ผีปอบที่บ้านท่าวังหิน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย tatty, 22 เมษายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    เรื่องนี้คุณแม่ผมเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่คุณแม่ได้ประสบด้วยตัวเองตั้งแต่ยังสาวเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน

    คุณแม่ผมเป็นครูครับ มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง คุณแม่ได้ไปเช่าบ้านเพื่อนครูโรงเรียนเดียวกันอยู่ เพราะอยู่ใกล้โรงเรียน สะดวกในการเดินทาง

    มีอยู่วันหนึ่งเกิดเรื่องตื่นเต้นขึ้น มีคนแถวๆนั้นมาตามคุณแม่ รวมทั้งเพื่อนคุณแม่ที่เป็นเจ้าของบ้านเช่า ไปดูอาการเพื่อนบ้านคนหนึ่ง

    เพื่อนบ้านคนที่ว่านี้อยู่ๆมีอาการแปลกๆ พูดเพ้อเจ้อ ไม่รู้ตัว ใครชวนคุย หรือถามไถ่ อะไรก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

    ชาวบ้านสงสัยว่าคงจะโดนผีเข้า แต่ชาวบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะชาวบ้านไม่รู้จักหมอผีที่ไหนที่จะตามมาได้

    เลยเรียกแม่ผมกับเพื่อนครูของแม่ไปเพื่อปรึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเขาเห็นว่าเป็นครู คงมีความรู้หรือประสบการณ์พอจะช่วยเขาได้

    (สมัยก่อนแม่บอกว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีหน้ามีตามาก ใครๆก็อยากเรียนครู)

    เพื่อนแม่ที่เป็นเจ้าของบ้านเช่าก็เข้าไปคุย ไปถาม หญิงที่โดนผีสิง ก็ไม่ยอมพูด ยอมจา นั่งเหม่อซึมอยู่

    แม่ผมเลยลองเข้าไปคุยบ้าง ปรากฏว่าหญิงที่โดนผีสิง กลับเขยิบตัวหนี ไม่กล้าสบตา และไล่คุณแม่ผมให้ออกไปไกลๆ

    ชาวบ้านและเพื่อนแม่ รวมทั้งคุณแม่ของผม จึงออกมานั่งปรึกษากันห่างๆ บางคนถามคุณแม่ของผมว่า ทำไมผีถึงกลัวคุณแม่ของผม

    แม่ผมก็บอกไม่รู้ ไม่ได้เรียนคาถาอาคม อะไรมา ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมผีถึงกลัว
     
  2. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    สักพักหนึ่งคุณแม่ของผมคิดได้ หรือผีกลัวพระที่คุณแม่ห้อยคออยู่ ท่านเลยควักพระออกมาให้ทุกคนดู

    พระองค์นั้น คือ พระหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นพระโลหะ นักเลงพระเขาเรียกว่า หลวงปู่ทวดหลังเตารีด เพราะรูปทรงจะเหมือนเตารีดที่ใช้รีดผ้า

    พระองค์นี้ คุณแม่ได้มาจากเพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปวัดช้างไห้มาเมื่อปี 2512 เขาเช่าพระมาฝาก พระองค์นี้ปลุกเสกโดย พระอาจารย์ทิม ผู้สร้างหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ขึ้นมาเป็นคนแรก

    ชาวบ้านกับคุณแม่ก็เลยปรึกษากันดู ว่าจะลองอาราธนา พระหลวงปู่ทวด ทำน้ำมนต์ รักษาหญิงที่โดนผีเข้าสิงดู

    ชาวบ้านเลยวิ่งไปหาขันน้ำ ธูปเทียน ดอกไม้ มาให้คุณแม่
    พอได้มาคุณแม่ก็จุดธูป สวดมนต์ แล้วบอกกล่าว หลวงปู่ทวดให้มาช่วยเหลือ

    พอทำน้ำมนต์เสร็จ ก็ตักน้ำมนต์ไปราดหญิงที่โดนผีสิง พอโดนน้ำมนต์เท่านั้นแหละ หญิงที่โดนผีสิง ถึงกับกรีดร้องออกมา แล้วบอกว่า กลัวแล้ว กลัวแล้ว

    คุณแม่เลยถามว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมาสิงหญิงคนนี้
     
  3. tatty

    tatty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    8,976
    ค่าพลัง:
    +8,226
    ผีในร่างหญิงนั้นเลยบอกว่า เป็นแม่ชีที่ปลูกกระต๊อบ อยู่ใกล้ๆกันนี้แหละ เธอไปเรียนคาถา อาคม มา แต่รักษาสัจจะที่ให้ไว้กับครูบาอาจารย์ไม่ได้ รวมถึงทำผิดศีล คือเป็นแม่ชีโกนหัว
    แทนที่จะอยู่วัด แต่กลับมาอยู่ร่วมหลับนอนกับสามี และอาศัยผ้าขาว เที่ยวเดินถือบาตรหลอกชาวบ้านให้บิณฑบาต หรือบริจาคทานให้เธอ

    (แม่ชีคนนี้ เช้าๆ จะออกไปบิณฑบาต ไกลๆบ้าน บริเวณที่ไม่มีคนรู้จัก แต่กลับเอาข้าวหรือของที่ชาวบ้านบิณฑบาตให้นั้น กลับมาบ้าน มาทานเอง ของที่เขาทำทานให้มา ก็เก็บไว้ใช้เอง)

    ลักษณะแม่ชีที่กลายเป็นผีมาสิงชาวบ้านแบบนี้แถวบ้านผมเขาเรียกผีปอบ คือเป็นผีในร่างคนเป็น ยังไม่ตาย เนื่องจากไปเรียนคาถาอาคม มาแล้วรักษาข้อห้ามต่างๆ ไม่ได้ ตัวแม่ชีก็กลายเป็นผีปอบไป

    แล้วสาเหตุที่มาสิงหญิงคนนี้ ก็เพื่อจะมาแฝง กินอวัยวะภายในของหญิงที่โดนสิงนั่นเอง

    คุณแม่ขอร้องให้ผีปอบตนนี้ออกจากร่างหญิงนั้น ไม่งั้นจะโดนรดด้วยน้ำมนต์อีก ผีปอบเลยร้องบอกว่ายอมแล้ว ยอมแล้ว แล้วหญิงที่ถูกผีปอบสิง ก็ฟุบลงไป

    คุณแม่เลยช่วยกันปลุกหญิงที่โดนผีปอบสิง สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอบอก เธอไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ว่าผีมาสิงเมื่อไหร่

    คุณแม่จึงรดน้ำมนต์หลวงปู่ทวดให้หมดทั้งขัน แล้วบอกให้หญิงที่ถูกผีสิงไปหาพระรดน้ำมนต์ในวันรุ่งขึ้นด้วย

    ปัจจุบันพระหลวงปู่ทวดที่คุณแม่ใช้ทำน้ำมนต์ มีเซียนพระตีราคาให้หลายหมื่น เขาบอกว่าเป็นหลวงปู่ทวดหลังเตารีดปี 05 พิมพ์ตัวหนังสือเล็ก

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ประมาณ ปี พ.ศ.2513 ที่บ้านท่าวังหิน อ.เมือง จ.อุบลราชธานี โรงเรียนที่คุณแม่สอนคือโรงเรียนบ้านท่าวังหิน (สามัคคีวิทยาคาร)

    เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริง ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ทั้งสิ้น ขอรับประกัน และไม่ได้ไปก๊อปปี้มาจากเว็บไหน เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่เจ้าของกระทู้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2009
  4. FCM

    FCM Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +34
    น่ากลัวค่ะ แต่ก็ขอบคุณ
     
  5. panaone99

    panaone99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +292
    a nu mo tha na sa thu ka
     
  6. daonut

    daonut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +194
    ปัจจุบันนี้แถวอุบลยังมีปอบอยู่ค่ะ..แม้แต่ในเมืองที่เจริญแล้วก็ยังมีค่ะ ..
     
  7. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    "ผีปอบ" มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันเข้ม ขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือทำลาย ชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝัง รอยเสกหนังควาย เสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง


    วิชาไสยศาสตร์เหล่านี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ซึ่งพระ พุทธเจ้า ทรงระบุว่า เป็นเดียรฉาน วิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิด ข้อห้าม ข้อปฏิบัติโดยเด็ดขาด หากกระ ทำผิด ข้อห้าม ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า "คะลำ" ก็จะเกิดโทษหนักในข้อ "ผิดครู" วิญญาณบรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น ปอบ


    หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่ กลายเป็นปอบก็คือ เล่น คาถาอาคม อย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชา มนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัว กรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเองกลาย เป็น ปอบไปในที่สุด

    "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท


    [​IMG]


    ................... . "ปอบ ธรรมดา" หมายถึงคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง (คือตนเองเป็นปอบ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยูก็จะตายตามไปด้วย
    ....................

    "ปอบเชื้อ" หมายถึงครอบครัวใดพ่อแม่เป็นปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้ เป็นปอบต่อไป อีกประการหนึ่งเป็นกรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่า เป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ

    .................... "ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอาความ ผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือเวลาไปเข้าสิงใคร เมื่อถูกสอบ ถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบ จะไม่บอกความจริงหากไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เลย

    .................... ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า "ใบ้") หมายถึงปอบที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคน ถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของ ใครมีใครใช้ให้มาเข้าสิง

    ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "ปอบเข้า" จะมีอาการแตกต่างกันไป บางคนแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะ ร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา

    แต่ไม่ว่าจะมีทีท่าอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้ นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกหมูตับไก่ต้มมากิน เหมือนๆ กับเวลา กินก็แสดงความตะกละมูม มามและกินได้จุผิดปกติเมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอ ผีให้มาไล่ปอบ

    การไล่ปอบให้ออกจากร่างมีหลายวิธี ตามแนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมา บางคนจะเอาพริกแห้ง มาเผา ให้ควันรม คนป่วยจนสำลักควันน้ำตาไหลพาก ครั้นปอบ ออกจากร่าง แล้วหมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน เมื่อปอบรับสารภาพ หมอผีก็ จะปล่อยไป

    คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกเผา รมจะหายไปทันที แต่เจ้าของ ปอบกลับมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือดจนต้องหลบ หน้าอยู่แต่ในห้องไม่กลัวให้ใครพบหน้า

    อีกวิธีหนึ่งที่หมอผีทั่วไปนิยมใช้ไล่ผี คือใช้หวาย เฆี่ยนไล่ปอบซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละหากปอบกล้าแข็งหมอผีจะ เฆี่ยนหนักๆ กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายก็ จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่ผีปอบแบบนี้เคยเป็นเรื่องเป็นข่าวมาแล้ว

    ....................เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง หากป่วยเป็นโรคประสาท ญาติคิดว่าปอบ เข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่ หมอผีจัดการเฆี่ยนคนป่วยด้วยหวาย ได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจน หลายครั้งหลายหน โดยคิดว่าปอบฮึดสู้ไม่ยอม แพ้ในที่สุดคนป่วยก็เสียชีวิตร้อนถึงตำรวจ ต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมายและหมอผีคงคิดคุก ติดตะรางไปตามระเบียบ

    ....................อีกวิธีหนึ่งหมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัวเช่น คางคก ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้ คนที่ ถูกปอบเข้าสิงมักจะเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ (เธอ) ก็ยังขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้ และ มักจะยอมออกจากร่างที่ เข้าสิงง่าย ๆ

    ....................ผีปอบที่แก่กล้า เวลาเข้าสิงใครจะออกยาก กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้ เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมี ข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา

    เวลาหมอผีจี้อ้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก มันจะเลื่อนหนีได้ และเมื่อก้อนกลมๆนี้หายไปหมอ ผีที่มีวิชาอาคมยังไม่เก่งนักมักคิดว่าปอบออกไปแล้ว แต่ที่แท้จริงๆ ปอบมันจะเลื่อน หนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบ หรืออวัยวะเพศ ทำให้หาไม่พบ

    วิธีสำหรับหมอผีรุ่นครู จะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจาก ร่าง จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆ ใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนกลมนี้หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย

    เวลาที่ถูกไพลเสกจี้ ทางอีสานเรียกว่า "แทง" ปอบจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส (คนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอดครวญดังลั่น) หมอผีจะขู่บังคับให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี หลังจากทรมานปอบให้หวาด กลัวเข็ดหลาบแล้ว หมอผีจึงจะแก้มัดด้วยด้ายสายสิญจน์ ปล่อยให้ปอบออกไป

    หมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด ให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่เปิดเผยแก่ สาธารณชนทั่วไป โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนามา แล้วเอาหม้อดินครอบศีรษะคนถูกปอบสิง ใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟ คล้ายกับโกนผมให้ หมดไปครึ่งศีรษะ จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง

    วิธีการไล่ปอบแบบนี้ จะทำให้ผู้เป็นปอบหรือเลี้ยงปอบไว้ ต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรือเวลาออกนอกห้องไปไหน มาไหน ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ


    [​IMG]


    ZheZa.com | ~ +~+??ตำนานผีปอบ??(ต้นกำเนิดของปอบ+วิธีไล่ปอบ+อาการคนถูกเข้า)??!!>>.;<<



    ผีกะ เขียนอย่างวิชาการคือ ผีกละ เป็นอย่างผีปอบตามความเข้าใจของคนไทยทั่วไป ผีกะเป็นผีที่เข้าสิงคนเพื่อเรียกร้องจะกินอาหาร หรืออื่น ๆ แล้วแต่เงื่อนไข คนที่ถูกผีกะสิงจะแสดงอาการต่าง ๆ ผิดปกติไป เช่น ร้องไห้วี้ดว้ายโหยหวน พูดเพ้อเจ้อเป็นปริศนา หรือแสดงอาการอื่นที่ไม่เป็นปกติ นั่นแล

    ผีกะเป็นเรื่องน่ากลัวบวกกับความม่วน สมัยที่ผู้เขียนเป็นละอ่อนเด็กน้อยอยู่บ้านนอก ค่ำมายามโพล้เพล้ ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องกรี๊ด ๆ ท้ายหมู่บ้าน สักพักคนข่าวประจำหมู่บ้านอย่าง ย่าเป็งปากเปียะ จะรายงานตำแหน่งแหล่งหนว่าใคร อะไร ที่ไหน และเป็นอย่างไรตามมา ยามเข้าใต้เข้าไฟ เป็นยามตื่นเต้น ใครใจกล้าจะพากันไปดู

    พ่อหนานหรือปู่อาจารย์จะถูกตามมาแก้ไขสถานการณ์ มีคาถา มีมีดงาช้าง มีหางปลาไม (ปลากระเบน) เป็นอาวุธ เพียงชั่วข้ามคืน ทั้งหมู่บ้านจะคุยกันอยู่เรื่องเดียว ยิ่งหมู่บ้านใดมีกาดแลง เป็นแหล่งข้อมูลการเล่าขวัญที่ เร็ว ด่วน ม่วนสนุก สุด ๆ

    ผีกะเป็นความลับในชุมชนที่ต้องผ่านกระบวนการเล่าขวัญ ชนิด อู้นี่หายนี่ หมายถึงพูดแล้วเหยียบไว้ตรงนี้นะ แต่มีความหมายโดยนัยว่า พอย้ายตีนจากที่นี่ก็เล่าต่อได้เลย ใส่ไข่ใส่สีซะน่อย เพราะถ้ากล่าวหาซึ่งหน้าว่าบุคคลใดเป็นผีกะ ถือว่าหมิ่นประมาทดูแควนมีโทษทางกฎหมาย มูลเหตุการเป็นผีกะมีมากมายและซับซ้อน

    ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดลองเปิด สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือเล่มที่ 8 ดูเอง หรืออ่าน เล่าเรื่องผีล้านนา ของพ่อครูมาลา คำจันทร์ รับรองว่าสนุกยิ่งกว่าดูหนังผีปอบ 1 - 7 รวมกัน

    เด็กวัยรุ่นล้านนาชนบทมาอยู่ในเมือง มาเรียนหนังสือ และมาอยู่ด้วยกันตามประสาชายหญิง อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายชายมาตั้งข้อสนเท่ว่า คู่รักตัวเองมีพฤติกรรมแปลก ๆ เมื่อค่ำเมื่อคืนซ้ำมางามผี้หลี้ คือยิ่งดึกยิ่งสวย และออกเสาะหาของกินสุดคืน จนตุ้ยพีดีงาม

    ข้อสนเท่ของเด็กหนุ่มคนนี้แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานความเชื่อที่แฝงอยู่ในใจของเขา (สำนึกล้านนา) ถึงแม้จะอยู่ตึกนั่งรถยนต์กำมือถือกินพิซซ่าโดนัท หากแต่เมื่อมีข้อสงสัย ย่อมแสวงหาคำตอบอย่างบรรพชนเคยตั้งคำถาม

    ผีกะมีสัตว์พาหนะคือนกเค้าแมวเรียก นกเก๊าผีกะ เมื่อได้เห็นนกชนิดนี้ที่ไหน ใกล้ ๆ บริเวณนั้นจะต้องมีผีกะ หนุ่ม ๆ เวลาไปแอ่วสาวบ้านใด ก่อนจะขึ้นเรือนหรือตอนขากลับ มีเสียงนกเค้าแมวร้องส่ง สาวบ้านนั้นชวนสงสัยว่าเป็นผีกะ

    และหากใครฝันเห็นหมาดำมาไล่ฟัดกัดสู้ ต้องระนึกว่าตอนกลางวันได้พบกับใคร ที่น่าจะชวนทะเลาะก็คนนั้นแหละเป็นผีกะ นอกจากหมาดำยังมีแมวดำ หรือตัวที่กลั่นกล้าจริง ๆ ยังสามารถแปลงกายเป็นผีม้าบ้องได้อีกด้วย พูดแล้วขนฅิงลุกครั้งที่สอง

    ผีกะมักจะเป็นผู้หญิงมากกว่าชาย ตามคำเล่ากล่าวกันว่า หากได้กินข้าวร่วมไหเกิน 100 ไห คนผู้นั้นจะเป็นผีกะ กลายเป็นผีกะทั้งครอบครัวนั่นแล เป็นเขยที่ได้รับเชื้อผีกะเต็ม ๆ ภายใน 100 วัน


    อุ๊ยของผู้เขียนเล่าว่า สาวที่เป็นผีกะจะงามเป็นพิเศษ หรือสาวตระกูลผีกะจะงามกว่าสาวทุกครอบครัวในหมู่บ้าน และมักเป็นสาวเคิ้นคานทอง เพราะว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายมักพากันรังเกียจกลัวได้กินข้าวร่วมไห

    วิธีสังเกตสาวผีกะคือ สาวนั้นยิ่งดึกยิ่งงาม เล่ากันอีกว่าหากใคร่พิสูจน์แน่ชัดว่าเป็นหรือไม่เป็นให้ใช้ใบตองกล้วยงำเครือ (ตองใบสุดท้ายที่ปกเครือกล้วย)

    มาเสกคาถาแล้วมองลอดใบกล้วยนั้นหรือจะใช้ใบพลูเสกก็ได้ หรือใช้คาถาเสกแล้วมองลอดหว่างขาของตน หากสาวนั้นเป็นผีกะ จะเห็นลิงวอกคู่หนึ่ง เกาะไหล่เลียใบหน้าของสาวนั้น สาวจึงงามผุดผาด หน้าใสยิ่งกว่าใช้ครีมลอกฝ้า

    ผีกะ เป็นผีที่สืบมาทางฝ่ายแม่ หากตระกูลใดไม่ได้เอาใจใส่ดูแลผีตระกูลตน คือ เลี้ยงบ่ดีพลีบ่ถูก ผีตระกูลจะกลายเป็นผีกะ เข้าสิงคนอื่นแล้วบอกชื่อเจ้าของผีให้ขายหน้า

    ความเชื่อนี้จึงเป็นมูลเหตุให้สาว ๆ หรือแม่ร้างนางเรือนดูแลเอาใจใส่ แม่ อุ๊ย ย่า ยาย รักษาชื่อเสียงของตระกูล คืออยู่ถ้อยฟังคำ ไม่นอกรีตนอกรอย เช่น ไม่นอกลู่นอกทางก่อนแต่ง เป็นต้น ถ้าปฏิบัติดีอยู่ถ้อยฟังคำ ผีตระกูลจะส่งเสริมให้วุฒิจำเริญ ฮิมาค้าขึ้น อยู่ม่วนกินหวาน

    และหากละเสียยังฮีต ลีดเสียยังฮอย บ่อยู่ถ้อยฟังคำ ระวังผีนั้นจะกลายเป็นผีกะ ซะหน้าซะตาลูกหลานคนนั้น

    หลังจากอธิบายยายยาวให้ลูกศิษย์หนุ่มฟังแล้ว ก็ฝากให้เขาไปพิจารณาเองว่า คู่รักแห่งตนนั้น เป็นผีกะหรือไม่ และถ้าเป็น เกิดจากสาเหตุใด เขาฟังแล้วคงขนฅิงลุกซ้อนกันสามครั้ง

    และสุดท้ายคือคำขอของลูกศิษย์ที่เข้าใจว่าแฟนตัวเป็นผีกะ ว่าใคร่ได้คาถาปราบผีกะสักบท ผู้เขียนจึงให้ไปบทหนึ่ง ผู้อ่านจะลองเอาไปใช้ก็ได้ ไม่หวงห้าม คาถาและวิธีใช้เป็นดังนี้

    "มติ จุติ ตติ มติ เอหิ ภควะ โส ชายะ" ใช้เสกเชือกมัดที่คอ (มัดหลวม ๆ เน้อ) หรือเสก ไพล (ปูเลย) แล้วกรีดหรือแทงไปตามร่างกายของคนที่ถูกผีกะเข้าสิง ผีกะจะเผ่นไป .......

    [​IMG]

    ข้อมูลดีๆ จาก lannaworld.com
     
  8. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    แล้วผีเดา มีหรือเปล่าครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...