เมื่อหลวงปู่หล้าโต้ตอบธรรมะกับหลวงปู่เกษม อาณณสีโล

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย นิโร, 19 เมษายน 2009.

  1. นิโร

    นิโร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +24
    พี่น้องทั้งหลายมีบางเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้

    มีหลวงปู่รูปหนึ่ง นามว่า พระเกษม อาจิณณสีโล วัดป่าสามแยก อ.นำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ถูกกล่าวหาในประการต่างๆจนบรรดาพี่น้องญาติธรรมสายครูบาอาจารย์วัดป่ากรรมฐานเกิดการสงสัยไม่เข้าใจหรือเข้าใจในข้อเท็จจริงยังไม่ถูกต้อง กระผมในฐานะลูกศิษพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เกษม และหลวงปู่บ้านตาด ขอชี้แจงและทำความเข้าใจว่า เรื่องดังกล่าวมีที่มาที่ไปดังนี้

    องค์หลวงปู่เกษมมีจริตนิสัยที่ต่างจากหมู่เพื่อน การปฏิบัติธรรมผมเคยฟังท่านเทศ(ภาคปฏิบัติ) แล้วจับใจคล้ายคลึงกับการเทศนาขององค์หลวงปู่บ้านตาดมาก เด็จเดี่ยว เผ็ดร้อน และเฉียบขาดถึงขนาดเอาชีวิตเข้าแลกที่เดียว


    ท่านมาพักปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้วัดหลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ โดยคำบัญชาของหลวงปู่บ้านตาด เมื่อข้องใจในปัญหาข้อธรรมก็จะขึ้นมาถามองค์หลวงปู่หล้า และถูกดุ เป็นประจำ หลวงปู่เกษมเคยขอหลวงปู่หล้ากลับบ้านเพื่อเยี่ยมโยมมารดาในหลายครั้ง แต่จะถูกห้ามปรามโดยตลอด จนวันหนึ่งองค์หลวงปู่หล้าได้อนุญาตให้กลับบ้านเพื่อเยี่ยมมารดาได้ โดยหลวงปู่หล้ากล่าวสั้นๆว่า"ท่านเป็นพระแล้ว" คือปฏิบัติจนถึงขั้นภูมิพระโสดาบัน หลังจากนั้นท่านก็ได้เร่งปฏิบัติเพื่อฆ่ากิเลสอย่างต่อเนื่อง จนคราวหนึ่งข้องใจว่าตนเองถึงภูมิธรรมพระอนาคามีหรือยัง เพราะเข้าใจว่าตนเองหมดกามราคะแล้ว กำหนดอะไรก็ว่างไปหมด จึงได้ไปพบเพื่อปรึกษากับหลวงปู่หล้า ปรากฏว่าถูกหลวงปู่หล้าตีศอกใส่อย่างนัก หลวงปู่หล้ากล่าวว่า" การปฏิบัติก็ย่อมมีผิดและถูกกันบ้าง ที่ว่าตนเองเป็นพระอนาคามีนั้น พระอนาคามีอย่างไร ถ้ามึงไม่สงสัยมึงมาถามกูทำไม นี่มึงยังสงสัยมึงจึงมาถามกู พระอนาคามีแม่มึงอะไร พระอนาคามีท่านต้องรู้เองชัดแจ้งไม่สงสัยและไม่จำเป็นต้องถามถามใคร ถ้าไม่จริงให้ฟ้าผ่านี่" หลังจากนั้น คำว่าให้ฟ้าผ่า นี้จึงติดใจหลวงปู่เกษมมาก จนท่านติดนิสัยและมักจะยกมากล่าวยืนยันการแสดงธรรมของท่านตลอดมา ท่านกล่าวว่าการที่ท่านเข้าใจว่าตนเป็นพระอนาคามีนั้นหลวงปู่หล้าอธิบายว่า พลังของสมาธิบางที่มันแรงมากแรงจนปิดบังให้กามราคะไม่กำเริบ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันหมดไป ท่านกล่าวว่าตอนนั้นกระแสจิตท่านจะสามารถส่องทะลุทะลวงร่างกายของมนุษย์ให้เห็นแต่โครงกระดูกจนถึงความว่างเปล่าได้ทั้งหมด แต่นั่นคือพลังของสมาธิมิใช่ปัญญา(วิปัสสนาญาณ)การเห็นหรือการวางพระไตรลักษณ์ในอสุภะได้อย่างแท้จริง มันเหมือนกิเลสสลบไปหรือหดตัวซ่อนอยู่ชั่วคราว และพร้อมจะกำเริบได้เมื่อมันฟื้นขึ้นหรือมีกำลัง จากนั้นท่านก็เร่งในการพิจารณาอสุภะอย่างเอาเป็นเอาตายจนจิตสามารถรู้เองชัดเจนว่าราคะนั้นงัดไม่ขึ้นแล้ว จิตขณะนั้นจากเคยสว่างใสวธรรมดากลายเป็นสว่างมองทะลุหลายจักรวาลมองเห็นหมด และท่านได้เข้าพบหลวงปู่หล้าอีกครั้ง จนเหลือกิเลลสตัวสุดท้ายที่หลวงปู่หล้าชี้ทางสอนให้พิจารณา ว่า(พูดภาษาอีสาน) " ให้ดูว่าผู้รู้อยู่ที่ไหน ใครเป็นผู้รู้ เมื่อเห็นใครเป็นผู้รู้อย่างนั้นแล้ว ท่านว่าแม้ผู้รู้ก็ไม่ให้สำคัญว่าผู้รู้เป็นเราเราเป็นผู้รู้ ให้วางเสีย " นี่คืออวิชชาตัวสุดท้ายที่องค์หลวงปู่เอาไปพิจารณาจนจิตนั้น สว่างจ้าครอบไปหมดจักรวาลน้อยใหญ่ในหลายหมื่นจักรวาล ทะลุหมดไม่มีที่สิ้นสุด 3 โลกธาตุกระเทือนถึงกันหมด (สภาวะพระนิพพาน)กระเทือนถึงธาตุขันธ์ น้ำตาไหลพราก จนเปล่งอุทานว่า "โอ้โฮ พระพูทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร ธาตุเอ๋ยขันธ์เอ๋ย ชาตินี้กูใช้มึงคุ้มๆ"

    หลังจากนั้นท่านก็ไปขออนุญาตหลวงปู่บ้านตาดไปอยู่น้ำหนาว หลวงปู่บ้านตาด (พระหลวงตามหาบัว) ได้กล่าวว่า" เษมเหรอ จะไปอยู่ไหน หลวงปู่เกษมกล่าวว่าไปอยู่น้ำหนาวครับผม หลวงปู่บ้านตาดกล่าวต่อว่า เอ้อ ไปอยู่ไหนให้เป็นหลักแหล่งนะ เวลานี้พระกรรมฐานเราเสาหลักดูจะไม่ค่อยมีแล้วนะ"


    หลังจากนั้นหลวงปู่จึงมาอยูที่น้ำหนาว ด้วยวาสนานิสัยที่แตกต่างจากครูบาอาจารย์ทั่วไป คือกิริยาทั่วไปเหมือนหลวงปู่เจี๊ยะ โผงผาง พูดจาเหมือนนักเลง จริงจัง
    แต่หลวงปู่เมตตามาก ผมสัมผัสกับหลวงปู่มานาน มีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากกล่าวแต่เอาเป็นว่าใครสงสัยประเด็นไหนให้ถามมาผมจะตอบแทนองค์หลวงปู่เท่าที่ตอบได้ครับ
    ข่าวและภาพที่ออกไปหากคนไม่ทราบและตำหนิกลายเป็นปรามาสครับ พระอรหันต์ด่าพระอรหันต์ด้วยกันได้ครับ หากปฏิบัติไม่ถูกตามพระวินัยซึ่งแม้จะไม่เป็นผลร้ายแก้ผู้สอนซึ่งหมดกิเลสแล้ว แต่เป็นผลร้ายต่อผู้ถูกสอนที่กระทำผิด มีในพระไตรปิฎกว่า พระอรหันต์หากศึกษาน้อยอาจทำให้ผู้รับคำสอนเป็นบาปโดยไม่รู้ตัว พระอรหันต์อาจแย้งกันในเรื่องสมมติแต่ไม่เถียงกันในเรื่องวิมุติ
    หลวงปู่ท่านเข้มในพระวินัยมากๆ จนบางครั้งโลกไม่ยอมรับแต่ท่านต้องนำออกแสดงเพราะเราก็ทราบว่าเรื่องศาสนาเราอยู่ได้เพราะพระวินัยหากพระวินัยถูกทำลายวัตถุเข้าครอบงำแก่นแท้ของศาสนาไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างแท้จริง ศาสนาจะพินาศและอยูไม่ครบ 5000 ปีได้ กล่าวไปมาผมก็เริ่มเละเลือนแล้ว ผู้ใดอ่านแล้วเกิดประโยชน์เข้าใจ ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ ใครไม่เข้าใจอย่างพึ่งติเลยครับรับฟังไว้ไปพิจารณาว่าถูกหรือผิด แล้วใครถามเกี่ยวกกับหลวงปู่อีกผมมีเวลาผมก็จะตอบให้ เหตุผลที่ผมต้องอธิบายผมกลัวหลายคนทำปาบกรรมครับ ในปัจจุบันมีหลายสำนักปฏิบัติไม่ถูกต้องทั้งเรื่องคำสอนและพระวินัย พระอรหันต์ท่านด่าได้หมดครับ แต่เราไม่มีสิทธิด่าใครเราทราบและรู้เฉย เพราะพระอรหันต์เวลาด่าไม่ยึดปล่อยเป็นธรรมไม่มีภัย แต่เวลาเราด่าหรือตำหนิเรายังยึดยังเพ่งโทษผู้อื่นเป็นการผูกเวรเป็นกรรมไม่จบสิ้น

    ข้อมูลทั้งหมดผมรับผิดชอบครับ ตอนนี้ผมรับราชการที่แม่ฮ่องสอน เป็นนิติกรครับ และยืนยันว่าข้อมูลที่กล่าวนั้นเป็นความจริงตามที่ได้รับทราบมา หากผมกล่าวโกหกประการใดมีเจตนาที่ไม่ดีต่อพระศานาขอให้ผมไม่เจริญในมรรคผลนิพพาน
    ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบรรดาลบุญข้าเจ้าให้แก่เชื้อโรค นายเวร เทวดาที่รักษาท่าน ขอท่านทั้งหลายจงเจริญในการปฏิบัติธรรม จงพ้นทุกข์พบพระนิพพานหากมีสิ่งใดขัดข้องในการปฏิบัติ บุญนี้จงเข้าช่วยเหลือท่านไม่มีประมาณ
     
  2. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175
    มี เปลือก ย่อมมี แก่น.....มี แก่น ย่อมมี เปลือก........โลกนี้ มีทั้ง สมมติ และ วิมุติ........อาศัยซึ่งกันและกัน........พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์.....ก็ได้ทรงอาศัยโลกนี้ เป็นที่สร้างบารมี มามากมาย........พระองค์ทรงพ้นโลก และ โปรดสัตว์ไปตามวาสนาบารมี......การเผยแพร่ธรรมของพระองค์ ทรงตรวจดูบุคคลที่เหมาะสมก่อน....ตลอดกาลแห่งพระชนม์ชีพ......และ หยั่งรู้ถึงความเป็นไปของสัตว์โลกทั้งปวง......พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกองค์ แม้จะทรงวิมุติหลุดพ้นแล้ว.....แต่ก็เคารพในสมมติ เคารพในพระธรรมวินัย......องค์หลวงปู่มั่น นั้น.....ตามพระประวัติแล้ว....แม้เศษกระดาษที่มีตัวหนังสือ ท่านยังไม่ข้ามกราย แต่เก็บขึ้นมารักษาอย่างดี.....แล้ว กล่าวว่า.....อักษรทุกตัว ไม่ว่าของชาติใดๆ ล้วนสามารถจารึกเป็นพระธรรมได้......โดยนัยนี้.....ย่อมแสดงถึง ความเคารพในสมมติของพระอรหันต์ ว่า สูงส่ง และ ลึกซึ้ง เพียงใด.......

    วัดป่าทุกแห่ง ล้วนมี พระพุทธรูป ไว้สักการบูชาทั้งสิ้น.....มิได้ประมาทพลาดพลั้ง หรือ ล่วงเกิน เลย......กลับยิ่ง ถวายความเคารพบูชา เป็นอย่างสูง......เพราะ เป็น "พุทธานุสติ" อยู่ในตัว.....และ ปราศจากความงมงายใดๆ ด้วย....เพราะ มุ่งที่ อรรถธรรม มากกว่า พิธีกรรมใดๆ ของชาวโลก.....นับเป็น แบบอย่างอันดี....

    การสวดมนต์ นั้น......ครูบาอาจารย์ทุกองค์.....ต่างก็ สวดมาแล้ว อย่างมากมาย......ในพระประวัติขององค์หลวงปู่มั่นฯ เองนั้น.......ก็ สวดมนต์แต่ละครั้ง ยาวนานมาก.....และ ครูบาอาจารย์ทุกองค์ ต่างก็สรรเสริญในการสวดมนต์มาก.....ว่า มีอานิสงส์มากมายมหาศาล....เพียงใด

    จะสวดแปล เพื่อให้เกิดปัญญา.....หรือ.....สวดภาษาบาลี เพื่อให้เกิดสมาธิธรรม.....ก็มีให้เห็นกันอยู่ โดยทั่วไป.....ตามความมุ่งหมาย ของแต่ละท่าน แต่ละคน.....

    อนึ่ง การแผ่เมตตา หรือ การอุทิศส่วนกุศลใดๆ นั้น......แต่โบราณ และ ครูบาอาจารย์ทุกองค์....ก็สอนไว้แล้ว.......หากเจริญเมตตาจิต ให้เป็น...เมตตาเจโตวิมุติ.....เป็น อัปปมัญญาพรหมวิหาร...ย่อมบังเกิดแสงสว่าง สาดส่องไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุ ทุกภพภูมิ....โดยไม่มีประมาณ......อานิสงส์ นั้น ย่อมครอบคลุมแก่ ทุกรูป และ ทุกนาม ในสากลจักรวาล อยู่แล้ว โดยชอบ......ในพระไตรปิฎก ก็มี......ครูบาอาจารย์ทุกองค์ ก็สอนไว้แล้ว......ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้ถึงระดับ ย่อมทำได้ เป็นเรื่องปรกติธรรมดา....กล่าวไปไย กับการอุทิศ แบบเจาะจง...ซึ่งทำได้ง่ายกว่ามาก.....

    ผมเองนั้น ยกย่องในคำสอนของ องค์หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ มาก......ซาบซึ้งในธรรมที่ท่านแสดงออกมาจากหัวจิตหัวใจของท่านมาก......หมอบก้มกราบกราน อย่างถวายชีวิต.....มิได้มี สิ่งใดมาสะดุดในหัวใจของผมเลย......ขอพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โปรดได้ไปศึกษาธรรมะขององค์หลวงปู่หล้า นั้นเถิด......จะเห็นว่า ที่ผมกล่าวมานั้น.....ไม่เกินความเป็นจริงไปเลย.....หรือ ไปดูที่ วัดป่าบ้านตาด ก็ได้ครับ.....ว่า มี องค์พระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่หรือไม่.....องค์หลวงปู่บ้านตาด.....มี กระแสธรรม ว่าอย่างไร.....หรือ องค์พระแก้วมรกต นั้น.......มีความสำคัญอย่างไร.....


    และ มิใช่ พระพุทธรูป หรอกหรือ......ที่ทำให้ พระพุทธศาสนา....อยู่ยั่งยืนยาวนาน ในสยามประเทศ และ ทั่วโลกมนุษย์......มาจนทุกวันนี้.......ถ้าจะโทษ ต้องโทษที่ความหลงของคน......ที่งมงายในวัตถุ จนแยกแยะไม่ออก ระหว่าง สมมติ กับ วิมุติ.....จะไปโทษ พระพุทธรูป ได้อย่างไร......ท่านนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรผิด.....มีแต่ ครูบาอาจารย์จะใช้ "กุศโลบาย" ในการสั่งสอน.....ด้วย โยนิโสมนสิการ......หรือ ปัญญาพิจารณาอันแยบคาย นั้นแล......จึงจะสมควร



    พุทโธ ธัมโม สังโฆ......

    หมอพล....


    ปล. หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่เจี้ยะ.......โผงผาง ขนาดไหน......ก็ยัง ไม่เคยก้าวล่วง องค์พระพุทธปฏิมากร เลยครับ....อาจจะหยอกแรงๆ กับ พระ ด้วยกันบ้าง....แต่ก็ยังรู้จัก ขอขมาอภัย กันครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2009
  3. ธาตุ 4

    ธาตุ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +110
    ความจริงแล้วชาวพุทธเราไม่นำเอาคำสอนแท้ ๆ ของพระพุทธเจ้ามาศึกษาและและปฏิบัติกัน เพราะจากการดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ชาวพุทธเราก็จะเชื่อคำสอนของพระอรหันต์ที่โด่งดังในยุคนั้น ๆ มากกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นสมัยโบราณ บรรพบุรุษที่หลายท่านกล่าวอ้างมานั้น แต่ก็ไม่โบราณเท่ากับสมัยพระพุทธเจ้า ตรงนี้คิดพิจาณานะ......
    คำสอนของพระอรหันต์ท่านว่าถูกต้องหมดหรือ คำสอนที่ถูกทั้งหมดคือพระพุทธเจ้าเพราะพระองค์เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงโดยแท้ พระอรหันต์จะมีความรู้เฉพาะเรื่องที่ท่านบรรลุธรรมนั้น กระผมนั้นไม่ได้เชื่อใครมากไปกว่ากัน แต่กระผมเชื่อและศรัทธาพระพุทธเจ้ามากที่สุด หลวงปู่หลวงพ่อองค์ใหนที่ท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนสั่งนั้นถือว่าถูกต้องที่สุด
     
  4. ธาตุ 4

    ธาตุ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +110

    ก็ชัดเจน แต่ก็สงสัยว่า "สมัยโบราณหรือครูอาจารย์หลายองค์" ถ้าตรงนี้กว่าว่า"สมัยพระพุทธเจ้า" สอนไว้นั้น ก็คงดีมากทีเดียวเพราะเห็นว่าโบราณขนาดใหนก็ไม่สำคัญเท่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่โบราณกว่าและถูกต้องที่สุด
     
  5. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,034
    ตั้งแต่เข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันผล
    ความปรามาส ความลังเลสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ทั้งทางกาย วาจา และใจ ย่อมไม่มี ย่อมเทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้า
    พระอริยะเจ้าทั้งหลาย เป็นที่ใจไม่ใช่รูปแบบ ยึดมั่นถือมั่นมากไปก็ไม่ใช่ทาง
    ธรรมะของพระพทธเจ้า ไม่ใช่ของเข้าใจยาก อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง
     
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ . . .ดีแล้วชอบแล้ว
     
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ไหว้พระพุทธรูป




    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ โต ได้ไปสวดมนต์ที่บ้านชาวเหนือ หรือ ปัจจุบันคือ “บ้านช่างหล่อ” เหตุที่ได้ชื่อว่าบ้านช่างหล่อ เพราะว่า เป็นชุมชนที่สร้างพระพุทธรูป นั่นเอง ที่บ้านนั้นเขาได้เอาหุ่นพระพุทธรูปมาตั้งผึ่งแดดไว้ ห่างจากทางเดินประมาณ ๒ ศอก…เมื่อสมเด็จฯ โต เดินผ่านมาเห็น เห็นพระพุทธรูป ท่านได้ก้มกายลง ยกมือประนมขึ้นเหนือศีรษะ พระและลูกศิษย์ที่มาด้วยเมื่อเห็นท่านไหว้ก็ไหว้ตาม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าไหว้ทำไม

    ครั้นเมื่อขึ้นนั่งบนบ้านเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยเจ้าภาพซึ่งได้เห็นการกระทำของสมเด็จฯโต จึงเข้าไปกราบเรียนถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เคยเห็นสมเด็จฯ ท่านทำมาก่อน สมเด็จฯท่านได้ตอบว่า “ที่ท่านยังไม่เคยทำมาก่อนนั้น เพราะท่านยังไม่เห็น เมื่อท่านเห็นจึงต้องทำ” แม้ท่านตอบอย่างนี้ก็ยังไม่สามารถคลายความสงสัยให้แก่ผู้ถามได้ ผู้ถามจึงถามอีกว่า

    พระพุทธรูปยังไม่ยกขึ้นตั้ง และยังไม่เบิกเนตร จะเป็นพระได้หรือขอรับ

    สมเด็จฯ ท่านจึงตอบว่า
    ความเป็นพระหรือไม่เป็นพระนั้ มันเริ่มตั้งแต่ผู้ที่ทำหุ่นยกดินก้อนแรกลงบนกระดานแล้ว เพราะผู้ทำตั้งใจจะทำให้เป็นองค์พระ ย่อมเป็นพระอยู่วันยังค่ำ แม้จะยังไม่ได้ผ่านการปลุกเสกก็ตามที

    การที่ท่านสอนเช่นนี้ ก็เพื่อให้เราอย่าได้ไปยึดติดกับการปลุกเสก พิธีกรรมต่าง ๆ การจะเป็นพระพุทธรูป หรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ที่การปั้นเสริมเติมแต่งขึ้นให้เป็นรูปร่าง แต่ขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่า มีความเป็นพระอยู่ในใจด้วยหรือไม่ ถ้าเรามีใจเป็นพระทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น ก็จะเป็นพระหมด ความเป็นพระนั้นมี ๒ อย่าง คือ

    ๑.พระโดยสมมติ คือ รูปสมมุติที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่สักการะบูชาให้ใจเราได้น้อมระลึกถึงพระพุทธองค์เพื่อเป็นพุทธานุสสติ

    ๒.พระโดยธรรม คือ ธรรมอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติน้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา เป็นพระที่เกิดในใจ คือ การเข้าถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เรารู้จัก พอ รู้จัก ละ รู้จักปล่อย รู้จักวาง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

    จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายพิจารณา ตามเหตุตามปัจจัยที่พึ่งจะมี เพื่อความเข้าใจ เพื่อความนอบน้อมในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเจริญในธรรมของสาธุชนทั้งหลาย…สาธุ

    ผู้เขียน: พระอาจารย์สายัณห์ ติกขปัญโญ


    http://palungjit.org/threads/~-ไหว้พระพุทธรูป-~.141281/
     
  8. เเมคมวย

    เเมคมวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +79
    ขอกราบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.....
     
  9. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ผมโชคดีอยู่อย่าง ซึ่งตอนนั้นมีข่าวเกี่ยวกับหลวงพ่อเกษม ในเรื่องพระพุทธรูปซึ่งถูกโจมตีต่อท่านเสียๆหายๆ ในเวบธรรมะก็มีคนมาปรามาสกล่าวหาว่าท่านต่างๆนาซึ่งตอนนั้นไม่เคยมีจิตคิดปรามาสท่านเลย ใช้อุเบกขาธรรมวางใจเป็นกลางได้อยู่ในระดับหนึ่ง ระงับในโลกธรรมถึงแม้ท่านจะเป็นอย่างไร คำสอนของท่านในเรื่องการอุทิศบุญ ผมเองก็ยังนำมาใช้อยู่เสมอๆ
     
  10. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ว่าแต่ คุณนิโร เจ้าของกระทู้ หลวงพ่อเกษมเป็นอย่างไรบ้างครับ ตอนนี้รู้สึกว่าท่านจะเงียบหายไปเลย
     
  11. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    anumtana ka
     
  12. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ถามหน่อยน่ะครับ ไม่ได้โจมตีน่ะครับแต่ ทำไมถ้าพระเกษมเห็นว่าหลวงตาเป็นครูอาจารย์แต่ทำไมถึงด่าหลวงตาในเวปมีการพาดพิงหลวงตาหลายเรื่อง นี่หรือเห็นหลวงตาเป็นครูอาจารย์ แล้วประวัติที่คุณเล่ามามันคล้ายประวัติหลวงตาเลย ต้องที่ว่า พอบรรลุแล้วน้ำตาไหล อีกอย่างใช่ พระเกษมต้องไม่ให้คนติดสมมุติแต่ถ้าไม่มีสมมุติก็มีวิมุมติไม่ได้ วิมุมติจะแสดงล้วนๆๆไม่ได้ต้องเอาสมมุติมาด้วย การที่ทำลายพระพุทธรูปเป็นกรรมหนักแต่ว่าในเรื่องกรรมนั้นมันก็ต้องดูว่าจุดประสงค์คืออะไร ใช่พระพุทธรูปเป็นสิ่งสมมุติเป็นสิ่งที่หล่อจากทองเหลืองแต่ก็เป็นรูปเคารพพระพุทธเจ้าอย่างน้อยก็ต้องมีความเคารพ ไม่งั้นก็ถือว่าไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัย จริงแล้ว ทำใจให้มันเหนือบาปเหนือบุญมันก็ดีแต่ การทำอะไรก็ต้องพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย 2. พิจารณาดูว่า กรรมชั่วก้ละเว้นเสีย กรรมดีก็ทำ นี่แหละถึงจะเรียกว่าเหนือบาป เหนือบุญ
     
  13. อรุณ แสนคำ

    อรุณ แสนคำ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +44
    และ มิใช่ พระพุทธรูป หรอกหรือ......ที่ทำให้ พระพุทธศาสนา....อยู่ยั่งยืนยาวนาน ในสยามประเทศ และ ทั่วโลกมนุษย์......มาจนทุกวันนี้.......ถ้าจะโทษ ต้องโทษที่ความหลงของคน......ที่งมงายในวัตถุ จนแยกแยะไม่ออก ระหว่าง สมมติ กับ วิมุติ.....จะไปโทษ พระพุทธรูป ได้อย่างไร......ท่านนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรผิด.....มีแต่ ครูบาอาจารย์จะใช้ "กุศโลบาย" ในการสั่งสอน.....ด้วย โยนิโสมนสิการ......หรือ ปัญญาพิจารณาอันแยบคาย นั้นแล......จึงจะสมควร

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ......

    หมอพล...

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ถามหน่อยน่ะครับ ไม่ได้โจมตีน่ะครับแต่ ทำไมถ้าพระเกษมเห็นว่าหลวงตาเป็นครูอาจารย์แต่ทำไมถึงด่าหลวงตาในเวปมีการพาดพิงหลวงตาหลายเรื่อง นี่หรือเห็นหลวงตาเป็นครูอาจารย์ แล้วประวัติที่คุณเล่ามามันคล้ายประวัติหลวงตาเลย ต้องที่ว่า พอบรรลุแล้วน้ำตาไหล อีกอย่างใช่ พระเกษมต้องไม่ให้คนติดสมมุติแต่ถ้าไม่มีสมมุติก็มีวิมุมติไม่ได้ วิมุมติจะแสดงล้วนๆๆไม่ได้ต้องเอาสมมุติมาด้วย การที่ทำลายพระพุทธรูปเป็นกรรมหนักแต่ว่าในเรื่องกรรมนั้นมันก็ต้องดูว่าจุดประสงค์คืออะไร ใช่พระพุทธรูปเป็นสิ่งสมมุติเป็นสิ่งที่หล่อจากทองเหลืองแต่ก็เป็นรูปเคารพพระพุทธเจ้าอย่างน้อยก็ต้องมีความเคารพ ไม่งั้นก็ถือว่าไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัย จริงแล้ว ทำใจให้มันเหนือบาปเหนือบุญมันก็ดีแต่ การทำอะไรก็ต้องพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย 2. พิจารณาดูว่า กรรมชั่วก้ละเว้นเสีย กรรมดีก็ทำ นี่แหละถึงจะเรียกว่าเหนือบาป เหนือบุญ<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ชมรมวิมุตติธรรม "แสวงหาธรรมอันไปสู่การหลุดพ้น" การปฏิบัติต้องเริ่มจากวันนึ้ มันถึงจะมีผล

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    สาธุ.....เห็นด้วยครับ.......ไม่ปรามาทใครแต่สิ่งเหล่านี้มีมาแต่โบราณ.....เป็นสิ่งระลึกถึง พระพุทธ... พระธรรม... พระสงฆ์....
     
  14. นิโร

    นิโร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +24
    ดีใจครับที่ร่วมรับฟังผมว่าดีมากๆ ที่ทุกคนสงสัยและสอบถาม หลวงปู่เกษมเคยกล่าวว่าธรรมะที่ท่านรับฟังแล้วถึงใจที่สุดคือหลวงปู่บ้านตาด และในการเทศนาหลายครั้งหลวงปู่จะยกครูบาอาจารย์บ้านตาดเป็นที่ 1 ตลอด ไม่มีที่หลวงปู่จะกล่าวให้กระเทือนองค์พระหลวงปู่บ้านตาดแต่อย่างใด มีแต่ยกขึ้นเทิดทูลเหนือเกล้า ส่วนพระอริยะเจ้ารูปอื่นมีบ้างที่ถูกกระทบ เดี่ยวผมจะมาเล่าต่อนะครับเผอิญติดงานวินัยอยู่
     
  15. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ชัดเจนและอยู่ขอบเขตที่อันควร
    ไม่โจมตีใคร และไม่เป็นโทษต่อผู้ใด
    นี่แหละธรรม...ของจริง
    คนดีไม่ตีใคร
     
  16. ผู้ตามหา

    ผู้ตามหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +818
    ไม่มีใครรู้จริงในสิ่งที่เป็น นอกจากตัวท่านเองและพระอรหันต์....วางอุเบกขาให้เกิดเถิด.....
     
  17. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
    ไม่รู้แต่ที่รู้คือไม่ชอบ
     
  18. yaba150

    yaba150 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    983
    ค่าพลัง:
    +636
    เหมือนกันเลยครับ
     
  19. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    สาธุ ครับ

    ดีแล้ว ชอบแล้ว

    พ่อแม่ครูอาจารย์ อริยเจ้า ทุกพระองค์ ท่านเค้ารพ พระพุทธเจ้า และพระธรรมเจ้า

    เหนือเศียร์เกล้าครับ อย่าง หลวงปุ่ท่อน ญาณสิริ ท่านเคารพ พระพุทธรูปมาก เช่นว่าถ้าใครจะพระพุทธรูปให้ท่าน อธิฐานจิต ท่านจะนำพระพุทธรูปข้ำเหนือ เกล้า ของท่านแล้วทำการ อธิฐานครับ ตั้งแต่ผมศึกษา ทางธรรมมา ยังม่ะเคยเห็นพ่อแม่คณูอาจารย์ องค์ใด กระทำการก้าวล่วง ต่อประฏิมา เลย
    จิงอยู่ที่ พระพุทธปฏิมา ต่างๆนั้น คือสมมติ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้น แต่สมมติ นั้นมีเพื่อเป็นพุทธนุสติ ธัมมานุสติ ซึ่งยังประโยชน์แก หมู่ มนุษย์นัับแต่อดีตกาล
    เป็นสิ่งอันควรแก่การสักการะบูชา การกระทำการล่วงเกิน ก้าวล่วง ต่อพระปฏิมานั้น ไม่มีอยู่ในการประพฤติของ อริยวงศ์ เลย
     
  20. ณ.วชิรา

    ณ.วชิรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +422
    ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด

    ใครเชิด ใครชู ช่างเขา

    ใครว่า ใครบ่น ทนเอา

    ขอใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...