    "ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงน้ำไปเถอะ อย่ามาวุ่นวายแถวนี้เลย"
    ภรรยารีบเตือนสติสามีว่า
    "พี่ทำ กรรมหนักเสียแล้ว พูดกระทบพระพุทธเจ้า มันบาปหนักมากนะพี่ พี่ไม่ควรไปว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลกเลย"

    ช่างทองได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสลดใจ รีบเข้าไปขอขมาต่อพระเถระ แต่พระเถระกล่าวว่า " ท่านไม่ได้ล่วงเกินอาตมาเลย ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดาต่างหาก" ท่านแนะนำให้ช่างทอง ทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ ไปบรรจุไว้ภายในพระเจดีย์ ที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งเป็นสถานที่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วจึงค่อยมากล่าวคำขอขมา ต่อหน้ามหาเจดีย์ ช่างทองก็ทำตามคำแนะนำทุกอย่าง ด้วยผลกรรมที่ช่างทองได้ว่าร้ายต่อพระบรมศาสดา ผู้บริสุทธิ์ยิ่ง แม้ตนได้ขอขมาไปแล้วก็ตาม แต่วิบากกรรมยังส่งผลให้ช่างทองถูกลอยน้ำถึง ๗ ชาติ แม้ในชาติที่เป็นชฏิลเศรษฐีในสมัยพุทธกาลก็ตาม




    "ภิกษุที่ไม่ได้เป็นพระอริยะ แล้วไปยกย่องว่าเป็นพระอริยะ ก็เป็นบาปแล้ว และยิ่งหากว่าท่านเป็นพระอริยะจริง แต่อคติไปกล่าวหาท่านว่าไม่เป็นพระอริยะ ก็ยิ่งบาปใหญ่"

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ใส่ร้ายพระอริยะ ตกนรกจนลืมโลก

    [๕๙๘] สาวัตถีนิทาน ฯ
    ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย
    อภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก ไปแล้วสู่อำนาจ
    แห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ
    [๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส คำนี้กะพระ
    โกกาลิกภิกษุว่า
    "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก เธอ
    จงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
    เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ
    แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้น
    แล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนาลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความ
    ปรารถนาลามก ฯ
    แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
    "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก เธอ
    จงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
    เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
    แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ
    แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
    "ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
    [๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
    กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ
    ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด พรรณผักกาดได้ผุด
    ขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้ว
    ก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็น ขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขาม
    ป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาด ผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว
    แล้วหนอง และเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้นเอง ครั้นกระทำ
    กาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ฯ
    [๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยัง
    พระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระ
    ผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ฯ
    ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้ว ซึ่งปทุมนรก เพราะจิต
    อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ
    ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำ
    ประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ
    [๖๐๒] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาว่า ภิกษุ
    ทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหาร
    เชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
    ข้างหนึ่ง ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วแล ได้กล่าวคำนี้
    กะเราว่าพระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาต
    ในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ไหว้เรากระทำ
    ประทักษิณ แล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ
    [๖๐๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "พระเจ้าข้า ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอ ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนานแล อันใครๆ
    ไม่กระทำได้โดยง่าย เพื่ออันนับว่าเท่านี้ปี หรือว่าเท่านี้ร้อยปี หรือว่าเท่านี้พันปี หรือว่าเท่านี้
    แสนปี ฯ
    ภิกษุนั้นทูลถามว่า พระเจ้าข้า พระองค์อาจที่จะทรงกระทำอุปมา ได้หรือ ฯ
    [๖๐๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ เราอาจอยู่ แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เปรียบ
    เหมือนเกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารี บุรุษพึงเก็บงาขึ้นจากเกวียนนั้น
    โดยล่วงร้อยปีๆ ต่อเมล็ดหนึ่งๆ ฯ
    "ดูกรภิกษุ เกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้น
    ไปหมดไป เพราะความเพียรนี้เร็วกว่า ส่วนอัพพุทนรกหนึ่งยังไม่ ถึงความสิ้นหมดไปเลย ฯ
    "ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก ๒๐ นิรัพพุทนรกเป็น หนึ่งอพพนรก
    ๒๐ อพพนรกเป็นหนึ่งอฏฏนรก ดูกรภิกษุ ๒๐ อฏฏนรกเป็น หนึ่งอหหนรก ๒๐ อหหนรกเป็น
    หนึ่งกุมุทนรก ๒๐ กุมุทนรกเป็นหนึ่งโสคันธิก นรก ดูกรภิกษุ ๒๐ โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปปลก
    นรก ๒๐ อุปปลกนรกเป็น หนึ่งปุณฑริกนรก ๒๐ ปุณฑริกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก ดูกรภิกษุ
    ก็ภิกษุโกกาลิก เข้าถึงปทุมนรกแล้วแล เพราะจิตอาฆาตในภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ฯ
    [๖๐๕] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้
    ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
    ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิตชื่อว่าย่อมตัดตนด้วยศัสตราใดก็ศัสตรา
    นั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ฯ
    ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญผู้นั้นชื่อ
    ว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่ประสบความสุข ฯ
    ความปราชัยด้วยทรัพย์ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อมด้วยสิ่งของ
    ของตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อยๆ ฯ
    บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ความประทุษร้าย
    แห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า ฯ
    บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้าย่อมเข้า
    ถึงนรกซึ่งมีปริมาณ แห่งอายุถึงแสนสามสิบหกนิรัพพุท กับห้าอัพพุทะ ฯ

    จบวรรคที่ ๑
    ___________

    อธิบายความ นี้ขนาดแค่เพียงพระโกกาลิ ทำกรรมกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ต้องตกอเวจีนรก ในปทุมนรก ซึ่งต้องอยู่ในนรกเวลาที่ยาวนานหนักหนา ผม(ผู้ทรงปัญญาจากเวปธรรมะเวปหนึ่ง)จะเอาเวลา 1 ปทุม นรกที่ความประมาณคำนวณให้ดูดังนี้.

    ต่อไปจะเป็นการคำนวณเทียบกับปีของโลกมนุษย์เรา
    เมล็ดงา 1 เกวียน มีอัตรา 20 ขารี 1 ขารีเท่ากับ 256 ทะนาน เมื่อล่วงไป 1 แสนปีเอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลย
    การเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ ตามมาตรตราปัจจุบันอย่างคล่าวๆ
    1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
    1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร
    เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10 เมล็ด
    จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน เมล็ดงา ประมาณ 10 X10 X 10 = 1000 เมล็ด
    จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 ขารีจะมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
    จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน ประมาณ 100,000 X 5120,000,000 ปี
    ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี
    ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะ แต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี หรือ 5.12 X 10**14 จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง
    20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X 10**14
    20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
    20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X 10**14
    20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X 10**14
    20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X 10**14
    20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
    20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
    20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
    20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X 10**14
    และ 20**9 = 512,000,000,000 = 5.12 X 10**11

    ดังนั้น 1 ปทุมะนรก ประมาณหรือมากกว่า 5.12 X 10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ 26.2144 X 10**25

    ประมาณ 2.62 X 10**26 หรือ 1 ปทุมะนรก ประมาณหรือมากกว่า 262,144,000,000,000,000,000,000,000 ปีมนุษย์โลก

    ผมขอทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า ผมตัดข้อมูล อื่นๆ ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เอาข้อมูลในพระไตรปิฎกนั้นแหละเปรียบเทียบกันก็จะประเมินได้อย่างใกล้เคียง ต่อไปผมก็ทำการประมาณคำนวณระยะเวลา 1 กัป จากพระสูตรในพระไตรปิฎกดังนี้

    ๖. สาสปสูตร
    [๔๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้น
    ภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไร
    หนอแล ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี
    ฯลฯ หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ
    ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ
    [๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นคร
    ที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์
    ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น
    โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป
    เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล
    บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่
    แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
    พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
    จบสูตรที่ ๖

    จากพระสูตรข้างบนเมื่อผมนำมาคำนวณเป็นปีโดยประมาณว่า หนึ่งกัปมีระยะเวลากี่ปีดังนี้

    สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1โยชน์ และ สูง 1 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่อง นั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป

    วิเคราะห์คำนวณ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
    ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 16X16X16 = 4,096 ลูกบาตกิโลเมตร
    ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร
    1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 = 1,000,000 มิลลิเมตร
    จะได้ 1 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
    ดังนั้น 16 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 16X2,000,000 = 32,000,000 เมล็ด

    ถ้าเป็นปริมาตร คือ กว้าง*ยาว*สูง ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด คือ
    32,000,000X32,000,000X32,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
    ใน 100 ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ
    32,768,000,000,000,000,000,000X100 = 3,276,800,000,000,000,000,000,000 ปี

    1 กัป >= 3.3 X 10**24 ปี

    จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณหรือมากกว่า สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้าน ปี

    ประมาณหรือมากกว่า 3.3 X 10**24 ปี

    แต่ค่าที่ได้นี้จะไปขัดแย้งกับค่า 1 ปทุมะ ที่เป็นอายุขัยสูงสุดของสัตว์ในอเวจีนรก ซึ่งมีค่าประมาณหรือมากกว่า 2.62 X 10**26 ปี
    จึงต้องขยับตัวเลข 1 กัปป์ เป็น 1 กัปป์ ประมาณหรือมากกว่า 3.3 X 10**26 ปี จึงดูใกล้เคียงมากกว่า

    จะเห็นว่า ข้อมูลในพระไตรปิฎกเอง ก็ยังเทียบโดยการคำนวณถึงแม้จะเป็นค่าประมาณ ทั้ง 1 ปทุม และระยะเวลา 1 กัป ก็มีค่าใกล้เคียงกันมาก

    ดังนั้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทำนองว่า พระเทวทัตตกอเวจีนรกอยู่ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็คือไม่สามารถหลุดพ้นจากอเวจีนรกได้เลยในกัปนี้ ตามที่พระองค์ตรัสไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ซึ่งตรงไปตรงมานี้เอง.



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    "ไหว้"

    เมื่อตอนกระผมบวชใหม่ ได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ในบทไหว้ ๕ ครั้ง ของพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทร์ฯนั้น มีครั้งที่ ๔ ท่านให้ไหว้พ่อแม่ ก็ขณะนี้ เราอยู่ในเพศบรรพชิต ซึ่งสูงกว่าเพศฆราวาส ถ้าไหว้พ่อแม่แล้ว จะถูกต้องหรือเปล่า เกิดความสงสัยขึ้นมา ค่ำวันหนึ่งหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ ได้โอกาส จึงได้กราบเรียนถามท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านตอบว่า
    “การที่เราไหว้พ่อแม่นั้น เราไหว้พระคุณท่าน ย่อมไหว้ได้ตลอดเวลา พ่อแม่นั้นเป็นพระอรหันต์ของลูก”

    ในระหว่างเวลา ๒ เดือนเศษ ที่กระผมบวชอยู่ และได้มีโอกาสใกล้ชิดกับท่านเจ้าคุณนรฯ นั้น จากการสังเกตของกระผมเอง มีความเห็นว่า ท่านเพียบพร้อมด้วยปฏิปทาวัตรปฏิบัติ แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ท่านก็มิได้ละเลย เช่น ท่านจะรับไหว้พระทุกๆองค์ที่ไหว้ท่านเสมอไม่ว่าจะอ่อนพรรษาขนาดไหน โดยท่านจะยกมือขึ้นประนมรับไหว้อย่างงดงามในทันทีที่พระรูปนั้นไหว้ท่าน นอกจากนี้ ท่านยังเคร่งครัดในพระวินัยเรื่องอาวุโส - ภันเต
    มีอยู่วันหนึ่งกระผมเดินตามหลวงปู่หลุยมาออกประตูด้านหลังโบสถ์ทางด้านขวาของพระประธาน ขณะนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ เดินอ้อมผ่านด้านหลังพระประธานมาจะออกประตูเดียวกัน พอท่านเห็นหลวงปู่ ท่านรีบยกมือขึ้นประนมไหว้ทันที เพราะท่านถือว่าหลวงปู่พรรษามากกว่าท่าน เป็นภาพที่งดงามมาก ยังติดตากระผมมาจนบัดนี้
    อุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ประทับใจกระผมมากก็คือ ในเช้าวันหนึ่ง เป็นวันพระ ทางวัดได้จัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนา โดยกำหนดให้พระหนุ่มรูปหนึ่ง เป็นผู้ขึ้นไปนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ ก่อนที่ท่านจะก้าวขึ้นธรรมาสน์ ท่านได้คุกเข่าลงกราบท่านเจ้าคุณนรฯ ซึ่งเป็นพระเถระที่มีพรรษาสูงสุดที่อยู่ณที่นั้น กระผมเห็นท่านเจ้าคุณนรฯยกมือขึ้น ประนมรับไหว้ด้วยท่าทางที่งดงามมาก ภาพที่กระผมได้เห็นในเช้าวันนั้น ทำให้กระผมเกิดความปลื้มปีติจนน้ำตาคลอ ที่ได้เห็นพระที่มีวัตรปฏิบัติงดงามเช่นท่าน รู้สึกว่าเป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้อยู่ใกล้ๆท่าน ได้เห็นภาพเช่นนี้ ทำให้เกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติตนให้ดียิ่งขึ้น
    วัตรปฏิบัติที่งดงามของท่านเจ้าคุณนรฯ อีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจกระผมมาก คือ ทุกครั้งที่ทำวัตรเช้าและเย็น ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้นำสวดหรือไม่ ท่านจะนั่งอยู่แถวระดับหน้าทางด้านขวามือ ถ้าไม่มีพระรูปอื่นที่มีพรรษาสูงกว่านั่งอยู่ ท่านจะเป็นผู้นำสวด เสียงของท่านดังแจ่มใสและกังวาน จากการสังเกตของกระผม เมื่อสวดมนต์บูชาพระพุทธคุณและพระธรรมคุณจบ ท่านจะก้มลงกราบตรงๆ หน้าพระประธาน แต่พอจบบทสวดบูชาพระสังฆคุณ ท่านจะหันหน้าไปทางพระรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ เจริญ สุขบท) สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านซ้ายของพระประธาน แล้วกราบลง เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เมื่อเสร็จจากการทำวัตรและสนทนากับญาติโยมที่มารอพบแล้ว ขณะที่ท่านเดินกลับกุฏิ ท่านก็จะหยุด ไหว้พระรูปองค์นี้อย่างนอบน้อมทุกครั้งด้วย แสดงถึงความเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อองค์พระอุปัชฌาย์ของท่าน
    ท่านยังสอนอีกว่า เวลานั่งขัดสมาธิเจริญภาวนาในโบสถ์ ไม่ควรนั่งหันหน้าเข้าหาพระประธาน ควรเลี่ยงเป็นนั่งหันข้าง เพราะขณะนั้นเรากำลังทำท่าเหมือนกับท่าน

    บ่ายวันหนึ่งกระผมจำได้ว่า เป็นวันสำคัญทางศาสนา มีญาติโยมมากันเต็มวัด ขณะนั้นกระผมยังอยู่บนกุฏิ เตรียมตัวจะลงโบสถ์ มองผ่านทางหน้าต่างลงมา เห็นทางเดินด้านหลังโบสถ์ มีญาติโยมทั้งยืนและนั่งเต็มไปหมด เว้นไว้เฉพาะทางเดินคอนกรีตเพื่อให้พระเดินผ่าน ทันใดนั้น กระผมเห็นท่านเจ้าคุณนรฯ กำลังเดินมาตามทางเดินด้านหลังโบสถ์ แล้วเดินเลี้ยวซ้ายจะมาขึ้นประตูโบสถ์ด้านซ้ายของพระประธาน ทางเดินส่วนนั้นอยู่ใกล้กับกุฏิที่กระผมอยู่ ทันทีที่เห็นท่าน กระผมรีบยกมือขึ้นไหว้ท่านด้วยความเคารพทั้งๆที่อยู่ชั้นบนของกุฏิ และท่านก็มิได้มองขึ้นมา กระผมเห็นท่านรีบยกมือขึ้นรับไหว้ทันที จะว่าท่านรับไหว้พระที่อยู่บริเวณนั้นก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมีแต่ญาติโยมที่เป็นฆราวาสทั้งนั้น กระผมแน่ใจว่า ท่านต้องเห็นการกระทำของกระผมด้วยตาทิพย์ของท่าน จึงได้รับไหว้ในทันที
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ปัจฉิมบท

    ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้กรุณาสั่งสอนอบรมพวกเราพระนวกะว่า “กรรมใดที่บุคคลได้กระทำไปบ่อยๆ กรรมนั้นจะมาแสดงให้เห็นเป็นนิมิตเมื่อใกล้จะตาย”

    “การรักษาศีล จึงจำเป็น เพื่อเป็นบาทฐานของการทำสมาธิ เพราะถ้าไม่มีศีลแล้ว เวลานั่งทำสมาธิจะถูกนิมิตเหล่านี้ (ที่เกี่ยวกับอกุศลที่ทำไว้) มารบกวน ทำให้จิตไม่อาจรวมตัวได้”

    · ท่านยังได้พูดเป็นเชิงให้ข้อคิด เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาสำหรับผู้ที่สละเพศฆราวาส เข้าสู่เพศบรรพชิตไว้ว่า “ผู้ที่เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งตายแล้วจากความเป็นผู้ครองเรือน เวลาจะเข้าพิธีบวช เขาจึงเอาผ้าขาวห่อตัว (คือ นุ่งขาวห่มขาวเป็นนาค) เหมือนห่อศพก่อนจะนำขึ้นเชิงตะกอน เพศภิกษุเป็นเพศที่สูงส่งมาก แม้แต่พ่อแม่ หรือพระราชายังต้องไหว้”
    · ในส่วนที่เกี่ยวกับพระวินัยที่พระศาสดาบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมและป้องกันความประพฤติเสียหาย โดยวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดนั้น ท่านสอนว่า พวกเราผู้เป็นภิกษุ ต้องทำตัวเหมือนตำรวจ จับตนเอง ส่งตนเองขึ้นศาล พิจารณาความผิด และตัดสินความผิดที่ได้กระทำไป ด้วยตนเอง
    · กระผมได้อ่านหนังสือธรรมเรื่อง “อานาปานสฺสติกถา” ซึ่งเป็นเรื่องของการเจริญอานาปานสติทั้ง ๑๖ บท เมื่อมีโอกาส กระผมได้กราบเรียนถามท่านเจ้าคุณนรฯ ว่า “ในการเจริญอานาปานสตินั้น ตอนไหนที่เป็นตอนยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา”
    ท่านถามกลับว่า “รู้จักอานาปาฯ ๑๖ ไหม ?” ก็ตอบท่านไปว่า “รู้จักครับ” (จริงๆแล้วกระผมรู้จักแค่ชื่อ เพราะเพิ่งได้อ่านมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจ)
    ท่านตอบว่า ในอานาปาฯ ๑๖ (จิต) จะขึ้นวิปัสสนาเอาที่บทที่ ๑๓ ที่ว่า “อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ อนิจฺจานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ” จิตที่เป็นผู้สังเกต จะเอาความไม่เที่ยงของสภาวธรรมที่ดูอยู่เป็นอารมณ์ ต่อจากนั้นท่านได้อธิบายขยายความให้ฟัง แต่กระผมจำไม่ได้ เพราะตอนนั้น ยังไม่มีพื้นความรู้เรื่องนี้เลย จำได้แต่เพียงว่า ธรรมทั้ง ๑๖ บทนั้น จะเกิดขึ้นเอง เมื่อปฏิบัติไปจนถึงจุดหนึ่ง


    · ท่านสอนอีกว่า ลมหายใจ (จากอานาปานสติภาวนา) สามารถเอาเป็นเพื่อนได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต


    · เคยมีความคิดว่า ถ้าหากไปดำเนินชีวิตอย่างฆราวาสแล้ว จะสามารถเจริญอานาปานสติได้ดีเหมือนอย่างอยู่ในเพศบรรพชิตหรือไม่ และราวกับท่านเจ้าคุณนรฯ จะทราบว่ากระผมกำลังมีปริวิตกเรื่องนี้อยู่ ท่านจึงได้กล่าวกับกระผมเป็นการส่วนตัวว่า ผู้ที่มีชีวิตคู่ก็ทำได้ ยิ่งถ้าทำได้ทั้งคู่ ก็จะสามารถส่งถึงกันได้ (กระผมเข้าใจว่า ท่านคงหมายถึงส่งจิตถึงกัน)
    · กระผมและพระนวกะอีก ๒-๓ รูป ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรฯ ถึงเรื่องพระที่มีคุณวิเศษทางอภิญญาต่างๆ ท่านได้กล่าวถึงคุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งซึ่งกระผมไม่เคยทราบมาก่อน ท่านกล่าวว่าถ้าผู้ใดถึงซึ่งคุณวิเศษอันนี้ จะสามารถไปได้ทั้ง ๘ ทิศทาง ในขณะเดียวกัน พวกเราได้แต่รับฟังแต่ไม่รู้เรื่อง
    สำหรับตัวกระผมเอง ภายหลังได้อ่านพระสูตรที่ชื่อว่า “สฬายตนวิภงฺค” จึงพอจะเข้าใจเรื่องนี้ได้บ้าง พระศาสดาได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ว่า ท่านสามารถฝึกบุรุษให้ไปได้ทั้ง ๘ ทิศ แต่ละทิศมีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยชื่อว่า “วิโมกข์ ๘”

    · ท่านเจ้าคุณนรฯ เคยบอกกับกระผมถึงสภาวะของพระสกิทาคามี อีกสำนวนหนึ่งว่า เหมือนกับพระโสดาบันแก่ๆ (แก่ทางสภาวธรรม ไม่ใช่แก่อายุ)

    · ในสมัยที่กระผมบวชอยู่ จำได้ว่ามีพระนวกะรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ราว ๕ รูป มีอยู่รูปหนึ่งที่อายุมากกว่าเพื่อน ลางานมาบวช ได้ขอพุทธภาษิตสั้นๆ จากท่านเจ้าคุณนรฯ เพื่อเอาไปติดที่ทำงานให้เพื่อนๆได้ศึกษาและปฏิบัติตาม ท่านกล่าวว่า

    สพพรส ธมมรโส ชินาติ
    รสแห่งพระธรรมย่อมชนะซึ่งรสทั้งปวง

    · พระนวกะรูปหนึ่งขอถ่ายรูปกับท่าน แต่ท่านไม่อนุญาต ท่านบอกว่า ถ่ายด้วยตาซิ กระผมถือว่านี่ก็เป็นคำสอนเหมือนกัน

    · อีกคราวหนึ่ง เป็นคำสอนสั้นๆ ท่านกล่าวกับพวกเราว่า
    สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจนั่นเอง

    · เมื่อใกล้วันลาสิกขา ภายหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ กระผมกำลังเดินออกประตูโบสถ์ทางด้านหลังได้พบท่านบริเวณนั้น ท่านหยุดและหันมาบอกกระผมว่า “เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่คอ” แล้วท่านชี้ให้ดู กระผมมองดูเห็นแค่เหมือนผิวหนังบริเวณนั้นนูนขึ้นมา ลักษณะเป็นก้อนครึ่งทรงกลม ขนาดประมาณ ๒ ซม. แต่ยังไม่มีแผล ยังไม่ทันจะถามอาการหรือความรู้สึกของท่าน ท่านก็พูดต่อว่า “มันนิ่มๆ ลองแตะดูซิ” กระผมจึงลองแตะดู รู้สึกว่าเนื้อบริเวณนั้นนิ่มกว่าปกติ ต่อมาแพทย์วินิจฉัยว่า ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็ง
    · ก่อนที่กระผมจะลาสิกขา ๑ วัน หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จกระผมตั้งใจจะเข้าไปกราบลา ท่านเจ้าคุณนรฯ แต่ขณะนั้น ท่านไม่อยู่ในโบสถ์เสียแล้ว กระผมตามหาท่านเป็นการใหญ่ เดินไปตามทางที่จะกลับไปกุฏิท่าน ก็พบท่านกำลังสนทนาอยู่กับท่านเจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ (สมณะศักดิ์ในขณะนั้น) ที่หน้ากุฏิของท่านเจ้าคุณธรรมฯ กระผมรออยู่ห่างๆจนกระทั่งท่านเสร็จจากการสนทนาจึงเข้าไปคุกเข่าก้มลงกราบแล้วกล่าวว่า กระผมจะขอกราบลาสึก ตอนนั้นใจหายหมด ชะรอยท่านจะรู้ใจกระผม ท่านได้อวยพรว่า ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งทางคดีโลกและทางคดีธรรมเถิด กระผมได้น้อมรับพรนั้น ก้มลงกราบท่านแล้วเดินกลับกุฏิ
    · ระหว่างที่บวชอยู่ ท่านเจ้าคุณอุดมซึ่งเป็นผู้จัดทำเหรียญท่านเจ้าคุณนรฯ ได้นำเหรียญนั้นมาแจกพวกเราพระนวกะ เป็นเหรียญรูปวงรี ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนท่านหล่อนูน ด้านหลังจารึกอักขระคล้ายๆกับอักษรขอม เมื่อใกล้วันลาสิกขา กระผมมีความคิดว่า อยากจะได้รับเหรียญนี้จากมือของท่านเจ้าคุณนรฯ โดยตรง
    เมื่อถึงวันลาสิกขา หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จ กระผมกราบพระประธานในโบสถ์ และเข้าไปกราบท่าน พร้อมนำเหรียญรูปเหมือนท่านไปขอให้ท่านมอบให้ด้วยตนเอง เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ท่านจะส่งกลับ ท่านได้กล่าวว่า “คงเข้าใจนะว่าจะปฏิบัติต่อพระเครื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่บูชาวัตถุที่มองเห็นเท่านั้น” กระผมได้ตอบท่านไปว่า เข้าใจดี แล้วท่านก็ส่งคืนมาให้ ยังความปลาบปลื้มแก่กระผมเป็นอย่างมาก รีบก้มลงกราบบนยกพื้นที่เป็นที่นั่งของพระในโบสถ์ โดยวางเหรียญนั้นไว้ ท่านรีบกล่าวเตือนทันทีว่า อย่าวางไว้บนพื้นอย่างนั้น ไม่สมควร คำสอนนี้เป็นประโยชน์มาก ทำให้กระผมได้มีความสำรวมระวังยิ่งขึ้น
    · หลังจากลาสิกขาแล้ว กระผมได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ต่อมาได้ทราบว่า ท่านได้ละขันธ์ไปเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๔ ขณะมีอายุได้ ๗๔ ปี

    *****************
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




    พระที่นำมาให้ชมนี้เป็นพระที่เรียกว่าพระสมเด็จนอกพิมพ์นิยม หรือนอกวงการ
    แต่ถ้าดูเนื้อหาและข้อมูลที่ผมนำมาประกอบก็น่าคิดไม่น้อยนะครับ
    แต่อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่ว่ากัน การศึกษาพระต้องมีเหตุมีผล
    อย่าศึกษาด้วยหูฟังเขาเล่าหรือบอกต่อกันมา ให้ใช้หลักกาลามสูตรดีที่สุดครับ
    เอาไว้จะถ่ายภาพแบบโคลสอัพชัดๆที่ละองค์มาให้ดูกันวันหลัง


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2010
  5. banjerdw

    banjerdw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +1,110
    ขอสอบถามกำหนดการประจำเดือน กพ.53 ไม่ทราบว่าจะถวายสังฆทานที่ รพ.สงฆ์วันไหนครับ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต้องขอขอบคุณ คุณสิทธิชัยพัทยาด้วยครับ ที่ได้โอนเงินผ่านทุนนิธิฯ นี้มา ผมเองเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาโพสท์ในกระทู้นี้บ่อยเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากภารกิจที่ได้ร้ับมอบหมายประจำวันมีมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มาอนุโมทนาได้ช้ากว่ากำหนดจึงต้องขออภัยคุณสิทธิชัยฯ และผู้บริจาคท่านอื่นๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่อมั่นในบุญกุศล ด้วยความศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้จะได้รับการอนุโมทนาหรือไม่ก็คงจะไม่ใช่สิ่งจำเป็น สำหรับพวกเราที่ยึดมั่นในคุณความดีอย่างที่ในหลวงท่านมีพระราชดำรัสว่าไว้ “ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อย ๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง” สุดท้ายผมขอมอบกลอนบทนี้ให้คุณสิทธิชัยและผู้บริจาคท่านอื่นไว้เป็นกำลังใจในยามที่เราท้อแท้ในการทำความดีกันครับ...

    <table width="558" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center">[​IMG] </td> </tr> <tr> <td style="word-wrap: break-word;" align="center" height="40"> ทางสู่ประตูนิพพาน</td> </tr> <tr> <td style="padding-right: 20px;" valign="top" align="right" height="30">แก้วประเสริฐ</td> </tr> <tr> <td align="center"> <table width="320" border="0"><tbody><tr><td style="word-wrap: break-word; width: 320px; left: 0pt; right: 0pt;" class="font-th-content">
    ทางสู่ประตูนิพาพาน.

    ขอปิดทองเบื้องหลังพระปฏิมา
    น้อมวันทาแด่องค์บวรชินสีห์
    ขอจารกลอนส่งสร้างบารมี
    หวังเพียงมีกุศลผลสืบไป

    แม้นชีวิตปลิดปลงลงตรงหน้า
    ด้วยศรัทธาเกินกว่าอายุขัย
    พระไตรปิฎกหนุนเกื้อเอื้อวิไล
    กระจ่างไว้ในปัญญาวิสุทธิคุณ

    วิสุทธิมรรคสรรค์สร้างทางพิสุทธิ์
    ผลบริสุทธิ์ผุดผาดมาเกื้อหนุน
    อริยสัจจ์สี่นำพามาค้ำจุน
    อีกการุนด้วยฌานประสานกาย

    พิจารณาตรองเหตุและมวลผล
    เพื่อจะดลใจจิตไว้มิให้สลาย
    ถึงขันธ์ห้ามาแยกแตกทำลาย
    เพื่อกระจายออกดูสู่ทางเดิน

    สิ่งใดเล่าทำให้กายเกิดดับ
    วนเวียนกับสังขารที่สรรเสริญ
    อันประกอบด้วยธาตุมาเจริญ
    แยกดำเนินเข้าห้วงช่วงพิจารณา

    มวลโลกกายในนี้ที่ขันธ์ห้า
    จะนำพาให้เกิดดับตามวาสนา
    ด้วยผลบุญเวรกรรมที่ทำมา
    จะชักหาสู่ห้วงบ่วงกระจาย

    หากดับลงตรงสังขารที่แต่ง
    มิให้แกร่งปรุงแต่งสิ่งทั้งหลาย
    ดุจดั่งไฟขาดน้ำมันมาทำลาย
    โลกในกายก็จะหยุดเกิดดับเอง

    นี่แหละหนอคือประตูนิพพานแท้
    ไม่ผันแปรใจจิตต้องกระฉับกระเฉง
    ประกอบด้วยศีลสมาธิปัญญาบรรเลง
    ต้องให้เคร่งอย่าให้ขาดแม้ข้อเดียว

    สาธุชนคนพุทธหยุดสักหน่อย
    เพียงเล็กน้อยพิจารณาสักประเดี๋ยว
    เมื่อทราบแล้วอย่ารู้เพียงผู้เดียว
    แม้เพียงเสี้ยวฝากไว้ได้กุศลมา

    สัมพุทธะวาจาทรงว่าไว้
    อย่าหลงใหลเชื่อคำนั้นเถิดหนา
    จงปฏิบัติดูของธรรมที่นำมา
    จะรู้ว่าถูกต้องหรืออย่างไร.
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    กลอนกำลังใจบทนี้นำมาจากเวบ

    .:+: Thaipoem Forever :+:.
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สุดท้ายอีกครั้ง ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมงานบุญที่ รพ.สงฆ์ตามที่คุณบรรเจิดถามมา ต้องบอกว่า เดิมทีคิดว่าจะเป็นอาทิตย์สุดท้าย แต่พอมาดูปฏิทินอีกที วันอาทิตย์สุดท้าย กลายเป็นวันพระใหญ่ คือวันมาฆะบูชา ดังนั้น คณะกรรมการทั้งหมด เลยตกลงใจที่จะจัดกิจกรรมประจำเดือนนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2553 ครับ จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยในวันพรุ่งนี้ ผมและนายสติจะได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเพื่อเตรียมบริจาค ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์
    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้ 200 รูป)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-


    2 รพ.ภูมิภาค
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 8,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 5,000.-
    จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-

    3. เงินบริจาคพิเศษ

    เงินบริจาคพิเศษเพื่อจัดการในงานศพให้แก่พระภิกษุสนศิลฯ ที่มรณภาพในขณะที่ได้รับการรักษา ณ หอผู้ป่วยหนัก รพ.แม่สอด จ.ตาก ตามยอดเงินจริงที่ได้รับแจ้ง จาก จนท.พยาบาลหอสงฆ์อาพาธ เป็นเงิน 8,000.-

    รวมเงินบริจาคตามข้อ 1.+2.+3. = 74,000.- (เจ็ดหมื่นสี่พันบาทถ้วน)

    โดยเงินจำนวนดังกล่าวข้างต้น ผมจะได้ทยอยโอนผ่านธนาคาร และส่งผ่านไปรษณีย์ธณาณัติำไปยัง รพ.ต่างๆ ตามที่เคยปฏิบัติต่อไปและหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมแล้ว ผมจะได้ประชาสัมพันธ์ให้ได้ทราบกันอีกครั้งหนึ่งครับ

    พันวฤทธิ์
    ประธานทุนนิธิฯ
    11/2/53


     
  8. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้.....สุขสันติ์วันปีใหม่ ขอให้เฮงๆรวยๆครับพี่น้อง
    วันนี้ช่วงเวลา ประมาณ 4 โมงเย็นได้โอนปัจจัยประจำเดือนเข้ามาเป็นจำนวน 2200 บาทครับ
    เงินทั้งหมดได้มาจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆครูบาอาจารย์ร่วมๆกันมา ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย
    ที่มีศรัทธาช่วยเหลือพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านเจ็บใข้ได้ป่วย และที่ท่านขาดแคลนทุนทรัพย์....
    อย่าเจ็บ อย่าจน อย่าทุกข์ อย่ายาก นะทุกๆท่านและขอความสำเร็จในทุกๆอย่าง
    ทุกๆด้านจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมบุญกันมา...สาธุ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เช่นเดียวกัน ขอให้น้องๆ ในแผนก ENGINEERING ทุกๆ คน ที่เป็นพลังบุญที่สำึคัญทุกเดือน ร่ำรวยๆ พร้อมทั้งสุขภาพร่างกายแข็งแรง เปี่ยมด้วยบุญบารมีทุกคนด้วยเทอญ เอ้า..ขอฝากอาหมวยทั้ง 4 ร้องเพลงอวยพรแทนให้ด้วยก็แล้วกัน (ฝากกดขยายหน้าจอและปิดหน้าเวบพลังจิตที่แทรกขึ้นมาก่อนฟังด้วยจะได้อรรถรสของอาหมวยทั้่งหมดว่าสุดๆ ไปอีกอย่างนึงเหมือนกัน)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สัปดาห์นี้ มีพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มรณภาพไปแล้ว แต่อยากให้รู้จักและหาของท่านนำไปใช้กัน พระอาจารย์รูปนี้ คุณชินพร สุขสถิตย์ ให้เครดิตท่านว่า "มีพลัีงจิตที่แรงและไวมาก" ลองมาอ่านประวัติของท่านดูกัน ผมเองก็ไม่เคยมีพระเครื่องของท่านไว้ซะด้วย เลยขอแนะนำกันแบบ "รู้ไว้ใช่ว่า" ครับ ส่วนพระเครื่องต่างๆ ของท่านนั้น ตัวใครตัวมัน หากันเอาเองก็แล้วกัน

    "คุณชินพร สุขสถิตย์ ยอมรับว่า ตั้งแต่พบพระเกจิอาจารย์มา ไม่เคยพบเกจิองค์ใดที่มีพลังจิตแรงและไวเท่าหลวงปู่ทองฤทธิ์ อุตตโม

    หลวง ปู่ทองฤทธิ์ ท่านลงอักขระเลขยันต์ไม่กี่ตัว ม้วนและยกขึ้นจบ แล้วส่งให้ผมเลย ผมเองเห็นแล้วไม่ค่อยเชื่อถือ สีหน้าผมคงแสดงออก คุณลุงที่นั่งปรนิบัติหลวงปู่ทองฤทธิ์ในวันนั้นคงจะเห็นอาการของผม แกจึงบอกผมว่า “คุณถ้าไม่เชื่อ ลองเอาออกไปยิงดู ผมรับรองว่านัดแรกไม่ออก”

    คุณชินพรและนายดาบตำรวจ จุลวัฒน์ จุลสุคนธ์ พร้อมเพื่อนร่วมทางอีก ๒ ท่าน จึงทำตามคำท้าพิสูจน์ของคุณลุงท่านนั้น นายดาบจุลวัฒน์ ซึ่งมีปืนประจำตัว เอาตะกรุดไปวางไว้ในที่อับกระสุน ระลึกบอกกล่าวว่า ไม่ได้ลบหลู่ แต่ของชมอิทธิฤทธิ์ว่าจะจริงอย่างคำท้าหรือไม่แล้วก็เหนี่ยวไกลั่นกระสุน ทันที ปรากฎว่ากระสุนด้าน"

    นี่คือคำที่จั่วหัวเรื่องไว้ ทำให้น่าติดตามกันครับ พระขลังอย่างนี้ซิต้อง "สะใจ" ขาบู๊จริงๆ

    ประวัติความเป็นมาของ หลวงปู่ทองฤทธิ์ อุตตโม

    หลวงปู่ ทองฤทธิ์ อุตตโม เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับ หลวงปู่ มุม วัดปราสาทเยอเกจิอาจารย์ผู้เรืองฤทธิ์และมีชื่อเสียงของภาคอีสาน สมัยเมื่อหลวงปู่ทองฤทธิ์ยังเป็นเด็กชาย อายุประมาณ ๑๐ ขวบ ได้พบและอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านพอกใหญ่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เขียนพระคาถา “อ้อป่อง” สอดลอดช่องพื้นกระดานให้ หลวงปู่มั่นบอกให้ท่องจำไว้ จะได้ปัญญาดี เกิดความศรัทธาในตัวหลวงปู่มั่น ที่เห็นท่านฉันอาหารในบาตรใหญ่ มีผู้คนมาฟังเทศน์ฟังธรรมกันมากมาย จึงมีความคิดที่จะบวช จนอายุได้ ๑๘ ปี จึงได้บวชเป็นสามเณรที่วัดศรีธรรมราช บ้านพอกใหญ่ ตำบลพอกใหญ่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และในขณะที่ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น หลวงปู่มุมได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านเป็นสามเณรจนอายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดธรรมราช บ้านพอกใหญ่ ต่อมาเมื่อปี ๒๔๘๑ ท่านได้ไปอบรมสมถกรรมฐานกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร จนสำเร็จวิชชาธรรมกายขั้นอุกฤต เรียกว่า “อัคนีธาตุกรด” เมื่อ พศ.๒๔๘๓ ท่านได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอันเป็นบ้านเกิดของท่าน ปีต่อมาท่านได้ไปอบรมเป็นพระอุปัชฌาชย์ ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาชย์ที่สามารถบวชกุลบุตรได้ หลวงปู่ทองฤทธิ์ได้บวชอยู่มหานิกายถึง ๒๒ พรรษา หลวงปู่ทองฤทธิ์ท่านทำของขึ้น ผู้คนจึงนับถือท่านมาก ได้สมณศักดิ์เป็นพระครูอุดมสิทธิกิจ จนเมื่อปี ๒๔๙๖ ท่านเบื่อในงานด้านบริหารปกครองพระ จึงขอลาออกจากสมณศักดิ์ เพื่อมุ่งหน้าบำเพ็ญกิจของสงฆ์ หาทางปล่อยปละละวาง เดินตามแนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ไปขอเรียนวิปัสสนากับ หลวงปู่ ขาว อนาลโย วัดถ้ากลองเพล จนพบว่าที่ปฏิบัติผ่านมานั้นยังไม่ถูกต้อง จึงสึกออกนุ่งขาวห่มขาว ออกเดินดงอยู่ ๒ ปี แล้วบวชใหม่กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย ในธรรมยุตนิกาย และได้มาบำเพ็ญความเพียรจำพรรษาที่วัดพุทธนิมิต ภูดาว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และในปี ๒๕๐๐ ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าฉันทนิมิตรถึงปี ๒๕๐๗ จึงย้ายไปอยู่ภูถ้ำจันทร์ ที่ภูเก้า ๕ พรรษา ต่อมาได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดด่านศรีสำราญ ดงศรีชมพู อำเภอบึงกาฬ จัดหวัดหนองคาย จากนั้นไปจำวัดอยู่ในพื้นที่สีแดง สั่งสอนอบรมชาวบ้านซึ่งขัดแย้งกับลัทธิคอมมูนิสต์อย่างมาก จนหัวหน้าใหญ่คอมมูนิสต์คิดฆ่าท่าน โดยคิดจับท่านสวนทวาร ศิษย์ของท่านเลยพาท่านหนีมาอยู่ ณ.วัดป่าฉันทนิมิตร ราวปี ๒๕๒๒ จวบจนละสังขาร

    ในวันเสาร์ห้า เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่แข็งที่สุดของการทำวัตถุมงคล และเครื่องรางของขลัง มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก จึงได้ขออนุญาติหลวงปู่ ทองฤทธิ์ พระเก่ง พลังจิตแก่กล้า วัตรปฏิบัติเคร่งครัด อายุพรรษาสูง สร้างวัตถุมงคล ๕ แบบ ๕ พิมพ์ ขึ้นในวันสำคัญนี้ และขอให้หลวงปู่ทองฤทธิ์ ปลุกเสกเดี่ยวเพียงองค์เดียว แม้วันเสาร์ห้า เดือนห้า ขึ้นห้าค่ำ จะเป็นวันแข็งตามสุริยคติและจันทรคติแล้ว หากจะคำนวนฤกษ์ยาม เวลาอันแข็งที่สุดของวันเสาร์ห้านี้แล้ว จะทำให้ของนั้น ใช้ได้ผลเป็นทวีคูณ ท่านอาจารย์ทองเจือ ธัมมธีโร หรือ ท่านสหัสรังษี จึงคำนวนฤกษ์เทพระกริ่ง และฤกษ์ปลุกเสกให้เป็นพิเศษ ซึ่งฤกษ์เททองหล่อพระกริ่ง ชื่อว่า เพชรฤกษ์มหาลาภ ฤกษ์ปลุกเสกในวันเสาร์ห้า ชื่อว่า เพชรฤกษ์มหาจักรพรรดิ์กายสิทธิ์ พระเครื่อง ๕ พิมพ์ที่หลวงปู่ทองฤทธิ์ อนุญาติให้สร้างนี้ประกอบด้วย

    ๑. พระชัยวัฒน์- พระกริ่งทองฤทธิ์
    ๒. พระปิดตามหาอุตตโมสก็อตจั๊ม
    ๓. พระนาคปรกใบมะขามทองฤทธิ์
    ๔. รูปเหมือนหลวงปู่ทองฤทธิ์
    ๕. รูปเหมือนเนื้อทองแดงหลังเตารีด

    วัตถุ มงคลทั้ง ๕ แบบ นี้ ถวายหลวงปู่ทองฤทธิ์ เพื่อหาปัจจัยสร้างเมรุเผาศพ และศาลาพักศพของวัดป่าฉันทนิมิตร และอีกส่วนหนึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะสมทบทุนมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ออกให้บูชาในวันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๙


    ที่มา: www.ittiyano.com

     
  11. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้ร่วมทำบุญ 200 บาทครับ

    ในนาม คุณแม่ สมเวียง สุระนันท์

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ



    สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • slip140253.jpg
      slip140253.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.9 KB
      เปิดดู:
      78
  12. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    ผมก็ตามไปกราบท่านมา เอาของใช้กับปัจจัยไปถวาย ท่านเมตตามาก ทั้งเสกทั้งเจิมให้ สังเกตดูแววตาจากรูปถ่ายของหลวงปู่นะครับ
    [​IMG]


    แม่ชีลูกสาวหลวงปู่ที่คอยปรนนิบัติท่าน

    [​IMG][/url][/IMG]

    [​IMG]

    พระพุทธรูปที่กำลังรอปัจจัยก่อสร้างอยู่ แม่ชีบอกว่า ส่วนเอวเป็นของพระพุทธรูปเก่าชำรุดได้มาหลังจากสร้างพระปางปาลิไลยก์


    [​IMG]


    ทางเข้ากุฎิหลวงปู่อยู่ตรงต้นยางซ้ายมือ ก่อนถึงประตูเข้าวัด

    [​IMG]</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4511_R.jpg
      IMG_4511_R.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140.7 KB
      เปิดดู:
      192
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2010
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG] อายุของพระพุทธศาสนามี ๕,ooo ปีจริงหรือ? [​IMG]

    [​IMG]

    เมื่อกล่าวถึงพุทธธรรม เขาบอกว่าศาสนาพุทธนี้มีอายุยืนยาวอยู่แค่
    5,000 ปี จริง ๆ แล้วไม่ได้มีในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา
    ชั้นบาลีแต่อย่างใด แต่มีอยู่ในเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่
    เพิ่งเกิดประมาณ 800 ปี แต่ถูกจริตฮิตในสังคมไทยเรามาก

    พุทธพจน์ที่ได้รับปรารภกับพระอานนท์ซึ่งเป็นผู้ขวนขวายให้
    ผู้หญิงบวช ความเล่าว่าแม่เลี้ยงของท่าน (นางมหาปชาบดีโคตมี)
    พร้อมนางสากิยานีอีก 500 คนไปฟังธรรม อินทรีย์สุกงอม ก็อยาก
    บรรลุธรรม จึงได้มีการขอบวชในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    "อานนท์ ธรรมวินัยนี้ การปฏิบัติธรรมหรือธรรมะแบบนี้
    ถ้าให้ผู้หญิงเข้ามาบวช จะทำให้อายุของพระธรรมวินัยนี้ลดลงครึ่งหนึ่ง
    เช่นหากสมมุติว่ามี 10,000 ปี ก็จะเหลือ 5,000 ปี"


    อาศัยเงื่อนปมต้นเค้าจากเหตุการณ์นั้น ได้กลายมาเป็น
    สมมุติฐานความเข้าใจ และได้นำมาสร้างเรื่องปกรณ์ขยายไว้
    ในเวสสันดรชาดก และมาลัยสูตร

    ท่านอาจจะตรัสถึงในใจของคนก็ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ใน
    คัมภีร์เองก็เพียงแค่สมมุติ บาลีใช้คำว่า "สเจ" แปลว่าถ้าหากว่า
    หรือสมมุติว่า ในเบื้องแรกของการประพฤติพรหมจรรย์ ณ เวลา
    นั้นท่านคงไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ผู้หญิงเข้ามายุ่ง มันเป็นเรื่องของพระ
    เพราะในสังคมอินเดีย นักชวชจะอยู่ตามป่า ถ้าให้ผู้หญิง
    เข้ามาอยู่ด้วย ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย เพราะสมัยแรก ๆ
    ยังไม่มีการสร้างที่พักวัดวาอาวาสมากมาย
    ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ได้ สังคมวรรณะอินเดียนิยม
    ให้ผู้หญิงอยู่บ้าน เป็นแม่ศรีเรือนมากกว่าที่จะอุทิศตนตามหลัก
    อาศรม 4 ของพราหมณ์ แต่พอมาระยะหลัง สถานธรรมเกิดขึ้น
    ทั่วไป สังคมเข้าใจ ยอมรับสมณะเพศที่เป็นผู้หญิงได้แล้ว ความ
    เหมาะสมก็เกิดตามมาด้วยเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    เรื่องอายุของพระพุทธศาสนานี้ ความจริงพระพุทธองค์ก็ได้
    ตรัสไว้หลายแห่ง ยืนยันถึงสามัญผลว่าเป็นอกาลิโก
    หากยังมีผู้ปฏิบัติตามธรรมวินัยอยู่ โลกนี้ก็จะไม่ไร้พระอรหัสต์
    หรือในสติปัฏฐานสูตรก็รับรองเอาไว้ว่า หากเจริญสติอย่าง
    ถูกต้องต่อเนื่องแล้ว จะสามารถเข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้ในปัจจุบัน
    ชาตินี้ หรือหากแม้อุปาทิยังเหลืออยู่ ก็จะเป็นพระอนาคามี ภายใจ
    7 วัน 7 เดือน หรือย่างมากสุดก็ไม่เกิน 7 ปี
    ในโพธิราชกุมารสูตรตรัสว่า หากผู้ปฏิบัติทำอย่างถูกต้อง
    ภายใต้เงื่อนไข 5 ข้อ คือ มีศรัทธา, เวทนาเบาบาง, ไม่โอ้อวดมายาสาไถ,
    ขยันปรารภความเพียรเป็นนิจ, มีปัญญาเพ่งพินิจเห็นการเกิดดับได้...
    ปฏิบัติเช้ารู้เย็น หรือปฏิบัติตอนเย็น บรรลุธรรมตอนเช้าได้เลย
    เรื่องของสมมุตินี้ เราต้องฟังหูไว้หู ศรัทธาอยู่ไหนให้
    ปัญญาอยู่ด้วย ที่สำคัญ เราเองควรปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด
    เดินตามรอยตถาคตไปแล้ว จะหายสงสัยในพุทธธรรมได้ทั้งหมด


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    จิตเป็นอิสระมากเท่าใด ก็เข้าใจชีวิตมากเท่านั้น

    แต่ถ้าศึกษาพุทธธรรมจนเข้าใจ จิตเป็นอิสระมากเท่าใด
    เราจะเข้าใจได้มากเท่านั้น ซึ่งความหมายของพุทธศาสนาในแง่ที่ว่า
    จะอยู่ได้นานหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของความเจริญมรรคผล
    ดังที่
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

    "ดูก่อนอานนท์ ตราบใดก็ตาม เมื่อยังมีคนเจริญมรรคอยู่
    เรื่อย ๆ พระอริยบุคคลจะไม่เว้นจากโลกนี้ จะไม่ขาดจากธรรมวินัย
    จะมีอยู่อย่างนั้น"


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    เรื่องนี้เป็นการวัดที่คุณภาพทางจิต ซึ่งจิตของเรานั้นมีขันธ์
    อยู่ 5 อย่าง ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ตัวขันธ์ 5 นั้นจะถูกผูกพันด้วยอุปาทานทั้ง 5 คือ
    1) กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม
    2) ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิหรือทฤษฎี
    3) สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต พิธีกรรม
    4) อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน



    สิ่งเหล่านี้มันมาพันขันธ์ห้า ซึ่งจะถูกผูกด้วยอารมณ์และ
    อุปาทาน เขาจึงบอกว่าพุทธศาสนั้นมีถึงห้าพัน สิ้นห้าพันแล้ว
    ก็จะหมดไป แต่ไม่ด้หมายความว่าเป็น หนึ่งพัน สองพัน สามพัน
    สี่พัน หรือห้าพัน แต่หมายถึงถูกกิเลสมาพันขันธ์ห้าเฉย ๆ

    เมื่อใดที่เราทำลายได้ เกิดปัญญารู้แจ้งในขันธ์ 5 พุทธศาสนาก็จบ
    คือจบตรงที่เราไม่ต้องมีพุทธศาสนาเป็นตัวมาศึกษาจิตของเรา
    เมื่อใดที่ต้องศึกษาอยู่ ยังมีสิกขาทั้งสาม คือศีล สมาธิ ปัญญา
    มารองรับอยู่ ก็ชื่อว่ายังเป็นที่ต้องมีพุทธะเฝ้าประกันความปลอดภัยในขันธ์ห้าอยู่


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าถึงสภาวะ มันจะไม่มีอะไร
    คือมันเข้าถึงความเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง
    เราจะไม่ต้องศึกษาอะไรอีกเลย
    เรียกว่าสิ้นสุดพุทธศาสนาแล้ว เป็นอเสขะ จบพรหมจรรย์ เรียกว่า
    เป็นศาสนาสากล เรียกว่าเข้าถึงความจริงอันสูงสุด(อันติมะ)
    พอเข้าถึงภาวะแบบนั้นแล้ว เราก็ไม่ต้องไปทุกข์กับอะไร
    ไม่ต้องไปเป็นอะไร ไม่ต้องเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ หรือฮินดู
    ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น


    คัดลอกจาก แค่เฝ้าดู ก็รู้ธรรม ส.มหาปัญโญภิกขุ

    "ความเชื่อเรื่องอดีตชาติ ชาตินี้ชาติหน้า
    คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ เพราะมันไม่มีส่วนทำให้
    พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง หรือถดถอยลง
    อยู่ที่ว่า ปัจจุบันมันมี แล้วคุณใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้อย่างไร"


    ว.วชิรเมธี

    น้ำไหลอายุขัยก็ไหลร่วง
    ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
    ฆ่าเวลาก็คือฆ่าพร่าคืนวัน
    จะกำนัลโลกนี้มีงานใด...


    [​IMG]

    [​IMG] เจริญในธรรมกัลยาณธรรมทุกท่าน [​IMG]
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    อ ยู่…ก็ อ ยู่ ใ ห้ เ ห นื อ
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
    วัดบูรพาราม จ. สุรินทร์


    ผู้ที่เข้านมัสการหลวงปู่ทุกคนและทุกครั้ง
    มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า


    แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ร้อยปีแล้วก็จริง
    แต่ก็ดูผิวพรรณยังผ่องใส
    และสุขภาพอนามัยแข็งแรงดี

    แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านตลอดมา
    ก็ยากที่จะได้เห็นท่านแสดงอาการหมองคล้ำ หรืออิดโรย
    หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาให้เห็น

    ท่านมีปกติสงบเย็นเบิกบานอยู่เสมอ
    มีอาพาธน้อย มีอารมณ์ดี

    ไม่ตื่นเต้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    ไม่เผลอคล้อยตามคำสรรเสริญ หรือคำตำหนิติเตียนฯ


    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่ามกลางพระเถระฝ่ายวิปัสสนา
    สนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติกับหลวงปู่
    ถึงปกติจิตที่อยู่เหนือความทุกข์
    โดยลักษณการอย่างไร ฯ

    หลวงปู่ว่า

    “การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละคือ วิหารธรรมของนักปฏิบัติ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (ที่มา : “หลวงปู่ฝากไว้” : บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนาของ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เมื่อวันครบรอบ 2 ปี ทุนนิธิฯ เมื่อนเดือน ธ.ค 52 ที่ผ่านมานำมาให้เช่าหาเงินเข้าทุนนิธิฯ องค์ละ 500.- บาท จำนวน 8 องค์ สลายวับไปในพริบตาใครได้ก็ดีไป ใครไม่ได้ท่านผู้เก็บไว้ตอนกรุแตกบอกยังมีอีกเยอะเป็นร้อยองค์ เอาไว้ถ้ามีใครเรียกหาค่อยเอาออกมาใหม่ อ.ประถมฯ ผู้เขียนหนังสือข้างต้นที่นายสตินำมาลง ท่านบอก "นี่ละเว้ยสมเด็จแท้"เล่นหาทำไมปี 09, 17 ทันก็ไม่ทัน มีแต่ผงก็ไม่มาก ส่วน "บางน้ำชน" นี่ล่ะทั้งผงทั้งองค์ผู้เสกอยู่ครบ ราคาก็ห่างกันฟ้ากับเหว ตรวจทางในยังไงๆ ก็เห็นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเสก จะอะไรกันอีกล่ะ แขวนพระนอกวงการนี่ล่ะเดิมพันกันด้วยชีวิตกับพระในวงการได้สบายมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2010
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอแจ้งรายการโอนปัจจัยบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ และเงินบริจาคพิเศษมาให้ทุกท่านได้ทราบดังนี้

    [​IMG]

    รายการบริจาคสำหรับ รพ.50 พรรษาฯ และ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว)

    [​IMG]

    รายการบริจาคสำหรับ รพ.ด่านซ้าย จ.เลย, รพ.ปัตตานี และ
    รพ.แม่สอด จ.ตาก

    [​IMG]

    รายการบริจาคสำหรับ รพ.สงขลา สำหรับพระภิกษุที่เป็นผู้ป่วยใน และกองทุน
    อโรคยา ซึ่งเป็นกองทุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปตามวัดนอกเขตเมืองของ
    รพ.สงขลา จ.สงขลา (เดิมบริจาคให้เดือนละ 8,000.-บาทแต่คราวนี้ ผู้ประสานงานขอให้แยกออกมาเป็น 2 บัญชี เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน)

    [​IMG]

    รายการบริจาคสำหรับกองทุนหลวงปู่เทสก์เพื่อ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
    และ เงินบริจาคสำหรับ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่

    [​IMG]

    เงินบริจาคเพื่อจัดการงานศพ พระภิกษุสนศิลฯ เข้าบัญชีคุณสุภรณ์ อดิศัยสกุล
    ผู้ประสานงานของหอสงฆ์อาพาธ รพ.แม่สอด ที่ได้สำรองเงินส่วนตัวแทนเงินบริจาคจากทุนนิธิฯ ไปก่อน


    โดยในส่วนของ รพ.สงฆ์นั้น จำนวนพระทั้งหมดจะได้ยอดรวมทั้งหมดคาดว่าจะเป็นวันศุกร์เย็น และจะได้แจ้งให้ทุกท่านได้ทราบอีกครั้งทางกระทู้นี้ครับ

    พันวฤทธิ์
    16/2/53
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใบอนุโมทนาบัตรและหนังสือขอบคุณที่ทุนนิธิฯ ได้รับกลับคืนมมาจากการบริจาคตาม รพ.ต่างๆ ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]


     
  18. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    วันศุกร์ที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมาคุณพ่อและคุณแม่ และพนักงานที่บ้าน ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ โดยโอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิ ฯ จำนวน 1,500 บาทค่ะ
    ขอร่วมอนุโมทนากับทางทุนนิธิ ฯและร่วมทำบุญทุก ๆ ท่าน ค่ะ
     
  19. แมงกะพรุน

    แมงกะพรุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,267
    มีภาพสมเด็จยาวาสนากรุวังหน้าให้ชมมั้ยครับ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ซาหวัดดีครับคุณแมงกะพรุนขอภาพสมเด็จยาวาสนากรุวังหน้ามา ทางเราก็รีบจัดให้เลยละกันครับ

    URL=http://img211.imageshack.us/i/dscn2218.jpg/][​IMG][/URL]


    [​IMG]


    เอาไปสองรูปก่อนนะครับ ที่จริงยังมีแบบอื่นรวมทั้งพิมพ์คะแนนด้วยแต่ยังไม่ได้ถ่ายรูปไว้เอาไว้วันหลังจะถ่ายมาให้ชมนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...