ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 21 กรกฎาคม 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    [​IMG]
    ภาพประกอบ : จากอินเทอร์เน็ต​

    พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี
    พระโกกาลก "ริษยา" พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
    ได้ทูลพระพุทธเจ้าให้ร้ายพระเถระทั้งสอง พระพุทธองค์ทรงห้ามถึง ๓ ครั้งก็ไม่ฟัง
    ได้รับอกุศลกรรมสนองทันตา ได้เกิดฝีหัวใหญ่ขึ้นทั่วตัว ฝีแตกน้ำเหลืองไหล
    ได้รับทุกขเวทนากล้า จนขาดใจตายไปเกิดในปทุมนรก
    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานรกอเวจี ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

    พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษ แห่งการใส่ร้ายผู้ทำความดี เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธไว้ดังนี้

    • “คนพาลเมื่อพูดคำชั่วร้ายออกไป ได้ชื่อว่าฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ

    • ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข

    • ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พร้อมด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำใจคิดร้ายในท่านผู้ทำดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่า

    • ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก”

    โกกาลิกสูตร ๑๕/๒๐๙

    การใส่ร้ายคนดีมีโทษหนัก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอรหันต์ด้วย
    โทษก็จะยิ่งมากเป็นทวีคูณ
    เพราะท่านหมดกิเลสแล้ว
    จัดว่าเป็น “ปาปมุต” คือ ไม่มีใครถือโทษ หรือพ้นจากโทษแล้ว

    กรณีของพระโกกาลิกในเรื่องนี้

    ถ้าเราไม่ยกให้เป็นอกุศลกรรมของพระโกกาลิกบันดาลให้เป็นไป แล้วจะเกิดจากอะไร?
    เพราะทั้งพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
    ไม่มีให้โทษใครมีแต่ให้คุณ ก็แล้วเหตุไฉนพระโกกาลิกจึงไปริษยาท่านเล่า?

    ก็ไม่ใช่กรรมฝ่ายชั่วมาบันดาลให้ท่านคิดผิดไป
    เหมือนการซัดฝุ่นที่ละเอียดทวนลม มันก็ต้องถูกฝุ่นย้อนกลับมาเข้าตาตนเอง ฉะนี้แล

    ที่มา : www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=6502
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กันยายน 2010
  2. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุ

    บุคคลใดในกาลก่อนเคยผิดพลาด
    ครั้นภายหลัง เขากลับตัวได้ไม่ประมาท
    บุคคลนั้น ย่อมทำให้โลกแจ่มใส
    เหมือนดั่งดวงจันทร์ อันพ้นจากเมฆหมอก
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  4. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    วจีกรรม ของคนที่ไม่มีสติพูดใส่ร้ายคนดี ย่อมต้องถึงนรก
    อนุโมทนาครับ..สาธุ
     
  5. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">ผลจากวจีกรรมที่มีต่อพระ

    สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ

    ในชีวิตประจำวัน เราจะเห็นบุคคลหลาย ๆ คนที่พูดเก่ง คุยสนุก ฟังแล้วเกิดความเพลิดเพลิน เป็นที่ชื่นชมชื่นชอบของสังคม แม้แต่เราเองบางครั้งก็รู้สึกนิยมชมชื่นไปกับการพูดการแสดงออกของเขาด้วยเช่นกัน บางคนถึงกับยึดเอาเป็นแบบอย่าง ลงทุนฝึกพูด ฝึกแสดง เพื่อจะให้ได้เป็นคนพูดเก่งอย่างนั้น คืออยากจะพูดเก่ง เป็นที่นิยมชมชอบอย่างเขาคนนั้นด้วย

    หากเราลองนึกทบทวนด้วยสติปัญญา ในการพูดของเขานั้น พิจารณาให้ดีๆ ว่า มีสาระแก่นสารอะไรสามารถพอที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างทำให้เกิดคุณประโยชน์แก่ตัวเรา และแก่สังคมได้บ้าง ลองนึกดูดี ๆ เราอาจได้แค่เพียงความสนุกสนานชนิดที่ปนไปด้วยโมหะ ให้เพลิดเพลินหมดเวลาไปวันๆ ไม่ได้สาระอะไร เรียกว่าเสียเวลาเปล่าก็เป็นได้

    คำพูดที่ฟังแล้วสนุกสนาน ฟังแล้วรู้สึกมัน สะใจในอารมณ์ ส่วนมากมักจะมีการพูดล้อเล่น ล้อเลียนผู้อื่นปนอยู่ด้วยเสมอ การพูดเช่นนี้คำพระท่านเรียกว่า สัมผัปปลาปะ แปลว่า การพูดทำลายประโยชน์และความสุข หรือที่เรียกว่า "เพ้อเจ้อ" รวมไปถึงการเล่าเรื่องหนัง เรื่องนิยาย หรือการแสดงตลกขบขัน การเขียนเรื่องอ่านเล่นเพื่อความบันเทิงต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องราวเหลวไหลไร้สาระ จำพวกที่ไม่ทำให้ผู้ฟัง ผู้ดู และผู้อ่านได้รับประโยชน์แต่อย่างใด ลักษณะการพูดเช่นนี้ ก็จัดเป็น สัมผัปปลาปะ คือ พูดเพ้อเจ้อ ด้วยเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม การพูดคุยให้เกิดความสนุกสนานเฮฮา กล่าวเรื่องเหลวไหลที่ไม่เป็นจริงที่เป็นสัมผัปปลาปะนี้ ก็ไม่จัดเป็นมุสาวาท เพราะผู้พูดไม่ได้มีเจตนาคือไม่ได้ตั้งใจจะมุสา เป็นเพียงแต่พูดเพ้อเจ้อไปเท่านั้น
    แต่ถ้าหากว่ามีความตั้งใจจะมุสาประกอบอยู่ด้วย และผู้ฟังก็หลงเชื่อด้วย จึงจะจัดว่าเป็นมุสาวาท ซึ่งมีผลทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ
    แม้จะเป็นเพียงการพูดเพ้อเจ้อ ล้อเลียน ล้อเล่นโดยที่ไม่มีเจตนาพูดเท็จก็ตาม แต่ก็ยังมีวิบากกรรม แม้จะไม่ทำให้ไปเกิดในอบาย แต่ก็มีวิบากที่ทำให้ไปเกิดใช้กรรมในลักษณะที่ตนเคยไปล้อเลียนเอาไว้นั้น อย่างเช่น

    เรื่องราวของพระอุคคเสนเถระ และอดีตภรรยาเก่าของท่านในอดีตกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "กัสสปะ" ในครั้งนั้น พระอุคคเสนและภรรยา เป็นกุลบุตรกุลธิดาชาวพระนครพาราณสี บรรทุกข้าวปลาอาหารและสัมภาระเป็นอันมากในเกวียนหลายเล่ม กำลังไปสู่ที่ก่อสร้างพระเจดีย์ ในระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่ง กำลังเข้าไปสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต กุลธิดาซึ่งเป็นภรรยาของท่านแลเห็นพระเถระแล้ว จึงกล่าวกะสามีว่า

    "พี่ พระมาบิณฑบาต อาหารของเราก็มีมาก พี่ช่วยไปรับบาตรของท่านมาให้ฉันหน่อยซิ เราจะได้ถวายอาหารบิณฑบาตด้วยกัน"

    สามีจึงลงจากเกวียนไปขอรับบาตรมาจากพระเถระ ส่วนภรรยาเมื่อได้บาตรมาจากสามีแล้ว ก็ได้บรรจุบาตรด้วยอาหารต่างๆ จนเต็มแล้วก็ยื่นให้สามีนำไปถวายในมือของพระเถระ แล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า "ขอให้เราทั้งสองคนพึงได้บรรลุธรรมอย่างท่านด้วยเถิด"

    พระเถระรูปนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อท่านได้ตรวจดูไปในอนาคตแล้ว ก็รู้ว่าความปรารถนา
    ของเขาทั้งสองนั้นจะสำเร็จ จึงได้ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผู้เป็นภรรยาเห็นพระเถระแสดงอาการยิ้มแย้มเช่นนั้น จึงพูดกะสามีว่า

    "พี่ พระคุณเจ้าท่านทำท่าทำทางยิ้มแย้มอย่างกับเด็กนักฟ้อน"

    ฝ่ายสามีก็ตอบนางไปว่า "ก็คงจะเป็นอย่างนั้น"

    ด้วยอำนาจบุญและบาปซึ่งเป็นวจีกรรมปรุงแต่ง ทำให้เขาทั้งสองนั้น มาในสมัยพุทธกาลนี้ ผู้เป็นสามีได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชื่อ อุคคเสน ส่วนภรรยามาเกิดเป็นธิดาของตระกูลนักฟ้อนรำ ที่ท่องเที่ยวแสดงกายกรรมผาดโผนไปยังเมืองต่าง ๆ
    อุคคเสนบุตรเศรษฐีได้พบกับธิดานักฟ้อนรำซึ่งมาแสดงกายกรรมยังเมืองของตน ก็เกิดหลงรักนางขึ้นมา จึงได้ขอนางมาเป็นภรรยา และได้มาอยู่กับคณะของนาง ต่อมาก็ได้ฝึกเป็นนักแสดง ได้ร่วมแสดงกายกรรมผาดโผนไปกับนางด้วย เพราะวิบากที่พลอยเออออไปกับนางด้วยในชาตินั้น

    ครั้งหนึ่ง อุคคเสนและภรรยาได้มาเปิดการแสดงที่กรุงราชคฤห์ ขณะที่เขากำลังจะทำการแสดงนั้นเอง พระบรมศาสดาได้เสด็จบิณฑบาตมาถึงพร้อมด้วยพระเถระทั้งหลาย ทำให้มหาชนละสายตาจากอุคคเสนหันมาทำความเคารพพระบรมศาสดากันทั้งหมด จึงทำให้อุคคเสนเสียใจว่า การแสดงของเราคราวนี้คงหมดความหมายเสียแล้ว พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของเขา จึงตรัสบอกพระมหาโมคคัลลานะให้ไปบอกอุคคเสนว่าจงแสดงศิลปะของตนต่อไปเถิด

    อุคคเสนดีใจว่าพระศาสดาจะทรงดูการแสดงของตน จึงได้กระโดดจากแผ่นกระดานที่สูง 60 ศอกขึ้นไปตีลังกาในอากาศถึง 14 รอบ แล้วลงมายืนที่พื้นแสดงความเคารพต่อพระบรมศาสดา จากนั้นก็ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้ขอบวชกับพระบรมศาสดา ส่วนภรรยาเมื่อเห็นสามีได้ออกบวชแล้ว จึงได้ออกบวชตาม ภายหลัง นางก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เถรี ด้วยบุญที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระเถระในครั้งนั้น

    บุคคลทำกรรมเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น การพูดก็เช่นเดียวกัน เพียงการพูดเพ้อเจ้อ ล้อเล่น ล้อเลียนกับพระเถระเพียงแค่นั้น
    ก็ยังส่งผลให้เป็นไปตามที่ตนพูด จากการเป็นลูกเศรษฐีอยู่ดี ๆ ก็ต้องกลายมาเป็นนักแสดงกายกรรมผาดโผนไปได้ จึงควรต้องระมัดระวังคำพูด เมื่อจะพูด ควรพูดแต่เรื่องที่ดี เรื่องที่ไม่ดีไม่ควรพูด คือต้องเว้นจากวจีทุจริตทั้ง 4 ประการ คือ

    1. เว้นจากการพูดเท็จ เรื่องที่ไม่เป็นจริงเราไม่ควรพูด

    2. เว้นจากการพูดส่อเสียด ยุยงให้คนเขาแตกแยกกัน

    3. เว้นจากการพูดคำหยาบ คำด่า ให้ร้ายป้ายสีทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และ

    4. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ เรื่องเหลวไหลไร้สาระ สิ้นเปลืองเวลา ทำชีวิตให้สูญเปล่า

    แต่ควรพูดถ้อยคำที่เป็นปิยวาจา พูดไพเราะ พูดเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นเรื่องจริง มีประโยชน์ และพูดถูกกาลสมัยให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง
    เพราะการพูดดีนั้นมีอานิสงส์ ย่อมทำผู้พูดนั้นให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชน ทั้งให้ได้สมบัติทั้ง 3 คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ

    อย่างเช่นอดีตชาติของสันตติมหาอมาตย์ ที่ท่านเคยได้เที่ยวป่าวประกาศคุณของพระรัตนตรัย และชักชวนให้มหาชนลุกขึ้นแต่เช้า เพื่อหุงหาอาหารใส่บาตรพระ ชักชวนผู้คนไปวัดเพื่อฟังธรรมและปฏิบัติธรรม ส่งผลให้ท่านได้มนุษย์สมบัติ คือได้รับม้า รถเทียมม้า ได้ช้างซึ่งประดับประดาเป็นอย่างดี และได้สมบัติเป็นอันมากจากพระราชา ในชาตินั้น ท่านกล่าวสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยจนกระทั่งกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจากปาก ด้วยผลบุญนั้น ส่งผลให้ท่านได้ท่องเที่ยวอยู่ในสวรรค์นานถึง 91 กัป มาในชาตินี้ท่านได้มาเกิดเป็นมหาอมาตย์ของพระราชา ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงครั้งแรก ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อย่างง่ายดาย ไม่ต้องทำความเพียรให้เหนื่อยยากแต่อย่างใดเลย

    ดังนั้น ทุกท่านจึงควรพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นปิยวาจา พูดแต่เรื่องที่ดีมีประโยชน์ เว้นจากคำพูดที่มีโทษซึ่งเป็นวจีทุจริตดังที่กล่าวแล้ว
    ก็จะทำให้ได้สมบัติทั้งปวง ดังเช่นบุคคลในอดีตที่ท่านเคยได้มาแล้ว


    เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
    Reference Link :
    www.dmc.tv

    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE>:z3</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    วิธีการตอบโต้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์และหมู่สงฆ์ถูกใส่ร้ายป้ายสี<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3-->
    <!--/sizeo-->[​IMG] สมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์กับคณะสงฆ์ก็ถูกใส่ร้ายป้ายสีมาแล้ว

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->โดยเป็นกรณีของ ‘นางสุนทรีปริพาชิกา’ หลังจากเธอรับแผนการงานทำลายพระศาสนา<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->จากอัญเดียรถีย์ปริพาชก(นักบวชต่างศาสนา) มาทำแล้ว เธอถูกซ้อนแผนโดยถูกฆ่าปิดปาก<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->แล้วป้ายสีสร้างข่าวใส่ความมาที่พระศาสดากับคณะสงฆ์ โดยโพทะนาว่า<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->“ท่านทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของพวกสมณะเชื้อสายศากยบุตรเถิด<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้ไม่มียางอาย ทุศีล มีธรรมเลวทราม กล่าวเท็จ<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->ไม่ประพฤติพรหมจรรย์... ความเป็นสมณะของพระเหล่านี้เสื่อมสิ้นไปแล้ว...<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->ความเป็นสมณะของพระเหล่านี้จะมีแต่ที่ไหน... พระเหล่าเหล่านี้ปราศจากความเป็นสมณะ<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->ทำไมเป็นชายจึงข่มขืนผู้หญิงแล้วฆ่าเสียเล่า”<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->สมัยนั้น คนทั้งหลายในกรุงสาวัตถีเห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด <!--sizec--><!--/sizec--><!--sizeo:4--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เบียดเบียนด้วยวาจาหยาบคายที่ไม่ใช่ของสัตบุรุษ<!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->เมื่อเรื่องนี้ทราบถึงพระผู้มีพระภาคแล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->“ภิกษุทั้งหลาย เสียง(โจษ)นั้นจักมีไม่นาน จักมีเพียง ๗ วันเท่านั้น ครั้นพ้น ๗ วันจักหายไป<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงกล่าวตอบกับบุคคลทั้งหลายที่เห็นภิกษุแล้วด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เบียดเบียนด้วยวาจาหยาบคายที่ไม่ใช่ของสัตบุรุษ<!--sizec--><!--/sizec--> ด้วยคาถานี้ว่า<!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->อภูตวาที นิรย อุเปติ<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->โย วาปิ กตฺวา น กโรมีติ จาห<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถาติ ฯ<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->“คนที่ชอบกล่าวคำไม่จริง หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า ‘ฉันไม่ได้ทำ’ ต่างก็ตกนรก<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า”<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายเรียนคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->กล่าวตอบคนทั้งหลายที่เห็นภิกษุแล้ว ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด <!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->เบียดเบียนด้วยวาจาหยาบคายที่ไม่ใช่ของสัตบุรุษ ด้วยคาถานี้ว่า<!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->“คนที่ชอบกล่าวคำไม่จริง หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า ‘ฉันไม่ได้ทำ’ ต่างก็ตกนรก<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า”<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->คนทั้งหลาย(เมื่อได้ฟังการตอบโต้อย่างผู้มีปัญญาแล้ว)ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->“พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้ คงไม่ได้ทำความผิด<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านี้ คงไม่ได้ทำบาป<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร จึงกล่าวสบถเช่นนั้น”<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec-->
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->เสียง(โจษ)นั้นได้มีอยู่ไม่นาน เสียง(โจษ)ได้มีอยู่เพียง ๗ วันเท่านั้น ครั้นพ้น ๗ วันก็หายไป<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->เมื่อพระพระผู้มีพระภาคทรงทราบแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ตุทนฺติ วาจาย ชนา อสฺตา<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ปเรหิ สงฺคามคตว กุฺชร<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->สุตฺวาน วากฺย ผรุส อุทีริต<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->อธิวาสเย ภิกฺขุ อทุฏฺจิตฺโตติ ฯ <!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->คนทั้งหลายผู้ไม่สำรวม ชอบกล่าวทิ่มแทงผู้อื่นด้วยวาจา<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เหมือนทหารข้าศึกทิ่มแทงช้างที่ออกศึก ด้วยลูกศรฉะนั้น<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ภิกษุผู้มีจิตไม่คิดประทุษร้าย ฟังคำหยาบคาย<!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ที่คนพาลกล่าวแล้ว พึงอดกลั้นไว้ได้<!--sizec--><!--/sizec--><!--sizec--><!--/sizec-->

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--sizec--><!--/sizec--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก(มจร.แปล) เล่มที่ 25 ข้อที่ 38 หน้าที่ 246-250.

    ที่มา : www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=16803
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2010
  7. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    ขออนุโมทนา

    [​IMG]

    ณ.โอกาศนี้ ขอน้อมองค์คุณ

    พระพุทธะอรหันต์ พระมหาพุทธะอรหันต์
    พระอรหันต์ พระมหาอรหันต์
    พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์
    จงบันดาลให้ทุกท่าน
    ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา
    ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามพุทธะประสงค์ ตรงต่อพระนิพพาน
    ในชาติปัจจุบันกาลนี้ด้วยเทอญ
     
  8. Mhey

    Mhey สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +18
    Mhey

    ขออนุโมทนาค่ะ


     
  9. A~MING

    A~MING เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,734
    ค่าพลัง:
    +1,730
    อนุโมทนาคะ หมิงมักต้องเจอกะพวกเกรียนๆ หรือคนไม่ค่อยดี อยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็มักใช้วิธีใส่ร้ายเรา ถึงจะโดนงี้เราก็ต้องเชื่อมั่นในการกระทำของเราว่าไม่ใช่คนที่ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นทุกข์ และสิ่งที่เขากล่าวหาก็ไม่ใช่ตัวเราเลย เป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเท่านั้น

    ปัจจุบัน คนเหล่านั้นแทบไม่มีความสุข ไม่ก็หายสาบสูญไป โดนที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อแก้แค้นเขาคืนเลย

    อย่างน้อยหลังจากเลิกกับอดีตแฟนก็ได้รักษาศีล5อย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม ไม่รู้สิ่นะ ตั้งแต่เด็กแล้ว(ยกเว้นช่วงคบกะอดีตแฟน) มีแต่คนบอกว่าหมิงมันปากศักดิ์สิทธ์ อาจเป็นเพราะปกติละจากวจีทุจริตด้วยมั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2008
  10. แก้วแกมกาญจน์

    แก้วแกมกาญจน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2008
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +441
    อนุโมทนาสาธุ
    สำรวมทั้งกาย วาจา ใจ ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
    ดูตนเองเป็นสำคัญดีที่สุด
     
  11. อรมณีจันทร์

    อรมณีจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +499
    ใช่คะ
     
  12. คนวิเชียร

    คนวิเชียร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +1,298
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ ครับ
    ผู้ใด.....
    พึงกล่าวถ้อยคำอันไม่เป็นเหตุให้ใครๆขัดใจกัน
    และเป็นวาจาอันสุภาพ ไม่ใส่ร้าย หรือให้ร้ายผู้อื่น
    เป็นเครื่องให้รู้ความได้และเป็นคำจริง
    เราเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นผู้มีศีลมีธรรม สาธุ
     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    อ่านแล้ว ต้องสำรวมในกาย วาจา ใจยิ่ง ๆ ขึ้นค่ะ

    แม้ปัจจุบันนี้ก็ตาม เรามักจะได้ยินคนนั้นคนนี้ นำเรื่องต่าง ๆ มาเล่าให้ฟัง หากเป็นเรื่องการนินทาผู้ใดก็ตาม ไม่ควรจะร่วมวงนินทาไปด้วย เพราะเราไม่รู้ว่า บุคคลนั้น ตั้งสัจจะอะไรไว้ หรือทรงความดีอะไร จึงไม่ควรวิจารณ์

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

     
  14. Surachai Mankong

    Surachai Mankong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +329
    ขออนุโมทนาสาธุการครับ

    ______________________________________________________

    ขอเชิญมาเป็น 1 ในเครือข่ายความดี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกคนทำดี
    hi5 - ?PEC?เครือข่ายความดี•?


    หรือเชิญพี่ๆเข้ามาอ่านบทความของท่านพระอาจารย์เอก และธรรมะของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ได้นะครับ
    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญมาเป็นหนึ่งในเครือข่ายความดี.253322/

    สารธารบารมี ขอเชิญร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ อลงกต วัดพระบาทนำพุ
    1900222200 ครั้งละ 15 บาท เงินเพียงน้อยนิดอาจทำให้เด็ก อิ่มได้
     
  15. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    แหม..............

    ในสังคมคนที่ทำงานโรงงานมีเยอะครับ ( น้ำเน่าสิ้นดีแต่เรื่องจริง )

    ใส่ร้าย , กลั่นแกล้ง , บีบ คนดีๆ จนอยู่ไม่ได้

    คนพวกนี้นึกว่าตำแน่งในหน้าที่การงานใหญ่เสียเต็มประดา

    ชี้เป็นเป็นตาย ชี้อนาคตการทำงานของคนอื่นได้

    บางคนกรรมตามทันแล้วยังไม่รู้ตัว โฮ่ โฮ่ โฮ่ ยังโทษนู่น โทษนี่

    น่าสมเพช
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษ แห่งการใส่ร้ายผู้ทำความดี
    เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธไว้ดังนี้

    • คนพาลเมื่อพูดคำชั่วร้ายออกไป ได้ชื่อว่าฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ

    • ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข

    • ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พร้อมด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำใจคิดร้ายในท่านผู้ทำดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่า

    • ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก

    โกกาลิกสูตร ๑๕/๒๐๙

    ..

    สาธุอนุโมทนา

    คนกล้าในสิ่งที่ควรกล้า ข่มใจในสิ่งควรข่ม เป็นผู้มีปัญญา
    คนกล้าตามกิเลสข่มใจตามกิเลสตามความหลง ย่อมเข้าถึงอบาย
    การอ้างพุทธพจน์ผิดกาละเทศะ เป็นผู้บิดเบือนธรรมย่อมไม่ค้นพบควาจริง
    ผู้ล่วงเกินพระอริยะผู้กล่าวธรรมกล่าวความจริง ย่อมถึงนรก


    ,,
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  17. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    เราโดนใส่ร้ายทำไม คนนั้นยังนั่งขาขึ้นห่างอยู่เลยล่ะ
     
  18. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    เพราะการใส่ร้ายที่เขาได้กระทำต่อโยมนั้นเนื่องมาจากเศษกรรมเก่าในอดีต โยมต้องอดทนอย่าไปปล่อยใจตนเองให้คิดไม่ดี อย่าอยากให้คนที่ทำร้ายเราเป็นอะไรไปเลย เพราะความคิดดังนั้นแสดงให้เห็นว่าเราเองก็ยังมีจิตที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ ขอให้โยมอโหสิเถอะนะ สาธุ
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]
    สาธุค่ะ จะพึงระมัดระวัง สำรวมกาย วาจา และใจ ให้มากยิ่งขึ้น
     
  20. jinso

    jinso เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +659
    โมทนาสาธุครับ
    ตอนนี้ผมยังระงับปากไม่ค่อยได้
    แต่ก็เบาลงแล้ว
    จะพยายาม
     

แชร์หน้านี้

Loading...