ถ้าอดีตทำบาปมา แล้วศาสนาพุทธมีอะไรลบบาปบ้างไหมคะ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NiZaNisA, 13 ธันวาคม 2004.

  1. NiZaNisA

    NiZaNisA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2004
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +59
    เคยคิดเหมือนกันว่าศาสนาคริสต์มีล้างบาป แล้วศาสนาพุทธของเรามีทางใดถึงจะลดบาปให้น้อยลงได้บ้างคะ? (one-eye)

    ขอบคุณล่วงหน้าที่ตอบค่ะ
     
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ศาสนาคริสต์ที่ล้างบาปได้ก็เพราะเค้าเชื่อว่าพระเจ้านั้นเป็นผู้พิพากษาความผิดบาปของแต่ละคน และเมื่อเราไปสารภาพบาป สำนึกผิด พระเจ้าก็จะยอมยกโทษให้ เหมือนกับว่าเวลาเราขึ้นศาลแล้วยอมรับทุกข้อกล่าวหาแล้วศาลจะยกโทษให้ ก็ประมาณเดียวกันแหละ

    แต่ศาสนาพุทธนั้นเวลาคนทำกรรมอะไรไว้จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ใครทำยังไงก็ได้ผลอย่างนั้น แล้วเวลาทำผิดแล้วรู้สึกสำนึกผิด ยมบาลท่านก็ไม่ลดโทษให้

    แตกต่างกันดังนี้ ฉะนั้นขอตอบว่าศาสนาพุทธคงไม่มีละมั้ง คงมีแต่ทำดีเข้าไว้ให้ผลแห่งกรรมชั่ววิ่งตามมาไม่ทัน
    อันนี้ตอบตามความเข้าใจผมนะ
     
  3. กระเจียว

    กระเจียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +2,011
    ทำบุญ หรือ ทำดี เพื่อให้กรรมชั่วตามมาสนองไม่ถึงเราได้ง่ายๆ หรือไม่ ก็ไม่มากเกินไป เอาความดีไปชะลอกรรมชั่วในอดีตที่จะมาสนอง

    คนที่จะต้องตายก็อาจเหลือแค่เกือบตาย เพราะมีบุญใหญ่ๆช่วยชะลอกรรมไว้

    บาปล้างไม่ได้ แต่เอาความดีมาเจือจางได้

    ดื่มน้ำตะกอนข้นทีเดียวมันฝืดคอ ค่อยๆดื่มน้ำตะกอนน้อยๆ หมั่นใส่น้ำใสๆลงไปบ่อยๆ ก็จะไม่ขมขื่นมาก



    ตอนนี้ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ หากยังนั่งสมาธิภาวนาแล้วไม่ถนัดยังไม่อยากฝึก

    ก็ทำบุญตามวัดตามแหล่งรับทานก็แล้วกัน

    เช่น เจอขอทานก็ให้ไปตามกำลัง บริจาคได้เท่าที่มีกำลัง หมั่นถวายสังฆทาน---เพื่อชะลอความจน

    ปล่อยสัตว์ ไถ่ชีวิตสัตว์ ถวายยาให้พระ ออกค่ารักษาให้พระสงฆ์ บริจาคเลือด บริจาคร่าง----ต่ออายุ --ชะลอโรคภัย


    ถวายหนังสือพระให้วัดเพื่อเป็นธรรมทานแก่ญาติโยมที่แวะเวียนมาอ่าน บริจาคหนังสือให้เด็กๆ ให้ห้องสมุด อาสาสอนหนังสือ กราบไหว้เคารพครูบาอาจารย์ ให้ทานความรู้แก่ตนเองด้วยการอ่านและศึกษา---แก้โง่ เสริมปัญญา


    และอื่นๆอีกมากมาย

    แหะๆ
     
  4. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    ถูกต้องเลย น้องกระเจียว บาปลบล้างไม่ได้ แต่เราหนีได้ อาศับศลี สมาธิ ปัญญา และ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล
     
  5. Catwater

    Catwater บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อิ อิ อิ ทำคะแนน ทำคะแนน เอ้ยม่ายยช่ายยย ตอบกระทู้ ตอบกระทู้ อิ อิ อิ
    อืมมม รู้สึกว่าบาปจะลบล้างอะไรไม่ได้นะ แต่ถ้าปัญญาถึงระดับหนึ่งแล้วจะสามารถพลิกแพลงวิธีรับบาปรับกรรมให้ตนเองไม่ต้องรับความทุกข์มากนักได้อ่ะ ประมาณว่าเล่นกับกฏแห่งกรรมได้อ่ะ อย่างเช่น ถ้ามีบาปมีกรรมบ้าบออะไรให้ตัวเองถูกทรยศหักหลัง แต่ว่าถ้ามันจะหลอกอะไรเราเราก็ทันมันหมด ( ดีไม่ดีรู้ด้วยซ้ำว่ามันจะหลอกอะไรเรา ) แบบนี้ถึงมันทรยศเราก็ไม่ทำให้เราเดือดร้อนได้ ( แต่นั่นต้องหมายความว่าถ้าเรารู้แล้วเรามีความสามารถที่จะแก้ไขได้ทันท่วงทีด้วยนะ ) หรือบาปบางบาปที่ทำให้มีแต่คนเกลียด แต่ถ้าเราสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเหล่าคนทั้งหลายที่เกลียดเรา หรือเราเป็นหัวหน้าของคนที่เกลียดเรามีศักดิ์สูงกว่าคนที่เกลียดเรา แบบนี้ถึงจะมีใครเกลียดเรา เราก็สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจได้เงี้ย ( แต่บาปที่จะทำให้โดนตามฆ่านี่ มันจะพลิกแพลงอะไรยังไงได้ฟะ นึกไม่ออกเลยเหมือนกันแฮะ ) แต่ก็เล่นได้แค่บางบาปเท่านั้นแหล่ะ บาปหนักมากๆนี่บางทีก็ต้องลงนรกไปทำให้ความแรงของบาปลดลงก่อน เวลารับบาปจะได้ไม่โดนเต็มๆ โดนแค่เฉี่ยวๆแบบเนี้ย
     
  6. Anonymous

    Anonymous Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +35
    ไม่มีการล้างบาปในศาสนาพุ?ธ เพราะเหตุการณ์ที่ล่วงไปเป็นอดีตไปแล้ว ย่อมไม่มีใครกลับไปแก้ไขอะไรใดใดได้อีก นอกเสียจากจะนั่ง ไทม์ แมชชีน ย้อนเวลากลับไปแก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีไทม์ แมชชีน ก็คงต้องมั่นทำบุญ ทำทาน ถือศีล ภาวนาเยอะๆ เพื่อให้กรรมที่จะตามมาสนองนั้นไล่ไม่ทัน กรรมน่ะมันตามมาแน่ แต่เรามั่นทำความดีก็เหมือนเติมเชื้อเพลิงให้ตัวเราพุ่งทะยานไปข้างหน้า จนกรรมมันไล่ไม่ทัน แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก้เหมือนนั่งอยู่กับที่รอให้กรรมมันมาวิ่งชน แต่ถ้ายิ่งไม่สำนึก ยังคงประพฤติผิดบาปอยู่บ่อยๆ ก้เหมือนกับทำตัวเองให้ถอยหลัง วิ่งเข้าไปชนกฎแห่งกรรมเสียเอง
     
  7. Mr.Nobody

    Mr.Nobody บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เกลือกับน้ำ

    พระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่มีการล้างปาปนะครับ ปาปส่วนปาป บุญส่วนบุญ ลบล้างกันไม่ได้ แต่สามารถทำให้อำนาจปาปอกุศลเบาบางลงได้ ถ้าเราเปรียบปาปเหมือนเกลือ และบุญเหมือนน้ำ เอาเกลือมาหนึ่งกำมือละลายในน้ำหนึ่งแก้ว แล้วลองชิมดู เค็มปี๋แน่ๆ หากเราเอาน้ำเกลือแก้วนั้นไปเทลงในขันแล้วเติมน้ำลงไป(เปรียบเหมือนการเพิ่มเติมบุญกุศล) ลองชิมใหม่ เริ่มเค็มน้อยลง เอาน้ำในขันเทใส่ตุ่มเติมน้ำเพิ่มแล้วชิม อาจจะยังรู้สึกกร่อยๆ เทน้ำจากตุ่มใส่แท้งค์น้ำแล้วเติมน้ำเพิ่ม คราวนี้ชิมดูอาจไม่เหลือความเค็มเลยก็ได้

    ถามว่าที่ไม่เค็มเพราะว่าเกลือหายไปหรือไม่
    ไม่ใช่เลย เกลือหนึ่งกำมือที่ใส่ลงไปแต่แรก ยังคงอยู่เช่นเดิมและเท่าเดิมเสียด้วย หากนำน้ำในแท้งค์ไประเหยให้หมด รับรองได้เกลือหนึ่งกำมือกลับคืนมาแน่(ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์100%)

    ดั้งนั้น ถ้าหากว่าเราเคยผิดพลาดทำปาปอกุศลไปในอดีต ก็ให้รีบแก้ไข หมั่นทำบุญกุศลเพิ่มเติมซะ ทั้งทาน ศีลและภาวนา แล้วอย่าไปเผลอเติมเกลือเพิ่มอีกก็แล้วกัน!
     
  8. โมฆบุรุษ

    โมฆบุรุษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +6,023
    พระเยซูท่านให้สารภาพบาปเพื่อที่จะให้คนทำผิดจำเอาไว้ จะได้ไม่ทำอีกครับ
    คล้ายๆกับการแสดงอาบัติของพระ
    แต่คนมาบันทึกผิดกันเองทีหลังครับ

    บาปในศาสนาพุทธสามารถลดได้เหลือประมาณ ๓๐% ครับ
    ส่วนใหญ่ก็คือ เป็นการลดในส่วนที่จะต้องตกนรก ลงอเวจี ครับ
    ทำได้ด้วยการรักษาศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ครับ

    กรรมที่ตามมาส่งผลตอนที่มาเกิดนั้นเป็นเพียงเศษกรรมแล้วนะครับ
    คิดดูสิครับว่าน่ากลัวขนาดไหน
    บางชาติที่เราไม่เกิดมาในพระพุทธศาสนานี่ โอกาสทำบาปโดยไม่รู้ตัวนี่มีเยอะมากครับ

    ฉะนั้น "หนีนรก"ให้พ้นในชาตินี้กันให้ได้นะครับ
     
  9. คนเก่า.

    คนเก่า. บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถ้าศึกษาดูที่พระพุทธองค์แสดงไว้เกี่ยวกับประเภทของกรรมต่างๆ เช่น คุรุกรรม อาจิณกรรม อาสัญญกรรม และอโหสิกรรม เป็นต้น

    เน้นที่ อโหสิกรรมซึ่งแปลว่า กรรมที่ยุติการส่งผล อันเข้าประเด็นคำถาม จึงตอบได้ว่าศาสนาพุทธมีวิธีทำให้ไม่ต้องชดใช้บาปเหมือนกัน คือ การทำให้กรรมนั้นเป็นอโหสิกรรมไปเสีย

    คุณโมฆบุรุษลองดูในกระโถนข้างธรรมมาสน์ ฉบับที่ผมส่งทาง G-mail ดูนะครับ รู้สึกว่าหลวงพี่ท่านแสดงไว้พอดี

    การทำให้กรรมชั่วเป็นอโหสิกรรม ทำได้ 2 ลักษณะ คือ
    1. โจทก์และจำเลย ยกโทษให้กันและกัน ให้อโหสกรรมต่อกัน
    2. เข้าพระนิพพานอย่างพระองคุลิมาล ที่ฆ่าคนมาเป็นพัน กลับไม่ต้องชดใช้ ซึ่งอันที่จริงแม้เข้าถึงภูมิพระโสดาบันก็ปิดกั้นอบายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปเกิดในภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์อีกจนเข้าพระนิพพาน

    นอกจากนี้ที่หลวงพ่อแสดงไว้ และที่มีหลายท่านกล่าวไว้ข้างต้น คือการทำบุญหนีบาป ซึ่งต้องฉลาดในการทำบุญนั้นด้วย มีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู้กับจริตศรัทธาของแต่ละบุคคล หากหลักๆ ก็คือ รักษาจิตใจผ่องใสมากๆ แม้จะเจ็บป่วย มีทุกข์เวทนาขณะจะตาย จิตกำลังเปลี่ยนภูมิ ตรงนี้มีความสำคัญมาก จิตเป็นอย่างไรก็จะได้ภพภูมิใหม่อย่างนั้น

    ในขณะที่เรายังมีขันธ์ 5 เป็นมนุษย์อยู่อย่างนี้ บางครั้งก็อาจมีวาระที่ต้องชดใช้กรรมจนจิตใจเป็นทุกข์มาก ซึ่งสำหรับผมแล้ว มีแอยู่ 4 วิธีหลักๆ เป็นที่พึ่งอาศัย ช่วยผ่อนปรนให้หนักเป็นเบา คือ
    1. ไปถวายสังฆทานอย่างครบชุดกับท่านอาจารย์หลวงพ่อนพพร ที่เชียงดาว อาราธนาขอความเมตตาจากหลวงพ่อเรียกเจ้ากรรมนายเวร มาขออโหสิกรรมให้
    2. ขอความเมตตาจากหลวงพี่เล็กทำบังสกุลเป็น-บังสกุลตาย
    3. สวดมนต์ภาวนาด้วยพระคาถาต่างๆที่เชื่อมั่นในอานิสงส์ว่าจะทำให้ผ่อนคลายบาปเคราะห์ลงไปได้ หลายๆจบ(ให้เป็นฌาน) เช่น อิติปิโสฯทั้ง 3 ห้อง พาหุงฯมหากาฯ โมรปริตต ชินบัญชร อิติปิโสฯ 8 ทิศ(พระคาถาเกราะเพชร) อิติปิโสฯถอยหลัง พระคาถาต่างๆในสมบัติพ่อให้ เป็นต้น
    4. ขอบารมีพระ ตลอดจนบนหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่ง ที่หลวงพ่อเมตตาบอกไว้ว่าสามารถขอท่านสงเคราะห์ได้

    อย่างไรก็ดีตามที่มีผู้เผยแพร่คำสอนของสมเด็จฯโตท่านใจความว่า หากไม่เคยทำบุญสร้างบารมีไว้เองเลย พระที่ไหนท่านก็ช่วยไม่ได้ ผมจึงพยายามสร้างบารมีในทาน ศีล ภาวนาไว้อย่างสม่ำเสมอมานานปี ขนาดว่าทำบุญในเขตพระศาสนาเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม เช้ามา-ค่ำมานึกจรดจ่ออยู่ว่าถึงเวลาจะสวดมนต์ภาวนาแล้ว บางครั้งร่างกายไม่ค่อยดี ผสมกับความขี้เกียจนึกจะสวดมนต์เพียงสั้นๆ พอเริ่มสวดก็เพลินไปด้วยปิติสุขในองค์ภาวนา กลับสวดเต็มที่ยาวเหยียด

    และอาจด้วยเหตุนี้ที่หลายครั้งที่ประสพอุปสรรค ความทุกข์ อธิษฐานของพระท่านเมตตาสงเคราะห์ ก็ดูเหมือนจะมีผลอย่างรวดเร็วทันใจ ขนาดว่าเคยมีทุกขเวทนาทรมานจนตื่น และเจ็บปวดจนหลับไม่ลงกลางดึก ลุกขึ้นมาขอพระท่านสงเคราะห์แล้วล้มตัวลงนอนก็ผล่อยหลับไปเหมือนปกติ เช้าตื่นขึ้นมาก็ไม่หลงเหลือทุกข์เวทนานั้นแม้แต่น้อย
     
  10. คนเก่า.

    คนเก่า. บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มีบุญใหญ่สองประการ ที่หลวงพี่เล็กท่านเคยแสดงไว้ว่า ท่านลุงพระยายมราชบอกว่า กรณีผู้ที่เคยทำบุญใหญ่สร้างสมเด็จองค์ปฐม หรือถวายทองบูชาพระพุทธองค์ หากไม่เคยทำอนันตริยกรรมไว้ อย่างไรก็จะพยายามเข็ญให้ไปรับผลขอกุศลกรรมก่อน
     
  11. Fat man

    Fat man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +447
    ผมก็เคยคิด

    เมื่อกลัวบาปที่เคยทำมา กลัวตกนรก ผมก็เคยคิดจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่สามารถลบล้างบาปได้
    แต่คิดดูแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ครับ
     
  12. กรุงเก่า

    กรุงเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +335
    ของคุณคนเก่าก็ o.k. ครับ บาปกรรมล้างไม่ได้แต่กรรมที่เกิดขึ้นสามารถลุกรรมลุเวรกันได้ด้วยการทำสังฆทานเฉพาะให้กับเจ้ากรรมนายเวรเป็นกรณีๆไปครับ ใช้หนี้เขาแล้วเขาพอใจก็จบกันครับ ส่วนมลทินมัวหมองที่ติดตัวมาจากการสร้างกรรมนั้นผู้รู้มองเห็นเป็นความดำมืดในส่วนต่างๆสามารถล้างออกจากสังขารวิญญาณได้ครับ อุปมาดั่งเอามีดไปฟันคนแล้วมีเลือดติดตัวเราเลือดนี้เราล้างออกได้แต่คดีฆ่าเขายังมีอยู่ คดีฆ่าหมดผลได้เมื่อวิญญาณที่ถูกฆ่าได้รับกุศลจนพอใจแล้วอโหสิกรรมให้ก็ลุเวรลุกรรมกันไปครับ
     
  13. NiZaNisA

    NiZaNisA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2004
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +59
    เข้าใจกระจ่างมากๆเลยอ่ะค่ะ แต่...แล้วการทำบุญที่จะทำให้บาปลดลงเนี่ย ต้องเฉพาะเจาะจงหรือป่าวคะ อย่างเช่น

    เราพูดปดกับพ่อแม่ ต้องทำบุญด้วยอะไร?
    เราฆ่าสัตว์ แล้วจะทำบุญด้วยอะไร?

    อย่างนี้เป็นต้นอ่ะค่ะ

    ขอบคุณพี่ๆมากๆนะคะ
     
  14. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    การพูดปด ฆ่าสัตว์ หรือลักขโมย เราสามารถจัดระเบียบกรรมปัจจุบันทั้งกายวาจาใจให้ดียิ่งๆขึ้นได้
    ด้วยการตั้งจิตสมาทานศีลและรักษาศีลห้าหรือศีลแปดอย่างหนักแน่นเคร่งครัดค่ะ

    แล้วน้ำหนักบุญอานิสงน์แห่งศีลซึ่งเสมือนน้ำบริสุทธิ์ จะละลายเกลือซึ่งเปรียบด้วยกรรมเก่าให้พอเจือจางลงยิ่งๆขึ้นเช่นกัน
     
  15. กระเจียว

    กระเจียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +2,011
  16. คนเก่า.

    คนเก่า. บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอเสริมน้องแก้วว่า หากเราล่วงเกินผู้ใด ย่อมต้องขออโหสิกรรมผู้นั้น ต้องให้ผู้ถูกล่วงเกินให้อโหสิจึงจะเป็นการระงับโทษได้อย่างสมบูรณ์

    ประเพณีไทยซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นจิตวิญญาณมานับพันปี จึงมีพิธีขออโหสิกรรมแทรกอยู่หลายเรื่อง เช่น การขออโหสิกรรมก่อนบวช ขออโหสิกรรมด้วยการรดน้ำดำหัวตอนสงกรานต์ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระ บูชาพระแม่คงคา และขออโหสิกรรม พิธีไหว้ครูซึ่งรวมการขออโหสิกรรมไว้ด้วย ตลอดจนการกราบศพเพื่อขออโหสิกรรม ฯลฯ

    กรณีบุคคลที่เราเคยล่วงเกินยังมีชีวิตก็พยายามชดเชยกับเจ้าตัวเลย ทำดีให้เขาทุกอย่างตามสมควร เพื่อให้เขาพอใจและเห็นใจ ยกโทษให้อย่างจริงใจ

    หากล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องพยายาทำบุญใหญ่ อานิสงส์มากๆไปเรื่อยๆ อย่างสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน สร้างพระพุทธรูป บวชพระ บวชเณร ทอดกฐิน ปฏิบัติพระกรรมฐาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเพื่อขออโหสิกรรม
     
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    แล้วถ้าคนที่เราไปทำร้ายเค้า เค้าให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเรา เราก็ยังต้องรับผลกรรมนั้นด้วยหรือเปล่าคับ เพราะเห็นว่าบางเหตุการณ์ที่เกิดกับเราเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราเค้ามาเอาคืน
     
  18. คนเก่า.

    คนเก่า. บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    โดยทั่วไป ถ้าเขาให้อภัยแล้วก็แล้วกัน แต่จิตเป็นประธาน จิตใจของเราก็ต้องมีความมั่นใจด้วยว่าทุกข์โทษนั้นสิ้นไปจริงๆ

    ข้อยกเว้น คือ อนันตริยกรรมครับ มีกรณีพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง แม้พระพุทธองค์จะให้อโหสิกรรมแล้ว พระเทวทัตก็ยังต้องลงอเวจีอยู่ดี ถึงกระนั้นการขออโหสิ-ให้อโหสินี้ก็ยังมีผลมาก ทราบมาว่าเพราะเหตุนี้พระเทวทัตจะลงเวจีเพียงไม่ถึง 1 วันของอเวจี แล้วจะขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตรัสเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    อีกประการหนึ่ง หลวงพ่อแสดงไว้ว่า การล่วงเกินพระอริยะเจ้านั้น ขอขมากับท่าน ผลยังไม่สมบูรณ์ เพราะความเป็นพระอริยะเจ้านั้นมีเหตุหลักจากพระพุทธองค์ จึงต้องขอขมากับพระพุทธองค์ด้วยจึงจะมีผลโดยสมบูรณ์
     
  19. NiZaNisA

    NiZaNisA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2004
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +59
    กระจ่าง...

    ขอบคุณมากค่ะ ^^
     
  20. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    อนุโมทนากับทุกท่านในกระทู้ทั้งหมดทั้งสิ้น สาธุ สาธุ อนุโมธนามิ
    กราบขอขมาพระรัตนตรับ บิดา มารดา อุปัชฌาจารย์ ทุกท่านก่อนที่จะบังอาจตอบคำถามข้างบนเกี่ยวกับเรื่องการล้างบาป ตามความเข้าใจและเอกสารอ้างอิง เท่าที่ค้นมาได้ครับ
    1.เข้าใจความหมายของคำว่า
    1.1บาปคือ กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ดี มีจิตเศร้าหมอง และจะส่งผลออกมาเป็นความทุกข์
    1.2 บุญคือ กรรมที่ทำด้วยเจตนาดีมีจิตสะอาดผ่องใส ผลลัพธ์จะออกมาเป็นความสุข
    1.3 กรรม คือ การกระทำ ซึ่งมี ทางออกหรือเกิดอยู่ 3 ทางด้วยกันคือ
    - วจีกรรม
    - กายกรรม
    - มโนกรรม
    ดังนั้นจึงอาจจะพูดได้ว่า บุญ-บาปเกิดได้จากการกระทำ โดยจะสั่งสมไว้ที่ ที่เดียวคือ จิต ตามธรรมชาติของจิต เมื่อมีอารมณ์มาปรากฏทางทวารใด จิตหรือวิญญาณจะเกิดขึ้นเพื่อรับอารมณ์ทางทวารนั้น เช่น เมื่อมีเสียงมาปรากฏทางหู โสตวิญญาณวิถีจะเกิดขึ้นเพื่อรับรู้เสียงนั้น โสตวิญญาณจะเกิดดับเร็วมากเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน สลับกับมโนวิญญาณวิถีที่เกิดขึ้นทางใจ เพื่อตีความหมายของเสียงที่กำลังปรากฏอยู่ เมื่อรู้ความหมายว่าเป็นเสียงชมเชยก็จะมีความยินดีพอใจ แต่หากเป็นเสียงด่าก็จะเกิดโทสะ ถ้ามีสติยับยั้งไว้ได้ก็ดีไป แต่เมื่อใดที่ขาดสติก็จะเกิดการตอบโต้ทางกาย (กายกรรม) เช่น ไปชกหน้าผู้ที่กำลังด่าเรา หรือทางวาจา (วจีกรรม) เช่น ด่าตอบไปทันที ซึ่งเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่จะต้องได้รับผลของกรรม (วิบาก) ในอนาคตต่อไปใจจะเป็นผู้สั่งให้เกิดการกระทำทางกายและทางวาจา ทั้งที่เป็นบุญ (กุศลกรรม) และที่เป็นบาป (อกุศลกรรม) บางครั้งก็เพียงแต่คิดไว้ในใจ (มโนกรรม) โดยที่ไม่ได้แสดงออกทางกาย หรือ ทางวาจาเลยก็มี การแสดงออกทางกายและทางวาจาที่เป็นบุญ เรียกว่า กายสุจริต วจีสุจริต ส่วนการแสดงออกทางกายและทางวาจาที่เป็นบาป เรียกว่า กายทุจริต วจีทุจริต
    2.เราสั่งสมกรรมไว้ได้อย่างไร มีใครจดบันทึกบัญชีกรรมของเราไว้ เหมือนบัญชีเงินฝากในธนาคารหรือไม่ คำตอบก็คือบุญบาปที่เราทำไว้ ไม่ต้องมีใครมาติดตามจดบันทึกไว้ เพราะจิตมีอำนาจวิเศษอย่างหนึ่งในการสั่งสมบุญและบาป เมื่อเราได้กระทำกรรมใด ๆ ลงไปไม่ว่าจะดีหรือชั่ว แม้จะนานสักเพียงใดก็ตาม จะกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ผู้กระทำย่อมจะต้องได้รับผลของบุญ และบาปเมื่อกรรมมีโอกาสส่งผล ถึงแม้จิตจะเกิดดับอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ผลกรรมที่ได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นบุญ หรือเป็นบาป ก็จะไม่สูญหายไป พร้อมกับการดับของจิตแต่ละดวง ทั้งนี้ เพราะจิตดวงใหม่ ่มีเหตุปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม และจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แก่จิตดวงต่อไปเช่นกัน
    โดยสรุปแล้ว สำคัญสุดคือจิตนั่นเอง จิตเป็นความรับรู้อารมณ์ทั้งบุญและบาปโดยแท้ไม่มีล้าง ลด ไปมีแค่วิถีทางเดียวเท่านั้นคือ การทำอย่างไรที่จะไม่ให้มีตัวที่เรียกว่า จิต เจตสิก รูป นั่นเอง สภาวะนั้นคือ พระนิพพานโดยแท้


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...