ผู้อยู่เบื้องหลังการสำเร็จอรหันต์ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย matakalee, 5 มิถุนายน 2008.

  1. ดุสิตบุรี

    ดุสิตบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +273
    ต้องขอโทษด้วยครับ

    ที่ผมพูดเพราะเห็นมีคนบางคนชอบพูดว่า "พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำยอมรับว่าท่านปฏิบัติผิดมาตลอด และยอมให้ท่านเจ้าคุณโชดกเป็นอาจารย์สอนสติปัฏฐานสี่ให้" คำพูดนี้มันก็แสดงในตัวอยู่แล้วว่าสายวิชชาธรรมกายไม่ได้สอนสติปัฏฐานสี่ เป็นคำกล่าวที่จาบจ้วงพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำเป็นอย่างมาก จะอ้างอย่างนี้เป็นประจำ หากินแม้กระทั่งใส่ความคนอื่น


    แล้วจะไม่ให้ผมพูดว่าได้อย่างไรครับ อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ขนาดล่างๆเลย ขนาดปัจจุบันพระระดับชั้นผู้ใหญ่ในวัดมหาธาตุหลายรูป รวมทั้งที่สอนยุบหนอ-พองหนอด้วย(เพราะผมเคยศึกษาสายนี้มาเหมือนกัน ที่ไปเพราะเพื่อนมันชวนไป) ท่านยังพูดเลยว่า "สายวิชชาธรรมกายสอนติดแต่สมาธิ หลงทาง วิปัสนาไม่มีเลย ไปนิพพานไม่ได้หรอก หนูอย่าไปศึกษาเลย เสียเวลาป่าวๆ มาทำสติปัฏฐานสี่ตามแนวท่านเจ้าคุณโชดกเทอด" บอกต่ออีกว่า "ขนาดตอนหลังพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำท่านยังยอมรับว่าท่านปฏิบัติผิดมาตลอดต่อหน้าท่านเจ้าคุณโชดกเลย แล้วหนูจะไปศึกษาวิชชาธรรมกายให้เสียเวลาทำไม" เมื่อเร็วๆนี้ด้วยซ้ำครับ

    ถ้าระดับใหญ่ไม่สอนลูกศิษย์ให้คิด พูด ทำอย่างนี้ แล้วระดับลูกศิษย์จะกล้ามาพูดจาบจ้วงพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำได้ถึงขนาดนี้เหรอครับ และวันนี้จะมาบอกว่า เราก็เข้าใจว่าสายวิชชาธรรมกายก็ปฏิบัติสติปัฏฐานสีเหมือนกัน และที่พูดๆไปมันไม่ขัดแย้งกันหรือครับ

    ผมขอให้ทุกๆท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน ลองดูคำพูดคนบางคนที่กลับกรอกคำพูดตัวเองไปมาด้วยครับ

    ผมเป็นกลางอยู่แล้วครับ ถ้าไม่เป็นกลางป่านนี้ผมคงเกลียดวิชชาธรรมกายไปตั้งนานแล้ว เพราะข่าวออกก็เยอะ มีคนโจมตีก็มาก หลายสายคอยแต่จะรุมโจมตี

    กราบขออโหสิกรรมด้วยครับ ที่บรรยายไปมันออกมาจากดวงจิต ที่ได้รู้ เห็น และเข้าใจมา ไม่ได้ใส่ความใคร และไม่ได้ถือโกรธผู้ใด แต่นำเรื่องจริงมาพูดก็มีด้วยประการเช่นนี้แหละครับ

    ธรรมสวัสดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2008
  2. Hades

    Hades เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +199
    ปฏิบัติสายไหนก็ดีทั้งนั้น
    แต่ถ้ายังไม่เลิกพฤติกรรม
    โฆษณาชวนเชื่อ โดยใส่ร้ายผู้อื่น
    มันก็จะยุ่งไม่รู้จบเช่นนี้แล
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG] OOอธิษฐาน บุญบารมี (ตามแนววิชชาธรรมกาย )OO


    แบบที่ 1
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE class=tborder id=post124029 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_124029 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD>คำอธิษฐานบุญบารมี



    </PRE>








    </PRE>




    ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อ
     
  4. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    แบบที่ 2


    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  5. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    พระเทพกิตติปัญญาคุณ(กิตติวุฑโฒ) ซึ่งสมัยนั้นท่านดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระอุดรคณาภิรักษ์เคยเล่าเรื่องนี้ เมื่อคราวแสดงพระธรรมเทศนาในการบำเพ็ญกุศลถวายพระครูประกาศสมาธิคุณ ณ วัดมหาธาตุ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๗ เวลา ๑๙.๓๐น.


    การเผยแผ่ธรรมะของหลวงพ่อสมัยนั้น โดยมากหลวงพ่อจะปักหลักสอนอยู่ที่วัดปากน้ำฯ แต่พระที่มาส่วนมากถ้ามาจากภาคอีสานก็ไปโฆษณาภาคอีสาน มาจากภาคเหนือก็ไปโฆษณาทางภาคเหนือ พระที่วัดปากน้ำฯจึงมาจากทุกภาค บอกต่อๆกันไป นี้ก็สัมฤทธิ์ผลสมดังที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้อธิษฐานไว้ว่า “บรรพชิตที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข”


    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านคิดว่าจะสร้างบารมีอย่างเดียว อย่างมหาจุฬาฯ ตอนนั้นก่อตั้งใหม่ๆ ยังไม่เป็นรูปร่าง หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็มาช่วยหาทุน ในการก่อสร้างมหาจุฬาฯ สมัยนั้นท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม(ช้อย ฐานทัตโต ป.ธ.๙)เป็นปฐมนายก


    พระพิมลธรรม(ช้อย ฐานทัตโต)ท่านนิมนต์หลวงพ่อวัดปากน้ำไปเทศน์ที่วัดมหาธาตุฯ อยู่เป็นประจำ เพราะท่านศรัทธาหลวงพ่อวัดปากน้ำ เวลาไปเทศน์หลวงพ่อท่านก็ลงเรือข้ามฟากไป ไปขึ้นที่ท่าเตียน ปากคลองตลาด พระพิมลธรรม(ช้อย)ท่านส่งเสริมหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ไปสอนพระเณรในวัดนำนั่งภาวนาในโบสถ์ภาวนา“สัมมา อะระหัง”มากันหมดทั้งวัด ตอนนั้นรู้สึกว่าเจ้าคุณโชดกก็มาอยู่วัดมหาธาตุฯแล้ว แต่ว่าไปเรียนอยู่ที่พม่า ตอนนั้นคงยังเป็นพระเด็กๆพรรษาน้อย


    ท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นท่านยังคะนอง ตอนหลวงพ่อมาสอน“สัมมา อะระหัง”ที่วัดมหาธาตุฯฟังแล้วก็ขำ จึงหัวเราะคิกคิกออกมาเบาๆ และตอนหลวงพ่อวัดปากน้ำสอน พระพิมลธรรม(ช้อย)จะมาฟังด้วย ใครหัวเราะท่านดุเลย ตวาดดุเลยให้ตั้งใจฟัง ท่านศรัทธาหลวงพ่อวัดปากน้ำมาก สมัยนั้นดีมาก


    มาภายหลังสมัยพระพิมลธรรม(อาส อาสภมหาเถระ) ซึ่งเป็นผู้ที่ส่งให้เจ้าคุณโชดกไปเรียนที่พม่า
    เพราะเป็นคนขอนแก่นด้วยกัน ไปเรียนวิปัสสนาแล้วกลับมาสอนที่นี่ ช่วงนั้นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ซึ่งท่านก็สนับสนุนวิชชาธรรมกาย ยุคนั้นสำนักปฏิบัติธรรมที่เป็นที่รู้จักอีกที่ คือ วัดมหาธาตุฯ ปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอ ส่วนเรื่องเจ้าคุณโชดกนั้นก็ไม่มีอะไรหรอก คือ เจ้าคุณโชดกท่านมาทีหลังก็ต้องการให้หลวงพ่อวัดปากน้ำช่วยโฆษณาด้วย เพราะสมัยนั้นคนจะโจมตีว่าเป็นของพม่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็ส่งเสริม ให้ท่านไปปฏิบัติท่านก็ไป ไปทดลอง ไปปฏิบัติ แล้วท่านก็บอกว่าดี ท่านไม่โจมตีเพราะ ท่านไม่ทำร้ายใคร ส่วนทางนั้นจะไปโฆษณาอย่างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


    ตอนนั้นพระพิมลธรรม(อาส)ท่านเป็นสังฆมนตรีปกครอง เป็นผู้ปกครองที่สั่งแล้วต้องปฏิบัติตาม ท่านอยากให้หลวงพ่อวัดปากน้ำไปปฏิบัติวิปัสสนาแบบยุบหนอพองหนอ หลวงพ่อท่านก็ไป ท่านถามว่าถูกหลักสติปัฏฐานหรือไม่ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่าใช่ ถูกหลักสติปัฏฐาน๔ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านส่งเสริม ท่านไม่โจมตีหรอก ใครชอบทางไหน ก็ไปทางนั้น สำนักปฏิบัติธรรมที่มาคู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ำคือ หลวงพ่อลี วัดอโศการาม ซึ่งสอนแบบให้บริกรรม “พุทโธ”



    อ้างอิงจาก หนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา ๒ โดย สิงหล พิมพ์ครั้งที่๑ ๗ ก.ค.๒๕๔๕ บ.สุขุมวิทการพิมพ์ หน้า ๑๒๐-๑๒๒
     
  6. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ขอทุกท่าน


    ช่วยนำข้อมูลที่ถูกต้อง ที่ช่วยแก้ข้อกล่าวหาหลวงปู่สด และวิชชาธรรมกาย

    ไปโพสบอกในเวปพุทธวงศ์ด้วยครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มิถุนายน 2008
  8. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด



    ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ

    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย แต่เราทำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็อธิบายว่า เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา แล้วถามว่าเราเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แล้วเราจะตีเขาตอบไหม เราจะโกรธไหม ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม ถ้าเขาตีเรา แล้วเราอโหสิให้ เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน เราจะได้บารมีตรงนี้ นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป ก็ทำวิชชาไป ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ


    หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์ พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร ถ้าไม่อบรมตอนนี้ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ


    **************************************************************************


    ลุงสมจิตร ฉ่ำรัศมี

    วิชชาธรรมกายนี้เป็นของจริงไม่ใช่ของเล่น หลวงพ่อบอกว่า “หยุดนั่นแหละ เป็นตัวสำเร็จ” เราเคยคิดว่า “เอ...หลวงพ่อเรานี่ เก่งนี่หว่า ท่านมีดีแต่ท่านไม่อวด” เวลาท่านสอน เราก็นั่งฟัง “มรึงไม่ต้องพูด กรูรู้” หลวงพ่อพูดให้เราได้ยิน แหม ! หลวงพ่อผมไม่ได้ว่าอะไรหลวงพ่อสักหน่อย


    จิตใจเรานับถือท่าน ศรัทธาท่าน ศรัทธาเกิดขึ้น บารมีเราก็แก่ขึ้น คนเราถ้าไม่มีศรัทธา บารมีไม่มีหรอก ความนับถือ ความเลื่อมใส ต้องประกอบด้วยการปฏิบัติจริง นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงพ่อวัดปากน้ำให้เชื่อเหตุ เชื่อผล อย่าไปเชื่อเพราะคำโกหกว่า เขาคนโน้นเก่ง คนนี้เก่ง ต้องไปดูว่าเขาเก่งยังไง ธรรมะนั้นมี ๓ อย่าง คือกุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา บางทีเราเคืองเขา น้อยอกน้อยใจนี่ เป็นอกุศล บางทีอยู่เฉยๆ ก็คิดอยากจะทำบุญ นี่ใจเป็นกุศล บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆ เรื่องนี้ พญามารเขาไม่ให้เรารู้หรอก รู้แล้วตาย หลวงพ่อบอกว่า “ช่างมันเถอะ เกิดมาทั้งที ถ้าไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เกิดมาหาแก้วเจอแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม”


    ท่านสอนให้เราเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง คนเราไม่เข้าใจตัวของตัวเองแล้วยังใช้ไม่ได้ ก็เหมือนกับคนเราถ้าไม่รู้ว่าเราคือใคร มายังไงที่เป็นตัวตนอยู่นี้มาทำไม ท่านบอกว่า ตัวเรามีธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง ๔ มาประชุมรวมกัน เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เผาแล้วก็จะเป็นเถ้าธุลี ไม่ใช่ตัวของเรา แต่ตัวจริงของเรานั้นมีอยู่ข้างใน ตัวเรามี ๑๘ กาย กายฝัน กายละเอียด เรียงกันไป กายข้างนอกก็ตายไป แต่กายข้างในไม่ตาย พูดแล้วก็เหมือนโกหก ถ้าไปเห็นแล้วมันจึงจะคุยกันได้ สมมติว่าเราฝัน ตัวฝันนั่นแหละสำคัญ เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงในตัวเราว่าเรามีอะไรในตัวเรา เราไม่เชื่อตัวเราแล้วเราจะไปเชื่อใคร แกล้งเขาก็ได้ แกล้งตัวเองก็ได้ ตัวเราเองทั้งนั้น สรุปความแล้วมันมีเหตุ มีผลเกิดกับตัวเรา หลวงพ่อวัดปากน้ำ จะบอกให้ภาวนาไปเรื่อยๆ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ แล้วก็จะไปตกบ่อของใจ บ่อกว้าง ๆ กว้างมากเลย จิตตกอยู่ในตัวเรา ตัวเราค่อยๆ สว่างๆ ไปเรื่อยๆ เห็นทุกดวงและเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เขาบอกว่าอันนี้ไม่จริงนะ ถ้าไม่ทำแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร มันต้องทำถึงจะรู้


    **************************************************************************


    ป้าจินตนา โอสถ

    วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่สูง เป็นศาสตร์อันหนึ่ง เป็นศาสตร์ของธรรมะ ไม่ใช่ศาสตร์สายดำ ถ้าเป็นศาสตร์สายดำ ต้องเป็นเรื่องเสน่ห์ เล่ห์กล แต่นี้ไม่ใช่ เป็นธรรมะ ใช้ธรรมะล้วนๆ คนที่นั่งสมาธินั้นไม่ต้องทำอะไร หลวงพ่อไม่ชอบให้ทำอะไร ท่านบอกว่าทำแล้วหยาบ สมาธิไม่นิ่งแน่น นั่งไปก็ได้ยินแต่เสียงหลวงพ่อสั่งวิชชา หลวงพ่อท่านจำชื่อแม่นทุกคน เวร ๑ เวร ๒ เวร ๓ แม่ชีรุ่น ๑ เยอะมาก รุ่น ๑ คือรุ่นตอนสงครามโลก หลวงพ่อท่าจะจัดเวรดีมาก คือรุ่นเก่าผู้ใหญ่หน่อย ท่านก็ให้อยู่เวรดึก เพราะว่าเด็กๆ ต้องเรียนหนังสือ เรียนหนังสือกันเยอะเพราะเขาเอามาทิ้งเป็นลูกกำพร้า หลวงพ่อท่านจึงเป็นทั้งพ่อทั้งแม่


    ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก แทบไม่ได้พักผ่อน และท่านมีบุญมาก ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆ องค์ ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา ผิวท่านผ่องใส พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว


    แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ แก้ให้เป็นดี จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน ให้เซฟมันไป ไม่มีหรอก มีแต่ให้มันดีขึ้น


    **************************************************************************


    แม่ชีทวีพร เลี๊ยบประเสริฐ

    เรื่องของการทำวิชชานั้น หลวงพ่อให้ทำวิชชาแก้ เภทภัยของประเทศ และรักษาโรค มีคนมาขอให้หลวงพ่อเรียกฝนก็มี เป็นคนทำนาแถวๆ สุพรรณ ให้ทำนา ทำสวน ทำไร่กันได้ แล้วฝนก็ตกจริงๆ จะช่วยกันในโรงงานมีอะไรก็ช่วยกัน ในห้องนั้นห้ามนำอาหารเข้าไปกิน เวลาแขกมาห้ามพาแขกเข้าไปในโรงงานทำวิชชา คนป่วยที่จะให้รักษาต้องเขียนชื่อสกุลที่อยู่ เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้หลวงพ่อ ท่านก็จะให้แม่ชีแก้อีกครั้งหนึ่ง บางคนใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหาย และเมื่อเวลากลับบ้านแล้ว ต้องปฏิบัติธรรม และถือศีลด้วย ก่อนนอนต้องนั่งธรรม ๑๐-๒๐ นาที อย่างโรคภัย ไข้เจ็บ อาการบ่งบอกว่าจะตาย ในระยะเท่านั้นเท่านี้ พอหลวงพ่อส่งคนไปรักษาคนนั้นก็ไม่ตาย วิธีรักษาก็ไม่ต้องกินยา ใช้กายองค์พระธรรมกาย กลั่นธาตุธรรมให้ใสให้สะอาด อันนี้ต้องทำเรื่อยๆ ต้องไปรักษาคนถึงในโรงพยาบาลก็มี อยู่ตามห้องพิเศษ หมอรักษาทางนอก เรารักษาทางใน หลวงพ่อท่านส่งไป หมอพบเห็นแม่ชีนั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยเขาก็รู้ แล้วก็หลบให้


    เวลานั่งสมาธินั้นต้องนั่งให้มีความสุข ไม่ให้มีกิเลสตัณหา บางทีหลวงพ่อก็สั่งให้ไปนรกสวรรค์... หลวงพ่อเคยสั่งให้ไปตามคนมา เขาจะเอาไปนรก ต้องให้ตามกลับมา รู้ว่าต้องตายตอนนี้ แต่อย่าพึ่งให้เอาไป เอาไว้สร้างกุศล หลวงพ่อท่านจะส่งคนไปสอนธรรมะข้างนอกด้วย ตอนนั้นจะมีแม่ชีทองสุข ส่วนตัวฉันหลวงพ่อก็ให้ไปสอนธรรม ๕-๖ วันก็กลับ หลวงพ่อให้ไปสอนที่ฉะเชิงเทรา ส่วนมากจะไปตามวัด ตั้งแต่หลวงพ่อสิ้นก็ไม่ได้ออกไปสอนธรรมะที่ใดอีก


    **************************************************************************


    แม่ชีพราหมณ์ ช้างเขียว

    หลวงพ่อเป็นคนจริงจัง ทำอะไรทำจริงทำจัง พูดจริง ทำจริง พูดเรื่องอะไรก็ตาม รับรองได้เลยไม่มีคลาดเคลื่อนเลย คำพูดของท่านวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ไม่ดุ แต่ไม่รู้ทำไมกลัวท่าน ท่านรู้หมดแหละว่า ลูก ๆ ท่านเป็นยังไงเวลาเทศน์ ใครสักคนกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านก็เทศน์แทงใจเลย คนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง เรากลัวก็กลัว แต่ก็รักหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ช่างปั้นรูปหล่อของท่านไว้ ท่านจะเดินไปให้ช่างดูตัวทุกวัน ท่านรู้ว่าท่านจะเริ่มป่วย ก็เลยให้ช่างปั้นรูปท่านไว้ ภายในบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มากมาย ฉันจำได้ตอนหลวงพ่ออายุราวๆ ๗๐ ปี หลวงพ่อผิวขาวสวยงามมาก ท่านดูผ่องใสมาก น่าเลื่อมใสศรัทธามาก ยิ่งตอนหลวงพ่อห่มจีวรใหม่จะดูหลวงพ่อสว่างทีเดียว


    เวลาหลวงพ่อเทศน์ ถ้าวันไหนมีพระลงน้อย ท่านก็จะบอกว่า วันนี้พระแพ้แม่ชี แล้วท่านก็จะไม่เทศน์ด้วย พระก็จะต้องรีบวิ่งไปตามพระมา ตามมาจนเต็มโบสถ์ วันหลังพระก็เข็ด เวลาเทศน์ถ้ามีคนตะบันหมาก ท่านก็จะหยุดเทศน์ รอให้ตะบันเสร็จก่อน น่ากลัวมั้ยละ คนกำลังเทศน์อยู่ดีๆ ก็หยุดเทศน์ไปเฉยๆ วัยพฤหัสหลวงพ่อจะลงมาสอนธรรมะ ถ้าใครส่งเสียงดังรบกวน ท่านก็จะพูดไปเลยว่า เดี๋ยวหูหนวกนะ รบกวนคนกำลังปฏิบัติ เวลาจะมีผู้ใหญ่มาวัดปากน้ำ หลวงพ่อจะเดินตรวจวัด เดินไปตามทาง มองไปทางโน้นที ทางนี้ที ทุกคนรีบเก็บเสื้อผ้า เรียบร้อย รู้เลยว่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มา


    หลวงพ่อท่านเป็นคนประหยัด ละเอียดถี่ถ้วน เดินไปตามถนนท่านเจอเศษไม้เป็นท่อน ท่านเก็บเอามา ท่านบอกว่าเอาไว้ทำฟืนได้ พวกผ้าขี้ริ้วมันขาดแล้วก็อย่าเอาไปทิ้ง ปะมันจำเป็นอะไรมันรั่วขึ้นมา เอาน้ำมันยางโปะมันก็กันได้ ชั่วระยะไม่ให้ทิ้ง แล้วที่ล้างชามอย่าไปเทพรวดๆ ค่อยๆ ริน เอาน้ำออก แล้วไอ้ที่ก้นๆ ไปให้หมู ให้หมากินก็ได้ ท่านสอนละเอียดเลย สอนบ่อยๆ สอนมากๆ เข้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าไป สมัยนี้ไม่มีใครทำหน้าที่สอนเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย


    **************************************************************************


    ลุงประคอง ทับจ้อย

    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านไม่ดุหรอก แต่ผิดวินัย ผิดระเบียบไม่ได้ สมัยหลวงพ่อมีพระ ๕๐๐ กว่าองค์ ใครมาทิศเหนือทิศใต้ที่ใดมาท่านรับหมด ถ้าพระมาขออยู่ด้วย ท่านจะถามประเด็นแรกว่า เราเรียน เราศึกษานะ ห้ามหยิบอัฐนะ แล้วค่อยถามว่าอยู่กับใคร มีที่อยู่หรือยัง จีวรมีไหม มุ้ง เสื่อ มีไหม ถ้าไม่มีท่านก็เรียก “ยูร มาจัดของให้พระหน่อย” ลุงประยูรเป็นอุปัฏฐากท่าน ดูแลเรื่องการเงินการทองทุกอย่างในวัด หลวงพ่อท่านไม่จับเงิน และพระเณรของหลวงพ่อต้องแต่งตัวเรียบร้อย ห่มเหมือนกันหมด เณรห่มลดไหล่ ห่มดอง พระห่มคลุม พระที่อยู่วัดต้องปฏิบัติตามและไม่ต้องบิณฑบาต เลี้ยงเองหมด เลี้ยงมาตลอด พอหลวงพ่อสร้างโรงเรียนเป็นตึกเอนกประสงค์ ๓ ชั้น พระเณรก็สงสัยกันว่าสร้างให้ใครเนี่ย เพราะสมัยนั้นถือว่าเป็นตึกที่ทันสมัยที่สุด แถวนี้ ไม่มีใครสร้างเลย หลวงพ่อท่านออกพระของขวัญมอบให้สำหรับผู้สร้างโรงเรียน องค์ละ ๒๕ บาท ถ้าใส่กรอบเงินก็ ๓๐ บาท และถ้าทำก็ต้องมารับเอง ลูกก็ต้องมารับเองกับมือ รับแทนกันไม่ได้ถึงแม้จะทำมากกว่า ๒๕ บาทก็ต้องรับองค์เดียว


    หลวงพ่อท่านจะเป็นพระที่ไม่ค่อยคุย แต่ท่านพูดอะไรจะพูดล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี อย่างเช่น สายบางนา ท่านบอกว่าต่อไปจะเป็นสายใหญ่ สายนี้จะไปจังหวัดตราด จังหวัดชลบุรี ท่านพูดเป็นสิบๆ ปี ทั้งที่ยังเป็นสวนเป็นทุ่งนาอยู่ เห็นหมู่บ้านไกลลิบๆ


    ตอนสงครามโลกช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน แปลกมันกัดกันตายเป็นกองเป็นเข่งเลย ก็ไปบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมดมันกัดกันตาย เต็มถนนไปหมด หลวงพ่อท่านก็บอก “อือ อีก ๗ วันสงครามจะเลิก” หลวงพ่อพุดก็เลิกจริงๆ อีก ๗ วันสงครามเลิกเลย ท่านไม่พูดอะไรมาก พูดน้อย พูดแต่คำสองคำก็เข้าโรงงานเลย


    **************************************************************************


    พระอาจารย์สุวิชา เปสโล คณะเนกขัมม์ วัดปากน้ำ

    เมื่อก่อนวัดปากน้ำไม่มีอะไรหรอก ริเริ่มก็เป็นวัดเก่าแก่ กุฏิก็มีไม่กี่หลัง สมัยหลวงพ่อที่นี่ก็เป็นสวนพลู สวนหมาก สวนมะพร้าว สวนเงาะ กุฏิเป็นกุฏิเล็กๆ ยกขึ้น ปลูกด้วยไม้สัก พักได้องค์เดียว อยู่ตามร่องสวน สมัยหลวงพ่อ ตึกยังไม่มี ยกโรงกลางสนามวัดให้พระได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม ไม่ได้สร้างอะไร อยู่มาพระเณรมากขึ้น ไม่มีที่ศึกษาเล่าเรียน มีคนเขาให้หลวงพ่อช่วยสร้างโรงเรียนขึ้นสักหลัง ต่อมาจึงมีการสร้างพระของขวัญขึ้น องค์ละ ๒๕ บาท เพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนหลวงพ่อบอกว่า เราต้องสร้างคนเสียก่อน ให้มีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ให้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักบุญ รู้จักบาป รู้จักคุณ รู้จักโทษ เดี๋ยวเขาก็สร้างเอง เขามีศรัทธาเดี๋ยวเขาก็สร้างเอง ไม่ต้องบอก แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อสอนทุกเช้า คือเมื่อพระภิกษุสามเณรบวชมาแล้วให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ต้องวิ่งไปหาญาติโยม ให้อยู่ในวัด ประพฤติปฏิบัติให้ดี เมื่อเราประพฤติปฏิบัติดี เดี๋ยวเขาก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาก็เอาอาหารมาถวายเอง หลวงพ่อมีอุดมคติอย่างนั้น พระภิกษุสามเณร อุบาสก แม่ชีจึงต้องปฏิบัติกันทุกคน ไม่ต้องกลัวอด ถ้าอดเป็นอด ตายเป็นตาย ขอให้เราประพฤติ ปฏิบัติจริง ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยจริง มนุษย์ไม่เห็น เทวดา ผีสางก็เห็นเขาก็สรรเสริญเอง


    หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่ให้จับเงิน จับทอง แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อสด ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่ ท่านให้เราเป็นเสาหิน เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย มีครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์ ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากจะทำก็ทำไป เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราหยุด หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร เราไม่หนี เราไม่สู้ แต่เราปฏิบัติ เราก็ทำความดีของเราเรื่อย เดี๋ยวไอพวกมาร พวกอิจฉาก็หายไปเอง เรานั่งเฉย ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร เขาด่าเราภายใน ๗ วัน เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง ไม่โต้ตอบ ชนะด้วยความดี


    ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์ หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้ อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ


    **************************************************************************


    แม่ชีศรีปรุง อุบลนุช

    พอตี ๓ แม่ชีต้องลุก ตวงน้ำใส่แก้ว ตั้งตามโต๊ะ กระโถนอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องตวงน้ำแล้วมีแก้วกับขวดตั้งสะดวกสบาย หลวงพ่อท่านเคยเรียกแม่ชีและบอกว่าโต๊ะตรงนี้นะ กระโถนตั้งตรงนี้ ตั้งเป็นระยะๆ ผ้าจะปูตรงกลางแล้วมีแก้วน้ำ กาน้ำแก้วน้ำนี้ต้องตวงด้วย ท่านบอกต้องทำให้สะอาดนะ ทำไปนะกุศลใหญ่ บุญใหญ่ สมัยนั้นยังใช้น้ำกรองตักจากแท้งค์ใหญ่ หลวงพ่อจะลงฉัน เวลาพระฉันก็ได้ยินแต่เสียงช้อน ไม่ให้คุยกัน พระเยอะๆ ก็ไม่ให้นั่งคุย ถ้าคุยท่านก็จะถาม “ฉันข้าวหรือกินเหล้า” ไม่ให้พูด ได้ยินแต่เสียงช้อนเพราะว่าเป็นชามกระเบื้อง แต่ก่อนแม่ชีท้วมเป็นแม่ครัวดูแลครัวทั้งหมด มาอยู่ก่อน ๕ ปี แม่ชีเขาจะมีเวรทำวิชชาไม่ขาดสาย พอเวรนี้ออกคนโน้นก็มาแทนเปลี่ยนเวรกัน ไม่ให้ขาด หมุนเวียนไปเรื่อยๆ แล้วจะจัดสำหรับเอาไว้ให้ต่างหาก


    **************************************************************************


    แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย

    วิชชาในโรงงาน หลวงพ่อจะเป็นคนสั่งวิชชา พูดผ่านฝากระดานที่กั้นไว้ ชีแถบหนึ่ง พระอยู่อีกแถบหนึ่ง มีที่กั้นแยกกันชัดเจน หลวงพ่อสอนทุกๆ คนเหมือนกัน ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร มีครั้งหนึ่งตอนท่านป่วยหนักเป็นปีที่ ๑๓ ที่ฉันมาอยู่กับหลวงพ่อ วันนั้นท่านให้คนมาเรียก ท่านถามว่า "เอ้าสั่นหายหรือยัง" สั่นก็คือไม่สบาย ฉันก็ตอบว่าค่อยยังชั่วแล้ว ท่านบอกว่า "ทำวิชชาไว้นะ ทำได้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ทำ เราจะไม่ได้" สั่งคำนี้ ท่านสั่งไว้ ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชา ๒๔ ชั่วโมง หลวงพ่อไม่เคยห่าง ทำวิชชาตลอด หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย มีครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม ช่วงกลางคืน คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน(หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น


    **************************************************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2008
  9. matakalee

    matakalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +367
    ภาคชีวประวัิติ <O:p</O:p


    เรื่อง เมื่ออาตมาเรียนกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ
    โดยพระราชสุทธิญาณมงคล<O:p</O:p



    <O:p</O:p

    จากหนังสือกฎแห่กรรมเล่มที่ 8
    <O:p</O:pโอกาสบัดนี้ อาตมาภาพจะแสดงพระธรรมเทศนา ในการบำเพ็ญกุศลทักษิณาทานอุทิศถวายแด่พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ท่านได้มรณภาพไปสู่สัมปรายภพ ปรารภ ๖ ปีในปีนี้แล้ว คณะญาติ ศิษยานุศิษย์มี ท่านอาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]มหาสุภาพ เขมรํสี</st1:personName> พระมหาบุญชิต ญาณวีโร พร้อมทั้งคณะ อุบาสก อุบาสิกา ถือว่างานนี้เป็นงานอุทิศถวายแด่พระเดชพระคุณ ครูบาอาจารย์ที่เคารพสักการะอย่างสูง ในวันนี้ ท่านสาธุชนศิษยานุศิษย์ทั้งหลายโปรดสำนึกสมัญญาในการบูชาคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ที่ว่า<O:p</O:p
    ข้อ ๑. เราได้ความดีอะไรจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์บ้าง
    ข้อ ๒. เมื่อได้ความดีจากท่านแล้ว เรานำไปเผยแพร่ขยายที่ไหนบ้าง
    ข้อ ๓. มีประโยชน์ต่อตนเองหรือไม่ และนำไปใช้ประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือไม่
    ข้อ ๔ จุดมุ่งหมายและเป้าหมายของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์คืออะไร น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ ไม่ยึดมั่นความดีของครูอาจารย์ไปแพร่ขยาย วันนี้เป็นวันบูชาความดีของอาจารย์ คนที่ไม่มีความดีเมื่อตายไปแล้วชื่อหาย เพราะไม่มีอนุสรณ์ความดี แต่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์มีความดีที่ประทับใจ เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา เดี๋ยวนี้เป็นวิปัสสนาจารย์กันทั่วประเทศ สอนผิด ไม่เอาของครูบาอาจารย์ไปเผยแผ่เลย อวดรู้ อวดดีต่อครูบาอาจารย์ ไม่เคารพ ไม่สักการะ ไม่มีการบูชานับถือครู และบรรดาญาติสนิทมิตรสหายมาแตกคอกัน ไม่มีการเชื่อฟังแต่ประการใด อาตมาเสียใจอย่างยิ่งที่เราได้สูญเสียอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย และยิ่งใหญ่ในโลก ไม่มีใครเทียบเท่าพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์<O:p</O:p
    วันนี้อาตมาจะมาเทศน์ว่า อาตมาได้รับความดีอะไรจากวัดมหาธาตุฯ และท่านเจ้าคุณอาจารย์ แล้วนำความดีนี้ไปเผยแพร่ขยายต่อไปหรือไม่ มีอานิสงส์ปฏิเวธธรรมบ้างไหม ทุกวันนี้หมายความว่าอะไร บวชแล้วออกไปธุดงค์ตามถ้ำตามเหว นักธรรมตรีก็ไม่เรียน ฟังข้อคิดกันก่อน ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมฟังหรือจะได้ยิน ไม่ยอมทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย ท่านคณะศิษยานุศิษย์ อุบาสกอุบาสิกาได้รับความดีอะไรจากท่านเจ้าคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="อาจารย์บ้าง คิดดูนะ">อาจารย์บ้าง คิดดูนะ</st1:personName> ไม่ใช่มานั่งเอาบุญ ฝรั่งชอบมาหาธรรมะ แต่คนไทยทราบกันดีแล้วว่าวันนี้ทำบุญอุทิศกุศลให้ครูบาอาจารย์ บางคนก็มาสักหน่อย หรือฝากเงินมาทำบุญ แต่ไม่ปฏิบัติความดีที่ท่านให้เราไว้ ไม่เอาบุญมาใส่ใจคือความสุข เดี๋ยวนี้คนส่วนมากลืมพระอาจารย์ ลืมตัว ลืมตาย ลืมกาย ลืมแก่ ลืมแม่ ลืมพ่อ รักเมีย เสียไม่ได้ วันนี้เรามาบูชาท่านเจ้าคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="อาจารย์ ไม่ใช่เปตานัง">อาจารย์ ไม่ใช่เปตานัง</st1:personName> ทักขิณัง ไม่ใช่บูชาครูวันพฤหัสบดีที่บูชาด้วยดอกมะเขือ ดอกมะลิ แต่ ๑. สักการะ ๒. เคารพ ๓. บูชา ๔. นับถือ ๕. เชื่อฟัง วันนี้จึงมี ๕ ประการที่มาบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ <O:p</O:p
    สักการะคืออะไร สักการะแปลว่าเอาใจใส่ ภาษาบาลีแปลอย่างนี้ ตีความหมายให้สั้นคือ เอาใจใส่ครูบาอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="ของเรา เคารพคืออะไร">ของเรา เคารพคืออะไร</st1:personName> ไม่ใช่มากราบไหว้กลับไปแล้วหัวผงก ๆ เรียกว่าเคารพนี้เป็นเคารพแบบปลอม เคารพจริงต้องเคารพถึงใจ หมายความว่าต้องมั่นใจต่อครูบาอาจารย์ ไม่ประพฤติตัวเหลวแหลกแตกราญ หละหลวม เหลาะแหละ เหลวไหลด้วยประการทั้งปวง และโยมมีพ่อแม่ ต้องเอาใจใส่ มั่นใจต่อพ่อแม่ และต้องเอาใจใส่มั่นใจต่อครูบาอาจารย์ของเรา อย่าไปมั่นใจคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง สับสนอลหม่านแล้วท่านจะไม่ได้อะไรเลย จะไม่ได้ความดีจากครูบาอาจารย์ <O:p></O:p>
    บูชาคืออะไร ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจ บูชานะธูปดอกเดียวหลายดอกก็ได้ แต่ใจจริงไม่มีเลยนะ ทำวันทยาวุธ วันทยาหัตถ์ ตามแบบฟอร์มเป็นเพียงอามิสบูชา แต่ถ้าเราน้อมระลึกในใจว่า จะปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="สอน มีทาน">สอน มีทาน</st1:personName> ศีล ภาวนา ให้มั่นคงดำรงไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการปฏิบัติบูชา แล้วจงน้อมระลึกนึกถึงตัวเองว่าได้บูชาวงศ์ตระกูล บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง บูชาความรัก หรือไม่ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ให้สมบัติแล้ว ให้ชื่อเสียงเรียงนาม และความรักแก่เราอย่างดี เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ด้วย ให้ทั้งความรัก ความรู้ ให้ทั้งงานและหน้าที่ครบทุกประการแล้ว ญาติโยมเอาไปใช้ตามนั้นหรือไม่ ไม่ใช่มากราบรูปภาพของท่านแล้วใช้ได้ แต่ไม่ปฏิบัติตามที่ท่านสอน <O:p
    นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังสอนให้รักกัน ญาติพี่น้องอย่าแย่งสมบัติกัน ท่านเทศน์เสมอต้องเคารพพ่อ เคารพแม่ คนเราที่มันเลวเพราะไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่เคารพครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ประเพณีวัฒนธรรมของชาติก็เหลวแหลกแตกลาญเพราะไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ เมื่อก่อนนี้อาตมาต้องสรงน้ำให้ครูบา-อาจารย์ ล้างเท้าให้ท่านทุกวัน รินน้ำร้อนน้ำชาและพัดวีให้ท่านเสมอ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว<O:p></O:p>
    นับถือคืออะไร คือ ยึดเข้ามาไว้ในใจของเรา ท่านเจ้าคุณอาจารย์สอนเสมอว่า พี่น้องอย่าทะเลาะกัน สามีภรรยาอย่าทะเลาะกัน บ้านไหนที่สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นบ้านอัปมงคล สร้างกุศลไม่ได้ ท่านเจ้าคุณอาจารย์สอนนักสอนหนาในโบสถ์วัดมหาธาตฯ อาตมาได้ความดีจากวัดนี้ ทำให้สามารถเลี้ยงคนเป็นพัน เงินไหลนอง ทองไหลมา ขอให้เชื่อครูบาอาจารย์ เคารพจริงทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงจะมีเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เชื่อฟังคืออะไร เชื่อฟังหมายความว่าเราปฏิบัติได้ ๔ ข้อแล้ว นำคำสั่งสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์ของเราไปชี้แนะ แสดงเหตุผลแก่ตนและครอบครัวพร้อมทั้งประชาชนทั่วไป เดี๋ยวนี้อาตมามองเห็นแล้วไม่มีใครเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโกทั้งนั้น <O:p</O:p
    ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกฝรั่งมากันมาก มาหาธรรมะ แต่คนไทยชอบหาบุญ ท่านได้ส่งศิษย์ไปสอนต่างประเทศมากมาย และที่อังกฤษท่านไปอยู่มาและเล่าให้อาตมาฟัง อาตมาจำได้หมดไปสอนลูกได้นะ หนูทั้งจดทั้งจำ สิ่งใดงามอย่าได้งด หนูทั้งจดหนูทั้งจำ นี้ได้จากท่านเจ้าคุณอาจารย์ อาตมาจำคำสอนของท่านได้แม่น นับถือท่าน เชื่อฟังท่าน และปฏิบัติตาม ถ้าไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตามแสดงว่าไม่ใช่ลูกศิษย์แน่นอน จะมาพูดให้เชื่อถือไม่ได้ ต้องวิจัยประเมินผล ไตร่ตรองด้วยปัญญาก่อน ที่อาตมาได้จากท่านสิ่งละอันพันละน้อยเหลือกินเหลือใช้ตลอดมา ตอนที่ท่านไปเทศน์ที่อินทร์บุรี ท่านบอกสร้างความดีกันเถิดจะเกิดผลเป็นมหามงคลสมัยในชีวิตด้วยการเจริญพระกรรมฐาน มีบทความดังกล่าวแล้วทุกประการ<O:p></O:p>
    นี่ ๕ ประการนี้แหละทำบุญกุศล แล้วมาเข้ามูลนิธิกัน อาตมาชอบเงินงอก ท่านทั้งหลายถ้าท่านไม่ชอบเงินหมด ทำใจให้สดชื่น ทำใจให้มีสติปัฏฐาน ๔ อย่าทำใจให้เหี่ยวแห้ง มันจะแล้งน้ำใจ คนที่แล้งน้ำใจ เงินก็หมด เงินก็ไม่ไหลนอง ทองก็ไม่ไหลมา แล้วไปวัดมีดอกไม้ธูปเทียนกันไปทุกคน นึกว่าจะไปหาพระ แต่ไปขอหลวงพ่อในวิหารในโบสถ์ ขอให้ผัวรักหน่อย ขอให้ขายที่ดินได้หน่อย และช่วยให้รวยหน่อย ไปขอให้พระช่วยคือไปหาบุญ แต่ฝรั่งมังค่าแสวงหาธรรมะ ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม ส่วนคนไทยไปหาบุญ ทัวร์บุญมาจ้ะ วันนี้ไปมา ๘ วัดแล้ว วัดอัมพวันเป็นวัดที่ ๙ เป็นวัดสุดท้าย เพราะมากินข้าว ข้าววัดอัมพวันอร่อย พอลงจากรถก็ถามให้แซ่ดว่าวัดนี้เป็นพระสุปฏิปันโนหรือเปล่า วัดนี้เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า อาตมาเลยบอกว่าวัดนี้มีแต่พระอรเห ใครมีทุกข์ก็หันก็เหไปช่วยให้เขาพ้นทุกข์ อาตมาได้ของดีจากวัดนี้ แต่โยมเล่า ถ้าเอาการเคารพบูชา ๕ ประการข้างต้นไปใส่ในใจจึงจะเป็นการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายท่านเจ้าคุณอาจารย์และท่านจะทราบด้วยญาณวิถีอย่างดี ถ้าใครหน้าไหว้หลังหลอกท่านก็รู้นะ แต่ท่านพูดไม่ออก ขอฝากให้ไปคิดโดยทั่วหน้ากัน เชื่อท่านเจ้าคุณอาจารย์เถิดจะประเสริฐที่สุด<O:p</O:p
    กาลเวลาต่อมา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) มีคำสั่งมาว่าใครที่จะรับเป็นอุปัชฌาย์ โปรดไปเข้ากรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ อาตมาไปก็พบพระมหาโชดก ปีนั้นท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูอุดมวิชาญาณเถระ ท่านบอกให้ดูในพระไตรปิฎก สอนให้ยืนด้วสติสัมปชัญญะปัพพะ สติมา สัมปชาโน พุทหายใจเข้า โธหายใจออก กับพองหนอยุบหนอน่ะอันเดียวกัน แต่เปลี่ยนที่มาไว้ที่ท้อง คือ อานาปานสตินั่นเอง ให้มีสติทุกลมหายใจเข้าออก และทำสติปัฏฐาน ๔<O:p</O:p
    บางคนมาทำกรรมฐานพอกลับไปแล้วเลิกเลย ไม่เคยเดินจงกรม ไม่เคยนั่งสมาธิ ไม่เคยกำหนดจิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทวารหกไม่เคยกำหนดรู้เลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่มาเรียน ๗ วันแล้วไปเป็นอาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="นะ อาตมามาอยู่">นะ อาตมามาอยู่</st1:personName> ๖ เดือนไม่ได้ญาณสักที พระอาจารย์บอกว่าพรุ่งนี้จะมีเทศน์ลำดับญาณแล้วท่านก็ตรวจสอบว่าองค์ไหนจะฟังเทศน์ได้บ้าง คัดเลือกให้ไปฟัง อาตมานึกโกรธว่าท่านน่าจะให้อาตมาฟัง จะได้รีบกลับวัด เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าอาจารย์ท่านเมตตามาก เพราะอาตมายังไม่ได้อะไร ถ้าไปฟังเทศน์ลำดับญาณก็จะฟังไม่รู้เรื่องและจะกลายเป็นวิปัสสนึก คือนึกเอาตามใจชอบ ทำให้เสียหายมาก อาตมาอยู่เป็นเวลานาน ศึกษาปฏิบัติอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่ได้ช้าเพราะโตแล้วมีกังวลมาก มีสามเณรองค์หนึ่งชื่อ ทองดี ท่านดีกว่าอาตมาอีก เพราะยังเด็กไม่มีกังวล ท่านได้ผลสมาบัตินั่งได้ ๒๐ ชั่วโมง รุ่นเดียวกับ อาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="แพง ที่วัดนี้">แพง ที่วัดนี้</st1:personName> อาตมาเลยบอกเณรพรุ่งนี้อย่างเพิ่งฟังเทศน์ลำดับญาณนะ ไว้ฟังพร้อมกัน เทศน์ลำดับญาณน่ะไม่ใช่ฟังง่าย ๆ นะ ปฏิบัติ ๗ วันแล้วฟังนะ ที่นี่ไม่ได้นะ ต้องรักษาขนบธรรมเนียมของท่านไว้<O:p</O:p
    อาตมาได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ โดยอาจารย์พม่ามาเทศน์และมีทูตมาแปลเป็นภาษาไทย ฟังพร้อมกับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เดิมทีอาตมาไม่ทราบว่าท่านมานั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ พอดีท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปสอบอารมณ์ อาตมาก็ตามไปฟัง หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์ การเป็นครูอาจารย์สอนกรรมฐานมิใช่ง่าย อยู่ปริวาส ๗ วันแล้วออกมาสอนกรรมฐานกันตามบ้านนอกน่ะ สอนผิดกันมากน่าเสียดาย อาตมาเองได้เคล็ดลับจากท่านเจ้าคุณอาจารย์ ตามท่านไปสอบอารมณ์ที่เรือนจำบางขวาง ฟังว่าท่านสอบอย่างไร ถามอย่างไร ลีลาทางไหน จดจำไว้จึงจะเป็นครูได้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง พอทำได้พองหนอยุบหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เป็นครูเลย เป็นได้ที่ไหนกันเล่า บางคนขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ตาไปอยู่บนหลังคา บางคนขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ แฟนไม่มาเยี่ยมเลยหนอ เห็นแฟนคนอื่นมาหนอ นี่หรือกรรมฐาน มันเพี้ยนมากมายนะ ขอฝากไว้ สิ่งสำคัญมากเมื่อกลับไปแล้ว คิดหนอ หายใจยาว ๆ กำหนดคิดหนอที่ลิ้นปี่ แล้วจะคิดออก ไม่ต้องไปหาหมอดูที่ไหน เราเป็นพิเภกโหราอยู่ในสุวรรณพลับพลา คือตัวสติ พระลักษณ์พระรามคืออะไร เขียวชอุ่มเป็นพุ่มไสวคือพระราม บริสุทธิ์ขาวสะอาดหมดจดคือพระลักษณ์ศรีอนุชา ส่วนไอ้ทศกัณฑ์มันไม่เป็นตัวของมัน เอาจิตไปฝากไว้กับคนอื่น มันจึงต้องตายเพราะไอ้ลิงรับอาสามา นี่ออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจน อาตมาได้ความดีจากท่านเจ้าคุณไปมาก จำทุกกระเบียดนิ้วเลย และจดไว้เล่มเบ้อเร่อ เทศน์ลำดับญาณที่ท่านเจ้าคุณนิมนต์อาจารย์ชาวพม่ามาเทศน์เป็นภาษาธรรมยังอยู่ครบ อาตมาจดไว้และจำได้หมด เพราะรักและเคารพครูบาอาจารย์จึงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จะพิมพ์เป็นเล่ม แล้วเอามาฝากไว้ที่นี่ด้วย แต่ไม่ขาย เอามาฝากไว้เป็นหลักต่อไป<O:p</O:p
    พ.ศ. ๒๔๙๙ พระพิมลธรรมให้อาตมาไปช่วยงานที่จังหวัดร้อยเอ็ด ช่วยอยู่ปีครึ่งแล้วกลับมาเป็นสมภารเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน หลวงพ่อใหญ่ พระพิมลธรรมได้มีจดหมายไปให้เปิดสำนักได้ กุฏิกรรมฐานหลังแรกหญิงสองร่างนางสองชาติเป็นผู้สร้าง พ.ศ. ๒๕๐๑ เปิดสำนักปฏิบัติธรรม พระพิมลธรรม พร้อมด้วยท่านเจ้าคุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="อาจารย์ พระครูธรรมบาล">อาจารย์ พระครูธรรมบาล</st1:personName> และพระครูอีกหลายพระครูของวัดมหาธาตุฯ ไปหมด ไปเรือเมล์ไม่มีรถ สมัยก่อนการเดินทางทุรกันดารมาก เปิดสำนักวิปัสสนากรรมฐานแล้ว อาตมาก็เอารูปหลวงพ่อใหญ่และรูปครูบาอาจารย์ตั้งไว้แล้วปฏิบัติตาม อยู่มาไม่ช้าตำรวจมาวัดอัมพวันบอกให้เอารูปอาจารย์กรรมฐานลงให้หมด เป็นพวกคอมมิวนิสต์ อาตมาไม่ยอม เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เอาลง สึกเป็นสึก ปืนก็มี ๒ กระบอกจะกลัวอะไร นี่ปืนเอ็ม ๑๖ ยิงตายนะ อ่อนน้อม ถ่อมตน ปากหวาน ตัวอ่อน มือเป็นหงอนตายเลย กลับไปเลย ปืนนี้ใช้ลูก ๑๐ ลูก ยิงตายเลยนะ บอกพวกกรรมฐาน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ องค์อื่นหัวหดกันหมด องค์นี้หดไม่ได้ ไม่ใช่เต่า ต่อมาตำรวจมาอีก อาตมาบอกจะจับก็จับไปเลยแต่อย่าเอารูป ลงนะ จะเจอข้อหาทำลายทรัพย์ ครูบาจารย์ของเราจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไรในเมื่อสอนคนให้เป็นคนดี นี่องค์นี้สู้นะ ส่วนเปรียญรุ่นเดียวกันหนีหมดเลย เอารูปพระพิมลธรรม และรูปท่านเจ้าคุณอาจารย์คว่ำหมด อาตมาไปเห็นเลยขอเอามาล้าง วัดอาตมาเดิมมีกุฏิกรรมฐาน ๒ หลัง บัดนี้ไปดูซิ เพราะได้ความดีจากวัดมหาธาตุฯ จึงมีห้องส้วม ๓๐๐ ห้อง โรงครัวเลี้ยงคนวันละพัน มีข้าวสารเดี๋ยวนี้หมดไปแล้ว ๓๕๐ กระสอบ คริสต์ อิสลามก็เอามาให้ เขามาทำไม? เขามานั่งกรรมฐาน อาตมาจึงได้ตำราจริงออกมาเลยว่าคนไทยชอบบุญ ทำบุญแบบคนไทย พระก็ให้พรเกินโควต้า โยมค้ากำไรเกินควร ทำบุญบาทเดียว แต่จะเอา ๑๒ ล้าน ธรรมไม่เอา มาบวช ๗ วัน บอกบวชเอาบุญ มีห้องแอร์ไหม มีพัดลมไหม อดอยากปากแห้งไหม วัดนี้ไม่มี มีแต่บวชสร้างบุญหาธรรม แสวงกุศลให้แก่ตน ไม่ใช่ไปบวชเอาบุญ กินแล้วก็นอน ให้หวยอำนวยพร อย่างที่ไปกันตามวัดตามวานะ อย่างนั้นโง่ที่สุด คนที่ไร้บุญขาดวาสนาน่ะมี ๔ ขี้ ๑. ขี้เกียจ ๒. ขี้โกง ๓. ขี้อิจฉา ๔. ขี้ริษยา สรุปแล้วประเมินเป็นข่าวกรองได้ว่า ฝรั่งต่างชาติชอบมาหาธรรมะ คนไทยขาวพุทธชอบไปหาบุญ ไปนั่งในวัดก็ได้บุญ ไปเป็นหนี้สงฆ์ก็ไม่รู้ สร้างความดีก็ไม่ได้ คนไทยส่วนมากชอบเอาบุญ หัวหงอกหัวดำขอประทานโทษอาราธนาศีลไม่เป็น บางคนเอาลูกไปบวช กินเหล้าเมาสุรากันในวัด บวชเอาบุญ ไม่ต้องทำอะไร จะเดินไปไหนก็เป็นอาบัติ กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน สึกเข้าเมาเย็นแล้วก็มีชนักปักหลังเป็นกฎแห่งกรรมติดตามตัวไป แล้วไปพูดกันในสังคมว่าบวชไม่ได้เรื่องได้ราวแต่ประการใด ถูกต้องขอฝากไว้เพราะเธอไม่เอาเรื่องไม่เอาราวมาตั้งแต่บ้านแล้ว <O:p</O:p
    อาตมาจำได้ว่าหลวงพ่อพระธรรมธีรราชมหามุนีท่านเตือนอาตมา ท่านบอกว่า นี่ท่านพระครู ตอนนั้นอาตมาเป็นพระครู ท่านบอกว่า พวกที่มาบวชน่ะ ถ้าเขาไม่มีศรัทธาอย่าบวชให้นะ ถ้าเขามีศรัทธาบวชให้เลย เพราะท่านมีประสบการณ์ตอนเป็นเจ้าคณะภาค พวกที่พ่อแม่ยัดเยียดให้บวชน่ะมีปัญหาและทำความเสียหายมาก อาตมารับคำสอนของท่านใส่เศียรเกล้า จำได้จนบัดนี้ มีความหมายมาก นอกจากนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังบอกอีกว่า นี่เจ้าคุณ อาตมาเป็นเจ้าคุณแล้วก่อนท่านมรณภาพ นี่เจ้าคุณเอาตำราใช้ให้ถูกต้องนะ จะมีความรู้มากน้อยไม่สำคัญ ปฏิบัติและสอนตามที่รู้มาก็แล้วกัน อาตมาจดแล้วจำ บันทึกไว้เล่มเบ้อเร่อเลย ความรู้ ความดีที่ครูอาจารย์มอบหมายให้เรา เราต้องรักษาไว้เหมือนทรัพย์ ชื่อเสียง ความรัก เราจึงมีชื่อเสียงมาจนบัดนี้ และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ยังเทศน์อีกว่า เราทั้งหลายเจริญวัยชันษามาได้ เพราะพ่อแม่ชุบเลี้ยงเรามา เราได้รับเรือน ๓ น้ำ ๔ ของพ่อแม่กันมาดีทุกคน เรือน ๓ คือ เรือนครรภ์ เรือนตักที่แม่อุ้มใส่ตัก และเรือนที่อยู่อาศัยที่พ่อแม่หาไว้ให้ ส่วนน้ำ ๔ คือ น้ำนม น้ำคำลูกจำแม่ให้พร น้ำพักน้ำแรงที่พ่อแม่หาเลี้ยงเรา และน้ำใจที่ไม่มีอะไรเทียบได้เลย เราจึงควรมีความกตัญญูกตเวทิตาธรรม อาตมาจำสิ่งละอันพันละน้อยจากคำสอนของท่านเจ้าคุณอาจารย์ แล้วปฏิบัติตาม ได้ผลมาจนบัดนี้ ขณะนี้เด็กอยู่ที่วัด ๓๐๐ คน เมื่อคืนให้โอวาทไปแล้ว บอกหนูก่อนไปโรงเรียนไหว้พ่อแม่ ๓ หน ไปถึงโรงเรียนไหว้ครูลัก ครูจำ ครูแนะ ครูนำ ครูพร่ำ ครูสอน พบคนแก่เลี่ยงทาง พบพระนมัสการนะหนูนะ หนูดูเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ราชบุตร ราชธิดา กราบเท้าพระราชบิดา พระราชมารดา กราบเท้าบนสนามหญ้า ๓ ครั้ง มันเป็นภาพที่ซึ้งใจ สอนเด็กมาจนทุกวันนี้นี่ได้จากครูบาอาจารย์ท่านสอนอาตมา ตอนที่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์มาเจริญพระกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ อาตมาก็ขออนุญาตท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปฟังสอบอารมณ์ท่านด้วย อาตมาจดจำได้ว่าจะพูดคำลีลากับสมเด็จพระราชชนนีอย่างไร ถามญาณอย่างไร อาตมาได้จากท่านเจ้าคุณอาจารย์ วันนั้นพอดีสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จด้วย อาตมาจึงได้แบบได้แผน จดจำมา
    อีกครั้งหนึ่งมีการรับสัญญาบัตรพัดยศ ท่านหลวงพ่อใหญ่พระพิมลธรรมเป็นเจ้าพิธีในโรงอุโบสถ มีสมเด็จพระวันรัตน์วัดเบญจมพบิตรฯ มาเป็นประธาน อาตมาเป็นคนปูอาสนสงฆ์ จะทำอย่างไร ทำแบบวัดมหาธาตุฯซิ ทั่วราชอาณาจักรต้องยอมตัวในเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยของวัดมหาธาตุฯ นั่งก็เสมอกัน ตั้งกระโถนอย่างไร ตั้งอะไรอย่างไร อาตมาได้นำเอาไปใช้ที่วัดมาแล้ว รักครูอาจารย์ต้องเอาไปใช้ เอาไปเป็นประโยชน์ต่อไป<O:p</O:p
    ท่านอดีตสมเด็จพุฒาจารย์ปลูกให้ลูกศิษย์ได้ดี ขอท่านทั้งหลายจงอนุรักษ์ขนมธรรมเนียมประเพณีของวัดมหาธาตุฯ ไว้ และท่านทั้งหลายเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ โปรดดำเนินงานให้ถูกต้อง ดำเนินไปในชีวิตเหมือนท่านยังอยู่กับเรา ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ท่านอยู่กับเราด้วยชื่อเสียง ความรัก โปรดรักษาชื่อเสียง ความรักนั้นให้สมบูรณ์พูนสุขเถิดจะประเสริฐมาก ท่านทั้งหลาย บัดนี้การบำเพ็ญกุศลทักษิณาทานถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณอาจารย์ในวันนี้นั้น เราก็มาสักการะ เอาใจใส่ท่านต่อไป มีของดีอะไรช่วยกันเผยแผ่แพร่ขยายคือ สักการะ และเคารพ มั่นใจต่อครูอุปัชฌาย์อาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="ของเราเท่านั้น อย่ามีครูหลายครู">ของเราเท่านั้น อย่ามีครูหลายครู</st1:personName> อาจารย์หลายอาจารย์ จะเขว จะเหหัน ไม่เป็นที่หมายตามครูสอนทุกประการ บูชาครูทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา อามิสบูชาคือผ้าผ่อนท่อนสไบ อาหารการกิน หยูกยารักษาโรค ปฏิบัติบูชาหมายความว่า พ่อแม่เราไม่มีทานให้มีทาน ไม่มีศีลให้รักษาศีล ไม่มีภาวนาก็เชิญพ่อแม่มาบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นการปฏิบัติบูชา แล้วก็ปฏิบัติบูชาอาจารย์ อย่าทำลายน้ำใจ จงช่วยนำคำสอนไปสอนตน และนับถือญาติ นับถือศิษย์ด้วยกันอย่าแก่งแย่งกันแต่ประการใด จงเชื่อฟังครูอาจารย์สมกับที่เทศน์พระคาถาที่ชี้แจงแสดงมาเป็น ปูชา จ ปูชนียานํฯ ผู้ใดตั้งใจบูชาครูอาจารย์ ตั้งใจบูชาพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพรหมของบุตรแล้ว ผู้นั้นจะเจริญมีมงคลของชีวิต เป็นข้อคิดภาวนาของท่านทั้งหลาย ขอจงดำรงไว้ซึ่งชีวิตเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ขอจงสมานฉันท์ปรองดองกันทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ท่านอาจารย์มหาสุภาพ อาจารย์มหาบุญชิต และคณะศิษย์ก็ตาม ขอให้ดำเนินการเป็นหัวหน้าและเป็นอาจารย์ใหญ่แทนต่อไป<O:p</O:p
    อาตมาขออำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลาย ที่คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์พากันบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายท่านพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ ถ้าท่านทราบด้วยญาณวิถีอันใด จะปลื้มใจ ปีติ ยินดี ในคณะศิษย์ทั้งหลายที่ดำเนินงานแทนท่านสืบไป ขอกุศลนั้นจงดลบันดาลกลับมาหาคณะศิษย์และท่านทั้งหลาย ที่เสียสละจตุปัจจัยไทยทานมาบำเพ็ญกุศลถวายในวันครบรอบ ๖ ปีในวันนี้นั้น ขอทุกท่านจงได้รับผลคืออานิสงส์แห่งการกระทำทุกประการ ขอจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ๔ ประการ มีอายุขอให้ยืนนาน วัณโณผิวพรรณผ่องใส สุขัง ขอให้สุขภาพอนามัยทุกท่านโปรดได้ใจดี โรคภัยไข้เจ็บมีก็โปรดหาย สิ่งทั้งหลายที่คิดไว้ ณ บัดนี้ และจะคิดต่อในภายภาคหน้า จงพรรณนาให้ประสบความสำเร็จเผด็จผลสมเจตน์จำนงความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ พระธรรมเทศนาที่อาตมาแสดงมาขอยุติไว้เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้<O:p</O:p
    ถอดเทปโดย : อาจารย์<st1:personName w:st="on" ProductID="พรทิพย์ ชูศักดิ์">พรทิพย์ ชูศักดิ์</st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พรทิพย์ ชูศักดิ์"></st1:personName>
    <st1:personName w:st="on" ProductID="พรทิพย์ ชูศักดิ์"></st1:personName>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2008
  10. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    มหาสติปัฏฐานสูตร : พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ


    กัณฑ์ที่ ๔๔
    มหาสติปัฏฐานสูตร
    ๑๐ ตุลาคม ๒๔๙๗


    นโม ตสฺส ถควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ถควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ถควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ


    กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกขฺ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ. อิธ ภิกฺขเว ภิกขฺ สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ วีตโทสํ วา จิตฺตนฺติ ปชานาติ. สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปาชานาติ วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ สอุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. สมหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. อวิมุตตํ วา จิตฺตํ อวิมุตตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ. อิติ อชฺฌตฺตํ วา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ พหิทฺธา วา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ. สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ. วยธมฺมานุปสฺสี วาจิตฺตสฺมึ วหรติ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาจิตฺตสมึ วิหรติ อตฺถิ จิตฺตนฺติ วา ปนฺสส สติ ปจฺจุปฏฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปติสฺสติมตฺตาย อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุ-ปาทิยติ. เอวํ โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรตีติ. ฯ




    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักแสดงใน มหาสติปัฏฐานสูตร ที่แสดงไปแล้วนั้น โดยอุเทศทวาร ปฏิเทศทวาร แสดงในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นอุเทศทวารนั้น ตามวาระพระบาลีว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย แค่นี้ จบอุเทศทวารของมหาสติปัฏฐานสูตร



    แปลภาษาบาลีว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อยํ มคฺโค อันว่าหนทางนี้ เอกายโน เป็นเอก เอกายโน อยํ ภิกฺขเว หนทางนี้เป็น หนทางเอก ไม่มีสองแพร่ง เป็นหนทางเดียวแท้ๆ หนทางหนึ่งแท้ๆ


    เอกนะ คือหนึ่ง เอโก ทฺวิ ติ จตุปญฺจ เหล่านี้ เอโก เขาแปลว่า หนึ่ง หนทางนี้เป็นหนึ่งไม่มีสองต่อไป

    สตฺตาน ํวิสุทฺธิยา ความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อความล่วงเสียซึ่งโศก ความแห้งใจ ความปริเทวะ ความพิไรรำพันเพ้อ


    ทุกฺขโมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย เพื่ออัสดงคต หมดไปแห่งเหล่าทุกข์โทมนัส ญายสฺสอธิคมาย


    เพื่อบรรลุซึ่งญาณ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี่แสดงดังนี้เพียงเท่านี้ เรียกว่า อุเทศทวาร จักได้แสดงเป็นปฏินิเทศทวารสืบต่อไป



    กตเม จตฺตาโร ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา นี้คือ สติปัฏฐานสี่ กตเม จตฺตาโร สติปฺฏฐานา สติปัฏฐาน ๔ นี่คืออะไร


    สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรบ้างล่ะ

    อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฌาโทมนสฺสํ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ สี่อย่างนี้เรียกว่าปฏินิเทศทวาร


    อุเทศทวารแสดงแล้ว อีกสองนี้เป็นปฏินิเทศทวาร อุเทศน่ะแสดงออกเป็นหนึ่งทีเดียว ปฏินิเทศนั้นแสดงออกไปเป็นสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม


    แปลภาษาบาลีว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่ศึกษาพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้า เห็นกายในกายเนืองๆ นั้นเป็นไฉนเล่า


    อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ศึกษาพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้านี้ เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ อ้ายนี้ต้องคอยจำนะ เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ ถ้าเห็นเข้าแล้วทำให้ อาตาปี เพียรเทียวเพียรให้เห็นอยู่เสมอนั้นไม่เผลอทีเดียว


    อาตาปี สมฺปชาโน รู้รอบคอบอยู่ เพียรแล้วก็รู้รอบคอบ สติมา มีสติด้วยไม่เผลอ รู้รอบคอบไม่เผลอ วิเนยฺย โลเก โทมนสฺสํ คอยกำจัด อภิชฌา ความเพ่งเฉพาะอยากได้และความโทมนัสเสียใจที่ไม่ได้สมบัติ นำอภิชฌาโทนัสในโลกออกเสีย อย่าเพ่งเฉพาะเสียใจ เพราะอยากได้แล้วไม่สมหวัง มันจะทำกายในกายให้เสื่อมไปเสีย


    อภิฌชา สำคัญนัก เพ่งเฉพาะอยากได้ เมื่อไม่ได้มันก็เสียใจเพราะไม่สมหวัง ไอ้ดีใจเสียใจนี่แหละอย่าให้เล็ดลอดเข้าไปได้ทีเดียว


    -->> เมื่อเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่แล้ว อาตาปี มีความเพียรเร่งเร้าทีเดียว มีความรู้รอบคอบประกอบด้วยสติมั่น ไม่ฟั่นเฟือนทีเดียว วิเนยฺย โลเก อภิชฌณาโทมนสฺสํ

    นำอภิชฌา และโทมนัสในโลกออกเสียได้ นี่ข้อต้น



    -->> ข้อที่สองคือ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสึ เห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน มีความรู้รอบคอบ มีสติ มั่ นไม่ฟั่นเฟือน

    นำอภิชฺณาโทมนัสในโลกออกเสีย ไม่ให้ลอดเล็ดเข้าไปได้ นี่ส่วนเวทนา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ



    -->> เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติไม่พลั้งเผลอ

    นำอภิชฺฌาในโลกนี้ออกเสียได้ อย่าให้ความยินดียินร้ายมันเล็ดลอดเข้าไปได้ นี่เป็นข้อสาม



    -->> ข้อที่สี่ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ เมื่อเห็นแล้ว ให้มีความเพียรเป็นเครื่องเผายังกิเลสให้เร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นไม่ฟั่นเฟือนกำ


    จัดอภิชฺฌาโทมนัสในโลกนี้เสียได้ สี่ข้อนี้แหละเรียกว่า ปฏินิเทศทวาร กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นกายในกายอยู่ เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ เห็นธรรมในธรรมอยู่ นี่ให้เข้าใจเสียก่อนจึงจะสอนต่อไปเป็นลำดับ




    เห็นกายในกาย นี่เห็นอย่างไร เห็นกายในกายนั่นเหมือนกับนอนฝันนั่นแหละ เห็นชัดๆ อย่างนั้นนะ เห็นกายในกายก็เห็นกายมนุษย์ละเอียดเท่ากายมนุษย์นี้แหละ นอนฝันในกายมนุษย์นี่ต่อไป ทำหน้าที่ไป ผู้เห็นกายในกายก็คือกายมนุษย์ละเอียดนั่นเอง


    เห็นเวทนาในเวทนา ล่ะ มนุษย์นี่มันก็มีเวทนาเหมือนกัน เห็นนี่ ไม่ได้พูดรู้ นี่ เวทนาในเวทนานั่น เป็นอย่างไรล่ะ สุข กายนั้นเป็นสุข ก็เห็นเป็นสุข กายนั้นเป็นทุกข์ ก็กายละเอียดนั่นแหละที่เห็นนั่นแหละ กายนั้นเป็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อกายนั้นไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เห็นว่าไม่สุข ไม่ทุกข์ เห็นชัดๆ อย่างนี้


    เห็นจิตในจิต ล่ะ ลึกนี่เห็นจิตได้หรือ เห็นจิตได้หรือ ไม่ใช่เห็นง่ายๆนี่ จิตเป็นดวง นี่ เท่าดวงตาดำข้างนอกนี่แหละ เท่าดวงตาดำของตัวทุกคนๆ นั่นแหละ ดวงจิต เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม ถ้าเห็นอย่างนี้ไม่หลับ เป็นประธาน เห็นกายในกายชัดๆ ก็เห็นกายละเอียดนั่น



    เห็นเวทนาในเวทนา เห็นกายแล้วก็เห็นเวทนา เวทนาเพราะใจกำหนดอยู่ที่จะดูกายเห็นกายนะ ต้องกำหนดอยู่ศูนย์กลางกายมนุษย์ เมื่ออยู่ศูนย์กลางกายมนุษย์ละก็นั่นแหละ ตาเห็นกาย ก็เห็นอยู่ในกลางกายมนุษย์นั่นแหละ เห็นเวทนาล่ะ เป็นอย่างไรล่ะ เห็นสุขเป็นดวงกลมใสอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียดนั่นแหละ เห็นสุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เห็นชัดๆ เป็นดวง อยู่กลางกายมนุษย์นั้นแหละ เวทนาของกายมนุษย์นี้เป็นเวทนานอก เวทนาของกายมนุษย์ละเอียดเป็นเวทนาของกายมนุษย์ละเอียดละเอียดข้างใน นั่นแหละเวทนาในเวทนา



    เห็นจิตในจิตล่ะ ดวงจิต ก็เห็นดวงจิตของกายละเอียดนั่น เห็นดวงจิตเท่าดวงตาดำข้างนอก เห็นดวงจิตมั่นอยู่ในกลางดวงจิตนี่แหละ อยู่ในกลางดวงจิตมนุษย์หยาบนี่แหละ เข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียดมันก็ไปเห็นดวงจิตของกายมนุษย์ละเอียดนั่น นี่เห็นจิตในจิต



    เห็นธรรมในธรรมล่ะ ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบมันมีดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบนั่น พอไปเห็นกายละเอียด มันก็เห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนั่น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดนั่นแหละ เป็นธรรมข้างใน ดวงธรรมทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบนี่เป็นดวงธรรมข้างนอก เห็นจริงอย่างนี่นะ วัดปากน้ำเขาเห็นกันจริงๆ อย่างนี้ไม่ใช่เห็นเล่นๆ



    นี่ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เห็นจริงๆอย่างนี้ นี่ๆอุเทศทวารแล้วก็เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ ขึ้นไป กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม วัดปากน้ำเห็นเข้าไปตั้ง ๑๘ กายนั่นแน่ะ เห็นเข้าไปอย่างนี้แหละ ๑๘ กายชัดๆ ทีเดียว ชัดใช้ได้ทีเดียว ไม่ใช่พอดีพอร้ายหละ เห็นชัดใช้ได้ทีเดียว ไม่ชัดแต่ว่าเห็นหละ


    ถ้าว่าสนใจจริงๆ ก็เห็นจริงๆเห็นจริงๆอย่างนี้ เมื่อเห็นจริงๆเป็นจริงๆอย่างนี้แล้วละก็ ตำราบอกไว่ตรงๆอย่างนี้แล้วมันก็ถูกตำรับตำราทีเดียว แล้วจะได้แสดง ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ต่อไปอีก คัมภีร์นิเทศทวารต่อไป

    <!--MsgFile=0-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    มีคำถามสอดเข้ามาว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ศึกษาพระธรรมวินัย เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่นั่นเป็นไฉน


    อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ อันนี้แล้ว อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรญฺญคโต วารุกฺขมูลคโต วา นี่ปฏินิเทศทวาร อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญา-คารคโต วา นีสีทติ ปลฺลงกํ อาภุชิตฺวา อุชํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฐเปตฺวา โส สโต ว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ ฑีมํ วา อสฺสสนฺโต ฑีฆํ อสฺสสามีติ ฯเปฯ ฑีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ฯเปฯ อสฺสสนฺโต ฯเปฯ รสฺสํ วา ปสฺสสนฺโต รสฺสํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ

    นี่เป็นปฏินิเทศทวารกว้างออกไปทีเดียว กว้างนี่แหละที่แสดงไปแล้ว ส่วนกายที่แสดงไปแล้ว ท่านจัดออกเป็น ข้อกำหนด เป็น ปัพพะ คือ


    เรียก อานาปานปัพพะ ข้อกำหนดด้วยลมหายใจเข้าออก

    อิ ริยาปถปัพพะ ข้อกำหนดด้วยอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน

    สัมปชัญญปัพพะ ข้อกำหนดด้วยกิริยาในอิริยาบถแห่งอวัยวะ รู้อยู่เสมอนั่นเรียกว่า สัมปชัญญปัพพะ

    ปฏิกูลมนสิการปัพพะ ข้อกำหนดด้วยข้อปฏิกูลแห่งร่างกายของคนเรา แห่งฟัน หนัง เนื้อ ตามบาลีว่า อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย เกสา โลมา นขา ทนฺตา ปฏิกูลนั้นไม่น่ารักน่าชมเลย ปฏิกูลแห่งร่างกายนี้ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เราเขา ที่ไหนประสมกันแล้วก็เป็นร่างกายล้วนแต่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปนี้เป็นธาตุปัพพะพอกายมนุษย์ละเอียดออกจากกายมนุษย์หยาบแล้วก็เน่ากันทั้งนั้น เป็นปฏิกูลอย่างนี้ ปฏิกูลนั่นเป็นข้อที่ 5

    นวสีวถิกปัพพะ ข้อกำหนดด้วยศพเก้ารูป ตายวันหนึ่งสองวันท้องเขียว น้ำเลือดน้ำหนองไหล เป็นลำดับไปจนกระทั่งเหลือแต่กระดูกนั่น นี้ได้แสดงมาแล้ว




    -->> วันนี้จะแสดง เห็นเวทนาในเวทนา สืบต่อไปว่า

    กถญฺเจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ. อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนาสุ เวทนานุปสติ วิหรติ. อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เวทนํ เวทิยมาโน สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยมาโน ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยมาโน อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. สามิสํ วา สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน สามิสํ สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. นิรามิสํ วา สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน นิรามิสํ สุขํ เวทิยามีติ ปชานาติ. สามิสํ วา ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยมาโน สามิสํ เวทิยามีติ ปชานาติ. นิรามิสํ วา ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยมาโน นิรามิสํ ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. สามิสํ วา อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยมาโน สามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. นิรามิสํ วา อุทกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยามาโน นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ. อิติ อชฺฌตฺตํ วา ฯ


    อันนี้เวทนาไม่ใช่เป็นของฟังง่ายเลย เป็นของฟังยากนัก แต่ว่าท่านแสดงไว้ย่อๆ ว่า สุข เมื่อเราเสวยความสุขอยู่ ก็รู้ชัดว่า เวลานี้เสวยความสุขอยู่ เมื่อเราเสวยความทุกข์อยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยความทุกข์อยู่ เมื่อเราเสวยความไม่สุขไม่ทุกข์ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยความไม่สุขไม่ทุกข์อยู่ เมื่อเสวยความสุขที่เจือด้วยอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยความสุขที่เจือด้วยอามิส เมื่อเราเสวยความทุกข์ที่เจือด้วยอามิส ก็รู้ว่าเสวยความทุกข์ที่เจือด้วยอามิส เมื่อเสวยความไม่สุขไม่ทุกข์ที่เจือด้วยอามิสก็รู้ชัดว่าเราเสวยความไม่สุขไม่ทุกข์ที่เจือด้วยอามิส เราปราศจากความสุข นิรามิสสุข เราเสวยความสุข ปราศจากความเจือด้วยอามิสเสวยความสุข ปราศจากความเจือด้วยอามิส เสวยความไม่สุขความไม่ทุกข์ ไม่เจือด้วยอามิสก็รู้ชัดอยู่อย่างนี้ นี้เรียกว่า เวทนา รู้จักเวทนาอย่างนี้ แต่เวทนาที่จะแสดงวันนี้จะแสดง เวทนาในจิต



    คำว่า จิต นะ เป็นของจำเป็นที่เราจะต้องแก้ไข มิฉะนั้นมันก็บังคับเราใช้มันอยู่ทุกๆ วัน ถ้าเราใช้มันไม่เป็นมันจะกลับมาข่มเหงเอาเราเข้า จิตนั่นเป็นตัวสำคัญ ท่านจึงได้ยืนยันตามวาระพระบาลีว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่ศึกษาในธรรมวินัย เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่นั่นเป็นไฉน

    อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ผู้ศึกษาในธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้านี้ สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตระคนด้วยราคะ ก็ทราบชัดว่าจิตนี้นี่ระคนด้วยราคะ

    วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตปราศจากราคะ ก็ทราบชัดว่าจิตปราศจากราคะ

    สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตระคนด้วยโทสะ ก็ทราบชัดว่าจิตระคนด้วยโทสะ

    วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโทสะ

    สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตระคนด้วยโมหะ ก็ทราบชัดว่าจิตระคนด้วยโมหะ

    วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตปราศจากโมหะก็ทราบชัดว่าจิตปราศจากโมหะ

    สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่

    วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่าจิตฟุ้งซ่าน

    มหคฺตตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคตจิตประกอบด้วยบุญกุศลยิ่งใหญ่เรียกว่ามหัดคตกุศล กุศลเกิดด้วยรูปฌาณ เป็นมหัคคตกุศล

    อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตไม่ประกอบด้วยมหรคต ก็ทราบชัดว่าจิตไม่ประกอบด้วยมหรคต

    สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ อุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตยิ่งก็รู้ว่าจิตยิ่ง

    อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ชัดว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า

    สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตตั้งมั่นก็รู้ชัดว่าจิตตั้งมั่น

    อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ชัดว่าจิตไม่ตั้งมั่น

    วิมุตตํ วา จตฺตั้ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตหลุดพ้นก็รู้ชัดว่าจิตหลุดพ้น

    อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตไม่หลุดพ้นพ้นก็รู้ชัดว่าจิตไม่หลุดพ้น

    อิติ อชฺฌตฺตํ วา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ดังนี้แหละ ภิกษุเห็นจิตเป็นภายในเนืองๆ อยู่

    มหิทฺธา วา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ เห็นจิตในจิตเนืองๆ อันเป็นภายนอกอยู่

    อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา จิตฺเต จิตตานุปสลี วิหรตี เห็นเนืองๆ ซึ่งจิตในจิตทั้งเป็นภายในและภายนอก

    สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรตี เห็นธรรมดาซึ่งความเกิดขึ้นในจิตอยู่

    วยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ เห็นเนืองๆ เป็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในจิตอยู่

    สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ เป็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปซึ่งจิตในจิตอยู่

    อตฺถิ จิตฺตนฺติ วา ปนสฺส ก็หรือสติของเธอเข้าปรากฎว่าจิตมีอยู่

    ยาวเทว ญาณมตฺตาย สักแต่ว่ารู้ ปติสฺสติมตฺตาย สักแต่ว่าอาศัยระลึก อนิสฺสิโต จ วิหรติ เป็นผู้อันตัณหาและทิฎฐิยึดถือไม่ได้แล้ว น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ ไม่ยึดถือมั่นอะไรๆ ในโลก เอวํ โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อย่างนี้แหละภิกษุ เห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ด้วยประการดังนี้ นี้เนื้อความของพระบาลี คลี่ความเป็นสยามได้ความเพียงเท่านี้ <!--MsgFile=1-->


    ต่อไปนี้จะอรรถาธิบายขยายความในเรื่อง จิต จิตนั่นอยู่ที่ไหน รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร คำที่เรียกว่า “จิต” นั่น หนึ่งในสี่ของใจ ดวงวิญญาณ เท่าดวงตาดำข้างในดวงจิต เท่าดวงตาดำข้างนอก เห็นชัดอยู่อย่างนี้แล้วก็ ดวงจำ ก็โตไปอีกหน่อย อยู่ในเบาะน้ำเลี้ยงหัวใจ ดวงเห็น อยู่ในกลางกาย โตไปอีกหน่อย ดวงเห็นอยู่ข้างนอก มันซ้อนกันอยู่



    ดวงเห็นอยู่ข้างนอก ดวงจำอยู่ข้างใน อยู่ข้างในดวงเห็น ดวงคิดอยู่ข้างในดวงจำ ดวงรู้อยู่ข้างในดวงคิด


    ดวงรู้ เท่าตาดำข้างใน นั่นแหละเขาเรียกว่าดวง วิญญาณ เท่าดวงตาดำข้างในเขาเรียกว่าดวงวิญญาณ เท่าดวงตาดำข้างนอกนั้นเขาเรียกว่า ดวงจิต หรือ ดวงคิด


    โตออกไปกว่านั้น โตออกไปกว่าดวงจิต เท่าดวงตานั่นแหละ นั่นเขาเรียกว่า ดวงใจ หรือ ดวงจำ


    โตกว่านั้นอีกหน่อย เท่ากระบอกตานั่นแหละเขาเรียกว่า ดวงเห็น ดวงเห็นนั้นคือดวงกายทีเดียว สี่ดวงนั้นมีเท่านี้แหละ


    ดวงกาย นั่นแหละ เป็นที่ตั้งของเห็น ธาตุเห็นอยู่ศูนย์กลางกำเนิดดวงกายนั้น อ้ายดวงใจนั่นแหละ เป็นที่ตั้งของจำ ธาตุจำอยู่ศูนย์กลางดวงใจนั่นแหละ อ้ายดวงจิตนั่นแหละเป็นที่ตั้งของคิด ธาตุคิดอยู่ศูนย์กลางจิตนั่นแหละ อ้ายดวงวิญญาณเป็นที่ตั้งของรู้ ธาตุรู้อยู่ศูนย์กลางดวงวิญญาณนั่นแหละ ธาตุเห็น จำ คิด รู้ สี่ประการนั้น ธาตุเห็นเป็นที่ตั้งของเห็น ธาตุจำเป็นที่อยู่ของจำ ธาตุคิดเป็นที่อยู่ของคิด ธาตุรู้เป็นที่อยู่ของรู้ เห็น จำ คิด รู้ สี่ประการ ยกแพลบเดียวโน้นไปนครศรีธรรมราชไปแล้ว เห็นจำคิดรู้ไปแล้วยกไปอย่างนั้นแหละไปได้ ไปได้ ไปเสียลิบเลย ไปเสียไม่บอกใครทีเดียว ไปอยู่เสียที่นครศรีธรรมราชโน้น ถ้าว่าคนเขามีธรรมกาย อ้ายนี่มายุ่งอยู่ทำไมในนครศรีธรรมราชไปเห็นเอากายมนุษย์ละเอียดเข้าแล้ว อ้ายคนนี้รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างนั้น แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นอย่างนั้น เราคิดว่าเราส่งใจไปนี่นะ ส่งไปนครศรีธรรมราช อ้ายนี่มายุ่งอยู่ทำไมในนครศรีธรรมราช เห็นทีเดียว เขามีธรรมกาย อ้ายนี้มายุ่งอยู่ที่นี้แล้ว เราก็ยกเห็น จำ คิด รู้ ไปนี่ ไม่ได้ไปทั้งตัว นั่นแหละ กายละเอียดไปแล้ว ไปยุ่งอยู่โน้นแล้ว ดูก็ได้ ลองไปดูก็ได้ พวกมีธรรมกายเขามี เขาเห็นทีเดียว อ้ายนี้มายุ่งอยู่นี้แล้ว จำหน้าจำตา จำตัวได้ เอ! ก็แปลกจริงนะ ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย พระพุทธศาสนาเป็นของลึกซึ้งอยู่


    แต่ว่าจะส่งใจไปอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามเถอะ ไปได้อย่างนี้แหละ สี่อย่างไปได้อย่างนี้ คือ เห็น จำ คิด รู้ มันหยุดเป็นจุดเดียวกัน เป็นกายละเอียด มันแยกกันไม่ได้ แยกไม่ได้เด็ดขาดเชียว เป็นตัวเป็นตัวตายอยู่ เหมือนกายมนุษย์นี่เราจะเอาแยกเป็นหัวใจเสีย จากหัวใจเสีย หัวใจแยกจากดวงจิตเสีย จิตแยกจากดวงวิญญาณเสียไม่ได้ ถ้าแยกไม่ได้เป็นเลยแยกตายหมด ถ้าแยกเวลาใดมนุษย์ก็ตายเวลานั้น ถ้าไม่แยกก็เป็นอย่างนี้ เห็น จำ คิด รู้ สี่อย่างนี้แยกไม่ได้ แยกก็ตายเหมือนกันแยกเข้าอ้ายกายละเอียดนะตาย แยกหัวใจออกไป ดวงจำ ดวงเห็น ตาย แยกไม่ได้ หากว่ากายทิพย์ก็เหมือนกัน แยกไม่ได้ มันเป็นตัวของมันอยู่อย่างนั้นแหละ


    เอาแต่ตัวกายมนุษย์ละเอียด มันก็ละเอียดพอแล้ว พอเข้าถึงกายทิพย์ละเอียด ก็ยิ่งละเอียดไปกว่านั้นอีก ละเอียดพอแล้วหรือ พอเข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด ละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก เข้าถึงกายอรูปพรหม ละเอียด ยิ่งกว่านั้นไปอีก เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด ละเอียดยิ่งกว่านั้นไปอีก เข้าถึงกายธรรม ละเอียดยิ่งกว่านั้นไปอีก เข้าถึงกายธรรมละเอียด ละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก



    นี่ถ้าว่าทำธรรมกายเป็นละก็ มันฉลาดกว่ามนุษย์หลายสิบเท่าเชียวนะ นี่พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ฉลาดกว่าเท่าหนึ่งแล้ว สูงกว่าเท่าหนึ่งแล้ว เข้าถึงกายทิพย์ก็สองเท่าแล้ว กายทิพย์ละเอียดก็สามเท่าแล้ว กายรูปพรหมสี่เท่า กายรูปพรหมละเอียดห้าเท่า กายอรูปพรหมหกเท่า กายอรูปพรหมละเอียดเจ็ดเท่า เข้าถึงกายธรรมและกายธรรมละเอียด ๘-๙ เท่า เข้าไปแล้ว มันมีความฉลาดกว่ากันอย่างนี้นะ ให้รู้จักว่าของสูงของต่ำอย่างนี้ เมื่อรู้จักอย่างนี้แล้วก็ วันนี้ที่จะแสดง จิต ตำราท่านวางไว้แค่จิตเอา ดวงจิต นี้เท่านั้น ดวงเห็นก็ไม่ได้เอามาพูด ดวงจำไม่ได้มาพูด ดวงรู้ไม่ได้มาพูด มาพูดแต่ดวงจิตดวงเดียว ที่เราแปลจิตถ้าเราเอามาใส่ปนกันกับเรื่องจิตก็ป่นปี้หมด เพราะ จิต มีหน้าที่คิดอย่างเดียวเท่านั้น แหละ ดวงรู้ ก็ มีหน้าที่รู้อย่างเดียว ไม่มีหน้าที่คิด ดวงจิตก็มีหน้าที่คิดอย่างเดียว ดวงจำก็มีหน้าที่จำอย่างเดียว ดวงเห็นก็มีหน้าที่อย่างเดียว จะสับเปลี่ยนกันไม่ได้ แต่ว่า ถ้าไม่รู้หลักความจริงแน่นอนอย่างนี้ละก็ ท่านก็แปลเอาดวงจิตไปรวมเข้ากับรู้เสียว่า รู้ก็คือจิตนั่นแหละวิจิตฺตารมฺมณํ ดวงจิตวิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฎฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ นี่วิจิตรด้วยอารมณฺต่างๆ อย่างนี้ ดวงจิตนั่น อีกนัยหนี่ง อารมฺมณํ วิชานาตีติ จิตฺตํ จิตรู้ซึ่งอารมณ์ จิตรู้เสียอีกแล้ว เอาละซี เอาวิญญาณไปไว้ที่ไหนแล้ว ไม่พูดดวงวิญญาณเสียอีกแล้ว พูดเป็นรู้เสียแล้ว



    เพราะฉะนั้น คำว่า จิต นี่แหละ เป็นดวงใสเท่าดวงตาดำข้างนอกใสเกินใส ปกติมโน ใจเป็นปกติ คือ ภวังคจิต จิตที่เป็น ภวังคจิตน่ะ ใสเหมือนยังกับน้ำที่ใส ใสเหมือนยังกับน้ำที่ใสนะ จิตที่ใสนั่นแหละ เมื่อระคนด้วยราคะเหมือนยังกับน้ำแดงเข้าไปเจือเสียแล้ว มันก็ปนเป็นนะซี นี่เป็นอย่างนั้นนา เมื่อจิตระคนด้วยราคะเหมือนน้ำแดงเข้าไปเจือเสียแล้ว จิตระคนด้วยโทสะ เล่า เหมือนยังกับน้ำเขียวน้ำดำเข้าไปปน น้ำเขียวเข้าไปปนระคนเสียแล้ว จิตระคนด้วยโมหะเหมือนน้ำตมเข้าไประคนเสียแล้ว ไอ้จิตใสนะมันก็ลางไป ก็รู้นะซี



    สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตระคนด้วยราคะก็รู้ว่าจิตระคนด้วยราคะ

    จิตไม่มีราคะ ปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตไม่มีราคะ

    ไม่ปนด้วยโมหะ ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ จิตหดหู่ ที่ใสน่ะ หดหู่ไป ผู้สร้างพอรู้ว่าผู้สร้างเป็นอติวิสัย ไม่คงที่เสียแล้ว ผู้สร้างก็รู้ว่าผู้สร้าง

    จิตประกอบด้วยกุศลที่ระคนด้วยญาณ เป็นมหัคตจิต จิตไม่ประกอบด้วยกุศลก็เห็นจิตประกอบด้วยกุศลก็เห็นชัดๆ ดังนี้


    สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตตั้งมั่นใสมั่นดิ่งลงไปก็เห็นชัดๆ ดังนี้ รู้ชัดๆ อย่างนี้ จิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตพ้นใสพ้นจากเครื่องกิเลส ก็รู้ว่าพ้น ไม่พ้นก็รู้ว่าไม่พ้น เห็นชัดๆ อย่างนี้ เมื่อเห็นชัดเข้าดังนี้ละก็


    อชฺฌตฺตํ วา จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ เห็นจิตในจิต เป็นภายในเนืองๆ ภายใน น่ะคือ จิตกายละเอียดเห็นเนืองๆ ซึ่งจิตในจิตเป็นภายนอกนี้จิตของกายมนุษย์ เห็นเนืองๆ ซึ่งจิตในจิตทั้งภายในภายนอก เห็นเป็นรูปจิต เป็นจิตของกายมนุษย์ละเอียด เห็นทั้งสองทีเดียว เห็นทั้งภายในและภายนอก เห็นเนืองๆ เป็นธรรมดาคือความเสื่อมไป ความเกิดขึ้นของจิต เห็นเนืองๆ เป็นธรรมดาคือความดับไปของจิต คือความดับไปในจิต เมื่อเห็นเนืองๆ เป็นธรรมดาทั้งเกิดขึ้นทั้งความดับไปเมื่อเห็นชัดดังนี้ละก็

    อตฺถิ จิตฺตนฺติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฐิตา โหติ ก็หรือสติของเธอ เข้าไปปรากฎว่าจิตมีอยู่เห็นจิตแล้ว เมื่อจิตมีสติของเธอปรากฎว่า จิตมีอยู่เพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าอาศัยความระลึก อันตัณหาและทิกฐิเข้าไปอาศัยไม่ได้เลย น จ กิญจิ โลเก อุปาทิยติ ไม่ถือมั่นอะไรเลยในโลก รู้ว่าปล่อยวางแล้ว ไม่ถือมั่น ไม่ติด ไม่แตะ ไม่อะไรแล้ว ให้รู้ชัดๆ เห็นชัดๆ อย่างนี้


    อย่างนี้แหละ เรียกว่าภิกษุทั้งหลาย เห็นในจิต เนืองๆอยู่ ด้วยประการดังนี้ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ตามวาระพระบาลี ชี้ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เพราะได้ยินเสียงระฆังหง่างๆ อยู่แล้ว เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัจที่ได้อธิบายอ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดิ์จงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลายบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพได้ชี้แจงแสดงมา ตามสมควรแก่เวลาสมมติว่ายุติธรรมิกถา โดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ


    <!--MsgFile=2-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#224444 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#224444 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

     
  11. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    [SIZE=-1]ท่านป่าม่วงVS นิยายตุ๊กตาผล VS ... สวนแก้ว แห่งสารขัณฑ์ประเทศ ขอเชิญชาวพุทธวิจารณ์ แต่ผู้......วิชชาธรรมกาย [/SIZE]


    [SIZE=-1]และผู้ปฏิบัติสมถวิปัสสนาวิชชาธรรมกายควรทราบ[/SIZE]


    [SIZE=-1]คิดไม่ถึง ไม่น่าเชื่อ เป็นได้ไง ! โปรดพินิจพิเคราะห์ตามกลักกาลามสูตร แล้วจะเห็นแจ้ง [/SIZE]

    [SIZE=-1]ท่านป่าม่วงVS นิยายตุ๊กตาผล VS บรรยายธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว เป็นดังนี้คือ:[/SIZE]

    [SIZE=-1]๑.ท่านป่าม่วงเกิดเมื่อ ปี ๒๔๗๑ ที่สารขัณฑ์ประเทศ[/SIZE]



    [SIZE=-1]๒.ท่านป่าม่วงอุปสมบทเมื่อ ปี ๒๔๙๑ ณ วัดพรหมบุรี สิงห์นคร ขณะที่มีอายุ๑๙ ปี ๘ เดือน (เพราะปี ๒๔๘๓ หายไป ๓ เดือน คือเดือน มกรคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม โดยทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของประเทศไทยจากวันที่ ๑๓ เมษายน ไปเป็นวันที่ ๑ มกราคม ตามอย่างสากล โดยถือเอาปี ๒๔๘๔ เป็นปีแรก [/SIZE]

    [SIZE=-1]2.นิยายตุ๊กตาผลบอกว่าอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี เพราะได้นับรวมอายุที่ในท้องแม่ประมาณ ๑๐ เดือน[/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่คิดเพิ่ม ๑ ปี จึงเป็นมีอายุ ๒๐ปี ๘ เดือน[/SIZE]



    [SIZE=-1]๓.ท่านป่าม่วงสำเร็จมัธยมปีที่๔จากโรงเรียนสุวิทดารามาส เมื่อ ปี ๒๔๘๗ [/SIZE]
    [SIZE=-1]3.นิยายตุ๊กตาผลบอกว่าท่านป่าม่วงเรียนมัธยมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบ แต่ไม่ปรากฏชื่อโรงเรียนสวนกุหลาบในประวัติท่านป่าม่วง[/SIZE]



    [SIZE=-1]๔. ศึกษาดนตรีไทย มีปี่พาทย์มอญ แตรวงเครื่องสาย การประพันธ์บทขับร้อง จากโยมบิดาและคุณหลวงธารา ต่อมาคุณปู่ พันตรี หลวงธารา ได้นำพระคุณเจ้าเข้าฝากตัวกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าศึกษาโรงเรียนนายตำรวจ พระคุณเจ้าศึกษาอยู่ประมาณ ๑ เดือน จึงขอลาออกเนื่องจากไม่ถูกอัธยาศัยในวิชานี้[/SIZE]

    [SIZE=-1]4.แต่นิยายตุ๊กตาผลบอกว่าเรียนดนตรีไทยกับหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ต่อมาหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้พาไปพบจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อขอให้ฝากเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ท่านป่าม่วงเรียนนายร้อยตำรวจเพียงสามเดือน ก็ขอลาออก โดยอ้างว่าโดนรุ่นพี่กลั่นแกล้ง [/SIZE]

    [SIZE=-1]ยิ่งกว่านี้นิยายตุ๊กตาผลยังบอกต่อไปว่า หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้พาไปเรี่ยไรเงินสร้างโบสถ์กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม และบอกว่าจอมพล ป. พาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เพื่อเรี่ยไรเงินสร้างโบสถ์ [/SIZE]

    [SIZE=-1]เป็นที่น่าสังเกตว่า ในประวัติท่านป่าม่วงไม่ได้เป็นศิษย์หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจอมพล ป. พาเข้าเฝ้า *สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเรี่ยไรเงินสร้างโบสถ์นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เป็นการไม่สมควร เป็นการอาจเอื้อมเบื้องสูง* [/SIZE]



    [SIZE=-1]๕. ปี ๒๔๙๑ ศึกษาพระธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐาน (จากหนังสือเลื่อนสมณศักดิ์ชั้นเทพ)[/SIZE]

    [SIZE=-1]5.แต่ในหนังสือกฎแห่งกรรม...เล่ม ๑ บอกว่า ศึกษาพระธรรมวินัย เพียงอย่างเดียว [/SIZE]



    [SIZE=-1]๖. ปี ๒๔๙๓ ศึกษากัมมัฏฐานกับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) อำเภอหนองโพธิ์ [/SIZE]
    [SIZE=-1]จังหวัดนครสวรรค์ [/SIZE]

    [SIZE=-1]6.นิยายตุ๊กตาผลบอกว่าศึกษาวิชาอาคมต่างๆจากหลวงพ่อเดิม ระหว่างปลายปี ๒๔๙๑ - ต้นปี ๒๔๙๒ เป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเดิม และได้เรียนวิชาคชศาสตร์เป็นคนแรกและคนสุดท้าย”[/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่มีข้อสังเกตนิดหนึ่งที่นิยายตุ๊กตาผล ไม่ได้กล่าวถึงกิจที่หลวงพ่อเดิม ท่านตื่นที ๔ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน และมีหนังสือ๒ เล่มติดตัวหลวงพ่อเดิมอยู่ตลอดเวลาคือ ๑. มูลสมถะและทางวิปัสสนา และพระอภิธรรมภายใน(รัตนะและคณะ, ๒๕๔๖(?), พระอภิญญาเมืองสยาม, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ฉัตรแก้ว,หน้า๑๘).[/SIZE]



    [SIZE=-1]๗.ปี ๒๔๙๓ ศึกษาและ “ปฏิบัติสมถกรรมฐาน” วิชชาธรรมกาย กับพระภาวนาโกศลเถระ(สด จันฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี (จากหนังสือเลื่อนสมณะศักดิ์ชั้นเทพ..... ๒๕๔๔) [/SIZE]

    [SIZE=-1]7.1ตรงกันกับที่ท่านป่าม่วงเทศน์ที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้วเมื่อ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๑ ว่ามาเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำปี ๒๔๙๓และสำเร็จวิชชาธรรมกายในปีนั้นด้วย[/SIZE]

    [SIZE=-1]7.2 ตรงกับนิยายตุ๊กตาผลที่บ่งบอกว่า ท่านป่าม่วงเรียนวิชชาธรรมกาย กับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ครั้งแรก ปี ๒๔๙๓ แต่ต่างกันที่ตุ๊กตาผลไม่ได้บอกว่าท่านป่าม่วงสำเร็จวิชชาธรรมกายในปี ๒๔๙๓[/SIZE]



    [SIZE=-1]๘. ในประวัติท่านป่าม่วงไม่พูดถึงหลวงปู่ศุขวัดมะขามเลย [/SIZE]

    [SIZE=-1]8. แต่นิยายตุ๊กตาผล บอกว่าไปเรียนวิชาอาคมกับหลวงปู่ศุขโดยตรง ทั้งๆที่หลวงปู่ศุขมรณภาพ[/SIZE]

    [SIZE=-1]ก่อนท่านป่าม่วงเกิดประมาณประมาณ๕ปีครึ่ง คือหลวงปู่ศุข มรณภาพ ปี ๒๔๖๖ .(ประเจียด คงศาสตรา,...๒๕๓๕(?) ,ประวัติ อภินิหาร คาถาอาคม และพระเครื่อง หลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า, พิมพ์ครั้งที่ ๑ ,กรุงเทพฯ:สำนักงานนิตยสารโอม, หน้า๕๐) ส่วนท่านป่าม่วงเกิดปี ๒๔๗๑ [/SIZE]



    [SIZE=-1]๙. ปี๒๔๙๔ ศึกษาและปฏิบัติกรรมฐานกับพระสุทธิธรรมรังสี(หลวงพ่อลี ธมฺมโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ และท่านเจ้าพระคุณอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดข่อนแก่น [/SIZE]
    [SIZE=-1]9.นิยายตุ๊กตาผล บอกว่าเรียนสะเดาะกุญแจกับหลวงพ่อลี และติดตามหลวงพ่อลีไปวัดบางปิ้ง ทั้งที่ปี ๒๔๙๔ วัดอโศการามยังไม่เกิด นางกิมหงษ์และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินชื่อ “นามาขาว” เนื้อที่ประมาณ ๕๓ ไร่ เมื่อปี ๒๔๙๗ ได้ตั้งเป็นสำนักขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (พระประวัติ พระสุทธิธรรมรังสัมภีรเมธาจารย์ ,๒๕๑๔, หน้า๙๔) [/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่สำคัญท่านพ่อลีไม่เคยธุดงค์ผ่านถิ่นท่านป่าม่วง ท่านพ่อลีไม่สนใจเดรัจฉานวิชา ท่านสอนไม่ให้คนเชื่อผี ท่านมีบารมีด้านพระธาตุเป็นพิเศษ *โดยเฉพาะ ท่านเตรียมเดินทางไปทางประเทศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๓ ออกเดินทางไปพม่าตั้งแต่เดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ แล้วเดินทางต่อไปจำพรรษาที่ประเทศอินเดีย ออกพรรษาแล้ว เดินทางกลับพม่า ท่านเดินทางกลับประเทศไทยในเดือน ธันวาคม ๒๔๙๔ และพักอยู่กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน) ที่วัดบรมนิเวส ได้ตรึกตรองอยู่หลายวัน เกือบๆจะได้รับอนุญาตให้เดินทางจึงเดินทางไปพม่าอีก* ก็เผอิญมีบางเรื่องบางอย่างแทรกซึมเข้ามา ............ จึงได้เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติโยมที่จังหวัดจันทบุรี อยู่มาจวนจะเข้าพรรษาก็ได้เดินทางจากจันทบุรี กลับมาพักอยู่ที่วัดบรมนิเวสตามเคย{ พระประวัติ พระสุทธิธรรมรังสัมภีรเมธาจารย์(พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) ซึ่งท่านพ่อลีเล่าเอง พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๕ หน้า ๖๔ –๖๘ [หนังสือเล่มนี้ พลโท(ยศขณะนั้น) พงษ์ ปุณณกัณต์ เป็นประธานจัดพิมพ์] วัดอโศการาม โทร ๐๒ ๓๘๙-๒๒๙๙, ๐๒ ๓๙๕-๐๐๐๓ } [/SIZE]

    [SIZE=-1]จะเห็นว่าทั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๓ จนหมดปี ๒๔๙๔ ท่านพ่อลีไม่ว่าง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านป่าม่วงจะมีโอกาสพบท่านพ่อลีที่ถิ่นท่านป่าม่วง อีกประการหนึ่งท่านพ่อลีสอนกรรมฐานโดยใช้อานาปานสติ ซึ่งท่านป่าม่วงบอกว่ารู้สึกขยาดกรรมฐานอานาปานสติของหลวงพ่อพูน แล้วจะมาเรียนกรรมฐานกับท่านพ่อลีได้อย่างไร? ไม่เข้าใจว่าทำไมได้เขียนเรื่องแบบนี้ลงไปในประวัติของตนและในตุ๊กตาผล ทั้งๆเรื่องนี้สามารถพิสูจน์ทราบได้ไม่ยากว่าว่าเป็นไปไม่ได้ อยากให้ช่วยกันวิจารณ์ว่า อะไรเป็นเหตุให้เขียนเรื่องที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือเป็นว่าเป็นนโยบายที่บอกให้ใครๆทราบว่า ท่านป่าม่วงมีพระอาจารย์ดังทุกสาย[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๐. ปี ๒๔๙๖ ท่านป่าม่วง ศึกษา *วิชาสมถวิปัสสนา* กับพระภาวนาโกศลเถร (สด จนฺทสโร) หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ อ.ภาษีเจริญ จ. ธนบุรี (หนังสือกฏแห่งกรรม.......... เล่ม ๑ ) เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ตรงกับข้อมูลหนังสือที่ระลึกในงานเลื่อนสมณะศักดิ์ชั้นเทพ ที่บอกว่า ปี ๒๔๙๓ ศึกษาและ*ปฏิบัติสมถกรรมฐาน* วิชชาธรรมกาย กับ พระภาวนาโกศลเถระ (สด จันทฺสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี [/SIZE]
    [SIZE=-1]10. ที่แปลกเอามาก ๆ ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ ท่านป่าม่วงเขียนจดหมายเรียนเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดปากน้ำว่าเคยมาเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดปากน้ำในปี ๒๔๙๖ (หนังสือ..ชั้นเทพ หน้าโมทนาพจน์ ๓) ซึ่งแสดงว่าต้องมาเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ๒ ครั้ง คือครั้งแรก ๒๔๙๓ และครั้งสอง มาเรียน ๒๔๙๖ น่าเสียดายที่ท่านป่าม่วงไม่ได้เรียนเจ้าประคุณสมเด็จฯวัดปากน้ำอย่างตรงไปตรงมา ว่าเคยมาเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อ ๒ ครั้ง คือครั้งแรกมาเรียนปี ๒๔๙๓ ครั้งที่๒ เรียนในปี ๒๔๙๖ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลัง[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๑. ท่านป่าม่วงเทศน์ที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๑ ว่ามาเรียนวิชชาธรรมกายเมื่อ ปี ๒๔๙๓ และบอกว่าตนได้ธรรมกายบนรถเมล์ขาว ในปีนั้นด้วย และบอกว่าเห็นคนสิงห์บุรี ๓* คน กำลังกราบหน้า พระรูปรัชการที่๑ [/SIZE]
    [SIZE=-1]11.แต่ที่น่าสังเกต ในนิยายตุ๊กตาผลบอกว่าพอสำเร็จวิชชาธรรมกาย ก็มองว่าเห็นคนสิงห์บุรี ๑ *คน อยู่หน้าพระรูปรัชกาลที่๑ ทำไมจำนวนคนที่เห็นไม่เท่ากัน ในเมื่ออยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน นี้ต่างกันถึง ๒ คน [/SIZE]
    [SIZE=-1]นิยายตุ๊กตาผลนั้นบ่งชี้ว่าท่านป่าม่วงอ้างว่าสำเร็จวิชชาธรรมกายในปี ๒๔๙๖ ไม่ใช่ปี ๒๔๙๓ [/SIZE]

    [SIZE=-1]*ที่ว่าสำเร็จวิชชาธรรมกายนั้น ขอบอกว่าไม่ใช่ การสำเร็จวิชชาธรรมกายนั้น จะต้องเดิน ๑๘ กายได้แบบทั้งรู้ทั้งเห็น จึงจะถือว่าสำเร็จวิชชาธรรมกายตามคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ*[/SIZE]

    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 49 17:44:04 [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 18 ส.ค. 49 17:23:44 ] [/SIZE]

    [SIZE=-1]----------------------------------------------------------[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๒. ปี ๒๔๙๗ ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กับเจ้าคุณอาจารย์พระอุดมวิชาญาณเถระ วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนคร ต่อมาเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าคณะภาค๙(พระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ) [/SIZE]

    [SIZE=-1]12.นิยายมักกะลีผลบอกให้ทราบว่าท่านป่าม่วงเรียนกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณโชดกเมื่อ“เดือนมิถุนายน - เดือนตุลาคม ๒๔๙๗” ดังนั้นท่านป่าม่วงต้องได้ฟังการเทศน์ลำดับญาณปลายเดือนตุลาคม ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่วัดระฆังเพื่อเรียนอภิธรรมที่วัดระฆังเป็นเวลา ๓ เดือน[/SIZE]

    [SIZE=-1]จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านป่าม่วงจะได้ฟังเทศน์ลำดับญาณพร้อมสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี เพราะพระองค์ท่านทรงเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ หลักสูตร ๑ เดือน ดังนั้นการบอกใครๆ เขียนในเว็บ หรือ**เขียนประกาศว่าฟังเทศน์ลำดับญาณพร้อมสมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี นั้นเป็นการอาจเอื้อมเบื้องสูงโดยแท้ ถ้ามีการเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่โรงศาล คงมีคนต้องคดีหลายคน**[/SIZE]

    [SIZE=-1]*และเป็นไปไม่ได้ที่ได้ฟังเทศน์ลำดับญาณพร้อมหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ หลักสูตร ๑ เดือน เพราะท่านป่าม่วงออกจากวัดมหาธาตุไปแล้วประมาณ ๓-๔ เดือน เพราะการฟังเทศน์ลำดับญาณนั้น เขาฟังกันเฉพาะผู้ที่บรรลุญาณ ๑๖ ใหม่ ๆ ไม่ใช่จบไปตั้งนานแล้วกลับมาฟังพร้อมผู้เพิ่งจบ* ไม่มีสำนักปฏิบัติกรรมฐานแบบหนอที่ไหนเขาปฏิบัติกัน[/SIZE]

    [SIZE=-1]***ดังนั้นเรื่องที่บอกว่าได้ฟังได้ยินเรื่องที่หลวงพ่อวัดปากน้ำพูดกับเจ้าคุณโชดก จึงเป็นไปไม่ได้ เป็นการจินตนาการเขียนเอาเอง***[/SIZE]

    [SIZE=-1]เป็นที่ทราบกันดีสำหรับพวกปฏิบัติกรรมฐานสายหนอ ว่าสำนักวิเวกอาศรม ชลบุรี สมัยที่พระอาจารย์อาสภเถระเป็นเจ้าสำนัก หลวงพ่อเดือนเป็นผู้ช่วยนั้น ทางสำนักวิเวกอาศรมไม่รับรองผู้ที่ต้นสำนักท่านป่าม่วงบอกว่าบรรลุญาณ ๑๖ เพราะเคยมีตัวอย่างที่ต้นสำนักรับรองสามเณรรูปหนึ่งเข้าใจว่าเป็นรูปแรกเพราะเห็นตื่นเต้นกันใหญ่ แต่พระอาจารย์อาสถเถระท่านคัดค้านว่าไม่ใช่ และเป็นดังที่ท่านอาจารย์อาสภเถระบอก เพราะสามเณรคนนั้นสึกแล้วเป็นขโมย [/SIZE]

    [SIZE=-1]มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ทางสำนักเดิมรับรองว่าบรรลุญาณ๑๖ แล้ว ไปปฏิบัติธรรมที่สำนักวิเวกอาศรม เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นไม่ได้บรรลุญาณ ๑๖ จริง จึงคิดทำการใหญ่ อยากเป็นเจ้าสำนัก จึงรวมหัวกันทำร้ายพระอาจารย์อาสภเถระจนท่านสลบ โชคดีที่ท่านไม่มรณภาพ พวกบรรลุญาณ๑๖เทียม เลยเข้าคุกไปตามระเบียบ [/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๓.ปี ๒๔๙๘ ศึกษาพระอภิธรรม กับอาจารย์เตชิน(ชาวพม่า) วัดระฆังโฆษิตาราม จังหวัดธนบุรี [/SIZE]
    [SIZE=-1]๓ เดือน [/SIZE]
    [SIZE=-1]13. นิยายตุ๊กตาผลบอกให้ทราบว่าท่านป่าม่วงเรียนอภิธรรมที่วัดระฆังเมื่อ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ – มกราคม ๒๔๙๘[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๔. กฎแห่งกรรม ......เล่มที่๕ ท่านป่าม่วงบอกว่าพบแม่ชุมศรีแม่ในอดีตชาติเมื่อ ๕ กุมภาพันธ์... และบอกว่าจำปีไม่ได้ (หมายถึงขณะที่กำลังเทศน์ ต้องกลับไปดูบันทึกจึงจะทราบ)[/SIZE]
    [SIZE=-1]14.โชคดีที่นิยายตุ๊กตาผลบอกให้ทราบว่าท่านป่าม่วงได้พบแม่ในอดีตชาติเมื่อ“๕กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘” [/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๕. ปี ๒๔๙๘ ศึกษาการพยากรณ์ จากสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) วัดสระเกศ จังหวัดพระนคร [/SIZE]
    [SIZE=-1]15. เป็นที่น่าสังเกตว่า นิยายตุ๊กตาผลเขียนว่า ท่านป่าม่วงประกาศว่าตนบรรลุญาณ ๑๖ แล้ว เป็นพระโสดาบัน เหมือนจบปริญญาตรีแล้ว หลังจากเรียนอภิธรรมวัดระฆัง ๓เดือนแล้วจึงกลับไปอยู่วัด [/SIZE]

    [SIZE=-1]ดังนั้นการศึกษาการพยากรณ์กับสมเด็จพระสังฆราชอยู่วัดสระเกศต้องหลังกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ไปแล้ว แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่า การศึกษาวิชาโหราศาสตร์นั้นผิดวิสัยของพระอริยบุคคล เพราะวิชาโหราศาสตร์จัดเป็นสีลัพพตปรามาส นั้นหมายความว่าท่านป่าม่วงยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นเอง สมจริงตามที่พระอาจารย์อาสภเถระไม่รับรองบุคคลที่ทางต้นสำนักของท่านป่าม่วงบอกว่าบรรลุญาณ ๑๖ [/SIZE]

    [SIZE=-1]อ่านเพิ่มเติมจากเว็บ“พระอริยบุคคลเรียนวิชาโหราศาสตร์หรือไม่ ?” เพราะเหตุผลใด? [/SIZE]
    [SIZE=-1]http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4630777/Y4630777.html[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๖. หนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม๕ เขียนว่า “ท่านป่าม่วงมีนิมิตกรรมฐานว่า เราก็รู้มาก่อนที่จะไปบ้านแม่...... ในนิมิตนี้ก็บอกว่า ไปรบทัพจับศึกกัน ยังรู้สึกว่าจำได้ว่ามันฟันอะไร เพราะอ้ายพม่ารามัญเตรียมจากธนบุรีตามลำน้ำ มันก็ขึ้นมาหมดแล้ว ไม่มีเหลือแล้ว และเราจำต้องไปรบกับพม่า ใช้เรือรบที่บางไทร ฆ่าพม่าตายมากมาย เลยพอดีโดนกลศึกวิธีคนไทยด้วยกัน ถีบเราหลุดตกน้ำถึงแก่ความตาย แล้วดาบนั้นพวกนี้เอาไป แล้วก็ซัดเซพเนจรไปเรื่อยๆ กระทั่งไปอยู่ถึงเชียงใหม่ แล้วล่องกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาตามเดิม แล้วเราก็นิมิตว่าเราตกน้ำตาย นี่อาตมาไม่ได้ดาบอาตมาตายไปแล้ว’ (กฏแห่งกรรม –ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕ หน้า ๖๔-๖๕) [/SIZE]
    [SIZE=-1]16. แต่นิยายตุ๊กตาผล “...ส่วนตัวท่านป่าม่วงซึ่งเป็นแม่ทัพจะหนีเอาตัวรอดไม่ได้ จึงจำใจสู้แม้ขาดขวัญและกำลังใจ ด้วยฝีมือและชั้นเชิงในการรบ ท่านไม่มีวันแพ้พม่าได้ แต่ฝ่ายพม่าใช้แผนสกปรก ใช้กลศึกวิธีฆ่าท่านจนได้ เมื่อทหารนำศพท่านใส่เรือมาส่งที่ศาลาท่าน้ำ แม่........วิ่งร้องให้มาจากบนเรือน ผ้าผ่อนท่อนสไบหลุดลุ่ย หล่อนกอดศพท่านร่ำให้จนปิ่มว่าจะขาดใจ และในชาตินี้หล่อนก็ได้มาเกิดอีก รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป[/SIZE]

    [SIZE=-1]จะเห็นว่าเรื่องเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน ท่านป่าม่วงไม่เคยเล่าตรงกัน นี่เป็นเรื่องน่าคิด ว่าเป็นเรื่องที่เห็นในนิมิตจริง ๆ หรือเป็นเรื่องยกเมฆ เพราะว่าถ้าเห็นจริงพูดร้อยครั้งก็ต้องเหมือนกันร้อยครั้ง[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถามว่าแม่ทัพคนเก่งของอยุธยา ที่ไม่มีใครสู้ได้ แม่ทัพคนอื่นต่างพากันอิจฉา อยากได้ตำแหน่งของตน แต่ไร้ความสามารถ ไม่รู้จักวิชาทางน้ำเลยเชียวหรือ แค่ถีบตกน้ำก็ถึงแก่ความตาย และที่น่าสงสัยยิ่ง ที่บอกว่าสารขัณฑ์ประเทศจะต้องนำแม่ทัพคนอื่นไปแลกเปลี่ยน พม่าหรือจะโง่ยอมแลกแม่ทัพคนเก่งกับแม่ทัพที่ไร้ฝีมือ เว้นแต่ได้เกลี่ยกล่อมให้แม่ทัพเชลยศึกคนนั้นเป็นใส้ศึกเรียบร้อยแล้วจึงจะยอมให้แลกเปลี่ยน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยมีปรากฏในประวัติศาสตร์แห่งสารขัณฑ์ประเทศ และที่น่าสังเกตท่านเทศน์ดูถูกคนไทย แล้วชี้ที่ตัวเองว่าตนไม่ใช่คนไทย ...... พ่อเป็น........ แม่เป็น.......[/SIZE]

    [SIZE=-1]จึงใคร่เชิญชวนนักประวัติศาสตร์ หันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่กลัวต่อคำว่าพระอรหันต์ จนไม่กล้าทำอะไร อย่างที่นักวิชาการควรกระทำ เพราะพระอรหันต์จริง ท่านยินดีสนับสนุนให้ผู้คนพิสูจน์สิ่งที่ท่านพูดว่าจริงหรือเท็จ ไม่มีโทษ มีแต่คุณสถานเดียว เว้นแต่อรหันต์เทียมเท่านั้นที่กลัวการพิสูจน์ [/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๗. คุณแม่ท้วมเป็นนางสาวท้วม หุตานุกรม ไม่เคยแต่งงาน ท่านมาอยู่วัดปากน้ำตั้งแต่อายุ ๓๕ ท่านเป็นหัวหน้าอุบาสิกาวัดปากน้ำและหัวหน้าโรงครัว (วุฑฺฒสีล, ๒๔๙๗, ประวัติ “คุณแม่” ใน นวกะ อนุสรณ์ ๒๔๙๗, วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยพณิชยการ, หน้า ๗๑ –๗๘. ) [/SIZE]
    [SIZE=-1]17. แต่นิยายตุ๊กตาผล เขียนว่าท่านป่าม่วงบอกว่าโยมท้วม ครั้นสามีตายและลูกเต้าออกเหย้าออกเรือนกันไปหมด แกจึงมาอยู่วัดอย่างถาวรตอนอายุหกสิบพอดิบพอดี ซึ่งไม่ทราบว่าเขียนมาได้อย่างไร ไม่กลัวเขาจับได้หรือว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการทำลายเครดิตตัวเองโดยแท้ คงเป็นเรื่องนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาค้นพบความจริงในภายหลัง เพราะว่าความลับไม่มีในโลก[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๘. เรื่องพระเวสสันดรในนิยายตุ๊กตาผลนั้น บอกว่าพระอินทร์เนรมิตต้นตุ๊กตาผล ๑๖ ต้น ให้ออกผลเฉพาะวันที่พระนางมัทรีออกหาอาหาร เพื่อป้องกันฤาษีลามกไม่ให้ไปลวนลามพระนางมัทรี เปิดโอกาสให้ฤาษีลามกเก็บตุ๊กตาผลไปทำเมีย และบอกว่าป่าหิมพานต์ที่พระเวสสันดรอยู่มีหิมะปกคลุม [/SIZE]
    [SIZE=-1]18.ถ้าป่าที่พระเวสสันดรอยู่มีหิมะปกคลุมจริง ตุ๊กตาผลก็จะกลายเป็นตุ๊กตาหิมะ ใครจะเอามาทำเมียได้ ป่าที่พระเวสสันดรอยู่ไม่ใช่ป่าหิมพานต์ ถ้าเป็นป่าหิมพานต์จริง ก็ต้องมีต้นนารีผลโดยธรรมชาติ ไม่ต้องให้ใครเนรมิต และนารีผลนี้จะอยู่ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น นานกว่านี้ก็จะเน่า และป่าที่พระเวสสันดรอยู่ ก็ไม่มีฤาษีลามกแม้แต่ตนเดียว มีพูดถึงฤาษีเพียงตนเดียวคืออจุตฤาษีซึ่งเป็นผู้บอกทางให้ชูชกไปพบพระเวสสันดร[/SIZE]



    [SIZE=-1]๑๙. ท่านป่าม่วงเทศน์ที่สำนักปฏิบัติธรรมส่วนแก้ว เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๑ เทศน์ว่า **“อาจารย์แม่ชีหวานใจ ( เจ้านักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว) จิตท่านงอก จิตท่านสดใส ใจสะอาดเหมือนดวงแก้ว กล่าวคือนิพพาน ปราศจากโลภโกรธหลง ไม่มีอะไร ฉุดให้พะวักพะวง อยู่ในดวงใจให้ขุ่นมัวอีก นึกเงินไหลหนองนึกทองไหลมา” ** [/SIZE]
    [SIZE=-1]19.อาจารย์แม่ชีหวานใจ ชูกร เป็นศิษย์หลวงพ่อโดยตรง ท่านไปสร้างสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว ที่อำเภอจอมบึง ปฏิบัติกรรมฐานสมถวิปัสสนาวิชชาธรรมกายมาตลอด ท่านเขียน หนังสือ “วิชชาพระธรรมกาย (ปราบมาร) ดังนั้นถ้าท่านจะเป็นพระอริยบุคคล ท่านก็เป็นด้วยวิชชาธรรมกาย การที่ท่านป่าม่วงพูดแบบนี้ก็ถือว่ารับรองวิชชาธรรรมกายไปในตัว ว่าวิชชาธรรมกายก็ทำให้คนบรรลุพระอรหันต์ได้ ไม่เป็นการขัดแย้งกับที่ท่านป่าม่วงชอบพูดว่าวิชชาธรรมกายแก้ทุกข์ประจำไม่ได้หรือ [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 18 ส.ค. 49 17:24:52 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]------------------------------------------------------------[/SIZE]



    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 2 [/SIZE]

    [SIZE=-1]อ่านกระทู้ “จิตท่านงอก จิตท่านสดใส ใจสะอาด เหมือนดวงแก้ว กล่าวแล้วนิพพาน” ชาวพุทธเข้าใจว่าอย่างไร ? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4622966/Y4622966.html [/SIZE]

    [SIZE=-1]การที่ท่านป่าม่วงพูดหรือเขียนบิดเบือนบอกว่าหลวงพ่อสดบอกว่าวิชชาธรรมกายแก้ทุกข์ประจำไม่ได้ แต่แก้ทุกข์จรได้ และยังให้ร้ายวิชชาธรรมกายอีกด้วยว่าเป็นวิชชามุ่งให้ความร่ำรวยเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มุ่งไปนิพพาน และกล่าวหาศิษย์วัดปากน้ำว่าจะเผาตำราที่เรียนกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงว่า ท่านป่าม่วงที่มีบางคนเข้าใจว่าเป็นอรหันต์กล้ากระการนี้ตามลำพัง [/SIZE]


    [SIZE=-1]จะพิสูจน์ทราบได้อย่างไรว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำปฏิบัติกรรมฐานแบบไหน ? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4534507/Y4534507.html[/SIZE]

    [SIZE=-1]หลวงพ่อวัดปากน้ำเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบหนอจริงหรือเท็จ? [/SIZE]
    [SIZE=-1]http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4537078/Y4537078.html[/SIZE]

    [SIZE=-1]เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้พยายามทำให้ความจริงปรากฏขึ้นมา เหมือนพลิกภาชนะที่คว่ำให้หายขึ้น จนมองเห็นกระจ่างว่ามีอะไรในภาชนะนั้นบ้าง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน มีเอกสารอ้างอิงไม่ใช่นั่งเทียนเขียน [/SIZE]


    [SIZE=-1]เป็นพระโยชน์ต่อพระศาสนา เป็นประโยชน์แก่ชาวพุทธที่ต้องการทราบความจริง ช่วยให้ชาวพุทธไม่ต้องทำบาป โดยไม่ต้องนำความเท็จไปบอกต่อๆกันไป ส่วนที่มีโทษนั้นมี คือผู้บิดเบือนและคณะคงไม่ชอบใจเป็นแน่ แต่ถ้าเทียบกับส่วนที่ได้ประโยชน์นั้นเทียบกันไม่ติด ถือว่าน้อยมาก เป็นการป้องปรามไม่ให้ใครคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เขียนบิดเบือนให้ร้ายผู้อื่นในทำนองนี้อีก [/SIZE]


    [SIZE=-1]เนื่องจากความลับไม่มีในโลก ดังนั้นจะต้องมีคนมาพิสูจน์ทราบความจริงได้ในที่สุด แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีในการแสวงหาข้อมูลก็ตาม เชื่อว่าเรื่องนี้ต่อไปคงได้ใช้เป็นกรณีศึกษาวิจัย แล้วผลการวิจัยนั้นจะได้รับการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ศาสนาแห่งสารขัณพ์ประเทศในศตวรรษที่สองพันหกเป็นแน่ [/SIZE]


    [SIZE=-1]***ข้อสังเกตที่สำคัญมากที่สุดอันหนึ่งคือ บุคคลหรือพระเถระสำคัญที่ท่านป่าม่วงเอ่ยถึง หรือนิยายตุ๊กตาผลอ้างถึง จะเป็นบุคคลหรือพระเถระที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งนั้น ไม่มีโอกาสจะมาชี้แจงข้อเท็จจริง เป็นการปิดโอกาสไม่ให้ใครที่สงสัยไปสักถามข้อเท็จจริงได้ *** [/SIZE]


    [SIZE=-1]ขอชี้แจงเรื่องใน http://www.jarun.org/v5/th/lrule06h0501.html ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณมะตาดที่กรุณาส่งให้อ่าน การที่เขียนชมวิธีการของหลวงพ่อวัดปากน้ำอันนี้เป็นเทคนิคลวงผู้คนให้ตายใจ ว่าตนเป็นคนกตัญญู แต่ขอยืนยันว่าวิชาหลวงพ่อที่เอาไปใช้นั้นดีจริงๆ [/SIZE]


    [SIZE=-1]ในเว็บนี้ยังบอกว่าไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อ ๒ ครั้ง แต่สายไปแล้ว คงเป็นการเขียนแก้เกม[/SIZE][SIZE=-1]หลังจากมีคนเขียนไปต่อว่าถึงสำนักป่าม่วง เพราะว่าถ้าเป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาก็ต้องเรียนสมเด็จฯวัดปากน้ำแล้วว่า มาเรียน๒ ครั้ง แต่กลับเรียนสมเด็จว่ามาเรียนปี ๒๔๙๖ ทำไมไม่กล้าบอกสมเด็จฯ ว่ามาเรียนปี ๒๔๙๓ มาเขียนที่หลังจะได้ประโยชน์อะไร[/SIZE]


    [SIZE=-1]จากข้อความในเว็บดังกล่าวที่ว่า“ขอบูชาพระสักกำเถอะ จะนำไปแจกญาติ” ท่านบอก “ไม่ได้ ต้องเอาไปองค์เดียว” อาตมาก็ไม่ทราบว่านโยบายท่านทำไมให้องค์เดียว อาตมาก็ไปเซ้าซี้ถามท่าน ท่านก็ตอบออกมาคำหนึ่ง........[/SIZE]
    [SIZE=-1]“หลวงพ่อครับ ญาติผมเยอะนะ” ก็ยังไปเซ้าซี้กับท่านอีก วันสุดท้ายท่านบอก “ตามใจ”[/SIZE]
    [SIZE=-1]อาตมาก็บอกว่า “ตามใจ อย่าให้เป็นบาปนะหลวงพ่อนะ” **หยิบใส่ย่ามมา** จะเป็นบาปหรือไม่ก็ไม่ทราบ ได้มาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๖ เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือติดย่ามสักองค์เดียว”[/SIZE]


    [SIZE=-1]ท่านป่าม่วงเป็นบุคคลพิเศษอะไร ? หลวงพ่อจึงอนุญาตให้ยิบพระใส่ย่าม และที่ตุ๊กตาผลอ้างว่าได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิเพราะเป็นหลานหลวงธารา โดยอ้างว่าหลวงธาราเคยไปทอดกฐินที่วัดปากน้ำ ขออภัยต้องขอบอกไม่เคยได้ยินชื่อหลวงธาราเลย เป็นเรื่องที่พูดเอาเอง ศิษย์หลวงพ่อทุกคนทราบดีว่าหลวงพ่อเล็กเป็นศิษย์ก้นกุฏิ [/SIZE]
    [SIZE=-1]เป็นไปไม่ได้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำจะอนุญาตให้หยิบพระใส่ย่าม เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่สมเด็จสังฆราชปุ่น วัดโพธิ์ฯ หลานหลวงพ่อ รับใช้หลวงพ่อตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เป็นสามเณรจนเป็นพระภิกษุ ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชตามคำพยากรณ์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อยังให้พระของขวัญเพียงองค์เดียว เพราะหลวงพ่อสร้างพระของขวัญขึ้นมาเพื่อแจกเป็นของขวัญแก่คนที่มาทำบุญเพื่อสร้างอาคารโรงเรียนปริยัติธรรมวัดปากน้ำตั้งแต่ ๒๕ บาทขึ้นไป ไม่ว่าจะทำบุญเป็นพัน หรือเป็นหมื่นก็ให้องค์เดียว คือคนเดียวองค์เดียว ถ้าท่านมอบให้ใครเปล่า ๆ หลวงพ่อจะต้องเอาเงินส่วนตัวท่านออกแทน เพราะหลวงพ่อบอกว่าพระของขวัญท่านทำให้วัดไม่ใช่ของท่าน {สมเด็จพระสังฆราชปุ่น ครั้งมีสมณะศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต, ๒๕๒๙, ประวัติพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)และอนุภาพธรรมกาย ใน พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อ และคู่มือสมภาร. ๒๕๒๙ วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, หน้า ๙๖} [/SIZE]


    [SIZE=-1]-->> หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านเป็นคนจริง พูดจริงทำจริง มีวาทะตรงกับใจ ไม่ชอบคนโกหก มีเมตตาธรรมสูง มีความกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง มีความกล้าหาญ กล้าพูดกล้าสอน ไม่ครั่นคร้ามต่อใคร เมื่อเห็นดีอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามนั้น หลวงพ่อบอกว่าใครโกหกท่านเป็นคนหมดดี พระไม่ใช่ของท่าน มีหรือหลวงพ่อจะอนุญาตให้ท่านป่าม่วงยิบพระของขวัญใส่ย่าม โดยเฉพาะผู้มีบารมีอย่างหลวงพ่อ มีหรือจะไม่ทราบว่า ต่อไปในอนาคตท่านป่าม่วงจะให้ร้ายวิชชาธรรมกาย ดังที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน [/SIZE]


    [SIZE=-1]และขอบคุณคุณมะตาดอีกครั้งหนึ่งที่ส่ง http://www.jarun.org/v5/th/lrule08h0102.html มาให้ ข้อความในเว็บที่ว่า “อาตมาได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ โดยอาจารย์พม่ามาเทศน์และมีทูตมาแปลเป็นภาษาไทย ฟังพร้อมกับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เดิมทีอาตมาไม่ทราบว่าท่านมานั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ พอดีท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปสอบอารมณ์ อาตมาก็ตามไปฟัง หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์” [/SIZE]


    [SIZE=-1]เป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่งที่ศิษย์คิดล้างครู เป็นเรื่องที่ท่านป่าม่วงจินตนาการเอาเอง เพราะหลวงพ่อถูกเกณฑ์ให้เรียน ไม่ใช่มาเรียนเอง ท่านถูกเกณฑ์มาเรียน หลังท่านป่าม่วงเรียนจบไปแล้วประมาณ ๔ เดือน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ฟังเทศลำดับญาณพร้อมหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นที่น่าสังเวชยิ่งที่เขียนว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำบอกตนว่า “เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์” เป็นที่น่าสังเกตว่าท่านป่าม่วง ไม่กล้าเขียนว่าตนเรียนกับเจ้าคุณโชดกวันไหนเดือนไหน สำเร็จวันไหนเดือนไหน เพียงแต่บอกเรียนปี ๒๔๙๗ [/SIZE]


    [SIZE=-1]เป็นข้อความที่ท่านป่าม่วงปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเอง เป็นที่น่าเวทนาแบบสุด ๆ เป็นคำโกหกแบบที่จับได้ง่ายมากว่าเป็นคำมุสา ดังข้อความว่า “เราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์” เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนบรรลุญาณ ๑๖ แล้ว กลับเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากผู้มากไปด้วยความเมตา กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดจะเอาตัวรอดคนเดียว ไม่คิดช่วยเหลือศิษย์ที่มีจำนวนเป็นแสนเป็นล้านให้บรรลุคุณวิเศษเหมือนตน ไม่สมกับผู้บรรลุญาณ ๑๖ เลย แปลกจริงหนอ ๆ ๆ ๆ [/SIZE]


    [SIZE=-1]สวรรค์มีตา จึงทำให้สามารถมองเห็นเจตนาของผู้ปั้นน้ำเป็นตัวได้ชัดเจน ต้องพูดว่าสวรรค์มีตาจริง ๆ ๆ ๆ ![/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่ท่านป่าม่วงบอกว่า “อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว” [/SIZE]
    [SIZE=-1]นี้เป็นเหลี่ยมคูของผู้คนที่ไม่สุจริต เพราะถ้ามุสาแบบนี้ สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำมีชีวิตอยู่คงทำไม่ได้ เพราะคนคงไปถามหลวงพ่อ และหลวงพ่อคงตอบให้ท่านป่าม่วงหน้าแตกไปเลย [/SIZE]

    [SIZE=-1]ศิษย์หลวงพ่อที่สามารถเป็นพยานและตอบได้ว่า ข้อความที่ท่านป่าม่วงปั้นน้ำเป็นตัวนั้นเป็นเท็จ มี ๑. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญโญ) ๒. พระราชพรหมเถร สมถวิปัสสนาธาทร มหาคณิสสร(วีระ คณุตฺตโม) ๓. อาจารย์ตรีธา เนียมขำ ๔.คุณครูฉลวย สมบัติสุข ๕. อาจารย์แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย ๖. คุณครูแม่ชีธัญญาณี สุดเกษ ๗. อาจารย์แม่ชีทวีพร เลี๊ยบประเสริฐ ๘. อาจารย์แม่ชีหวานใจ ชูกร(ที่ท่านป่าม่วงเทศน์ว่า “อาจารย์แม่ชีหวานใจ จิตท่านงอก จิตท่านสดใส ใจสะอาด เหมือนดวงแก้ว กล่าวแล้วนิพพาน ปรารภจากโลภ โกรธ หลง” เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๑ ) ๙. อาจารย์แม่ชีชั้น จอมทอง เป็นศิษย์ที่เรียนธรรมะและกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องพูดว่าท่านเหล่านี้เป็นศิษย์ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำปั้นมากับมือ [/SIZE]

    [SIZE=-1]นอกจากศิษย์หลวงพ่อเหล่านี้แล้ว ยังมีศิษย์หลวงพ่อที่อยู่ในสมัยนั้นอีกเป็นสิบสิบท่าน ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคือบันทึกคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ท่านเทศน์ ภายหลังจากที่ท่านถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอเมื่อ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘แล้ว มีหลายเรื่อง มีทั้งคำเทศน์ ในปี ๒๔๙๘ และในปี ๒๔๙๙ แต่เรื่องที่รู้จักกันดีคือเรื่อง “เรื่องโอวาทเจ้าคุณพ่อ” ที่ท่านเทศน์ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ คุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ เป็นผู้จดบันทึก [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 18 ส.ค. 49 17:25:51 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]-----------------------------------------------------------[/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 3 [/SIZE]

    [SIZE=-1]หลวงพ่อท่านเทศน์ว่า “ผู้เทศน์มารู้ตัวเมื่อบวชแล้ว ว่าต้นธาตุคือพระพุทธเจ้าองค์แรก ขณะนี้อยู่บนพระนิพพาน) ใช้ให้จุติมาเกิดเพื่อปราบมาร (นางแฉล้ม อุศุภรัตน์, ๒๔๙๙,โอวาทเจ้าคุณพ่อ, ใน เรื่องธรรมกาย ของพระมงคลราชมุนี, วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ไทยพณิชยการ, หน้า ธ-ป) ซึ่งเป็นการบอกชัดว่าหลวงพ่อยังเชื่อมั่นในวิชชาธรรมกาย [/SIZE]

    [SIZE=-1]ไม่ใช่อย่างข้อความที่ท่านป่าม่วงเขียนบิดเบือนข้างต้น เขียนออกมาได้อย่างไร ไม่ละอายใจหรือ หรือเพียงเพื่อชื่อเสียงของตน คนอื่นเสียหายอย่างไรไม่สน การกระทำแบบนี้ไม่ใช่วิสัยของพระอริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลแบบตั้งเองหรือศิษย์ตั้งได้ แต่ไม่ใช่พระอริบุคคลในพระพุทธศาสนา[/SIZE]


    [SIZE=-1]ไม่กล้าเอ่ยกระทั้งชื่อพระอาจารย์พม่า ซึ่งก็คือพระอาจารย์อาสภเถระ กลัวคนเขาจะไปเรียนกับอาจารย์อาสภเถระหรือไร ? หรือกลัวว่าคนจะได้รู้จากพระอาจารย์อาสภเถระ ว่าท่านไม่รับรองผู้ที่บอกว่าบรรลุญาณ ๑๖ ของต้นสำนักท่านป่าม่วง และไม่มีทำเนียมกรรมฐานสายหนอที่ไหน พาศิษย์อื่นไปฟังการสอบอารมณ์ของศิษย์อีกคน นี้เพิ่งจะได้ยินจากท่านป่าม่วงเป็นครั้งแรก แปลกจริงหนอ ๆ ๆ ๆ ![/SIZE]


    [SIZE=-1]เนื่องจากท่านป่าม่วง เป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าการนั่งกรรมฐานเท่านั้น ที่สามารถจะช่วยวิญญาณที่ตายแบบผิดปรกติได้ ไม่เคยทราบว่าการช่วยวิญญาณตายผิดปรกตินั้น สามารถช่วยด้วยการทำบุญถวายสังฆทานพระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป โดยไม่เจาะจงพระภิกษุ ไปให้ได้ด้วย และคงจำเรื่องวิญญาณกตัญญู ที่เพื่อนคุณ ท. เลียงพิบูลย์เล่าให้ฟังตอนเดินทางขึ้นเหนือ ไม่ได้ หรือตั้งใจจะบิดเบือนข้อมูล ซึ่งไม่อาจทราบได้ [/SIZE]

    [SIZE=-1]เพราะเป็นเรื่องที่เพื่อนๆในกระทู้เรื่อง“อยากช่วยดวงวิญญาณแม่ลูกที่อยู่ที่บ้านจัง...” http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4539236/Y4539236.html [/SIZE]

    [SIZE=-1]ได้ให้ความเห็นว่าดังนี้ “เคยฟังเรื่องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญานของคนที่ฆ่าตัวตายว่าจะต้องทำวิปัสสนกรรมฐานให้เขา **อย่างเรื่องของ ท เลียงพิบูลย์เมื่อสมัยก่อนเดินทางไปภาคเหนือแล้วไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีวิญญานของวัยรุ่นที่มาฆ่าตัวตายสิงอยู่นานแล้ว พอกลางคืนก็ออกมา ขอให้ ท เลียงพิบูลย์ช่วย “**นั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้**” เรื่องพวกนี้ฟังมาจากหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน จังหวัดสิงค์บุรีด้วยค่ะ ลองไปวัดปรึกษาพระท่านก้อดีนะคะ” และเพื่อนอีกคนให้ความเห็นว่า “หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน บอกว่า การทำบุญให้คนฆ่าตัวตาย ต้องทำกรรมฐานอย่างเดียวเท่านั้น อาจจะสมถะหรือวิปัสสนาน่ะ ทำวิปัสสนาไปเลยอย่างจริงจัง ได้รับชัวร์” (ต้องขออภัยเจ้าของความเห็นทั้งสองท่าน ที่ได้ยกข้อความมาอ้างอิง เพราะว่าจะได้ใช้พิสูจน์ว่าท่านป่าม่วงเทศน์ไม่ตรงกับความจริง)[/SIZE]


    [SIZE=-1]เรื่องที่ท่านป่าม่วงเล่านั้นเป็นเรื่องวิญญาณบัวผัดที่มาขอให้เพื่อนคุณ ท. ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ (เดิมเคยเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่คุณ ท. ประสบเอง) ซึ่งเพื่อนคุณ ท. ได้ถวายสังฆทานตามคำแนะนำของพระเถระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงไปให้ วิญญาณบัวผัดจึงพ้นทุกข์ และได้มาช่วยเพื่อนคุณ ท. ให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ อ่านรายละเอียดใน “วิญญาณกตัญญู” โดย ท. เลียงพิบูลย์ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4589815/Y4589815.html [/SIZE]


    [SIZE=-1]ตัวอย่างอีกเรื่องที่ท่านป่าม่วงเทศน์แบบยึดตัวเองเป็นหลัก ที่เทศน์ว่าพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ไปโปรดพุทธมารดาด้วยกายทิพย์ ทั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาด้วยกายมนุษย์ โปรดอ่านรายละเอียดใน กระทู้ เรื่อง พระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดาที่ดาวดึงส์พิภพด้วยกายทิพย์หรือด้วยกายมนุษย์ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4549923/Y4549923.html[/SIZE]

    [SIZE=-1]เหลือเชื่อใช่ไหม ? เป็นนักเผยแพร่ธรรมะตัวยง เชื่อกันว่าเป็นอรหันต์ เป็นไปได้ไง ?[/SIZE]

    [SIZE=-1]ยอมรับว่าท่านป่าม่วงเก่งด้านการตลาด ด้านการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งประสบผลสำเร็จยิ่ง ประกอบกับชาวพุทธสมัยนี้ชอบยกผลความดีที่ตนที่ได้รับอันเนื่องมาจากเหตุที่ตนทำไว้ดีในอดีต ว่าเป็นเพราะบารมีของท่านผู้อื่น ลืมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียสนิท ว่าผลดีย่อมมาจากเหตุดี ผลชั่วย่อมมาจากเหตุชั่ว[/SIZE]

    [SIZE=-1]การปฏิบัติกรรมฐานแบบใด ๆ ก็ตาม ถ้าวางจิตได้ถูกต้อง ก็ย่อมได้รับอานิสงส์จาการนั่งสมาธิเหมือนกันหมด เป็นเหตุให้ศรัทธาในอาจารย์ ถ้าได้ครูดีก็เป็นบุญ ถ้าได้ครูไม่ดี ก็เป็นกรรม เพียงเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีความสุข มีความเจริญในทางโลกตามผลกรรมที่ทำไว้ แต่ไม่ก้าวหน้าในธรรมปฏิบัติ [/SIZE]

    [SIZE=-1]บางคนนั้นฉลาดแต่ฉลาดในทางที่ไม่ดี สามารถซ่อนความร้ายกาจไว้ลึกล้ำ ยากจะจับได้ ดังนั้นการจะพิจารณาว่าบุคคลดีจริงหรือดีเทียมนั้น ต้องคบหาสมาคมนานๆเหมือนอยากทราบกำลังม้าก็ต้องขี่ทางไกล[/SIZE]

    [SIZE=-1]ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอน ไม่มีกรรมฐานแบบไหนแก้กรรมนี้ได้[/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่เขียนทั้งหมดมีเอกสารอ้างอิง ไม่ได้นั่งเทียนเขียน[/SIZE]

    [SIZE=-1]มีเรื่องอีกมากที่ท่านป่าม่วงพูดไม่ตรงกับความจริง เรื่องดังบางเรื่องได้ยินจากเพื่อนสิงห์นคร[/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่ถือว่าเท่าที่เขียนมานี้ก็เพียงพอแล้ว ที่ทำให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร[/SIZE]
    [SIZE=-1]คงทำให้บางท่านเกิดความเฉลียวใจ หูตาสว่างขึ้น[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอยุติด้วยพระพุทธธรรมที่ว่า[/SIZE]

    [SIZE=-1]“เอกธมฺมมตีตสฺส มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน[/SIZE]
    [SIZE=-1]วิ ติณฺณปรโลกสฺส นตฺถิ ปาปำ อการิยํ”[/SIZE]
    [SIZE=-1]แปลว่า[/SIZE]
    [SIZE=-1]คนที่ไม่ถือสัจจะ มักกล่าวเท็จเสมอ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ไม่คำนึงถึงปรโลก แล้วจะไม่ทำชั่วเป็นไม่มี[/SIZE]
    [SIZE=-1](พระธรรมบทจตุรภาค, ราชบัณฑิตยสถาน ข้อ ๑๗๖ หน้า ๓๗๐-๓๗๑)[/SIZE]

    [SIZE=-1]และพุทธธรรมที่ว่า[/SIZE]
    [SIZE=-1]“สจฺจํ เว อมตา วาจา เอส ธมฺโม สนนฺตโน[/SIZE]
    [SIZE=-1]สจฺเจ อติเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฐิตา”[/SIZE]
    [SIZE=-1]แปลว่า[/SIZE]
    [SIZE=-1]“คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย นั่นเป็นธรรมของเก่า คนดีทั้งหลายตั้งมั่นในคำสัตย์ที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม” (ขุททกนิกาย เถรคาถา พระไตรปิฎก เล่ม ๒๖/๔๓๔)[/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 18 ส.ค. 49 17:26:46 ][/SIZE]
    [SIZE=-1]************************************ [/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 7 [/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอเรียนว่าคุณXLmen ที่ว่า[/SIZE]

    [SIZE=-1]"อ้อที่สำคัญคือ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไปถกเรื่องพระนิพพานให้ยุ่งเลยครับ....เอาเพียงฟังหูไว้หูก็พอ[/SIZE]

    [SIZE=-1]พูดง่ายๆ ก็คือเราปฏิบัติได้แค่ไหนก็ควรจะพูดเพียงแค่นั้น ไม่ควรไปตอบโต้หรือวิจารณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้ เพราะความไม่รู้นี่แหละอาจจะเป็นการเผลอไปลูบใบมีดโกนเข้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ"[/SIZE]

    [SIZE=-1]สิ่งที่เขียนมา ไม่ใช่เอาจากนิยาย เอาจากประวัติจริง และที่ได้ยินเต็มสองหูด้วย [/SIZE]

    [SIZE=-1]เพราะว่าพระอริยะเจ้าต้องไม่มุเสา ต้องไม่พูดส่อเสียด ไม่ให้ร้ายผู้อื่นและอื่นๆอีกมาก ที่เขียนมามีเอกสารอ้างอิงทุกเรื่อง ไม่ได้เขียนยกเมฆ ส่วนใหญ่พิจารณาจากประวัติจริงๆ ส่วนนิยายเป็นส่วนเสริม จนแน่ใจว่าท่านป่าม่วงพูดจาไม่ตรงไปตรงมา ชอบพูดเรื่องที่ไม่ตรงกับความจริง หรือชอบพูดมุสา โดยเฉพาะโกหกเรื่องหลวงพ่อสด ให้ร้ายวิชชาธรรมกาย และอวดว่าตัวมีอาจารย์เก่งทุกสาย[/SIZE]

    [SIZE=-1]เชื่อว่าไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้าแน่นอน แต่อาจจะเป็นตาลยอดด้วนมากกว่า และเรื่องดังๆแต่ไม่มีหลักฐานที่ได้ยินเต็มสองหูจากบุคคลหลายคนด้วยกัน [/SIZE]


    [SIZE=-1]เรื่องมีดโกนนั้นกลัวแน่ เพราะกลัวนรกเหมือนกัน[/SIZE]

    [SIZE=-1]อยากเรียนให้ทราบว่า ไม่เคยไปคิดว่ากรรมฐานแบบอื่นไม่ดี เชื่อว่าดีทุกสาย แต่ต้องปฏิบัติอย่างรู้จริง[/SIZE]

    [SIZE=-1]เคยปฏิบัติกรรมฐาน แบบอานาปานสติ แบบพองหนอยุบหนอกับพระอาจารย์ท่านเจ้าคุณโชดก ที่โบสถ์วัดมหาธาตุ และท่านรับรองว่าเรียนผ่านขั้นกลางไปแล้วด้วย [/SIZE]

    [SIZE=-1]และไปเรียนกับท่านตอนกลางคืนที่วัดปรินายก[/SIZE]
    [SIZE=-1]เคยปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์อาสภเถระ จึงได้ทราบว่าวิเวกอาศมไม่รับรองผู้ที่บอกว่าได้ญาณ ๑๖ จากวัดมหาธาตุ มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งบรรลุญาณ ๑๖ ที่วิเวกอาศรม และรู้เรื่องที่อาจารย์อาสภเถระโดนทำร้ายจากเพื่อนคนนี้[/SIZE]

    [SIZE=-1]หลังจากได้ยินคำไม่ดีบางคำที่กล่าวหาวิชชาธรรมกายจากพระที่ปฏิบัติที่สำนักวัดปรินายกได้ จึงได้ไปพิสูจน์วิชชาธรรมกายกับเพื่อนที่เคยไปปฏิบัติที่วิเวกอาศม [/SIZE]

    [SIZE=-1]ศิษย์หลวงพ่อเฟื่องพาไปฝากเรียนกับพระราชพรหมเถร มีประสบการณ์มากพอสมควร พูดง่ายๆว่า ถ้าใครบอกว่าพระองค์นี้เก่งรู้วาระจิตคน ขอตอบว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก การรู้ว่าระจิตคน นั้นไม่จำเป็นต้องได้ฌาณ ๔ [/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่พูดนี้ไม่ได้ว่าตัวเก่ง คิดอยู่เสมอตนว่ายังเรียนอยู่ชั้นประถม ถ้าเรียนชั้นสูงคงไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ดีเคยได้รับใบประกาศระดับอนุบาลจากพระอาจารย์พระราชพรหมเถร และคุณครูญาณีศิริโวหารซึ่งเป็นแม่ทัพธรรมสายวิชชาธรรมกาย[/SIZE]

    [SIZE=-1]ส่วนศิษย์ท่านป่าม่วงไม่ยอมพิจารณาหลักฐานที่แสดง ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ ไม่ว่ากัน[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอขอบคุณที่เป็นห่วง แต่มีมั่นใจ๑๐๐ % จึงได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เป็นได้ไง ![/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอให้เจริญในธรรม [/SIZE]
    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 49 23:48:51 [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 18 ส.ค. 49 23:45:04 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]************************************** [/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 12 [/SIZE]

    [SIZE=-1]เรียน คุณ Ichitarou[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอตอบว่าคนเรามีนิสัยต่างกัน มีหน้าที่ต่างกัน สมเด็จป๋า จิตท่านอยู่ในระดับสูง และมีตำแหน่ง จะพูดอะไรต้องระวัง แม้ท่านรู้ใครกล่าวให้ร้ายวิชชาธรรมกายท่านไม่พูด แต่คุณทราบทำไมท่านไม่พูด เพราะเขาใช้ปากบอกต่อๆกัน ไม่มีหลักฐานพยานจะเขียนตอบโตเขา [/SIZE]
    [SIZE=-1]ไม่ทราบว่าคุณ Ichitarou เคยอ่านประวัติพระพิมลธรรม(อาจ อาสภเถระ)หรือไม่ สมเด็จพระสังฆราชวัดเบญจ และสมเด็จป๋า ถูกกล่าวหาไม่เบาเลย[/SIZE]

    [SIZE=-1]ส่วนที่ว่า "ผมว่าอย่างคุณebusiness นี่แหละ ถึงจะเป็นศิษย์หลวงพ่อสดอย่างแท้จริง [/SIZE]
    [SIZE=-1]ขอตอบว่านั้นเป็นความดีของคุณebusiness ที่น่าสรร้สริญ [/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่ว่า "อีกอย่างคนที่จขกท. กำลังว่าอยู่น่ะ ท่านเป็นพระนะครับ ไม่กลัวบาปกรรมจะเข้าตัวบ้างเหรอ"[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถามว่าหลักฐานที่อ้างถึงนั้นเป็นเท็จหรือ หลักฐานที่ใช้เป็นของจริงทั้งนั้น ไม่ใช่ของปลอม สามารถพิสูจน์ได้ [/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่ที่ท่านป่าม่วงนั้นพูดเอาเองคนเดียว และคนไปยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ หรือบางครั้งก็ยกย่องตัวเอง อ่านข้อ ๑๙ ให้ดี[/SIZE]

    [SIZE=-1]ส่วนที่ว่าจะเป็นศิษย์หลวงพ่อสดจริงหรือไม่นั้น ตัวของตัวเท่านั้นที่รู้ ไม่มีใครบอกว่าคุณเป็นศิษย์หรือคุณไม่เป็นศิษย์[/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่ถามว่า "ไม่กลัวหรือที่ท่านเป็นพระ" ขอตอบว่าเป็นคนที่ระวังเรื่องนี้มาก ถ้าเป็นพระจริงกลัว แต่พระปลอมไม่กลัว ยิ่งเป็นตาลยอดด้วยยิ่งไม่ต้องกลัว [/SIZE]

    [SIZE=-1]ถ้าใครก็ตามที่อ่านเรื่องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว สามารถตอบได้เองว่า ว่าเป็นตาลยอดด้วนหรือไม่ ? [/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอจบความคิดเห็นของคุณด้วย[/SIZE]
    [SIZE=-1]บทนี้ด้วยพุทธธรรมที่ว่า[/SIZE]

    [SIZE=-1]“น มุณฺฑเกน สมโณ อพฺพโต อลิกํ ภณํ[/SIZE]
    [SIZE=-1]อจฺฉาโลภสมปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ”[/SIZE]
    [SIZE=-1]แปลว่า[/SIZE]

    [SIZE=-1]ผู้ที่ไม่มีศีลาจารวัตร ชอบพูดพล่อย แม้ศีรษะโล้น ก็ไม่เชื่อว่าเป็นสมณะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ผู้ที่เต็มไปด้วยความอยากและความโลภ จักเป็นสมณะได้อย่างไร[/SIZE]

    [SIZE=-1](พระธรรมบทจตุรภาค, ราชบัณฑิตยสถาน ข้อ ๒๖๔ หน้า ๕๔๓)[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอให้เจริญในธรรม [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 19 ส.ค. 49 14:09:50 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]***************************************[/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 13 [/SIZE]

    [SIZE=-1]เรียนคุณจักรแก้ว [/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอบคุณที่คุณบอกว่า "การ ดิสเครดิตผู้อื่น เป็นวิธีการที่ไม่ดีครับ"[/SIZE]

    [SIZE=-1]อยากถามคุณจักรแก้วว่า ข้อความจากเว็บวัดป่าม่วง ต่อไปนี้ไม่ใช่การดิดเครดิตผู้อื่นหรือ [/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่ว่า"“อาตมาได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ โดยอาจารย์พม่ามาเทศน์และมีทูตมาแปลเป็นภาษาไทย ฟังพร้อมกับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เดิมทีอาตมาไม่ทราบว่าท่านมานั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ พอดีท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปสอบอารมณ์ อาตมาก็ตามไปฟัง หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอ ๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง ๘๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผยเพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุเราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์” [/SIZE]


    [SIZE=-1]นี้ไม่ใช่เป็นการดิสเครดิตวิชชาธรรมกายอย่างชั่วร้ายหรือ และมุสาว่าหลวงพ่อพูด ให้ร้ายวิชชาธรรมกาย ซึ่งวิญญูชนเขาไม่ทำเช่นนี้หรอก [/SIZE]


    [SIZE=-1]แน่นอนที่ว่า "ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้น แม้เราเองก็เช่นกันครับ" ขอบอกว่าถูกต้อง...ๆ ...ๆ .! [/SIZE]

    [SIZE=-1]แต่ได้ชี้แจงแล้วว่าที่เขียนนี้ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อเปิดเผยให้ผู้คนได้ทราบความจริง และช่วยให้คนไม่ต้องทำบาปโดยเสียรู้เขา หรืออาจเผลอตกนรกโดยเอาคำบิดเบือนไปขยายผล[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอโทษ ชื่อคุณจักรแก้ว นั้นเป็นชื่อกายสิทธิ์ที่สำคัญมากไว้ปราบความชั่วไม่ใช่หรือ และชื่อนี้ น่าจะได้มา ตอนที่คุณจักรแก้ว ศรัทธาวิชชาธรรมกายมาก ๆ ถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัย[/SIZE]

    [SIZE=-1]แล้วสิ่งท่านป่าม่วงมุสาใส่หลวงพ่อสด คุณไม่รู้สึกเลยหรือ [/SIZE]

    [SIZE=-1]โปรดอ่านข้อ ๑๙ ใหม่ แบบใจเย็นๆ แล้วจะเห็นแจ้ง ...[/SIZE]
    [SIZE=-1]ขอขอบคุณในคำแนะนำ[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอให้เจริญในธรรม [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 19 ส.ค. 49 14:33:36 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]***************************************[/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 15 [/SIZE]

    [SIZE=-1]เรียนคุณ ขอนอกเรื่อง (เหรียญ) [/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอขอบคุณมาก ๆ ที่ให้ความรู้ เออ! จะได้ว่ามีความหมายในทางที่ดีด้วย แต่ในนี้มันหมายตรงข้าม [/SIZE]

    [SIZE=-1]พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ถ้ารู้ตัวสึกออกมาเสีย [/SIZE]
    [SIZE=-1]นั้นไม่ปิดทางสวรรค์ แต่ปิดทางพระนิพพาน เข้าใจว่าชาตินี้ไม่สามารถที่จะพัฒนาจิตให้เป็นพระอริยบุคคลได้อีก[/SIZE]

    [SIZE=-1]แต่อย่างว่า ปัจจุบันี้มีนักคิดมีวิธีแก้กรรมขึ้นมากหมาย จะได้ผลหรือไม่ ไม่อาจทราบได้[/SIZE]

    [SIZE=-1]แต่ขอเชื่อพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอขอบคุณอีกครั้งที่กรุณาบอกให้ทราบความหมายที่ดีด้วย[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอให้เจริญในธรรม [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 19 ส.ค. 49 15:43:31 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]***************************************[/SIZE]


    [SIZE=-1]ความคิดเห็นที่ 16 [/SIZE]

    [SIZE=-1]เรียนคุณXLmen [/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่ว่า "ไม่ว่าใครจะทำดีหรือทำชั่ว สุดท้ายเมื่อถึงคราวละโลกเมื่อนั้นทุกสิ่งจะแจ้งแก่ใจตนเองแหละครับ...โต้แย้งกันไปก็เท่านั้นครับ...ปล่อยให้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมดีกว่าครับ" [/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอเรียนคุณXLmen ว่า ไม่ประสงจะโต้แย้งกับใคร [/SIZE]

    [SIZE=-1]เพียงแต่ต้องการแสดงหลักฐานอีกด้านหนึ่ง ให้ผู้คนได้มีโอกาสรู้ด้วย ไม่ใช่ให้รู้อยู่แต่เพียงเหรียญด้านเดียว[/SIZE]

    [SIZE=-1]เปิดเผยให้ผู้คนได้รู้ว่าท่านป่าม่วงเป็นคนอย่างไร ส่วนใครจะยอมพิจารณาหลักฐานที่แสดงให้เห็นแล้วหรือไม่นั้น ก็ต้องปล่อยให้ไปตามกรรม เป็นสิทธิอันชอบธรรมของท่านผู้นั้น[/SIZE]

    [SIZE=-1]และขอบอกให้สบายใจได้ว่า ***นี้เป็นตอนอวสานของเรื่องนี้ในเวบพันทิพแล้ว*** เชื่อว่าเป็นข้อมูลที่มากเพียงพอสำหรับชาวพุทธจะใช้พิจารณาว่าท่านป่าม่วงดีจริง หรือดีเทียม [/SIZE]


    [SIZE=-1]เพื่อให้ข้อมูลแก่ศิษย์วิชชาธรรมกายทุกสายเหมือนการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ให้มีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ ต่อไปจะได้มีข้อมูลชี้แจงความจริงเรื่องนี้ได้ [/SIZE]

    [SIZE=-1]เวลาเขาพูดจะได้ไม่เป็นใบ้ หรือเถียงแบบข้างๆ คู ๆ [/SIZE]

    [SIZE=-1]เป็นการป้องปราม ไม่ให้ใครใช้วิธีการแบบนี้อีก[/SIZE]

    [SIZE=-1]ขอได้รับความขอบคุณ ขอให้เจริญในธรรม [/SIZE]

    [SIZE=-1]จากคุณ : ธารณธรรม - [ 19 ส.ค. 49 16:08:58 ] [/SIZE]
    [SIZE=-1]*************************************[/SIZE]


    [SIZE=-1]คัดลอกมาบางส่วน[/SIZE]
    [SIZE=-1]เนื่องจากไม่สามารถใส่ข้อความลงในบล็อกได้ทั้งหมด อ่านแบบเต็ม ๆ ได้นี่ลิงค์นี้[/SIZE]

    [SIZE=-1]ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4633623/Y4633623.html[/SIZE]
    <!--End Main-->

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="50%">[SIZE=-1]Create Date : 20 สิงหาคม 2549[/SIZE]</TD></TR><TR><TD width="50%">[SIZE=-1]Last Update : 20 สิงหาคม 2549 13:50:34 น. [/SIZE]</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2008
  12. matakalee

    matakalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +367
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    [​IMG]

    รู้เอง เห็นเอง เมื่อใด คงไม่ต้องมาเถียงกัน

    ปัตจัตตัง

    สาธุ
     
  14. matakalee

    matakalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +367
    ฮึ.. ฮึ....ไม่ได้รู้เอง เห็นเอง ก็อย่าพึ่งสรุปว่าสิ่งที่ได้รู้มาเป็นความจริงอย่างที่ตัวเองเข้าใจ คือ อ่านแล้วถูกจริตในความคิดของตัวเอง แล้วก็สรุปว่าต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามที่คนเขาพูดกัน ก้อบอกแล้วว่า พึงใช้หลักของพระบรมศาสดา ในการรับรู้รับฟังทุกสิ่งทุกอย่างตามหลักกาละมะสูตร
     
  15. korachaa

    korachaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +548
    พอดีผมเคยรับทราบมาครับว่าบั้นปลายของชีวิตหลวงพ่อได้ฝึก สติปัฏฐาน 4 เพื่อให้หลุดจากนิมิต ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. korachaa

    korachaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +548
    ผมเกิดไม่ทัน ผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่ลายมือหลวงพ่อหรือเปล่า แต่ถ้าพอเป็นประโยชน์ก็น่าจะดีนะครับ เพราะทุกวิชาก็เป็นวิชาของพระพุทธเจ้าครับ ความคิดผมเอง
     
  17. matakalee

    matakalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +367
    จากหนังสืองานที่ระลึกครบรอบวันเกิดของท่านเจ้าคุณโชดก บอกว่าได้มอบให้วัดมหาธาตุไว้หลังจากที่ได้ฝึกกรรมฐาน หาอ่านได้จาก

    http://[B]gotoknow.org/file/<WBR>truedhamma/view/133342[/B]

    ลองเข้าไปอ่านดูคะ เป็นการบันทึกการฝึกของหลวงพ่อกับท่านเจ้าคุณโชดก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chodok16.jpg
      chodok16.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.5 KB
      เปิดดู:
      183
    • Chodok1.jpg
      Chodok1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      147
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  18. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    มีความพยายามสูงจริงๆครับท่านเจ้าของกระทู้


    แต่ สิ่งที่นำมาแสดงหลังจากเจ้าตัวตายไปจากโลกแล้ว
    กับ งานที่ท่านฝากไว้ก่อนตาย บางครั้งสวนทางกัน ก็ต้อง
    พิจารณาว่า ข้อมูลใดเท็จ จริง เพียงใด
     
  19. matakalee

    matakalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +367
    สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหมู่ใด,ปฏิบัติดีแล้ว
    ปฏิบัติตรงแล้ว,ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
    ปฏิบ้ติสมควรแล้ว เป็นสงฆ์ที่ควรแก่การสักการะที่เขานำมาบูชา
    เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำการอัญชลี
    เป็นเนื้อนาบุญของโลก,ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
    ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น
    ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า

    งานที่หลวงพ่อสดได้กระทำไว้นั้นย่อมบ่งชี้ว่า ท่านเป็นพระสุปะฎิปันโนเพียงใด มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเด็มเมือง ขึ้นชื่อเป็นพระที่สมควรทำการอัญชลี ในกระทู้ที่ข้าพเจ้าได้นำมาโพส มีเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งที่เป็นการดิสเครติต ในการที่จะทำไห้ลูกศิษย์ลูกหา ไม่เป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าที่คุณสมถะได้นำเรื่องราวของท่านวัดป่ามะม่วงมาโพสนั้น มิได้น้อยกว่ากันเลย ธรรมดาพระสงฆ์องค์เจ้าที่เราเคารพนับถือเราย่อมปกป้องไม่น้อยกว่ากันเลย ในกระทู้ที่ได้นำมาโพสก็มิได้มีข้อความใดข้อความหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ท่านเลิกฝึกวิชาธรรมกาย เพียงแต่บอกว่าท่านสำเร็จอรหันต์ และมีเบื้องหลังอย่างที่ในกระทู้บอกไว้แค่นั้น แต่ผลที่ตอบกลับ กลายเป็นว่า มีการก๊อปปี้ข้อมูลจากกระทู้อื่น (ซึ่งจะมีการตั้งกระทู้ไว้ว่าอย่างไรก็มิทราบได้) แต่ได้นำคำตอบของกระทู้อื่นมาลงซ้ำ ๆ ก้น ความเป็นมาเป็นไปนั้นเรา ๆ ท่าน ๆ ก็เกิดมาไม่ทัน หรืออาจจะเกิดทันได้รู้ได้เห็น แต่จะจริงหรือเท็จ อ้นนี้ขอให้ท่านใช้ปัญญาญาณ (ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า คงจะมีในการปฏิบัติทุก ๆ คน ) ในการพิจารณาเอาเองแต่ในการค้นคว้าหาข้อมูลหลักฐานนั้นมันสามารถค้นหาได้ในปัจจุบัน ซึ่งก็สมควรที่เราจะกระทำมิใช่หรือ เพื่อเป็นการทำความเห็นในตรง ซึ่งเป็น บุญกริยาวัตถุ 10
    (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ) ใน
    ข้อที่ 10 ทิฎฐุชุกัมม์บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ถูกตรง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    อยากทราบคำพูดสุดท้าย ที่หลวงปู่สดกล่าว

    รีบมากราบเรียนถาม หลวงพ่อวีระ ฯ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำสิครับ


    ท่านอายุมากแล้ว 90 กว่า



    หลักฐานบางอย่างสร้างได้ ตัดตอน ต่อเติม แก้ไขได้ เพราะ ร่างที่นอนในโลง
    ไม่อาจลุกขึ้นมากล่าวได้


    กรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...