Ancient Astronaut

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 ตุลาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG] ตอนที่ 2 Bible and other Myth(ต่อ)



    หน้าที่แล้วผมได้พูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ดูแล้วผิดวิสัยในตัวของพระคัมภีร์ไบเบิลใช่ไหมครับ สิ่งผิดวิสัยดังกล่าวนี้มีอยู่มากมายหลายจุด ขอยกตัวอย่างซักสองสามเรื่องก็แล้วกัน




    พระเจ้าทรงดำริ จงสร้างมนุษย์จากรูปของเรา ให้เหมือนเรา
    : เยเนซิส 1,26



    ต้นฉบับภาษาฮีบรูว์ใช้คำว่า เอโลฮิม ซึ่งเป็นคำพหูพจน์ เมื่อแปลออกมาแล้วต้องใช้คำว่า the gods ถูกไหมครับ? ทำไมพระเจ้าต้องใช้คำพหูพจน์ ในเมื่อความเชื่อทางศาสนายืนยันอยู่ชัดแจ้งแล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงเอกานุภาพนั้นมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มันดูขัดๆกันไหมล่ะครับ?




    เมื่อถึงกาลนั้น มนุษย์เริ่มแพร่พันธุ์ของตน เขาให้กำเนิดลูกสาว และเมื่อบุตรของพระเจ้า เห็นลูกสาวของมนุษย์ที่มีความงามก็เลือกไปเป็นภรรยาของตน : เยเนซิส 6,1-2



    ใครคือบุตรของพระเจ้าครับ? ในเมื่อพระเจ้าของอิสราเอลไม่เคยมีบุตร ...



    ส่วนเยเนซิส 19, 1-18 ได้กล่าวถึงความพินาศของโซดอมและโกมอร์ราไว้ว่า [​IMG]ทูตสวรรค์สององค์ได้มายังเมืองโซดอมในตอนเย็น ขณะนั้นลอตกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองพอดี การพบกันของทูตสวรรค์กับครอบครัวของลอต ความพินาศของโซดอมและโกมอร์รานั้น ท่านคงอ่านกันมามากแล้วจากแหล่งอื่นๆ ดังนั้นผมไม่ต้องฉายซ้ำนะครับ สรุปแต่เพียงว่า ความพินาศของเมืองเหล่านี้ การตายของภรรยาของลอตซึ่งกลายเป็นเสาเกลือ กลับมาพ้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ระเบิดปรมาณูอย่างเหลือเชื่อ คำถามก็คือ ถ้าพระเจ้าคิดจะทำลายโซดอมจริง ทำไมทูตสวรรค์จะต้องรีบร้อนพาลอตและครอบครัวหนีไป พระเจ้าเลื่อนเวลาทำลายไม่ได้หรือ หรือว่า... เวลาที่เมืองจะถูกทำลายได้ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ? ระเบิดอาจกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่ หรือไม่ก็ขีปนาวุธถูกยิงออกมาแล้ว ดังนั้นลอตจึงต้องรีบหนีออกจากเมืองให้ทัน และขึ้นไปหลบซ่อนอยู่บนภูเขา อันเป็นเกราะป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากอาวุธของพระเจ้า ก็ไม่รู้จะคิดมากไปหรือเปล่าน่ะนะครับ -_-"




    มองอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าในไบเบิล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากปุถุชนเลยในแง่ของอารมณ์และความคิด เว้นเสียแต่พระเจ้าทรงมีอภินิหาร(ซึ่งเราไม่อาจแน่ใจว่า นั่นคือสิ่งเหนือธรรมชาติหรืออำนาจของวิทยาศาสตร์)มากกว่าเท่านั้นเอง เหตุการณ์ต่างๆในไบเบิลบอกกับเราว่า พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์และพึงพอใจ ต่อมาพระองค์ก็ทำลายมนุษย์ ถ้าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง ทำไมพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์ให้ดีเลิศเสียตั้งแต่แรก และทำไมพระเจ้าจึงลำเอียงเข้าข้างมนุษย์เพียงบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น ชาวอิสราเอล หรือแม้แต่ลอตกับครอบครับของเขา




    ผมเคยเล่าเรื่องของเอเซเกลไปแล้วใช่ไหมครับ เอาเป็นว่าขอทบทวนรายละเอียดอีกทีก็ได้ เผื่อบางท่านลืมๆไปแล้ว เอเซเกลเป็นนักบวชผู้เล่ารายละเอียดของการลงสู่โลกมนุษย์ของพระผู้เป็นเจ้าครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเสด็จของพระเจ้าช่างละม้ายคล้ายกับการร่อนลงของยานอวกาศเสียจริงๆ เพราะมาพร้อมกับเสียงก้องกัมปนาทและหมอกควัน ตามที่กล่าวถึงในบันทึกของเอเซเกล ดังนี้ครับ




    "ขณะนี้ผ่านไปในปีที่สิบสาม เดือนสี่ วันที่ห้าของเดือน เมื่อข้าฯอยู่เชลยริมแม่น้ำซีบาร์ ทันใดนั้นสวรรค์ก็เปิดกว้างออก ข้าฯดู... ข้าฯประจักษ์ พายุอันหมุนเคลื่อนมาจากทางเหนือ เมฆสีดำกลุ่มใหญ่และไฟลุกเอง ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีแสงสว่างคล้ายอำพัน มีเงาซึ่งคล้ายกับมนุษย์สี่ร่างโผล่มา แต่ละคนมีสี่หน้าและสี่ปีก เท้าของพวกเขาแข็งแรงคล้ายกับวัว ร่างของพวกเขาเป็นเงาสะท้อนคล้ายสีทองที่ขัดจนเงาเป็นมัน"




    อ่านแล้วก็ปวดหมองตึ้บ ทำไมพระเจ้าหรือทูตของพระองค์ถึงมีรูปร่างพึลึกแบบนี้ล่ะครับ? แล้วทำไมทรงร่อนลงมาจากทิศเหนือยังกะยานอวกาศ ส่งรังสีและประกายแสง แถมมีลมหอบกระชากเล่นเอาฝุ่นทรายปลิวคลุ้งซะอย่างนั้น ลักษณะรายละเอียดทำให้ชวนนึกถึงการกล่าวถึงพระเจ้าทรงวิมานะของทางอินเดียโบราณ ที่สำคัญคือ ทำไมพระองค์ไม่เสด็จมาเฉยๆ ทำไมต้องมีเสียงและควันด้วย?




    "ขณะที่ข้าฯมองเห็นสิ่งนั้น มันมีล้อสัมผัสพื้นดิน ลักษณะของล้อคล้ายสีเขียวมรกต ทั้งสี่มีสิ่งที่เหมือนกันคือลักษณะของล้อ และการทำงาน เหมือนมีล้ออยู่กลางเมื่อเคลื่อนที่ไปก็ไปทั้งสี่ด้าน ตอนเลี้ยวไม่เหมือนกับตอนเคลื่อนที่ มีวงซึ่งอยู่สูงและน่ากลัว วงนั้นมีตาอยู่เต็มไปหมดทั้งสี่ด้าน เมื่อสิ่งนั้นไป ล้อก็ไปด้วย เมื่อสิ่งนั้นลอยตัวขึ้น ล้อก็ลอยตัวขึ้นด้วย"



    ครับ นักลึกลับศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ก็เลยพลอยสันนิษฐานไปว่า เอเซเกลคงเห็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งวิ่งไปวิ่งมาพื้นทรายหรือดินที่มีเลนได้ ลักษณะของล้อเป็นแบบใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ยานลำนี้คงใช้หลักการเดียวกับยานโฮเวอร์คราฟบวกเครื่องเจ็ตแบบแฮริเออร์ เป็นที่แน่นอนทีเดียวครับ เมื่อเอเซเกลเห็นยานชนิดนี้เข้าครั้งแรก สิ่งที่เขานึกถึง ถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดก็คงเป็นพระเจ้านี่แหละ

    <!--pagebreak>

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][​IMG] ตอนที่ 2 Bible and other Myth(ต่อ)[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    "บุตรของมนุษย์ จงยืนอยู่ที่นั่น และเราจะพูดกับเจ้า" เมื่อเอเซเกลได้ยินเสียง เขาก็รีบหมอบทรุดลง และก้มหน้าจนหน้าผากจรดพื้นด้วยความกลัว
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    "และข้าฯก็ได้ยินเสียงพึมพัมจากด้านหลัง กล่าวสรรเสริญพระองค์ ข้าฯได้ยินเสียงปีกของสัตว์นั้น เสียงล้อและเสียงดีงกึกก้อง"
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    เอเซเกลบรรยายการขึ้นและลงของยานอย่างละเอียด พระเจ้าได้บอกแก่เขาว่าเขาจะต้องเป็นผู้จัดระเบียบและกฏหมายของประเทศนี้ พระเจ้าได้พาเอเซเกลขึ้นไปบนยานถึงสามครั้งในเวลาต่อๆมา พระเจ้าบอกกับเขาว่า เขาอยู่ท่ามกลางคนที่ดื้อรั้น ผู้มีตาแต่ไม่สามารถมองเห็น มีหูแต่ไม่สามารถสำเหนียกความจริง ซึ่งเอเซเกลจะต้องทำหน้าที่อบรมสั่งสอนพวกนี้ ให้คำแนะนำ ตรากฏระเบียบเพื่อสร้างอารยธรรมขึ้นมา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีในภายหลังแล้วว่า เอเซเกลปฏิบัติตามโองการของพระเจ้าได้อย่างเยี่ยมยอดไม่มีบกพร่อง
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]
    ...ปัญหาอยู่ที่ว่า ใครกันครับที่เป็นคนพูดกับเอเซเกล เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนมาจากที่ใด? เขาต้องไม่ใช่พระเจ้าแน่ๆ เพราะถ้าพระเจ้าทรงมหิทธานุภาพจริงตามคำกล่าวอ้าง ทำไมพระองค์ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง ทำไมพระองค์ต้องยืมมือมนุษย์ธรรมดาอย่างเอเซเกลเพื่อปฏิบัติหน้าที่บางประการด้วย มาถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้แหละครับว่า นอกจากเรื่องของเอเซเกลแล้ว ยังมีประดิษฐกรรมอันน่าทึ่งในไบเบิลอีกชิ้นที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง แล้วก็มีน้องๆหลายคนถามไถ่กันมา นั่นก็คือหีบไม้ศักดิ์สิทธิ์ (Ark of the covernant)
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG] ตอนที่ 3 มหากาพย์กิลกาเมช



    เอ่ยถึงกิลกาเมชแล้ว ทุกคนคงซึมซาบกันดีนะครับว่า เป็นมหากาพย์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดในหลายๆด้าน ผมไม่ขอเอ่ยถึงมหากาพย์เรื่องนี้ในแง่มุมอื่นนะครับ เพราะหาอ่านที่ไหนก็ได้ เอาเป็นว่า เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับหัวข้อของเรา นั่นก็คือ ความเกี่ยวเนื่องระหว่างมหากาพย์นี้กับนักบินอวกาศยุคโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระเจ้าในสมัยนั้น



    จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่เขาคูยุนต์ยิค ได้พบจารึกดินเหนียวจำนวน 12 แผ่น ซึ่งจารึกมหากาพย์กิลกาเมชเอาไว้เป็นภาษาอัคเคเดียนโบราณ คาดว่าจารึกเหล่านี้มาจากห้องสมุดของพระเจ้าอัสเซอร์บานิปาลอันเป็นกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย แต่จารึกขึ้นในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี เป็นฉบับที่คัดลอกมาจากฉบับออริจินอลอีกทีนึงครับ มหากาพย์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากยุคสมัยของชาวสุเมเรียน กลุ่มชนลึกลับผู้อ้างตัวเป็นทายาทของพระเจ้าจากอวกาศ ผู้รู้จักการคำนวณเลขสิบห้าหลักและมีความรู้ด้านดาราศาสตร์อย่างน่าพิศวง เรื่องราวโดยย่อของมหากาพย์กิลกาเมชมีดังนี้ครับ


    [​IMG]



    แผ่นแรก
    กล่าวถึงวีรบุรุษกิลกาเมชสร้างกำแพงเมืองรอบอูรุค และพระเจ้าผู้ประทับในวังที่มีองครักษ์ศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบ กิลกาเมชเป็นวีรบุรุษเลือดผสมครับ เขามีเชื้อสายของพระเจ้าอยู่สองในสามและที่เหลือเป็นสายเลือดของมนุษย์ (ชวนให้นึกถึง Valkyrie Profiles ที่ว่าด้วยโอดินซึ่งมีสายเลือดครึ่งมนุษย์-ครึ่งเอลฟ์ และเลเนธผู้ย้ายวิญญาณเข้าในร่างของโฮมันคิวลัสยังไงพิกลนะครับ) นอกจากนั้นก็กล่าวถึงความงาม พละกำลังและความสามารถต่างๆของเขา เรื่องราวในแผ่นแรกเต็มไปด้วยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์



    แผ่นที่สอง
    กล่าวถึงเอ็นกิดู ผู้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระแม่แห่งสวรรค์ อารุรู ในมหากาพย์นี้บรรยายเรื่องราวของเอ็นกิดูไว้อย่างละเอียด ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยขน นุ่งผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ กินหญ้าและดื่มน้ำบ่อเดียวกับวัวควาย เมื่อกิลกาเมชผู้ครอบครองเมืองอูรุคได้ทราบเรื่องราวของเอ็นกิดู เขาได้ส่งหญิงงามนางหนึ่งเพื่อล่อให้เอ็นกิดูแยกตัวออกจากวัวควาย และก็ได้ผลดังคาด (อืม... อุบายหญิงงามนี่ได้ผลทุกยุคทุกสมัยเลยนะครับ) เอ็นกิดูหลงรักหญิงงามครึ่งมนุษย์ครึ่งพระเจ้านางนั้นมาก หากมองข้าม theme แนวอีโรติคอย่างที่เว็บมาสเตอร์อย่างผมชอบไป จะเห็นได้เลยครับว่า ตำนานโบราณเน้นเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์เป็นพิเศษ นี่เป็นนัยแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งไหมครับว่า การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างครึ่งพระเจ้าและครึ่งสัตว์ เป็นเรื่องที่พิเศษมากในสมัยนั้น



    แผ่นที่สาม
    กล่าวถึงกลุ่มหมอกควันจากระยะไกล เสียงสวรรค์คำรณ แผ่นดินไหว และเรื่องราวของสุริยเทพกับกิลกาเมช มีรายละเอียดน่าสนใจมากๆในตอนที่สุริยเทพตรงเข้ามาจับเอ็นกิดูด้วยปีกและกรงเล็บอันทรงพลังมหาศาล รายละเอียดกล่าวถึงเอ็นกิดูผู้รู้สึกแทบทนทานไม่ได้ เมื่อสุริยเทพผู้มีน้ำหนักราวกับตะกั่วโถมทับลงบนร่างของเขา ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงคำเปรียบเปรยนี่แหละครับ คนโบราณเค้ามีความรู้ในวิชากลศาสตร์ดีจริงๆ เพราะขณะที่วัตถุมีความเร็วสูงเมื่อต้องการหยุดจำต้องใช้แรงมหาศาล การเปรียบเปรยเรื่องของเอ็นกิดู ทำให้มองภาพนี้ชัดเจนขึ้น และเป็นที่พิศวงของคนยุคใหม่อย่างเราๆท่านๆครับ



    ข้ามไปแผ่นที่ห้าครับ เป็นการเล่าถึงการเดินทางเข้าพบพระเจ้าของกิลกาเมชกับเอ็นกิดู เขาเดินทางมาถึงตำหนักของเทวีเออร์นินิส ลูกธนูและอาวุธที่เขายิงใส่ยามกระเด็นกลับออกมา โดยที่ยามผู้อารักษ์ตำหนักมิได้ระคายเคืองแม้แต่น้อย ทันใดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า




    "จงกลับไป ไม่มีผู้ใดที่สามารถขึ้นเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งที่มีชีวิต ผู้ได้ยลพระพักตร์ของพระเจ้าจะต้องตาย"




    ผู้เห็นโฉมหน้าของพระเจ้าต้องตายงั้นรึ... ทำไมถึงได้บังเอิญไปตรงกับข้อความในไบเบิล ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในเอ็กโซดัสที่กล่าวว่า "เจ้าไม่อาจเห็นหน้าเรา ไม่มีใครเห็นเราแล้วจะยังมีชีวิตอยู่" ล่ะครับ? บังเอิญ จงใจ เจตนา หรือว่าอะไรกันแน่?


    แผ่นที่เจ็ด นี่เด็ดสุดครับ เพราะกล่าวถึงประจักษ์พยานที่ได้ท่องไปในห้วงอวกาศ เป็นตอนคลาสสิคที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศชอบยกมากล่าวอ้าง นั่นคือเอ็นกิดู ผู้บินอยู่สี่ชั่วโมงในกรงเล็บของอินทรีโลหะ และต่อไปนี้คือเรื่องราวของเขาครับ


    [​IMG]


    ชามข้าวโอ้ตของเอ็นกิดูครับ หึ หึ หึ..






    พระองค์ตรัสกับข้าว่า

    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร

    แผ่นดินเหมือนภูเขา และทะเลเหมือนทะเลสาบ

    อีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก

    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร

    โลกเหมือนสวน และทะเลเหมือนร่องน้ำ

    เมื่อบินขึ้นไปอีกสี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ตรัสกับข้าอีก

    มองแผ่นดินเหมือนอะไร มองทะเลรู้สึกอย่างไร

    แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว

    ... คุณพระคุณเจ้า จากข้อความข้างต้น มีจุดน่าสนใจอยู่ที่จินตนาการของผู้รจนามหากาพย์ ช่างใกล้เคียกับความเป็นจริงเอามากๆเลยครับ ท่อนสุดท้ายที่ว่า แผ่นดินเหมือนข้าวโอ้ตต้มกับนม และทะเลเหมือนน้ำข้าว แสดงถึงความรู้เกี่ยวกับสัณฐานของโลกว่าเป็นทรงกลมเหมือนเรามองชามข้าวต้มจากเบื้องบน และการมองโลกจากชั้นบรรยากาศก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆเสียด้วยสิครับ



    จารึกแผ่นอื่นๆผมขอข้ามไปนะครับ คัดมาเล่าเฉพาะจุดที่น่าสนใจจริงๆ ถ้าสนใจหา d/l มาอ่านกันได้ บนเน็ตมีเยอะแยะเลยที่แปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยาวมาก กำลังอ่านสนุก แล้วท่านจะได้พบบางตอนที่น่าสนใจ เช่น ประตูที่พูดได้ลักษณะเหมือนประตูในฐานทัพใต้ดินที่มีอินเตอร์คอม อ้อ ใน แผ่นที่แปด เอ็นกิดูผู้เห็นโลกจากชั้นบรรยากาศตายลงเพราะโรคลึกลับ กิลกาเมชถามพระเจ้าว่า เขาอาจตายเพราะสูดอากาศเป็นพิษบนสวรรค์ไปหรือไม่? ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าที่ไหนคือสวรรค์ หากว่าหมายถึงสถานีอวกาศหรือดาวเคราะห์บริวารสักดวงแล้ว ด้วยบรรยากาศที่มีอัตราส่วนของธาตุที่แตกต่างจากโลกเรา เป็นไปได้ว่าเอ็นกิดูอาจตายเพราะร่างกายปรับสภาพไม่ทันก็เป็นได้



     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG] ตอนที่ 4 มหาภารตะ



    ยิ่งศึกษาลึกลงไปในตำนานของชนชาติต่างๆแล้ว หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณยิ่งเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ นิยายปรำปราของชาวเอสกิโมแห่งดินแดนหิมะกล่าวว่า พวกเขาเมื่อก่อนไม่ได้ตั้งรกรากอยู่แถบนี้ หากแต่เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งแรกโดยพระเจ้าเป็นผู้พามา เดินทางบนวิหคโลหะที่มีปีกเป็นทองเหลือง ตำนานของชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกาเล่าว่า วิหคสายฟ้า(Thunder Bird) เป็นผู้สนวิธีการใช้ไฟและปลูกพืชให้กับพวกเขา ส่วนชนชาวมายานั้นเล่าครับ พวกกล่าวถึงพระเจ้าผู้หยั่งรู้ทุกสิ่ง มีความรู้ครอบคลุมห้วงจักรวาล หลักฐานก็คือ พวกเขารู้จักเข็มทิศและสันฐานของโลกซึ่งเป็นทรงกลม!!




    เรื่องเหล่านี้เป็นความบังเอิญหรือครับ? สมควรมองข้ามหรือครับ?




    ทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาวมายาเป็นชนโบราณที่ฉลาด มีอารยธรรมสูงแต่มีความลึกลับที่แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถคลี่คลายให้กระจ่าง วัฒนธรรมของชาวมายามีความขัดแย้งในตัวค่อนข้างมาก เป็นต้นว่า เมื่อเราพิศดูปฏิทินของพวกเขา จะเห็นว่าชาวมายามีความรู้ทางดาราศาสตร์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้ว่าปีหนึ่งของดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน และคำนวณระยะเวลาหนึ่งปีของโลกได้เท่ากับ 365.2420 วัน (ตัวเลขปัจจุบัน 365.2422)



    ปีดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน หารด้วย 73 ได้ 8

    ปีของโลกเท่ากับ 365 วัน หารด้วย 73 ได้ 5

    ปีของดวงจันทร์เท่ากับ 260 วัน


    ซึ่งการคำนวณปีในที่นี้คิดจากการโคจรรอบโลกโดยใช้โลกเป็นศูนย์กลาง และปีที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนั้น ชาวมายาเรียกว่าปีของดวงอาทิตย์ ไม่ได้คำนวณแบบลอยๆด้วยครับ ชาวมายามีความสามารถในการถอดตัวเลขที่น่าทึ่งมากทีเดียว



    ดวงจันทร์ 20 x 13 x 2 x 73 = 37,960

    ดวงอาทิตย์ 8 x 13 x5 x 73 = 37,960

    ดาวศุกร์ 5 x 13 x 8 x 73 = 37,960

    เนื่องจากจำนวนปีทั้งสามเป็นชนิดของตัวประกอบของ 37,960 ซึ่งชาวมายาถือว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับลงมาเยือนโลก...


    ส่วนชาวอินคา ลูกหลานของสุริยเทพนั้นเล่าครับ พวกเขาเชื่อว่าดวงดาวทั้งหลายในห้วงจักรวาลนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ และพระเจ้าของพวกเขาเสด็จมาจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งตรงกับความเชื่อของ ชาวสุเมเรียน อัสซีเรียน บาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งล้วนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากดาวดวงอื่น สร้างอารยธรรมของพวกเขา และเดินทางกลับห้วงฟ้าอันยาวไกลด้วยเรือไฟที่มีอาวุธน่ากลัว พร้อมคำสัญญาที่ว่า สักวันพระเจ้าจะกลับมาพร้อมนำเอาความอมตะกลับมาให้




    [​IMG]



    โอเคครับ สำหรับผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆบางท่านอาจมองว่านี่เป็นเพียงจินตนาการน่ะนะครับ แต่จินตนาการส่วนหนึ่งนั้น น่าจะมาจากสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าท่านลองจินตนาการถึงอะไรซักอย่าง ก็แน่นอนว่า ท่านคงอดดึงสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาพัวพันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มหาภารตยุทธ หรือ มหากาพย์มหาภารตะอันเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่มากของอินเดียโบราณ เก่ากว่าไบเบิลเสียอีก ได้บรรยายถึงสิ่งแปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากจินตนาการของมนุษย์เพียวๆ เป็นต้นว่า อาวุธที่ทำให้ทั้งประเทศแห้งแล้งไปถึง 12 ปี และยังสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องแม่...




    ในรามายณะหรือรามเกียรติ์มีตอนที่กล่าวถึงวิมานะ อันเป็นยานที่บินได้ สามารถบินไปในห้วงอวกาศด้วยปรอทและลมขับดัน (เครื่องแบบไอพ่น?) วิมานะบินได้เป็นระยะทางไกลๆ สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างบนและข้างล่างได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของยานอวกาศประเภทหนึ่ง ด้านล่างนี้เป็นบทความตัดตอนมาจากหนังสือรามายณะที่แปลโดย เอ็น ดัตต์ ครับ




    "ครั้นพระรามมีบัญชา วิมานะก็เคลื่อนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลาย"




    แปลกใจจังครับ ว่าทำไม๊ทำไมรถศึกสมัยโบรารชอบเคลื่อนที่ด้วยเสียงดังกันจัง นี่เป็นอีกตอนในมหาภารตะครับ กล่าวถึงรถศึกของภีมะ



    "ภีมะเหาะขึ้นฟ้าด้วยวิมานะอันมีแสงแรงกล้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ และมีเสียงดังราวท้องฟ้าขณะบังเกิดฝนฟ้าคะนอง"



    จินตนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดก็จริงครับ แต่มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นหรือแบบอย่าง แล้วสมัยมหาภารตะนั้น เอาแบบอย่างของจรวดที่มีแสงและเสียงมาจากไหน แล้วทำไมเป็นจินตนาการที่ตรงตามหลักวิชาการสมัยใหม่ได้ขนาดนี้ ไม่สงสัยกันบ้างหรือครับ?

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG] ตอนที่ 4 มหาภารตะ(ต่อ)



    เรื่องของวิมานะ, วฤกษี, อังคหัสฤ์, คัมภีร์วิมานิกะศาสตรา หรือ โทรณะปารวะ ผมและน้องโอเคยเล่าไปแล้วใน อากาศยานแห่งภารตะยุค และ Vimana Revisited สนใจใคร่ทราบก็คลิกอ่านรายละเอียดกันเองนะครับ หรือถ้าต้องการอ่านเรื่องของมหาภารตะยุทธฉบับอ่านสนุก ลองซื้อต่วย'ตูนพิเศษมาอ่านกันเล่นๆ รู้สึกสองสามเดือนนี้มีคอลัมน์ที่ว่าด้วยมหาภารตะยุทธโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับมือใหม่ครับ ส่วนที่จะเอามาเล่าซ้ำก็คือ สภาค้นคว้าทางภาษาสันสกฤตที่ไมซอร์ ประเทศอินเดีย ได้แปลข้อความในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตที่กล่าวถึง

    [​IMG] ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก

    [​IMG] กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว

    [​IMG] วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู

    [​IMG] การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม

    [​IMG] การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู

    [​IMG] กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน

    [​IMG] การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ

    โดยตำราโบราณเล่มนี้มีทั้งหมด 31 บท อธิบายเรื่องราวและการสร้างยานบินชนิดนี้อย่างละเอียด รวมทั้งกล่าวถึงโลหะที่ใช้ในการสร้างทั้ง 16 ชนิด เป็นโลหะที่เรารู้จักกันเพียงสามชนิด ที่เหลือยังไม่รู้จักหรือแปลกันไม่ได้ครับ


    [​IMG]
    นอกจากนั้นวิมานะในมหาภารตะยังถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่บินได้กับบินไม่ได้ ในตอนต้นของมหากาพย์กล่าวถึงนางพรหมจารีย์กุนตี ซึ่งได้เสียกับพระอาทิตย์และให้กำเนิดบุตรชายที่เปล่งรัศมีได้เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ นางกุนตีกลัวจึงนำเด็กไปใส่ตะกร้าหน้าเซเว่น.. เอ๊ย..ลอยตามแม่น้ำไป อธิรตาอันเป็นคหบดีแห่งเมืองสุตามาพบเข้าจึงนำมาชุบเลี้ยง



    จะว่าไปก็คล้ายกับประวัติของศาสดาพยากรณ์โมเสสนะครับ นอกจากนี้มหากาพย์เรื่องนี้ยังมีครึ่งเทพ-ครึ่งมนุษย์อันเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ทำนองเดียวกับมหากาพย์กิลกาเมชเต็มไปหมด เช่น อรชุน ผู้ต้องเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อพบกับพระเจ้าและขอให้พระเจ้าประทานอาวุธในการทำศึกให้ ระหว่างการเดินทางอรชุนพบกับพระเจ้ามากหน้าหลายตา นอกจากนั้นอินทราเทพยังพาเขาท่องเที่ยวบนท้องฟ้า ในทำนองเดียวกับการเดินทางของเอ็นกิดูในมหากาพย์กิลกาเมชอีกด้วย



    นอกจากนั้นยังมีข้อความอีกหลายตอนที่กล่าวถึงสงครามที่รบกันด้วยเทคโนโลยีใกล้เคียงกับปัจจุบัน เช่นอาวุธที่คอยติดตามฆ่าผู้ที่มีโลหะติดอยู่กับตัว เป็นอาวุธที่ทำให้ผมร่วงและเล็บหลุด มันจะปนเปื้อนจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างซีดขาว อ่อนกำลัง อืมห์... ลักษณะเหมือนคนถูกกัมมันตภาพรังสีเลยว่าไหมครับ


    [​IMG]



    ในมหาภารตะบทที่แปดยังกล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่ โดยกุรคาทำการบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษระเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...



    "ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน" : โทรณะปารวะ ฉบับพิมพ์ปี 1889



    อ้อ... สำหรับผู้สนใจวิมานิกกะศาสตรานะครับ ลองๆอ่านรายละเอียดดูได้ที่นี่ แต่อาจจะปวดหมองหน่อยกับคำอ่านภาษาแขก เพราะพอเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางทีเราอ่านไปคนละอย่างเลยก็มี ฮึ ฮึ..








    [​IMG] บทส่งท้าย



    เมื่อเฮลิคอปเตอร์ของทหารร่อนลง ณ หมู่บ้านในอาฟริกา ชาวพื้นเมืองพากันตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงเครื่องยนตร์ นักบินที่แต่งตัวเต็มยศและถือปืนกลเข้าเคลียร์พื้นที่ ทำให้ชาวป่าเหล่านั้นคิดว่านักบินและผู้ติดตามมาจากสรวงสวรรค์ และต่อมาเฮลิคอปเตอร์ได้บินหายขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขากลับมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง ว่าพบกับนกเหล็กของพระเจ้าที่มีเสียงคำราณปานฟ้าถล่ม และพระเจ้าผิวขาวผู้ถืออาวุธไฟ หลังจากผ่านการบอกเล่าปากต่อปาก ขนาดของนกเหล็กก็ใหญ่และพิศดารขึ้นทุกที พระเจ้าก็ดูพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที แต่ความจริงที่ยังคงอยู่ก็คือ มีเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดพร้อมกับทหารที่ถือปืนกล



    สักวันที่อารยธรรมของมนุษย์เกิดพังพินาศลง อาจจะด้วยสงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือจะด้วยอะไรก็ตามที เมื่อกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป มนุษย์ที่เหลือจากภัยพิบัติเริ่มก่ออารยธรรมชึ้นมาใหม่ จนกระทั่งเจริญก้าวหน้าพอที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า กาลเวลาได้ทำลายหลักฐานที่เคยมีอยู่จนเป็นฝุ่นผงเสียนานแล้ว



    แต่มนุษย์ในยุคใหม่ก็อาจศึกษาอารยธรรมยุคของพวกเราด้วยการศึกษาวัฒนธรรมและประเพณี ตำนาน หรือหนังสือเก่าๆหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้น นักโบราณคดีจะสรุปว่า มนุษย์ในสมัยศตวรรษที่ 20 ไม่รู้จักใช้เหล็ก เพราะพวกเขาไม่พบเหล็กในสภาพที่เป็นโลหะไม่ว่าจะขุดลงไปซักเพียงไหน หากมีการพบกับดักรถถังในบริเวณชายแดนรัสเซียที่ทำด้วยคอนกรีต มีการพบแนวกำแพงเบอร์ลิน พวกเขาจะอธิบายว่าเป้นเส้นทางคมนาคมที่มนุษย์โบราณสร้างขึ้น ถ้าพวกเขาพบเทปหรือแผ่น CD เขาจะอธิบายไม่ได้เลยว่ามันคืออะไรและมีไว้ทำไม มนุษย์ในอนาคตจะพบกับปัญหาทำนองนี้มากมาย หนังสือเก่าๆที่กล่าวถึงนครใหญ่และตึกระฟ้ากลายเป็นเรื่องเหลวไหล นักสำรวจบางชุดอาจขุดพบทางรถไฟใต้ดิน และพวกเขาจะอธิบายว่ามันคือระบบระบายน้ำอันน่าพิศวงของคนโบราณ อาจจะมีนิยายปรำปราที่กล่าวถึงคนบินข้ามทวีปด้วยนกยักษ์ และการสู้รบด้วยด้วยเรือไฟที่สามารถวิ่งบนฟ้า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียตำนาน ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ เพราะคนโบราณต้องไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด



    ...เทียบกับยุคปัจจุบันแล้วเป็นไงครับ?

    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center><TBODY><TR><TD>"แม้ว่าพระเจ้าจะอธิบายให้ชนพื้นเมืองฟังว่า โลกนี้ไม่มีพระเจ้า พวกเขาเป็นเพียงนักท่องอวกาสจากดาวดวงอื่น บรรพบุรุษของเราก็คงไม่เชื่อ ดังนั้น พระเจ้าจึงต้องทำตัวเป็นพระเจ้าตลอดมา..."



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ---------------------------------------------------------

    คัดลอกมาจาก
    http://www.mythland.org/

    ---------------------------------------------------------
     
  5. ozzman

    ozzman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +246
    สุดยอดมากมายยยย !
    ขอบคุณมากสำหรับความรู้ ผมชอบแนวนี้ด้วย
     
  6. rahool

    rahool Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +59
    ผมเชื่อทฤษฎีที่ว่า มนุษย์ต่างดาวคือพระเจ้านะ แต่ก็ไม่ลบหลู่ พระเจ้าอาจจะเป็นพระเจ้าจริง มนุษย์ต่างดาวก็อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง
     
  7. lagus

    lagus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +155
  8. ทัสยุ

    ทัสยุ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอบคุณครับ อ่านเพลินดี
     
  9. Robert

    Robert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2005
    โพสต์:
    226
    ค่าพลัง:
    +3,118
    OH. คิดถึงสุดๆ นึกว่าจะพลัดพรากกันไป โดยไม่ได้เจอะเจอกันอีกแล้ว

    ดีใจมากมากที่นายกลับมา ฮิฮิ
     
  10. lunasea

    lunasea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +433
    ดูดไว้อ่านแล้ว ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...