ปรึกษาปัญหาสารพัดโรค ด้วยหลักการแพทย์แผนไทย / วิธีฝึกและใช้พลัง(ปราณยาม)ในการรักษาโรค

ขอบคุณมากครับท่าน

 

คำว่ามากในที่นี้ ขอแยกออกเป็นสองแบบ

๑. กิน/ดื่ม ทีละมากๆ จนเกินพอ
ร่างกายมนุษย์เราทำงานด้ยวระบบอิเลคโตไล้ หรือพูดสั้นๆคือการแลกเปลี่ยนปะจุไฟฟ้า ในสารเคมีที่เป็นสารอาหาร
หากดื่มน้ำมากเกิน ระดับอิเลคโตไล้ในกายจเจือจางมากเกิน ทำให้ร่างกายทำงานรวน จะรู้สึกไม่สบาย
เหมือนปลาตามปากอ่าว(น้ำเค็ม/กร่อย) เมื่อน้ำจืดไหลลงทะเลมากเกิน ปลาก็เมาน้ำ ลอยกันเป็นแพ กระ***************กระสนให้ตัวเองรอดตาย ด้วยไม่ชินกับน้ำจืด

๒. หากกิน/ดื่ม ที่ละไม่มากนัก แต่กินบ่อยๆ จนมากเกิน
การกินแบบนี้ร่างกายจะปรับสภาพทัน ส่วนที่เกินร่างกายก็จะขับทิ้ง และขับของเสียที่ควรขับทิ้งให้เร็วขึ้นด้วย

ดังนั้นการกิน/ดื่มน้ำมากๆ และเป็นประโยชบ์แก่ร่างกายจึงควรกินแบบที่ ๒
ส่วนการกิน/ดื่ม แบบที่ ๑ มีแต่โทษ

 

ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ
ผมเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะบ่อยมากๆ เพราะผมดื่มน้ำมาก
รู้สึกเหมือนตอนเด็กๆถึงช่วงวัยรุ่น หลายๆปีก่อน ไม่เป็นอย่างนี้นะ
ทำไมพอโตมา ถึงได้ดื่มน้ำมากเพิ่มขึ้นเยอะ ทั้งที่ไม่มีกิจกรรมที่สูญเสียเหงื่อเป็นพิเศษ
ไม่ทราบว่ามีวิธีที่จะสังเกตอาการตัวเองว่ามีปัญหาดื่มน้ำมากเกินไปหรือเปล่าครับ

 

สวัสดีค่ะ แอบอ่านกระทู้ของคุณสุวิมาบ้าง
วันนี้มีปัญหาขอปรึกษาค่ะ ^^

พอดีช่วงนี้ผมร่วงเยอะมาก เป็นกอบเป็นกำ
ไม่กล้านับ แต่คิดว่าน่าจะเกินวันละร้อยเส้นแน่ๆ
ลักษณะผมที่หลุดร่วงออกมาจะไม่มีรากผมเลย
ปกติก็ผมไม่เยอะอยู่แล้ว กลัวหัวล้านค่ะ T_T

ทีนี้ไปอ่านเจอในหนังสือนาฬิกาชีวิต
เขาให้กินน้ำกระชายปั่นผสมน้ำผึ้งมะนาว
บอกว่ากินแล้วผมจะดกดำ หายร่วง

เลยสงสัยว่าถ้าเรากินแล้วได้ผลดี
เรากินไปนานๆ มันจะไปมีผลต่อระบบอื่นในร่างกายหรือเปล่าคะ
อย่างแคปซูลมะรุมที่คุณสุวิได้อธิบายไว้น่ะคะ

แล้วนอกจากกระชายแล้วมีสมุนไพรอย่างอื่นอีกไหมคะ
ที่ช่วยแก้ผมร่วง ผมหงอกได้น่ะคะ

ผมหงอกนี่ก็เหมือนกัน แต่ก่อนมีไม่มาก
ทีนี้พอมันขึ้นชอบถอนทิ้ง เดี๋ยวนี้ขึ้นเต็มไปหมด
มันเกี่ยวกันป่ะคะ ^^

ขอถามแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวนึกออกเพิ่มจะมาถามใหม่

ขอบคุณค่ะ

 

สวัสดีค่ะ อ่านกระทู้ของคุณสุวิ
วันนี้มีปัญหาขอปรึกษาค่ะ ^^
เป็นหนองในเป็นใช้แผนปัจจุบัน ฆ่าเชื้อแล้วแผลภายในภายมีน้ำไหลเยิ้มแต่มันไมหายขาดจะทำอย่างจึงจะหายขาด?
ขอบคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

 

สังเกตุหรือไม่ เวลาถูกอากาศเย็นๆ จะฉี่บ่อย
แต่ถ้าอากาศร้อน การฉี่จะลดลง

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ เวลาอากาศเย็น ร่างกายต้องรีบสร้างความร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
หากสร้างความร้อนได้ไม่เร็วพอ ก็ต้องดึงความร้อนจากรอบข้างมาใช้ก่อน
ทำให้อวัยวะภายในมีความร้อนลดลง โดยเฉพาะไต
เมื่อไตเย็น (ตับก็เย็นลงด้วย) จะก่อปฏิกริยา ขับปัสสาวะออกมามากขึ้น

อาการฉีบ่อยของคุณ อาจเกิดจาก ไฟธาตุพร่องก็เป็นได้
ให้สังเกตุดูว่า เป็นคนขี้หนาวหรือไม่ ถูกลมก็หนาว เอานำรดตัวก็หนาว ฯลฯ
ท้องอืดอาหารไม่ย่อยบ่อยๆ
จุกกลางหลังหายใจไม่เต็มปอดหรือไม่

หากเป็นดังกล่าวแม้จะไม่บ่อยนัก
นั่นแสดงว่า ไฟธาตุของคุณ เริ่มพิการแล้ว (พิการ=แปรปรวน ทำงานไม่สม่ำเสมอ)

 

เชื้อโรคตัวนี้มันสร้างเกราะคุ้มตัวได้ ต้องกินยานานพอควรจึงจะหายขาด
ยังมีแผลน้ำเหลืองไหลอยู่ แสดงว่ายังไม่หมดเชื้อ

ยาแผนไทยที่หอมสุวิทำที่ช่วยอาการนี้ได้มี
๑.ยาแก้ภูมิแพ้เบอร์ 4 (ขจัดกิมิชาติภายใน)
๒.ยาปลาหมอทอง ชำระเลือดและน้ำเหลือง
ยาสองตัวนี้จะทำให้แผลน้ำเหลืองไหลหายเร็วขึ้น

แต่คุณยังต้องกินยาฆ่าเชื้อด้วย เพราะ
ยาแก้ภูมิแพ้เบอร์ 4 ไม่อาจฆ่าเชื้อหนองในตัวนี้ได้
มันเพียงทำให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
ไล่ขับเชื้อบางส่วนออก และยังคงมีเชื้อบางส่วนเข้าเกราะซุกซ่อนอยู่ภานใน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะขับออกหมด

 

กระชายเป็นยาอายุวัฒนะตัวหนึ่ง สามารถกินติดต่อกันได้นานๆ ไม่มีผลข้างเคียง
ส่วนเรื่องผมหงอก ผมร่วง
ให้อ่านคำตอบนี้

อ้างอิง:
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ suwi
มีบันทึกไว้แต่โบราณว่า
ตรีผลา บำรุงสายตาได้ ทำให้ผมดกดำ ผสมเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้กระชุมกระชวยแก้ผมหงอกก่อนวัยได้ ทำให้กลับเป็นหนุ่มเป็นสาวด้วย

ยาอายุวัฒนะดังกล่าวคือ
ตรีผลา อย่างละ ๑ ส่วน
กวาวเครือแดง ๑ ส่วน (สำหรับบุรุษ-ส่วนสัตรีใช้กวาวเครือขาว)

ผสมน้ำผึ้งเป็นกระสาย ปั้นเป็นลูกกลอนกินครั้งละ ๑ เม็ดเท่าปลายก้อย ก่อนนอนวันละครั้ง
ในบันทึกยังกล่าวอีกว่าถ้าได้กินกับนมเปรี้ยว จะทำให้ผิวที่เ******่ยวย่น ให้กลับเปล่งตึงกลับสู่วัยหนุ่มอีกครั้ง สายตาจะมองในที่มืดได้(ฝอยเป่าไม่รู้)

เชื่อได้เปล่าก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าสูตรนี้ สุวิลองกินดูแล้ว
แฮ่ๆ ซู่ซ่าๆๆๆๆๆๆๆ เข้าท่าวุ้ย
เสียแต่ทำกินได้ไม่นาน(แค่เดือนเดียวเอง) เลยไม่รู้ว่าผมหงอกจะกลับดำหรือไม่
สายตาดีขึ้นแน่นอน ผมจะดกขึ้น(มีลูกผมงอกใหม่ให้เห็น)
ผิว จะเต่งตึงหรือไม่ ไม่รู้วะ เพราะสุวิฝึกลมปราณด้วย มันเลยตึงๆหย่อนๆตามปะสา


</TD></TR></TBODY></TABLE>

ปัจจุบันสุวิผสมยาสูตรนี้แล้ว (รอคลอดจากโรงงานอยู่) ตั้งชื้อว่า

ยา "มณีนพเก้า"

กินได้ทั้งบุรุษ และสัตรี (วัยทำงาน)
สรรพคุณ
บำรุงร่างกายให้ซู่ซาแข็งแรง บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง บำรุงสายตา บำรุงเส้นผม บำรุงหัวใจ ฯลฯ

 

ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ คุณสุวิ

ไม่ทราบว่าตามสูตรยาอายุวัฒนะ
ที่ใช้ตรีผลากับกวาวเครือขาวเนี่ย หาซื้อตามร้านขายยาแผนไทยมีไหมคะ
แล้วถ้าเราเอามาใส่แคปซูลกินแทนปั้นลูกกลอน จะให้ผลต่างกันหรือเปล่า

สนใจยามณีนพเก้าค่ะ จะเสร็จเมื่อไหร่คะ ^^

เดี๋ยวตอนนี้ไปปั่นกระชายกินก่อน

 

ผมมีเหงือออกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า แบบรู้สึกเหนอะๆ
และตอนนี้ก็ฝึกพลังเกศา โลมา รู้สึกประทับใจ และขอบคุณอาจารย์มากๆ
ผมควรทานยาอะไร

 

ผมเข้าห้องน้ำบ่อยมาก เมื่อเทียบกับคนอื่น กินน้ำแป๊บเดียวก็ต้องไปแล้ว

ผมเป็นคนขี้หนาว ถูกต้องครับ
ท้องอืด อาหารไม่ย่อย นี่ไม่ชัดเจน
จุกกลางหลัง ไม่เป็น
หายใจไม่เต็มปอด ถูกต้อง

เรื่องหายใจนี่ สงสัยอยู่ประเด็นหนึ่ง เป็นเพราะผมติดในการฝึกจับภาพพระ และรวมจิตไ้ว้ที่ใดที่หนึ่ง เช่นที่หว่างคิ้ว เวลาทำบ่อยๆ จะติดคือพยายามไม่สนใจลมหายใจ สังเกตตัวเองว่า ผลทำให้หายใจเบาและไม่สุด เพื่อควบคุมตัวเองในรวมจิตอยู่ที่อื่น ไม่มาติดที่ลมหายใจ สงสัยอยุ่เหมือนกันว่าทำแบบนี้ถูกหรือเปล่า

เห็นพูดถึังธาตุไฟพิการ ผมเลยไปหาดูในกระทู้นี้ เจอสูตรยาของคุณสุวิ อยู่มากกว่า ๑ สูตร ลองได้ทุกสูตรรึเปล่าครับ

 

ขอบคุณมากครับทาน

 

สรุปคุณเป็นโรคไฟธาตุแปรปรวน(ไฟธาตุพิการ)แน่นอน
ยาที่คุณพบแก้ได้ทุกสูตร (มีแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดการใช้ เช่น ฤดูกาล)

ให้ง่ายคุณซื้อยาปลูกเตโชไปใช้เลยดีกว่า นอกจากปลูกไฟธาตุแล้วยังบำรุงโลหิตด้วย
ยานี้สุวิรวมญาติจากยาปลูกไฟธาตุหลายๆสูตรและยาบำรุงเลือดด้วย

ส่วนเรื่องการหายใจ ให้ศึกษาจากเรื่องโรคปัสสะตึก

ปัจจุบัน สุวิได้ผสมยาเพื่อแก้โรคนี้สำเร็จแล้ว
ใช้ยาเพียง ๑-๒ ตัว ก็หายแล้ว

ยาตัวแรกชื้อ ยาวัชรธาตุ

ยาตัวที่สองชื่อ ปลาหมอทอง

 

ยาอายุวัฒนะตัวนี้ ที่ผสมเสร็จแล้ว ร้านขายยาทั่วๆป ไม่มีขาย
แต่มีตัวยา(แยกเป็นอย่างๆ) ขายตามร้านขายยาไทยทั่วไป
เราสามารถสั่งให้เขาผสมให้ได้
หรือซื้อแยกอย่างละตัวมาผสมเอง ก็ได้(วิธีนี้ถูกตังสุด)
ยาตัวนี้มี กระสายยาเป็นน้ำผึ้ง
การปั้นเป็นลูกกลอน จึงให้ผลสูงสุด

ส่วยยา(มณี)นพเก้า จะเสร็จ ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ (อีกอาทิตย์เดียวเอง)

 

คนสูงอายุมีอาการเท้าบวม และมีอาการปวดมาก ไปหาหมอเขาบอกว่าเป็นอากาณโรคเกาต์ต้องทำยังไงดีคะ อีกอย่างมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยค่ะ

 

ท่านผู้เฒ่าท่านนี้กินมะรุมแคปซูลอยู่หรือไม่ (หรือก่อนหน้านี้เคยกินอยู่เป็นประจำ)

 

ไม่เคยกินมะรุมเลยค่ะ ที่กินประจำก็เป็นยาลดความดัน ( สัก10ปี ได้แล้ว) ตอนนีขาบวมเป่งเดินแบบลำบากสุดๆ เพราะอาการปวดที่เกิดขึ้นค่ะ

 

เอาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนนะ ส่วนสาเหตุที่มาที่ไปจะอธิบายที่หลัง
รวมถึงสาเหตุที่ถามถึงมะรุมด้วย (เพราะเท่าที่เช็คดู คล้ายมีสาเหตุมาจากแหล่งเดียวกัน)

สุวิเคยให้ยาไว้ตัวหนึ่ง ตั้งชื่อเล่นๆว่า ยาน้ำมะละกอ (ยังหาชื่อเพราะพริ้งไม่ได้)
ประกอบด้วย
๑.หญ้าหนวดแมว
๒.ใบชาจีน(ใช้ชาตราสามม้าเบอร์ ๓ ก็แล้วกัน)
๓.มะละกอดิบ

เอามะละกอดิบทั้งเปลือก หั่นต้มน้ำ พอสุกดี ตักเนื้อมะละกอทิ้ง
เอาน้ำต้มมะละกอ ร้อนๆ ชงหญ้าหนวดแมวกับใบชาจีน(อย่างละ ๑ หยิบมือ)
ชงเหมือนชงใบชาจีนนั่นแหละ
พออุ่นๆ ก็เอาน้ำชามะละกอมาดื่ม

ทำกินวันละ ๓-๖ แก้ว เช้า กลางวัน เย็น
อาการปวดบวม ที่เป็นอยู่ จะดีขึ้น
ทำกินประมาณ ๓-๕ วัน

(ยาสูตรนี้-ใช้ได้ดีกับปะระเมหะที่เกิดจากผลึกของนิ่วกรด-โปรดติดตามศึกษารายละเอียดในตอนต่อไป)

 

ได้อธิบายเรื่องของปะระเมหะไว้ ว่าเป็นเศษซากของเสีย มีลักษณะเป็นตะกอนแขวนลอยในน้ำ ซื่อเป็นทางการก็คือ ปะระเมหะในเสมหะธาตุ
ในกายมนุษย์ ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

เสมหะธาตุ มาจาก น้ำ มีปะระเมหะอยู่ ๔ แบบคือ

๑. อนุมูลของไขมัน (ปะระเมหะอันเกิดจากไขมัน)ทำให้เส้นโลหิตตีบ
๒. อนุมูลของน้ำตาล(มะธุระเมหะ) ปะระเมหะอันเกิดจากเบาหวาน ทำให้เส้นโลหิตตีบ
๓. ปะระเมหะอันเกิดจาก โอปักมิกาพาต (เลือดช้ำและลิ่มเลือด อันเกิดจากการทุบถองโบยตี ตกจากที่สูงอุบัติเหตุต่างๆ) ทำให้เส้นเลือดตีบตัน
๔. ปะระเมหะอันเกิดจากกิมิชาติ เม็ดเลือดแดงแตก/ตาย อันเกิดจากเชื้อโรค ทำให้เกิดเม็ดเลือดเสีย ไปขวางในหลอดโลหิต เช่น เส้นเลือดขอด

ในธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ก็มีปะระเมหะอยู่เช่นกัน มันจะตกตะกอนจับกันเป็นก้อน
เราเรียกสิ่งนี้ว่านิ่ว
ลักษณะของก้อนนิ่ว มีอยู่สองแบบใหญ่ๆคิอ
๑. นิ่ว อันเกิดจากสาร ที่ละลายน้ำแล้วให้ฤทธิ์เป็นด่าง เช่นแคลเซี่ยม นิ่วชนิดนี้เราขอเรียกว่า นิ่วด่าง
๒. นิ่ว อันเกิดจากสารที่ละลายน้ำแล้วให้ฤทธิ์เป็นกรด เช่น ยูริค นิ่วชนิดนี้ ขอเรียกว่า นิ่วกรด

ในอาหารการกินของเรา ล้วนมีแร่ธาตุเหล่านี้เป็นสารตั้งต้นของสารอาหารทั้งหลาย
สภาพกรดและด่างใรร่างกายเราที่สมดุลย์ (ความสมดุลย์ของธาตุสี่) จะทำให้สาร(ธาตุ) เช่นแคลเซี่ยม หรือ ผลึกออกซาเลต หรือยูเรีย ไม่สามารถตกผลึกเป็นก้อนนิ่วได้
แต่หาก สมดุลย์เสีย ก็จะเกิดการตกผลึกของสารเหล่านั้น เกิดนิ่วในอวัยวะต่างๆ เช่น ในกล้ามเนื้อ ในข้กระดูก ในไต ในกระเพาะปัสสาวะ ฯลฯ

ปะระเมหะนิ่ว ก้อนโตๆ หรือเล็กจิ๋ว ที่แทรกอยู่ในเนื้อเยื่อ ล้วนก่อเกิดปัญหาให้ร่างกายทั้งสิ้น
ถ้าแทรกอยู่ในเนื้อไต ก็ไตวาย
ถ้าแทรกในกล้ามเนื้อ ก็ปวดเมื่อยแขนขา ขยับเนื้อตัวไม่ไหว
ถ้าแทรกอยู่ในข้อกระดูก ก็ปวดข้อ เป็นเก้าส์
ฯลฯ
(เกิดได้จากหลายๆสาเหตุ เช่น กินอาหารผิด ไฟธาตุพิการ ฯลฯ)

ในธาตุลม วาตะธาตุ ก็มีปะระเมหะเช่นกัน
เป็นปราณเสียที่เกิดในกายเอง และหรือถูกแทรกซึมจากภานนอก (ซึ่งเราเรียกรวมๆว่า ลมเพลมพัด)
ร่างกายเราที่มีปราณสมบูรณ์ ก็จะขับของเสียหรือสิ่งที่แทรงซึมเข้ามาออกทางทวารทั้งเก้า
แต่ถ้าขับออกไม่หมด เหลือเป็นก้อนลมวิ่งไปมาแทรกอยู่ในกาย
กายมนุษย์จะตรึงไว้ด้วยธาตุดิน และสร้างพังผืดมาหุ้มรัดไว้ ทำให้เป็นเนื้องอก ซีสต์ ฯลฯ
และท้ายสุดกลายเป็นเนื้อร้ายและมะเร็ง
ฟองแก้สอภิญญา อันเป็นต้นเหคุโรคปัสสะตึก ก็เป็นปะระเมหะจากธาตุลม

ในธาตุไฟ ปิตตะธาตุ ก็มีปะระเมหะอยู่เช่นกัน
เป็นเถ้าของเสียที่ถูกเผาด้วยไฟธาตุ
และจะถูกขับทิ้งจากร่างกายทางทวารทั้งเก้า
ปะระเมหะตัวนี้ สุวิยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ยังเฝ้าศึกษาอยู่

 

เกือบลืมท่านท่านผู้นี้ไปเลย

เหงื่อออกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า จนชื้นแฉะไปหมด
เกิดจากธาตูในตัวโดยเฉพาะธาตุน้ำและไฟ พิการ
ต้องปลุกทั้งธาตุน้ำและไฟ ให้ขึ้นมาเสมอกัน

อาการนี้ปกติเกิดจาก การทำงานของตับ(คัวคุมปิตะ) และไต(ตัวคุมเสมหะ)ไม่สมดุลย์กัน
หากทิ้งนานไป อาจเกิดโรคจากการเสียสมดุลย์ ของตรีธาตุ(ปิตะ เสมหะ และวาตะ) เช่น
เบาหวาน ไทรอยด์ ความดัน และไขมันในโลหิต

ความจริงการฝึกเกศา โลมา ฯ จนได้พลังจากสุริยะรัตณีและจันทรามณี แล้ว
จะสามารถปรับ ปิตะและเสมหะธาตุ ให้เสมอกันได้โดยไม่ต้องกินยาใดๆเลย

แต่คนยังฝึกไม่ถึงขั้น ก็กินยาไปก่อนนิ
ยาที่ใช้มี
๑ ยาผลาธิกะ 9 (ปรับธาตุน้ำ) กิน ๑ เม็ด วันละ ๒-๓ ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น ก่อนนอน
๒ ยาปลูกเตโช (ปรับธาตุไฟ) กิน ๑ เม็ด วันละ ๒-๓ ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น ก่อนนอน
๓ ยากระชายทองนพคุณ (ส่งเลือดลมไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆมากขึ้น) กิน ๑ เม็ด วันละ ๒-๓ ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า เย็น ก่อนนอน