เพราะเหตใดทำบุญด้วยวัตถุทานจึงเทียบ ภาวนา ไม่ได้เลย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 22 มิถุนายน 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    หลายๆ คนทำบุญทำทานมามาก บางท่านเอาเงินให้พระ บางท่านตักบาตรทุกวัน
    บางท่าน ถวายสังฆทานเป็นประจำ แต่ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า การทำบุญแบบนี้ยังมีอานิสงฆ์เทียบไม่ได้กับ การภาวนาเลย

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า การทำบุญด้วยวัตถุทานนั้น เป็นการทำบุญที่ให้ผลเดี๋ยวเดียว เช่นว่า เอาอาหารให้พระฉัน พระท่านฉันเสร็จ ท่านก็อิ่ม อร่อยเดี๋ยวเดียว แล้วก็จบไป เอาอาหารให้คนกิน พออิ่มเดี๋ยวเดียวแล้วก็จบไป บางทีลืมไปเสียด้วยซ้ำ อิ่มแล้วก็แล้วกัน คนทำบุญเห็นพระอิ่ม ดีใจเดี๋ยวเดียวแล้วก็จบกันไป นี่ อิ่มเดี๋ยวเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นบุญที่ช่วยในการสานต่อ เป็นภาวะเพียงเสี้ยวหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้พระท่านดำรงค์ธาตุขันธ์ ทีนี้ ก็มาดูว่า หากทำทานนั้นกับหมู่สงฆ์ ทำไมจึงเทียบเท่ากับทำกับพระพุทธองค์ ตอบว่า เพราะ ว่าเราเอากำลังไปช่วยสืบต่อพระศาสนา ไม่ใช่เฉพาะบุคคล บุญที่พระศาสนาคงอยู่นั้น วนเวียนเปลี่ยนทางไปสู่คนนั้น คนนี้แล้วก็วกกลับมาที่ ผู้กระทำแน่นอน เป็นบุญมาก แต่อาจจะส่งผลช้า หรือ เร็วแล้วแต่เหตุปัจจัย แต่กระนั้นก็ตาม บุญนั้นยังถูกกำหนดด้วยสิ่งอื่นๆ กว่าจะมาถึงเราก็ช้านัก ทีนี้ก็มาดูว่า หากทำบุญกับผู้มีศีล ก็ดีกว่าทำกับผู้ไม่มีศีล เพราะว่าอะไร เพราะว่า ผู้มีศีลนนั้นก็อุทิศส่วนกุศล ด้วยกำลังจิตกำลังกุศลที่ท่านมี มันก็ส่งผลมาถึง เราได้ดีกว่า
    คนไม่ดีนั้น เราทำบุญ เมตตาไป ให้ข้าวมันกิน มันก็ยังอาจจะแว้งกัดเราได้ นี่ทำบุญกับคนไม่ดี มันก็ไม่ได้มีผลมาถึงเรา แถมยังมีชั่วมาถึงเรา

    แต่ว่า ทำสมาธินั้น ทำไมบุญมากกว่า เพราะว่า วัตถุทาน นั้นเมื่อให้ไปเดี๋ยวนี้ ดีใจเดี๋ยวนี้ จิตเบิกบานเดี๋ยวนี้ แล้วจบไป แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำสมาธิ หากใครเคยทำสมาธิได้จะเห็นว่า ความที่จิตเป็นสมาธิ นั้น สามารถทรงตัวให้จิตเจ้าของ มีพลังอำนาจที่จะเป็นสมาธิได้ยาวนาน สามารถนำเอาจิตใจที่เป็นสมาธินั้น เป็นปัจจัยสืบต่อไปสร้างประโยชน์ได้ นำไปสู่วิปัสสนาก็ได้
    นี่กินเวลายาวนานขึ้นมามากกว่า การทำบุญด้วยการให้วัตถุทาน

    ทีนี้มาดูปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้ว ย่อมหาหนทางแก้ไข หาหนทางที่จะพัฒนาตนเองให้ไปสู่ที่ดีกว่าเดิมได้ แม้มีปัญหาอุปสรรคต่างๆ นาๆ คนมีปัญญาก็แก้ไขให้ถูกทางได้ ซึ่งมีผลระยะยาว และมีแต่จะพัฒนามากยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ชั่วครู่ช่ัวยามแบบ วัตถุทาน หรือ สมาิธิ และมีความถาวร คงอยู่ติดอยู่กับเรายาวนานกว่า อำนาจกุศลใดๆ

    เพราะฉะนั้นแล้ว เราเป็นชาวพุทธ อย่ามัวแต่ทำบุญด้วย วัตถุทาน แต่หากจะทำ ก็ให้ทำกับหมู่สงฆ์
    และ ให้หมั่นเจริญ สมาธิภาวนา ปัญญาภาวนาให้มาก เพราะสองสิ่งนี้จะพาเราไปสู่ หนทางดับทุกข์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องรอเหตุปัจจัยอื่น สามารถกระทำด้วยตนเอง
    จึงเป็น บุญกุศลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

    ทรัพย์สินเงินทอง แม้มีค่า แต่ก็ช่วยอะไรใครไม่ได้หากไม่มีปัญญา ได้มาเดี๋ยวเดียวก็ลืม ก็หมด
    อย่าไปอยากได้ แต่ให้อยากได้ สมาธิ และ ปัญญา อันนี้มีค่ามาก หาได้ยากยิ่ง ทรงอยู่นานติดตัวทุกภพทุกชาติ ไม่เสื่อมนะ หากเรายังมีปัญญามันจะต่อยอดขึ้นเรื่อยๆ


    ก็ขอให้ทุกท่านถึงพร้อมด้วย ภาวนาบุญ
     
  2. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    เห็นรูปทีไรก็รู้เลยว่าต้องมีสาระดีๆเเน่ๆ อิอิ

    อนุโมทนาค่ะ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มนุษย์เรา ที่เราบอกว่า เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ หาเงินได้ด้วยตัวเอง อันนี้ก็มาแต่อำนาจปัญญา
    คนบางคน ไม่ค่อยมีปัญญา แต่มีโอกาส ก็มีเงินมีทองไหลมาเทมา ก็มีมาก
    คนบางคน ปัญญาก็ไม่ค่อยมี เงินทองก็ไม่ค่อยไหลมาเทมา แต่มี ความเพียร มีกำลังจิตอันเป็นสมาธิ
    ก็มานะบากบั่น หาเงินหาทองได้

    นี่เรื่องบุญ ที่ไหลเวียนมา คนทุกคน ล้วนแล้วแต่ เกิดจากอำนาจกรรม จะได้อะไรมาก็มาแต่อำนาจกรรม กรรมจึงมีอำนาจมาก แต่ปัญญา ก็สามารถตัดกรรมได้ ในปัจจุบัน เห็นความสุขได้ทันที
    แม้ไม่มีเงินทองมากมาย ก็เป็นสุขได้ สบายอกสบายใจได้ เพราะอำนาจแห่งปัญญา

    คนมีเงินทองมากมาย เพราะเขาทำบุญให้ทาน ด้านวัตถุมามาก แต่ก็อยู่ไม่สบายก็มีมาก เพราะว่าเขาไม่มีปัญญาจะดับทุกข์

    นี่ พอปัญญามีมากๆ มันก็เปิดทาง เห็นทาง ไม่มืดบอด มันเห็นไปทั่ว
    มีเงิน แต่ไม่มีปัญญามันก็ปิดทางได้ แล้วมันก็จะค่อยๆปิดๆ เมื่อวันหนึ่งไปโดนอกุศลปิดตา
     
  4. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    ทำบุญทำทานให้เกิดปัญญา

    การทำบุญทำทานทั้งหลายนั้น ผู้มีปัญญา จะได้บุญมากกว่าผู้ที่ทำสักแต่ว่าทำ

    เช่นการทำบุญโลงศพให้คนไร้ญาติ ผู้มีปัญญาจะเห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ต้องถึงการแตกดับไป ไม่มีเว้น จะช้าหรือเร็วก็ต้องพบเจอ

    ทำให้ผู้มีปัญญาไม่ประมาท ถวายโลงศพแล้ว ได้มาณานุสติ

    การปล่อยสัตว์ให้พ้นจากการจองจำ เช่นปล่อยนกปล่อยปลา ผู้มีปัญญาจะได้บุญมาก จะเห็นว่าการเกิดมาเหมือนถูกจองจำ ถ้าไม่ถูกกักขังด้วยกรง ก็ถูกกักขังทางความคิดจิตใจ ถูกกักขังอิสระภาพจากคู่ครอง ญาติ พี่น้อง บุตร ภรรยา

    หากถูกปลดปล่อยสิ่งที่จองจำได้ จะมีอิสระ จะเบา เหมือนนกที่โผบินขึ้นไปในท้องฟ้า

    การทำบุญจึงใช่ว่าสักแต่ว่าทำ บุญจะมากจะน้อยขึ้นกับปัญญาในการเห็น ปัญญาในการพิจารณา

    ส่วนบุญกุศลที่สูงที่สุดคือ บุญที่ก่อให้เกิดทางดำเนินเพื่อเข้าสู่ยังแดนแห่งอริยะชน คือนิพพาน หากบุญใดประสงค์เพื่อการทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว บุญนั้นถือเป็นกุศลสูงสุดครับ

    นั่นก็คือ หนทางแห่งการแห่งการลดละ เลิก กิเสศตัญหาทั้งหลาย ครับ

    เมื่อใดที่จิตเป็นอิสระปราศจากการเกาะกุมของกิเลศ ตัญหา และความไม่รู้แล้วนั้น นั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เราเกิดมาแล้วครับ
     
  5. อุดรเทวะ

    อุดรเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,925
    ค่าพลัง:
    +130
    น่าติดตามอ่านต่อไปครับโพสต์มาเลยครับ
     
  6. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ขออนุโมทนาครับ เรื่องพระพุทธเจ้าตอนที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็เคยได้ตรึกถึงเรื่องนี้เช่นกันดังปรากฏอยู่ในเรื่องของ "พระเนมีราช" ครับ
     
  7. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    หลังสงกรานต์ไปปล่อยปลานิลสามตัว ซื้อจากตลาด เขามองมาว่าให้ซื้อเขานะ ขับรถไปปล่อยลงแม่น้ำ
    ระหว่างทาง มันเงียบไป
    น้ำตาไหลสงสารมันกลัวมันตาย
    เปิดถุง ปลายังขยับได้ ดุ๊กดิ๊กนิดนึงแล้วว่ายออกไป
    เลยจะไม่ซื้อปลานิลสด หรือสั่งอาหารที่ปรุงด้วยปลานิลอีก สงสารเขา
    ที่ทอดเกรียมปรุงเสร็จแล้วในโลตัสนั่นไม่รู้ปลาอะไร มีให้กินก็กินไป กินแล้วก็สัพเพฯ

    ไปให้อาหารปลาสวายที่แพวัดท่าซุง
    ปลาเยอะ อาหารน้อย เบียดเสียดกันแย่งอาหารจนเกล็ดถลอก
    แค่จะกินเพือยังชีพก็ยังเจ็บตัว
    เกิดเป็นเป็นปลาก็ยังทุกข์

    ไม่อยากเกิดแล้ว ขอกราบบูชาพระรัตนตรัยเป็นที่สุดค่ะ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะยกตัวอย่างเรื่องของบุญ ที่แผ่ไป แล้วไปถึงให้ฟัง

    ถ้าหากว่า เราฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 ดีแล้ว เราจะเห็นกระแสบุญ ที่ไหลเวียน ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาที่เราไปกราบหลวงตามหาบัว ทำไมจิตใจเราเบิกบานขึ้นมาทันที สงบทันที หรือ เวลาเราเข้าใกล้คนที่มีบุญบารมี เราก็รู้สึกได้ รู้สึกถึงกระแสอะไรบางอย่าง บางคนเข้าใกล้คนที่มีเมตตาจิตสูงๆ ก็จะเย็น เข้าไปในตัวเลย อันนี้ นี่แหละ กระแสแห่งบุญ ไม่ได้เป็นวัตถุนะ แต่เป็น พลังงานที่ ละเอียด
    ก็ส่งผ่าน ไปมาได้ ทีนี้ คนไม่ดี มีอกุศลมาก เราเข้าใกล้ แค่เห็นหน้า เราก็เซ็งแล้ว เพราะมันมีกระแส ออกมา
    เมื่อเราทำบุญมากๆ จิตใจผ่องใสมาก จิตเปิดออก เพราะอกุศลไม่หุ้มห่อ มันก็มองเห็นอะไรตามความเป็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไป ก็จะมีกำลังแผ่ ไปถึงผุ้อื่นๆ มากๆ ยิ่งๆขึ้นไป หมุนเวียน

    นี่ให้คิดว่า อากาศบริสุทธิ์ กับ ท่้อไอเสีย นี่ถ้า ปลูกต้นไม้่มากๆ มันก็ช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ ลดการใช้พลังงาน เพื่อลดควันเสีย บ้านเมืองมันก็น่าอยู่ขึ้น มันก็ปลอดโปร่งมากขึ้น

    นี่แหละ เนื้อนาบุญของโลก ก็เปรียบกับ ต้นไม้เหล่านั้นแหละ ทำหน้าที่ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
    ก็ผลิตแต่ประโยชน์ แต่สิ่งที่ดี แต่ถ้าสนองตัณหาตัวเองก็ มีแต่สิ่งไม่ดี


    คน สร้างจิตตนให้ดีแล้ว คิดทำอะไรจะมีแต่ความเป็นทิพย์ ออกสู่คนอื่น ออกสู่รอบข้าง เป็นวงกว้าง
    เพราะฉะนั้น การทำจิตตนให้ดี ก็มาจาก ศีล สมาธิ และ ปัญญา นั้นแหละ ทำเท่าใดออกจากตัว กลับมาเท่านั้น
    และ เพิ่มขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป ตราบเท่านิพพาน
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตัวอย่างของคนที่เริ่มภาวนา หรือ ภาวนา แล้วเริ่มมาจับ ตัวหลง หรือ โมหะ ได้
    นี่ก็เรียกได้ว่าบุญมหาศาล เพราะถ้าปิดตัวหลง หรือ โมหะมูลจิต ได้นี้ก็ถือว่า
    ได้ปิดอบาย แม้ว่า จะไม่ต้องไปปิดเบ็ดเสร้จเด็ดขาด แค่รู้เท่าทันตัวหลง นี่
    ก็ถือว่าใช้ได้ น่าชื่นใจ เพราะอีกไม่ไกลละ เพราะ หลง หรือ โมหะ นี่คือราก
    เง้าของกิเลส ก่อนจะโลภะ ก่อนจะโทษะ ก็เพราะเราไปหลงในวัตถุว่ามี ว่า
    มีเรา มีเขา นี้ถ้าเริ่มเห็นว่าเราหลง การมีทิฏฐิเห็นวัตถุว่ามีมันจะอ่อนลง รวม
    ทั้งเรื่องการมีเขา มีเราก็อ่อนลง โทษะ โลภะ ก็แทบจะอาศัยปัจจัยเกิดไม่ได้
    ถึงแม้ว่ายังไม่บรรลุ แต่โอกาสตกอบายก็น้อยลงมาก

    ถ้ารักษาการภาวนาดูตัวหลง หรือ โมหะ หรือ ตัวคิด ได้มากๆ ได้เนืองๆ การ
    กลับมาเกิดก็จะเริ่มเป็นเส้นโค้งขึ้น แต่ถ้ายังดู หรือ ภาวนาเห็นได้แต่โทษะ
    หรือ โลภะ ก็ยังเป็นเส้นเอียงกึ่งระนาบ อาจมีโค้งตกลงบ้างแล้วแต่ปัจจัย

    แต่ถ้าปิดไม่ดูกิเลสเลย ก็จะเป็นเส้นระนาบขนานไปเลย เพียงแต่ว่าอยู่ที่ระดับ
    ของการกดกิเลสไว้ได้ขนาดไหน กดไม่ได้เลย ไหลตามมันตลอด ก็อยู่ในนรก
    ไปตลอด ถ้ากดได้มาก ถึงมากไป ก็เป็นพรหมอยู่ตลอด ถ้ากิเลสจรมาจรไป
    แต่เป็นไปทางกุศลก็เป็นเทวดาอยู่อย่างนั้น

    ดังนั้น ควรเริ่มภาวนา ดูจิต ดูกาย ไว้เนืองๆ กันดีกว่าครับ
     
  10. จิตการุณ

    จิตการุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +31
    เห็นด้วยอย่างมากในประเด็นนี้ครับ เปรียบเทียบนะครับ ..ถ้าการให้วัตถุทานเปรียบเหมือนการที่เราสามารถนั่งพัดลมเย็นให้แก่ผู้อื่นได้ ..การภาวนาจนถึงจุดที่แผ่กระแสความสงบเย็นได้ ก็เปรียบเสมือนว่าผู้นั้นนั่นแหละคือสายลม
     

แชร์หน้านี้

Loading...