การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก ของมิตรจากต่างพิภพ และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 19 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    คุณคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน ในปัจจุบัน มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน (ต่อ)


    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width="80%">ความคิดเห็นที่ 5</TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="50%"><!--InformVote=5--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[5], 5);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!--MsgIDBody=5-->ดาร์วินพบว่านกฟินช์บนเกาะ กาลาปากอสมีจะงอยปากยาวกว่านกฟินช์ที่อื่น ทั้งนี้เพื่อใช้เจาะแมลงใต้เปลือกไม้หนาๆ บนเกาะซึ่งแห้งแล้ง นอกจากนี้ท่านพบว่านกฟินช์อีกหลายพันธุ์มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่ทำให้มัน เหมาะสมกับถิ่นอาศัย และดาร์วินคิดว่านี่คือการวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะเวลาอันยาวนานพบว่า ในปีที่แห้งแล้งจะงอยปากนกฟินช์จะยาว ๑๑ มม. จะไม่สั้นกว่านี้เพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้ แต่ถ้าปีไหนฝนตกหนัก ลูกนกเกิดใหม่จะมีจะงอยปากสั้นลง คือเฉลี่ย ๙ มม. ทั้งที่พ่อแม่ของมันมีจะงอยปากยาว ฉะนั้นการที่บอกว่านกฟินช์จะงอยปากยาวเป็นสปีชีส์ใหม่อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูก ต้องนัก

    ในปี ๑๙๘๓ โจนาทาน ไวเนอร์ (Jonathan Weiner) บันทึกว่า "นกฟินช์ตะบองเพชรบนเกาะ Daphne Major พันธุ์สแกนเดนตัวหนึ่งไปเกี้ยวนกฟินช์ฟอร์ทิสตัวเมียตัวหนึ่ง มันผสมพันธุ์กันเกิดลูกมา ๔ ตัว และลูก ๔ ตัวนี้ให้กำเนิดหลานอีก ๔๖ ตัว" เช่นกัน ปีเตอร์และโรสแมรี แกรนต์ (Peter and Rosemary Grant) เข้าไปทำงานบนเกาะนี้กว่า ๑๐ ปี ก็พบการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มให้ลูกนกที่สามารถให้กำเนิดหลานได้

    เกิดคำ ถามว่า นกฟินช์ ๑๓ สายพันธุ์ที่เกาะกาลาปากอสซึ่งดาร์วินเข้าใจว่ามีวิวัฒนาการจนเกิดเป็นสปีชีส์ต่างๆ "อาจ" จะไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่มีลักษณะบางอย่างต่างกัน มันจึงสามารถผสมพันธุ์กันได้และให้กำเนิดลูกหลาน เพราะตามหลักแล้วสัตว์ต่างสปีชีส์ผสมข้ามพันธุ์กัน อย่างม้ากับลาออกมาเป็นล่อ ล่อจะเป็นหมันมีลูกต่อไม่ได้ แต่นกฟินช์ต่างพันธุ์มีลูกที่ให้กำเนิดหลานได้ ดังนั้น การที่ดาร์วินเข้าใจว่านกฟินช์ที่มีรูปร่างและพฤติกรรมที่แตกต่างกันบนเกาะ กาลาปากอสมีการ "วิวัฒนาการ" จนมีสปีชีส์ที่ต่างกันออกไป "อาจ" เป็นเรื่องเข้าใจผิด มันยังคงเป็นสปีชีส์เดียวกัน การที่นกฟินช์ "ไม่ชอบ" ผสมพันธุ์ข้ามกลุ่ม ต่างกันมากกับ "ไม่สามารถ" ผสมพันธุ์กันได้ เช่นสุนัขพูเดิลอาจจะไม่ชอบเลือกลาบราดอร์เป็นคู่ แต่มันสามารถผสมพันธุ์และให้ลูกที่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้ เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นสปีชีส์ Canis familiaris เหมือนกัน

    นัก วิทยาศาสตร์รุ่นหลังซึ่งบันทึกการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนกับการเปลี่ยนแปลง ของจะงอยปากนกฟินช์ที่สั้นยาวได้นั้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า microevolution หรือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีพ นักวิวัฒนาการเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อย่าง microevolution นี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็น macroevolution หรือวิวัฒนาการจนกลายเป็นสปีชีส์ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามไม่เคยพบหลักฐานของ macroevolution และเรื่องนี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทฤษฎี stability of species ซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน

    แสดงว่าคุณหมอเชื่อในการปรับตัว (microevolution)

    เรื่อง การปรับตัวผมเชื่อครับ การที่สัตว์ต่างๆ มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่ง แวดล้อม ผมกลับมองอีกมุมหนึ่งว่านี่คือการสรรค์สร้างอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตให้มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก แต่มิได้แปลว่าเราจะสามารถวิวัฒนาการเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เราก็ยังคงเป็นชนิดเดิม

    นักวิทยาศาสตร์บอกว่าในช่วงสั้นๆ ไวรัสบางตัวมีวิวัฒนาการแล้ว

    แบคทีเรีย บางชนิดดื้อต่อยาปฏิชีวนะ หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ผันแปรตัวเองเพื่อดื้อยาต้านไวรัส เกิดขึ้นได้ครับ แต่หากถามว่ามันได้เปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ มันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตเดิม เพียงแต่สร้างสารบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E. Coli) อาจจะสร้างสารไปทำลายเพนนิซิลลิน (Penicillinase) มันจึงดื้อต่อเพนนิซิลลิน แต่ก็ยังคงเป็นอีโคไลอยู่นั่นเอง มิได้เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่

    ไม่เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการ

    แล้ว แต่จะเรียกครับ จะเรียกวิวัฒนาการก็ได้ แต่ผมอยากเรียกว่า "การปรับตัว" ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่เท่านั้น เช่นความสามารถในการผันแปรของไวรัสเอชไอวีสูง แต่มันก็ยังเป็นไวรัสเอชไอวีอยู่นั่นเอง ไม่ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้น ในเรื่องนี้พอไปอ่านไบเบิลผมรู้สึกประทับใจ เนื่องจากเราคงทราบว่าเชื้อเอดส์มาจากลิงชนิดหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าคนไปมีเพศสัมพันธ์กับลิง จากนั้นก็ติดมาถึงคนและแพร่ระบาดจนผู้คนต้องล้มตายมากมาย ไบเบิลได้บันทึกว่า ถ้ามนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์เมื่อใด ความวิบัติก็จะมาถึง พระเจ้าห้ามเด็ดขาด ผมตกใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้จึงถูกเขียนไว้ในไบเบิลตั้งนานแล้ว

    แสดงว่าคุณหมอไม่เชื่อเรื่องการคัดเลือกของธรรมชาติ

    ผม เชื่อว่าธรรมชาติมีการคัดเลือก "ตัว" ที่แข็งแรง แต่ไม่ใช่ "เผ่าพันธุ์" ที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าเราเชื่อแบบนั้นจนหมดก็น่าคิดเหมือนกัน อาทิเราเป็นหมอ เราเห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมาอ่อนแอ เราควรรักษาเขาหรือไม่ ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีคนเสนอความคิดนี้ออกมาว่า หากเราพยายามรักษาเด็กที่มียีนด้อย ถ้าเขาโตขึ้นเขาจะแพร่ยีนด้อยให้แก่ลูกหลาน และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ดังนั้นควรปล่อยให้ทารกที่อ่อนแอตายไปเสีย ถ้าเราเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วเราทำตาม ก็ไม่ต้องรักษา ปล่อยให้เสียชีวิตไป แต่ในความเป็นจริงเราคงทำไม่ได้ บางทีเราต้องยอมรับว่าสัตว์ตัวที่เกิดมาอ่อนแอ พ่อแม่อาจจะทิ้งให้ตายก็ตาม หากนั่นเป็นสัตว์ เขามีกลไกของเขา แต่มนุษย์แตกต่างออกไปมาก ผมเองเชื่อว่า ชีวิตเป็น "ของขวัญ" จากพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตได้ เด็กๆ ทุกคนเกิดมา ไม่ว่าเขาจะแข็งแรงหรืออ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะเกิดมาด้วยความตั้งใจของผู้เป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ล้วนมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า

    มีคนจำนวนหนึ่งบอกว่า คนกับลิงมีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันมาก ผมเองยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น คนกับลิงชิมแปนซีมีดีเอ็นเอต่างกัน ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก ๙๕ เปอร์เซ็นต์ซ้ำกัน แต่ต้องไม่ลืมว่านั่นคือ ๕ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนดีเอ็นเอ ๓,๐๐๐ ล้านตำแหน่ง มันหมายถึง ๑๕๐ ล้านตำแหน่งที่ต่างกัน ซึ่งบังเอิญยากครับ สมมุติมีคนบอกว่า เด็กคนหนึ่งทำข้อสอบที่มีตัวเลือก ๔ ตัวเลือก ถูกหมดทั้ง ๑๕๐ ล้านข้อโดยอาศัยการเดาสุ่ม คงไม่มีผู้ใดเชื่อใช่ไหมครับ

    ในเรื่องนี้ผมมีความเห็นตรงข้ามครับ เหมือนการประดิษฐ์รถยนต์ สมัยก่อนอาจจะมี ๒ สูบ ต่อมา ๔ สูบ เดิมต้องใช้มือหมุนในการติดเครื่อง ต่อมาใช้แบตเตอรี่สตาร์ตแทน ถามว่าสิ่งนี้คือวิวัฒนาการหรือเปล่า คงไม่ใช่ ลองดูรถฟอร์ดรุ่นแรกสุดกับรุ่นถัดๆ มา ไม่ว่าจะเป็นฟอร์ดทันเดอร์เบิร์ด ฟอร์ดมัสแตง จะพบว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบรถให้ดีขึ้น แต่ก็ยังคงความใกล้เคียงกันอยู่เพราะเป็นทีมวิศวกรของฟอร์ดออกแบบ เช่นกันครับ ผมมองว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ส่วนหนึ่งนั้นสะท้อนถึงผู้สร้างเป็นคนเดียวกัน ซึ่งผมเชื่อว่าผู้นั้นคือองค์พระเจ้าครับ

    เรื่องอายุของโลก ถ้าเชื่อว่าโลกอายุไม่เกินหมื่นปี ไดโนเสาร์อายุ ๖๐ กว่าล้านปีนี่ก็ไม่จริง

    เรา ต้องทราบก่อนว่าการคาดคะเนอายุไดโนเสาร์อยู่บนพื้นฐานอะไร อายุของฟอสซิลบอกได้จากชั้นหิน โดยอาศัยหลักวิชาที่เรียกว่า Stratigraphy โดยกำหนดว่าการตกตะกอนอยู่ที่ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี อายุของไดโนเสาร์ถูกกำหนดจากความลึกของการขุดนี้เอง ดังนั้น หากขุดพบซากที่ระดับความลึก ๑๕,๐๐๐ เมตร ซากนั้นก็น่าจะมีอายุ ๗๕ ล้านปี เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากการคาดคะเนครับ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วตะกอนตกในอัตราเท่าไร

    ที่น่าสนใจคือ นักวิทยาศาสตร์กำหนดให้ยุคพรีแคมเบรียน แคมเบรียน ไซลูเรียน จูแรสสิก และยุคอื่นๆ การตกตะกอนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย คือ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งแท้จริงแล้วด้วยอัตรานี้จะมีปัญหามาก หากเราจะกลบฝังไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่อย่าง แบรคคิโอซอรัส ด้วยอัตราการสะสมตะกอน ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี เป็นไปไม่ได้ ไดโนเสาร์ตัวนั้นจะถูกทำลายโดยสัตว์กินซากเสียก่อน

    การ กลบไดโนเสาร์ทั้งตัวให้อยู่ในสภาวะฟอสซิลต้องเร็วกว่านี้มากมาย มีการขุดพบต้นไม้ต้นหนึ่งที่กลายเป็นถ่านหินสูง ๔๐ ฟุต ซึ่งตั้งแสดงอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอน ต้นไม้ต้นนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าการกลบฝังน่าจะเกิดขึ้นอย่างทันที ทันใด ไม่อย่างนั้นด้านบนต้องเน่าเปื่อยไปเสียก่อน ถ้าเราคำนวณการฝังต้นไม้สูงขนาดนี้ภายในปีเดียว แสดงว่า Stratigraphy ที่เราใช้คำนวณ คำนวณผิดไป ๖ หมื่นเท่าจาก ๐.๒ มม. ต่อปีเป็น ๔๐ ฟุตต่อปี ซึ่งแปลว่าเราอาจคะเนอายุไดโนเสาร์ผิดไป ๖ หมื่นเท่าของความเป็นจริง ที่บอกว่าอายุไดโนเสาร์ ๖๐ ล้านปีเป็นวิธีการคะเนเท่านั้น

    คุณหมอเชื่อว่าไดโนเสาร์อายุเท่าไร

    ผม เองยอมรับว่าไม่แน่ใจครับ ก่อนหน้านี้ผมเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าไดโนเสาร์มีอายุหลายร้อยล้านปี แต่ปัจจุบันนี้ผมเปิดใจกว้างขึ้นว่าอาจไม่เก่าแก่ขนาดนั้น เมื่อได้ศึกษาถึงเบื้องหลังการคะเนอายุไดโนเสาร์ อายุของโลกก็เช่นกัน ถูกคะเนโดยการสลายตัวของยูเรเนียมเป็นตะกั่ว และการสลายตัวของโพแทสเซียมเป็นอาร์กอน หลักการ "เชื่อ" ว่า ตะกั่ว ๒๐๖ ได้มาจากการสลายตัวของยูเรเนียม ๒๓๘ เท่านั้น และยูเรเนียม ๒๓๘ มีค่าครึ่งชีวิต ๔,๕๐๐ ล้านปี หากเราพบแหล่งหินหนึ่งซึ่งประกอบด้วยยูเรเนียม ๒๓๘ ครึ่งหนึ่ง และตะกั่ว ๒๐๖ อีกครึ่งหนึ่ง ก็น่าจะบอกได้ว่าหินก้อนนั้นมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปี ซึ่งบังเอิญเท่ากับอายุโลกพอดี

    วิธีนี้จะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ ว่า เริ่มต้นมียูเรเนียม ๒๓๘ เท่าไร และมีตะกั่ว ๒๐๖ เท่าไร สิ่งเดียวที่เรารู้คืออัตราการสลาย นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่า โลกเมื่อเริ่มแรกนั้นไม่มีตะกั่ว ๒๐๖ อยู่เลย เป็นยูเรเนียม ๒๓๘ ทั้งหมด นี่เป็นการคาดคะเนทั้งหมดที่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะการสลายยูเรเนียมมาเป็นตะกั่วยังให้ฮีเลียมด้วย เมลวิน คุก (Melvin Cook) ได้คำนวณว่า หากโลกมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปีจริง การสลายยูเรเนียมจะก่อให้เกิดฮีเลียมในบรรยากาศ ๑๐,๐๐๐ พันล้านตัน แต่ในความเป็นจริงเราพบเพียง ๓.๕ พันล้านตัน หากใช้วิธีนี้คำนวณโลกจะมีอายุเพียง ๑๗๕,๐๐๐ ปี มันตอบคำถามไม่ได้ว่าถ้าโลกมีอายุยาวนานขนาดนั้นจริง ฮีเลียมหายไปไหนมากมาย มีหลายอย่างแย้งกันเอง นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อดาร์วินก็จะเลือกเชื่อมุมที่เข้าได้กับทฤษฎีของเขา แต่ไม่ตอบเรื่องฮีเลียมหรือเรื่องการกลบฝังไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ยินดีที่จะใช้วิธีอะไรก็ได้ที่ทำให้ไดโนเสาร์และโลกมีอายุ เก่าแก่ เพราะหากโลกและไดโนเสาร์มีอายุน้อย มันหมายถึงความล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผมไม่เชื่อว่าโลกเก่าแก่ เพียงแต่วิธีวัดอายุโลกยังมีช่องโหว่บางเรื่อง และแม้โลกเก่าแก่จริงก็มิได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะถูกต้อง

    ที่ น่าสนใจคือ ดังที่กล่าวไปแล้ว สิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ปรากฏขึ้นบนโลกคือ Isosphaera เกิดเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีที่แล้ว พร้อมๆ กับการกำเนิดทะเลเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีก่อน ดูเหมือนว่าทันทีที่สิ่งแวดล้อมของโลกจะเกื้อกูลชีวิตได้ก็เกิดชีวิตขึ้น ทันทีโดยไม่รอความบังเอิญเลย

    นักชีววิทยาบอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเสาหลักของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ คุณหมอเห็นด้วยไหม

    ผม ยอมรับว่าศาสนจักรในอดีตใจแคบมาก เช่นการเอาผิดกับกาลิเลโอ ทั้งนี้ทั้งนั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อศาสนจักร การที่กาลิเลโอบอกว่าโลกกลม แล้วไบเบิลกล่าวว่าโลกแบนหรือ คำตอบคือไม่ใช่ครับ แท้จริงไบเบิลบันทึกว่าโลกกลม โดยกล่าวว่า "พระเจ้าประทับอยู่บนขอบโค้งของโลก" (He sits enthroned above the circle of the earth) เขียนไว้ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ ๔๐ ข้อ ๒๒ บันทึกไว้ประมาณ ๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ความเก่าแก่ของไบเบิลทำให้หลายคนเข้าใจว่าไบเบิลล้าหลัง เมื่อผมศึกษาจริงๆ กลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม

    หากอ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าแนวคิดโลกแบน มาจากพวกอริสโตเติลซึ่งอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง ศาสนจักรรับความคิดนี้เข้ามา ไบเบิลไม่เคยกล่าวว่าโลกแบน ตรงกันข้าม ไบเบิลบันทึกมานานมากแล้วว่าโลกกลม นอกจากนี้เราทราบว่าโลกเราลอยอยู่กลางอวกาศเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา แต่ในไบเบิลเขียนไว้ชัดเจนนะครับว่า "พระเจ้าทรงแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า" (He suspended the earth over nothing. Job ๒๖:๗) จากพระธรรมโยบซึ่งมีอายุกว่า ๓,๐๐๐ ปี เพียงแต่คนโบราณไม่สามารถเข้าใจได้


    <!--MsgFile=5-->
    <TABLE cellSpacing=1 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=75>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=5-->Monkey Man </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom noWrap width=75>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=5-->15 ก.ค. 52 22:41:46 <!--MsgIP=5-->A:118.172.30.172 X: TicketID:219728 </TD></TR><TR><TD id=xscore5 vAlign=top noWrap width=75></TD><TD id=score5></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- End Message Box-->
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    คุณคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน ในปัจจุบัน มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน (ต่อ)


    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width="80%">ความคิดเห็นที่ 6</TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="50%"><!--InformVote=6--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[6], 6);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--MsgIDBody=6-->ผมคิดว่าไบเบิลมีหลักฐานรองรับ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ขณะที่ทฤษฎีวิวัฒนาการต้องใช้ความเชื่อมากๆ วิวัฒนาการที่เราเดาว่าอันนี้เปลี่ยนมาจากอีกตัวหนึ่ง ทั้งที่เราไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย ฟอสซิลต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าไดโนเสาร์ส่วนหนึ่งอยู่ๆ เกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่งมันก็หายไป ไม่มีลูกหลานของมัน ไม่มีตัวใกล้เคียง ไทรเซอราทอปส์ มีสามเขา เราพบมันอย่างนั้น สเตโกซอรัส เราก็เจอมันอย่างนั้น เราพบมันเป็นฟอสซิลโดดๆ มันเกิดมาแล้วหายไป แต่ไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย

    ธรรมชาติ ทุกชนิดจะมุ่งไปสู่จุดสุดยอดของมันเสมอ เหตุใดจึงเชื่อว่าเกิดจากความบังเอิญ เช่นวันหนึ่งเราเจอรูปวาดรูปหนึ่งตกอยู่ เราจะเชื่อว่าสีมันหกตกลงไปโดนเอง หรือเชื่อว่ามีผู้วาดมันขึ้น เช่นกัน โลกของเรา จักรวาลทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ทั้งหมดนี้เป็นผลของความบังเอิญจริงๆ หรือ เป็นเพียงผลพวงจากการระเบิดหรือบิ๊กแบงครั้งหนึ่งจริงๆ หรือ ผมคิดว่าต้องใช้ความเชื่อเยอะมากจริงๆ ครับ

    ผมพบว่าโลกของเราถูกออก แบบมายอดเยี่ยมเพื่อเกื้อกูลชีวิต ตัวอย่างเช่น ขนาดของโลกใหญ่กว่านี้ได้ไหม ผมว่าไม่ได้นะครับ หากโลกใหญ่กว่านี้มากๆ แรงโน้มถ่วงมหาศาลจะทำให้ภูเขารับน้ำหนักตัวเองไม่ได้ มันจะแบนราบ โลกจะเป็น "water world" หรือไม่ก็ไม่มีมหาสมุทรขนาดใหญ่เลย ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่านี้ได้ไหม คิดว่าไม่ได้นะครับ ถ้าใหญ่กว่านี้ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะไม่เสถียร ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในดาวบริวาร ดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้ได้ไหม ความร้อนก็จะไม่พอ โลกต้องแลกด้วยการเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น เมื่อเข้าใกล้การหมุนรอบตัวเองก็จะช้าลง เมื่อหมุนช้าลงอุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง ดาวฤกษ์ที่จะ support life ได้ ต้องเป็นดาวแคระเหลือง (yellow dwarf) ประเภท G2 อย่างเช่นดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่งมวล อายุของดาว สเปกตรัมของแสงเหมาะแก่ชีวิตบนดาวบริวาร

    การเคลื่อนไหวของเหล็กใต้โลก เปรียบเสมือนไดนาโมขนาดยักษ์ เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กโลกเกิดเป็น "Van Allen ring" ปกป้องโลกจากลมสุริยะ ไม่เช่นนั้นบรรยากาศจะถูกทำลายจนหมด นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโลก แกนของดาวอังคารมีกำมะถันปนมากเกินไป ทำให้เหล็กไม่บริสุทธิ์พอที่จะสร้างสนามแม่เหล็กที่ "well organized" ขึ้นมาได้ โลกยังมี plate tectonic เพื่อสร้างภูเขาและมหาสมุทร มี earth's albedo เพื่อควบคุมอุณหภูมิ มีดวงจันทร์ที่มีขนาดพอดี เพื่อเกื้อกูลชีวิต นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่า โลกถูกสร้างมาเพื่อสิ่งมีชีวิตจริงๆ

    ในปี ๑๙๙๔ ดาวหาง Shoemaker-levy 9 พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีและก่อให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หากไม่มีดาวพฤหัสก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะพุ่งชนโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงระเบิดเท่ากับ TNT ๖ หมื่นถึง ๑.๒ แสนล้านตัน นับเป็นโชคดี ? ที่ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ได้แก่ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์อยู่ในวงโคจรรอบนอก แรงดึงดูดมหาศาลของมันได้คอยปกป้องโลกของเราไว้ หากปราศจากดาวเคราะห์ทั้งสอง โอกาสที่โลกจะถูกชนจะเกิดขึ้นทุกหมื่นปี ซึ่งชีวิตจะก่อกำเนิดไม่ได้

    ผมมองว่าทั้งชีวิตบนโลก รวมถึงโลกและระบบสุริยะที่เกื้อกูลชีวิตนี้ ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่จะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลของ "ความบังเอิญ" ครับ

    คุณหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์ อ่านข้อมูลใหม่ๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนไบเบิลไหมครับ

    เยอะ มากครับ เช่น ไบเบิลสั่งว่าพี่น้องห้ามแต่งงานกัน ปัจจุบันพบว่าจริงครับ เพราะโอกาสได้ยีนด้อยสูง ไบเบิลสั่งว่าคนต้องล้างมือหากไปแตะต้องศพ เมื่ออ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าน่าตกใจ คือเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อแพทย์ทำคลอด มารดาจะตายมากกว่าพยาบาลทำคลอดหลายเท่าตัว อัตราการสูญเสียมารดาที่ทำคลอดโดยแพทย์ในสมัยนั้นอาจสูงถึง ๑ ใน ๖ ทั้งนี้เป็นเพราะนักเรียนแพทย์ต้องผ่าศพแล้วมาทำคลอดโดยไม่ได้ล้างมือ คนสมัยโบราณไม่ทราบว่าการแตะต้องศพจะนำเชื้อโรคมาได้ ราวปี ๑๘๒๐ คุณหมอท่านหนึ่งแนะนำให้แพทย์ใช้คลอรีนล้างมือก่อนทำคลอด ปรากฏว่าคุณหมอท่านนั้นถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากแพทย์ท่านอื่น ทั้งที่มันได้ผลจริง เพราะการแพทย์สมัยนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจุลชีพและการป้องกันการ ติดเชื้อ กว่ามนุษย์จะมีความรู้เรื่องแบคทีเรียต้องรอผลงานของท่านปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ประมาณปี ๑๘๘๐ ประเด็นที่น่าสนใจคือ มนุษย์เพิ่งทราบเรื่องนี้ไม่นาน แต่ไบเบิลสอนมานานแล้วว่าเมื่อแตะต้องศพต้องล้างมือ ไบเบิลสอนอะไรที่เป็นศาสตร์ใหม่มาก แต่เราไม่ทราบเหตุผล เช่นไบเบิลบอกว่าคนยิวต้องขริบ โดยกำหนดให้ทำในวันที่ ๘ หลังคลอด เราพบไม่นานมานี้ว่าวิตามินเคซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดจะสูง ขึ้นสู่ระดับที่ปลอดภัยเมื่อเด็กอายุได้ ๘ วัน ดังนั้นหากขริบทันทีวันแรกหลังคลอด อาจมีเลือดออกรุนแรงได้

    เรื่อง ของการล้างมือ เรื่องของโลกกลม โลกลอยอยู่กลางอวกาศ มีบันทึกไว้นานแล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ นอกจากนี้ไบเบิลยังกล่าวว่า มนุษย์ทั้งโลกสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่เดียว คืออดัมและเอวา ซึ่งผมเองก็ตั้งคำถามในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สเปนเซอร์ เวลส์ (Spencer Wells) ได้เดินทางไปทั่วโลกและเก็บตัวอย่างเลือดจากหลายชนเผ่า อาทิ อะบอริจินในออสเตรเลีย, ชุกชีในทุนดรา ไซบีเรีย, ชาวหุบเขาในอัฟกานิสถาน, นอมาดในทะเลทรายแอฟริกา และที่อื่นๆ ทั่วโลก และโดยการศึกษาดูความสัมพันธ์ของ Y chromosome สามารถยืนยันว่าผู้ชายในโลกนี้มีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว รวมถึงการศึกษา mitochondrial X chromosome ก็ยืนยันว่าผู้หญิงทั้งโลกมีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน การศึกษาของ เฮย์, เจ. และเมย์นาร์ด สมิท (Haigh, J. and Maynard Smith) ค้นพบสิ่งเดียวกัน มนุษย์ทั้งโลกมาจากพ่อแม่คู่เดียว

    ไม่เพียงเรื่อง ทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงฟิสิกส์ยุคใหม่ เรื่องของทฤษฎีสัมพัทธภาพ พระเจ้าตรัสว่า พันปีในสายตามนุษย์เท่ากับ ๑ วันของเราเท่านั้นเอง เขียนไว้ในพระธรรมสดุดี "เวลา" ของพระเจ้ากับของเรานั้นต่างกัน ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ เวลาของแต่ละคนไหลไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไร และเราอยู่ในสนามแรงโน้มถ่วงอะไร อีกกรณีหนึ่งซึ่งผมประหลาดใจมาก คือเรื่องที่ไบเบิลเขียนว่า "พระเจ้าดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา" (...before the beginning of time) ตอนเด็กๆ ผมคิดว่า "เวลา" มีมาแต่ไหนแต่ไร และจะมีไปเรื่อยๆ แต่ความจริงไม่ใช่ "เวลา" มีจุดกำเนิดโดยก่อกำเนิดพร้อมกับบิ๊กแบง ก่อนหน้าการกำเนิดเวลาไม่มีเวลา และพระเจ้าเป็นผู้เดียวที่กล่าวว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนหน้าการกำเนิดเวลา

    แต่ละวันที่วงการโบราณคดี เจริญก้าวหน้าขึ้น ทำให้ไบเบิลได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้าปี ๑๘๕๐ ผู้คนรู้จักอัสซีเรียจากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี ๒ ท่าน คือ ออสติน เฮนรี ลายาร์ด (Austen Henry Layard) และ ฮอร์มุซด์ รัสสัม (Hormuzd Rassam) ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของชาวอัสซีเรียกลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และเมือง Ur อันเก่าแก่ถูกค้นพบในปี ๑๙๑๒ หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า ๖,๕๐๐ ปี ในช่วงเวลานี้มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur การขุดค้นเมืองเจริโคเมื่อไม่นานมานี้ (ค.ศ. ๑๙๓๐) พบว่ากำแพงเมืองที่แข็งแรงและหนามากของเมืองได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ยังพบธัญพืชจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่าเมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า เจริโคถูกล้อมอยู่เพียง ๗ วัน และชาวอิสราเอลที่เอาชนะชาวเมืองนี้ได้ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหารและเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อการเพาะปลูกในปีต่อๆ ไป)

    มี การใช้เรือดำน้ำลงไปในทะเลแดง และพบซากรถม้าศึกของอียิปต์จมอยู่เต็มไปหมด ตรงตำแหน่งที่โมเสสข้ามทะเลแดงเมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ไบเบิลอีกตอนหนึ่งกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเจ้าทรงเผาเมืองบาปทั้งสองนี้ด้วยไฟกำมะถัน เมื่อเร็วๆ นี้นักโบราณคดีไปขุดพบเมืองโบราณแถบทะเลสาบเดดซีใกล้กับภูเขามาซาดาและภูเขา โสโดม ทั้งเมืองเป็นขี้เถ้าหมด เครื่องประดับโลหะระเหิดเป็นไอติดอยู่ตามผนัง และยังพบก้อนกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ Sulphur ball นี้ถือเป็น "unique" เพราะไม่พบที่อื่นอีกเลยในโลก กำมะถันที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ต้องใช้ไฟถลุงที่ ๕,๐๐๐ องศา แม้แต่เตาถลุงที่ดีที่สุดก็ไม่อาจทนความร้อนขนาดนี้ได้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าอะไรตกใส่โสโดมและโกโมราห์ แต่ต้องเป็นไฟที่รุนแรงมาก ผมพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่ม หนึ่ง

    อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณหมอมานับถือศาสนาคริสต์

    ผม เฝ้าถามตนเองว่า ชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ความที่ตนเองโชคดีพอมีฐานะบ้างและได้รับการยอมรับ ผมกลับพบว่าอะไรบางอย่างหายไปในชีวิตของผม ผมมีบ้าน มีอาชีพ มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนๆ ที่น่ารัก และการยอมรับทางสังคม แต่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าอะไรหายไป นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นหมอโรคหัวใจ ผมได้เห็นวาระสุดท้ายของชีวิตบ่อยๆ ผมพบว่าบุคคลที่ยิ่งประสบความสำเร็จในโลกมากยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย ผมถามตนเองว่า วันหนึ่งผมต้องมาติดอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ แล้วผมจะถืออะไรในมือที่มั่นใจได้ว่าจะเผชิญวาระสุดท้ายอย่างสงบ และผ่านไปอีกโลกด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อเสมอมาว่า ชีวิตคนเราไม่ได้จบลงที่ความตาย

    ผมไปโบสถ์ครั้งแรกเพราะได้พบเพื่อน คนหนึ่งที่นับถือคริสต์ ความรู้สึกแรกคือคิดว่า ทำไมเขาจึงงมงายถึงเพียงนี้ทั้งที่มีความรู้สูง แต่บางสิ่งในใจบอกผมว่า ก่อนที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่จริงก็ควรศึกษาก่อน ผมยังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ดี คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าจะไปโบสถ์ท่านก็ไม่ได้ทัดทานและยังกำชับให้แต่งตัวอย่าง ดี เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอังกฤษและคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวดี ที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นนอกจากผมแล้วยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมากมาย อย่างไรก็ตามผู้ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้ง สองอย่างเท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน ซึ่งผมประทับใจมาก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง

    ตอนไปโบสถ์แรกๆ ตอบตามตรงว่าไปจับผิดเขา เพราะรู้สึกว่าพวกคริสต์เป็นคนน่ารักแต่เข้าใจผิดหลายเรื่อง เลยไปขอไบเบิลมาอ่านเพื่อจะจับผิด แต่พอยิ่งอ่านยิ่งพบว่าไบเบิลมีความแม่นยำในหลายด้านสูงมากจนผมมิอาจปฏิเสธ ได้ ดังเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ผมพบว่าลักษณะการเขียนไบเบิลก็น่ามหัศจรรย์มากเช่นกัน เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน มีอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อ อีวาน ปานิน (Ivan Panin) เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และได้ศึกษารวมถึงทดสอบไบเบิลเพื่อจับผิด ปานินพบว่า บางตอนของไบเบิลมีบางอย่างแปลกๆ เขาจึงถอดรหัสออกมาเป็นคณิตศาสตร์ พระคัมภีร์เก่าถูกบันทึกเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งภาษาฮีบรูนั้นตัวอักษรใช้แทนตัวเลขด้วย เรียกว่า numeric value (เช่นเดียวกับภาษาโรมัน I = ๑, V = ๕, X = ๑๐ เป็นต้น) และเขาพบความมหัศจรรย์ทางคณิตศาสตร์ของไบเบิล เช่น

    เฉพาะประโยคแรก ของไบเบิลในภาษาฮีบรูประกอบด้วยคำ ๗ คำ, อักขระ ๒๘ ตัว (๔ x ๗), คำนาม ๓ คำ มีอักขระ ๑๔ ตัว, ค่า numeric value ของคำนามทั้งสาม คือ ๗๗๗ (๑๑๑ x ๗), ค่า numeric value ของอักษรตัวแรกและตัวท้ายของทั้ง ๗ คำเท่ากับ ๑,๓๙๓ (๑๙๙ x ๗) และการคำนวณแบบอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเลข ๗ ทั้งหมด ๒๑ แบบ เฉพาะประโยคแรกของไบเบิล (เลข ๗ เป็นเลขของพระเจ้า) <!--MsgFile=6-->
    <TABLE cellSpacing=1 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=75>จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=6-->Monkey Man </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom noWrap width=75>เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=6-->15 ก.ค. 52 22:43:05 <!--MsgIP=6-->A:118.172.30.172 X: TicketID:219728 </TD></TR><TR><TD id=xscore6 vAlign=top noWrap width=75></TD><TD id=score6></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- End Message Box-->



     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    คุณคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน ในปัจจุบัน มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน (ต่อ)


    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width="80%">ความคิดเห็นที่ 7</TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="50%"><!--InformVote=7--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[7], 7);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--MsgIDBody=7-->ไม่เพียงเท่านี้ ปานินทดสอบไบเบิลทั้งเล่มก็พบความสอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์อย่างน่าอัศจรรย์ เช่นหากกล่าวถึงพระเจ้าจะเป็นเลข ๗ หากพูดถึงความชั่วร้ายเป็นเลข ๑๓ และเมื่อพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบและความรอดจะเป็นเลข ๘ เป็นต้น

    จำนวน คำทั้งหมดในไบเบิล ชื่อของผู้ที่บันทึกไบเบิล บุคคลที่ถูกกล่าวถึงก็สอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์ จากคนที่ต่อต้านพระเจ้า ปานินกลับกลายเป็นผู้ศรัทธา และผลงานตีพิมพ์ของท่านถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากนักคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดและชิคาโก ปานินกล่าวว่า ยินดีให้ถอดข้อเขียนของท่านออกถ้า พิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนเหล่านั้นผิด ซึ่งแม้จะมีผู้โจมตีปานินอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนของท่านผิด

    ปานินได้ทดลองให้ "หัวกะทิ" เหล่านี้สร้างประโยคที่มีคุณสมบัติเหมือนในไบเบิลตอนปฐมกาลบทที่ ๑ ข้อ ๑ ซึ่งแม้พยายามเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดสร้างประโยคที่มีคุณสมบัติแบบประโยคแรกของ ไบเบิลได้ แม้จะใช้ภาษาอังกฤษซึ่งมีความหลากหลายมากกว่าภาษาฮีบรูก็ตาม

    นอก จากเรื่องคณิตศาสตร์ ไบเบิลยังถูกใส่รหัสไว้ด้วย วันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๙๔ เชม กูรี (Chaim Guri) ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรียิตซัก ราบิน เตือนท่านเกี่ยวกับการปองร้าย ข้อมูลนี้ได้มาจากการถอดรหัสไบเบิลซึ่งถูกค้นพบโดย เอลียาฮู ริปส์ (Eliyahu Rips) นักคณิตศาสตร์และควอนตัมฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเยล ในขณะนั้นราบินมิได้สนใจคำเตือนของ เอลียาฮู ริปส์ แต่แล้วคำเตือนล่วงหน้ากว่า ๓,๐๐๐ ปีก็เป็นจริง ราบินถูกสังหารโดยชาวอิสราเอลซึ่งไม่ปรารถนาจะปรองดองกับชาวอาหรับ ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๕ ณ กรุงเทลอาวีฟ

    รหัสไบเบิลถูกค้นพบ โดยบังเอิญตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๔ ในพระธรรมโตราห์ (Torah) ซึ่งพบว่า เมื่ออ่านเว้นทุกๆ ๗ ตัวอักษรจะได้ข้อความบางอย่าง เมื่อถึงยุคของคอมพิวเตอร์ทำให้ถอดรหัสได้มากมาย โดยอ่านเว้นตั้งแต่ ๒-๒,๐๐๐ ตัวอักษร อ่านไปข้างหน้าก็ได้ ย้อนหลังก็ได้ หรืออ่านเว้นแบบอนุกรมก็ได้ จะพบข้อความต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรื่องไวรัสเอดส์ รวมไปถึงเหตุการณ์ ๙/๑๑ และแม้แต่สึนามิในเอเชีย อย่างไรก็ตามมีผู้แย้งว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้

    เรื่อง น่าตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่งคือการพยากรณ์ว่าอิสราเอลจะตั้งประเทศใหม่ได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะอิสราเอลสูญชาติไปตั้งแต่ ค.ศ. ๗๐-๗๓ เมื่อกองทัพโรมันตีเยรูซาเลมแตก แล้วชาวอิสราเอลก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามพวกเขายึดมั่นในพันธสัญญาที่ว่า พระเจ้าจะพาชาวยิวกลับมายังดินแดนคานาอันอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกซ่อนในพระธรรม Ezekial ว่า พระเจ้าจะลงโทษอิสราเอลเป็นเวลา ๙๐๗,๒๐๐ วัน นับจากเดือนนิสาน (Nisan) เมื่อ ๕๓๖ ปีก่อนคริสตกาล (ปีที่พระเจ้าไซรัสปล่อยยิวกลับบ้านหลังจากตกไปเป็นเชลยที่บาบิโลน) มาจนถึงวันที่อิสราเอลตั้งประเทศได้เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๘ ไม่ผิดแม้แต่เดือนเดียว ความแม่นยำของไบเบิลในด้านต่างๆ ทำให้ผมยอมจำนนและเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา

    ผม พบว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมื่อผมต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจ นั่นคือการเริ่มความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ละวันพระองค์จะค่อยๆ สอนผม พระเจ้าพูดกับผมผ่านทางไบเบิล และบางครั้งผ่านทางความคิด และผมพูดกับพระองค์ผ่านทางคำอธิษฐาน

    ผมมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ศาสนศาสตร์ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คนที่เก่งกาจ ผมเป็นเพียงหมอโรคหัวใจธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นที่มีความรู้ความสามารถจำกัดมาก และเป็นเพียงคนบาปที่มิได้มีคุณความดีอะไร แต่พระเจ้าทรงเมตตาให้ผมได้รู้จักพระองค์ และด้วยความสัมพันธ์นี้ ผมพบสิ่งที่เฝ้าหามานาน นั่นคือสันติสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน พบการเติมเต็มให้แก่จิตวิญญาณ นับจาก ๑๐ ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ผมพบว่าการตัดสินใจเชื่อในองค์พระเจ้าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของ ผม

    คริสต์ศาสนาสอนให้คนเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ต้องตั้งคำถามหรือไม่

    พระเจ้าไม่ได้บอกว่าห้ามตั้งคำถามนะครับ เราถามได้แต่ก็ต้องมีศรัทธาในพระองค์ หากไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็ไม่มีทางจะรู้จักพระองค์ได้ ดังได้กล่าวแล้ว ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เราจะมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เราไม่คิดว่ามีอยู่จริงๆ ได้อย่างไร

    สมัยก่อนผมก็เคยคิดว่า การที่ต้องศรัทธาก่อนไม่ดี เป็นเรื่องงมงาย แต่ที่จริงชีวิตเราทั้งชีวิตอยู่บนความเชื่อ เช่นเวลาเราขึ้นรถแท็กซี่ เราต้องเชื่อก่อนว่าเขาจะพาเราไปถึงที่หมาย เราจึงยอมขึ้นรถ เราขึ้นเครื่องบินโดยไม่มีใครขอดูใบขับขี่กัปตัน เราทานยาที่คุณหมอสั่งโดยไม่เคยไปตรวจองค์ประกอบทางเคมีของยานั้น และหลายครั้งที่เราทานยาโดยเราไม่ได้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของยาด้วยซ้ำ เราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์โดยไม่เคยไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุจริงๆ ผมพบว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเริ่มต้นจากความเชื่อก่อน เพียงแต่ผมไม่เคยนั่งลงวิเคราะห์อย่างจริงจัง สมัยก่อนที่จะรู้จักพระเจ้าผมรู้สึกว่าศาสนาคริสต์งมงาย ให้เชื่อก่อนได้อย่างไร แต่ความจริงเราอาศัยความเชื่อในการดำรงชีวิตทุกๆ วัน

    พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ เมื่อศึกษาไบเบิลจะพบว่าหลายครั้งที่มนุษย์ทูลถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบ แม้เมื่อไม่นานมานี้มีเด็กกำพร้ายากจนผู้หนึ่งชื่อ จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ (George Washington Carver) เขาชอบตั้งคำถามกับพระเจ้า และเรียกพระองค์ว่า "Mr. Creator" พระเจ้าทรงตอบเขา ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะทางการเกษตรและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของอเมริกา พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ครับ ตรงข้าม พระเจ้าอยากให้เราพูดคุยและมีความสัมพันธ์กับพระองค์

    นักวิทยาศาสตร์กับพระเจ้าไปด้วยกันได้ไหม

    ยิ่ง วิทยาศาสตร์ก้าวหน้ายิ่งทำให้สิ่งที่ปรากฏในไบเบิลได้รับการพิสูจน์มากขึ้น ยกเว้นทฤษฎีวิวัฒนาการเท่านั้น สื่อต่างๆ ใช้คำว่า "วิวัฒนาการ" บ่อยจนคนจำนวนมาก (รวมทั้งผมเองในอดีต) เข้าใจว่าวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ถูกต้องแน่นอน แต่ความจริงแล้วทุกวันนี้วิวัฒนาการก็ยังคงเป็นทฤษฎี ไม่ใช่กฎ

    ทฤษฎี ของดาร์วินยังตอบอะไรไม่ได้หลายอย่าง ไม่เคยอธิบายว่าชีวิตเกิดมาได้อย่างไร เรื่องการคัดเลือกของธรรมชาติ บอกว่ามีกระต่ายวิ่งเร็วกับกระต่ายวิ่งช้า ต่อมากระต่ายวิ่งช้าสูญพันธุ์หมดเพราะโดนหมาป่าจับกิน แต่ไม่เคยบอกว่าหมาป่าวิ่งเร็วมาจากไหน ทำไมความบังเอิญจึงสรรค์สร้างสิ่งที่ดียอดเยี่ยมได้ ทำไมฟอสซิลทั้งหลายจึงเป็นฟอสซิลโดดๆ ทำไมไม่เคยเจอ "missing link" เป็นต้น ทฤษฎีของดาร์วินมีช่องโหว่มากมาย แต่ผมคิดว่าคนอยากจะยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมนุษย์ยากที่จะยอมรับได้ว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งของต่างๆ มากมาย เราภาคภูมิใจเวลาเราสร้างรถยนต์ คอมพิวเตอร์ หรือหุ่นยนต์ รู้สึกถึงความอัจฉริยะของมนุษย์ แต่เราสร้างต้นไม้สักต้นไม่ได้ มดตัวเล็กๆ สักตัวก็ไม่ได้ เรากลับบอกว่าต้นไม้กับมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เราอคติหรือเปล่า

    ผม อดคิดไม่ได้ว่า อีโก้ของมนุษย์ (รวมทั้งผมเอง) สูงมาก จึงยากที่จะเชื่อว่าเราเป็นเพียงผู้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ถ้าเรายอมลด "ตัวตน" ของเราลงมา ถ่อมใจและยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา ถามพระองค์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร บางทีโลกของเราอาจไม่วุ่นวายเดือดร้อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

    และมนุษย์ทั้งหลายอาจพบความสุขแท้จริงที่ทุกคนไขว่คว้าก็เป็นได้


     
  4. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    อ้าวลงซะยาวเลย ก็สนุกดี เหมือนหนังเรื่อง knowing เลย มีการถอดรหัสวันเกิดวินาสภัยด้วย ถ้าถอดรหัสจากไบเบิ้ลได้ก็จะรู้ว่าวันไหนที่ไหนจะเกิดเหตุการณ์อะไร ว่าแล้วก็น่าหามาอ่านไบเบิ้ลเนี่ย
    แต่มีตอนนึง "ตอนหนึ่งกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเจ้าทรงเผาเมืองบาปทั้งสองนี้ด้วยไฟกำมะถัน เมื่อเร็วๆ นี้นักโบราณคดีไปขุดพบเมืองโบราณแถบทะเลสาบเดดซีใกล้กับภูเขามาซาดาและภูเขา โสโดม ทั้งเมืองเป็นขี้เถ้าหมด เครื่องประดับโลหะระเหิดเป็นไอติดอยู่ตามผนัง และยังพบก้อนกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ Sulphur ball นี้ถือเป็น "unique" เพราะไม่พบที่อื่นอีกเลยในโลก กำมะถันที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ต้องใช้ไฟถลุงที่ ๕,๐๐๐ องศา แม้แต่เตาถลุงที่ดีที่สุดก็ไม่อาจทนความร้อนขนาดนี้ได้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าอะไรตกใส่โสโดมและโกโมราห์ แต่ต้องเป็นไฟที่รุนแรงมาก ผมพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่ม หนึ่ง"
    อันนี้น่ะ มาจากมนุษย์ต่างดาว ชัวร์
    อ่านไปอ่านมาก็ชักจะเชื่อแล้วว่าพระเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่อันที่คุณ Chayutt เอามาลงที่มาจากพระรามอะไรสักอย่าง ที่ตั้งแต่แรกเริ่มที่ความว่างวิปัสสนาตัวเองน่ะ อันนั้นเข้าท่าดี แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องการสร้างจักรวาลกับโลกเท่าไหร่
    แต่ว่าไปแล้วพระเจ้านี่ก็ลำเอียงเนอะ สร้างน้ำกับต้นไม้กับแต่กับโลก แล้วดาวอังคาร กับดาวศุกร์ล่ะ เห็นที่มาติดต่อนี่ก็มีมาจากดาวสองดวงนี้ แล้วเราก็เคยไปสำรวจแต่ไมไม่เห็นมีน้ำมีต้นไม้เลยอ่ะ หรือพระเจ้าเอาคืนไปหมดแล้ว
    ก็อาจจะใช่ เหมือนสัตว์ในโลกที่สูญพันธุ์ พระเจ้าคงสั่งมนุษย์(ที่พระเจ้าสร้างขึ้น)จัดการเก็บสัตว์เหล่านั้นไว้ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของพระเจ้าแล้วมั๊ง
    เอ แล้วหมากระเป๋า กับฝรั่งไร้เมล็ด แล้วก็เชื้อไข้หวัด 2009 นี่ พระเจ้าท่านเพิ่งลงมาสร้างทีหลังหรือป่าวหว่าววววว?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2009
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เนื้อหาข้างบนนั่นยาวมากเลยแต่ก็อ่านหมดแล้ว
    เห็นด้วยกับความเห็นของคุณหมอท่านนี้ครับ

    มันไม่ง่ายจริงๆครับที่จักรวาลโลกหรือมนุษย์จะเกิดจากความบังเอิญ...
    เพราะเชื่อว่าความสมบูรณ์อันสุดยอดเช่นนี้ต้องผ่านการกลั่นกรองและออกแบบมาเป็นอย่างดี
    อาจมีการทดลองซึ่งก็มีทั้งผิด-ถูกด้วยนะครับ..มีหลายเผ่าพันธ์ หลายรูปแบบจริงๆ..
    ทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นลิงตัวไหนที่อยู่ๆเดินออกจากป่าและพูดว่า ผมเป็นคนแล้ว"นะครับ
    หรือหากมีชิ้นส่วนโลหะจำนวนหนึ่งที่วางกองไว้..และอยู่ๆถูกพายุพัดเข้าหากันแล้วก็กลายเป็นเครื่องบินได้สักลำ (อาจเป็นไปได้แต่ไม่มีทางสมประกอบแน่ๆ)
    เชื่อว่าทุกเรื่องมีเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังและเป็นไปด้วยความรักและความตั้งใจมากกว่าครับ

    ส่วนความเชื่อของศาสนาคริสต์นี้ก็เคยรู้สึกงงๆเหมือนคุณหมอครับว่า..
    ทำไมเราต้องเชื่อก่อนด้วย..ดูเหมือนจะงมงายไปรึเปล่า?
    เมื่อเข้าไปศึกษาและทำความเข้าใจสักพักเลยทำให้พบคำตอบนี้ครับ

    คือเมื่อใดที่เรายินยอมและเปิดใจเชี่อมโยงกับ "พลังงานต้นกำเนิด" หรือพลังแห่งความรักอันปราศจากเงื่อนไขนี้ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันทรงพลังของจิตวิญญาณมนุษย์ ความสับสนต่างๆที่เราเคยมีอยู่ก็จะถูกชี้นำใหม่ เหมือนการเปิดทางให้จิตของเราทำงานกับ ระบบชี้นำหลัก พลังของจิตวิญญาณอันแท้จริงจะหลั่งไหลออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้มีความเข้าใจในธรรมชาติอันแท้จริงยิ่งขึ้น เพราะหากเราเอาความคิดของตัวเราเป็นศูนย์กลางทั้งหมด (อารมณ์ ตรรกะ-เหตุผลจากสมอง..) มันจะสับสนและหลากหลายทิศทางไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก เหมือนมีอาการเคว้งคว้างครับ

    วีธีนี้คงเหมือนการหลอมรวมจิตวิญญาณเรากับพลังงานต้นกำเนิดให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเองครับ จิตวิญญาณที่เป็นประจุสนามแม่เหล็กรูปแบบหนึ่งก็จะถูกปรับแนวทางใหม่ ให้มีความคมชัดและมีทิศทางชัดเจนยี่งขึ้นเป็นการเข้าถึงความรู้สึกที่ดีและเป็นบวกของเราด้วยครับ

    และความเชื่อที่เรามีอยู่ก็จะถูกเปลื่ยนเป็นความรู้ได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆทางความคิดอีกด้วย ความขัดแย้งระหว่างกันก็ไม่เกิดเพราะเราจะมองทุกอย่างอย่างเข้าใจ เมื่อชุดความเชื่อทั้งหลายได้เปลื่ยนเป็นความรู้...

    ขอบคุณคุณชยุตด้วย คงได้พบกันเดือนหน้านะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2009
  6. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เคยอ่านที่เจ้กิ้งก่า LACERTA ประมาณว่า วิวัฒนาการณ์เนี่ย ใช้เวลานานมากๆ เป็นล้านๆปี พวกเราอาจไม่เห็นการเปลียนแปลงเลย เพราะมันช้ามากๆๆๆๆๆ

    แต่อยู่ๆ ไพรเมทบาง สปีชี มีการพัฒนาการณ์รวดเร็ว จนออกมาเดินสองขาเป็นคนเนี่ย ไม่น่าเชื่อ (ความเห็นส่วนตัว) จากที่ข้อมูลหลายแหล่งบอกไว้ จักรวาลคือแบบแผนอันเป็นเลิศ / เป็นกิจกรรมทางจิตวิญญาณ / เป็นมายา ฯลฯ

    ทุกเหตุการณ์ ย่อมมี ปัจจัย ( พวกเรากำลังอยู่ในหลอดทดลองขนาดยักษ์ คิดสนุกๆครับ อิอิ)



    ปล. อยากให้คุณชยุต นำบทความที่แปลเรื่องโรงเรียนโบราณลึกลับ ของคุณอเวเตอร์บอย มาโพสอีก แปลงเป็นPDF ก็น่าจะดีครับ
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post1437578 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">19-08-2008, 09:25 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2029 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1437578", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,296
    Groans: 38
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 13,465
    ได้รับอนุโมทนา 28,237 ครั้ง ใน 2,368 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2177 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1437578 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->เอาฝันบางส่วนของเมื่อคืนนี้มาเล่าให้ฟังครับ

    ฝันว่าอยู่ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง สวยทีเดียว กับคนอื่นๆอีกหลายคน

    บ้านทำด้วยไม้และวัสดุธรรมชาติหมด หลังคามุงด้วยหญ้าคาใหม่และสวยทีเดียว

    แต่หลังคามีจุดหนึ่งที่รั่วเป็นรูโหว่ใหญ่มาก ใหญ่ขนาดช้างลอดได้เลยแหละ

    คนในบ้าน ต่างพากันจุดอะไรซักอย่างที่เหมือนกับบั้งไฟ แล้วโยนออกไปทางช่องโหว่นั้น

    แต่บั้งไฟของพวกเขา ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นไปไม่พ้นช่องโหว่นั้นสักเท่าไหร่ สักพักก็ตกลงมาบนหลังคาเหมือนเดิม แถมมีไฟลุกไหม้ที่บั้งไฟทุกๆอันที่ตกลงมาด้วย

    บนหลังคาเอง ก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง ทั้งหญิงชาย กำลังวุ่นอยู่กับการคอยตะครุบบั้งไฟที่ถูกจุดขึ้นมาจากข้างล่าง ไม่ให้ไหม้หลังคาหรือตัวบ้านได้ โดยแต่ละคนก็มีเทคนิกต่างๆกัน

    ผมเห็นบางคนเป็นพระ แต่ความรู้สึกว่าก็คือเพื่อนๆของผมทั้งนั้น

    บางคนก็ใช้วิธีกระโดดตะครุบแล้วกอดมันไว้ แล้วนอนกลิ้งทับให้ไฟที่ติดมากับมันดับไป จนเห็นรอยถลอกปอกเปิกไปตามๆกัน

    บางคนก็ใส่รองเท้าหนังหนาๆไว้กับเท้าข้างหนึ่ง พอบั้งไฟพุ่งขึ้นมา ก็เหยียบๆให้ไฟดับๆไป อะไรแบบนั้น

    ผมเองก็ขึ้นไปยืนดูกับเขาด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยพวกเขายังไง ดูพวกเขาตั้งใจปกป้องบ้านหลังนั้นมาก แต่ข้างล่างก็จุดขึ้นมาเรื่อยๆไม่ยอมหยุดเลย

    ในจิตก็รู้สึกว่า

    - บ้านหลังนั้น ก็คือโลกของเรานี่แหละ ตอนนี้อาการแย่แล้ว ชั้นโอโซนก็โหว่ไปแล้ว

    - พวกที่อยู่บนหลังคา ก็น่าจะเป็นพวกที่คอยส่งพลังด้านบวกไปช่วยบรรเทาความรุนแรงจากพลังด้านลบอยู่ตลอดๆนั่นเอง ซึ่งมีทั้งพระและฆราวาส

    น่าสงสารโลกจังนะครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post1310448 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">27-06-2008, 10:00 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1740 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1310448", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,297
    Groans: 38
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 13,465
    ได้รับอนุโมทนา 28,237 ครั้ง ใน 2,368 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2177 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1310448 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->เมื่อคืนนี้ (คืนของวันที่ 26/6/08 แต่เป็นเช้าของ 27/6/08 ตื่นจากฝันเวลาประมาณ 04:50 น.)

    ฝันว่าเห็นนัยหลวงท่านกำลังขับรถยนต์คันเก่าๆคันหนึ่งอยู่ ท่านขับอยู่เลนซ้าย
    แต่ตัวท่านก็นั่งอยู่ทางซ้ายมือของรถยนต์ด้วยนะ เบาะด้านหน้าข้างๆท่านเป็นพระราชินี

    ผมนั่งอยู่เบาะข้างหลังท่าน ส่วนเบาะด้านหลังข้างๆผมมีคนนั่งอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร

    แต่แปลกนะ ท่านขับแต่ผมยังเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามท่าน นั่งอยู่ข้างหน้าท่านอีกทีหนึ่ง เหมือนจะบังท่านไว้ไม่ให้ใครเห็นได้ง่ายๆยังงั้นแหละครับ

    ภาพที่เห็นเป็นภาพขาวดำ เพราะอาจจะถูกบันทึกไว้นานหลายสิบปีแล้ว คือพระองค์ท่าน และสมเด็จพระราชินีที่ผมเห็น ตอนนั้นน่าจะยังอายุซัก 30 กว่าๆเท่านั้นเอง

    ท่านกำลังคุยกันเรื่องมี "ลูก" ว่าต้องมีภาระมากขึ้น ว่าต้องพร้อม อะไรทำนองนั้น และท่านก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษด้วย

    แบบว่า..ท่านพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อเลย แล้วยังพูดภาษาต่างชาติอีกภาษาหนึ่งด้วยนะ

    ผมไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร ผมก็เลยพูดขึ้นประมาณว่า

    "นัยหลวงทรงเก่งจังเลย พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากเลย แถมพูดภาษาอื่นได้อีกด้วย"

    พระองค์ก็ทรงพูดตอบกลับมาประมาณว่า...

    "ถึงพระองค์จะพูดภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆได้เก่ง แต่พระองค์ก็ยังไม่สามารถที่จะ พูดภาษาไทย กับประชาชนคนไทยของพระองค์เอง ให้รู้เรื่องได้"

    สักพักท่านก็กลับรถ แต่ด้วยความที่รถค่อนข้างเก่า และท่านขับไม่เร็ว รถมอเตอร์ไซด์ที่ขับตามมา
    ก็เลยต้องเบรคเกือบชนรถของท่าน เจ้ามอเตอร์ไซด์สงสัยจะโมโห ก็เลยขับปาดหน้าขึ้นมา แล้วก็หันหน้ากลับมาด่าอะไรท่านไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียง เห็นแต่ปากขมุบขมิบ ผมก็เลยพูดขึ้นว่า

    "เขาจำไม่ได้เหรอ ว่าคนที่กำลังขับรถคันนี้อยู่หนะเป็นใคร เอ๊า..อยากด่าก็ด่าไป เวรกรรมจริงๆเลย"

    สักพักพระองค์ก็พาพวกเราขับเลี้ยวขวาเพื่อจะเข้าไปในตลาดที่ไหนซักแห่ง เพื่อไปหาข้าวราดแกงกิน
    ว่างั้นนะ...แล้วผมก็เลยตื่นทันทีครับ<!-- google_ad_section_end -->
    __________________

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    ถ้าท่านใดรู้ความหมาย หรือแปลรหัสจากฝันข้างบนนี้ออก

    ผมเชื่อว่าท่าน ก็คงจะรู้สึกสะเทือนใจเหมือนกันกับผมนี่แหละครับ


    <IMG onclick="if(this.width>=800) window.open('http://www.goosiam.com/news/news1/admin/my_documents/my_pictures/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1..jpg');" src="http://www.goosiam.com/news/news1/admin/my_documents/my_pictures/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1..jpg" onload="if(this.width>'800')this.width='800';if(this.height>'1000')this.height='1000';" border=0>
    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2009
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    <TABLE class=tborder id=post1214262 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-05-2008, 08:41 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1530 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1214262", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนบริจาค

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 37
    ข้อความ: 2,298
    Groans: 38
    Groaned at 9 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 13,465
    ได้รับอนุโมทนา 28,239 ครั้ง ใน 2,369 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2177 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1214262 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->เมื่อคืน (19/5/08) มีฝันอยู่ช็อตหนึ่งที่น่าสนใจ(นิดๆ)

    ฝันเห็น "การฝึก" และ "การทดสอบ" อีกแล้วครับ

    ฉากแรก เห็นตัวเองนี่แหละไปทดสอบ และก็จบบททดสอบนั้นแล้ว เลยมีเวลาพัก เพื่อรอบททดสอบต่อไป แต่ตอนทดสอบไม่ได้ทำคนเดียวหรอกนะครับ มีพี่เลี้ยงอยู่ด้วย ไม่รู้ใครเหมือนกัน

    ในช่วงพักของตัวผมเอง เลยได้มีเวลาว่างไปดูคนอื่นทดสอบบ้าง ปรากฎว่าได้ไปดู และไปช่วยผู้หญิงสาวคนหนึ่งลุ้น

    เด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังเข้าห้องสอบกับผู้หญิงคนอื่นๆอีกหลายคน การทดสอบไม่ใช่การเขียนคำตอบลงบนกระดาษนะ แต่เป็นอะไรที่เครียด กดดัน และลำบากมากพอสมควร

    ผมเห็นครูฝึก หรืออาจจะเรียกว่าผู้คุมการสอบก็ได้
    เป็นผู้ชาย แต่งตัวเหมือนครูสอนหนังสือทั่วไป ที่ใช้คำพูดกดดัน ดุด่า และก้าวร้าวมากๆ

    ผู้ที่เข้าสอบต้องอดทนสถานเดียว ถ้าใครไม่ผ่านเขาจะไล่ออกมานอกห้องสอบทันที ซึ่งก็จะมีผู้ที่ถูกไล่ออกมาเป็นระยะๆ จนรอบท้ายๆจะเหลือคนน้อยลงๆเรื่อยๆ ไม่ถึง 10 คน

    มีบททดสอบหนึ่งที่ผมจำได้ในฝันคือ เขาให้เอาด้ายสีขาวเหมือนฝ้ายผูกแขนนี่แหละ ให้ผู้เข้าสอบเอาคอหนีบด้ายไว้กับไหล่ตัวเอง แล้วโยงปลายอีกข้างไว้กับเพดาน

    คือให้แขวนคอตัวเองไว้กับเพดานว่างั้นเถอะ แต่แขวนแบบไม่ได้ผูกเชือกไว้นะ ใครทำขาด หรือตกลงมาก่อนจะครบกำหนด 7 วัน ก็เป็นอันว่าสอบตก
    ข้าว น้ำก็กินเองไม่ได้ ต้องให้ญาติๆ เพื่อนฝูง ที่ผู้สอบแต่ละคนจะมีญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงมากมาย
    คอยห้อมล้อม คอยลุ้น คอยให้กำลังใจอยู่รอบๆ มาป้อนน้ำให้ โดยค่อยๆเอาน้ำใส่ในหลอดดูด แล้วค่อยๆหยอดลงไปในปากให้ เป็นเวลา 7 วัน

    ญาตินี่ก็มีส่วนสำคัญนะ เพราะถ้าญาติใคร เกิดใจอ่อน ให้ความช่วยเหลือมากเกินไป ผู้นั้นก็จะถูกไล่ออกจากห้องทันที

    ยังไม่พอแค่นั้นะครับ ผู้ช่วยครูฝึกนี่ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ในฝันรู้สึกพวกเขาจะเป็นเทวดานะ เขาก็จะคอยมาแกล้งผู้เข้าสอบด้วยนะ

    ไม่ใช่ว่าผู้เข้าสอบจะทำได้ดีๆแล้วจะผ่านทุกคนนะ บางคนเทวดาตนไหนแกล้งมากๆ ก็จะแกล้งให้สอบตกก็มีนะ

    ผมกับญาติๆของเด็กผู้หญิงคนนั้นยังซุบซิบกันอยู่เลยว่า ทำไมเทวดาพวกนี้ขี้โกงจัง

    ตอนท้ายๆของการสอบ แต่ยังไม่ท้ายสุด เด็กผู้หญิงที่ผมไปช่วยลุ้นอยู่นั้นถูกไล่ออกจากห้องสอบ เพราะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

    ครูฝึกถามว่าเขาปากเหม็นไหม๊ ดันไปตอบว่า"ปากเหม็นค่ะ" คนเดียวซะอย่างงั้นแหละ

    ครูฝึกเลยบอกว่า "มึงออกไปจากห้องเลยไป!!" ก็เลยออกมานั่งหน้าเศร้าอยู่หน้าห้อง พร้อมผมและญาติๆคนอื่นๆ

    แต่เสียงครูฝึกพูดเข้ามาในหัวผม (แบบอ่อนโยนและไพเราะมากๆว่า) ว่า

    "พาน้องเขาออกไปนั่งรอข้างนอกก่อนนะ"
    "เดี๋ยวจะต้องโดนซ่อมก่อน"

    ซ่อมในทางทหารนี่คือถูกทำโทษก่อนหนะครับ ก็เลยไม่แน่ใจว่าน้องเขาถูกไล่ออกมาจริงๆหรือยัง

    แต่มีคำหนึ่งที่น้องคนนี้พูดกับผมตอนออกมานั่งนอกห้องคือ "เขาเรียกผมว่าพ่อ" นะ

    ที่เล่ามาตั้งยาวก็เพราะผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับ "ผู้ที่กำลังถูกทดสอบ" ทั้งหลาย

    5000 คนทั่วโลก 100 ครอบครัว และ 60 หมายเลข อย่างที่พี่สุดใจว่า

    เพราะบรรยากาศที่ผมเล่ามานั้น อาจจะพอทำให้มองเห็นได้ว่า และผมก็เชื่อว่ามันเป็นแบบนี้ คือ

    1. เราต้องอดทนต่อบททดสอบเท่านั้น เราต้องผ่านให้ได้เท่านั้น ไม่มีคำตอบอื่น

    2. การคัดเลือกผู้ถูกเลือก เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นระยะๆ โดยเริ่มจากคนมากๆแล้วค่อยคัดออกเป็นระยะๆ จนเหลือผู้ที่เหมาะสมที่สุด

    3. ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงของท่าน ต่างห้อมล้อมท่านอยู่ตลอดเวลาเลย

    พวกเขาคอยลุ้น คอยเอาใจช่วย คอยเป็นห่วงเป็นใยท่านอยู่ตลอดเวลา บางทีพวกเขาแทบอยากจะทำแทนท่านด้วยซ้ำไป

    ญาติของบางคน แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่ครูฝึกอนุญาติให้เอาน้ำมาป้อนได้ เขาก็แอบเอามาป้อนก่อน
    ทำให้ผู้ถูกทดสอบผู้นั้นถูกไล่ออกนอกห้องสอบไปเลยนะ นี่แหละพวกเขาถึงต้องระวังมากๆ

    คิดดูเถิดในชีวิตจริงของพวกเรา "ผู้ที่กำลังถูกทดสอบทั้งหลาย" บางช่วงเวลาเราจะรู้สึกว่าเหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง

    คืออะไรๆมันก็จะแย่ไปหมด พร้อมๆกันหลายๆด้าน หนี้สินก็ท่วมท้น เงินจะกินข้าวก็ยังไม่มีเลย

    พวกเขาที่ห้อมล้อมท่านอยู่รู้และเห็นอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะสงสารท่านมากแค่ไหน ผมเชื่อว่าพวกเขาอยากจะช่วยท่านแทบใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะกลัวท่านจะสอบไม่ผ่าน (พอพิมพ์ถึงตรงนี้ ผมแทบสะอื้นเลย เพราะผมรู้สึกได้ถึงความหมายของสิ่งที่พิมพ์นี้จริงๆ)

    4. ครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึกทั้งหลายเอง ก็มิใช่คนเลวร้ายแต่ประการใดเลย แต่พวกเขาแสดงบทบาทร้ายๆ โหดๆเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งสิ้น

    ทั้งในฝันและนอกฝันผมรู้สึกได้อย่างนั้นจริงๆ

    และในชีวิตจริงของผม ผมกราบแล้ว กราบอีก กราบระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์

    กราบวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้ง ละ 5 กราบดังว่านั้น เพราะสำนึกถึงบุญคุณที่ท่านเมตตาสั่งสอนด้วยวิธีใดๆก็ตามมาตลอด

    และผมก็ระลึกถึงบททดสอบร้ายๆที่ผมได้รับและผ่านมาแล้วนั้นตลอด ระลึกถึงแบบซาบซึ้งและขอบคุณอย่างที่สุด

    เพราะถ้าไม่มีบททดสอบเหล่านั้น ผมก็คงไม่ได้เป็นผู้เป็นคนเหมือนอย่างทุกวันนี้เป็นแน่แท้

    5. สติ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่เสมอ เพราะการทดสอบใดๆก็ตาม มันเหมือนจะดูยาก หรือจะดูง่าย
    แต่บางทีมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมด เพราะอาจจะมีลูกหลอก ลูกแกล้ง ด้วยนะ ดังนั้นต้องใช้สติและปัญญาแยกแยะให้ดี<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)<o></o>

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ

    [​IMG]<o></o>
    <o>
    </o>

    ความตาย คือสิ่งทีทุกชีวิตต้องประสบ
    เป็นความรู้สึกหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัว เมื่อคิดว่าสักวันเวลานั้นต้องมาถึง
    แต่ใครเล่าจะหลีกเลี่ยงประสบการณ์นี้พ้น
    อานุภาพรัก เป็นบทบันทึกของ ผู้ผ่านความตาย มาแล้ว
    แต่ด้วยอานุภาพแห่งรักและความดีงาม จึงโอบอุ้มเธอผ่านพ้นหุบเหวแห่งความตาย
    และได้เรียนรู้คุณค่าของความตายนั้น เพื่อเปิดโอกาสแห่งการมีชีวิต...อีกครั้ง

    ............................

    ประตูแห่งความตายเปิดกว้างรับทุกชีวิต
    หนทางต่อไปจากประตู คือสิ่งที่ "เลือกได้"
    และ "ต้องเลือก" เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น<o></o>



    ที่มา: Embraced By The Light-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)




    จากใจของผู้แปล (บางส่วน)

    หนังสือเรื่องนี้มีความลึกซึ้งของอารมณ์ จิตใจ ของความเข้าใจชีวิตความเข้าใจธรรมชาติ สู่ความลุ่มลึกของอภิปรัชญา
    และสิ่งที่สำคัญก็คือความรักในหลายๆ ลักษณะที่จะช่วยจรรโลงและเยียวยาความเจ็บปวดต่างๆ
    ที่มนุษย์ต้องเผชิญในระหว่างที่มีชีวิตอยู่...


    ...ตั้งแต่ตอนเด็กๆ มาแล้ว ดิฉันเคยสงสัยมาตลอดว่า ทำไมสวรรค์ที่คนไทยตายไปเห็นแล้วกลับมาบอกก็เป็นลักษณะหนึ่ง
    สวรรค์ที่คนจีนตายไปเห็น แล้วกลับมาบอกก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง แล้วสวรรค์ของฝรั่งก็เป็นรูปลักษณ์อีกแบบหนึ่ง
    ดิฉันก็เลยสงสัยว่า แล้วตกลงจริงๆ สวรรค์จะเป็นลักษณะใดกันแน่

    ต่อมา เมื่อทำวิจัยถอยจิตบำบัดให้คนหลายๆ ชาติ หลายๆ ความเชื่อ ก็พบว่ารายละเอียดบางส่วนของประสบการณ์
    จะเป็นภาพสะท้อนของ "คติหรือความเชื่อ" ที่ถูกปลูกฝังมาในแต่ละราย ดังเช่น ภาพของสวรรค์ การแต่งตัว
    หรือลักษณะของสถาปัตยกรรมต่างๆ บุคคลที่ไปพบ ตลอดจนกิจกรรมที่ไปทำ หรือไปเห็น เป็นต้น
    มักมีส่วนได้รับอิทธิพลสะท้อนจากสิ่งที่เจ้าตัวเคยเชื่อ หรือจากสิ่งที่ถึงจะไม่ได้เชื่อแต่ก็เคยได้ยิน ได้เห็นมาบ้างจนอยู่ในความทรงจำ

    ซึ่งในประเด็นนี้ ดิฉันก็คิดว่าบางส่วนของประสบการณ์ของเบ็ตตี้ก็คงเช่นเดียวกัน คือเป็นภาพสะท้อนความเชื่อ
    และความทรงจำในอดีตของเธอ

    แต่ทว่าก็ยีงมีอีกหลายๆ ส่วนของประสบการณ์ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น(เช่น อุโมงค์เวลา และอื่นๆ) ที่เป็นสากลตรงกันในแทบทุกราย
    ไม่ขึ้นอยู่กับภูมิหลังของเชื้อชาติและศาสนา<o></o>
    <o></o>
    นอกจากนี้แล้ว ดิฉันก็ได้พบว่าน่าแปลกที่หลายๆราย ได้กลับไปมีประสบการณ์ที่เหมือน "อดีตชาติ" และมีลักษณะเชื้อชาติ ศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างไปจาก เชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ
    ที่เป็นอยู่โดยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ผลการวิจัยที่ได้ก็เผอิญตรงกันกับข้อมูลรายงานที่นักอดีตชาติบำบัดในต่างประเทศ
    เคยสรุปไว้เช่นกันว่า

    "เราเคยเป็นมาหมดแล้ว ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาใด หรือยากดีมีจน มีชนชั้นวรรณะอย่างไร
    เราแต่ละคนในปัจจุบัน ก็เป็นผลรวมที่เราเคยเป็นมาในอดีต ในทุกๆ ชาติ"

    ตอนที่ได้รับรู้ผลการวิจัยที่ออกมาแบบนั้น ดิฉันเองก็ค่อนข้างพิศวงสงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร
    เพราะสิ่งที่ได้รับรู้ไม่ค่อยตรงกันกับเรื่องที่เคยอ่านเมื่อสมัยเด็กๆ แบบที่ว่าชาติที่แล้วๆ มาเป็นคนไทย ก็จะยังวนเวียนเป็นคนไทยอยู่ดี
    หรือถ้าเป็นฝรั่งก็จะวนเวียนเป็นฝรั่งอยู่เช่นนั้นเอง

    จึงเกิดคำถามที่เก็บไว้ในใจแต่ผู้เดียวว่า แล้วถ้าชาติที่แล้วเราไม่ได้เกิดเป็นคนไทยพุทธ ไม่ได้มีการสะสมบุญบารมีแบบที่คนไทยพุทธ
    ควรจะทำล่ะ ชาตินี้เราจะมีบุญบารมีไว้คุ้มครองตัวเองหรือไม่หนอ จะมีทางได้เข้าใกล้แสงแห่งปัญญาตามวิถีชาวพุทธบ้างไหม
    หรือว่าจะต้องไปเริ่มต้นใหม่กันแน่ แล้วถ้าเกิดชาติใหม่มีเชื้อชาติ ศาสนาที่เปลี่ยนไปอีกล่ะ วิถีการจะเข้าสู่ปลายทาง
    ของการเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นจะเป็นเช่นไร เราจะต้องอยู่ปลายหางแถวรอไต่เต้าไปอีกนานกว่าคนอื่นหรือไม่อย่างไร

    นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า ถ้าคนเราเกิดเปลี่ยนการนับถือศาสนาในชีวิตนี้ด้วยล่ะ ตายไปจะไปที่สวรรค์แบบศาสนาไหนแน่
    หรือไม่ก็จะเสียเปรียบในแง่ของการสะสมบุญบารมีกว่าคนที่นับถือศาสนาเดียวมาตลอดหรือเปล่า
    ดิฉันเชื่อว่าคงมีคนหลายๆ คนเคยมีคำถามกับตัวเองในทำนองนี้เช่นกัน

    พอยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งกลัวไปใหญ่ เพราะในชีวิตนี้เอง ดิฉันเกิดเป็นชาวพุทธแต่เรียนโรงเรียนคาทอลิก มีเพื่อนฝูงหลายๆ ศาสนา
    จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ไปทางใดทางหนึ่งอย่างจริงจัง คงจะหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างลำบาก<o></o>
    <o></o>
    พอได้มาพบหนังสือ Embraced By The Light ตอนที่เบ็ตตี้มีคำถามว่า

    "...ทำไมจึงมีศาสนาหรือความเชื่ออยู่มากมายในโลกนี้ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงให้พวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว..."

    แล้วคำตอบที่เธอได้รับก็คือ

    "...เราแต่ละคนต่างก็มีพัฒนาการระดับจิตและระดับความเข้าใจที่แตกต่างกัน...ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้น
    เพราะมีผู้คนมากมายที่ต้องการคำสอนในแบบที่แต่ละศาสนาสอนอยู่...แต่ละศาสนา ก็ตอบสนองความต้องการธรรมะบางอย่าง
    ในแบบที่ศาสนาอื่นไม่ได้เน้น

    ไม่มีศาสนาเพียงศาสนาเดียวที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนทุกคนได้ในทุกๆ ระดับจิต..."

    เบ็ตตี้ยังเล่าอีกด้วยว่า

    "...เมื่อฉันได้รับทราบตามนี้แล้ว ก็ตระหนักด้วยว่า เราไม่มีสิทธิ์จะวิพากษ์วิจารณ์นิกายหรือศาสนาอื่นๆ
    ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ทุกศาสนา ทุกนิกายล้วนมีค่าสูงยิ่งและสำคัญในสายตาของพระเป็นเจ้า..."


    เมื่อได้อ่านถึงตรงนี้ ดิฉันรู้สึกว่าความกังวลในใจของตัวเองนั้นหายไปอย่างมาก ดิฉันไม่ทราบได้ว่านั่นเป็นความคิดของเบ็ตตี้เอง
    หรือเป็นความจริง

    แต่สำหรับดิฉันแล้ว แนวคิดนี้ก็นำ "สันติภาพ" มาให้แก่ตัวเองได้มาก เพราะเกิดความเคารพอย่างจริงใจในการที่คนอื่นๆ
    มีทัศนะต่อการนับถือศาสนาหรือมีความเชื่อใดๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากของเรา เป็นความเคารพและยอมรับจริงๆ
    โดยไม่ได้เป็นไปตามมารยาท

    "สันติภาพ" ที่เราทุกคนต่างก็เรียกร้อง และภาวนาให้เกิดกับสังคมประเทศ และโลกของเรา
    เพราะไม่อยากให้มีสงครามที่จะนำภัยพิบัติมาสู่เรา แต่ "สันติภาพ" ของหน่วยใหญ่นั้นก็คงจะต้องเริ่มจาก "สันติภาพ"
    ในใจของเราซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดก่อน แล้วจึงแผ่ออกไปสู่คนรอบๆ ตัวจริงไหมคะ

    ก็ในเมื่อทุกศาสนาก็มีจุดประสงค์ไปที่เดียวกัน คือให้รักและเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ส่วนที่แตกต่างออกไป
    ก็เป็นแค่รายละเอียดที่ให้จุดประสงค์นั้นสื่อไปได้เหมาะสมกับแต่ละคน<o></o>
    <o></o>
    และเมื่อคนแต่ละคนมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน เราอาจชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ได้แล้วแต่เรา แต่เราไม่อาจตัดสินใคร
    หรืออะไรว่าถูกหรือผิดโดยอยู่บนพื้นฐานของความชอบหรือไม่ชอบของเราเอง

    เราอาจจะไม่สามารถทำใจเชื่อได้ทันทีว่าศาสนาทุกศาสนาไปที่เดียวกันก็จริง แต่เราจะปฏิเสธไหมล่ะคะว่า
    ทุกศาสนาต่างก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้เราไปสู่ผลลัพธ์ของความรักและเมตตาซึ่งกันและกันทั้งสิ้น
    แต่ที่คนเราต้องมาแบ่งแยกออกจากกัน ก็เพราะความแตกต่างที่เป็นรายละเอียดนี่เอง

    ถ้าเราเกลียดชังใครเพราะเขามาทำร้ายให้เราเจ็บปวด เรายังต้องอภัยให้เลย แล้วคนที่ยังไม่ทันทำให้เราเจ็บปวดตรงๆ
    แต่เพียงแค่คิดและศรัทธาต่างจากเราเท่านั้นเอง จะไปเกลียดชังหรือทำให้เขาเจ็บทำไมกัน

    หากเราไม่ลืมสาระที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ ซึ่งทุกศาสนาก็สอนไว้แล้วคือให้ "รักและเมตตาซึ่งกันและกัน"
    ชีวิตประจำวันของเราคงจะราบรื่นสงบสุขได้ จนลดปัญหาประเภทเธอกับฉันพูดกันได้ไม่สนิทใจ เพราะเธอไม่ได้นับถือ
    ในสิ่งเดียวกับที่ฉันนับถืออยู่ อีกทั้งน่าจะช่วยลดปัญหาชีวิตและครอบครัว ที่เกิดจากการไม่สามารถยอมรับเขย
    หรือสะใภ้ต่างศาสนา
    จนเกิดเป็นความรันทดใจของทุกฝ่ายลงได้บ้าง

    ถ้าเรานับถืออะไร เพราะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว น่าจะเก็บถนอมไว้เป็นความภูมิใจที่เรามีโอกาสดีๆ เช่นนั้น
    แต่อย่าลืมด้วยว่า คนอื่นก็คงรู้สึกเหมือนกันกับสิ่งที่เขานับถืออยู่

    ก็ใจเขาใจเรา


    ..........................



    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)




    จากใจของผู้แปล (บางส่วน)


    ...เช่นเดียวกันค่ะดิฉันเองก็ไม่มีจุดประสงค์ที่จะมาเขย่า หรือสั่นคลอนความเชื่อของศาสนาใดๆเลย
    ตรงกันข้าม ดิฉันคิดว่าการที่เราสามารถได้รับรู้สิ่งนี้น่าจะเป็นโอกาสให้เราได้หันกลับไปมองศาสนาที่ตัวเราเองนับถืออยู่
    ด้วยความเข้าใจที่ลึกขึ้น และมีศรัทธามากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะนำพาให้เราได้ไปสู่ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่เป็นผลลัพธ์
    ของจุดประสงค์หลักที่แต่ละศาสนาก็มีไว้ให้เราอยู่แล้วต่างหาก

    แทนที่เราจะไปค้นคว้าหาความแตกต่าง หรือค้นพบว่าศาสนาต่างๆมีความเหมือนกันโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าใครไปลอกเลียนแบบใคร
    เป็นไปได้ไหมคะว่า เราจะมองอีกแง่ว่าในความแตกต่างซึ่งก็มีอะไรที่มาเหมือนกันโดยบังเอิญนั้น มีบางอย่างที่เป็น "สัจธรรม"
    ซึ่งเป็นสากล และถูกต้องตรงกันจากหลายๆวิถีทางซึ่งน่าจะให้เราทุกคนได้ร่วมกันดีใจใน "สัจธรรม" ที่เหมือนกันนี้ต่างหาก
    ส่วนที่แตกต่างกันก็ถือเป็นส่วนเสริม...


    ...ในชีวิตที่ผ่านมาของคนแทบจะทุกคนก็คงมีประสบการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราเชื่อว่าเราไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆ
    หรือเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ดูแลเรา เพราะเรายังเป็นคนดีไม่พอ เช่นเดียวกับที่เบ็ตตี้เคยเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเกือบทั้งโลก
    อย่างเป็นสากล จึงทำให้เราอาจเข้าหาศาสนาอยากได้รับพร
    แต่ตัวเราเองกลับไม่เชื่อเองว่าพรหรือความคุ้มครองเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเราได้จริง...


    ...เบ็ตตี้ได้เขียนถึงประเด็นนี้ไว้ชัดเจนว่า เราไม่ต้องกลัวเลย พระเจ้า (หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามที่เรานับถืออยู่)
    คอยช่วยเราอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ท่าทีของเราเอง ที่จะเชื่อว่าเราจะได้รับสิ่งดีงามนั้นหรือไม่
    แต่ก็ไม่ใช่เอาแต่เชื่ออย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรเลย

    พระเจ้าที่เบ็ตตี้เล่าถึงนั้นทรงคอยช่วยเหลือก็จริง แต่ไม่ทรงก้าวก่ายในชีวิตเรา ถ้าความทุกข์นั้นเป็นวัตถุประสงค์ชีวิต
    ที่เราต้องเรียนรู้เราก็ต้องประสบและเรียนรู้ที่จะผ่านไปด้วยปัญญา...



    .......................
     
  13. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)



    หน้า 73-77

    “เลือกร่างมาเกิด (Selecting a Body)”

    [​IMG]


    …พี่เลี้ยงของฉันบอกว่า ในโลกของจิตวิญญาณนั้น เราจะมีวิญญาณบางดวงที่ผูกพันกันมาฉันพี่น้อง
    ซึ่งเราจะรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดเป็นพิเศษ เราจึงตกลงกันกับวิญญาณเหล่านี้ ให้ไปเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน
    หรือเป็นเพื่อนกันในโลกมนุษย์

    ด้วยความผูกพันทางจิตวิญญาณนั้นเป็นผลมาจากความรักที่เรามีต่อกัน ซึ่งค่อยๆพัฒนามาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
    มานานนับนิรันดร์กาล

    ก่อนมาเกิดนั้น เราได้เลือกวิญญาณบางดวงที่สนิทกันให้มาเกิดพร้อมกันอีกในโลกนี้ เพราะว่ามีงานที่ต้องมาทำด้วยกัน
    บ้างก็ต้องการมารวมตัวกันโดยมีจุดมุ่งหมายเ พื่อการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับโลก
    ซึ่งเราจะสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ดี ถ้ามีสถานการณ์บางอย่างมาประกอบด้วย โดยที่พ่อแม่หรือคนอื่นที่เราเลือกสรรมาแล้ว
    จะเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์นั้นขึ้น

    ส่วนพวกเราบางคนก็ต้องการเกิดมา เพื่อจะเสริมวิถีทางของโลกที่มีอยู่แล้วให้แข็งแรงขึ้น และปูทางใหม่ๆเพิ่มบ้างสำหรับคนอื่นๆ
    ที่จะตามมาทีหลัง

    เราเข้าใจดีว่าเราต่างก็จะมีอิทธิพลต่อกันและกันในชาตินี้ รวมถึงรู้แล้วว่าจะได้รับถ่ายทอดคุณสมบัติทั้งด้านสรีระ
    และพฤติกรรมต่างๆมาทางครอบครัว เรารู้ถึงลักษณะทางพันธุกรรมที่กายเนื้อจะได้รับมา และรู้ถึงว่ารูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ
    จะมีลักษณะเฉพาะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเหล่านี้เป็นสิ่งเราต้องการให้เป็น และจำเป็นจะต้องให้เป็นอย่างนั้นเสียด้วย....

    ...ฉันประหลาดใจมากที่เราได้วางแผนและตัดสินใจต่างๆนานาเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น พวกเราล้วนเต็มใจ
    พร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นทำไปก็เพื่อให้ดวงจิตวิญญาณแต่ละดวงได้พัฒนา
    ไม่ว่าประสบการณ์หรือพรสวรรค์ หรือข้อด้อยทุกประการ ต่างเป็นการออกแบบมาเพื่อให้เกิดการเติบโต
    สิ่งต่างๆบนโลกมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน จนแทบไม่มีอะไรเลยสำหรับพวกเราในภพภูมิของจิตวิญญาณ

    “เรามองทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองของจิตวิญญาณ ไม่ใช่จากมุมมองของวัตถุ”

    .............<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr2595.jpg
      obr2595.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83 KB
      เปิดดู:
      4,608
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2009
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)



    หน้า 78-81

    “คนเมา (The Drunken Man)”

    [​IMG]
    <O:p</O:p

    การมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็เหมือนกับการเลือกมหาวิทยาลัยและเลือกวิชชาที่จะเรียน
    พวกเราทั้งหมดต่างมีระดับพัฒนาการของจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน และเราก็ได้มาเกิดในจุดที่พอเหมาะกันดีที่สุด
    กับความต้องการของจิตวิญญาณเรา

    ในนาทีที่เราตัดสินคนอื่นว่าผิดหรือมีข้อบกพร่องใดๆก็ตาม เราก็กำลังถูกฉายให้เห็นข้อบกพร่องในลักษณะเดียวกันนั้น
    ที่มีอยู่ในตัวเราเองเช่นกัน ด้วยความเป็นมนุษย์ เราไม่มีความรู้พอที่จะไปตัดสินใครได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

    และราวกับว่าสวรรค์ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงหลักการนี้ชัดเจน จึงม้วนตัวออกไป เผยให้ฉันเห็นภาพโลกมนุษย์อีกครั้ง

    ครั้งนี้ภาพที่เห็นพุ่งตรงไปที่หัวมุมของถนนในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ตรงนั้นมีชายผู้หนึ่งนอนเมามายไม่ได้สติอยู่บนทางเท้าข้างตึก
    หนึ่งในเทวดาผู้นำทางถามฉันว่า “เห็นอะไรบ้างจ๊ะ?”

    “ก็..ขอทานขี้เมานอนอยู่ในซอกตึก ไงหละค่ะ” ฉันตอบแบบไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องมาดูด้วย

    เทวดาผู้นำทางมีอาการกระตือรือร้นขึ้นและบอกว่า “คราวนี้จะให้ดูว่าจริงๆแล้วเขาเป็นใคร”

    แล้ววิญญาณของเขาก็เผยตัวออกมา ฉันได้เห็นชายที่สง่างาม และเอิบอิ่มไปด้วยรัศมีสว่าง ความเมตตากรุณาฉายชัดออกมาจากตัวเขา

    ฉันเข้าใจได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่สวรรค์ให้การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ดวงนี้ มาจุติบนโลก
    เพื่อสอนบทเรียนสำคัญให้แก่เพื่อนทางจิตวิญญาณคนหนึ่งซึ่งเขามีความผูกพันด้วย

    เพื่อนของเขานั้นเป็นทนายความใหญ่ ซึ่งมีที่ทำงานอยู่ห่างจากมุมถนนไปไม่กี่ช่วงตึก
    ถึงแม้ว่าคนเมานี้จะจำพันธะสัญญาที่เคยตกลงกับเพื่อนเขาไว้ไม่ได้แล้วก็จริง แต่วัตถุประสงค์ของชีวิตเขา
    ก็คือเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เพื่อนระลึกได้ ถึงความขาดแคลนของผู้อื่น

    ฉันเข้าใจว่าธรรมชาติของทนายความผู้นั้น ก็เป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่แล้ว แต่การได้เห็นคนเมานี้
    จะยิ่งจุดประกายให้เขาได้แบ่งปันความมั่งมีของเขาไปให้คนที่ขาดแคลนมากขึ้นอีก ฉันรู้ว่าทั้งคู่จะได้พบกัน
    และทนายความผู้นั้นก็จะระลึกถึงจิตวิญญาณแท้จริงที่อยู่ข้างในของคนเมาได้-รูปทองที่ซ่อนอยู่ภายใน
    แล้วก็จะเกิดความอยากทำอะไรดีๆอีกมาก

    แม้พวกเขาจะไม่มีวันได้รู้ถึงบทบาทที่ต่างได้ตกลงกันมาก็จริง แต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาทำ ก็สำเร็จอยู่ดี
    คนเมาคนนั้นได้ยอมสละเวลาหนึ่งชีวิตเพื่อยังประโยชน์ให้แก่อีกคนหนึ่ง พัฒนาการทางจิตของเขาก็ยังดำเนินต่อไป
    ส่วนสิ่งอื่นๆที่เขาอาจจำเป็นต้องใช้ในการก้าวต่อไปนั้น เขาก็จะได้รับในเวลาต่อไป

    ฉันระลึกขึ้นมาได้ว่าก็เคยเช่นกันที่ได้พบกับใครๆที่รู้สึกเหมือนว่าคุ้นเคยโดยไม่รู้จักมาก่อน
    ครั้งแรกที่พบก็รู้สึกสนิทสนมทันทีเหมือนรู้จักกันดี โดยที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกแบบนั้น ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคนพวกนั้น
    เข้ามาสู่วิถีชีวิตของฉันเนื่องจากมีเหตุผลบางประการ แต่เรายังไม่เข้าใจเหตุผลนั้น ฉันจึงถือว่าคนเหล่านั้นเป็นคนพิเศษเสมอมา

    เสียงพี่เลี้ยงฉันดังขึ้นมา ดึงให้ฉันออกจากห้วงของความคิด พวกเขาพูดว่า

    "มนุษย์ยังไม่มีความรู้ที่บริสุทธิ์เพียงพอ จึงไม่ควรจะไปพิพากษาตัดสินใครเลย"

    คนที่เดินไปมาผ่านคนเมาที่อยู่มุมตึกนั้น ไม่สามารถจะเห็นวิญญาณที่สูงส่งซึ่งอยู่ภายใน จึงตัดสินเอาจากรูปกายภายนอก

    ฉันเองก็เคยทำผิดเพราะตัดสินคนแบบนี้เช่นกัน คือในใจตัดสินคนอื่นไปแล้วโดยดูจากฐานะหรือความสามารถที่เขาแสดงออกมา
    ตอนนี้เห็นแล้วว่าฉันไม่ยุติธรรมเลย ฉันไม่เคยรู้ไปถึงว่าชีวิตจริงๆของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง หรือยิ่งกว่านั้น
    คือไม่รู้ไปถึงว่าจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอย่างไร

    ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่า “คนจนอยู่กับท่านตลอดไป และเมื่อใดที่ท่านจะทำ ท่านก็สามารถช่วยเขาได้”

    แต่แม้ว่าถ้อยคำจากพระคัมภีร์บทนี้ จะมาเตือนสติก็ตาม ฉันกลับรู้สึกหงุดหงิด

    ทำไมเราถึงมีคนจนอยู่กับเรา?

    ทำไมพระเจ้าถึงไม่กระตุ้นทะนายความคนนั้นให้แบ่งปันเงินทองของเขาแก่คนอื่นๆ?

    ทำไมพระเจ้าไม่ประทานทุกอย่างให้ทุกคนเพียงพอหละ?

    เทวดาผู้นำทางรีบขัดจังหวะกระแสความคิดของฉันอีกครั้ง และพูดว่า

    “ในหมู่มนุษย์นั้น ก็มีเทพเดินปะปนด้วยอยู่แล้ว แต่มนุษย์เองยังไม่รู้ตัวว่ามี”

    ฉันเกิดความงงงัน เทพผู้ชี้ทางจึงช่วยให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่า พวกเราต่างก็มีความขาดแคลนกันทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนจนเท่านั้น
    และเราทั้งหมดก็ได้ทำพันธะสัญญากันไว้ตั้งแต่ตอนเป็นจิตวิญญาณว่า จะมาช่วยเหลือกัน
    แต่เราก็ไม่ค่อยได้จริงจังที่จะทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เมื่อนานมาแล้วนั้นตากหาก

    ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ส่งเทพยดาลงมากระตุ้นเตือนเรา เพื่อช่วยให้เรารักษากติกาเหล่านี้อย่างซื่อตรง

    พระองค์จะไม่บังคับเราก็จริง แต่ก็กระตุ้นเตือนเราได้ เราไม่รู้ว่าเทพยดาเหล่านี้เป็นใครบ้าง
    เพราะเขาก็ปรากฎตัวเหมือนคนธรรมดาๆ แต่ที่แน่ๆคือเราได้พบปะอยู่กับเหล่าเทพยดานี้บ่อยกว่าที่เรารู้ตัวอีก

    ฉันรู้ตัวเลยว่าได้เข้าใจพระเจ้าผิด และได้ประเมินความช่วยเหลือของพระองค์ที่ทรงมีให้พวกเราผิดไปอย่างถนัดเลย
    แต่ก็ไม่รู้สึกถูกตำหนิแต่อย่างใด พระองค์ทรงประทานความช่วยเหลือทุกอย่างที่ทรงทำได้
    ตราบเท่าที่ไม่เป็นการก้าวก่ายเสรีภาพแห่งเจตนา ตลอดจนความเป็นส่วนตัวของเรา เราต้องเต็มใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    เราต้องเต็มใจที่จะเห็นว่าคนจนนั้นมีคุณค่าควรนิยมนับถือได้ เช่นเดียวกับคนรวย เราต้องเต็มใจที่จะยอมรับคนอื่นๆได้ทั้งหมด
    แม้แต่คนที่แตกต่างไปจากเรา คนทุกคนมีคุณค่าพอสำหรับความรักและความกรุณาจากเรา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเหลืออดหรือโกรธ
    หรือ “เบื่อหน่าย”

    เราไม่มีสิทธิ์จะดูหมิ่นคนอื่นหรือจะประณามคนอื่นแม้แต่คิดในใจ สิ่งเดียวที่เราสามารถนำติดตัวไปจากชีวิตนี้ได้ก็คือ
    ความดีที่ได้ทำไว้ให้กับคนอื่น ฉันเห็นว่าความดีงามที่เราทำและคำพูดที่พูดปลอบโยนคนอื่นๆทั้งหมดนั้น
    จะกลับมาประสาทความสุขให้แก่เราเป็นร้อย เท่าหลังจากชีวิตนี้ การทำบุญทำทาน จะทำให้เราได้พบกับความเข้มแข็งที่มีอยู่ในตนเอง

    พี่เลี้ยงและฉันต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ภาพคนเมาได้หายไปแล้ว แก่นแท้ของวิญญาณฉันอิ่มเอิบไปด้วยความรักและความเข้าใจ

    จริงสิ ฉันสามารถช่วยเหลือคนอื่น ดังเช่นที่คนเมาจะช่วยเหลือเพื่อนของเขาได้

    จริงสิ ฉันสามารถเป็นผู้นำความสุขมาให้กับคนอื่นๆในชีวิตฉันก็ได้ แก่นแท้ของวิญญาณฉันกึกก้องไปด้วยสัจธรรมอันหลังสุดนี่เองที่ว่า

    การทำบุญทำทานจะทำให้เราได้พบกับความเข้มแข็งที่มีอยู่ในตนเอง

    ...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr2590.jpg
      obr2590.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.8 KB
      เปิดดู:
      3,315
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2009
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)



    (หน้า 82-85 )

    “คำอธิษฐาน (Prayer)”


    [​IMG]
    <o></o>
    ความรู้ที่พรั่งพรูเข้ามาให้ฉันทราบเกี่ยวกับมนุษยชาติ เกี่ยวกับคุณค่าของวิญญาณแต่ละดวงซึ่งสูงส่งเทียมสวรรค์นั้น
    ทำให้ฉันรู้สึกว่ารู้น้อยเหลือเกิน ฉันกระหายอยากได้ปัญญาและความรู้มากขึ้นอีก

    แดนสวรรค์ที่เห็นจึงม้วนตัวกลับออกไปอีกครั้ง เผยให้เห็นลูกโลกลอยอยู่ในอวกาศ มีลำแสงหลายๆลำ
    ผุดขึ้นมาจากโลกเหมือนเป็นไฟสัญญาณ แสงบางลำก็กว้างมากและพุ่งตรงไปที่สวรรค์เหมือนแสงเลเซอร์อันใหญ่ๆ
    ส่วนแสงลำอื่นๆเปรียบเหมือนแสงเล็กๆจากไฟฉายปลายปากกา และบางลำก็เป็นแค่ประกายไฟเท่านั้น
    ฉันประหลาดใจมากเมื่อได้ทราบว่าลำแสงแห่งพลังเหล่านี้ก็คือ “แรงอธิษฐานจากมนุษย์บนโลก”

    ฉันเห็นเหล่าเทพยดาพากันรีบไปสนองตอบคำอธิษฐาน เหล่าเทพมีการจัดโครงสร้างแบ่งงานกัน
    ให้สามารถช่วยเหลือคนได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ภายใต้โครงสร้างที่แบ่งงานกันแล้วนี้ เทพยดาต่างๆก็จะบินไปช่วยมนุษย์คนนั้นทีคนนี้ที

    เป็นการบินจริงๆ อย่างที่หมายความเลย บินไปสนองคำอธิษฐานนี้แล้ว ก็ไปที่คำอธิษฐานโน้น
    โดยต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเบิกบานในงานที่ทำ เหล่าเทพยดามีความยินดีที่จะได้ช่วยเรา
    และเบิกบานเป็นพิเศษเมื่อมีใครอธิษฐานอย่างหนักแน่นจริงจัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธามากพอ
    จนสามารถจะดึงดูดให้เกิดการตอบสนองในทันที

    คำอธิษฐานที่มีลำแสงเข้มกว่าและใหญ่กว่า จะได้รับการตอบสนองก่อนเสมอ แล้วค่อยเรียงไปตามลำดับความเข้มลำดับต่อไป
    จนกระทั่งตอบสนองคำอธิษฐานทั้งหมดได้ครบ

    ฉันสังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยว่า การสวดอ้อนวอนซ้ำซากแต่ไม่มีความศรัทธาจริงจังนั้น แม้จะมีแสงแต่ก็เพียงริบหรี่มาก
    และไม่มีพลังเอาเลย ซึ่งส่วนใหญ่จึงไม่เป็นที่สังเกตรับรู้ได้อย่างสิ้นเชิง

    ฉันถูกย้ำให้เข้าใจชัดเจนว่าคำอธิษฐานใดๆ ซึ่งมีความมุ่งมาดปรารถนาแท้จริง ย่อมจะเป็นที่รับทราบและได้รับการตอบสนองทุกครั้ง

    เวลาเรามีความต้องการที่ยิ่งยวด หรือเวลาที่สวดภาวนาให้แก่คนอื่น ลำแสงจะพุ่งตรงออกจากตัวเราและจะมองเห็นได้ในทันที
    เขาบอกด้วยว่า

    “ไม่มีคำอธิษฐานใดๆ จะยิ่งใหญ่ไปกว่าคำอธิษฐานที่แม่ขอให้แก่ลูก”

    ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ใสบริสุทธิ์ที่สุด อันเนื่องมาจากความปรารถนาที่แรงกล้าของแม่ และหลายๆครั้ง
    ก็ผนวกด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง คนเป็นแม่สามารถที่จะมอบหัวใจของเธอให้แก่ลูกๆได้ และก็สามารถที่จะวิงวอนจนสุดกำลัง
    จนกว่าพระเจ้าจะช่วยลูกๆได้

    อย่างไรก็ตาม เราเองก็มีความสามารถที่จะไปให้ถึงพระเจ้าด้วยการอธิษฐานเช่นเดียวกันนี้ได้ทุกคน

    เมื่อเราตั้งจิตอธิษฐานด้วยความปรารถนาที่แน่วแน่ออกไปแล้ว เราต้องปล่อยวางและต้องเชื่อมั่นในอานุภาพของพระเจ้า
    ที่จะทรงจัดการสนองให้สมดังปรารถนา พระองค์ทรงรู้ถึงความต้องการของเราตลอดเวลา
    เพียงแต่ทรงกำลังรอเราแสดงความจำนงให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ทรงมีอำนาจทั้งปวงที่จะสนองตอบคำอธิษฐานใดๆก็ได้
    แต่ต้องเป็นไปตามครรลองของกฎธรรมชาติ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ และตามเสรีภาพแห่งเจตนาที่เราได้เลือกเองไว้แล้ว

    เราต้องเปิดตัวเองให้รับเจตนารมณ์ของพระองค์มาด้วย เราต้องเชื่อมั่นในพระองค์ ทันทีที่เราขอด้วยความปรารถนาที่แท้จริง
    ตรงกับใจและไร้ข้อกังขา เราก็จะได้รับสิ่งที่ขอนั้น

    คำภาวนาที่เราขอให้คนอื่นนั้นมีอานุภาพมาก แต่จะได้รับการสนองตอบเฉพาะเมื่อสิ่งที่ขอนั้นไม่ไปล่วงล้ำเสรีภาพแห่งเจตนาคนอื่น
    หรือตราบเท่าที่ไม่ไปขัดขวางให้ผู้อื่นไม่สมหวัง พระเจ้าทรงเคารพกติกาที่จะปล่อยให้เราจัดการอะไรด้วยตัวเราเอง
    แต่ก็ทรงเต็มใจที่จะช่วยเหลือในทุกวิธีที่เป็นได้

    ถ้าเพื่อนเรามีศรัทธาที่อ่อนล้าลง ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณเราจะช่วยเป็นหลักดึงพวกเขากลับมาได้
    ถ้าพวกเขาเจ็บป่วย บ่อยครั้งที่การอธิษฐานอย่างมีศรัทธาสามารถช่วยเติมความเข้มแข็งแก่เขา จนเกิดการเยียวยาได้
    นอกเสียจากว่าการป่วยนั้น ถูกกำหนดมาให้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้เติบโต

    ถ้าความตายของเขามาเยือน เราต้องระลึกไว้เสมอที่จะอธิษฐานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า
    ไม่เช่นนั้น เราอาจไปทำให้คนที่กำลังจะตายไปนั้นติดขัด เพราะเกิดเป็นวัตถุประสงค์ที่ขัดกันอยู่
    ขอบเขตที่เราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้นมหาศาลยิ่งนัก เรายังสามารถทำสิ่งดีๆให้กับครอบครัวเรา เพื่อนๆของเรา
    หรือคนอื่นๆได้อีกมากมาย เกินกว่าที่เคยนึกเอาไว้

    สิ่งที่รู้นี้ ฟังดูธรรมดามาก ธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำสำหรับฉันในตอนแรก ฉันเคยคิดเสมอว่าการสวดภาวนานั้น
    เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ฉันคิดว่าเราต้องใช้วิธีตื๊อพระเจ้า และก็ตื๊อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ฉันเคยมีระบบการขอแบบของฉันเอง โดยจะเริ่มด้วยการขอสิ่งที่ฉันต้องการก่อน แล้วจากนั้นก็จะใช้วิธีติดสินบนเข้ามาด้วย
    แบบพูดอ้อมๆว่าการช่วยฉันนั้น จะเป็นประโยชน์กับพระองค์เองอย่างไร

    ถ้าวิธีนั้นยังไม่สำเร็จอีก ต่อไปฉันก็จะเริ่มต่อรอง เช่นเสนอว่าจะเชื่อฟังหรือเสียสละอย่างนั้นอย่างนี้
    เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พระองค์จะทรงดลบันดาลให้สมหวัง

    แล้วถ้าจนหนทางจริงๆแล้วฉันจึงจะอ้อนวอนขอ จนเมื่อทุกวิธีไม่สำเร็จหมดแล้ว ฉันก็จะอาละวาด

    ระบบที่ฉันเคยทำมานี้ กลับได้ผลสนองตอบต่อคำสวดอธิษฐานของฉันน้อยกว่าที่หวังไว้อย่างลิบลับ

    เดี๋ยวนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าคำอธิษฐานของฉัน เป็นอาการของความไม่เชื่อ อุบายเหล่านี้ก็มาจากการขาดศรัทธา
    ไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงเต็มใจอยู่แล้ว ที่จะสนองตอบฉัน โดยคำนึงถึงคุณงามความดี และความต้องการของฉันเองเป็นหลัก

    ฉันกังขาว่าพระองค์จะทรงมีความยุติธรรมหรือมีความสามารถจริงหรือ และก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพระองค์ทรงฟังฉันอยู่หรือเปล่า
    ความไม่เชื่อทั้งหมดนี้ ได้กีดกันฉันออกจากพระเจ้า

    แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของเราเท่านั้น แต่ยังทรงรู้ถึงความต้องการของเรามานาน
    ก่อนที่เราเองจะรู้เสียอีก

    ฉันรู้ว่าพระองค์และเทพยดาของพระองค์ สนองตอบคำอธิษฐานของเราอย่างเต็มอกเต็มใจ และมีความสุขกับการได้ทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม ฉันรู้แล้วว่าพระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง จากมุมมองที่เราไม่มีวันรับรู้ได้เท่า พระองค์ทรงเห็นลึกไปถึงอดีต
    และอนาคตที่ไม่ดับสูญของเรา และทรงรู้ถึงความต้องการที่ไม่มีวันหมดของเราเป็นอย่างดี

    ด้วยความรักความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น ทรงสนองตอบคำอธิษฐาน ด้วยความเป็นสัพพัญญูที่ทรงรู้หมดทุกอย่าง
    โดยคำนึงถึงความเป็นนิรันดร์นี้ พระองค์ทรงตอบสนองทุกคำอธิษฐานอย่างสมบูรณ์แบบ

    ฉันรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ที่จะต้องทวนคำอธิษฐานอย่างซ้ำๆซากๆ ราวกับว่ากลัวพระองค์ไม่เข้าใจ
    ศรัทธาและความอดทนเป็นสิ่งที่จำเป็น พระองค์ทรงให้เรามีเสรีภาพแห่งเจตนาที่จะตัดสินเลือกอะไรเองแล้ว
    เมื่อเราอัญเชิญพระองค์ให้ทรงช่วย เราก็ต้องยอมปล่อยให้พระองค์ทรงจัดการอย่างที่สมควรแก่ชีวิตเราเช่นกัน

    อนึ่งฉันเข้าใจถึงความสำคัญของการขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับมา ความรู้สึกรู้คุณนั้นเป็นความดีงามที่ไม่มีสูญ
    เราพึงขอร้องด้วยความถ่อมตน และพึงได้รับด้วยความรู้สึกรู้คุณ ยิ่งเราขอบพระคุณพระองค์มากเท่าไร
    ที่ทรงประทานสิ่งต่างๆมาให้ ก็ยิ่งเป็นการเปิดทางตนเองกว้างขึ้น ให้ได้รับพรอื่นๆต่อๆไปอีก

    ความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงประทานพรให้แก่เรานั้น มีอยู่เต็มเปี่ยมจนล้นเหลือ ถ้าเราจะเปิดจิตและหัวใจ
    ที่จะรับพรต่างๆจากพระองค์ เราเองก็จะได้รับพรเต็มเปี่ยมล้นพ้นด้วยเช่นกัน เราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง

    เราอาจจะกลายเป็นเหมือนเหล่าเทพยดาเลยก็ได้ ที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นยามจำเป็น

    ในการอธิษฐานและให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่น แสงของเราจะเจิดจรัสขึ้นเสมอ การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเหมือนน้ำมัน
    ที่คอยหล่อเลี้ยงตะเกียงชีวิตของเรา และน้ำมันนี้เกิดขึ้นได้เองจากความรักและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

    .........<o></o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr2589.jpg
      obr2589.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.5 KB
      เปิดดู:
      1,388
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  16. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    พักขายของอีกแหละ อ้ายเล่มที่เจ้าโฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าเจ้ายังตามเก็บไม่หมดเลย
    นี่มีมาใหม่อีกแล้วเหรอ อย่างนี้เป็ดก็เซ็งดิ
     
  17. JiNaNiE

    JiNaNiE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +49
    ขอต่ออีกหน่อยนะ เรื่องวิวัฒนาการ คือมันยังคันๆๆอยู่ (ไม่ได้สระผมมาหลายวันสงสัยรังแคเข้าสมอง)
    "ไบเบิ้ลสั่งว่าพี่น้องห้ามแต่งงานกัน แต่ไบเบิลยังกล่าวว่า มนุษย์ทั้งโลกสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่เดียว คืออดัมและเอวา" เอ้ แล้วอดัมกับเอวาเค้าปั้นขี้ไคลให้เป็นเด็กได้หรือไงหว่า?
    แล้วก็เรื่องของมนุษย์ที่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆโน้นที่องค์ใหญ่มากๆๆ อ้างไปก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี เอาเป็นทหารจิ๋นซีก็ได้ที่สร้างมาเท่าตัวจริง ตัวอย่างใหญ่เลย แล้วต่อๆๆไปเค้าบอกว่า
    มนุษย์จะอายุสิบปี แล้วสอยมะเขือกินน่ะ ไอน์สไตน์ ยังกล่าวเลยว่า เมื่ออนุภาคหรือวัตถุใดๆ เคลื่อนที่เร็วขึ้น ขนาดจะเล็กลง ก็ประมาณว่าคนสมัยนี้มันแข่งขันกันมากขึ้น ต้องทำอะไรเร่งรีบ
    ต่อไปตัวก็จะเล็กลง แล้วอย่างนี้ เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ ถ้าไม่ใช่ "วิวัฒนาการ"
    อ๋อ สงสัยเรียกว่า "กรรม" แบบว่า สมน้ำหน้า ดันเกิดมา "เตี้ย" เอง ช่วยไม่ได้
    ใครได้ดูวงศ์คำเหลามั่งอ่ะ เค้าฉลองร้อยล้านแล้วนะ ทั้งเรื่องมีแต่คำว่า "อีเตี้ย"
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)


    หน้า 40 – 46

    “กฎธรรมชาติ (The Laws)”
    <o>
    </o>
    ฉันยังอยู่ ณ. เบื้องพระพักตร์ของพระเยซูเจ้า อาบอยู่ในรัศมีอันอบอุ่นของพระองค์ ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่นั่นเป็นที่ไหน
    บริเวณที่แวดล้อมอยู่เป็นอย่างไร หรือมีใครอื่นอีกบ้าง

    พระองค์ทรงเห็นหมดทุกสิ่งที่ฉันเห็น จะว่าตามจริงพระองค์นั่นแหละเป็นผู้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้เห็นและได้เข้าใจ

    ฉันยังอยู่ในรัศมีของพระองค์ และคำถาม คำตอบต่างๆ ก็ดำเนินต่อไป บทสนทนาระหว่างเราได้ทวีความเร็วและความลึกมาก
    จนดูเหมือนว่าทุกแง่มุมของความเป็นอยู่ของชีวิตได้ถูกเจาะหมดเรียบร้อย

    ใจของฉันก็วกกลับไปที่เรื่องของกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมมนุษย์เราทั้งหมด แล้วความรู้ของพระองค์ท่านก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
    ฉันรู้สึกได้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงมีความสุขมาก และยินดียิ่งที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ฉัน
    <o>
    [​IMG]</o>
    (obr1212)
    <o></o>
    ฉันรับทราบว่ามีกฎมากมายที่ครอบคลุมพวกเราอยู่ ได้แก่ กฎแห่งจิตวิญญาณ กฎแห่งกายภาพ และกฎแห่งจักรวาล
    ซึ่งส่วนใหญ่เรารู้เพียงคร่าวๆเท่านั้นว่ามีอยู่ กฎเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบสนองวัตถุประสงค์ใหญ่
    และกฎทั้งหมดต่างก็เสริมซึ่งกันละกัน

    เมื่อเราตระหนักว่ากฎเหล่านี้มีจริงและเรียนรู้วิธีใช้อานุภาพแห่งกฎเหล่านี้ให้เป็น ว่าอย่างไรเป็นกุศลและอย่างไรเป็นอกุศล
    เมื่อนั้นเราก็จะสามารถไปถึงพลังที่ยิ่งใหญ่เกินจะประมาณได้ แต่เมื่อเราฝ่าฝืนกฎใดกฎหนึ่ง
    โดยดิ้นรนไปในทางที่ต้านกับระบบธรรมชาติ นั่นก็คือเราประพฤติบาป

    ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากพลังของจิตในธรรมชาติ ทุกธาตุ ทุกอณูของสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาล้วนมีเชาว์ปัญญาอยู่ในตัวเอง
    ซึ่งเชาว์ปัญญาที่ว่านั้นก็คือมีจิตวิญญาณและชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้มีความสามารถที่จะสัมผัส ประสบกับความสุขได้ทั้งสิ้น

    ธาตุแต่ละธาตุ ต่างเป็นอิสระจากกันในการทำหน้าที่ของตัวเอง ในการตอบสนองต่อกฎและพลังต่างๆที่อยู่โดยรอบ
    เวลาพระเจ้าทรงมีพระดำรัสอะไร ธาตุต่างๆเหล่านี้ก็ตอบสนองและมีความยินดีที่จะเชื่อฟังตามนั้น
    และก็ด้วยพลังของธรรมชาติและกฎแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆเหล่านี้นี่เอง ที่พระเยซูทรงสร้างโลกมนุษย์นี้ขึ้นมา

    ฉันเข้าใจด้วยว่า ด้วยการที่ดำรงชีวิตอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ตามกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมเราอยู่นี้
    เราก็จะได้รับความเจริญยิ่งๆขึ้น และจะได้รับความรู้ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกัน การฝ่าฝืนกฎธรรมชาตินี้
    หรือที่เรียกว่า “การประพฤติบาป” นั้น ก็จะบั่นทอนและถึงขั้นทำลายอะไรทั้งหมดที่เราทำสำเร็จมาจนถึงจุดนั้นลงได้

    เรื่องบาปนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกฎของเหตุและผล เราเองเป็นผู้ก่อให้เกิดโทษทัณฑ์แก่ตัวเอง จากการกระทำที่เราทำลงไป
    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำให้สิ่งแวดล้อมเราเสียไป นี่ก็คือ “บาป” อย่างหนึ่งต่อโลก แล้วเราก็ต้องเป็นผู้มารับผลที่ตามมา
    จากการฝ่าฝืนกฎแห่งชีวิตนี้ เราอาจมีสุขภาพที่อ่อนแอลงหรืออาจถึงตาย หรือไม่ก็อาจเป็นสาเหตุให้คนอื่นมีสุขภาพที่อ่อนแอลง
    หรือถึงตายไป เนื่องมาจากการกระทำของเรา

    บาปบางอย่างเป็นบาปต่อร่างกายเช่น การกินมากไปหรือกินน้อยไป การไม่ออกกำลังกาย การเสพยาเสพติด
    (ซึ่งรวมไปถึงการใช้สารใดๆก็ตาม ที่ไม่เหมาะสมกลมกลืนกับโครงสร้างระบบในร่างกายของเราเอง)
    ตลอดจนการกระทำอื่นๆที่บั่นทอนร่างกายอีก

    ไม่มี “การประพฤติบาป” ต่อร่างกายอันใดที่หนักหนากว่าอันอื่น เราคือผู้รับผิดชอบต่อร่างกายเราเอง

    ดวงจิตแต่ละดวงได้รับมอบให้เป็นเจ้าของร่างกายแต่ละร่าง ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในการเกิดแก่เจ็บตายนี้
    จิตวิญญาณของเราต้องเป็นผู้คอยควบคุมร่างกาย เพื่อนำเอากิเลสและตัณหาในกายหยาบนั้น ออกมาชำระล้างซักฟอกให้บริสุทธิ์ขึ้น

    ทุกสิ่งจากภายในตัวจิตจะปรากฏออกมาที่ร่างกาย แต่ร่างกายและคุณสมบัติต่างๆของร่างกาย
    ไม่สามารถจะไปล่วงล้ำก้าวก่ายขัดกับเจตนาของจิตวิญญาณได้ จิตที่อยู่ภายในของเรานี่แหละเป็นผู้เลือก เป็นผู้คอยปกครองดูแลอยู่

    การจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นได้นั้น เราก็จำเป็นต้องนำจิตใจ กาย และจิตวิญญาณให้เข้าสู่
    ความสมดุลพร้อมเพรียงกัน และการจะเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบนั้น เราก็ต้องเพิ่มเติมความรู้ผิดชอบชั่วดี
    และความรักความเมตตาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงมีให้ ลงไปในความสมดุลกลมกลืนนั้นอีกด้วย

    ขณะที่สัจธรรมเหล่านี้ได้ผ่านเข้ามาให้ฉันได้รู้นั้น จิตวิญญาณทั้งดวงของฉันอยากจะตะโกนก้องด้วยความชื่นบานหัวใจ
    ฉันเข้าใจสัจธรรมเหล่านี้ และพระเยซูก็ทรงรู้ว่าฉันกำลังย่อยเก็บทุกอย่างที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น
    ดวงตาแห่งจิตวิญญาณของฉันเปิดขึ้นอีกครั้ง และก็เห็นไปถึงว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างจักวาลขึ้นหลายๆจักรวาล
    และทรงควบคุมธาตุต่างๆในจักรวาลเหล่านั้นเอง

    พระองค์ทรงมีพระอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือกฎธรรมชาติต่างๆ ตลอดจนเหนือพลังงานและสสารทั้งปวง

    ภายในจักรวาลของเรานี้ มีทั้งพลังงานทางบวกและทางลบ ซึ่งพลังงานทั้งสองชนิดนี้ ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของการสรรค์สร้างสรรพสิ่ง
    และของการเจริญเติบโต พลังงานทั้งคู่นี้ก็มีเชาว์ปัญญาอยู่ด้วย และเป็นผู้กระทำให้เจตนาของเราเป็นจริง
    เป็นบริวารที่คอยรับใช้เราอย่างเต็มอกเต็มใจ

    พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระอำนาจเด็ดขาด เหนือพลังงานทั้งสองชนิดนี้

    โดยทั่วๆไปพลังงานทางบวกก็คืออะไรที่ดีๆที่เราคิดกันอยู่แล้ว เช่น แสงสว่าง ความดีงาม ความกรุณา ความรักความเมตตา
    ความอดทน ความใจบุญสุนทาน ความหวัง และอื่นๆอีกมากมาย

    ส่วนพลังงานทางลบ ก็คืออะไรที่เราคิดว่าเป็นลบ เช่น ความมืด ความเกลียดชัง ความหวาดกลัว (ซึ่งเป็นเครื่องมือไม้เด็ดสุดของซาตาน)
    ความใจดำ ความไม่อดทน ความเห็นแก่ตัว ความท้อแท้สิ้นหวัง ความหมดกำลังใจ และอื่นๆ

    พลังงานทั้งบวกและลบ ต่างทำงานในทางตรงข้ามจากกันและกัน และเมื่อเราเข้าใจถึงพลังงานทั้งคู่นี้ได้อย่างถ่องแท้
    พลังงานทั้งคู่นี้ ก็จะเป็นบริวารคอยรับใช้เรา

    พลังงานบวกก็ดึงดูดสิ่งบวก และพลังงานลบก็ดึงดูดสิ่งลบ แสงสว่างย่อมเข้าหาแสงสว่าง และความมืดก็รักความมืดด้วยกัน

    ไม่ว่าเราเป็นคนค่อนข้างบวก หรือค่อนข้างลบก็ตาม เราก็จะเริ่มวนเวียนเกี่ยวข้องกับคนที่คล้ายๆกับเรา แต่ทว่าเราเองนี่แหละ
    ที่จะมีทางเลือกได้ว่า จะเป็นคนค่อนไปในทางบวก
    หรือค่อนไปในทางลบ

    เอาง่ายๆ ก็เพียงแค่คิดไปในทางที่ดีและพูดคำพูดที่ดีๆ เราก็ดึงดูดพลังงานทางบวกได้แล้ว ฉันเห็นแล้วว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ
    คือเห็นว่าคนแต่ละคนกัน ก็จะมีพลังงานที่แตกต่างกันวนเวียนอยู่รอบๆตัว และเห็นว่าวาจาของคนเรานั้น
    มีผลกระทบโดยตรงต่อสนามพลังงานที่อยู่รอบตัวเราอย่างไรบ้าง “คำพูด” ที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้น
    ซึ่งก็ไปสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่รอบๆด้วย ก็จะดึงดูดพลังงานบวกหรือลบชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา

    ในทำนองเดียวกันความมุ่งมาดปรารถนาของคนเรา ก็ทำให้มีผลคล้ายคลึงกัน ความคิดต่างๆของเรานั้นมีพลัง
    เราต่างเป็นผู้สร้างสิ่งที่แวดล้อมตัวเราอยู่นี้ ขึ้นมาเองจากความคิดต่างๆที่เราคิด

    ในทางกายภาพอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ที่จะเกิดผลเป็นตัวตนขึ้นมา แต่ในทางจิตวิญญาณแล้ว เกิดผลขึ้นทันทีทันใดเลย
    หากเราได้เข้าใจถ่องแท้ถึงอานุภาพของความคิดคนเราแล้วหละก็ เราจะคอยระมัดระวังความคิดอย่างใกล้ชิดกว่านี้
    หากเราได้เข้าใจถึงพลังอันน่าเกรงขามของคำพูดเราแล้ว เราน่าจะขอเลือกที่จะนั่งเงียบดีกว่าที่จะพูดอะไรที่ลบๆออกไป

    ความคิดและคำพูดของเรานี่เอง ที่ก่อกำเนิดทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งต่างๆนานา ให้แก่ตัวเราเอง
    ข้อจำกัดในชีวิตและความสุขสันต์ทั้งหลาย ล้วนเริ่มต้นที่หัวใจเราก่อนเลย และเราก็สามารถให้พลังงานทางบวก
    เข้าไปแทนที่พลังงานทางลบได้เสมอ

    เพราะว่าความคิดคนเรานั้น สามารถมีผลกระทบต่อพลังงานที่ไม่สูญสิ้นดังกล่าวแล้วนี้ ความคิดจึงเป็นแหล่งที่มาของการสร้างสรรค์

    การก่อกำเนิดทุกอย่าง เริ่มที่จิตใจก่อน “ความคิด” ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด อัจฉริยะบุคคลจึงสามารถใช้จินตนาการ
    ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่ดีงามและร้ายกาจ

    บางคนมาเกิดในโลกนี้โดยมีพลานุภาพแห่งจินตนาการ อย่างชนิดที่พัฒนามาดีแล้ว ติดตัวมาแต่เกิด
    แต่ทว่าบางคนที่มีพลานุภาพนั้น กลับใช้ไปในทางที่ผิดๆ หลายคนใช้พลังงานทางลบไปสร้างสิ่งที่เป็นภัยต่างๆ
    ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือคำพูดซึ่งสามารถที่จะทำลายล้าง

    ส่วนอีกหลายๆคน ก็ใช้จินตนาการไปในทางที่เป็นบวก เพื่อทำให้ชีวิตของคนรอบๆข้างดีขึ้น คนแบบหลังนี้
    คือผู้มาสร้างสรรค์ความสุขแก่โลกอย่างแท้จริง และเขาก็จะมีความสุขความจำเริญด้วย

    การสร้างสรรค์ต่างๆของจิตนั้น มีพลานุภาพจริงๆ ความคิดก็คือการกระทำอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

    การจะมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมนั้น จะทำได้ดีที่สุดโดยการใช้จินตนาการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า
    จินตนาการคือกุญแจสำคัญที่จะไขเข้าสู่ความเป็นจริง ฟังดูช่างกลับตาลปัดจากที่เราเคยคิดกันมา
    สิ่งที่รู้นี้เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยนึกมาก่อนเลย

    เราถูกส่งมาเกิดในโลกนี้ก็เพื่อมามีชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ มามีชีวิตอย่าง “อุดมสมบูรณ์” มาพบกับความสุข
    ในการได้สร้างสรรค์อะไรๆด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิดใหม่ๆ หรือสิ่งของ หรืออารมณ์ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ
    เราต้องมาลิขิตชีวิตของตนเอง ต้องใช้พรสวรรค์ที่เรามีติดตัวมา ในการเผชิญหน้ากับทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ
    เราต้องมาใช้เสรีภาพและการตั้งเจตนาที่เรามีอยู่แล้ว มาขยายขอบเขตชีวิตของตนให้กว้างขวางขึ้น มีคุณค่ายิ่งขึ้น

    (ยังมีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1212.jpg
      obr1212.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128 KB
      เปิดดู:
      1,347
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)


    หน้า 40 – 46

    “กฎธรรมชาติ (The Laws)” (ต่อ)
    <o>


    ด้วยความเข้าใจทั้งหมดนี้เอง ฉันจึงเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า เมตตาธรรมนั้นคือสิ่งสูงสุด เมตตาธรรมต้องค้ำจุนโลกได้
    เมตตาธรรมค้ำจุนจิตวิญญาณตลอดมา และจิตวิญญาณก็ต้องเข้มแข็งขึ้น เพื่อปกครองดูแลจิตใจและร่างกาย

    ฉันเข้าใจลำดับขั้นตอนธรรมชาติของพัฒนาการความรักในทุกหนทุกแห่ง แรกสุดก็คือ เราต้องรักพระผู้สร้างก่อน
    นี้เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมีได้ (แม้ว่าเราอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ จนกว่าจะได้ไปพบกับพระองค์เข้าแล้วจริงๆ)

    ต่อไปก็คือ เราต้องมีความรักให้ตัวเราเอง ฉันรู้ดีว่า ถ้าปราศจากความรู้สึกของความรักในตัวเองแล้วไซร้
    ความรักที่เราจะรู้สึกมีให้กับคนอื่นนั้น ก็เป็นเพียงของปลอม

    และขั้นต่อไปก็คือเราต้องรักผู้อื่นทั้งหมด เช่นเดียวกับที่รักตัวเราเอง เมื่อเราเห็นแสงแห่งพระคริสต์ (หรือพุทธิปัญญา – ผู้แปล)
    ที่อยู่ในตัวเราเองแล้ว เราก็จะเห็นแสงนั้นในตัวผู้อื่นไปด้วยเช่นกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปไม่ได้
    ที่เราจะไม่รักส่วนหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตัวพวกเราด้วย

    [​IMG]<o></o>
    (obr1238)
    <o></o>
    ขณะที่ฉันยังอยู่ในรัศมีของพระเยซู อยู่ในความรักที่พระองค์ทรงมีให้นั้น ฉันก็ได้ตระหนักขึ้นมาว่า เมื่อตอนเป็นเด็กที่ฉันกลัวพระองค์นั้น
    แท้จริงแล้วเป็นการดึงตัวฉันเองให้ออกไปห่างไกลจากพระองค์ท่านยิ่งขึ้นทุกที เวลาที่ฉันคิดว่าพระองค์ทรงไม่รักฉันนั้น
    ฉันนั้นแหละที่ดึงเอาความรักของตัวเองออกจากพระองค์ต่างหาก พระองค์ทรงไม่เคยจากไปเลย

    ฉันรู้แล้วหละว่า พระองค์ทรงเหมือนดวงอาทิตย์ในกาแล็กซี่ของฉัน ฉันโคจรไปรอบๆพระองค์ บางครั้งก็เข้าใกล้ขึ้น
    แต่บางครั้งก็ไกลออกไป แต่ความรักของพระองค์ไม่เคยห่างหายเลิกราไปเลย
    <o></o>
    ฉันเข้าใจถึงการที่คนอื่นๆ ก็เคยเป็นเครื่องผลักให้ฉันไกลห่างจากพระองค์ยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่เหลือความรู้สึกขมขื่น
    หรือข้อวิจารณ์ใดๆที่มีต่อพวกเขาอีกแล้ว

    ฉันได้เห็นว่าทั้งชายและหญิงที่เคยมีอำนาจในชีวิตฉันมานั้น ล้วนแล้วแต่เคยตกเป็นเหยื่อของพลังงานลบๆมาก่อน
    จึงได้เผยแพร่ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยวิธีให้หวาดกลัว เจตนาของพวกเขานั้นเป็นในทางบวก แต่การกระทำที่ออกมาเป็นในทางลบๆ
    ก็เพราะตัวเขาเองมีความหวาดกลัวอยู่ในส่วนลึก เขาจึงใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือในการควบคุมคนอื่นอีกต่อหนึ่ง
    เขาขู่ให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้อาณัติเขานั้น มีความเชื่อต่อพระเจ้าในแบบที่ว่า “กลัวพระเจ้านะ หรือไม่ ก็ไปตกนรกเลย”
    ซึ่งสิ่งนี้เองที่ขวางกั้นฉันไม่ให้รักพระเจ้าได้จริงๆ

    ฉันเข้าใจอีกว่า ความกลัวนั้น อยู่ตรงข้ามกับความรัก และก็เป็นไม้เด็ดสุดยอดของซาตานพญามารร้ายเสียด้วย
    ดังนั้น เมื่อฉันเกิดกลัวพระเจ้าเสียแล้ว จึงไม่สามารถจะรักพระองค์ได้อย่างแท้จริง แล้วเมื่อรักพระองค์ไม่ได้จริง
    ฉันก็ไม่สามารถรักตัวเองหรือคนอื่นๆได้อย่างบริสุทธิ์จริงๆไปด้วยเช่นกัน กฎแห่งความรักได้ถูกทำลายลงเสียก่อนแล้ว
    <o></o>
    พระเยซูทรงแย้มพระสรวลให้ฉัน ทรงพอพระทัยที่ฉันสนุกกับการเรียนรู้ และตื่นเต้นกับประสบการณ์ที่ได้รับ

    บัดนี้ฉันรู้แล้วว่าพระเจ้านั้นมีจริงๆ ฉันไม่จำกัดความเชื่ออยู่แต่ขุมพลังแห่งจักวาลเท่านั้น อย่างที่เมื่อก่อนเคยเป็น
    แต่เดี๋ยวนี้ ฉันได้เห็นมหาบุรุษ ผู้อยู่เบื้องหลังพลังแห่งจักรวาลนั้นด้วย แล้วได้รู้ถึงผู้ทรงความรักความเมตตา ซึ่งสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา
    และได้บรรจุองค์สรรพความรู้เข้าไว้ในจักรวาลนี้ด้วย ฉันได้เข้าใจว่าพระองค์ทรงคอยค้ำจุนองค์สรรพความรู้นี้
    และคอยควบคุมดูแลพลังอานุภาพของความรู้นี้อยู่ด้วย

    ฉันเข้าใจอย่างกระจ่างบริสุทธิ์เลยว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราไปถึงสภาวะอย่างพระองค์ จึงทรงทุ่มเทใส่คุณสมบัติต่างๆ
    ซึ่งเสมอเหมือนกับพระองค์นั้น ให้เราติดตัวมาอยู่แล้ว

    คุณสมบัติดังเช่นอานุภาพแห่งจินตนาการและการสร้างสรรค์ เสรีภาพแห่งการตั้งเจตนา ภูมิปัญญา และยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
    ก็คือพลังแห่งความรักความเมตตา ฉันเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงมี ”พระประสงค์ให้เรา” รู้จักนำพลังต่างๆจากเบื้องบน
    มาใช้ด้วย และเราสามารถจะทำได้จริงๆ โดย “การเชื่อ” ในศักยภาพที่เรามีอยู่แล้ว ว่าจะทำได้นั่นเอง

    ................................<o></o></o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1238.jpg
      obr1238.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.1 KB
      เปิดดู:
      1,359
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light) (ต่อ)



    หน้า 68 – 70
    <o></o>
    “หลายภพ หลายโลก (Many Worlds)”
    <o></o>
    ความทรงจำของฉัน ถูกดึงกลับไปที่กาลเวลา ซึ่งยิ่งนานไกลกว่าที่เคยเป็นมา ย้อนกลับไปไกลก่อนยุคสร้างโลกด้วยซ้ำ
    เลยไปถึงตอนที่เป็นนิรันดรของนิรันดร ฉันจำได้แล้วว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกต่างๆ ตลอดจนกาแล็กซี่ หมู่ดาวทั้งหลาย
    และอีกหลายภพหลายภูมิที่ความเข้าใจของเราไม่มีทางไปถึง และฉันก็อยากเห็นทั้งหมดนั้น

    พอความปรารถนานี้ขึ้นมา ความคิดก็ให้พลังแก่ฉันทันที ทำให้มีดวงจิตคู่ใหม่มาพาฉันลอยออกไปจากสวนนั้น
    ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เป็นเทวดาผู้นำทางองค์ใหม่ของฉันด้วย กายทิพย์ของเราลอยห่างออกไปจากเพื่อนๆที่ในสวน
    และเข้าไปสู่ความมืดมิดของอวกาศ
    <o>
    [​IMG]</o>
    (obr1507)
    <o></o>
    เราลอยเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเบิกบานใจกับการได้ล่องลอยครั้งนี้มาก จะทำอะไรก็ได้ตามที่อยาก ไปที่ไหนก็ได้ตามที่ปรารถนา
    จะลอยอย่างเร็วๆก็เร็วได้อย่างเหลือเชื่อ หรือจะลอยช้าๆก็ได้ ฉันรักความอิสรเสรีนี้จริงๆ

    ฉันลอยเข้าสู่อวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล และรู้ว่าอวกาศนั้นไม่ใช่ความว่างเปล่าหรอกนะ ที่แท้กลับเต็มไปด้วยความรักและแสงสว่าง
    ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของพระจิตของพระผู้เป็นเจ้า ที่เราสามารถสัมผัสรับรู้ได้

    ฉันได้ยินเสียงนุ่มนวลไพเราะ ซึ่งถึงจะแผ่วเบาเหมือนอยู่ห่างๆ แต่ก็อ่อนโยนจนฉันรู้สึกเป็นสุข เสียงนั้นมีระดับเสียงเดียว
    คล้ายๆเสียงโน้ตดนตรีตัวหนึ่ง แต่เป็นเสียงของจักรวาล และเหมือนว่าซึมแทรกอยู่ในอวกาศรอบตัวฉันเลย
    แล้วก็ยังมีอีกเสียงตามติดมาด้วย แต่เป็นระดับเสียงที่ต่างกัน อีกไม่นานฉันจึงสังเกตว่ามีเสียงอื่นที่คล้ายกับทำนองขับลำนำ
    เป็นเพลงแห่งจักรวาลอันไพศาล ที่คอยปลอบโยนทำให้ฉันรู้สึกสบาย ระดับเสียงต่างๆนั้น ก็ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆขึ้นเป็นระลอก
    และเมื่อมากระทบฉันเบาๆ ฉันรู้ทันทีว่าระลอกความสั่นสะเทือนของเสียงบางเสียง มีพลังในการรักษาเยียวยาอยู่ในตัวเอง
    ฉันรู้ว่าอะไรก็ตามที่ถูกสัมผัสด้วยเสียงนั้น ย่อมได้รับการรักษาเยียวยาไปในตัว เหมือนเป็นยาชโลมรักษาจิตวิญญาณ
    เป็นเสียงของความรักที่มาซ่อมแซมวิญญาณที่แตกสลาย

    แต่สองผู้นำทางที่ไปด้วยนั้นบอกว่า ไม่ใช่ว่าระดับเสียงทุกเสียงมีคุณสมบัติสำหรับเยียวยาได้เสมอไป
    บางเสียงกลับก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่ไม่ดี ขึ้นในตัวเราก็ได้ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ขณะที่ฉันมีชีวิตอยู่บนโลกนั้น
    ซาตานมารร้าย ได้ใช้เสียงชนิดไม่ดีนี้เอง ใส่ไว้ในดนตรีที่ทำให้ฉันเกิดป่วยเจ็บทั้งทางจิตใจและทางกาย

    รายละเอียดของสิ่งที่ฉันได้ไปประสบพบเห็นต่อจากตรงนั้นบางส่วน ได้ถูกลบออกไปจากความทรงจำของฉัน
    แต่ก็ยังเหลือเป็นความประทับใจหลายอย่าง

    ฉันรู้สึกว่าได้ไปเยี่ยมชมสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ไว้มากมาย จนราวกับว่าใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นเดือนๆด้วยซ้ำ
    ขณะที่เดินทางอยู่นั้น ฉันรู้สึกได้ตลอดว่ายังอยู่ในความรักความเมตตาของพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนว่า ได้ “กลับ” มาอยู่ที่บ้านเกิด
    และก็ทำอะไรได้อย่างเป็นธรรมชาติของตัวเองจริงๆ

    ฉันได้เดินทางไปในอีกหลายๆภพภูมิ ทั้งในโลกที่เหมือนโลกมนุษย์ แต่สวยงามกว่า และเพียบพร้อมไปด้วยคนที่มีเมตตาและสติปัญญาสูง

    เราทุกคนล้วนเป็นลูกๆของพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงอยู่ในทุกอณูของอวกาศที่ใหญ่มหึมานี้ ให้พวกเราไม่รู้สึกว่างเปล่า

    ฉันเดินทางไปไกลสุดคณานับ และรู้ว่าดวงดาวทั้งหลายที่ฉันเห็นนั้น ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะมองเห็นได้จากโลกมนุษย์

    พอฉันเห็นกาแล็กซี่หมู่ดาวต่างๆปุ๊บ ก็สามารถไปถึงได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเร็วเกือบจะในทันที
    ได้ไปเยี่ยมชมดินแดนและพบกับชาวโลกอื่น ซึ่งล้วนก็เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกับเราทั้งนั้น
    พวกเขาทั้งหมดก็เป็นพี่หรือน้องกับเราในทางจิตวิญญาณ ทั้งหมดที่ไปพบเห็นนี้ ก็เป็นการย้อนรำลึกถึงอดีต
    หรือเรียกว่าเป็นการกลับตื่นอีกครั้ง ฉันรู้ดีว่าเคยได้ไปในสถานที่เหล่านั้นมาก่อนแล้ว

    ต่อมาอีกนาน เมื่อฉันกลับมาสู่ชีวิตในกายเนื้อแล้ว เวลาที่ฉันจำรายละเอียดต่างๆของประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้
    ฉันเคยรู้สึกเหมือนกันว่าถูกโกง แต่เมื่อเวลาผ่าไปสักพัก ถึงได้รู้ว่าการลืมนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ของตัวฉันเอง

    ถ้าฉันยังจำความงดงามและโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ได้ไปเห็นมานั้นแล้วละก็ ฉันคงต้องมีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างอึดอัดคับใจ
    ไม่มีความสุขไปตลอด ซึ่งจะบั่นทอนการปฏิบัติภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาทำในชีวิตนี้
    ความรู้สึกถูกโกงนี้ จึงแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกยำเกรง และสำนึกในบุญคุณอย่างลึกซึ้ง ที่ได้ไปมีประสบการณ์เช่นนั้น

    พระเจ้าจะทรงไม่ต้องให้ฉันได้เห็นถึงภพภูมิอื่นๆก็ได้ และก็ไม่ต้องให้ฉันจำอะไรเกี่ยวกับพระองค์ไว้เลยก็ได้
    แต่ด้วยพระกรุณา พระองค์จึงทรงได้ให้ฉันมากมาย ฉันได้ไปเห็นภพภูมิอื่นๆ ซึ่งกล้องโทรทัศน์ใดๆ ที่ทรงพลังที่สุดในโลกของเรานี้
    ก็ไม่มีทางจะส่องไปเห็นได้ และได้รู้ว่า ณ.ที่นั้นมีความรักความเมตตาที่แท้จริงสถิตอยู่<o></o>
    <o>

    .............................................</o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1507.jpg
      obr1507.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140 KB
      เปิดดู:
      1,252
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...