เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 มีนาคม 2025 at 16:21.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพมีกิจวัตรเหมือนเดิม คือเดินทางไปร่วมทำวัตรเช้ากับบรรดาผู้เข้ารับการฝึกซ้อมอบรมเพื่อสอบเป็นพระอุปัชฌาย์ ประจำปี ๒๕๖๘ ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ แม้ว่าจะเป็นหวัดจนเสียงเพี้ยน ก็ยังอุตส่าห์ลงมานำทำวัตรอยู่เหมือนเดิม

    เพียงแต่ว่าวันนี้ เมื่อกระผม/อาตมภาพฉันเช้าเสร็จแล้ว ได้กล่าวสัมโมทนียกถาต่อที่ประชุม และแจ้งแก่ทุกท่านที่เข้าอบรมว่า หลังจากชั่วโมงแรกแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องขอตัวเพื่อเดินทางไปยังวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หมู่ที่ ๓ ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อร่วมงานทำบุญอายุวัฒนมงคล ๗๒ ปี พระครูสาครสิทธิวิมล (ชลอ วิมโล) หรือที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันว่า "ป๋าลอ"

    ครั้นได้เวลา พระเดชพระคุณพระราชวชิรสุตาภรณ์ (พนม รตนาโภ) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกกันด้วยความคุ้นเคยว่า "หลวงพ่อเจ้าคุณแก้ว" เนื่องเพราะว่าเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีสาขาพระพุทธศาสนา และปริญญาโทสาขาการจัดการเชิงพุทธ ท่านมาบรรยายเรื่อง "เขตของพระอุปัชฌาย์"

    ถ้าหากเป็นบุคคลทั่วไปก็จะไม่เข้าใจว่าพระอุปัชฌาย์นั้นมีเขตด้วยหรือ ? พระอุปัชฌาย์นั้นจะมีหน้าที่บวชให้แก่กุลบุตรในเขตของตนตามตราตั้ง อย่างเช่นว่า เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด หรือว่า เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ก็บวชได้เฉพาะในเขตวัดของตนเอง

    ถ้าเป็นเจ้าคณะตำบล ก็บวชได้เฉพาะในเขตตำบลของตนเอง เป็นเจ้าคณะอำเภอ บวชได้เฉพาะในเขตอำเภอของตนเอง เป็นเจ้าคณะจังหวัด บวชได้เฉพาะในเขตจังหวัดของตนเอง เป็นเจ้าคณะภาค บวชได้เฉพาะในเขตภาคของตนเอง รองเจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะจังหวัด และรองเจ้าคณะภาค มีเขตการอุปสมบทเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าคณะ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    เจ้าคณะใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าเจ้าคณะหน บวชได้เฉพาะในหนของตน ยกเว้นว่าท่านที่เป็นเจ้าคณะภาคและเป็นเจ้าคณะหน เคยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาคอื่น หรือเจ้าคณะหนอื่นมาก่อน เมื่อถึงเวลาสามารถที่จะให้การอุปสมบทในหนเดิมของตนเองได้ กรรมการมหาเถรสมาคมสามารถให้การอุปสมบททั่วประเทศได้

    กระผม/อาตมภาพเคยมีปัญหาตรงที่ว่า ตนเองเป็นเจ้าคณะตำบล แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ จะต้องเข้ารับการอบรมใหม่หรือไม่ ?

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณอาจารย์สุชาติ - พระเดชพระคุณพระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ. ๙) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๕ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งท่านเป็นประธานในการฝึกซ้อมอบรมผู้เข้าสอบความรู้เป็นพระอุปัชฌาย์ระดับประเทศทุกปี ที่วัดสามพระยา วรวิหาร ท่านเจ้าคุณอาจารย์ให้การวินิจฉัยว่า สามารถขยายเขตภายใต้อำนาจการปกครองของตนเองได้เลย ไม่ต้องอบรมใหม่ ยกเว้นบุคคลที่เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ แล้วเลื่อนขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ให้อบรมใหม่ เพื่อรับตราตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญจากสมเด็จพระสังฆราช

    ดังนั้น..ในปัจจุบันนี้พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จึงสามารถที่จะให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรทั้งจังหวัดได้ ถ้าหากว่ามีผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสนิมนต์ไป
    แต่โดยมารยาทแล้วก็คือ ต้องให้เจ้าอาวาสนั้น ๆ เป็นผู้นิมนต์ แล้วถ้าจะให้ดี ก็ทำหนังสือแจ้งเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอด้วย โดยนำหนังสือนิมนต์ของเจ้าอาวาส ทำสำเนาประกอบไปว่า ได้รับนิมนต์มาเพื่อให้ทำการอุปสมบทในวัดนั้น วันนั้น เวลานั้น ขออนุญาตเข้าไปทำงานในพื้นที่ของท่าน ยกเว้นว่าตำบลนั้นไม่มีพระอุปัชฌาย์เลย ก็แจ้งเฉพาะเจ้าคณะอำเภอเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่าจริยาของพระอุปัชฌาย์นั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรส่งเดช โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์นั้น จะต้องเป็นแบบอย่างให้กับกุลบุตรผู้เข้าอุปสมบทกับตน โดยเฉพาะการอบรมสั่งสอน จึงต้องเป็นบุคคลที่ประพฤติตามในบาลีที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็ต้องพูดอย่างนั้น ไม่มีต่อหน้าและลับหลัง เหมือนอย่างภาษิตที่ว่า "ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    เมื่อฟังหลวงพ่อเจ้าคุณแก้วบรรยายเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางไปยังวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ไปถึงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ดีมาก ก็คือให้รถเข้าไปจอดอยู่หลังพระนอนองค์ใหญ่ ในศาลาอนุสรณ์ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จึงหิ้วกระเช้า และนำเอาวัตถุมงคล ซึ่งตั้งใจถวายให้กับ "ป๋าลอ" เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ไปถึงแล้ว

    แต่ด้วยความที่ว่าผ่านผู้ใหญ่เสียก่อน ก็คือหลวงปู่พระครูโสภณสาครกิจ (สำอาง ติสฺสเทโว) วัดพันธุวงษ์ ซึ่งท่านเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ จึงเข้าไปกราบท่าน เรียนถวายว่า "นึกว่าหลวงพ่อจะอยู่ที่วัดไร่ขิงเสียอีก" ท่านบอกว่า "เดี๋ยวเสร็จจากงานนี้ก็จะไป"

    หลังจากนั้นก็ทำความเคารพพระครูสาครธรรมประสิทธิ์, ผศ.,ดร. (บุญเลิศ อภิรโต ป.ธ. ๔) วัดหลังศาลประสิทธิ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองสมุทรสาคร ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์พระครูรเลิศรีบลุกขึ้น จะให้กระผม/อาตมภาพนั่งแทนท่าน จึงได้เรียนท่านบอกว่า "นั่งไปเถอะครับ กระผมขออนุญาตไปมุทิตาสักการะหลวงพ่อชลอของกระผมก่อน" แล้วก็นำเอากระเช้าและวัตถุมงคลไปถวายให้กับ "ป๋าลอ"

    จากนั้นก็มานั่งสนทนากับท่านอาจารย์มณี ก็คือพระอาจารย์มณี มานิโต ซึ่งเท่ากับเป็นผู้ช่วยของ "ป๋าลอ" นั่นเอง ท่านอาจารย์มณีบอกว่า "ป๋าลอตัดสินใจกะทันหันว่า จะทำบุญสืบชะตาหลวงในงานอายุวัฒนมงคล ๗๒ ปี ให้ผมรีบติดต่อหลวงพ่อเล็กเสียก่อน ถ้าหลวงพ่อเล็กรับปากว่าจะมา ถึงจะจัดงาน ถ้าไม่รับปากก็จะไม่จัดงานครั้งนี้ ผมก็ยังบอกกับท่านว่า หลวงพ่อเล็กงานมาก ติดต่อกะทันหันแบบนี้อาจจะไม่ทันการณ์ แต่ท่านก็บอกว่าติดต่อไปเถอะ"

    แล้วกระผม/อาตมภาพก็ติดงานที่วัดไร่ขิงจริง ๆ แต่ด้วยความที่ว่าเป็นพี่เป็นเชื้อ บวชมาจากอุโบสถวัดจันทาราม (ท่าซุง) มาด้วยกัน หัวหกก้นขวิด ทำงานรับใช้หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มาด้วยกัน เมื่อพี่ท่านเจริญอายุวัฒนมงคลรอบใหญ่ ๗๒ ปี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอตัวมาร่วมงานในครั้งนี้

    สำหรับ "ป๋าลอ" นั้นทุกท่านจะจำได้ง่ายมาก เพราะว่าอายุท่านก็มากกว่า ๖ ปี พรรษาท่านก็มากกว่า ๖ พรรษา ไม่เหมือนกับท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ซึ่งท่านเองนั้นอายุมากกว่าเกือบ ๒ รอบ แต่ว่าพรรษามากกว่าแค่ ๔ พรรษาเท่านั้น เนื่องเพราะว่าท่านตัดสินใจบวชช้าไปหน่อย ก็คือมาบวชตอนอายุ ๔๐ ปีเข้าไปแล้ว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    หลังจากนั้นแล้วก็ได้มาทักทายท่านเจ้าคุณองอาจ - พระราชวชิรภาวนาโกศล วิ. (องอาจ อาภากโร) วัดวีระโชติธรรมาราม เจ้าคณะอำเภอคลองหลวงแพ่ง และตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ แล้วหลังจากนั้นก็รับการกราบ รับการทักทายจากพระภิกษุสงฆ์สามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยม โดยเฉพาะหลายท่าน ถลาเข้ามาถึงก็ควักเงินจะทำบุญเลย กระผม/อาตมภาพต้องแจ้งว่า "ให้ไปทำบุญกับหลวงพ่อชลอ เนื่องเพราะว่าต่อให้ทำบุญตรงนี้ กระผม/อาตมภาพก็ทิ้งเอาไว้ให้กับหลวงพ่อชลออยู่ดี" หลายต่อหลายท่านทำท่าเหมือนกับผิดหวัง

    แต่ความจริงท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า การยึดติดตัวบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องดี แต่ถ้าเรายึดติดในธรรม ทำบุญให้เป็นบุญ ก็คือยึดถือการที่ปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนาแบบสายกลาง ทำตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน โดยไม่ได้ยึดติดในสถานที่หรือว่าตัวบุคคล จะทำให้กำลังใจของท่านนั้นสามารถที่จะปล่อยวางได้เร็วกว่าหลายเท่า

    เมื่อถึงเวลา ทางวัดก็ได้เริ่มพิธีเจริญพระพุทธมนต์ฉลองอายุวัฒนมงคล ๗๒ ปีแก่ "ป๋าลอ" แล้วก็ถวายปัจจัยไทยธรรม กรวดน้ำรับพร หลังจากนั้นกระผม/อาตมภาพก็ไปฉันเพล เสร็จแล้วพักผ่อนในห้องพักพระเถระ คุยกับท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย ท่านเจ้าคุณองอาจและตุ๊พ่อสิงห์ โดยที่มีพระรุ่นน้องรุ่นลูก เข้า ๆ ออก ๆ มากราบ และจะทำบุญอีกแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "ให้ไปทำบุญกับหลวงพ่อชลอ"

    จนกระทั่งเที่ยงครึ่ง กระผม/อาตมภาพค่อยนำตุ๊พ่อสิงห์ขึ้นสู่อาสนะ เตรียมพิธีสืบชะตาหลวง แล้วตนเองก็ไปนิมนต์ "ป๋าลอ" ให้เข้าที่ ขออนุญาตท่านในการพันสายสิญจน์สายใหญ่ซึ่งโยงมาจากซุ้มสืบชะตา พูดง่าย ๆ ว่าเป็น "สายล่อฟ้า" เพื่อรับพลังจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงมาสู่ตนเอง

    เหตุที่ต้องทำเช่นนั้น ก็เพราะว่าอันดับแรกเลย กระผม/อาตมภาพเป็นน้องที่พี่ ๆ ทั้งหลาย ให้ความเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่สมัยอยู่วัดท่าซุงแล้ว โดยเฉพาะ "ป๋าลอ" เมื่อถึงเวลานิมนต์ท่านนั่ง ท่านก็บอกว่า "เมื่อความสามารถสู้น้องไม่ได้ ก็ต้องอาศัยบารมีน้องช่วยสงเคราะห์แบบนี้แหละ"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    อีกอย่างหนึ่งก็คือ "ป๋าลอ" เป็นลูกตังเกสมุทรสาคร ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อสุด (พระครูสมุทรธรรมสุนทร) วัดกาหลงมาก่อน หลังจากนั้นจึงไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ดังนั้น..ป๋าลอจึงสักยันต์ตะกร้อ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง เอาไว้เต็มศีรษะ จึงไม่ใช่ว่าใครจะไปจับศีรษะ "ป๋าลอ" เล่นได้ง่าย ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการขอขมาครูบาอาจารย์เสียก่อน

    เมื่อถึงเวลาพันด้ายสายสิญจน์ในการสืบชะตาให้ท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องมาทำหน้าที่จุด "เทียนค่าคิง" แทน "ป๋าลอ" เพราะว่าท่านไม่สามารถที่จะลุกมาได้ เมื่อพระพิธีสวดสืบชะตาไป จนกระทั่ง "พระ" ท่านบอกว่า "ให้เตรียมสายสิญจน์สำหรับผูกขวัญถวายป๋าลอ แล้วพรมน้ำมนต์ด้วย" เนื่องเพราะว่าป๋าลอท่านไม่เคยเข้าพิธีนี้มาก่อนเลย จึงต้องมีการปัดสิ่งที่ไม่ดีออกก่อน แล้วขณะเดียวกันก็ผูกขวัญกันสิ่งไม่ดีเข้าด้วย..!

    คาถาปัดออกก็คือ นำเอาน้ำมนต์ลูบจากแขนขวาลงไปที่พานสืบชะตา ๓ ครั้ง หรือบางคนก็เรียกว่าพานสะเดาะเคราะห์ โดยว่าคาถา "พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจักขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ" ๓ รอบ

    หลังจากนั้นก็รูดจากแขนซ้ายลงไปที่พานสะเดาะเคราห์ว่า "พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจักขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ" ๓ รอบเช่นกัน

    แล้วก็รูดจาก ๒ บ่าลงไปที่อก ผ่าลงไปที่ฝ่ามือว่า "สมุหะเนยยะ สมุหะนะติ สมุหะคะโต สีมาคะตัง พัทธะเสมายัง สมุหะนิตัพโพ เอวังเอหิ นะหลุด โมถอน พุทคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อน หล่นหาย"
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,656
    ค่าพลัง:
    +26,520
    หลังจากนั้นก็พาดสายสิญจน์เส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวรับเคราะห์ทั้งหมดไว้ที่พานสะเดาะเคราะห์ หลังจากพิธีแล้วมอบให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปลอยน้ำแทนเจ้าของก็ได้ ส่วนกระผม/อาตมภาพก็ผูกข้อมือรับขวัญให้กับ "ป๋าลอ" จนเรียบร้อย กลับเข้าที่นั่งเสร็จสรรพ พระท่านก็สวดสืบชะตาจบพอดี ชนิด "เป๊ะเว่อร์" จนกระทั่งหลายคนก็ส่งเสียงเฮเหมือนเดิม

    ขอให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ถ้าท่านเองได้รับการซักซ้อมแบบกระผม/อาตมภาพ ก็คือตั้งแต่อายุไม่ถึง ๒๐ ปี ฝึกมโนมยิทธิได้ ก็ซ้อมกันชนิด "หัวไม่วาง หางไม่เว้น" โดนพระท่านหลอกให้หลงทางบ้าง ครูบาอาจารย์หลอกจนหัวทิ่มหัวตำบ้าง พรหมเทวดาท่านหลอกเอาบ้าง ผีหลอกเอาบ้าง จนกระทั่งในที่สุดก็รู้ว่า วางกำลังใจอย่างไรถึงจะใช่ วางกำลังใจอย่างไรถึงจะไม่ใช่ ถ้าท่านทั้งหลายสามารถซักซ้อมได้เนิ่นนานขนาดนี้ ก็จะเข้าใจเอง ว่า เหตุใดกระผม/อาตมภาพจึงทำอะไร "เป๊ะเว่อร์" แบบนี้อยู่เสมอ

    เมื่อรับไทยธรรมจากคุณต๋อง (ณัฐพล สุขวัฒนศิริ) ซึ่งเป็นเจ้าภาพไทยธรรมเฉพาะของกระผม/อาตมภาพแล้ว ก็ได้ขอตัวกับทุกคนเดินทางกลับ โดยฝากภาระในการพรมน้ำมนต์แก่ญาติโยมทั้งหลายแก่ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิลังการ์ ซึ่งนั่งคัดท้ายอยู่ในพิธี ท่านเองบอกว่าหลังจากที่ไปช่วยเฉลี่ยกรรมให้ ก็ป่วยหนักไป ๔ วัน ตอนนี้แข็งแรงดีแล้ว แต่กระผม/อาตมภาพเอง เนื่องจากพักผ่อนไม่พอ จึงยัง "ผีเข้าผีออก" อยู่เสมอ

    เมื่อเดินทางกลับถึงที่พักแล้ว ก็ได้ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน หลังจากนี้แล้วยังต้องเข้ารายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม เป็นมีประจำทุกวันอาทิตย์ต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...