ประสบการณ์ 2 ครั้งแรก ไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Bens, 2 เมษายน 2006.

  1. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    โมทนาหลายๆครับ กระทู้นี้สมควรที่คนต้องการจะฝึกใหม่ หรือฝึกใหม่ๆ ได้อ่านอย่างยิ่ง...

    ทุกอย่างที่คุณ pasaway007<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_223496", true); </SCRIPT> ได้เล่านั้น เป็นการฝึกมโนมยิทธิตามขั้นตอนอย่างมีระเบียบครับ
     
  2. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ผมดีใจมากเลยนะครับที่มีคนสนใจกระทู้นี้กันมาก
    และก็ต้องขอขอบคุณคุณWen Show มากๆเลยนะครับ
    ผมนึกว่าไม่ใช่กระทู้ผมซะอีก ผมก็งงผมไม่ได้เอารูปใส่เข้าไปในกระทู้ซะหน่อย

    งั้นขอเล่าต่อเลยนะครับ

    จากนั้นครูก็ถามต่อว่าแล้วท่านอะใส่เสื้ออย่างไรแล้วมีอะไรตรงเสื้อบ้าง
    อันนี้มีคนข้างๆผม ตอบออกมาว่า
    เสื้อของท่านเป็นแก้วสว่างสวยมากๆเกินจะบรรยายเลยทีเดียว แล้วตรงเสื้อของท่านก็มีสายสังวาส(สังวาสพิมพ์ไงก็ไม่รู้อะครับเอาเป็นภาษาอ่านพอเข้าใจก็พอเนอะ ไม่ว่ากันน้า) 2 เส้นไขว้กันเป็นกากะบาท แล้วตรงกลางสังวาสที่ไขว้กันพอดี ก็มีอัญมีหรือเพรชรก็ไม่รู้นะครับผมจำไม่ได้ จะเป็นเหลี่ยมๆนะครับบางคนบอกว่า 3 เหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง

    จากนั้นครูก็ถามต่อว่าใบหน้าท่านหละเป็นอย่างไรหล่อไม้สวยไม้ จมูกท่านเป็นอย่างไร
    อันนี้จิตผมตกลงมาที่หลังแต่คนข้างๆเขาบอกว่าจมูกท่านโด่งปากท่านยิ้มน้อยๆแบบมีเมตตา

    ครูถามต่อว่าแล้วท่านมีชฏาไม้แล้วชฎาท่านเป็นอย่างไร
    คนข้างผมก็ตอบว่าชฏาท่านแหลมเปรียบเลยบนยอดชฏาของท่านนั้นมีประกายแวบๆระยิบระยับสวยมากๆเลย

    และในระหว่างที่ผมจิตตกนี้จิตผมก็มัวแต่ไปจับตรงที่เจ็บเข้าก็ไปไม่ได้ซะเพราะว่าผมนั่งมาซักเกือบ 1 ชั่วโมงได้แล้วนะครับแต่ผมรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วจังยังมองพรุพทธเจ้ายังไม่เต็มองค์เลยเวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วเหรอ

    จากนั้นครูก็บอกให้พระพุทธเจ้าพาไปที่พระจุฬามณี
    ครูถามนักเรียนว่าถึงยัง บางคนก็บอกว่าถึงแล้วบางคนก็ยังไม่ตอบแต่ซักพักก็บอกว่าถึงแล้ว
    เพราะว่ากำลังจิตคนไม่เท่ากัน

    (เมื่อวานครูบอกว่าบางคนครูสั่งให้เดินขึ้นบรรไดพระจุฬามณีไม่เดินอะเหาะขึ้นไปเลยจิตไปเร็วมาก ครูเลยสั่งให้คนนั้นลงมาให้เดินขึ้นไป ครูบอกว่าจิตคนนี้ดีแค่ครูบอกให้ไปพระจุฬามณีก็ไปถึงซะแล้ว บางคนจิตไปช้าหน่อย
    อย่างเมื่อวานมีคนหนึ่งท่านบอกให้ไปกราบพระพุทธเจ้าทุกคนกราบเสร็จหมดแล้ว
    แล้วครูก็บอกให้ขอพระพุทธเจ้าพาไปวิมานที่นิพพานทุกคนไปถึงวิมานแล้วนะครับ
    เห็นวิมานของตัวเองแล้ว แต่คนข้างขวามือผมนี้ยังยังคลานไปกราบพระพุทธเจ้าอยู่
    เลยพอไปกราบท่านได้ก็ไปเกาะขาท่านแน่นเลยไม่ยอมปล่อย
    เขาบอกว่าผมเหนื่อยมากเลย ครูบอกเขาว่าจิตเขายังอ่อนอยู่แต่ผมว่าเขายังดีกว่าผมนะเมื่อวานจิตผมอะติดอยู่ตรงตาอย่างเดียวเลยไปไม่ได้ติดเนื้อมั่วแต่คิดว่าจะรับภาพทางตา ครูก็พยายามบอกผมว่าใช้จิตซิลูกอย่างใช้ตาถ้าเกิดเราตายกายเราเน่าตาเราก็เน่าจะเอาอะไรไปเห็น จิตต่างหากที่เป็นตัวรู้รู้จิตก็คือใจนั้นเอง)

    จากนั้นครูก็บอกให้ไปหาเทวดาที่เฝ้าประตูพระจุฬามณีขอท่านเข้าไป
    ส่วนผมยังปวดอยู่เลยจิตมันไปไม่ไหวแล้วนั้งไม่เป็นสุขเลยยังกะไฟรนขึ้นงั้นหละ
    ผมก็เลยพึ่งนึกขึ้นมาได้ มีคนสอนผมว่าถ้ายังห่วงกายก็ไปไม่ได้หรอกไม่งั้นก่อน
    ที่จะไปครูเขาคงไม่ให้เรามาคิดหรอกว่าคนเราเกิดมานั้นเป็นทุกข์ เกิดมาต้องตายทุกข์คนครูเขาต้องการให้เราคิดว่าร่างกายมันไม่เที่ยงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ท่านให้เราคิดไม่ให้ห่วงร่างกายมันถึงจะไปได้ผมเลยรวบรวมกำลังใจตายเป็นตายหละหว่า

    นั่งนะมพะธะใหม่เอาจิตปักใว้ที่ลมหายใจเข้าออก
    ถ้าเราเอาจิตไปปักไว้ที่ตรงที่เราเจ็บมันก็จะเจ็บเข้าไปใหญ่ก็เลยต้องหาที่ยึดเหนี่ยวของจิตใหม่ก็คือลมหายเจ้าเข้าออก พอจิตเรากำหนดลมหายใจเข้าออกจนไม่คิดถึงตรงที่เราเจ็บมันก็ไม่เจ็บนะครับเหมือนตอนนี้จิตกับกายแยกกัน เราทำตัวเป็นกลางเจ็บก็เจ็บซิเรื่องของแกจิตข้าสบายข้าไม่สนใจแกแล้วเป็นทาสแกมานานแล้วจะไม่ยอมเป็นทาสแกอีก

    ผมคิดอย่างนี้เพราะผมเคยอ่านในหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนที่ท่านมีเวทนาหนักท่านก็ว่าเจ้าขัน 5 อย่างงี้

    ผมก็เลยเอามาใช้บ้างได้ผลนะครับทำให้เรามีกำลังใจจะสู้กับมันสู้กับกิเลสท้าสู้มันได้
    เราจะรู้สึกดีแต่บรรยายไม่ได้ ก็คงจะเหมือนเราแข่งบอลชนะแล้วเราก็ดีใจเพราะไม่แพ้อะไรประมาณนี้

    พอจิตผมดีขึ้นผมก็ได้ยินเสียงครูบอกให้เชิญพ่อแม่ทุกภพทุกชาติของเราออกมา
    ครูก็ถามว่ามายัง ผมอะยัง ยังสัมผัสอะไรไม่ได้ คนข้างผมบอกว่ามาแล้วมาเยอะมาก

    ครูถามต่อว่าท่านเป็นอย่างไรท่านใส่ชุดอย่างไร ในขณะนี้ผมยังมืออยู่
    พอคนข้างๆของผมบอกว่าพ่อแม่แต่หละท่านสวยมาก
    พอผมได้ยินจิตก็คิดตามเอ้าไปได้อะเห็นเลยเห็นตามเข้า
    คราวนี้ครูก็มาถามผมเพราะผมไม่ได้ตอบท่านเลยตั้งแต่ครูบอกให้เข้าไปในพระจุฬามณี

    ครูเลยถามผมว่าเอ้าเห็นยังเห็นพ่อแม่เทวดาท่านยัง
    ผมก็บอกว่าเห็นแล้วแต่ยังไม่ใช่มันมัวๆ
    ท่านก็บอกว่าขอบารมีพระพุทธเจ้าลูกก็ให้ภาพที่ลูกเห็นเป็นความจริง และชัดเจนแจ่มใส่
    ครูก็ถามต่อว่าชัดยังลูกผมก็บอกว่ายังครับ จากนั้นก็มีคนตรงข้ามผมพูดขึ้นว่า
    พ่อแม่เทวดาท่านดีใจมากครูก็เลยหันไปถามว่างั้นก็แยกกายไปกราบท่านเลย
    พอผมได้จิตผมก็เลยบอกให้กายทิพย์แยกกายไปกราบพ่อแม่เทวดาท่านบ้าง

    พอกราบแค่นั้นหละจิตเกิดปีติขนลุกภาพที่มัวๆกับชัดขึ้นสว่างมาก
    พอสว่างจิตก็เกิดมีปีติอีกสว่างเข้าไปอีกเลยหันไปดูพระพุทธเจ้าท่าน โอโหสว่างมั่กๆสวยมากๆไม่รู้จะบรรยายยังไงดีท่านเอ๋ย
    อย่างให้ทุกท่านไปปฏิบัติกันจริงๆและขอให้ท่านเห็นอย่างผมแล้วจะทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจในการทำความดีและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ต่อไป

    จากนั้นผมก็กราบท่านพ่อท่านแม่เทวดา
    ขณะนั้นผมหละอย่ากร้องเลยขณะผมพิมพ์อยู่นี้จิตผมก็นึกถึงภาพเวลานั้นเลยนี้ผมขนลุกเลยนะเนี๊ยเวลาพิมพ์อยู่นี้
    ขณะนั้นครูก็หันมาทางผมเพราะท่านเห็นผมยิ้มอย่างมีความสุขท่านก็ถามผมว่าท่านพ่อท่านแม่ท่านพูดอะไรกับเราบ้าง พอครูถามจิตผมก็ตกใจหน่อยหนึ่งภาพก็เลยมัวลงมาหน่อย

    ครูก็ถามต่อท่านพูดอย่างไรแต่จิตผมไม่ได้ยิน
    แต่คนข้างๆผมบอกว่าท่านดีใจที่ได้เห็นเรา
    และอย่างให้เราไปหาท่านบ่อยๆ พอผมได้ยินจิตผมก็บอกว่าท่านก็อยากให้ผมมาหาท่านบ่อยๆ
    กายที่ผมแยกไปบางกายก็โดนพ่อแม่กอดบ้าง ลูบหลังบ้าง จิตตอนนั้นเป็นสุขมาก

    ครูก็พูดขึ้นว่าถ้าตายตอนนี้เสียดายชีวิตไม้
    ผมหละตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ไม่เสียดายเลย เพราะเวลาอยู่บนนั้นจิตสบาย เบาและเย็นแบบบรรยายไม่ถูกไม่ใช่เย็นแบบแอร์อะอืมยังไงดีอะ

    เอางี้ทุกคนไปรองฝึกที่บ้านสายลมดูนะครับแต่ระหว่างนี้ผมอยากให้ทุกท่านพยายามถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์เข้าไว้เพื่อเป็นพื้นฐานของกรรมฐานพอท่านไปนั่งจิตท่านจะแจ่มใสและภาพที่เห็นจะชัดเจนครับเพราะก่อนที่ผมจะไปบ้านสายลม สัก 3 อาทิตย์

    ผมก็ทำอย่างงี้เพราะผมคิดว่าที่นั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เราจะทำเล่นๆไม่ได้
    ผมคิดว่าถ้าเราตั้งใจผมเชื่อว่าเบื้องบนท่านก็คงน่าจะเห็นใจเราสงเสริมเรา

    จากนั้นครูก็พูดขึ้นว่าให้เราอุทิศบุญกุถศลที่เราฝึกมโนยิทธิได้สัมเร็จนี้ให้ท่าน
    ครูก็บอกว่าบุญกุศลที่ลูกฝึกมโนยิทธิสำเร็จบุญกุศลนี้จะส่งผลให้ข้าพเจ้าเช่นไรก็ให้พ่อแม่เทวดาทุกๆท่านจงมีส่วนในบุญนี้ทุกประกาญเทอญ
    พอพ่อแม่เทวดาท่านสาธุ กายของพอ่แม่เทวดาและตัวเราก็สว่างขึ้นกายเราเองก็ใสขึ้นนี้หละคือบุญพระกรรมฐาน

    ที่หลวงพ่อบอกไว่ว่าวิญาณที่อยู่ในนรกขุมลึกๆเราอุทิศบุญกุศลที่เราถวายสังฆทานไปตักบาทถวายไปบางครั้งมันก็ไม่ถึงถ้าไม่มีโอกาสโมทนาเพราะกรรมมันหนาเขาไม่สามารถโมทนาได้
    แต่บุญพระกรรมฐานนี้สามารถส่งถึงได้

    [​IMG]

    จากนั้นครูก็บอกให้เราเอากายที่แยกเขามารวมกันจากนั้นก็เข้าไปหาพรุพทธเจ้าขอท่านพาไปวิมานที่นิพพาน
    จากนั้นจิตผมก็ไปอยู่ที่นิพพาน ที่นิพพานในตอนนั้นกว้างมากๆเลยและสว่างสวยกว่าสวรรค์มากครับ นี้หละที่หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าไปสวรรค์ได้ก็ไม่อยากกับมามองโลกมนุษย์เลย พอไปพรมได้ก็ไม่อย่ากไปสวรรค์ พอไปนิพพานได้พรมก็ไม่อย่างไป

    จากนั้นครูก็บอกว่าเห็นหลวงพ่อท่านไม้ บางคนก็บอกว่าเห็นแต่เห็นไม่เหมือนกัน
    บางคนบอกว่าหลวงพ่อท่านใส่ชุดพระนิพพานแบบใส่เหมือนแก้วบ้าง

    มาในชุดเหมือนตอนท่ายังเป็นพระอยู่บ้าง
    ครูบอกว่าไม่เป็นไรหลวงพ่อท่านกลัวว่าเราจะท่านไม่ได้ก็เลยมาในแบบนี้ก่อนขอท่าน
    บอกท่านว่าขอเห็นท่านในชุดนิพพาน คนที่เห็นท่านในชุดพระก็บอกว่าเปลี่ยนแล้วครับ ท่านสวยสว่าง

    แล้วครูถามว่าท่านแต่งกายอย่างไร
    อันนี้ผมไม่เห็นนะครับคนข้างๆบอกว่า รองเท้าท่านเป็นแก้วประกายใสสวยปลายรองเท้าท่านงอน จากนั้นครูก็ถามว่าเห็นวิมานหลวงพ่อไม้ นักเรียนก็ตอบว่าเห็น แล้วถามว่าวิมานเราหละอยู่ใน
    คนตรงข้ามผมก็บอกว่า อยู่ข้างๆวิมานของหลวงพ่อครับ

    ครูก็ถามว่าวิมานเราหรือวิมานหลวงพ่อใครใหญ่กว่า

    คนตรงข้ามผมก็บอกว่า เออเดียวผมมาเล่าต่อนะครับแม่ผมให้ไปช่วยจัดร้านซะแล้วมาหยุดตรงจุดตื่นเต้นซะนี้ จะบอกก็ได้แต่อยากให้ตื่นเต้นกันก่อนอะครับให้เลือดของผู้อ่านสูบชีดกันบ้างนั่งหน้าคอมนานคงเมื่อย ผมไปก่อนนะครับขอให้ทุกท่านในเว็บพลังจิตจงมีความสุข ผู้ใดกำลังฝึกมโนยิทธิอยู่ก็ขอให้ได้ ด้วยเทอญสาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  3. penney

    penney เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เมื่อวันที่ 1 เมษายนก็ไปมาค่ะ
    ไปครั้งแรกเลย
    ไปฝึกกับอาจารย์วิธีฝึกแบบเดียวกันทุกห้องเลยไม่ขอเล่าค่ะ
    ตอนที่อาจารย์สอนก็มีความรู้สึกแบบที่อาจารย์บอก
    ตอบถูกด้วยค่ะ คิดว่าน่าจะเห็นแต่ก็ยังสงสัย
    เลยเห็นไม่ค่อยชัดด้วย

    ตอนนั้นไม่ค่อยแน่ใจในการฝึก(ยังสงสัยอยู่แน่ๆเลยค่ะ)

    พอกลับมาบ้านก็มาทบทวนดูนะคะ
    คิดว่าตัวเราเองน่าจะไปได้แล้วแหละ
    ติดที่ตาเนื้อมากเกินไป
    เลยคิดว่าพยายามกำหนดจิตอยู่ค่ะ
    หายใจเข้าออกก็ นะมะ พะธะ
    ตลอดเลยค่ะ คิดว่าใจสงบนะคะ

    ถ้ามีบุญก็คงจะได้ขึ้นไปบนสวรรค์อีกสักครั้ง
    ฝึกที่บ้านไปก่อน

    ตั้งใจจะไปต้นเดือน พ.ค. อีกค่ะ

    คิดว่าคราวหน้าคงจะเห็นได้ชัดขึ้นค่ะ

    ตอนกลับได้ซื้อหนังสือมาอ่านด้วยค่ะ
    และก็ซื้อหนังสือแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลเนี๊ยแหละ
    จำชื่อไม่ได้ เอามาฝากเพื่อนๆด้วยค่ะ

    แต่อ่านเรื่องพรหมวิหาร 4 แล้วรู้สึกว่า
    จิตใจจะสงบมากๆเลยค่ะ
    ช่วยในการตัดกิเลสได้มากๆ เลยค่ะ
     
  4. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    คนข้างๆผมก็ตอบว่าวิมานของหลวงพ่อใหญ่กว่าของเรายังเล็กอยู่เลย ครูก็เลยบอกให้เราเอาวิมานของเราออกไปห่างจากวิมานของหลวงพ่อได้ไม้ คนข้างๆผมก็บอกว่าได้ครับ (จากนี้ผมจะใช้คำว่านักเรียนนะครับจะไม่เจาะจงว่าผมได้หรือใครได้เพื่อเป็นการไม่โอ้อวด)จากนั้นครูก็ถามว่ามีใครอยู่ข้างๆหลวงพ่อไม้ นักเรียนก็ตอบว่าเห็นครับ ครูถามว่าท่านเป็นใคร นักเรียนก็ตอบว่ารู้สึกว่าเป็นพระองค์ปฐมครับ ครูก็ว่าอย่าสงสัยสิลูกตอบเลยอย่างสงสัย แล้วท่านเป็นอย่างไรกายท่านใหญ่ไม้ นักเรียนก็บอกว่า กายท่านใหญ่และสว่างมากครับ จากนั้นครูก็บอกว่าให้ไปกราบท่านและถามท่านว่าถ้าขัน 5 ลูกดับลูกมานิพพานได้ไม้ นักเรียนก็บอกว่าได้ บางคนก็ยังไม่พูดอะไร จากนั้นครูก็บอกว่าขอท่านพาไปหาท่านปู่ท่านย่า(พระอินทร์ แม่ศรี) ครูถาม ถึงยังลูก นักเรียนถึงแล้วครับ ท่านปู่เป็นอย่างไรกายท่านเขียวเหมือนในรูปที่เราเห็นตามหนังสือตามวัดหรือเปล่า นักเรียนบอกว่าไม่ครับ แล้วขอท่านให้เราเห็นกายท่านเป็นสีเขียวได้ไม้ นักเรียนก็ตอบว่าได้ ครู ขอท่านให้เราเห็นกายท่านเป็นสีทองได้ไม้ นักเรียนก็ตอบว่าได้ครับ แล้วเห็นใครนั่งข้างๆท่านไม้ นักเรียน เห็นครับ ครู เป็นใค นักเรียนท่านย่าครับ ครูแล้วท่านสวยไม้ นักเรียน สวยครับ ครูแล้วท่านย่าตอนนี้ท่านใส่ชุดอะไร นักเรียนนางฟ้าครับ ครูถามท่านย่าสิ ท่านย่าเข้านิพพานยัง นักเรียน ท่านย่าบอกว่าเข้าแล้วครับ ครู งั้นขอท่านย่าขอให้ท่านย่าแสดงในชุดนิพพานได้ไม้ นักเรียน ได้ครับ ครู ท่านย่าเป็นอย่างไรลูกท่านย่ายังเป็นนางฟ้าอยู่หรือเปล่า นักเรียน ไม่แล้วครับ(อันนี้หลวงพ่อเคยบอกไว้ในหนังสือว่าตั้งแต่ชั้นพรหมขึ้นถึงนิพพานจะไม่มีนางฟ้า พอผมบอกว่าตั้งแต่ชั้นพรหมถึงนิพพานไม่มีนางฟ้าผมคิดว่า ต้องมีคนคิดแน่ว่าไม่อยากอยู่เลยพรหมนี้นิพพานด้วย เพราะไม่มีนางฟ้า แต่ก่อนผมก็คิดงี้แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพราะอะไรอย่างงั้นเหรออันนี้ท่านต้องสัมผัสด้วยตัวเอง พยายามตัดขัน 5 ไว้และพยายามก่อนจะนอนเราก็นะมพะธะไปเรื่อยจนกว่าจะหลับ พอตื่นเช้าขึ้นมาเราก็คิดว่าร่างกายเราจะต้องตายแน่วันนี้เราจะอยู่เห็นพระอาทิตย์ตกดินหรือเปล่าคิดถึงความตายไปเรื่อยแล้วก็คิดว่าถ้าเราตายไปที่เราจะไปก็คือนิพพานเทวดาหรือพรหมเราไม่ต้องการเราขอไปนิพพานที่เดี่ยว)จากนั้นครูก็ถามว่า ถามท่านปู่ท่านย่าสิ เราเคยเกิดเป็นลูกท่านมาบ้างไม้ นักเรียน เคยครับ ครู เข้าไปกราบท่านปู่ท่ายย่าสิ นักเรียนครับยเข้าไปกราบท่านแล้ว จากนั้นครูก็สั่งให้นักเรียนทุกคนลืมตาขึ้น แล้วก็ถามนักเรียนคนโน้นคนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับก็เป็นอันว่าจบการฝึกมโนยิทธิในวันที่ 2 เดือนหน้าผมว่าจะไปอีกแล้วผมจะมาเล่าต่อนะครับ
     
  5. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ผมไปฝึกนั่งวิปัสนาญาณ(สายสุขวิปัสสโก)ที่วัดบางซื่อ

    วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการฝึกสายสุกขวิปัสสโกที่วัดบางซื่อคือผมไปฝึกมา หลังจากที่ผมได้ไปฝึกมโนยิทธิที่บ้านสายลมมาผมก็ตั้งใจที่จะฝึกจิตให้มีสมาธิขึ้น พอผมกลับไปบ้านแม่ผมก็บอกว่ามีคนมาบอกแม่ว่า ที่วัดบางซื่อซึ่งวัดนี้อยู่ใกล้บ้านผม มีการสอนนั่งสมาธิ แม่ก็เลยมาบอกผม จากนั้นผมก็ไปหาลุงที่มาบอกแม่ผม เพราะลุงคนนี้เขาก็ฝึกอยู่เหมือนกัน ผมอยากให้ลุงช่วยพาผมไปถึงวัดนี้จะอยู่ใกล้บ้านผมแต่ผมไม่เคยไปมาก่อน ก็เลยอยากให้ลุงเข้าพาไป ก็รอลุงเข้าแต่งตัวซักพักหนึ่งลุงก็บอกว่าให้ไปรับน้องชายแกด้วย ลุงก็บอกว่าน้องชายของเข้ารู้อดีตชาติของตัวเองและก็ท้องเที่ยวได้แล้ว ผมก็เลยขับรถไปรับแก พอไปถึงวัดบางซื้อผมก็เห็นว่าวัดบางซื่อนี้พึ่งสร้าง และกำลังสร้างอุโบสถ ผมก็ดีใจเพราะผมก็อยากจะหาวัดที่กำลังสร้างโบสสร้างวิหารอยู่อยากจะทำบุญและก็ได้ทำบุญกับวัดที่ปฎิบัติธรรมด้วย จากนั้นผมก็เข้าไปไว้พระตรงหน้าพระพุทธรูปมีพระสารีริกธาตุด้วย และข้างพระพุทธรูปก็มีตูบริจาคสร้างกระเบื้อง ตอนนั้นเงินติดกระเป๋ามา 40 บาท ก็เลยหยอดตู้ไปหมดเลยด้วยความตั้งใจที่อยากจะทำ จากนั้นลุงก็พาเข้าไปในสถานที่ปฏิบัติธรรม ลุงก็พาไปกราบพระที่มาสอนกรรมฐานผมก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามผมขึ้นมาว่า เคยบวชไม้ผมก็ตอบว่าเคยบวชครับ ท่านก็พูดขึ้นว่าแล้วนั่งกรรมฐานไม้ ผมก็ตอบว่าไม่ครับ ท่านก็บอกว่านั่งนี่ ผมก็ตอบว่านั่งครับแต่ตอนบวชไม่ได้นั่งครับ แต่พึ่งไปฝึกมโนยิทธิที่บ้านสายลมมาครับ ท่านก็ถามว่า เป็นไงบ้างถึงนิพพานไม้ ผมก็ตอบว่าถึงครับแต่จิตตกบ่อย ท่านก็ขำ จากนั้นท่านก็ให้หนังสือสวดมนต์เพื่อทำวัตรเย็น ตอนนี้ก็ 6 โมงเย็นแล้ว การสวดที่นี้สวดแปลด้วย พอทำวัตรเย็นเสร็จท่านก็บอกให้นั้งกรรมฐาน ท่านบอกว่าที่นี้ไม่มีการภาวนาใดๆไม่มีนะมะพะธะ พุทโธไม่มีใช้จิตอย่างเดียวผมก็งงในตอนแรกๆ แต่ก็ไม่ถามท่านให้ทำอไรก็ทำเพราะหลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกว่า พยายามทำตัวให้โง่เอาไว้อย่าอวดฉลาด ผมก็เลยทำตามที่พระท่านสั่ง ท่านก็สั่งให้นั่งแล้วก็ให้ผมยกมือขึ้นผมก็ยอกมือข้างขาวขึ้นท่านบอกว่าให้ผมใช้นิ้วมากระทบกัน ผมก็ใช้นิ้วโป้กับนิ้วกลางมากระทบกันท่านบอกว่าให้เราเอาจิตไปเกาะตรงนิ้วที่เรากระทบกันแล้วก็ดูความรู้สึกไปเรื่อยๆ ผมก็ทำไปซักพักหนึ่งความรู้สึกแรกๆรู้สึกมีอะไรวิ่งมาที่นิ้วมือ ตรงที่นิ้วกระทบกันรู้สึกมันหนึบๆ จากนั้นผมก็ได้ยินพระท่านให้ผมยืนขึ้นแต่ค่อยๆยืนท่าแรกท่านให้คุกเข้าก่อน จากนั้นแล้วค่อยยืน แล้วท่านบอกว่าให้เราเอาความรู้สึกไปไว้ที่ฝ่าเท้าพระท่านบอกว่าห้ามขยับแต่ให้ปวดขนาดใหนมียุงมากัดก็ช่างปล่อยมันห้ามขยับ พอผมยืนไปสักระยะผมรู้สึกว่าที่ฝ่าเท้าเหมือนมีอะไรวิ้งอยู่ หลังตรงบนฝ่าเท่าก็เหมือนมีเข็มมาทิ้มทั่วไปหมด มันปวดมากเลยครับ จากนั้นผมก็ได้ยินพระท่านบอกให้ผมยอกมือขึ้นทำแบบเดิมคือเอานิ้วมากระทบกันและอ่านความรู้สึกตรงที่นิ้วกระทบกันพอทำไปสักระยะตรงตรงฝ่าเท้าก็หายเจ็บความเจ็บดับไปเลยแต่พอไปคิดถึงตรงฝ่าเท้าก็เจ็บอีก ผมก็เลยไม่คิดเอาจิตไปปักไว้ที่นิ้วมือ สักพักความเจ็บที่ฝ่าเท้าก็ดับไป (และในเวลานั้นผมก็เข้าใจอะไรอย่างหนึ่ง ว่าทำไมผมถึงจิตตกบ่อยๆเวลาฝึกมโนยิทธิ เพราะว่าเวลาผมเจ็บที่หลังจิตผมก็มากำหนดที่หลังพอเรากำหนดจิตไว้ที่หลัง ความรู้สึกไปปักที่หลังมันก็เจ็บเข้าไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าถ้าเราไม่สนใจมันซะเราก็ไม่เจ็บทำจิตเป็นกลางคิดซะว่าร่างกายไม่ใช่ของเราแกเจ็บก็ช่างแกแล้วก็เอาจิตไปไว้ที่องภาวนานะมะพะธะ) แต่ที่นี้ไม่ได้ใช้องภาวนาก่อนฝึกท่านบอกว่าฝึกแบบนี้เจ็บเจียนตายผมก็เลยสงสัยว่าทำแบบนี้มันเป็นการทรมานกายหรือเปล่า อันนี้ผมเคยบอกที่หลังครับ พอผมเอาจิตไปไว้ที่นิ้วที่สัมผัสกันสักพักหนึ่งพระก็เดินมาหาผมแล้วก็เทศน์เกี่ยวกับการปฏิบัติ พอผมฟังไปเรื่อยๆผมก็ได้ยินท่านบอกว่าการฝึกแบบนี้เป็นการฝึกแบบสุกขวิปัสสโก พอผมฟังพระท่านพูดผมก็จำได้ว่า ในหนังสือหลวงพ่อท่านเขียนไว้ว่าการฝึกแบบสุกขวิปัสสโกไม่สามารถเห็น นรก สวรรค์ นิพพานได้คือไม่มีทิพจักขุญาน แต่ท่านบอกว่า สุกขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมีคผลได้อย่างแบบง่ายๆ แต่ความจริงมันไม่ง่าย ยากแบบสุกขวิปัสสโก การฝึกแบบนี้เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงณานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส แต่ไม่สามารถเห็นผีเห็นนรกสวรรค์ได้ การการฝึกแบบนี้เห็รทุกข์ง่ายนะครับ เพราะอไร คุณลองคิดดูให้ยืนแบบไม่ขยับอะไรเลยคันก็ห้ามเกาลองคิดดูทุกข์ไม้ครับ แต่พระท่านบอกว่าการฝึกแบบนี้เป็นการฝึกการอดทนได้ดีทีเดียวเวลาเราใกล้จะตาย เกิดมีเวทนาหนักจิตเราก็จะแยกจิตกับกายออกเวทนาก็จะเบาลง ถึงไม่เบาเราก็สามารถทนต่อเวทนานั้นได้ถ้าเราฝึกอย่างจริงจัง ท่านว่าอย่างงี้ แล้วพรุ้งนี้ผมจะมาเล่าต่อนะครับตอนนี้ทุ่มหนึ่งแล้ว ขอให้ทุกคนในเว็บพลังจิตจงมีแต่ความสุขทุกคนนะครับ
     
  6. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ

    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    [​IMG]
    ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี้เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี 40 แบบแล้วก็ 40 แบบถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ 4 หมวดคือ<O:p</O:p
    หมวดที่ 1 สุขวิปัสสโก<O:p</O:p
    หมวดที่ 2 เตวิชโช<O:p</O:p
    หมวดที่ 3 ฉฬภิญโญ<O:p</O:p
    หมวดที่ 4 ปฏิสัมภิทัปปัตโต<O:p</O:p
    หมวดที่ 1 ที่เรียกว่า สุกขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างง่ายๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบ สุกขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ<O:p</O:p
    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ 2 อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็<O:p</O:p
    ฉฬภิญโญ(อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ มีตาทิพย์<O:p</O:p
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า<O:p</O:p
    หมวดที่พรุพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง 40 มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่<O:p</O:p
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธนาศัยของบรรดาพุทธบริษัท<O:p</O:p
    สำหรับสุกขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่การเรียบๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบายๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก<O:p</O:p
    สำหรับเตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น<O:p</O:p
    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้<O:p</O:p
    สำหรับปฏิสัมภิทาญาณ หรือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วย มีความฉลาดด้วยสอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง<O:p</O:p
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน<O:p</O:p
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่ามโนมยิทธิมาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    มโนมยิทธิ นี้คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า<O:p</O:p
    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้สามารถเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว<O:p</O:p
    สำหรับมโนยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ<O:p</O:p
    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญพระกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ต้องการพรหมโลก ต้องการพระนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม<O:p</O:p
    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนจนคล่องแล้ว นอกจากยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่างๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ 8 ประการ คือ<O:p</O:p
    1.ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรกได้ เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ<O:p</O:p
    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน 4 และก็ได้ อตีตังสญาณ อนาคตตังสญาน มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้<O:p</O:p
    ถ้านักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริงๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม้ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาน จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก 2 นาที คิดว่าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง<O:p</O:p
    อย่างนักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามหาวิทาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉยๆไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและนั่งอยู่นั้น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าไปถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู้ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์<O:p</O:p
    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าทำได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้กว่านี้<O:p</O:p
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาน และก็ญาณที่ 2 ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จูตูปปาตญาณ<O:p</O:p
    จูตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนสัตว์ หรือว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้าเราว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็ทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จูตูปปาตญาน<O:p</O:p
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติสามารถทบทวนชาติต่างๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่าเราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้<O:p></O:p>
    แล้วก็ต่อไป เจโตปรยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่า สามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้าเราไม่มาดี เราสามารถจะรู้ได้ทันที<O:p</O:p
    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร<O:p</O:p
    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต<O:p</O:p
    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลัง มีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี<O:p</O:p
    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่างๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก 8 ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสามท่านบอกว่า<O:p</O:p
    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่างๆคือว่าไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมก็ได้ ไปยรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา<O:p</O:p
    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสสนาญาณ ท่านบอกว่า<O:p></O:p>
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 วัน<O:p></O:p>
    ถ้าบารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 เดือน<O:p></O:p>
    ถ้าบารมีอย่างอ่อน จะเป็นพระอรหันต์ภายใน 7 ปี<O:p></O:p>
    คำว่า บารมี ก็หมายถึง กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสนาญาณมาใช้ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์<O:p></O:p>
    และก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันและก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน 1 เดือน ช้ามากเกิน แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ 1 เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน 1 เดือนช้าเกินไป เร็วมากเกินไป<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน 7 วัน<O:p></O:p>
    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจ อย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน 7 เดือน<O:p></O:p>
    ถ้าขี้เกียจหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้างวันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมากสลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน 7 ปี<O:p></O:p>
    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช่ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ดีกว่า เพราะหายสงสัย<O:p></O:p>
    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า<O:p></O:p>
    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าเราสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็มาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็อสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน<O:p></O:p>
    สัตว์เดรัจฉานนี่นานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั้ง<O:p></O:p>
    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น<O:p></O:p>
    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่ายกายทุพพลภาพ สุดแท้แต่กฏแห่งกรรม<O:p></O:p>
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย้งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัย์สินเสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง<O:p></O:p>
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี่มาแล้วจะให้พระท่านช่วยอย่างไร และ<O:p></O:p>
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครอยากฟัง<O:p></O:p>
    เศษของกรรมของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคประสาท หรือโรคบ้า<O:p></O:p>
    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง 5 อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราก็ทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ที่ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี้ดีมีวาสนาบารมีสูง<O:p></O:p>
    ออกจากขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก 10 ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก 10 ขุม ผ่านเปรตอีก 12 ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะมาเป็นคนที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฏของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน<O:p></O:p>
    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วกี่ครั้ง เราจะทราบว่าเราเคยเกิดเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขที่สุด ชาติไหนต้องทุกข์ที่สุด อย่างนี้เราทราบได้<O:p></O:p>
    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน<O:p></O:p>
    ถ้าถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสารณประโยชน์ แม้แต่เขตสร้างโบสถ์ 1 หลัง เราทำบุญไป 1 บาท และทำด้วยความเต็มใจวิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานก็ปรากฏทันที<O:p></O:p>
    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลายๆท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายๆท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน<O:p></O:p>
    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านอยู่ถึงขั้นพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไหร่ถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้<O:p></O:p>
    ต่อไปอธิบายถึงวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้ แล้ว 4 หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล<O:p></O:p>
    สำหรับสุกขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคุมกับวิปัสสนาญาณ<O:p></O:p>
    แต่ว่าศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริงๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีลพอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่<O:p></O:p>
    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เด็จขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน<O:p></O:p>
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอไม้ เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ศีล 5 เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลักแต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว<O:p></O:p>
    เป็นอันว่าทุกคนต้องถือศีลบริสุทธิ์ นี้เป็นพื้นฐานใหญ่<O:p></O:p>
    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุกขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสนาญาณ มโนมยิทธิจริงๆ เขาเริ่มต้นด้วยฌาน 4 แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน 4 นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเท่าวิชชาสาม<O:p></O:p>
    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิถ้าถึงฌาณสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์<O:p></O:p>
    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อยๆอยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดีๆจึงเห็น<O:p></O:p>
    สำหรับทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตจะเกิดเป็นทิพย์ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ<O:p></O:p>
    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี้ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ <O:p></O:p>
    สำหรับภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำจิตนี่เป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียวนะ<O:p></O:p>
    แต่ว่าเลือกเอา นะ มะ พะ ธะ มาใช่ก็เพราะแบบอื่นถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่างๆได้ แต่คนข้างๆถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงมาคุยกับคนข้างๆได้<O:p></O:p>
    สำหรับ นะมะพะธะ นี่ ขณะนี้เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้างๆจะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด<O:p></O:p>
    แบบนี้หามา 23 ปี กว่าจะพบ และแบบอื่นๆเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้างๆต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นานลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้างๆอาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้<O:p></O:p>
    สำหรับมโนมยิทธินี้ ปัจจุบัน นะมะพะธะ คนข้างๆจะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ขณะที่ป่วยลงเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนแสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก<O:p></O:p>
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะมะพะธะ
    [b-wai] <O:p</O:p</O:p</O:p</O:p</O:p
     
  7. K.Sup

    K.Sup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +39
    อยากไปฝึกบ้างที่ซอยสายลม .. สำหรับเดือนพฤษภาคม 2549 กำหนดสอนในวันไหนแน่ครับ..ใครทราบช่วยบอกด้วย
     
  8. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    กำหนดการสอนมโนมยิทธิที่บ้านสายลม

    วันที่ 6-7 พ.ค. 49
    วันที่ 3-4 มิ.ย. 49
    วันที่ 1-2 ก.ค. 49
    วันที่ 5-6 ส.ค. 49
    วันที่ 2-3 ก.ย. 49
    วันที่ 30-1 ต.ค. 49
    วันที่ 4-5 พ.ย. 49
    วันที่ 2-3 ธ.ค. 49
    วันที่ 30-31 ม.ค. 50
    ไปให้ถึงที่บ้านสายลมไม่เกิน 10 โมงนะครับไปเตรียมตัว สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็คงจะศีล 5 นะครับให้บริสุทธิ์เอาตั้งแต่วันนี้เลยพยายามครับ พอไปถึงก็ไปเตรียมจัดพานครูที่นั้นเขามีให้แล้วครับไปต้องไปหาซื้อครับ ดีครับไปฝึกกันเยอะๆนะครับ มีประสบการณ์อะไรก็มาโพสให้อ่านกันบ้างนะครับ
     
  9. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    อยากไปจังครับ

    ซักเดือนเถอะน่า T_T
     
  10. carlipso

    carlipso Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +46
    อยากไปน่ะคับ แต่ติดโน้น ติดนี่ตลอด กะว่าจะไปเดือนหน้าไงใครว่าง ๆ ก็ชวน ๆ กันไปน่ะคับ
     
  11. akarachai

    akarachai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอเอาใจช่วย ต่อผู้มีศรัทธา และ ความตั้งใจจริง ขอให้ปฏิบัติแล้วได้ผลทุกท่าน
     
  12. เพิ่งตื่น

    เพิ่งตื่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +9
    อยากไปด้วยจัง
    ทุกวันนี้ทำเองไม่มีครูอ่ะ อยากไปจ๊ากเลย
     
  13. vena

    vena เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +590
    (bb-flower คิดว่าเดือน พค นี้ก็จะไปเหมือนกันค่ะ
     
  14. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    มีเรื่องเล่าให้ฟังครับอ่านดูนะ

    ใครเคยไปแดนมหามงคลจ.กาญจนบุรีบ้างครับ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองถ้าใครเคยไปแล้วจะอึ้งแน่ลองคิดดูแค่ผู้หญิงจะสามารถสร้างวิหารอะไรได้ตั้งหลายหลังขนาดนั้นและมีขนาดพื้นที่ปฏิบัติธรรมกว้างขวางมากมีคนได้ยินว่าถึงขนาดหลวงพ่อจรัญที่จ.สิงข์บุรีท่านถ่อมตัวเองว่าหลวงพ่อจรัญเปรียบเสมือนโรงเรียนอนุบาลส่วนพระแม่บงกชเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยเลยทีเดียวแดนมหามงคลนี้เป็นสถานที่แรกของโลกที่เป็นสถานที่ของอุบาสกและอุบาสิกาจัดตั้งขึ้นและวันๆหนึ่งจะมีผู้มาพำเพ็ญธรรมอย่างไม่ขาดสายพ่ออุบาสกที่อยู่กันประจำที่นั้นบางท่านบอกว่าพระแม่ตอนนี้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้วพระแม่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมากมีพ่ออุบาสกบอกว่าพระแม่ท่านเดินจงกรมตอนตี4แล้วไปหยุดเดินตอนบ่าย 4 โมงของวันใหม่เลยท่านลองคิดดูนี่เรื่องจริงน่ะพื้นที่ที่ท่านเดินจงกรมเป็นหลุมลึกลงไปเลยพ่อที่ปฏิบัติธรรมใกล้ชิดท่านก็ได้เล่าถึงอภิหารของแม่ในแดนธรรมว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งพระแม่จะต้องเครื่องไปประเทศอะไรผมก็ไม่ทราบพ่ออุบาสกไม่ได้บอกขณะนั้นที่สนามบินมีผู้ที่ศรัทธาในตัวของพระแม่ท่านมากก็มาล้อมพระแม่ขณะนั้นลูกๆสาวกของท่านก็ขึ้นเครื่องกันหมดแล้วเหลือแต่พระแม่ขณะนี้เครื่องก็เริ่มขยับออกแล้วพ่ออุบาสกบอกว่าพระแม่พยายามฝ่าวงล้อมออกมาพอฝ่าวงล้อมออกมาได้ พ่ออุบาสกก็บอกว่าเพียงเวิบเดียวพระแม่ก็เข้ามาในเครื่องบินผมก็ถามอีกว่ามีอภินิหารของพระแม่อีกไม้ พ่ออุบาสกก็เหมือนไม่อยากพูดผมก็ไม่ว่าอะไร แล้วผมก็บอกว่าผมอยากเจอพระแม่จังเลยอยากถามปัญหาธรรมกับท่านพ่ออุบาสกก็บอกว่า ก็มาเมื่อกี้ไงผมก็บอกว่ามาตอนไหนไม่เห็นเลยพ่ออุบาสกก็ตอบว่าก็ตอนที่เราเป็นประตูไม้ข้ามเกาะไงผมก็บอกว่าไม่เห็นพ่ออุบาสกก็ตอบว่าก็ไม่แปลกหลอกก็แม่เขามาแบบถอดกายมาบอกให้พ่อหยุดพูดได้แล้วพูดให้น้อยปฏิบัติให้มากพอพ่ออุบาสกพูดเสร็จผมหละขนลุกเลยพระแม่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ครับตอนนี้ท่านลาพุทธภูมิแล้วผมอยากให้ทุกท่านลองไปดูท่านเป็นพระอรหันต์อืมผมก็สงสัยอยู่เรื่องหนึ่งผมก็เลยเดินไปถามพ่ออุบาสกว่าพระโพธิสัตว์เป็นผู้หญิงได้ด้วยเหรอพ่ออุบาสกก็ตอบว่าเป็นได้มันไม่เกี่ยวกันนี้ท่านมาเพื่อทำน่าที่ของท่านผมก็ถามต่อว่าพระแม่น่าจะเป็นผู้ชายผมอยากใกล้ชิดพระแม่บ้างท่านเป็นผู้หญิงผู้ชายก็เข้าใกล้ท่านมากไม่ได้(ที่แดนมหามงคลนี้อุบาสกกับอุบาสิกาแยกกันอยู่นะครับแต่เวลาร่วมปฏิบัติธรรมก็จะปฏิบัติด้วยกันแต่ไม่โดนตัวกันห่างกันเคารพต่อกันไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่เจอกันก็จะยกมือไหว้สาธุต่อกัน )แล้วพ่ออุบาสกก็ตอบว่าก็นั้นหละหน้าที่ของท่านท่านมาเพื่อเป็นผู้หญิงตอนแรกๆผมก็ไม่เข้าใจผมก็มาคิดดูน่าจะหมายความว่าอย่างงี้พระโพธิสัตว์ส่วนมากจะลงมาเป็นผู้ชายสะส่วนใหญ่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปใกล้ชิดปฏิบัติท่านได้ไปศึกษาธรรมแบบบ่อยๆก็ไม่ได้เท่าที่ควรเพราะท่านเป็นพระพระแม่ท่านเป็นผู้หญิงอาจจะลงมาเพื่อโปรดผู้หญิงด้วยกันหละมั้งผมคิดอย่างงี้นะและพ่ออุบาสกก็เล่าต่อว่าพระแม่ท่านสมัยเด็กๆท่านไปเล่นน้ำฝนที่กำลังตกอยู่แล้วพระแม่ท่านก็ยกมือขึ้นเล่นน้ำแล้วก็มีลูกแก้ว 3 ลูกหล่นลงมาที่มือของพระแม่แล้วท่านก็ไม่พูดต่อสถานที่นี้ดีมากครับอย่างครอบครัวผมไปพอกลับมาการงานเจริญรุ่งเรืองขึ้นลุงของผมอธิฐานขอให้ฝนตกลงมาที่สวนยางพาราหลังจากกลับมาจากการปฏิบัติธรรมฝนก็ตกที่สวนยางจริงๆอันนี้ท่านคงคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญงั้นเอางี้ขณะที่ผมปฏิบัติธรรมที่แดนมหามงคลก็ก็ช่วยพ่ออุบาสกแฟรงกี้ที่มาจากสิงค์โปเอาดินมาเทตรงถนนที่เป็นหลุมเพื่อให้ทางเดินสะดวกขึ้นผมได้ถูศาลาและสถานที่พักผ่อนของพ่ออุบาสกได้ช่วยล้างเท่าพระเณรจำนวน 130หรือ160ผมก็จำไม่ค่อยได้นะครับผมช่วยล้างเท้าพระเณรที่มาธุดงขึ้นเขากันที่แดนมหามงคลรู้สึกว่าบรรใดขึ้นเขาจะมีประมาณ 4000 กว่าขึ้นประมาณนี้เห็นมีแม่อุบาสิกาท่านบอกบนยอดเขามีวิหารที่สวยมาก มีพระธาตุ 4 ทิศด้วยต่อนะครับจากนั้นผมก็ช่วยแม่อุบาสิกายกอาหารเลี้ยงพระไปขนน้ำดื่มจากสะพานตรงข้ามจำนวน 200 หรือ400น้าอันนี้ผมจำไม่ค่อยได้อยู่ที่นั้นผมทำหลายอย่างมันสับสนจำนวนนะครับวันๆหนึ่งผมเดินไปมาไม่ต่ำกว่า 10กิโลแค่เดินมาจากเกาะพระจันทร์(คือชื่อสถานที่ผักขอพ่ออุบาสก)มาอีกเกาะหนึ่งของที่อยู่อาศัยของแม่อุบาสิกาขาไปก็ประมาณ 2 กิโล ไปกลับก็ 4 กิโลแล้ววันๆผมเดินไปมาไม่ต่ำกว่า 4 เที่ยวขนน้ำบ้างขนเสื่อบ้างเวลาผมทำอะไรพ่ออุบาสกท่านก็บอกให้ผมอธิฐานบารมีทุกครั้งผมก็ทำผมก็อธิฐานว่าขอให้บุญบารมีของลูกที่ได้ทำนี้ขอให้ลูกเข้าพระนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญหากลูกยังไม่สามารถเข้าพระนิพพานในชาตินี้ได้ขอให้ลูกทันพระศรีอารย์และลูกขอเป็นพระอรหันต์สาวกของท่านเข้าพระนิพานชาตินั้นด้วยเทอญผมอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั้น 2 วันครับแต่ผมไปปฎิบัติธรรมครั้งนี้ไม่ใช่ไปครั้งแรกผมไปตั้งแต่ผมอายุได้ 14หรือ15 ปีตอนนี้ผม 18 แล้ว ผมไปที่นั้นบ่อยครับผมเป็นช่างทำผมผมก็ไปตัดผมให้พ่ออุบาสกด้วยพอตัดเสร็จพ่อก็ให้พรซะยาวเลยพระดีๆทั้งนั้นเวลากราบรับพรตอนนั้นผมหละขนลุกทั้งตัวเลยยังกะมีพลังอะไรสักอย่างมาสัมผัสกายเลยสถานที่ปฎิบัติธรรมนี้ท่านกินเจครับถือศีล 8 นุ่งขาวห่มขาวสถานที่นี้สะอาดมากไม่ว่าจะเข้าไปที่ไหนต้องล้างเท้าจานชามล้างเสร็จก็ต้องมาลวกน้ำร้อนจากนั้นก็มาเช็ดกับผ้าขาวขนาดแก้วดื่มน้ำทุกครั้งก็ต้องล้างแล้วก็มาลวกน้ำร้อนสถานที่นี้มีระเบียบมากมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นผมไปครั้งแรกครับวันนั้นไปพบพระแม่พอดีบางคนมาบ่อยมาหลายปีแต่ไม่เคยพบพระแม่เลยก็มีนะครับตอนนั้นผมมาที่นี้ครั้งแรกก็เจอท่านผมหละปลื้มเลยเย็นวันนั้นหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จพระแม่บอกให้ลูกแก้วทุกๆคนเดินจงกรมพระแม่ก็นำท่านก้าวเท้าธรรมดาทำไมท่านไปเร็วจัง ลูกๆที่ตามหลักแทบจะวิ่งตามกันเลยตอนนั้นผมไม่ทราบยังไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับกสินต่างๆผมพึ่งจะมาศึกษาก็อีตอน 2 -3 ปีนี้เอง ผมคิดว่าที่พระแม่บงกชเดินเร็วท่านคงใช้วาโยกสินแน่ๆเลยก่อนที่ผมจะกลับพ่ออุบาสกท่านก็บอกว่าผมนะโชคดีมากพระแม่ท่านอธิฐานว่าขอให้ลูกๆของแม่มากรวมตัวกันที่นี้แล้วพ่อก็บอกว่าลูกๆของแม่อะนะมีหลายประเทศมากบางคนมาจาก ลังกา สิงค์โป จีน อีกเยอะแต่จำไม่ได้อย่างพ่อแฟรงกี้มาจากสิงค์โปพ่อแฟรงกี้ท่านเป็นคนขายข้าวหมูแดงที่สิงค์โปท่านก็มาอยู่กับพระแม่เลยพระแม่ขอไม่ให้กลับถ้าพ่อแฟรงกลับไปพ่อแฟรงจะอายุสั้นพ่อแฟรงตอนนี้ก็เปรียบเสมือนภรรโรงในโรงเรียนคอยกวาดดายหญ้า ซ่อมถนนพ่ออุบาสกช้างท่านบอกว่าพ่อแฟรงท่านฝึกตะบะส่วนพ่อช้างนี้ก็คือพ่ออุบาสกที่ท่านเล่าเรื่องต่างๆของพระแม่ให้ผมฟังที่ผมบรรยายเมื่อตอนต้นนั้นหละครับพ่อช่างท่านนอนน้อยครับวันหนึ่งนอน ประมาณ 4 ชั่วโมงท่านปักกลดอยู่ในป่าส่วนมากพออุบาสกจะนอนกันในที่พักพ่อช้างท่านไปปักกรดในป่าปลีกตัวออกมาท่านก็มาสอนวิปัสนาให้ผมผมหละเคารพพ่อช้างมากพอพ่อช้างพูดว่าพระแม่อธิฐานขอให้ลูกๆมารวมตัวกันผมหละปลื้มใจมากที่ผมก็ได้เคยเป็นลูกของพระแม่ด้วยพอกลับมาบ้านตอนนั้นผมอยู่บนรถลุงผมมารับผมไปปฎิบัติธรรมกับตาพอกลับตากับลุงก็พูดกันถึงฝนไม่ยอมตกลงมาเลยต้นยางพาราก็แย่เอาปีนี้มันแล้งจริงผมก็มองที่ท้องฟ้าแดนนี้ร้อนมากผมก็เลยอธิฐานขอบุญบารมีที่ลูกได้ปฏิบัติธรรมช่วยเหลือพระพุทธศาสนาและได้เป็นตัวแทนของแม่แดนธรรมต้อนรับพระสงฆ์ที่มาจากอุทัยธานีและได้ซ่อมทางถนนกับพ่อแฟรงกี้ถ้าบุญบารมีที่ลูกได้ทำนี้เป็นบุญที่มหาศาลก็ขอให้ฝนตกลงมาเท่ากับปริมาณที่ต้นยางพาราต้องการด้วยเทอญหากบุญบารมีที่ลูกทำไม่เพียงพอฝนก็อย่าตกลงมาเลยขณะนั้นท้องฟ้าสว่างมากร้อนมากผมก็เกิดอาการน้อยใจมากแต่พอกับรถข้ามเขตเมืองกาญมาได้เข้าเกตจังหวัดราชบุรีที่ผมอยู่ท้องฟ้าก็ครึ้มแต่ไม่มืดก้อนเมฆลูกสีดำก้อนใหญ่ก็เคลื่อนตัวมาผมหละขนลุกชันเลยยกมือไหว้ระลึกถึงพระแม่และบุญที่ผมทำไว้ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักแต่ไม่มีลมพอถึงบ้านผมก็รีบวิ่งไปอาบน้ำแล้วเข้าห้องพระสวดมนต์เลยฝนตกได้ประมาณชั่วโมงหนึ่งได้ผมหละดีใจมากเกิดปีติขนลุกอยู่นานเลยทั้งที่ก่อนหน้านั้น 4-5นาทีก่อนไม่มีวี่แววที่ฝนจะตกลงมาเลยอยู่ดีๆท้องฟ้าก็มืดลงมาอันนี้ผมก็มาเล่าให้ฟังแล้วแต่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ใช่ปัญญาพิจารณาดูเอานะครับตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วผมก็ขอตัวอาบน้ำสวดมนต์ที่ผมได้ตั้งสัจจะจากพ่ออุบาสกเอาไว้จากนี้ผมก็ขอน้อมบุญที่ผมได้ปฏิบัติธรรมมาแล้วทำภพทุกชาติมาถึงชาติปัจจุบันนี้บุญกุศลที่ผมได้ทำจะส่งผลให้ผมมีความสุขความเจริญร่ำรวยมหาศาลเพียงใดผมก็ขอน้อมบุญให้เพื่อนชาวพลังจิตที่ใฝ่ปฏิบัติธรรมทุกคนจงมีส่วนในผลบุญนี้ด้วยเทอญสาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
    (bb-flower :cool:
     
  15. MissyKelly

    MissyKelly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    446
    ค่าพลัง:
    +1,195
    ไปฝึกที่สายลมมาด้วย
    ที่คุณครูมาสอนทื่เมกาด้วย
    ขอบอกว่าดีมากๆค่ะ

    ชมพูส่วนตัวแล้ว ชอบครูแตนมากๆค่ะ
    แจ่มมากถ้าได้ฝึกกับครู
    ดร ปริญญาเคยบอกว่า ฝึกกับครูแต่ละคนผลอาจจะแตกต่างกันตอนแรก
    แต่ว่าไม่เป็นไรค่ะ

    หลวงพ่อสพสันบอกให้ใช้จิตไป
    ถ้าใครเคยฝึกแล้วปวดหัว เครียด
    หลวงพ่อบอกว่าบังคับตาเนื้อค่ะ
    หลวงพ่อบอกทำใจเบาๆ สบายๆ ห้ามเครียด
     
  16. หยุย

    หยุย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +350
    อ่านช้าไปหน่อย แต่ก้อยินดีด้วยนะครับที่เริ่มเห็นแล้ว
     
  17. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    ร่วมอนุโมทนา ด้วยครับ แล้วก็ขอให้ทุกคนที่ไปได้ไปถึงนิพพานทุกคนนะครับ รวมทั้งผมด้วยละกัน ยังไม่เคยไปแต่สนใจมากๆ กะว่าต้นเดือนหน้าจะไปให้ได้แน่นอน เดือนที่ผมเกิดเลยมิถุนายน แต่ผมเกิด30มิ.ย.31 อายุแค่ 17แต่สนใจพุทธศาสนามากๆ แต่ก็ไม่รู้นะวัยรุ่นสมัยนี้ดูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพุทธศาสนาเท่าที่ควร สำหรับผมถึงไหนถึงกันพยายามฝึกหลายอย่าง รวมทั้งกสิณด้วย กะว่าจะฝึกมโนมยิทธิก่อน แล้วค่อยฝึกกสิณ แล้วค่อยไปฝึกถอดจิต แต่ลองเพ่งจุดกลางหว่างคิ้วแล้วอยู่ดีๆลืมตาปุ๊บ รู้สึกมึน เวียนหัวแบบโลกหมุน ไม่เข้าใจเลยว่าที่ฝึกเพ่งจุดปวดเสียวตึงที่หว่างคิ้วเราฝึกถูกหรือป่าว หรืออาจเป็นที่เพ่งมากเกินไปหรือป่าว ยังไม่เคยได้ถามใครเลย ยังไงผู้รู้ก็ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
    สวัสดีครับ
     
  18. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    อนุโมทนาให้กับทุกคนแล้วนะครับ ใครที่จะไปก็ขอให้ได้ไปดั่งที่คิดไว้นะครับ ใครที่ยังฝึกไม่ได้ก็อย่าท้อนะครับต้องมีสักวันที่ฝันจะเป็นจริง ถ้าตั้งใจ ยังไงก็ต้องฝึกได้สักวันแหล่ะครับ ผมเชื่ออย่างนั้น ยังไงก็ขอให้ฝึกกันได้นะครับทุกๆคนเลย งั้นวันนี้ขอตัวไปก่อนนะครับเริ่มง่วงแล้ว
    บายครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  19. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    มโนฯ เชื่อยาก ควรมีอาจารย์อยู่ใกล้ตัว ตรวจพร้อมอาจารย์
    ใช้ปัญญาตนดีที่สุดแต่ควรอยู่ใกล้ชิดอาจารย์เช่นกัน
     
  20. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    อัพเดทครับ ที่ผมตอบไปขี้เกียจพิมพ์ครับ แต่เดี๋ยววันหลังเอารูปมาครับ
    http://www.palungjit.org/board/showt...t=16898&page=7
    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...