ปิดรับบริจาค รวมบันทึกการเดินทางตามรอยพระอาจารย์ ณ บึงลับแล ๒๕๕๒/ร่วมบุญใหญ่หน้า ๑๐๘

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 18 ธันวาคม 2008.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๖. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
    [​IMG]

    ประวัติหลวงพ่อพรหม
    หลวงพ่อพรหม ถาวโร ถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี มะแม ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พศ. ๒๔๒๖ ณ.ตำบลบ้านแพรก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บุตรนายหมี-นางล้อมโกสะลัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๔ คน คือ
    ๑.นางลอย
    ๒.นายปลิว
    ๓.หลวงพ่อพรหม
    ๔.นางฉาบ
    ทุกคนถึงแก่กรรม

    หลวงพ่อพรหม ในขณะเยาว์วัยได้ศึกษา อ่านเขียนกับพระในวัดใกล้บ้าน ศึกษาอักษรขอมควบคู่กับภาษาไทยตั้งแต่ก่อนอุปสมบท เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดเขียนลาย ต.บ้านแพรก อ.บ้านแพรก จ.อยุธยา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๗ ได้รับฉายาว่า "ถาวโร" โดยมีหลวงพ่อถม วัดเขียนลาย เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมจนชำนาญและเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    หลวงพ่อพรหม เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมกับอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ชื่ออาจารย์พ่วง ต่อมาเมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษาอสุภกรรมฐาน สมถะกรรมฐาน วิปัสสนา จากหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ไม่ทราบวัดอยู่ประมาณ ๔ ปี ในพรรษาที่ ๕ อาจารย์พ่วง ได้พาไปฝากอาจารย์ปู่วอน ซึ่งเป็นฆราวาส และได้ศึกษาวิชาแขนงต่าง ๆ เป็นเวลา ๕ ปีเต็ม จนกระทั่งอาจารย์ปู่วอนถึงแก่กรรม ซึ่งในภายหลังหลวงพ่อพรหมได้นำกระดูกมาเก็บไว้ที่วัดช่องแค จากนั้นหลวงพ่อพรหม ก็ไม่ได้ไปศึกษากับอาจารย์ท่านใดโดยตรงมีแต่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิชากับอาจารย์ รุ่นพี่และรุ่นเดียวกันในระหว่างธุดงค์ เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เป็นต้น

    หลวงพ่อพรหม จะเดินธุดงค์ทั้งเส้นทางใกล้และไกล โดยหลวงพ่อเคยเดินธุดงค์ไปประเทศพม่าถึงเมืองร่างกุ้ง และได้มีโอกาสที่มนัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง และเดินธุดงค์ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ และธุดงค์อยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน จึงเดินทางกลับประเทศไทยทางด่านแม่ละเมา จ.ตาก และเดินเรื่อย ๆ ไปจนถึงเขาช่องแค ต.พรหมนิมิตร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกิดฝนตกหนัก หลวงพ่อพรหม ได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อพรหม เห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม จึงเริ่มปลูกต้นไม้แห่งศรัทธาลง ณ. ช่องเขาแห่งนี้

    ขณะที่หลวงพ่อพรหมจำศีลปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ที่วัดช่องแคมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่แล้ว ๒ รูป แต่ยังไม่มีเจ้าอาวาส ภายในวัดยังไม่มีเสนาสนะใด ๆ บริเวณวัดรกร้าง

    ต่อมาชาวบ้านในแถวนั้นซึ่งมีความนับถือเลื่อมใสหลวงพ่อได้นิมนต์ให้หลวงพ่อพรหมลงมาจำพรรษาข้างล่าง คือวัดช่องแคในปัจจุบัน หลวงพ่อพรหม จึง เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดช่องแค โดยที่ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคที่ดินเพิ่มขึ้น หลวงพ่อพรหมได้เริ่มต้นสร้างวัดจากวัดที่รกร้างไม่มีเสนาสนะใด ๆ เมื่อปี ๒๔๖๐ มาเป็นวัดที่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซึ่งส่วนหนึ่งของทรัพย์สินมาจากการขายสมบัติส่วนตัวและมรดกของหลวงพ่อเอง ต่อมาเมื่อทางวัดจะสร้างโบสถ์ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์สูง คณะกรรมการของวัดจึงขออนุญาตหลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลขึ้น

    หลวงพ่อพรหม ชอบระฆัง การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมีรูประฆังและกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่อพรหม

    หลวงพ่อพรหม ไม่เคยย้ายไปอยู่วัดใดเลยตลอดระยะเวลา ๕๘ ปี โดยที่หลวงพ่อได้ลาออกจากเจ้าอาวาสเมื่อปี ๒๕๑๔ รวมเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแค ๕๔ ปี เพื่อให้พระปลัดแบงค์ ธมมวโร เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน หลวงพ่อพรหม มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๘ เมื่อเวลา ๑๕.๐๐ น. ณ.โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี รวมอายุได้ ๙๑ ปี ๗๑ พรรษา

    หลังจากหลวงพ่อพรหม มรณภาพแล้ว คณะกรรมการวัดได้บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้ว อยู่บนศาลาการเปรียญ ศพของหลวงพ่อพรหมไม่เน่าเปื่อย มด ไร มอด และ แมลง ไม่ได้รบกวนทำลายชิ้นส่วนใดๆในร่างกายของท่านแม้แต่น้อย คล้ายกับหลวงพ่อนอนหลับอยู่ แม้ว่าท่านจะมรณภาพมาแล้วถึง 30กว่าปี
    สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ หลังจากหลวงพ่อได้มรณภาพแล้วศพของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อย แถม
    ๑. เส้นผมงอกยาว ๕-๖ มม.
    ๒. เส้นขนคิ้วงอกยาว ๕-๖ มม.
    ๓. เส้นขนตางอกยาว ๑ ซม.
    ๔. หนวดงอกยาว ๕-๖ มม.
    ๕. เคราใต้คางยาว ๕-๖ มม.
    ๖. เล็บมืองอกยาว ๑ ซม.
    ๗. เล็บเท้างอกยาว ๔-๕ มม.

    หลวงพ่อพรหม มีวิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะปลุกเสกในบาตร ถ้ามีเทียนชัยจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในบาตรน้ำมนต์แล้วนำเทียนชัยวนรอบ ๆ ๙ รอบ แล้วจึงนำดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบ ๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิตอัดพลังแล้วจึงนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลายแล้วหลวงพ่อจับบาตรใส่วัตถุมงคล เพ่ง กระแสจิตอีกครั้งจนกระทั่งวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมอีกครั้งเป็นเสจ็รพิธี

    ดังนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าพระเนื้อผงของหลวงพ่อจะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนในบาตร ดังนั้นพระที่มีรอยบิ่นจึงสันนิษฐานได้ว่าได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อโดยตรง.


    ขอบคุณที่มา : ประวัติหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค

    ษฐานได้ว่า ได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อโดยตรง.
     
  2. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๗. หลวงพ่อโอด วัดจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

    [​IMG]


    ความสัมพันธ์กับหลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม

    หลวงพ่อโอด ท่านมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อรุ่ง แห่งวัดหนองสีนวลและหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพ สองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอตาคลี ในฐานะที่เป็นหลานที่ใกล้ชิด กล่าวคือ โยมพ่อของหลวงพ่อโอด คือ นายชิต แป้นโต เป็นน้องชายแท้ ๆ ของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และแม่ของนายชิต แป้นโตและหลวงพ่อรุ่ง ก็เป็นพี่สาวโยมแม่ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ดังนั้นหลวงพ่อโอดท่านจึงเรียก หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิมว่า "หลวงลุง"

    การศึกษาด้านพุทธาคม
    เมื่อท่านกลับจากการเป็นครูสอนนักธรรมที่วัดดอนยานนาว่าแล้ว ได้มาอยู่กับหลวงพ่อรุ่งที่วัดหนองสีนวล ซึ่งในระยะนี้เองที่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงพ่อรุ่ง โดยศึกษาคู่กับหลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร (พระครูวิจิตชัยการ) หลวงพ่อรุ่งได้เขี่ยวเข็ญ และพร่ำสอนท่านเป็นอย่างดี ซึ่งท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านเองได้ค่อยจะสนใจเรียนเท่าใดนัก แม้หลวงพ่อรุ่ง จะแสดงคุณวิเศษทางวิชาที่สอนให้ท่านดู ท่านก็ไม่ค่อยจะสนใจ จนหลวงพ่อรุ่งถึงกับเอ่ยปากต่อว่าท่านว่า ท่านเป็นพระหัวสมัยใหม่ สักวันหนึ่งจะต้องนึกถึงตัวท่านอยู่ศึกษาวิชากับหลวงพ่อรุ่ง จนกระทั่งหลวงพ่อรุ่งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านก็ได้รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวลต่อจากหลวงพ่อรุ่ง และในปีนี้เองชาวบ้านหนองสีนวล ชื่อนายอ๊อด ถูกลอบยิงด้วยปืนลูกซอง กระสุนฝังในทั้งเก้าเม็ด จะไปรักษาที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะเป็นยุคปลายสงคราม ญาติ ๆ ของนายอ๊อด จึงได้นำร่างที่บาดเจ็บของนายอ๊อดมาไว้ที่ศาลาวัดหนองสีนวล แล้วนิมนต์ท่านให้ทำการรักษาด้วยความจำเป็น ท่านจึงต้องรักษาให้ตามที่เขาขอร้อง โดยก่อนที่จะลงมือรักษาท่านได้จุดธูปอธิษฐานต่อหลวงพ่อรุ่งว่า "หากหลวงลุงต้องการใช้วิชานี้คงอยู่สืบไป ก็ขอให้ทำการรักษานายอ๊อดให้หาย หากรักษาหายจะเริ่มเรียน วิชาที่สอนให้ทั้งหมด" เสร็จแล้วท่านจึงทำน้ำมนต์ตามที่ได้เรียนมา แล้วนำไปให้นายอ๊อดดื่มและพรมตามบาดแผลที่ถูกปืน หลังจากนั้นท่านจึงได้เข้าจำวัดจนเช้ามืด ท่านได้ยินเสียงเรียกว่า หลวงน้า หลวงน้าผมไม่ตายแล้ว ท่านจึงลุกออกมาดู ปรากฏว่าเป็นนายอ๊อด ที่ท่านได้รักษานั่นเองผลออกมาว่าลูกปืนที่ฝังอยู่ในตัวนายอ๊อดทั้ง ๙ เม็ดไหลออกมาทั้งหมด และบาดแผลก็สมานกันดี เลือดหยุดไหล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาท่าน ดังนั้นท่านจึงหันมาศึกษาวิชาของหลวงพ่อรุ่ง ทั้งหมดอย่างจริงจัง

    ส่วนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ระยะที่ท่านอยู่หนองสีนวล ท่านได้ไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นประจำ และหลวงพ่อเดิม ท่านก็มาหนองสีนวลอยู่เป็นประจำซึ่งท่านก็ได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ จากหลวงพ่อเดิม ทั้งที่วัดหนองโพและที่วัดหนองสีนวลต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน หลวงพ่อเดิมท่านก็ได้ให้ทายกยิ้ม ทายกใหญ่วัดหนองโพ นำตำราต่าง ๆ ของหลวงพ่อเดิม ขึ้นรถไฟมาให้ท่านได้ศึกษาที่สัดจันเสนอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งหลวงพ่อเดิมมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๙๔

    จึงนับได้ว่า หลวงพ่อโอดท่านเป็นทั้งหลาน และเป็นทั้งศิษย์ ของสองพระเกจิอาจารย์ ที่โด่งดังและเกรียงไกรที่สุดของอำเภอตาคลีในยุคนั้น แต่มิใช่ว่าจะมีอาจารย์ที่ท่านได้ศึกษาทางพุทธาคม เพียงแต่หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม เท่านั้นก็ไม่ ที่ผู้เขียนรู้จากคำบอกของท่านเองยังมีอยู่อีก ๒ องค์คือ

    - หลวงพ่อพรหม วัดช่องแคอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ยุค พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านไปหาหลวงพ่อพรหมบ่อย ๆ มาก ท่านบอกว่าท่านไปเรียนวิชากับหลวงพ่อพรหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าไปเรียนวิชาอะไร แต่ที่รู้ ๆ หลวงพ่อพรหมรักใคร่ในตัวหลวงพ่อโอดมาก ถึงกับยอมมาปลุกเสกวัตถุมงคลให้ที่พระอุโบสถวัดจันเสน ซึ่งหลวงพ่อพรหมท่านไม่เคยยอมไปปลุกเสกนอกวัดช่องแคเลย

    - หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านไปอยู่เรียนกับหลวงพ่อเขน ที่วัดสิงห์เลย ท่านบอกว่า ท่านไปเรียนวิชาทำตะกรุดซึ่งหลวงพ่อเชน ท่านเก่งมากในเรื่องการทำตะกรุดโทน

    ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า พระอาจารย์ที่หลวงพ่อโอด ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนไสยเวท พุทธาคม มีอยู่ ๔ องค์คือ
    ๑. หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๔. หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี

    ด้านวิปัสนากรรมฐาน
    หลวงพ่อโอดท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิบัติมาก ท่านศึกษามาจาก หลวงพ่อรุ่ง ต่อมาท่านได้ไปศึกษาต่อที่สำนักวิปัสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ และต่อมาในปี ๒๕๐๕ ท่านได้ไปศึกษาต่ออีกที่วิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรี จนท่านมีความชำนาญ และมีพลังจิตที่กล้าแข็ง สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีต และในอนาคตอย่างแม่นยำ ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านได้เปิดสำนักสอนวิปัสนากรรมฐานขึ้นที่วัดจันเสน โดยท่านเป็นผู้สอน และในระยะเวลาที่เข้าพรรษาท่านจะนั่งปฏิบัติของท่านติดต่อกัน ๗ วัน โดยไม่ลุกออกมาจากกุฏิเลย ผมในวัยที่ท่านชราภาพและป่วยก็จะปฏิบัติของท่านอยู่เสมอ ในตอนกลางคืนและตอนเช้ามืด แม้จะป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก็ตามมีเมตตาสูงยิ่ง

    หลวงพ่อโอดท่านเป็นพระที่มากด้วยเมตตา ท่านตัดแล้วซึ่งโกรธ โลภ หลง วันหนึ่ง ๆ ท่านจะนั่งคอยรับแขก อยู่ทั้งวัน ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจไปหาท่าน ท่านก็จะให้คำแนะนำที่ดีแก่เขาเหล่านั้น ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น คนรวย คนจน ท่านอนุเคราะห์ให้แก่เขาเหล่านั้นเสมอกันทุกคน มีบางคนขึ้นไปขอเงิน ขอข้าวของต่างๆจากท่าน ท่านก็ให้โดยมิได้หวงแหน บางคนนำของมาเสนอขายให้ท่าน ท่านก็ซื้อไว้ทั้งที่รู้ว่าเป็นของไม่ดี เช่นนำพระเครื่อง พระบูชา มาให้ท่านเช่า ท่านก็มีเมตตาเช่าไว้ โดยท่านพูดว่า เมื่อชาติก่อนติดค้างเขาไว้ ชาตินี้เขาจึงต้องตามมาทวงคืน ให้ ๆ เขาไปเถิดจะได้ไม่ต้องติดค้างกันอีก ในการพูดคุยกับญาติโยมที่มาหาหรือว่ากล่าวใคร ท่านยิ้มอยู่เสมอ แม้แขกมานั้นจะจู้จี้ พูดมาก จนน่าเบื่อเพียงแค่ไหน ท่านก็ไม่มีอาการให้เห็นว่าท่านรำคาญหรือรังเกียจเขาเหล่านั้น แต่จะยิ้มเสมอ ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นท่านแสดงอาการโกรธ หรือดุด่าว่ากล่าวใครเลย นับว่าท่านมีเมตตาสูงยิ่ง

    อาพาธและมรณภาพ
    หลวงพ่อโอดท่านป่วยด้วยโรคเบาหวานมานานนับสิบๆปี แต่ท่านก็ใช้พลังจิตของท่าน ข่มกลั้นความเจ็บป่วยนั้นมาตลอด ไม่หนักหนาจริง ๆ ท่านจะไม่ยอมให้พาท่านไปโรงพยาบาลเลย จนบั้นปลายของชีวิต อาการเบาหวานของท่านกำเริบมาก จนเท้าของท่านบวมอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการวัดและศิษย์ของท่าน ก็นำท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ บ้าง ที่บ้านหมี่บ้าง แต่ท่านเองก็ไม่ค่อยจะยอมไปเพราะท่านเกรงใจเขาเหล่านั้นที่จะต้องมาเสียค่า ใช้จ่ายในการรักษาท่าน จนครั้งหลังสุดอาการเบาหวานของท่านกำเริบมากจนไตไม่ทำงาน ต้องนำเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เพื่อล้างไต เมื่ออาการดีขึ้นท่านก็ขอให้ท่านกลับวัด มาอยู่จันเสนได้ไม่นานอาการของท่านทรุดลงอีก คณะศิษย์จึงนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ได้ไม่นาน ท่านก็มรณภาพด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ เวลา ๒ ทุ่มเศษ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นวันอาสาฬบูชา ประชนชนชาวจันเสนและใกล้เคียง ต่างเศร้าโศกเสียใจ อาลัยในมรณภาพของท่านมาก ทางคณะกรรมการวัดได้เคลื่อนศพของท่านจากโรงพยาบาลบ้านหมี่ มายังวัดจันเสน มีประชาชนเข้าร่วมขบวนแห่มากมายเป็นประวัติการณ์ปัจจุบันร่างของท่านยังอยู่ ที่ตึกนิสิตสามัคคี เปิดให้ประชนชนทั่วไปได้สักการบูชาทุก ๆ วัน สิริรวมอายุได้ ๗๒ ปี ๖ เดือน ๑๙ วัน ๕๐ พรรษา

     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๘. วนอุทยานถ้ำเพชร-ถ้ำทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    เป็นวนอุทยานที่ตั้งอยู่ ณ บ้านชอนเดื่อ ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้จัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ นอกจากมีทิวทัศน์ที่มีจุดสนใจจากผู้มองจากภายนอกที่มีสภาพป่าสลับกับภูเขาหินปูนแล้ว ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเขา เอกลักษณ์ที่สำคัญคือ ถ้ำหินปูนใหญ่น้อยกว่า ๗๐ ถ้ำ ปัจจุบันเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยว ได้แก่

    ถ้ำดาวดึงส์ อยู่ทางด้านทิศเหนือ มีห้องโถงขนาดใหญ่จุคน ๔๐๐ - ๕๐๐ คน มีช่องระบายอากาศด้านบน ถ้ำที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้แก่ ถ้ำเจ้าพ่อเสือ ถ้ำวิมานลอย ถ้ำมหาโพธิ์ทอง

    ถ้ำประกายเพชร อยู่ในด้านทิศตะวันตก ลึกประมาณ ๕๐ เมตร มีห้องโถงขนาดใหญ่ ๕ ห้อง มีหินงอกหินย้อยรูปต่าง ๆ ได้แก่ ปลาโลมาและกำแพงเมืองจีน เป็นต้น

    ถ้ำประดับเพชร ทางด้านใต้ ถ้ำเป็นห้องโถง ๔ ห้อง หินงอกหินย้อยสีน้ำตาลอ่อน-ขาวนวล สีแสงระยิบระยับเหมือนเพชร

    ถ้ำวังไข่มุก อยู่ทางด้านใต้ มีหินงอกหินย้อยสีน้ำตาลเข้ม น้ำตาลอ่อน จนถึงสีขาวนวล มีห้องโถง ๓ ห้อง ประดับด้วยเกล็ดเพชร ส่องแสงเป็นประกายคล้ายพระราชวัง มีบันไดให้ขึ้นไปชม
     
  4. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๙. หลวงปูู่่ฤาษีตาไฟ วัดหนองทาระภู อ.หันคา จ.ชัยนาท

    [​IMG]

    หลวงปู่ฤาษีตาไฟ วัดหนองทาระภู อ.หันคา หลวงปู่อายุไม่มากประมาณ ๔๕ ปีแต่เหตุที่เรียกหลวงปู่ เพราะท่านเป็นพระที่เคยเป็นร่างของฤาษีตาไฟ แล้วป่วยมาตลอด จนอธิษฐานจิตบวชเรียนในพุทธศาสนา ก็เลยเคร่งครัดในพระธรรมวินัยจนจิตท่านนิ่ง ปัจจุบันท่านได้สร้างมหาวิทยาลัยจันทรเกษม วิทยาเขตสรรคบุรี สำเร็จโดยที่คณาจารย์ทั้งมหาวิทยาลัยนับถือท่านมาก เพราะท่านทำบุญเกี่ยวกับการศึกษาเยอะ ท่านเป็นพระดีที่ชาวจังหวัดชัยนาทเคารพนับถือมากอีกองค์หนึ่ง ​
     
  5. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๐. หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

    [​IMG]

    สุดยอดอิทธิฤทธิ์ หลวงปู่ศุข
    [​IMG]หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า เกิดปีวอก ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ครอบครัวของท่านเป็นชาวนา เมื่อท่านมีอายุ ๗ ขวบ บิดาได้นำตัวไปฝากไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าเพื่อให้ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน กระทั่งแตกฉานทั้งหนังสือไทยหนังสือขอม
    หลวงปู่ศุขกลับมาอยู่บ้าน เมื่อเป็นหนุ่มแล้ว และมีคู่ครองกับสาวงามคนหนึ่ง มีลูกชาย ด้วยกันหนึ่งคนชื่อ สอน เกศเวช สุริยา ครั้นอายุครบบวช ท่านก็อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ศึกษาทั้งพระปริยัติและปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง ก็ออกจาริกธุดงค์แสวงหาพระอาจารย์ และโมกขธรรม หลายปีดุจสาบสูญเพราะไม่กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าเลยตั้งแต่ออกธุดงค์

    เมื่อหลวงปู่ศุข กลับคืนลำเนาบ้านเกิด ภูมิจิตรภูมิธรรม ของท่านก็บรรลุถึงขั้น เป็นอัศจรรย์ และว่ากันว่าท่านสำเร็จกสิณ ๑๐ แสดงฤทธิ์อภิญญาได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ

    หลวงปู่ศุข เกสโร เป็นพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธาที่สุดของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ การที่กรมหลวงชุมพรฯ มีโอกาสมอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ศุข จะกล่าวว่าเป็นเพราะมีกรรมผูกพันต่อกัน แต่ปางก่อนก็คงไม่ผิดนัก ทั้งนี้เนื่องจาก กรมหลวงชุมพรฯ มิได้มีจุดประสงค์เจตนามุ่งตรงไปนมัสการหลวงปู่ศุข หากบังเอิญผ่านไปพบท่านโดยบังเอิญ กล่าวคือ

    เมื่อครั้ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปตากอากาศทางภาคเหนือ พระองค์เสด็จทางเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เรือกลไฟลากจูงเรือประเทียบที่พระองค์ประทับและหม่อม พร้อมทหารมหาดเล็ก เมื่อตอนเสด็จกลับ พระองค์สั่งให้เข้าทางแม่น้ำท่าจีน ขณะล่องเรือมาถึงหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เครื่องยนต์เรือกลไฟ เกิดขัดข้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้แล่นต่อไปไม่ได้ จะแก้ไขอย่างไรก็ไม่ติด พวกทหารเรือมหาดเล็กจึงช่วยกัน ชะลอเรือ เข้าเทียบท่าหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อแก้ไขเครื่องยนต์

    การที่เครื่องยนต์เรือกลไฟเสีย เป็นการแสดงฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข ซึ่งขณะนั้นท่านนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ และกำลังให้เด็ก ตัดหัวปลีกล้วย มากองตรงหน้า เมื่อได้หัวปลีกองใหญ่หลวงปู่ศุขก็เดินไปนั่งข้าง ๆ กองหัวปลี หยิบหัวปลีขึ้นมาทีละหัว เอามือลูบ แล้ววางลง หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายสีขาวน่ารัก กระโดดโลดเต้นไปมา หลวงปู่ศุขทำให้หัวปลีทั้งกอง กลายเป็นกระต่ายฝูงใหญ่ กระโดดไปมาเต็มหน้าศาลาด้วยฤทธิ์ทางใจของท่าน เหตุการณ์อัศจรรย์ทั้งหมดนี้ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเห็นโดยตลอด ด้วยความมหัศจรรย์พระทัยอย่างยิ่ง หลังจากหลวงปู่ศุข ปล่อยให้ฝูงกระต่ายขาวโลดเต้นสักพักหนึ่ง ท่านก็เรียกกระต่ายขาว มาหาทีละตัว ช้อนมันขึ้นมา เอามือลูบหลังเบา ๆ พอวางกระต่ายลงก็กลายเป็นหัวปลีดังเดิม ในที่สุดกระต่ายทั้งหมด ได้กลายเป็นหัวปลีกองอยู่ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงเสด็จขึ้นจากเรือพร้อมทหารเรือมหาดเล็ก ดำเนินมานมัสการหลวงปู่สุข พูดคุยสนทนากับท่านและขอฝากตัวเป็นศิษย์

    [​IMG]

    [​IMG]กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ไม่ถือพระองค์ ว่าเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน รู้จักนอบน้อมถ่อมตน เป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ศุขอย่างยิ่ง

    หลวงปู่ศุขได้ถาม กรมหลวงชุมพร ฯ ว่า อยากเห็นท่านทำให้คนกลายเป็นจระเข้หรือไม่ กรมหลวงชุมพรฯ ตอบว่าอยากเห็น ท่านจึงให้คัดมหาดเล็ก ที่มีรูปร่างล่ำสันแข็งแรงมาคนหนึ่ง กรมหลวงชุมพร ฯ ได้รับสั่งให้พลทหารจ๊อกเป็นผู้อาสา หลวงปู่ศุขบอกให้หาเชือกมะนิลาขนาดเขื่องมาหนึ่งเส้นและมัดเอวพลทหารจ๊อกไว้ ปลายเชือกอีกด้าน ท่านถือเอาไว้ จากนั้น ก็พาไปยังสระน้ำของวัด ให้พลทหารจ๊อกนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ สระพร้อมกับหลับตาพนมมือแล้วหลวงปู่ศุข ก็สงบจิตหลับตานิ่งสู่ภูมิแห่งสมาธิ อธิษฐานจิต ให้เกิดฤทธิ์ทางใจอันแก่กล้า จากนั้นท่านก็เอื้อมมือข้างหนึ่งตบหลังพลทหาร ร่างของพลทหารจ๊อก ก็ถลาหล่นตูมลงไปในสระ

    พลันนั้น...ความมหัศจรรย์อันเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาของทุกคน นั่นคือเมื่อร่างของพลทหารจ๊อกจมหายไปในน้ำ และผุดโผล่ขึ้นมาใหม่กลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่ดำผุดดำว่าย ฟาดหัวฟาดหางตูมตามน้ำแตกกระจาย ทำให้กรมหลวงชุมพรฯ และพลทหารมหาดเล็กตื่นเต้นเหลือจะกล่าว

    หลวงปู่ศุขให้ทุกคนได้ชมจระเข้พลทหารจ๊อกพอสมควรแล้ว ก็ยื่นปลายเชือกให้พวกทหารถือไว้ สั่งว่าให้ดึงเชือกที่ผูกเอวจระเข้ตึง ๆ อย่าให้จระเข้ดำลงไปกบดานได้ แล้วท่านก็เดินไปยังกุฏิ เอาน้ำใส่ในบาตรทำพิธี อธิษฐานจิต ลงไปยังน้ำในบาตร เสร็จแล้วก็ประคองบาตรน้ำพระพุทธมนต์มาที่ริมสระ แล้วรดน้ำพระพุทธมนต์ไปที่ร่างของจระเข้ตั้งแต่หัวจรดหาง จระเข้ใหญ่ ก็ดำน้ำลงไป ครั้นโผล่ขึ้นมากลายเป็นพลทหารจ๊อกมีเชือกผูกติดเอวอยู่เช่นเดิม

    ทันทีที่ร่างกายคืนสภาพกลับเป็นคนเช่นเดิม พลทหารจ๊อกก็สาวเชือกผูกเอวขึ้นมาจากสระ มีการสอบถามกันขรมว่า ขณะที่เป็นจระเข้ มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร พลทหารจ๊อกได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่หลวงปู่ศุขบอกว่าจะเสกตนให้กลายเป็นจระเข้ก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะคนจะกลายเป็นจระเข้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ครั้นถูกหลวงปู่ศุขท่านตบลงที่กลางหลัง มีความรู้สึกเหมือนกับถูกผลัก ให้ลอยละลิ่วลงไปในสระ ขณะนั้นมีอาการขนลุกขนพองสยองเกล้าบอกไม่ถูก เมื่อร่างกายสัมผัสน้ำ พลันเกิดความรู้สึกว่ามีพละกำลังเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่รู้ว่ากำลังมาจากไหน ตนจึงดำผุดดำว่ายเล่น อย่างสนุกสนาน แต่ก็เกิดความสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง คือคนที่มุงดู อยู่รอบสระทำไมถึงได้แสดงอาการตื่นเต้นตะลึงตาค้างเป็นแถว ทั้ง ๆ ที่เหลือบมองดูตัวเองก็เห็นแขนขาเป็นปกติทุกอย่าง ร่างกาย ก็เป็นคนเช่นเดิม ไม่เห็นเปลี่ยนเป็นจระเข้ ตามคำพูดของหลวงปู่ศุข จิตใจรู้สึกเฉย ๆ สบายดีไม่เห็นตื่นเต้นเหมือนกับพวกที่อยู่บนฝั่ง

    การที่หลวงปู่ศุขแสดงฤทธิ์ได้เช่นนี้ ท่านอาศัยจิตภาวนาอันเป็นขั้นสุดยอดแห่งสมถกรรมฐานระดับฌาน หรือที่เรียกว่า "ฌานสมาบัติ" จนมีความชำนาญอย่างยิ่งในเรื่องของวสีเครื่องอาศัยเหล่านี้เอง จึงปรากฏว่าหลวงปู่ศุข สามารถบรรลุธรรมขั้นสูง ที่เรียกว่า อภิญญาญาณ

    จากนั้นหลวงปู่ศุขท่านจะอธิษฐานฤทธิ์ ด้วยวิธีการหรือความต้องการใด ๆ ก็จะปรากฏผลดังจิตปรารถนาได้อย่างฉับพลัน ซึ่งนอกจากจะมีความคล่องแคล่วว่องไวแล้ว ยังทรงอานุภาพสูงยิ่ง เพียงแค่ชั่วกะพริบตาเดียวก็จะบรรลุผลทันที.....

    คัดลอกจากหนังสือ ฤทธิ์อภิญญา-พระอภิญญาณ


     
  6. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๑. หลวงพ่อสมควร วัดศรีสวรรค์สังฆาราม (วัดถือน้ำ) อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    วัดศรีสวรรค์สังฆารามเดิมมีชื่อว่า วัดถือน้ำ เหตุที่ชื่อวัดถือน้ำเป็นเพราะในอดีตวัดนี้เคยเป็นสถานที่สำหรับราชการกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยมีใบหอก ใบพาย มีดดาบสมัยโบราณ ต่อมาทางจังหวัดได้สร้างศาลหลักเมืองขึ้นจึงย้ายไปประกอบพิธีที่นั่นแทนและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีสวรรค์สังฆาราม

    วัดศรีสวรรค์สังฆารามนี้สันนิษฐานว่าได้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดูจากศาลาท่าน้ำในสมัยรัชกาลที่ ๕ และสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่นั่นก็คือ พระอุโบสถสมัยอู่ทอง

    เจ้าอาวาสองค์แรก คือ หลวงพ่อสว่าง ในเวลาต่อมาหลวงพ่อสมควรได้ธุดงค์์ผ่านมาจึงขอพัก และได้ทำนุบำรุงวัดจนเจริญ เมื่อหลวงพ่อสว่างมรณภาพ จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อสมควรขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน หลวงพ่อสมควรท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ท่านชอบไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำวัดเขาหินเทิน จนได้แก้วสารพัดนึกและท่านได้ฉายาว่า พระครูนิมิตวนกรรม ท่านเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน เมื่อท่านมรณภาพ ศพของท่านไม่ได้เน่าเปื่อยเหมือนคนธรรมดา ทางวัดจึงได้บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ประชาชนได้มากราบไหว้ แล้วจึงแต่งตั้งให้พระอาจารย์ณรงณ์ ขัณฐศรีโร (นามสกุลจริงคือ อิ่มจิตร) หรือพระอาจารย์นุ่น เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน


     
  7. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๒. หลวงพ่อทอง วัดวรนาถบรรพต (เขากบ) อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    ประวัติลึก ๆ แล้ว ยังไม่มีใครรวบรวมไว้เลย ที่มีปรากฏอยู่ก็จะเป็นประวัติย่อ ๆ หลวงพ่อทองเป็นพระธุดงค์รูปหนึ่งที่ธุดงค์มาจาก จ.อุตรดิตถ์ ผ่านมาเห็นสภาพวัด ซึ่งขณะนั้นได้เป็นวัดร้าง ปกคลุมด้วยป่าไผ่และต้นไม้น้อยใหญ่ มีความสงบร่มรื่น จึงได้ปักกลดเจริญภาวนา ครั้นชาวบ้านในพื้นที่ได้พบเห็นจึงได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้พร้อมใจกันอาราธนานิมนต์ให้พำนักจำพรรษาและได้ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัด

    ด้วยความที่หลวงพ่อทอง ท่านเป็นพระเถราจารย์ที่เข้มขลังเรืองเวทย์รูปหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทุกหมู่เหล่า การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดจึงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

    ในปี พ.ศ ๒๔๘๑ หลวงพ่อทองเป็นพระเกจิอีกหนึ่งองค์ ที่ได้เข้าร่วมในงานพิธีหล่อพระพุทธรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ต่อมาทางคณะสงฆ์ได้ส่งพระสมุห์ทองใบ มาช่วยในงานบูรณะวัด จนถึง ปี พ.ศ ๒๔๘๔ หลวงพ่อทองก็ได้มรณภาพลง พระสมุห์ทองใบก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อทองในปี พ.ศ ๒๔๘๕

    หลวงพ่อทอง วัดเขากบ เป็นพระเถราจารย์ที่มีคุณงามความดี มีวิชาที่เข้มขลัง เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทุกหมู่เหล่า น้ำมนต์หลวงพ่อทองศักดิ์สิทธ์มาก แต่จะเป็นที่รู้กันของชาวบ้านว่าน้ำมนต์หลวงพ่อทอง ให้อธิิษฐานแล้วให้ดื่มได้อย่างเดียว ห้ามใช้อาบโดยเด็ดขาด



     
  8. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๓. หลวงพ่อทองดี วัดไทรเหนือ อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    หลวงพ่อทองดี เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ณ ตำบลระรัว อำเภอ โมง จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา เชื้อชาติเขมร สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ อาชีพเดิม ทำนา

    บิดาชื่อนายอวน พรหมต่วน มารดาชื่อนางบุญ พรหมต่วน เมื่ออายุ ๑๘ ปี ได้บรรพชาที่วัดสุริยา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ บรรพชาอยู่จนอายุ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ ที่วัดสุริยา โดยมีพระครูสิน วัดวิหารหลวง อำเภอเมือง จังหวัดกัมปงชะนัง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเจือ วัดสุริยา อำเภอโมง จังหวัดพระตะบอง เป็นกรรมวาจาจารย์ พระปลัดอม วัดวิหารหลวง อำเภอเมือง จังหวัดกัมปงชะนัง เป็นอนุสาวนาจารย์ วิทยฐานะ ป.๔

    เป็นเจ้าอาวาสวัดไทรเหนือแทนสืบต่อมา และได้รับใบแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสจาก เจ้าคุณนิทานโพธิวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ วัดพรหมจริยาวาสในขณะนั้น หรือหลวงพ่อพระเทพคุณาภรณ์ (หลวงพ่อพุฒ) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธาราม เมื่อ พ.ศ ๒๕๐๑

    หลวงพ่อทองดี มีวิชาอาคมขลัง มีประชาชนเคารพเลื่อมใสกราบไหว้บูชามากมาย รู้จักกันมากในวงการของแม่ค้าแม่ขาย เป็นคนง่าย ๆ กันเองและจริงใจต่อทุกคน คนใกล้ชิดท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยหนึ่งมีอาซิ้มอยุ่ตลาดปากน้ำโพ มาขอน้ำมนต์หลวงพ่อเพื่อจะเอาไปอาบให้เกิดโชคลาภตามข่าวที่เขาเล่าลือ มาถึงก็พบหลวงพ่ออยู่ที่ลานวัด หลวงพ่อก็ถามว่า มาขอน้ำมนต์ใช่ไหม อาซิ้มตอบว่า ใช่ หลวงพ่อเลยให้สามเณรไปตักน้ำมา แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่ตรงนั้นเองพอทำเสร็จก็บอกให้อาซิ้มตักน้ำเอามนต์ไปอาบ อาซิ้มไม่พอใจคิดเอาว่า หลวงพ่อทำให้ตนเล่น ๆ ไม่ขลังอะไร เลยคว้ากระป๋องน้ำมนต์เททิ้ง แต่น่าอัศจรรย์ เทเท่าไรน้ำก็ไม่ออก อาซิ้มเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงนั่งลงกราบจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วเอาน้ำมนต์ไปกินไปอาบอยู่เย็นเป็นสุข และอยู่ดีเหมือนนามหลวงพ่อทองดี

    แต่แล้วเหตุการณ์ที่พี่น้องชาวบ้านและศิษยานุศิษย์โดยทั่วไปไม่คาดคิดมาก่อนก็ เกิดขึ้นเมื่อเย็นของวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อทองดีเกิดอาพาธขึ้นโดยกระทันหัน โดยมีอาการเหนื่อยและหอบ ญาติโยมกรรมการวัดศิษยานุศิษย์ก็รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แพทย์ก็ทำการรักษาโดยเต็มที่ หลวงพ่อจะบ่นว่าเหนื่อย หายใจไม่ออก บางครั้งเบาลง บางครั้งก็มีอาการหนักขึ้น จนกระทั่ง เวลา ๐๖.๐๕ น. ของวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อก็สิ้นใจ ต่อหน้าญาติโยม ศิษยานุศิษย์ โดยที่ทุกคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า หลวงพ่อของพวกเราทุกคนจะจากไปไวขนาดนี้ สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่ญาติโยมศิษยานุศิษย์เป็นอันมาก

    หลวงพ่อทองดี สิริปญโญ สิริรวมอายุได้ ๗๙ ปี ๓ เดือน ๑๘ วัน ๖๑ พรรษา ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณะภาพลงเคยบอกกับทายกและคณะกรรมการไว้ว่า เมื่อท่านมรณะภาพแล้วให้เก็บศพท่านไว้ที่กุฎิของท่าน หรือถ้าเงินของหลวงพ่อมีอยู่ ก็ให้สร้างวิหารไว้ให้ท่าน ศิษยานุศิษย์ทุกคนก็ทราบความประสงค์ของท่าน จึงได้สร้างวิหารเก็บศพของหลวงพ่อไว้คู่กับวัดไทรเหนือ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของศิษยานุศิษย์และประชาชนสืบไป


     
  9. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๔. พระจุฬามณีเจดีย์ เขาดาวดึงส์ วัดคีรีวงศ์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    พระจุฬามณีเจดีย์ ที่เห็นในสมาธิบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีลักษณะเป็นฐาน ๔ เหลี่ยม และรอบฐานนั้นมีภาพพุทธประวัติเป็นภาพนูน เมื่อสร้างเสร็จแล้วให้เอาพระธาตุบรรจุที่พระเจดีย์ หรือจะอธิษฐานให้พระธาตุกลับมาอยู่ที่เดิมก็ได้ วัดคีรีวงศ์จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปอีกนาน

    ลักษณะของวัดมีลักษณะเป็นภูเขา ด้านเหนือด้านตะวันออกและด้านตะวันตกเป็นภูเขา มีทางเข้าด้านทิศใต้ทางเดียว มีลักษณะคล้ายฮวงจุ้ย เดิมชื่อเขาใหญ่ ปัจจุบันชื่อ เขาดาวดึงส์ เพราะตั้งอยู่ตรงถนนดาวดึงส์และอยู่เมืองนครสวรรค์


    พระจุฬามณีเจดีย์ ตั้งอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์ วัดคีรีวงศ์ กลางใจเมืองนครสวรรค์ เมื่อเดินทางถึงเมืองนครสวรรค์แล้ว จะมองเห็นพระจุฬามณีเจดีย์งามสง่า พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระวิกรมมุนี (หลวงพ่อมหาบุญรอด) เจ้าอาวาสวัดคีรีวงศ์รองเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้ริเริ่มสร้างพระจุฬามณีเจดีย์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ประมาณ ๑๕ ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ก่อสร้างไปแล้วประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์

    นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐของชาวนครสวรรค์ และพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เมื่อพระเดชพระคุณพระวิกรมมุนี เจ้าอาวาสวัดคีรีวงศ์ ได้ดำเนินการก่อสร้างพระจุฬามณีเจดีย์ ประดิษฐานไว้บนยอดเขาดาวดึงส์ เพื่อให้ผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัธาต่อพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กระทำการสักการะบูชาและนึกถึง คุณของพระศาสดาพระบรมสารีริกธาตุ


     
  10. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๕. หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    นามเดิม จ้อย (ภาษาลาวกะลา แปลว่า ผอม)
    ฉายา จนฺทสุวณฺโณ
    นามสกุล ปานสีทา
    วัดศรีอุทุมพร หมู่ที่ ๙ ต.หนองกรด อ.เมือง จ.นครสวรรค์

    ชาติภูมิ ต.พรวงสองนาง อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
    ชาติกาล วันอังคารที่ ๘ เมษายน ๒๔๕๖ (ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู) เป็นบุตรคนที่ ๒ ของนายแหยม นางบุญ ปานสีทา มีพี่น้องด้วยกัน ๖ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๓ คน คือ
    ๑. นางทองดี
    ๒. พระครูจ้อย หรือ หลวงพ่อจ้อย จนฺทสุวณฺโณ
    ๓. พระภิกษุสิงห์
    ๔. นางแต๋ว
    ๕. นางหนู
    ๖. พระภิกษุสุเทพ

    อุปสมบทเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๗๖ ที่วัดดอนหวาย ต.พรวงสองนาง อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี โดยมีพระปลัดตุ้ยเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญธรรมเป็น พระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์บุญตาเป็นพระอนุสาวนาจารย์

    วิทยฐานะ
    ๑. พ.ศ.๒๔๗๐ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนวัดดอนหวาย อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
    ๒. พ.ศ. ๒๔๘๐ สอบนักธรรมชั้นตรีได้
    ๓. พ.ศ. ๒๔๘๑ สอบนักธรรมชั้นโทได้
    ๔. การศึกษาพิเศษ หลักสูตรพระอภิธรรมและวิปัสสนากรรมฐานจากวัดระฆังโฆษิตารามและวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร
    ๕. มีความรู้ ความชำนาญในการเผยแพร่ธรรมแก่พุทธบริษัท และพระสงฆ์ที่ไปอยู่ปริวาสกรรมเป็นอย่างดี
    ๖. มีความรู้ความชำนาญในการก่อสร้างทุกชนิด

    เมื่อหลวงพ่อจ้อย อุปสมบทแล้วได้อยู่จำพรรษาเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดดอนม่วง ต.วังม้า อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ จำพรรษาอยู่ ๕ พรรษา แล้วไปศึกษาพระอภิธรรมและวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์กับพระ อาจารย์เจชินซิ่งมาจากประเทศพม่า และยังได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับท่านเจ้าคุณภาวนาภิราม (สุกปวโร) และหลวงปู่นาก ที่วัดระฆังโฆษิตาราม ซึ่งเป็นสายเดียวกันกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) โดยมีหลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู ก็ไปศึกษาที่นั่นด้วย ใช้เวลาศึกษาอยู่ที่วัดระฆังโฆษิตารามหลายปี จึงได้กลับมาจำพรรษาและพัฒนาวัดศรีอุทุมพร

    หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อนิยมการออกธุดงค์รุกขมูล (อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร) ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความวิเวก ทดสอบความอดทน เพื่อเผ่าผลาญกิเลสตัณหา อันได้แก่ความโลภ ความโกรธและความหลง และเพื่อศึกษาสัจจธรรมอันเป็นหนทางแห่งความหลุดพ้นตลอดจนวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ ต่าง ๆ ที่เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงโด่งดัง หลวงพ่อจ้อย ได้ขึ้นไปตั้งต้นเดินธุดงค์ที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ลงมาถึงจังหวัดนครปฐมและศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พบกับหลวงพ่อฉาบ วัดคลองจัน อ.หันคา จ.ชัยนาท หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอมอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ได้แลกเปลี่ยนวิชาความรู้ต่าง ๆ แก่กันและหลวงพ่อยังได้โอกาสไปศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ ชื่อดังในสมัยนั้นจากนั้นได้ศึกษาอักขระขอมลาวจนมีความรู้แตกฉานเป็นอย่างดี

    ขอบคุณที่มา ประวัติจากอนุสรณ์ พิธีพระราชทานดินบรรจุศพ เป็นกรณีพิเศษ หลวงพ่อจ้อย จนฺทสุวณฺโณ


     
  11. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๖. หลวงปู่เปลื้อง อายุ ๑๐๗ ปี วัดลาดยาว อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์

    [​IMG]

    พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงปู่เปลื้อง จัตตสัลโล" วัดลาดยาว จ.นครสวรรค์ อายุ ๑๐๗ ปี ๘๗ พรรษา ปัจจุบันท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นามเดิม เปลื้อง นามสกุล แย้มสุข เป็นบุตร โยมพ่อท้วม โยมแม่สงวน เกิดที่บ้านท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ท่านเกิดวันแข็งคือวันอังคาร ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๔๔ มีพี่น้อง ๑๐ คน หลวงปู่เป็นคนที่ ๒ ซึ่งในเขตนั้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท โด่งดังมาก

    หลังจากท่านบวชเณรได้ไปกราบหลวงปู่ศุข ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านลง "วิชานะฤๅชา" ที่กลางกระหม่อมให้และลงมือสองข้างด้วยพุทธม้วนโลก เท่ากับเป็นการครอบให้เป็นศิษย์สายตรงถึงตัว สืบต่อมาท่านได้เรียนรู้วิชานี้และลงได้ขลังมาก มีนัยแฝงแบ่งบารมีที่หลวงปู่ศุขฝากใว้ในตัวท่านให้ลูกศิษย์ลูกหารุ่นหลังสืบต่อไป ท่านจึงเป็นศิษย์ที่สืบถึงตัวและถึงหัวใจหลวงปู่ศุข

    จากบวชเณรพอได้เวลาบวชพระ ท่านได้อุปสมบทกับสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ฯ และสอบเปรียญ ๔ ประโยค ได้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระวันรัตท่านฝากไปเรียนกับสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ เทียวมาเทียวไปจากวัดมหาธาตุ ฯ กับวัดสุทัศน์หลายหน หลวงปู่เปลื้อง ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ตัวท่านเองจำไม่ได้ว่า ตอนที่ไปเรียน สมเด็จ ฯ ท่านเป็นสมเด็จพระวันรัตหรือยัง เพราะเรียกท่านว่า "ใต้เท้าบ้าง ฝ่าพระบาทบ้าง" และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทร์ ฯ หลวงปู่เล่าว่า สมเด็จ ฯ ท่านเคร่งครัดเรื่องพระธรรมวินัยมาก หลวงปู่เปลื้องเป็นศิษย์หลวงปู่ภู (พระครูธรร มานุกูล) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ ฯ โดยบังเอิญ เพราะตามพระเพื่อนกันไปขอพระจากท่าน ท่านก็ให้พระองค์เล็ก ๆ ขาว ๆ มา (ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร) แล้วท่านยังบอกวิธีเจริญสมาธิ แนะกรรมฐานให้ ติดขัดอะไรท่านก็บอก หลวงปู่ภูมีเมตตามาก

    ในขณะนั้นสมเด็จพระวันรัต (เฮง) ส่งให้มาคุมมณฑลสี่แคว (เมืองนครสวรรค์) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ตอนอายุเพียง ๓๑ ปีเท่านั้น ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดง พระเกจิอาจารย์ระบือนามยิ่งใหญ่แห่งนครสวรรค์

    พอหลวงพ่อพวงมรณภาพ หลวงปู่เปลื้องได้รับสมณศักดิ์เดียวกับหลวงพ่อพวง ชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อพวง ๒" จากนั้นไปต่อวิชากับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ หลวงปู่เปลื้องไปเป็นครูสอนบาลีที่ท่าตะโก ต่อมาท่านย้ายไปอยู่วัดไทยใต้ พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่านมาดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอ ลาดยาว จนปัจจุบันอยู่ที่อำเภอลาดยาว ๗๖ ปี

    หลวงปู่เปลื้องถือศีลถือธรรมเข้มข้น ว่าคาถาปลุกเสกทั้งดีทั้งแรง คงความขลังลองกันนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าปากท่านศักดิ์สิทธิ์นัก ท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใคร ท่านบอกว่าดี ต้องดี บอกว่ารวยต้องรวย ทุกวันนี้ท่านได้ฉายาว่า "หลวงปู่ใหญ่" ใครก็เกรงบารมี เป็นที่เคารพรักของสาธุชนรุ่นหลานเหลน ถึงอายุจะมากท่านไม่หลงไม่ลืม ให้พรบอกนำกล่าวถวายทานได้ เป็นอุปัชฌาย์บวชให้ศิษย์นับหมื่น

    ขอบคุณที่มา :ประวัติหลวงปู่เปลื้อง

     
  12. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ๑๗. วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

    [​IMG]


    วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ตั้งอยู่ในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ให้ใช้สถานที่จำนวน ๙๖ ไร่ ๒ งาน ๕๘ ตารางวา เพื่อสร้างวัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดชมหาราช ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา และได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๘

    วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ สร้างเป็นรูปเรือหลวง มีความหมายถึงพาหนะที่จะช่วยขนสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฎ (ทะเลวน) ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ห้วงน้ำคือกิเลส เรือที่ตั้งอยู่บนเกาะหรือภูเขา หมายถึง เป็นสถานที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือท่วมทับแก่บุคคลที่มีปัญญาไม่ได้ ผู้มีปัญญา มีความขยัน ไม่ประมาทตามกิเลส มีความสำรวมระวังดี ก็จะอยู่บนเรือลำนี้ได้โดยปลอดภัย

    เรือหลวงอันเป็นที่ตั้งของวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ มีชื่อเรือว่า "ราชญาณนาวาทีฆายุมงคล" เพราะสร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรือหลวงนี้มีความกว้าง ๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๖ ไร่เศษ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงสถาบันแห่งชาติทั้งสิ้น ได้แก่

    ๑. มณฑปเรือนแก้ว ซึ่งเป็นอุโบสถของวัด เป็นสถาปัตยกรรมประยุกต์ไทยอินเดีย

    ๒. ศาลาเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในฐานะทรงเป็นพระบิดาแห่งราชนาวีไทย

    ๓. ลานธรรมจักร เป็นลานกว้างขนาด ๗ x ๗ เมตร บนลานแห่งนี้ประดิษฐานแท่นพระธรรมจักร

    ๔. พระพุทธเอกนพรัตน์ ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณหัวเรือราชญาณฑีฆายุมงคล
    ซึ่งสร้างขึ้นในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดชมหาราช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี

    ๕. พระภควัมบดี (พระอยู่เย็นเป็นสุข พระไม่มีหน้า) เป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์เหมือนพระสังกัจจายน์ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ปางขัดสมาธิเพชร บนกลีบบัว ๓ ชั้น​

    ๖. เจดีย์ศรีมหาราชา สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสักการะปูชนียานุสรณ์ในปีกาญจนาภิเษก

    ๗. เจดีย์ศรีพุทธคยา เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งพุทธบริษัทกำลังร่วมแรงร่วมใจ ร่วมศรัทธา สร้างขึ้น ณ ยอดเขาโพธิสัตว์ วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้จำลองแบบสถาปัตยกรรมและงานพุทธศิลป์มากจากเจดีย์พุทธคยา ณ เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย โดยได้ย่อขนาดลงมาให้เหมาะสมกับสถานที่ มีความสูง ๒๘ เมตร เสมอเหมือนพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และมีความกว้างประมาณ ๑๖x ๒๐ เมตร

    ปรัชญาและความมุ่งหมายในการสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยา เฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นเครื่องหมายของการตรัสรู้ การเกิดและดับ เป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปในประเทศไทยและในโลกครบ ๕,๐๐๐ ปี เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกทุกพระองค์ แด่ผู้มีคุณต่อแผ่นดินไทยทั้งสิ้นทั้งปวง ที่สำคัญเพื่อเป็นการทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี และเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐

    วัตถุประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อรองรับการประกาศสันติภาพของโลกที่องค์การสหประชาชาติให้ วันวิสาขบูชา เป็น วันวิสาขบูชาโลก ซึ่งจะบังเกิดสันติสุขและสันติธรรมแก่เมธีชนชาวโลกสืบไป อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกของชนในชาติให้รู้จักสามัคคี เชิดชูกเอกลักษณ์ของชาติที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น

    [​IMG]

    ขอบคุณที่มา มติชนออนไลน์
     
  13. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    แจ้งเพิ่มเติมก่อนว่า ทริปนี้เต็มแน่นทั้งแนวบุ๋นและแนวบู๊ ขอให้กัลยาณมิตรที่ร่วมเดินทางฝึกกำลังขาไว้หน่อยก็ดี เพราะต้องมีเดินขึ้นเขาที่รอยพระพุทธฉาย รอยพระพุทธบาท ปืนป่ายมุดถ้ำเพชร-ถ้ำทอง ขึ้นเขาวัดวรนาถบรรพต (เขากบ) ขึ้นเขาดาวดึงส์กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่พระจุฬามณีเจดีย์ และเดินเลาะเลียบเรือ"ราชญาณนาวาทีฆายุมงคล" ที่วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ (แนวบู๊)

    ส่วนแนวบุ๋น ก็กราบสรีระพระอริยสงฆ์และกราบพระอริยสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ ส่วนเรื่องสถานที่ ๆ มาก มีกัลยาณมิตรบางท่านสอบถามว่าจะใช้เวลาเดินทางทันหรือ ขอเรียนให้ทราบว่าเส้นทางทั้งหมดเกี่ยวโยงใกล้เคียงกัน ไม่มีอะไรที่ชาวคณะนี้ทำไม่ได้ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจทำเพราะลุยกันมาเยอะแล้ว นอกเสียจากว่าจะหลงออกนอกเส้นทางค่ะ แต่ก็แหม.... ช่างหลงกันบ่อยเหลือเกิน ฮิ ฮิ ฮิ


    ;aa24;aa24;aa24
     
  14. กาลกตา

    กาลกตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +424
    แหม ข้อมูลของหัวหน้าคณะทัวร์กับผู้นำทางในทริปนี้ของเรานี่แน่นปึ้กจริงๆ เลยครับ อ่านไม่หมดเลย
    สงสัยต้องพริ้นต์ไว้อ่านในตอนเดินทางจริงๆ ไปด้วย จะได้ไม่ตกหล่นรายละเอียดใดๆ

    แต่ผมสะดุดใจตรงบ้านชอนเดื่อนี่แหละครับ
    ไม่แน่ใจว่าเป็นที่เดียวกันกับที่หลวงพ่อได้ไปธุดงค์หรือเปล่า
    เพราะท่านบอกว่าเป็นเขาชอนเดื่อ แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน
    บอกเพียงแต่ว่าเดินทางต่อมาจากเขาวงพระจันทร์
     
  15. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ถูกต้องแล้วค่ะศาล เขาชอนเดื่อก็คือสถานที่ ๆ เป็นที่ตั้งของวนอุทยานถ้ำเพชร-ถ้ำทองในปัจจุบันนี้ค่ะ

    บอกแล้วอย่างไรคะว่าทุกสถานที่ในทริปนี้เกี่ยวโยงถึงกันไปหมด<label for="rb_iconid_28">[​IMG]</label>

    กัลยาณมิตรท่านใดอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ให้คลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมที่ Link ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ


    �ѡ�Ŵ����Ҫ͹����
     
  16. cinderella2517

    cinderella2517 Mindset Coach และ นักพยากรณ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +1,404
    นางซินฯไปแน่นอน จองตั๋วไว้แล้ว อิอิ เกือบไม่ได้ไป เพราะจองตั๋วผิดไปเที่ยวนึง
     
  17. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ฝากไปทำบุญด้วยครับ
    503 บาท 25 สตางค์
    โอน กรุงไทย ประดิพัทธ์
    121-0-10545-4 คุณ ณ ญาดาฯ
    13 ก.ค. 52 ประมาณบ่ายสองครึ่ง
     
  18. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    โมทนาค่ะคุณบุญ <label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>

    หญิงจะแบ่งทำบุญให้ครบทุกวัดทุกสถานที่ ๆ ชาวคณะได้ไปในทริปนี้นะคะ
     
  19. raiderman

    raiderman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2009
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +109
    แหม่ๆ ข้อมูลอัดแน่นแบบนี้ ขอยกนิ้วให้คุณแม่งานเลยครับ
    แต่ว่า.... ยังเหลืออีกกี่ที่ครับท่านพี่หญิง พอให้น้องนะนั่งไปด้วยคนไหมครับ
     
  20. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    <label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>ต้องขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระอาจารย์ค่ะน้องนะ เพราะทริปนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความเมตตาชี้แนะของพระอาจารย์เรื่องพระอริยสงฆ์ ที่ จ.นครสวรรค์ตั้งแต่ทริปธรรมฯ(๒) ผ้าป่าปรียานันท์

    <label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>ต้องขอขอบคุณพี่เอื้อม ,น้องธีร์ ที่จุดประเด็นเรื่องพระอริยสงฆ์และสถานที่ของเขาชอนเดื่อ จนกลายเป็นที่มาของอุทยานถ้ำเพชร-ถ้ำทอง

    <label for="rb_iconid_31">[​IMG]</label>และต้องขอขอบคุณกับอนุโมทนากับกัลยาณมิตรทุกท่านที่ช่างร่วมบุญร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันดีเหลือเกินในทุก ๆ ทริปที่ผ่านมา ทั้งท่านที่ร่วมเดินทางไปด้วยตัวเองและท่านที่ส่งปัจจัยร่วมทำบุญ

    ส่วนเรื่องที่นั่ง พี่ลงชื่อให้น้องนะตามที่ขอมาแล้วค่ะ ว่าแต่รูปน่ะรูป ตั้งแต่ทริปธรรม(๔) ยังไม่เห็นส่งให้พี่เลยนะจ๊ะ เสียชื่อช่างภาพประจำคณะหมายเลข ๒ หมด....เดี๋ยวเจอหน้าจะโดนดีมิใช่น้อย ฮิ ฮิ ฮิ
    <center>[​IMG]</center>
     

แชร์หน้านี้

Loading...