ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 23 มกราคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย อย่าพึงลุ่มหลงในอารมณ์อันบังเกิดขึ้นจากจิตที่ปรุงแต่งให้หลงอยู่นั้นเลย อันภพภูมิที่เจ้าอาศัยอยู่นี้นั้น ล้วนแต่สิ่งซึ่งหาเอามายึดเหนี่ยวเป็นจริงมิได้เลย จงนั่งลงแล้วสดับตรับฟังดูเถิด หยุดแล้ววางอารมณ์นั้นลงเถิด มนุษย์นั้นประกอบเป็นตัวตนมีชีวิตขึ้นได้ อาศัยการรวมตัวกันของธาตุทั้งสี่ด้วยอาการอันสมดุล โดยเค้าโครงของกรรม ก็ทำให้บังเกิดขึ้นเป็นร่างกายเนื้อ เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ เป็นคูหาของจิต อันเข้าร่วมเป็นแกนภายในขององค์ประกอบธาตุทั้ง ๔ นั้น ครั้นถือกำเนิดมีความสูง ความหนาพอสมแก่เพศ วัย เจ้าร่างกายอันนี้มันก็ทำหน้าที่ตามบัญชาการของจิต จะกิน เดิน นั่ง นอน ทั้งหลายตลอดทุกขณะเวลาก็ล้วนทำไปตามคำสั่งของจิตเท่านั้น กายที่เติบโตขึ้นเปลี่ยนรูปไปตามเวลา เจริญแล้ว ค่อยเสื่อมไปเรื่อยๆไป สุดปัญญาที่จะฉุดดึงเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ เฉกเช่นเดียวกับทุกสิ่งในโลก ที่ล้วนเป็นไปตามสภาวธรรมแท้จริงที่เรียกว่า พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง สิ่งทั้งหลายล้วนไม่ยั่งยืนแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทุกขัง เป็นสภาวะอันทนได้ยาก และ อนัตตา หาสิ่งใดเป็นตัวตนแท้มิได้ ล้วนไม่สามารถยึดเอาเป็นตัวเราของเราได้เลย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา ​

    ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย พึงพิจารณาดังนี้ดูเถิด กายนี้หาใช่ของเราไม่ เป็นเพียงส่วนประกอบของธาตุ ๔ มีขึ้นเพื่อเป็นที่พักชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตอันบรรทุกแรงกรรม บันทึกอันวิเศษที่เราล้วนสร้างขึ้น จากความไม่ยอมหยุด ไม่ยอมละ ไม่ยอมวาง จิตที่อาศัยกายเป็นที่พัก เมื่อถึงวาระที่กายเนื้อหมดสภาพที่จะรับใช้มันได้ต่อไป จิตก็จะละทิ้งคูหาผุพังนั้นไปแสวงหาคูหาใหม่ นี้คือสัจจะธรรมของโลก อย่าวิตกกังวล หลงอารมณ์ไปเลยมนุษย์ วางความยึดมั่นกับกายเนื้อนี้ลงเสียเถิด

    ดูก่อนมนุษย์ทั้งหลาย ประตูของการจากไปนั้น จะทำให้เราได้พบว่า แท้จริงแล้ว กายนี้เปรียบดังเสื้อผ้า เมื่อเก่าแล้ว ขาดแล้ว เราก็ต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น แต่มนุษย์ที่โง่เขลาเอ๋ย หาได้สักกี่คนในหมู่เจ้าที่จะเข้าใจและเตรียมตัวได้ดี ในการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ทั้งๆที่เจ้าทั้งหลายก็รู้ว่า หามีใครหนีพ้นมันไปได้ พวกเจ้าพากันหาความสุข สั่งสมสมบัติเงินทอง ยึดติดกับคำว่าตัวกู ของกู มีใครเล่ามนุษย์เอ๋ย ใครหอบเอาสิ่งเหล่านี้เข้าประตูไปได้ ไม่มีเลย สิ่งที่จะเป็นสมบัติติดตัว และเครื่องนำทางให้เจ้านั้นอยู่ที่จิตเพียงดวงเดียวเท่านั้น จิตที่เตรียมตัวมาดี เข้มแข็ง ปราศจากความขุ่นมัว ย่อมปรากฏแสงแม้ในที่มืด ส่องให้เห็นทางที่จะก้าวไปสู่ภพใหม่ ภูมิใหม่ที่ดีเป็นสุคติภูมิ จิตที่หวาดกลัว ห่วงหาอาวรณ์ ไม่ยอมละวางจากกายเดิม จะขุ่นมัวเศร้าหมอง เมื่อเวลามาถึงก็จะหาหนทางของตนไม่ได้ หลงก้าวผ่านประตูไปอย่างไร้ทิศทาง จิตที่ขุ่นมัวยอมมีลักษณะหนักและมืด แน่นอนแล้วทางไปก็คือ ทุคติภูมิ ช้าอยู่ใยมนุษย์เอ๋ย ทุกเวลาเจ้าก้าวเดินใกล้ประตูเข้าไปเรื่อยๆ อย่าหลงสมบัติโลกนี้ไปนักเลย หาสมบัติทิพย์ติดตัวกันไว้บ้างเถิด อนิจจังนั้นแน่นอนไม่เที่ยงหนอ ไม่มีใครรู้ว่า ตัวนั้นอยู่ใกล้ประตูของตนเข้าไปเท่าไหนแล้ว ตื่นขึ้นและทำความรู้จักกับความเป็นจริงเสียเถิด ก่อนล่วงเวลาแห่งการเสวยภูมิมนุษย์นี้ไป
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>ประดุจดังสัจธรรม คือ สามัญแห่งพลังงานธรรมชาติ </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    ระดุจดังสัจธรรม .การเกิดการดับเป็นสายต่อเนื่องมิได้ขาด เป็นธรรมดาของโลกที่ถูกกำหนดขึ้นตามกฎแห่งธรรมชาติ เผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ครองสังขารจึงต้องเดินไปเช่นนั้น แม้ที่สุดของอำนาจก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการหมุนเวียนเช่นนี้ได้
    ศิษย์ผู้ทำหน้าที่ในการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์จงฟังและตรองให้จงหนักว่า กายนี้คือธาตุมาจากโลกและกลับสู่โลกในที่สุดเก็บไว้ไม่ได้ คงอยู่ชั่วระยะหนึ่งด้วยสถานะก้อนเนื้อที่มีความทุกข์ครอบครองอยู่ ความทุกข์คือการแปรเปลี่ยนที่ต่อเนื่องในทุกอณู บรรจุความไม่คงที่ หาความยึดมั่นไม่ได้ แม้ที่สุดแห่งพลังอำนาจก็ทำได้เพียงชะลอเวลาของมนุษย์เท่านั้น แต่ถึงที่สุดแล้วแท้จริงแห่งพลังอำนาจนั้น ไม่สามารถหยุดยั้งวัฏฏะไว้ได้เลยแม้แต่น้อย การกระทำใดใดก็ตามอันขัดวิบากย่อมส่งผลกระทบนี้ไปทั่วจักรวาล ทุกสิ่งที่ร้องขอมีการแลกเปลี่ยนเสมอไป จงจำให้มั่นว่า พลังงานของโลกนี้ไม่ได้ทำการเรียกร้อง แต่อำนาจของความเป็นธรรมดาโลกเป็นผู้กำหนดต่างหาก การทำการอันใดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้เบี่ยงเบนนั้น ย่อมมีผลกระทบทั่วจักรวาลเช่นกัน ทุกคำร้องขอมีข้อแลกเปลี่ยน มนุษย์ร้องขอเสียงระงมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า พลังเบื้องบนมีหรือจะนิ่งเฉย หากแต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายสะเทือนจักรวาล ฉะนั้นความเป็นธรรมดาจึงเรียกหาสิ่งตอบแทน เพื่อชดเชยสมดุลของจักรวาลในสถานะความสมดุลแห่งพลังงาน

    ผู้เป็นลูกกตัญญูยิ่งแล้ว ทำการร้องขอให้มารดาของตนเลื่อนการชดใช้กรรมของมารดาดังนี้ ถึงแม้ว่าผู้ครองพลังอำนาจสูงสุดจะเบี่ยงเบนวิบากกรรมไปตามคำร้องขอ แต่กรรมมิอาจหลีกหนีได้พ้น ผลของการเบี่ยงเบน แปรผันโรคร้าย กลับไปสู่ภายนอกได้จริงอยู่ แต่ในที่สุดก็ต้องรับวิบากนั้นเช่นเดิม ศิษย์ผู้ทำหน้าที่ทั้งหลายที่เป็นผู้ครองสังขารมนุษย์อยู่นี้ โปรดฟังให้เข้าใจมั่นในจิตว่า..แม้แต่พลังอำนาจสูงสุดก็มิอาจหยุดยั้งวัฏฏะได้เช่นเดียวกัน ดังกรณีที่กล่าวมา เวลาที่เหลือคือเวลาแห่งการตั้งสติ เวลาแห่งการเตรียมตัว เวลาแห่งการสร้างสมบัติภายใน ให้เกิดยอมรับความเป็นไปแห่งความเป็นธรรมดา ธรรมดาคือ ธรรม ธรรมคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือโลกใบนี้นั่นเอง

    ในกาลบัดนี้ผู้ครองพลังสูงสุดขอประทานพร ให้ศิษย์ผู้ครองสังขารเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลายจงเป็นผู้ระลึกได้ จงเป็นผู้เข้าใจโลก จงเป็นผู้เข้าใจความเป็นธรรมดา จงเป็นผู้มีจิตสว่าง จงเป็นผู้อยู่เหนือกว่าอำนาจทั้งปวง จงมีความธรรมดาในจิตเป็นนิจ จงเป็นผู้ละวางสังขาร จงเป็นผู้ตั้งอยู่บนเส้นความเที่ยงแห่งสามัญ และสมควรได้รับคำสรรเสริญยิ่งด้วยทั้งปวงแล้ว ข้าขอประทานพลังอำนาจแด่เจ้าในเบื้องกลางกระหม่อม จิตเจ้าทั้งหลายจงสว่างด้วยพลังแห่งข้าในนามผู้ครองพลังอำนาจสูงสุด.... ผู้ถือลิขิตพลังงานแห่งธรรมชาติ” </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>มนุษย์คือสิ่งใดในความจริงแห่งสัจจะธรรม</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3>มนุษย์ที่เพียรพิจารณากายในกายอยู่ เป็นธรรมดาจะได้พบเห็นความจริง มนุษย์ลืมไปว่า กายนั้นก็ทุกข์โดยตัวของมันเอง โดยสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่ เป็นอยู่ ตั้งอยู่ และดับอยู่ตลอดเวลา จงละความหวาดกลัวและพิจารณาดูเอง เห็นเอง ว่ากายนั้นเป็นอย่างไร ทุกข์ก็เกิดขึ้นที่กายของเรา เมื่อไปดู ไปเห็น ไม่รู้จะหนีเท่าไร ก็ให้รู้ว่าหนีไม่พ้น เพราะมันไม่ได้เกิดจากภายนอก มันเกิดที่กายของเราเอง เกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่เอง และในที่สุดมันก็ดับไปเอง และเกิดขึ้นใหม่อย่างนี้นี่เอง อาจมีมนุษย์ผู้ไม่ได้ยึดติดสิ่งใด ๆ ไม่ได้สังเกตสิ่งใด ๆ มากมาย แต่เมื่อได้พิจารณาเข้าไปภายในกายของตนแล้ว การกำหนดสติมั่นอยู่ที่กาย แสดงความเป็นทุกข์ออกมา ไม่เคยสังเกต แต่ได้รับการยืนยันจากตัวของตัวเองว่าทุกข์ จึงรู้สึกแทบจะทนไม่ได้ หวาดกลัวและอยากจะหนีไป แต่ในใจก็รู้อยู่เองว่า หนีก็แค่หลบเลี่ยงไปเท่านั้น หาได้หนีพ้นทุกข์จริง ๆ ของมันไม่ ในความศรัทธาที่มีต่อธรรมะ ความศรัทธาที่มีต่อเบื้องบน จึงตั้งอกตั้งในปฏิบัติ ยิ่งธรรมะมาปรากฏให้เห็นเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์เพื่อขึ้นเท่านั้น เพราะธรรมะก็คือความจริง และความเป็นจริงก็หนีไม่พ้นทุกข์ จงเพียรต่อไป เมื่อจิตหลุดออกจากกาย แยกตัวออกได้ชัดเจน ก็จะพ้นทุกข์อย่างหยาบ คือทุกข์ที่กอดเอาไว้ ก็จะตามต่อให้เห็นอีกว่า แม้จิตนั้นก็เป็นทุกข์ แม้จิตนั้นก็สับสนวุ่นวาย และยิ่งละเอียดขึ้น จับได้ยากขึ้น ต้องอาศัยกำลังของอินทรีย์อย่างแรง อย่างสูงขึ้นจึงจะจับได้ ความทรมานจากการพิจารณาจิตนั้นหนักหนากว่าพิจารณารูป ทั้งวุ่นวายใจ ทั้งหดหู่ใจ ทั้งโศกเศร้า ทั้งยินดี มันก็ปนเปกันขึ้นมาให้ดู ให้เห็น ให้พิจารณา ครูมีตั้งหลายคน กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อวุ่นวายสับสนออกนอกกาย ก็ลืมพิจารณาเฝ้ามองดูจิตตัวเอง อารมณ์ของตัวเอง อารมณ์ก็เป็นสังขาร เรื่องการเกิดของอารมณ์ เกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร สตินี่เองเป็นตัวดับไป ดับคือเข้าไปรู้ทัน เมื่อหยุดปรุงแต่ง อารมณ์ก็ไม่เกิด ต่อไปเมื่อเข้าไปดูอารมณ์แล้ว จิตก็จะปรากฏให้เห็นว่า นี่หนอจิตของเราที่เคยผูกยึดติดกับมันว่าเป็นของเรา ต่อไปเมื่อเห็นแล้ว แยกแล้ว นามก็ไม่ใช่ รูปก็ไม่ใช่ แล้วเราคือสิ่งใด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>สภาวะที่แท้จริงของมนุษย์ </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    จงตั้งใจสดับตรับฟังเก็บไว้ในดวงจิตของทุกๆ คนไว้เพื่อพิจารณาตนเอง มนุษย์ทั้งหลายจงหันมองถึงการกำเนิดของตนเถิด บริบทนี้จะกล่าวบรรยายถึงการเกิดของมนุษย์ ในสากลจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีสิ่งหนึ่งทำหน้าที่ควบคุมความเป็นไปต่างๆ ให้ดำเนินไป ให้การหมุนเวียนไปก่อให้เกิดสิ่งนั้นก่อให้เกิดสิ่งนี้ ภาวะอันยิ่งใหญ่นี้เรียกว่า “ภาวะแห่งพลังงานบริสุทธิ์” ดำรงความยิ่งใหญ่ควบคุมสรรพสิ่งและสรรพชีวิตทั้งหมดในจักรวาลนี้ ภาวะแห่งพลังงานบริสุทธิ์ในขณะเมื่อจะหมุนวงล้อแห่งชีวิตทั้งหลาย และจักรวาลทั้งหลายให้หมุนเวียนไป จึงต้องแบ่งหน้าที่ออกเป็นฝ่ายที่มนุษย์กล่าวขานเรียกกันว่า “เพศหญิง” กับอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “เพศชาย” ตามภาษาของมนุษย์ ซึ่งในภาวะของพลังงานบริสุทธิ์นั้นแต่เดิมแท้จริงไม่มีเพศไม่บ่งไม่ชี้ เพียงแต่ต้องแยกออกจากกันเพื่อทำหน้าที่หมุนเวียนวงล้อให้เดินต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด เมื่อพลังทั้งสองฝ่ายนี้เกิดความสมดุลกันบังเกิดความหมุนเวียนหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต สรรพสิ่งทั้งจักรวาล ด้วยอำนาจที่ส่งมาในรูปของพลังมีลักษณะเป็นกระแส ส่งมาตามอณูธาตุรู้ที่มีอยู่ในทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ทั้งอากาศธาตุ โลกธาตุทั้งมวลล้วนผ่านมาจากกระแสเหล่านี้ทั้งนั้น สิ่งที่หล่อหลอมกันขึ้นเป็นโลก เป็นธาตุดินน้ำลมไฟ ล้วนเป็นพลังก่อเกิดเป็นพลังงานบริสุทธิ์เริ่มต้นขึ้น เพื่อจัดสรรส่วนประกอบแห่งสรรพชีวิตให้สมบูรณ์เรียกว่า “แม่ธาตุ” ถือเป็นผู้ก่อเกิด จากนั้นพลังที่กลายสภาพเป็นวิญญาณ เป็นจิต เป็นธาตุรู้ก็กระจายออกมาสู่แม่ธาตุทั้งหลายเข้าครอบครองกายหยาบ อันประกอบมาจากแม่ธาตุนั้น แต่เดิมที่มนุษย์เป็นผู้บริสุทธิ์มีจิตวิญญาณที่สลัดหลุดออกมาจากพลังบริสุทธิ์ ครอบครองด้วยความเป็นทิพย์แห่งพลังงานบริสุทธิ์ติดตัวมาทุกคน ดังนั้นเดิมมนุษย์สามารถใช้จิตสื่อสารกันด้วยภาษาจิต สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้เต็มที่ ทุกๆอณูของร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นใช้งานได้เกิดประโยชน์สมบูรณ์ ต่อมาเมื่อมนุษย์เหินห่างจากพลังงานบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที การสื่อสารด้วยภาษาจิตก็เสื่อมลง ความรู้เรื่องพลังงานบริสุทธิ์ก็เริ่มถดถอยตามจิตที่เสื่อมลงความไม่รู้เริ่มมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าเกิดการพัฒนาจิตสำนึกของตนวุ่นวายอยู่กับกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เกาะกินใจหนักขึ้นทุกทีๆ ความรู้สึกใกล้ชิดกับพลังงานบริสุทธิ์ถอยออกไปจนแทบไม่มีเหลือ เมื่อถึงวาระเช่นนี้พลังทิพย์ของมนุษย์ก็พลอยเสื่อมหายไปด้วย การใช้งานอณูต่างๆในร่างกายก็ใช้ได้ไม่สมบูรณ์ ควบคุมไม่ได้ ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาจิต จึงต้องสร้างภาษาของมนุษย์ขึ้นมาใช้แทน ยิ่งมนุษย์จำแนกความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ของตนที่หลากหลายมากขึ้น มนุษย์ก็ยิ่งมีการสร้างภาษาต่างๆกันมากขึ้นมา การสื่อสารที่มนุษย์ใช้ติดต่อกัน ก็ยิ่งบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ตามข้อด้อยของภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งตั้งแต่เดิมมนุษย์ใช้ภาษาจิตที่ไม่สามารถกล่าวเท็จได้ ปัจจุบันมนุษย์ เริ่มมีการหลอกลวงด้วยการสร้างความเท็จ และการแย่งชิงดีกันรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ ดังนั้น เมื่อถึงวาระหนึ่งจักรวาลจึงต้องมีการชำระล้าง ด้วยการปรับตัวทำให้เกิดมหันตภัยหากเวลานั้นมาถึง ให้เข้าใจว่ามหันตภัยทั้งหลายนั้นเกิดจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของดวงดาวทั้งหลาย ก่อนที่จะจบลงของชีวิตแห่งสรรพชีวิตทั้งหลาย พลังงานบริสุทธิ์ก็ได้จะกลั่นสลัดส่งพลังงานใหม่ กระแสใหม่ วิญญาณใหม่ ลงมาช่วยปลดปล่อยแนะนำชักจูงให้มนุษย์และสรรพชีวิตหลุดออกจากกองทุกข์ นำพามนุษย์และสรรพชีวิตทั้งหมดกลับเข้าสภาวะสูงสุดของจิตแห่งจักรวาล จะสำเร็จได้มากหรือน้อยอยู่ที่กรรมะของมนุษย์และสรรพชีวิตผู้นั้นได้สร้างสมพลังความ ดีเก็บไว้ได้มากเพียงใด เพียงพอที่จะฉุดตัวเองพ้นจากการชำระล้างจักรวาลได้หรือไม่ เมื่อเรามองย้อนมาดูตัวของเราในอดีตนั้น กี่พันกี่หมื่นชาติมนุษย์ก็มองไม่เห็นตัวเอง ดังนั้นมนุษย์จึงไม่รู้ว่าได้สร้างกรรมะใดมากน้อยดีร้ายเท่าใด แต่ในวันนี้มนุษย์รู้ว่าสิ่งที่กระทำต่อไปสามารถควบคุมได้ด้วยสติปัญญา ปัญญาที่ใช้ในการพิจารณาทั้งตนและผู้อื่น จงใช้จิตอันบริสุทธิ์เข้าไปสัมผัสว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนั้นไม่ควรทำ สิ่งนี้ควรพูด สิ่งนั้นไม่ควรพูด บางครั้งสมองและการสะสมความรู้ที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์เรียกว่า “ความรู้เดิม” เป็นตัวต่อต้านจิตที่บริสุทธิ์ เพราะความรู้เดิมทำให้เกิดการปรุงแต่งสัญญาณการสื่อสาร ให้เกิดการบิดเบือนไป ยิ่งมีความรู้เดิมมากจิตก็ยิ่งไม่ว่าง ยิ่งตรองมากจิตก็ยิ่งไม่บริสุทธิ์ ยิ่งวิเคราะห์วิจารณ์มากก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา นี้ ตรงกันข้ามกับโลกมนุษย์ ภาษามนุษย์ที่หัดให้คนรู้จักวิเคราะห์วิจารณ์ความรู้ที่ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง แต่ในโลกของจิตสิ่งที่สงบที่สุด จะสะท้อนเงาความเข้าใจที่แท้จริงออกมาได้คมชัดที่สุด จิตที่นิ่งที่สุดจะมองเห็นสัจธรรมแห่งความเป็นจริง อยากรู้ตัวเองก็ได้รู้ อยากรู้อนาคตก็สามารถหยั่งรู้ได้ เพราะพลังทิพย์ที่มนุษย์ได้เคยมีอยู่นั้นไม่ได้หายไปไหน ยังคงซ่อนอยู่ภายในดวงจิตของมนุษย์นี้เอง อย่างที่รู้จักและเรียกกันว่า “ธาตุรู้” ซึ่งทุกคนที่เป็นมนุษย์ย่อมมีแต่ให้มองพิจารณาที่จิตของตัวเองเป็นหลัก จิตของผู้ใดว่าง นิ่ง สะอาด สงบ จิตของผู้นั้นจะเป็นกระจกสะท้อนพลังทิพย์ออกมาใช้งานได้
    การใช้งานที่พูดถึงนี้มีความมุ่งหมายตรงไปที่การพิจารณาตน พิจารณาความถูกต้อง พิจารณาความควร พิจารณาความชอบ บนข้อเท็จจริง หากเรื่องอื่นเป็นผลที่เกิดขึ้นก็พลอยได้ประโยชน์นั้นไปด้วย ขอย้ำเตือนมนุษย์จงมีความมั่นว่า “ทุกคนมีพลังทิพย์ เพราะทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล ของพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ของพลังงานบริสุทธิ์ผู้สร้างทั้งสิ้น” อย่ามองกาย อย่ามองยศ อย่ามองสิ่งแวดล้อมรอบข้างหรือเปลือกนอกของมนุษย์ แต่จงมองให้เข้าซึ้งถึงจิต คนจะสูงส่งเพียงใดหรือต่ำต้อยเท่าใดอยู่ที่สภาวะของจิต มิได้อยู่ที่เปลือกหรือส่วนประกอบที่บุคคลนั้นมีหรือเป็นอยู่ ต้องพิจารณาด้วยความนิ่ง ความว่าง สัจธรรมก็จะปรากฏในดวงจิตแสดงตามภาษามนุษย์ว่า “ จิตประภัสสร ”

    ศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่ในมวลมนุษย์ก็คือ หลักคำสอนที่ใช้สอนคนให้เป็นมนุษย์ที่ดี หมายถึงสอนให้ถึงข้อเท็จจริงของธรรมชาติ ไม่ประพฤติในสิ่งที่ขัดแย้งกับพลังแห่งธรรมชาติ ศาสนาเป็นความคิดที่แปลกแยกออกไปตามแต่ลัทธิศาสนานั้นจะเชื่อถือ แต่ขอให้มนุษย์รับรู้ไว้ว่าพลังงานบริสุทธิ์นั้นมีจริงโดยไม่แยกแยะศาสนา พระเป็นเจ้านั้นก็มีจริงมีหน้าที่เมตตาตามกำลังและจริตของจิตมนุษย์และสรรพชีวิต มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานบริสุทธิ์เหล่านั้น ลมหายใจที่ผ่านเข้าไปในร่างกายของมนุษย์มีพลังของสิ่งมีชีวิต มีพลังของแม่ธาตุ มีพลังของพระเป็นเจ้าแทรกอยู่จึงให้ชีวิตกับมนุษย์ได้ ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ตามก็อยู่ในสายตาความรู้ของธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่คือพระเป็นเจ้าทั้งสิ้น จงหมั่นพิจารณาตนให้สมบูรณ์ที่จิต อย่าให้เกิดบกพร่องที่จิต กายนั้นเป็นเพียงเปลือกที่หุ้มอยู่เท่านั้นขอให้วางลงเสีย จิตต่างหากที่เป็นของจริงแท้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>ความดีที่แท้จริง</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    ความดีที่แท้จริงนั้นคืออะไร ความดีที่แท้จริง ไม่ได้ตีความหมายตามภาษา หรือที่มนุษย์กำหนดว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดีตามที่คิดเอาเอง แต่ความดีที่แท้จริงคือสิ่งที่กระทำใดๆ ก็ตามที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นประการที่หนึ่ง เกิดประโยชน์ต่อตนเองเป็นประการที่สอง เกิดประโยชน์โดยรวมทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเป็นประการที่สาม ไม่เกิดโทษต่อผู้อื่นเป็นประการที่สี่ ไม่เกิดโทษต่อตนเองเป็นประการที่ห้า ไม่เกิดโทษโดยรวมในปัจจุบันและอนาคตต่อตนเอง และผู้อื่นเป็นประการที่หก ทั้งหมดนี้หากมีพร้อมสมบูรณ์ถือว่าเป็นความดี แต่ความดีนั้นเป็นการกระทำที่ต้องอยู่บนสถานที่ที่ถูกต้อง ในสถานที่นี้ต้องการในสิ่งนี้ สิ่งที่ทำเกิดประโยชน์ในสถานที่นั้นด้วย เรียกว่าเป็นความดีที่ถูกต้องทั้งสถานที่และเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอัตถะประโยชน์สูงสุดนั่นเรียกว่า ความดี การพิจารณาความดีนั้นในหมู่ของเราใช้จิตเป็นที่ตั้ง เมื่อได้กระทำความดีเกิดประโยชน์ต่อตน และเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่มีโทษต่อตนเองไม่มีโทษต่อผู้อื่น ทำให้เกิดความพึ่งพอใจต่อตนเองและสำหรับผู้รับการกระทำนั้นก็คือผู้อื่น สิ่งที่พิจารณาว่าไม่มีโทษต่อตนเองและต่อผู้อื่นนั้น จงพิจารณาว่าสิ่งที่ได้กระทำแล้วตามหน้าที่ จะทำหน้าที่ของเทวดาก็ตาม หรือทำตามหน้าที่ตามมนุษย์ผู้หนึ่งก็ตาม หน้าที่ใดๆ ก็ตามที่กระทำในขณะนั้น ถือว่าได้กระทำไปแล้วตามหน้าที่ คือมีจิตที่เมตตาแล้วสมบูรณ์แล้ว การกระทำนั้นถือว่าเป็นกรรมที่สมบูรณ์คือได้เกิดขึ้นแล้วและจบไปแล้วในขณะนั้น ผลที่เกิดคือการเสวยของวิบากเมื่อทำความดีเกิดความพึ่งพอใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ผลของวิบากก็คือความสุข เพ่งพิจารณาว่าความสุขนั้นคืออะไร ความสุขคืออารมณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งยังผลให้เกิดความปิติ มีอาการจิตใจพองฟู ย่อมเกิดขึ้นในมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม สิ่งที่จะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องตั้งอยู่บนความพอดีความเป็นกลาง เมื่อเกิดความสุขสมบูรณ์ ให้พิจารณาดูว่าความสุขนั้นสมควรอารมณ์นั้นสมควรแล้วหรือยัง การมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ดังนั้นหากตั้งอยู่บนความเป็นกลาง คือไม่เตลิดเหลิงไปในอารมณ์ให้ถือได้ว่าเป็นอารมณ์ปกติ รู้อารมณ์นั้นชื่นชมอารมณ์นั้นเงียบๆ แล้วลดระดับความพึ่งพอใจลงไปตามความลดลงของอารมณ์ถือว่าเป็นปกติ แล้วจงวางความยึดมั่นถือมั่นในความดีงานนั้นไว้ให้เป็นปกคติ ถือว่าสิ่งที่กระทำเป็นปกติของมนุษย์ เป็นความเป็นปกติของตัวเรา ความยึดมั่นถือมั่นในความดีก็จะลงลด แม้ความดีก็ไม่ควรยึด แม้ความไม่ดีก็ไม่ควรยึด สิ่งที่นำพาให้มนุษย์ผู้เสมือนดอกบัวที่มีแรงปรารถนาทั้งหลายนั้นเดินไปก็คือ ความพอดีคือ ความสมดุลความเป็นกลางนั่นเอง จึงจะเดินไปบรรลุถึงเป้าหมายแห่งความสำเร็จ หากไม่พูดถึงภาวะของจิตในภาวะความเป็นมนุษย์ก็ตาม มนุษย์ผู้ใดที่ตามยึดมั่นถือมั่นมาก แม้นจะยึดในความดีก็จะทำให้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขร่วมกับผู้อื่น ผู้ที่มีความงามในจิตความงามในจริยะคือความประพฤติ ความงามในการแสดงออกต่อผู้อื่น จะต้องมีพื้นฐานบางอย่างในจิตเป็นข้อยึดเอาไว้ก็คือความเป็นกลางและความเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามที่ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้มาก เช่นยึดในความดียึดในกฎเกณฑ์ ยึดในระเบียบหรือยึดในข้อปฏิบัติ แม้ยึดในศีลพรตตามที่ได้รับการเรียนรู้มาก็ตามมากเกินไป ทุกสิ่งจะก่อให้เกิดพลังงานด้านเสียทั้งสิ้น เพราะไม่เกิดอยู่บนความสมดุลไม่เกิดอยู่บนความเป็นกลาง คำสอนของศาสดาทั้งหลายมีอยู่ข้อหนึ่งที่ใกล้กับมนุษย์มาก มนุษย์พึ่งเข้าใจความหมายจากมนุษย์ด้วยกันเองมากกว่า ศาสดาได้สอนเอาไว้ว่า บุคคลผู้ประเสริฐพึงละเว้นข้อยึดอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมคือความไม่เจริญนั้นคือ “สีลัพตปรามาส” นั้นหมายความว่า การยึดมั่นถือมั่นในหนึ่งตัวครูบาอาจารย์ของตนมากเกินไป สองยึดมั่นในศีลพรต ข้อห้าม ข้อกำหนด ของครูบาอาจารย์ ของสังคม ของวัฒนธรรมแต่ละที่จนเกินไป ข้อปฏิบัติใดๆ ก็ตามสิ่งใดก็ตามที่กระทำอยู่บนสถานที่ที่ไม่ถูกต้อง กระทำบนกาลที่ไม่ถูกต้อง ข้อศีลพรตนั้นก็ใช้ไม่ได้หมดทุกข้อ ให้จดจำไว้คำสอนที่ศาสดาและคำสอนที่ผู้รู้ได้สอนให้ถือว่า คำสอนนั้นเป็นคำสอนให้เราพิจารณาตนเอง อย่านำเอาคำสอนนั้นไปเป็นเครื่องมือในการตั้งข้อที่ระบุความดีความไม่ดี ข้อที่ระบุความถูกต้องความไม่ถูกต้องให้เกิดขึ้นต่อผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องเตือนอบรมจิต สั่งสอนจิตสำหรับตนเอง เพื่อพิจารณาให้ตนดีขึ้นสว่างขึ้นสมบูรณ์ขึ้น มิใช้ข้อกำหนดสำหรับตั้งเป็นกฎเกณฑ์ ทุกคนให้ร่วมกันตั้งจิตอยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริง จงตั้งจิตอยู่บนความเชื่อที่จะพัฒนาตนเองและจิตของตนให้ได้ จงตั้งจิตอยู่บนความเมตตารักใคร่ต่อกันและกัน จงตั้งจิตอยู่บนความอภัยอันสูงสุด ไม่มีความผิดใดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ จำไว้นะมนุษย์ทั้งหลายไม่มีความผิดใดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ หากผู้กระทำความผิดนั้นได้มีสำนึกอันถูกต้องเกิดขึ้น นั้นแหละคือสิ่งที่สมควรอนุโมทนา ขอทบทวนว่า ผู้ใดมีสำนึกอันถูกต้องเกิดขึ้นผู้นั้นสมควรได้รับการอนุโมทนา สิ่งที่ปรารถนาที่สุดของเราเป้าหมายที่ปรารถนาที่สุดของเราก็คือการพัฒนาจิต ดังนั้นจิตไหนที่ควรพิจารณาก่อนพัฒนาก่อนก็คือจิตของเราควรได้รับการพัฒนาก่อน ข้อปฏิบัติควรเป็นไปอย่างกว้างๆ เพื่อให้เกิดการพิจารณาตนเองเพื่อให้ถูกตามกาลและตามสถานที่ จงวางจิตอยู่บนความเป็นกลาง จงวางจิตอยู่บนความสมดุล จงมีเมตตาเสมอ จงมีการให้อภัยเสมอ มนุษย์ทั้งหลายจงฟังการสรุปคำสอนในวาระนี้
    ๑. ให้พิจารณาการทำความดีของตน และไม่หลงติดในความดี

    ๒. ให้พัฒนาจิตตนเองก่อนสิ่งอื่นใด และห้ามนำเอาคำสอนไปตั้งเป็นกรอบ หรือเป็นบรรทัดวัดผู้อื่นเพราะก่อนที่จะพัฒนาผู้อื่นนั้น จะต้องมีเมตตาและอภัยเสมอเป็นหลักไว้ก่อน

    ๓. จงงดเว้นที่จะใช้คำสอนไปตำหนิคาดโทษผู้ใด จงเป็นผู้ให้ เปรียบกับการให้ความรู้แก่ศิษย์ แม้นศิษย์ที่ดื้อดึงที่สุด ศิษย์ที่อ่อนแอที่สุด ศิษย์ที่โง่เขลาที่สุด ยังได้รับความรักความเมตตาจากครูอาจารย์เสมอ มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ จงมองดูดวงจิตที่ครูอาจารย์มอบให้และที่ผู้รู้มอบให้ว่ามีธรรมใดประกอบอยู่บ้าง จะเห็นธรรมข้อแรกที่ครูอาจารย์ยึดถือไว้ก็คือ “เมตตา” และตามมาด้วย “อภัย” นำหน้าเสมอ ดีกว่าศีลพรตข้ออื่น ความเมตตาก็ควรเมตตาให้ถูก เมตตานำพาให้เขาเดินไปในที่ที่ถูกต้อง ควรยึดปฏิบัติ ความเมตตาก็เมตตาให้ถูกให้อภัยต่อสิ่งที่เขากระทำผิด สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ จงจำไว้ว่าสิ่งที่เราปรารถนาคือ “ความสำนึก” ฉะนั้น ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะผิดโทษสถานใดหากมีความสำนึกเกิดขึ้น ผู้นั้นคือผู้ที่ควรได้รับการยกย่องและได้รับการอนุโมทนา จากเทวดาทั้งปวงรวมทั้งจากมนุษย์ทุกคนด้วย หวังว่ามนุษย์ทั้งหลายคงไม่เบื่อเสียก่อน สิ่งที่เป็นห่วงสิ่งที่ครูอาจารย์กังวลคือจิตของมนุษย์ทั้งหลาย ฉะนั้นในโอกาสแรกที่พบจึงให้พรข้อนี้แก่มนุษย์ผู้มีโอกาสนี้ไว้ก่อน ตั้งจิตรับพร ครูอาจารย์ของอัญเชิญพลังงานเบื้องบนอันประเสริฐสว่างแจ่มใส จงพุ่งตรงเข้าสู่มงกุฎจักราแห่งสานุศิษย์ทั้งหลาย เพิ่มความสว่างและพลังงานจิตให้หมุนวนได้เป็นปกติสุข ชำระล้างความขุ่นมัว เศร้าหมอง ความบ่าเจ็บทั้งจิตและกายออก ณ บัดนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>สัจธรรมบริสุทธิ์ (White Trust) </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3>แนวความคิดบนข้อเท็จจริง

    เริ่มต้น ห้ามคิดตัดสินวิพากษ์วิจารณ์ ให้ตั้งต้นบนข้อเท็จจริง เมื่อมีคำว่าสงสัยคงเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนี้เมื่อใด ต้องย้อนกลับไปเริ่มใหม่ และตัดคำพวกนี้ออก หากสมองเรียบเรียงไม่ทันอารมณ์ ให้เขียนข้อเท็จจริงมีอะไรบ้าง หากมีสิ่งที่ต้องพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่างหลายคน ให้แบ่งเขียนเป็นช่องๆเทียบกันไว้ เกิดตรงไหน อย่างไร ให้หาสาเหตุ ไม่ใช่คิดเอาเองว่าน่าจะเป็น ให้สอบทานย้อนไปเรื่อยๆ จนพบเจอความจริง นั่นแหละ คือ การมองโดยปราศจากการแต่ง แต้ม เติมสี มองอย่างเทวดา มองอย่างพรหม พรหมวิหาร การพิจารณาที่สมบูรณ์ เมื่อพิจารณาเห็นปัญหาแล้วจงตัดคำว่า ผิด ถูก ดี ชั่ว ทิ้งไปเสีย แล้วมองหาหนทางแก้ไขที่จะทำได้ขึ้นมาก่อน ผู้ที่ละวางอารมณ์ไว้ชั่วคราวก่อนได้ จะเป็นผู้คิดดีคิดชอบ (สังเกตไหมเด็กๆ ข้าใช้คำว่า ละวางอารมณ์ไว้ชั่วคราวก่อน เพราะว่ามนุษย์ผู้สามารถตัดได้แล้วซึ่งสังขารอารมณ์ ย่อมมิใช่มนุษย์ ที่นำมาสอนไว้ก็ให้รับรู้ และสามารถเท่าทันอารมณ์ต่างๆได้ไม่หลงตามอารมณ์นั้นไป)

    หากมีการวิเคราะห์เหตุที่เกิดรอบตัวเมื่อใดแล้ว ห้ามพิพากษาด้วยคำว่า ผิด และหรือคำว่าชั่ว ไม้บรรทัดของมนุษย์หนึ่งคนของหนึ่งวัฒนธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงหรือเป็นความถูกต้องของอีกคนหนึ่งของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ความดีตามความหมายของสถานที่หนึ่งใช้ไม่ได้กับที่หนึ่ง ความเลวตามความหมายของสถานที่หนึ่งก็ใช้ไม่ได้กับอีกที่หนึ่งเช่นกัน
    คิดแบบพิจารณาความเหมือนและความต่าง

    จิตของแต่ละคนมีความแตกต่างไม่เหมือนกันเลยสักรูปนามเดียว ไม่เพียงแต่มนุษย์คนเท่านั้น แม้จิตต่างๆ ในสากลโลกนี้ก็เช่นกัน ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่รูปนามเดียว ดังนั้นการจัดกลุ่มระดับจิตต่างๆ ที่มักจัดแบ่งตามความละเอียดก็ยังสามารถจำแนกได้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น ตามลำดับของความสว่างของพลังจิตนั้นๆ เห็นได้ว่าความแตกต่างเหล่านี้ สามารถอยู่รวมกันได้ในภพภูมิเดียวกัน สมมติบัญญัติเป็นมนุษย์เหมือนกัน ในความแตกต่าง เมื่อจับรวมกันแล้วจะมีจุดที่เชื่อมเข้าหากัน และสามารถอยู่รวมกันได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากรู้วิธีการที่จะเชื่อมมันเข้าหากัน คือดึงเอาความเหมือนนั้นมารวมกันก่อน แล้วเอาความต่างนั้น มาต่อยอดกลายเป็นสมุดบันทึกหนึ่งเล่ม หรือกล่องยาหม่องของเจ้าออกมา หรือกลายเป็นนาฬิกาออกมา ทำไม่ภาพถึงรวมกันได้ เพราะจับความเหมือนมาแตะกันก่อน แล้วเอาความต่างมาต่อยอด ต้องจับเอาทั้งสองอย่างนี้ โดยเอาความเหมือนมาเป็นตัวเชื่อมเสมือนมนุษย์สร้างสัมพันธ์ไมตรี และเอาความแตกต่างมาเป็นตัวต่อยอด และไม่ละเลยแม้ความแตกต่าง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเบี่ยงเบน หรือความแตกแยกได้ หรือนำความแตกต่างนั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือสังคมได้ โดยไม่ปล่อยให้แตกยอดออกไปในทางแตกแยกมากขึ้น การดึงความแตกต่างมาใช้งาน โดยตั้งอยู่บนฐานแห่งการยอมรับ การยอมรับนั้นแบ่งเป็นสองประเด็น ๑ คือยอมรับตนเอง ๒ ยอมรับผู้อื่น เมื่อใดก็ตามนำความแตกต่างมาใช้งาน โดยปราศจากความยอมรับข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ความแตกแยกจะเกิดขึ้นทันที ถ้ายอมรับผู้อื่นแต่ไม่ยอมรับตนเองก็พิจารณาความแตกต่างไม่ได้ แต่ถ้ายอมรับตนเองแล้วไม่ยอมรับผู้อื่น ก็ไม่สามารถพิจารณาความแตกต่างได้เช่นกัน


    แนวทางการปฏิบัติตน

    ความอ่อนน้อม คำว่าความอ่อนน้อมเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีความละเอียดอ่อนของจิต น้ำเสียงที่นุ่มจะแสดงถึงดวงจิตที่นุ่มและละเอียด น้ำเสียงหยาบจะแสดงถึงดวงจิตที่หยาบ นี่คือความจริงตามธรรมชาติด้วยประการหนึ่ง มนุษย์ทุกคนรับฟังด้วยหู ได้ยินเสียง และมนุษย์ยังสามารถรับคลื่นสัญญาณเสียง คือ พลังจิตได้ด้วย เมื่อใดมีเสียงที่หยาบก้าวร้าวย่อมหมายถึง น้ำเสียงนั้นนำพาจิตที่หยาบหรืออารมณ์ก้าวร้าว หรือโกรธของผู้พูดมาแสดงตนต่อผู้ฟังได้ด้วยเช่นนั้นแหละ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>มนุษย์ที่เทวดารักใคร่ </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    ธัมโมวาทครานี้ จะกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ที่เทวดารักใคร่ เพื่อประโยชน์เก็บไว้ใช้ มนุษย์มีความแตกต่างกัน บางคนมาจากที่สูง จิตมีความสะอาดบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน บางคนมาจากเบื้องบ่าง คือ มาจากที่มืด แต่เมื่อทุกคนเกิดมาในภพมนุษย์แล้ว หมายถึงที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนล่วงรู้ด้วยปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตและสร้างอนาคต ผู้ใดประกอบกรรมดี ทำความดีเป็นเบื้องต้น ทำความดีในท่ามกลาง และทำความดีในที่สุด หนทางที่จะก้าวไปในอนาคตย่อมไปในที่สูงกว่า หรือแดนนิพพาน ผู้ใดก่อกรรมชั่ว ย่อมลงสู่เบื้องล่างคือ ทุกข์ ทรมาน เป็นที่สุด การถือกำเนิดในภพกลางย่อมเป็นโอกาสอันดีที่บุคคลจะได้เลือกดำเนินชีวิต ปัญญาที่จะนำทางในมนุษย์นั้น ย่อมติดตัวมาจากจิตดั้งเดิม ผู้ใดมาจากที่สูงปัญญาย่อมดี ผู้ใดมาจากที่มืดปัญญาย่อมอับเป็นธรรมดา แต่พวกเจ้าทั้งหลายโชคดี เพราะมีเทวดาเพ่งมองช่วยเหลือ ปราศจากภัยอันตราย อุปสรรคก็ถูกปัดเป่าให้ แต่ผู้ใดเป็นที่หมางเมินของเทวดา ย่อมต้องฝ่าฟันเอง ด้วยความลำบากประพฤติอย่างไรเทวดาจึงจะรัก มนุษย์ด้วยกันก็รัก แม้อสูรกายก็เกรงในบารมี ​
    หลักธรรม ๔ ประการ อันเป็นที่รักของเทวดา และมนุษย์
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>ครองสติด้วยจิตอันเป็นกลาง</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>ความเจริญในลาภยศสรรเสริญทั้งหลายถึงจะมีวันเสื่อมไป หมดไป ดับไป แต่ในความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ ยังมีความจำเป็นต้องวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ขอให้มนุษย์ทั้งหลายได้ประสบกับมัน ด้วยสติ ด้วยความไม่ยึดไม่หลง จงครองและมองดูอยู่ด้วยจิตอันเป็นกลาง ประกอบด้วยอุเบกขาธรรม คือไม่ยึดมั่นเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นของเรามั่นคงตลอดไป เพราะทุกสิ่งที่ได้มา ล้วนมีวันที่เสื่อมลงไป สิ้นลงไปและดับไปจากเราทั้งนั้น ขอทุกคนจงประสบสิ่งที่พึงปรารถนา นับแต่บัดนี้ มนุษย์คนใดที่ปรารถนาในทรัพย์จงได้ทรัพย์ มนุษย์คนใดที่ปรารถนาในเกียรติยศจงได้เกียรติยศ มนุษย์คนใดที่ปรารถนาในปัญญาขอจงได้ปัญญา ขอตรัสเป็นคำสัจจะให้มนุษย์ทั้งหลายจงเจริญงอกงามห่างไกลจากความเสื่อมทั้งปวง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>ดอกบัวกับแรงปรารถนา</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    มีคำสั้น ๆ ที่จะบอกกล่าวไว้ให้ไปพิจารณาดูกันเอง ปัญญาของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนดอกบัว คราเมื่อจะบานต้องได้รับส่วนผสมของน้ำของดินของแสงอาทิตย์ ตามกำลังอันสมควร เมื่อส่วนผสมเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่เอื้อในความเจริญงอกงามได้ส่วนสมดุลกันดีแล้ว ความปรารถนาของบัวนั้นที่จะพุ่งขึ้นโผล่พ้นน้ำ บัวเหล่าใดกอใดก็ตามขาดแรงปรารถนาที่จะพ้นจากน้ำขึ้นสู่เบื้องบน บัวเหล่านั้นกอนั้นก็ไม่สามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ด้วยความคิดที่มีอยู่เพียงสิ่งที่มองเห็น คือผิวน้ำพื้นน้ำที่ตนอาศัยอยู่ คิดว่ากว้างใหญ่แล้ว ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว สะอาดแล้ว ไม่มีแรงที่จะพุ่งตัวเองขึ้นให้พ้นจากนี้ บัวเหล่านั้นกอนั้น แม้จะได้ส่วนผสมของธรรมชาติที่สมดุลแล้ว ก็ไม่สามารถขึ้นพ้นน้ำได้ ด้วยเหตุฉะนี้นั่นเอง เปรียบเสมือนมนุษย์ เมื่อใดที่มนุษย์ปรารถนาที่จะพบเห็นความจริงที่ตนไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ปรารถนาที่จะพิสูจน์ธรรมชาติที่แท้จริง มนุษย์ก็มีแรงผลักดันให้กระทำในสิ่งที่ถูกที่สมควร ปฏิบัติธรรมในทางอันเป็นเส้นทางของการหลุดพ้น เสมือนดอกบัวที่มีแรงพุ่งตัวเองขึ้นพ้นผิวน้ำ มนุษย์อีกบางพวกก็เหมือนบัวที่จมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นสภาพปัจจุบันคือ สิ่งที่ถูกแล้วเพียงพอแล้ว ก็รังแต่จะตกตมอยู่ในโลกของมนุษย์ต่อไป หากเผลอพลั้งพลาดคราใด ประมาทในการใช้ชีวิตเมื่อใดก็หลุดล่วงไปจากภพภูมิของมนุษย์เมื่อนั้น ความสุขที่แท้จริงไม่มีที่ไหนหรอก นอกจากดินแดนแห่งความสงบสุขสูงสุด นั่นคือ ภาวะโมกษะ การกลับคืนสู่แหล่งกำเนิดของพลังอันบริสุทธิ์ หรือพระเป็นเจ้าเป็นผู้ก่อเกิดธรรมชาติ ณ พลังสูงสุดย่อมพ้นจากการเกิด - ดับหรืออย่างเช่น ในศาสนาของพุทธเรียกว่า นิพพานนั่นเอง ก่อนอื่นใดมนุษย์ผู้ก้าวเดินสู่เส้นทางอันประเสริฐ จะต้องมีความรู้ความคิดที่ถูกต้องเรียกว่า ระลึกชอบ มีสายตาที่รู้จักมองในความเป็นจริงตามสมควร แม้จะได้ดวงตาเห็นธรรม หรือยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมก็ตาม หากผู้ใดปราศจากความระลึกชอบแล้ว ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงนี้ได้ข้อคิดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ขอประทานให้มนุษย์ หรือผู้ที่สูงกว่ามนุษย์กลับไปพิจารณามองดูตนกันต่อไป ก่อนที่จะมองผู้อื่นก็มองตนเองก่อน ผู้ที่มองตนเองเห็น ระลึกรู้ดีของตน ระลึกรู้ชั่วของตน ระลึกรู้ความแข็งของตน ระลึกความรู้อ่อนของตน ผู้นั้นเรียกว่า ได้สติ ผู้ใดมองเห็นทางถูกต้องในการปฏิบัติ ผู้นั้นเรียกว่า มีความระลึกชอบ ใช้สองอย่างนี้เป็นเสมือนพาหนะที่จะนำไปสู่มรรคาที่ประเสริฐ ขอฝากเอาไว้เพียงเท่านี้...โอม​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>กรรมนำพามาร่วมกัน</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>การบำเพ็ญเมตตาบารมีเป็นการทำดอกบัวในใจให้บาน ความเบิกบานของดอกบัวในใจทำให้เกิดกุศลตาม เป็นกำลังของจิตเป็นอานิสงส์ที่สามารถชดใช้วิบากกรรม ที่สามารถชำระล้างหนี้กรรมที่เรามีอยู่ติดตัวมาแต่ภพไหนชาติไหนก็ตาม ประโยชน์ปัจจุบันที่เห็นทันทีเกิดขึ้นในจิต เมื่อดอกบัวแห่งจิตเบ่งบานคือ ทำลายความเห็นแก่ตัว สร้างเมตตาจิตให้เกิดขึ้น ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั่งหน้าขาวหน้าดำกันอยู่ตรงหน้านี้ ก็เพราะทำกรรม เจ็บป่วยก็เพราะแรงกรรม ลำบากกายก็เพราะแรงกรรม ลำบากใจก็เพราะแรงกรรม ฉะนั้น การมีโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และการที่มนุษย์ได้มีโอกาสสร้างบารมีทานช่วยเหลือผู้อื่นชดใช้หนี้กรรมของตน ถือว่ามนุษย์มีโชคมีโอกาสอันงาม สิ่งสำคัญที่จะต้องมีในหัวใจก็คือความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะทุกคนเป็นส่วนประกอบของโลกธาตุ หากไม่สมดุลกันจิตใจแตกแยกกัน พลังของทุกคนก็จะกระจายออกเหมือนน้ำที่กระจายออกจากกัน ขาดกำลังในการชำระล้าง หากพลังนั้นรวมตัวกันอย่างดีพุ่งตรงไปด้วยหัวใจอันเดียวกัน จะมีพละอำนาจเข้มแข็งเด็ดขาด สัมฤทธิ์ผลสมดั่งใจ หากไม่มีบุญและกรรมมาผูกพันคงมิได้มีโอกาสร่วมกันเช่นนี้</TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>พรแห่งอหิงสธรรมอนิสงค์</TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    อานิสงค์ในการปวารณาตนไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่ได้สร้างมาจนครบวารวันนี้ ขออนุโมทนาอานิสงค์นี้ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ในอหิงสธรรม ขออวยพรให้มนุษย์ทุกคนในที่นี้ จงเป็นผู้ล่วงพ้นกระแสโลก จงเป็นผู้ปราศจากความอาฆาตพยาบาทจากเจ้ากรรมนายเวร เจริญในสิ่งอันพึงเจริญของมนุษย์ ล่วงพ้นจากสิ่งอันเป็นภัยพิบัติของมนุษย์ ตลอดชั่วอายุขัยในพิภพโลกแห่งนี้ ธรรมทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาสู่สัมผัสแห่งมนุษย์ จงเกิดเป็นแสงสว่างกระจ่างแจ้งทางปัญญา ให้ล่วงพ้นอวิชชา หลุดพ้นกิเลส ตัณหา อุปาทาน ดำเนินตามรอยมรรคาแห่งพระศาสดา ประธาน นามอวโลกิเตศวรคือผู้พิทักษ์พุทธะที่ใดที่มีพุทธะที่นั้นนามอวโลกิเตศวร จะปกป้องพิทักษ์และจรรโลงเอาไว้ให้อยู่ถาวรให้แผ่กระจายไปทั่ว มนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคนเคยได้รับโอวาทมาก่อน คงจะพอจำได้ว่า หลักธรรมที่ให้ไว้ประจำชีวิตเป็นอย่างไร ทุกคนปฏิบัติกันหรือเปล่า ด้วยใจเป็นธรรมลองมองดูตนหรือเปล่าว่าเราได้บกพร่องคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ หรือสมบูรณ์ดีแล้วในคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ ทิพย์ล้ำค่าที่มนุษย์ทุกคนพึงมีก็คือ กระจกส่องตนเอง ใครไม่มีกระจก คนนั้นไม่อาจล่วงพ้นอวิชชาไปได้เลย ทุกวันเฝ้ามองตนเอง หมั่นขัดถูกระจกของตนเองให้สะท้อนเห็นภาพที่แท้จริง แล้วแก้ไขให้งามขึ้นทั้งภายนอกและภายใน งามภายนอกก็คือ สำรวมกิริยาวาจา งามภายในก็คือ สำรวมใจ พลังทิพย์ทั้งหลายรวมทั้งธรรมะที่เป็นสัจธรรมของโลก ล่องลอยอยู่รอบตัวมนุษย์ทุกคน จิตบริสุทธิ์ดีหรือยัง ผู้ใดมีจิตบริสุทธิ์ดีแล้วสะอาดดีแล้วเมื่อปฏิบัติธรรมในเวลาอันเหมาะสมปัญญาญาณก็จะเกิด เพราะจิตที่บริสุทธิ์สัมผัสกับพลังความเป็นจริง ปัญญานี้ก็จะย้อนกลับเข้าไปรักษาโรคภายใน โรคภายในของมนุษย์ก็คือ โรคหลงกิเลส โรคหลงตัณหา โรคหลงอุปาทาน โรคทั้งหลายมีเชื้อมาจากความไม่รู้ ความหลง ความโง่ แต่เมื่อใดมนุษย์มีกระจกหมั่นส่องตนเองอยู่ประจำ ความโง่ก็หายไป ปัญญาที่เกิดก็จะสามารถเข้าไปรักษาโรคภายในได้ บริสุทธิ์ที่กายไม่อาจสู้บริสุทธิ์ที่ใจ เมื่อรักจะเป็นชาวพุทธ ต้องเดินตามหลักแห่งพุทธะ ขอพลังแห่งโพธิสัตว์จงสถิตอยู่ ณ พวกเจ้าทั้งหลาย จงเจริญในธรรมต่อไป​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="33%">[​IMG]</TD><TD width="20%">
    </TD><TD width="47%"> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>
    ภาวนาวิธีสู่โพธิจิตแบบปริวรรตนะคือการลดอัตตา

    </TD></TR><TR><TD colSpan=3>ที่มา: การรับความทุกข์ของผู้อื่นมาใส่ในตน (Exchange of The Self For Other) สาระบางส่วนของคำสอนขององค์ทะไล ลามะ จากหนังสือ An Open Heart บทที่ 10 ว่าด้วยโพธิจิต

    </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR><TR><TD colSpan=3> </TD></TR><TR><TD colSpan=3>หลังจากที่เราได้รู้จักการปรับตนให้เสมอกับผู้อื่นแล้ว ขั้นต่อไป เราควรจะเริ่มปฏิบัติวิธีต่อมาคือ การรู้จักรับเอาความทุกข์ของผู้อื่นมาใส่ในใจเรา เนื่องจากเราทราบดีแล้วว่า รากฐานของความทุกข์ทั้งมวล ก็มาจากสาเหตุที่เรานั้น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่นแต่จากนี้ไป เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าผู้อื่นนั้นมีความสำคัญ และมีคุณค่าเสมอเหมือนส่วนหนึ่งของเราดั่งแขนขาของร่างกายเดียวกัน ที่เราควรคำนึงเริ่มต้นให้เรานึกถึงบ้านที่เราอาศัยอยู่ เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่ ถนนหนทางที่เราสัญจรไปมาทุกวันทั้งหมด ล้วนแต่ได้รับการก่อสร้างออกแบบลงทุนลงแรงจากผลงานผู้อื่นทั้งสิ้น แรงงานมหาศาลได้ถูกใช ้เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากอย่าง ให้เราได้รับจนครบบริบูรณ์ เช่น เสื้อผ้านั้น เริ่มจากการปลูกฝ้าย เก็บมาปั่นเป็นด้าย เย็บติดเป็นเสื้อผ้าให้เราได้ใส่โชว์ดูสวยงาม และเป็นที่ประทับใจ อาหารที่เรารับประทานทุกมื้อ ก็เช่นกัน เป็นผลงาน และน้ำพักน้ำแรงของชาวนา ชาวไร่ คนงานโรงสี กรรมกรแบกข้าวสารใส่ถุงบรรจุขาย จนถึงการนำมาหุงต้ม ผัดเป็นเมนูจานเด็ด ก็ล้วนผ่านฝีมือผู้อื่นทั้งสิ้นจนถึงเมื่อรับประทานเสร็จ ผู้เก็บจานชามไปชำระล้างให้สะอาดก็เป็นผลงานผู้อื่นอีกเช่นกัน ทั้งหมดที่กล่าวมาเพียงเล็กน้อย แต่ล้วนเป็นน้ำพักน้ำแรงจากผลงานผู้อื่นทั้งสิ้นเหตุ ไฉนเลยเราจึงลืมไป จนไม่เคยเห็นคุณค่าผู้อื่นรอบตัวเราที่ทำงานให้ เราสมควรแก่เวลาแล้ว ที่เราต้องหัดหันมาระลึกถึงความสำคัญของผู้อื่นบ้าง นี่คือโอกาสทอง ที่เราจะได้พัฒนาความอดทน ความใส่ใจ ความเข้าใจว่า เรานั้นยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอีกวันยังค่ำ เมื่อเราเริ่มรู้คุณค่าของผู้อื่นแล้ว เราก็ไม่ควรลืมที่จะเริ่มรู้จักอยากทดแทนบุญคุณความเมตตาของท่านเหล่านั้น ให้เราระลึกนึกภาพว่า ด้วยกฎแห่งกรรมที่แล้วมา ความเห็นแก่ตัวของเรา เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสร้างปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราเสมอมาแทบทุกวัน ก็เพราะเราให้ความสำคัญเฉพาะแก่ตัวเราเท่านั้นเราควรจะเริ่มละเริ่มปล่อยวาง เลิกหลงในตัวเอง หัดอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้างเพราะเราได้ช่วยเหลือผู้อื่น คือการกระทำที่น่าเลื่อมใสและสง่าผ่าเผย ความภาคภูมิใจในการเริ่มปฏิบัติตนเข้าสู่วิถีแห่งพุทธะ จะทำให้จิตใจเริ่มเบิกบาน เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ เมื่อแรกเราเริ่มฝึกการรู้จักแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่นมาใส่ใจเรานั้น สิ่งสำคัญที่เราควรพัฒนาควบคู่กันไปก็คือ ความใจเย็นและหนักแน่นอดทน เพราะการหมั่นฝึกโพธิจิตนั้น หากปราศจากซึ่งความใจเย็น ความอดกลั้นแล้ว อุปสรรคย่อมเกิด ตราบใดที่ความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น เริ่มเกิดขึ้นในจิตใจเรา เราควรละฉวยโอกาสนี้ รักษาและแสดงความจริงใจในความรู้สึกใหม่นี้ เพื่อนำไปเป็นสะพานและบันไดช่วยเราพัฒนาให้เร็วและละเอียดสูงยิ่งขึ้นเรามิควรจะท้อถอย ตราบใดที่ความรู้สึกเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณจะกลับสถิตในใจขึ้นมาก็ตาม เราควรกำราบและบังคับจิตใจเราให้เชื่องและนิ่ง โดยยึดถืออุดมการณ์ และศรัทธาแห่งโพธิจิตเป็นหลักด้วยความสำนึกในความเสมอภาคของตนกับผู้อื่นแล้ว ทำให้เราเห็นใจและให้ความสำคัญคนรอบตัวเรามากขึ้น โดยไม่หวนกลับไปสู่นิสัยการเห็นแก่ตนเป็นใหญ่เหมือนแต่ก่อนอีก ในขณะที่เราพยายามจะฝึกพัฒนายกระดับจิตใจเราให้สูงและละเอียดขึ้น สู่ภาวะโพธิจิตนั้น บางครั้งความรู้สึกในส่วนลึกภายใน เรายังยึดติด และบางครั้งยังมีความรู้สึกชิงชัย ในความพยายามที่จะฝึกจิตเราให้คิดถึงจิตใจผู้อื่นบ้าง บางครั้ง เราอาจอยากจะเปลี่ยนใจ ยกเลิกความพยายามนี้ โดยหันกลับไปสู่กิจกรรมที่เพลิดเพลิน สนุกชั่วครู่ นิสัยตามใจตัว เช่น ดูทีวี เล่นสนุกเกอร์หรือเที่ยวเตร่ เพราะเบื่อวิถีแห่งการฝึกจิต ที่น่าเบื่อหน่าย เราต้องหยุดคิดตั้งสติเสียใหม่ และพยายามหักห้ามใจมิให้หวนกลับไปสู่การตกเป็นทาสของอารมณ์สิ่งเร้ายั่วยวน โดยการใช้การหมั่นรวมสมาธิหลับตาและนั่งสงบนิ่ง เพื่อให้เวลากับตนเองโดยหันกลับเข้าหาตัวเอง และใส่ใจในจิตโดยขั้นแรกให้ยอมรับว่า เนื่องจากความเคยชินจนเป็นนิสัยมาแต่นานแล้วที่เราปล่อยให้อารมณ์ และความเอาแก่ใจตนเองเป็นนายเราเสมอมา จนกลายเป็นนิสัยอันตรายประจำตัวเราแล้ว ต่อมา เราต้องเริ่มใช้วิธีการแบบความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยว ดั่งแม่ทัพใหญ่ที่จะเป็นตัวของตัวเองเหนืออำนาจของนิสัย และความเห็นแก่ตัวเองให้เป็นนายเรามานานแล้ว ต่อไปนี้เราจะปรับตนเองมาเข้าใจและใส่ใจผู้อื่นบ้างแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าสู่วิถีทางแห่งการเปิดประตูหัวใจที่แท้ของเรามหากรุณา คือ พลังชีวิตที่แฝงอยู่ในใจเราเราต้องเริ่มหมั่นปลูกฝังและพัฒนาตลอดการเดินทางต่อไป ทั้งหน้าที่จากความเสมอภาคในระดับวิถีภาวนาแบบสมานัตตตานั้น เราได้ขจัดอิจฉา ริษยา ความชิงชังต่อผู้อื่น ให้กลับกลายเป็นผู้มีความสำคัญ และมีความหมายแก่เรา เมื่อเราเริ่มเข้าใจผู้อื่น และแลกเปลี่ยนใจเขามาใส่ใจเรา และเริ่มแบ่งรับเอาความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นของเรา หนทางสู่โพธิจิตก็จะปรากฏ จากนี้ไปเราจะต้องเพิ่มความละเอียด เพื่อยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นสู่ขั้นแห่งปัญญา (Wisdom) ต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    -------------------

    คัดลอกมาจาก

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD colSpan=3>โดย Dr.G.G. Junior

    </TD></TR><TR><TD colSpan=3>www.universal-signal.com

    --------------------
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. ekmahawet

    ekmahawet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +19
    สาธุครับ จิตทีเกิดได้ ต้องอาศัยรูป จิตเป็นนามธรรม ทีมองไม่เห็น
     
  14. bombaysonofabe

    bombaysonofabe สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +12
    สาธุ สาธุ สาธุ ธรรมของพระพุทธองค์นำพาสุขที่ยั่งยืน และพระอริยเจ้าก็ได้ทำตามหลักธรรมเหล่านั้น เผยแผ่สู่ปุถุชนให้เห็นธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้า ขอระลึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า เป็นทางไป ขอทุกท่านเป็นสุข เทอญ
     
  15. กองกอย

    กองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +219
    สาธุครับ ผมเองกำลังท้อกับจิตที่น่าเกลียดของตัวเอง ได้อ่านข้อความที่โพสแล้วทำให้

    มีกำลังใจขึ้นครับ สาธุ ๆ กับธรรมทานครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...