จัดการวัดห้ามไหว้พระ นำเสนอ ที่ประชุมมส.

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 28 กรกฎาคม 2008.

  1. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม (มส.)

    ท่านอธิบายได้ละเอียดได้ความรู้เพิ่มด้วยค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ
     
  2. อนันตาลัย

    อนันตาลัย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +13
    สอนเกินพระธรรมแล้วท่าน พระพุทธรุปถือเป็น เจดีย์ประเภทหนึ่ง ท่านนับถือพระพุทธเจ้าแต่ไม่นับถือ พระพุทธรูปก็ให้มันมีความพอดี อย่าสุดโต่งให้มันมากนัก แค่นี้ก็ไม่ใช่หนทางของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้เจริญจะทำกันแล้ว
     
  3. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ในคราวที่ผมไปกราบพระสงฆ์ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า "ช่วงนี้หลวงพ่อกำลังรับกรรมอย่างนึง หลวงพ่อพิจารณาว่าเป็นกรรมอะไรหนอ จึงรู้ว่าสาเหตุมาจากการที่หลายปีมาแล้วหลวงพ่อเดินถือพระแก้ว แล้วก็ทำพระตกแตก หักเป็นสองท่อน หลวงพ่อก็นำมาต่อกันใหม่ แต่ปรากฏว่าผลกรรมนั้นทำให้หลวงพ่อปวดสีข้างและซี่โครง มาเป็นระยะเวลานานแล้ว"

    ท่านก็บอกว่าเรื่องของรูปเคารพของพระพุทธเจ้า นี่ต้องระวัง ถ้าเราทำแตกหัก แม้ไม่ตั้งใจก็ยังเป็นกรรม ถือว่าเป็นผู้ทำลายรูปเคารพของพระพุทธเจ้า จึงต้องรับกรรม อย่างที่หลวงพ่อเป็นอยู่ตอนนี้แหละ เรื่องกรรมนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
     
  4. คนตาบอด

    คนตาบอด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +42
    บางสิ่ง ต้องอาศัย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ และสุดท้ายก็ ไม่แบกสิ่งที่ต้องอาศัย วางแล้วก็เดินจากไป..

    คนที่เข้าใจความหมาย ในสิ่งนี้ คงจะเข้าใจกันได้หลายแบบตาม สติปํญญา ของแต่ละคนแต่ละท่าน..

    การที่พระพุทธองค์ ท่านสอนให้ถอนการยึดมั่นถือมั่น ต่อสิ่งใดทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนาม อันมีอยู่ในโลกนี้ แต่การที่คนคนหนึ่งจะถอนการยึดมั่นถือมั่นนั้น เข้าใจไหมว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร....

    พระพุทธองค์ท่านสอนให้ละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง รวมแล้วคือขันธ์ 5 นั้น ท่านสอนให้ละทำไม เหตุใด ต้องละ.

    สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่มีปัญญา เข้าใจถ่องแท้ เท่านั้นที่จะสามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจน...


    แต่สำหรับ ผู้ไม่รู้ ไม่เคยศึกษาเลย ไม่เคยรู้เลยว่าศาสนาพุทธนั้น สอนเกี่ยวกับอะไร ต้องเริ่มต้นยังไง เราจะมีวิธีการสอนให้เขารู้จักศาสนาพุทธ และคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร...

    ลองเริ่มนึกตามแล้วกัน

    1. สร้างสถานที่ในการศึกษาในธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมา(วัดวาอาราม)

    2. เขียนคำสอน ข้อวัตรปฎิบัติ ที่พระอรหันตสาวก ได้เรียบเรียงเอาไว้ ซึ่งเป็นคำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าล้วนๆ(พระไตรปิฎก)

    3. จะสร้างสิ่งใดหนอ ให้เขาเหล่านั้น มองมาเห็นแต่ไกลว่า สถานที่นี้ เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมของชาวพุทธ(พระพุทธรูป โบสถ์วิหาร ศาลา โรงทาน ฯลฯ)

    4.สิ่งที่เราสามารถจะทำให้คนที่เริ่มศึกษาธรรมะนั้น ได้ยึดเหนี่ยว ทางกาย และทางใจ.(หนังสือธรรมะ รูปภาพ ตลอดทั้งพระพุทธรูป ไม่ว่าจะองค์ใหญ่ องค์เล็ก หรือวัตถุสิ่งของอย่างอื่นที่ใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวในคราวที่ประสบความทุกข์ เพื่อให้ได้สติ สัมปชัญญะ แก้ไขด้วยปัญญา ไม่ขาดสติ)

    สิ่งเหล่านี้แล ที่เราใช้เป็นบันได ก้าวไปสู่ จุดที่สิ้นสุด แห่งความทุกข์ เมื่อเราหมดทุกข์แล้ว เราก็ไม่อาลัย อาวรณ์ในสิ่งที่เราอาศัย เมื่อสิ่งนั้น แตกสลายไป
    ตามหลัก ไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และก็ไม่มีตัวตนแท้จริง


    บุคคลไม่มีที่พึง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางกายและทางใจ บุคคลนั้นย่อมแปรปรวน ตลอดเวลา เปรียบเสมือนวัดไม่มีภิกษุ โบสถ์วิหารไม่มีองค์พระประธาน หมู่บ้านไม่มีผู้นำ ประเทศไม่มีผู้ปกครอง

    บุคคลที่มองเห็นนามธรรมนั้นมีน้อยนัก แต่บุคคลมองเห็นรูปธรรม มีมากมาย
    คำสอนของพระพุทธองค์ ทุกคำล้วน ตื้นๆไม่ลึก ง่ายต่อการเข้าใจ แต่สำหรับผู้ไม่เคยศึกษาแล้ว ย่อมไม่เข้าใจ ฉะนั้น ก่อนจะกล่าวคำใดออกมา ควรที่จะพิจารณาให้ถ่องแท้ ไม่เกิดโทษต่อตนเองและผู้อื่น บางครั้งบุคคลที่ไม่รู้ ก็ทำกรรมหนักได้ เพราะความไม่เข้าใจ ในคำสอนของพระพุทธองค์ ดังเช่น ที่มีพระเข้าใจผิด ในเรื่องการเบื่อหน่ายต่อร่างกาย แล้วมีการจ้างให้พวกนอกศาสนาฆ่าตนเอง เพราะการแปลความหมายที่ผิดๆๆ

    คำสอน่ของพระพุทธองค์ จะมีความหมายในตัวอย่างแท้จริงอยู่แล้ว ควรพิจารณาให้ดี ...
     
  5. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านเคยสอนผมว่า "สร้างพระ ถวายพระ ก็ได้ความเป็นพระ" ท่านบอกว่า ความเป็นพระไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อภายนอก แต่อยู่ที่ภายใน ท่านเน้นย้ำเสมอว่า คนเราสำคัญที่ภายใน มาพิจารณาดูก็จริงของท่าน ปฏิบัติไปปฏิบัติมา ก็ถึงบางอ้อ

    อย่างที่เห็นชัดเจนก็เมื่อสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เสร็จนี่แหละ ไปไหนมาไหนก็มีบารมีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์คุ้มครอง อธิษฐานทุกครั้งญาณบารมีท่านก็รับเสมอ

    และที่น่าอัศจรรย์อีกอย่างนึงคือ พระนั่งเรียงกันอยู่ 5 พระองค์นั้น ในคราวที่จัดงานสมโภชน์ถวายพระเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่ามีคนถ่ายภาพออกมามีพระเป็น 6องค์ (เพิ่มขึ้นมา 1องค์) เมื่อถามผู้รู้ ท่านบอกว่าพระองค์ที่เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นพระของผู้สร้าง ซึ่งสิ่งที่ท่านบอกนั้น ผมก็ตีความว่า "ผู้สร้างพระ ถวายพระ ก็ได้ความเป็นพระ" ตามที่หลวงปู่ท่านบอกนั่นเอง ก็ถือว่าเป็นทางลัดแบบนึง เพราะผู้ที่จะบรรลุธรรมนั้นต้องได้/ถึงความเป็นพระ โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ตามลำดับ

    ผมเคยถามหลวงปู่เทพโลกอุดรว่า มีพระท่านสอนให้เบิกบุญ แต่ครูบาอาจารย์สอนให้ผมสั่งสมบุญบารมี อย่างนี้ผมจะเบิกบุญของผมมาใช้ได้ไม๊เนี่ย หากคนอธิษฐานเบิกบุญกันหมด แล้วเมื่อไหร่จะสั่งสมบุญบารมีให้ถึงพร้อมด้วยบารมี 10 ที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้หลุดพ้น หลวงปู่ท่าน หัวเราะ แล้วก็บอกว่า เรื่องนี้พูดยาก อาตมานี่ทำบารมีอย่างเดียว ก็ไม่ต่างกันกับโยมหรอก

    บางครั้งผมก็สงสัยเรื่องการสวดมนต์แล้วจะทำให้รบกวนจิตวิญญาณบางจำพวก เท่าที่ศึกษามาก็ทราบว่ามีมนต์บางบท ที่เป็นธาตุร้อน ถ้าเราสวดมนต์ไม่ถูกที่ถูกเวลาก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลังจากผมทราบว่ามนต์บทใดเกิดธาตุร้อนสำหรับจิตวิญญาณบางจำพวก เมื่อผมจะสวดมนต์บทนั้น ก่อนสวดก็จะอธิษฐานขอให้เป็นพลังเย็น ทีนี้สบายเลย

    แต่มนต์หรือคาถาส่วนใหญ่ ความหมาย เป็นการบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ และ เทพเทวดาต่างๆ หากไปรบกวนใครเข้า สิ่งเหล่านั้นก็คงจะไม่ใช่พวกที่เคารพ พระรัตนตรัย ก็ถือว่าเป็นคนละพวกกันกับเรา มนต์หรือคาถาหลายบท เป็นภูมิคุ้มกันภายในของคนเราได้เป็นอย่างดี ครับ

    สำหรับการละ-เลิก ในด้านต่างๆนั้น บางครั้งเป็นธรรมเฉพาะของผู้ปฏิบัติแต่ละคนไป ถ้าเราอยู่ในขั้นสะสมบารมี แต่บางท่านอาจจะสะสมบารมีมาเพียงพอแล้ว ท่านก็อยู่ในขั้นที่กำลังละ สองพวกนี้ก็จะคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะมันสวนทางกัน

    อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ของผมท่านสอนว่า สั่งสมบารมีให้ถึงที่สุด ให้มีจนเบื่อหน่าย มันก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้ละไปในที่สุด ถ้ายังไม่มีก็ปฏิบัติให้มี เมื่อมีจนเบื่อก็จะละได้เอง ท่านบอกว่าเมื่อสั่งสมบุญบารมีจนถึงที่สุด บุญบารมีนั้นก็จะเป็นเหตุปัจจัยผลักดันให้บรรลุธรรมไปโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นไม่อยากบรรลุธรรม ก็ต้องบรรลุเพราะว่าเหตุปัจจัยมันมาถึง

    เมื่อพิจารณาแล้วก็เป็นจริงตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก พระพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาแล้วมากมาย เช่น ในชาติที่ท่านใช้ชาติแบบทุกข์เข็ญใจ ท่านก็ปฏิบัติจนมีหรือเกิดผล สมบูรณ์พูลสุข และ ในชาติที่ท่านมีเหลือเฟือท่านก็ละไปจนหมดไม่มีเหลือเช่นกัน ดังนั้นเท่าที่สังเกตดูพบว่า การทำบารมี(ภายนอก)นั้น ทำจากที่ไม่มี ให้มีปรากฏขึ้นมา และจากที่มีมากๆนั้น ก็ให้ละจนหมดเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2008
  6. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    ฆ่าเชื้อโรคไม่บาปหรอก

    พวกเชื้อโรค มันเกิดครั้งเดียวแล้วตายครั้งเดียว มันไม่มีภพภูมิหรอก

    พวกเชื้ออสุจิ เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พวกแบคทีเรีย
    ( พวกนี้เกิดทีเดียวแล้วก็ตายไปเลย)

    พระที่เคยสอน วิชาพระพุทธศาสนาเคยสอนให้ฟังตั้งแต่อยู่ม.ต้น ว่า
    พวกที่เกิดแล้วดับก็มี เกิดแล้วเวียนว่ายตายเกิดก็มี

    ((( ไม่เข้าใจเหมือนกันเรียนตำราคนหล่ะเล่มกันเปล่า )))

    หลวงพี่ที่สอน ก็เรียนธรรมะที่มหาจุฬาลงกรณ์เลยนะ

    ท่านบอก"พวกเชื้อโรค ที่เกิดในเถ้าไคล้ เป็นพวกเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว"

    ส่วนเรื่อง อสุจิ เราคิดเอาเองนะ เพราะ เราคิดว่าถ้าเชื้อไวรัส มีภพภูมิ อสุจิก็ต้องมี ภพภูมิเหมือนกันเวลาแผ่เมตตาให้เชื้อไวรัส พวกผู้ชาย ควรจะแผ่ให้ตัวอสุจิที่ตายไปด้วย

    ความจริงเท่าที่เราพิจารณาตามหลักธรรมะที่เคยเรียนมานะ ตัวอสุจิเป็นสิ่งมีชีวิตแต่ไม่มีภพภูมิหรอก ไม่งั้นผู้ชายก็ทำบาปทุกวันสิ ถ้าบาปจริงๆต้องทำแท้ง จะทำแท้งตอนตั้งครรภ์อ่อน หรือ ครรภ์แก่แค่ไหนก็จัดว่าบาปหมด

    เชื้ออสุจิต้องผสมกับไข่ และมีวิญญาณมาร่วม เพราะถ้าไม่มีวิญญาณมาร่วมด้วยก็เกิดกำเนิดคนไม่ได้หรอก /// คนที่ร่างกายแข็งแรงดีทั้งผัวและเมีย
    แต่ไม่สามารถ มีลูกได้เพราะ ไม่มีวิญญาณดวงไหนที่บุญวาสนาทัดเทียม
    สมดุลย์กันกับพ่อ แม่พอดี เลยมาเกิดไมได้///ไม่ก็คนนั้นกรรมเยอะเลยไม่สามารถมีบุตร สืบสกุลได้

    ลองอ่านใน

    http://tarot.is.in.th/?md=product&ma=show&id=30
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2008
  7. olive36

    olive36 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +152
    อันนี้จริงนะคะ

    ตอนดิฉันเคยเจอผู้ชายทำของใส่ เวลาดิฉันเห็นรูปพระพุทธเจ้าในห้องจะกลัวมาก ต้องเอารูปไปซ่อน ผิดปรกติไปจากเดิมมาก

    เวลาเดินผ่าน ศาลที่มีพระพุทธรูปก็ไม่อยากเข้าใกล้ ต้องก้มหน้าหลบสายตาแล้วเดินหนีไป

    ตอนเข้าวัดก็ร้อน อยู่ไมได้ต้องออกมาข้างนอก

    พอทานน้ำมนตร์ก็ปวดท้องมากๆอ้วกออกมาเป็นเศษผม ก้อนดำๆ ทุกวันนี้เลยรู้แล้วว่า เราต้องเจอผีเข้าแน่ๆ

    เลยเอาพระมาไว้เต็มห้องเลย ยันตร์ต่างๆด้วย
    ปรากฏว่า ดีขึ้นไม่มี ผีมารบกวนเลย แล้วก็สวดมนตร์ทุกวัน
    ีถ้าเชื่อหลวงพ่อเกษม ป่านนี้คงเป็นเมียน้อยผู้ชายคนนั้นไปแล้ว
     
  8. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    สอบถามท่านก่อนนะ
    เพื่อไม่ให้ปามาสพระอริยะบุคคล
    แนวสอนของท่าน ก็ใช้ได้นะลองทำดู
     
  9. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    ถ้าจัดการพระอาจารย์เกษม ก็คงไม่่มีใครกล้าด่าพระด้วยกัน
    ที่สวดทุกวันๆ ว่าสละแล้ว แต่ในย่ามมีมือถือ มีสมุดบัญชีส่วนตัว วิ่งหายศ

    สำนักท่านก็อยู่ไกล ทุรกันดารแท้ๆ ไม่มีความสวยงามอะไรเลย แต่คนก็ยังไปกราบ
    คนลำบาก(จากกรุงเทพก็ยังมี) ท่านก็ให้ข้าวสาร อาหารกลับบ้าน กฐิน ผ้าป่าไม่รับเพราะ
    ของเกินความจำเป็น ที่มีอยู่มากท่านก็ให้บริจาคต่อ ของแบบนี้ ไม่มีคนพูด

    จำได้ว่ามีเรื่อง วาดภาพ เปรียบเทียบ พระสงฆ์กับอีกา ท่านกลับไม่ได้ด่าคนวาด เราเดือดแทนพระ ท่านกลับไม่ถือสา บอกว่าเตือนพระไม่ดี เป็นหน้าที่พุทธศาสนิกชน
    ที่เวป samyak เปิดใจอ่านดูเอง แต่คงยากสำหรับหลายๆคน
     
  10. Raksa_P

    Raksa_P สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +8
    เห็นด้วยกับคุณ MarkZilla ค่ะ รู้สึกเป็นห่วงทุกท่าน ทุกฝ่าย ขออำนาจของพระรัตนตรัย จงบันดาลให้เหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ควรจะเป็นไปตามวิถีพุทธศาสนาค่ะ ขอให้ผู้ที่มาเกี่ยวข้องทุกท่าน มีสติปัญญาในการคิด การพูด การกระทำ ด้วยค่ะ
     
  11. harn2002

    harn2002 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +2
    ครับผมเท่าที่ทราบมาหลวงพ่อเกษม ท่านเป็นพระปฏิบัติดีครับ
    ไม่ยึดติดในสิ่งของ เงินทอง และท่านเป็นพระที่พูดจาโผงผาง เสียงดัง
    ที่ท่านเขียนป้ายใว้ยังงั้น ท่านน่าจะเจตนาไปในทางที่ว่าไม่ให้ยึดติดในสิ่งของ รูปลักษ์ที่เห็น ให้ยึดใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากกว่า
    แต่ท่านใช้คำที่แรง เลยทำให้คนที่เห็น และอ่าน รู้สึกไม่ดีกับคำที่ท่านเขียน
    โดยส่วนตัวผม เมื่อเห็นในหนังสือพิมพ์ก็รู้สึกไม่ดีนะ เมื่อเห็นข้อความนั้น เพราะเราชาวพุทธเมื่อไปวัด ทำบุญ เข้าไปในโบสถ์ที่ต้องทำอย่างแรกคือ ไหว้พระประธาน ในโบสถ์
    ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ทำอยู่ เมื่อได้ไปทำบุญที่วัด
    แต่อยากจะเตือนสมาชิกบางคนนะครับ อย่าปรามาสท่านเลยครับ เดี่ยวเราจะบาปเปล่าๆ
     
  12. จรัล

    จรัล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +405
    ตามความคิดของกระผมอาจารย์เกษมท่านไม่ผิดหรอกครับ คนที่กราบไหว้พระพุธรูปและสวดมนต์ไหว้พระก็ไม่ผิด ท่านอาจารย์เกษมเพียงแต่จะสอนให้คนไม่ยึด ไม่ติด ในเรื่องอื่นในสิ่งอื่นๆเว้นแต่ที่เป็นธรรมแท้ๆจริงๆ แต่วิธีการของท่านมันไม่ค่อยเป็นค่อยไป การปฏิบัติธรรมมันก็เหมือนกับการที่เราต้องเลี้ยงลูกอ่อนนั่นแหละครับ เด็กเกิดใหม่ก็ต้องห้ดพูด หัดยืน หัดเดิน ยังเด็กอยู่อาจจะกินอุจจาระปัสสาวะตัวเองบ้างเพราะเด็กมันไม่รู้เรื่องอะไร หัดยืนหัดเดินก็เหมือนกันอาจมีล้มลุกคลุกคลานหัวฟาดบ้าง พ่อแม่ก็ต้องคอยดูแลสั่งสอนกันไปเมื่อโตแล้ว รู้แล้ว เขาก็จะไม่เล่น ไม่กินอุจจาระปัสสาวะอีก เวลาเดินก็ไม่ต้องไปเกาะไปจับอะไรอีก ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกันผู้ที่เป็นพระโสดาบันหากไม่ได้บวชเป็นพระหรือไม่ได้ถือศืลแปดท่านก็ยังเสพกามอยู่ แต่เมื่อจิตของท่านมันเลยตรงนั้นไปแล้วถึงขั้นพระอนาคามีพระอรหันต์ก็ไม่ต้องไปบอกท่านหรอกว่าท่านเสพกามไม่ได้ ให้สวยกว่านางฟ้าพันเท่าท่านก็ไม่มอง ท่านรู้ท่านละเลิกได้ด้วยตัวของท่านเอง ท่านอาจารย์เกษมก็เหมือนกัน ควรจะใช้วิธิการชี้แจงชักนำสั่งสอนที่นุ่มนวลกว่านี้ เหมือนเช่นพระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าคนๆนี้ คนพวกนี้ คนที่มีความรู้มีปัญญาเพียงเท่านี้ จะต้องอบรมสั่งสอนอย่างไรจึงจะบรรลุธรรมได้ มันไม่มีใครผิดหรอกครับเป็นแต่เพียงความคิดเห็นและวิธีการที่แตกต่างกัน เหมือนกับที่ว่ากัน เถียงกัน เรื่องวิธีการปฏิบัติธรรมนั่นแหละครับ พุทโธบ้าง ยุบบ้างพองบ้าง สัมมาอาระหังบ้าง ไม่รู้ว่าจะเถียงจะว่ากันไปทำไม ต่างคนต่างก็ปฏิบัติไปซิ ของตัวเองดีอย่างไรก็ว่ากันมาให้รู้ เล่ากันไปให้ฟัง แต่ไม่ต้องไปว่าคนอื่นเขา ขอให้ทุกๆท่านเจริญรุ่งเรืองในธรรมครับ ความคิดเห็นของผมหากผิดพลาดก้าวร้าวล่วงเกินผู้ใดกระผมกราบขออภัยครับ
     
  13. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    พระแก้วมรกต (โดยพระอาจารย์มั่น)

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านพระอาจารย์มั่นพักที่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ
    หลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ-ภิเนษกรมณ์) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า
    "อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้"
    ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง
    เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต ท่านว่า
    "พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"
    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก
    และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว
    ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น
    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
    ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้

    อย่างนี้แล้วอย่าได้บอกเชียวว่าเป็นพระป่าสายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น
     
  14. tsilawanno

    tsilawanno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +69
    เอ่อ ! คือดิฉันไม่ได้เข้ามาเพื่อจะปรามาศใครหรอกนะค่ะ คืออยากถามว่า ถ้าทางวัดไม่ให้กราบไหว้บูชาพระพุทธรูป แล้วเวลาทำวัตรเช้า-เย็น หลังจากท่องบูชาคุณพระรัตนตรัยเสร็จ จะให้กราบอย่างไร กราบใคร เพราะโดยปกติเมื่อเราทำวัตรเช้า-เย็น หากอยู่วัดก็กราบพระประธานที่อยู่ในวัด ให้เสมือนท่านเป็นตัวแทนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกราบเราก็ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และถ้าอยู่ที่บ้านเราก็กราบพระพุทธรูปบนหิ้งพระ ถ้าไม่มีพระพุทธรูปให้เคารพแล้ว ทางวัดทำอย่างไรค่ะ ดิฉันแค่อยากจะรู้ไว้น่ะค่ะ สำหรับตัวดิฉันแล้วคิดว่า การจะมีพระพุทธรูปอยู่หรื่อไม่ ไม่ได้ทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าเสื่อมลงเลย เพราะไม่ได้ยึดถือ,ยึดมั่นกับวัตถุสิ่งของ แต่ก็คิดว่าหากไม่เคารพบูชาก็ไม่ควรหลบหลู่ดูหมิ่นหรือเขียนข้อความอันไม่สมควร ซึ่งสามารถตีความหมายไปได้หลายๆทาง ใดยที่ผู้เขียนอาจเจตนาอีกอย่างแต่ผู้อ่านตีความหมายไปอีกอย่าง ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธได้ หากเป็นไปได้ถ้าท่านไม่เขียนข้อความเหล่านั้นไว้ แล้วสอนญาติโยมและอธิบายให้เขาเข้าใจถึงเจตนารมย์ของท่าน เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น การแตกแยกในความคิดของชาวพุทธด้วยกันเองก็คงจะไม่เกิด ก็ขออนุโมทนาให้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วเทิด ก่อนที่เราทั้งหลายจะแตกแยกกันมากกว่านี้ค่ะ
     
  15. จักรพนธ์

    จักรพนธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +4,622
    พระอุปคุต เคยให้พญามารแปลงเป็นพระพุทธเจ้าเพราะพญามารเคยเห็นพระพุทธเจ้า

    แล้วพระอุปคุตก็กราบไหว้ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นร่างแปลงของพญมาร

    ท่านไหว้โดยจิตมุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้า แต่มิได้ไหว้พญมารฉะนั้น

    ฉะนั้นการกราบพระพุทธรูปโดยจิตมุ่งตรงต่อพระพุทธองค์

    เสมอเหมือนประหนึ่งกราบไหว้พระพุทธองค์ครั้งยังทรงพระชนม์อยู่

    จัดเป็นมงคลประการหนึ่ง คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชาครับ
     
  16. somostation

    somostation Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +60
    อยากให้เข้าใจว่าเป็น กุศโรบาย ทางการสอนธรรมมะ ไม่ให้ยึดติดกับวัตถุนะคับ อย่างที่เนื้อข่าว หลวงพ่อเป็นคนเสียงดังจิงๆ พูดตรงๆ อาจจะมีคนไม่พอใจท่านก็ได้ อยากให้ลองไปหาคำสอนท่านมาฟังดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจแล้วกัน ทุกคำที่ท่านสอนก็อยู่ในพระไตรปิฏกนะคับ มีเขียนไว้จิงๆ ไม่ได้คิดเองแต่งเอง เหมือนบางสำนัก หรือ บางท่าน ก็ไม่วิจารณ์แล้วกาน แต่อยากให้ศึกษากันก่อนจะวิจารณ์ โบราณท่านว่าไว้ ติฉินนินทาว่าร้ายพระสงฆ์ บาปหนักนะคับท่านทั้งหลาย ศึกษา ก่อน วิจารณ์นะคับ
     
  17. Jackkit10

    Jackkit10 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +0
    สำหรับเรื่องนี้ ผมว่าเราไม่ควรจะไปตัดสินและด่าทอท่านด้วยคำที่หยาบคาย เพียงเพราะว่าแนวความคิดและประสบการณ์ของเรา ที่เราคิดว่ามันควรจะเป็่นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามแรงกระแสของสังคม เท่าที่ผมอ่านข้อความดู ท่านเหมือนอยากจะเตือนสติไม่ให้เรายึดติดกับวัตถุ รวมถึงเครื่องรางของขลัง แต่การนำเสนอของท่านค่อนข้างจะรุนแรงทำให้คนส่วนใหญ่รับไม่ได้
    ก่อนที่เราจะวิจารณ์ท่านด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หรือแสดงความคิดเห็นต่างๆออกมานั้น ให้หยุดคิดเพียงสักนิดว่า ทุกวันนี้ที่เรากราบไหว้พระกันอยู่นั้น เราได้รำลึกถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันจริงหรือเปล่า พร้อมที่จะน้อมรับพระธรรมคำสอนมาปฏิบัติเพื่อผลแห่งความพ้นทุกข์และหลุดพ้น หรือกราบไหว้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ขอให้ท่านช่วยให้เราสมปรารถนาในเรื่องต่างๆ และที่ห้อยพระเครื่องต่างๆ นั้น เป็นไปเพื่อให้ความเคารพ บูชาครูบาอาจารย์ ระลึกถึงคำสั่งสอน และยึดมั่นในคุณงามความดี ตามที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกได้เพียรพยายามสั่งสอน หรือว่าท่านห้อยพระเพียงเพื่อต้องการความโชคดี และต้องการความคุ้มครองจากพระท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัย อยากให้ลองดูความเป็นไปในสังคมชาวพุทธบ้านเราว่า ขณะนี้ เราได้เบี่ยงเบนจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการกราบไหว้พระพุทธเจ้าไปเท่าไหร่แล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการเพียรกราบไหว้ แสดงตนว่าให้ความเคารพ แต่ไม่สามารถจะปฏิบัติได้แม้กระทั้งการรักษาศีล 5 ดั่งคำที่ท่านพุทธทาสภิกขุท่านว่า พระพุทธรูปบดบังพระพุทธเจ้า

    ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พระอาจารย์เกษม จะต้องทำลายพระพุทธรูปด้วยการฝังดิน หรือต้องติดป้ายห้ามไม่ให้กราบไหว้ แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่รุนแรง หรือปรามาสท่านแต่อย่างใด เพราะหากสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วไซร้ สัตว์โลกย่อมได้รับผลกรรมที่ได้ก่อไว้เสมอ
     
  18. nopam

    nopam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +1
    คิดผิดให้คิดแก้
    พูดผิดให้พูดแก้
    ทำผิดให้ทำแก้

    "พระรัตนตรัย" ย่อมไม่ใช่วัตถุทั้งหมดทั้งสิ้น
    หลวงปู่และพระวัดสามแยกเน้นให้ลูกศิษย์ทุกคน ศึกษาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีหลักฐานที่ค้นคว้าได้จริงๆ และมีอยู่แล้ว อันได้แก่ พระไตรปิฎก ให้ศึกษาตามนั้นเป็นสรณะที่แท้จริง ความรู้ตามพระไตรปิฎกนั้นเป็นทั้ง พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ที่นั่นครบถ้วนแล้ว หลวงปู่เกษมท่านก็อยู่ที่นั่นด้วยแล้ว ไม่ต้องไปแยกเอาออกมานับถือต่างหากจาก พุทธ ธรรม สงฆ์ หรือพระรัตนตรัย จะเห็นได้ว่า คำสอนของพระวัดสามแยก จะมีการหยิบยกเอาถ้อยคำในพระไตรปิฎก มาประกอบเสมอๆ ว่าเรื่องนั้น ตรงกับเรื่องในพระไตรปิฎก เล่มไหน หน้าไหน มาอ้างอิงให้ค้นคว้าทำความเข้าใจให้ถึงแก่นเหตุผลต้นตอของคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุและผลประกอบเอาไว้ด้วย ไม่มีการอ้างเหตุผลส่วนตัว ความรู้ส่วนตัว แต่อย่างใด ซึ่งผิดไปจากความประพฤติทั่วๆไปของพระในยุคสมัยนี้ที่พากันสอนธรรมะตามประสบการณ์ของตน ตามความถนัดของตน ตามความเข้าใจของตนเองกันเป็นส่วนมาก เมื่อต่างคนต่างสอน คำสอนก็แตกต่างกันออกไปมากเข้าๆๆๆ ... ก็ทำให้ชาวพุทธพากันสับสนว่า .... ทำไมพระจึงมีหลายคำสอน หลายแนว หลายการปฏิบัติ หลายสำนัก หลายวิธีการ จนไม่รู้ว่าอันไหนถูก อันไหนผิด อันไหนควรเชื่อ อันไหนไม่ควรเชื่อ

    ความอัศจรรย์จึงอยู่ที่ความรู้ที่ถูกต้องแท้จริง ใครก็ตามทำได้ถูกต้องตามพระธรรม ก็จะพบความอรรศจรรย์เองทุกคน
    เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนที่คัดลอกมาจากเวปวัดสามแยกอย่าหมั่นไส้กันน้าเพราะคนที่บอกว่าวัดสามแยกยังยึดพระไตรฯน่ะ พระไตรฯคือพระวินัย พระสุตตันฯ พระอภิธรรม ความรู้ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มาสั่งสอนนะ และอ่านแล้ว มีความรู้และพัฒนาได้ แต่พระพุทธรูปน่ะ สื่อได้แค่จิตใจผ่องใสนะ คิดเอาเอง...น้า ทุกศาสนาย่อมมีคัมภีร์
     
  19. nut1319

    nut1319 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +651
    แล้วจะมีวัดทำไมละ ไปอยู่ป่าหรือสร้างกระท่อมไว้จำพรรษเท่านั้นพอ เพราะเป็นการยึดติดในวัตถุเช่นกัน ยิ่งเห็นวัดในทุกวันนี้ แล้ว วัตถุ ใหญ่โตทั้งน๊าน
    ไม่รู้...แต่ชี้...อิอิ
     
  20. kosabunyo

    kosabunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,045
    เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ ใจเย็น ๆ พิจารณาให้ดีก่อนจะแสดงความคิดเห็นอะไรลงไป
    นะท่าน ถ้าไม่รู้ก็อยู่เฉย ๆ ดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...